วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 05:14  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


อาตมาฟังวาจาแล้ว ก็ได้บอกเธอด้วยความห่วงใยว่า "นั่นไง ที่ยืนอยู่ข้างกาย อาตมา
มิใช่ พระโพธิสัตว์กวนอิมดอกหรือ"
เธอได้ฟังวาจา รีบคุกเข่า กราบแทบเท้าพระโพธิสัตว์กวนอิม
พระโพธิสัตว์กวนอิม กล่าวแด่เธอว่า "เจ้าจงลงไปในสระบัวใช้ น้ำอัฐกุศล
ชำระกาย ก็จะค่อยๆ ชะล้างกิเลสมารเหล่านั้น ออกไปได้"

ภายในสระบัว ดอกบัวแต่ละดอก ก็บ่งบอกอาการต่างๆ
บ้างเจริญ บ้างเสื่อมโทรม บ้างงอกงาม บ้างเหี่ยวเฉา
อาตมา ถามพระโพธิสัตว์กวนอิมว่า " เหตุใดจังมีปรากฏการเช่นนั้น"

ท่านตอบว่า " ดอกบัวงาม บางดอกที่เหี่ยวเฉาโรยรา "
ท่านดูดอก ที่หักและเฉาตายไปแล้วนั้น คือนาย..... แห่งมลฑลเจียงซี
ก่อนนั้น เขานับถือพุทธ สวดมนต์ไหว้พระ

ต่อมา ได้เป็นขุนน้ำขุนนาง ก็เลิกสวดมนต์ มิหนำซ้ำ
ยังประกอบกรรมทำชั่ว ถูกรัฐบาลตัดสินประหารชีวิต
ฉะนั้น ดอกบัวจึงหักสะบั้น ยังมีอีกดอก ที่เฉาตายไปแล้ว
เป็นคนอำเภอหย่งไท่ เขาถือพุทธสวดมนต์ ไหว้พระมาสามปี
ดอกบัวบานสวยงามมาก ต่อมาอยากรวย หันไปทำการค้า
ไม่สวดมนต์ไหว้พระอีกแล้ว เอาแต่กอบโกยโกงกิน หาทรัพย์ในทางมิชอบ
แต่ในที่สุด ประสบกับความล่มจม ล้มละลาย หนี้สินล้นพ้นตัว
หาทางออกไม่ได้ เลยฆ่าตัวตาย
ผู้ประกอบกรรมชั่ว จะไม่ได้ไปเกิดยังสุคติภพ
ฉะนั้นดอกบัวของเขา จึงเฉาตายในที่สุด

อาตมา ถามพระโพธิสัตว์กวนอิมต่อไปว่า
" พระธรรมจารย์ฉางเลี่ยง สมัยยังมีชีวิตอยู่ เคยกล่าวกับอาตมาว่า
สวดมนต์ 1 คำ จะลดบาป ได้เท่ากับเม็ดทรายในแม่น้ำ
คนผู้นั้น สวดมนต์ตั้ง 3 ปี เหตุใด จึงหาความชอบไม่ได้เลย "

ท่านตอบว่า " นั่นเขาหมายถึง คนที่ไม่รู้เรื่อง พุทธธรรมมาก่อนเลย
เคยทำชั่วมามาก แต่เมื่อได้คน มีกุศลญาณชี้แนะ จึงกลับตัวกลับใจเป็นคนดี
สำนึกบาป ว่าจะไม่ก่อกรรม ทำชั่วอีกต่อไป
ตัดสินใจแก้ไข ความผิดที่เคยทำมาแต่อดีต ละบาปทำบุญ
เริ่มสวดมนต์ภาวนา อย่างมุ่งมั่น สวด 1 คำ
ก็สามารถล้างบาป ที่ก่อไว้ไปได้เป็นอันมาก
และเมื่อเขา ยืนหยัดสวดมนต์ไหว้พระ ต่อไปเรื่อยๆ ไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อเขาตายไปแล้ว ยังจะได้ไปเกิดในสุคติภพ
แม้ว่าจะพกกรรมติดตัวไปเกิด แต่ก็จะไม่กลับตกสู่วัฏฏสงสารอีก
และจะสามรถ กลายเป็นพุทธในที่สุดได้ "


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 17:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านโพธิสัตว์หยุดนิดหนึ่ง แล้วกล่าวต่อไปว่า
" แต่ว่าบางคน ปากสวดมนต์ แต่ใจบาปหยาบช้า ดังอสรพิษ
ลอบทำร้ายคนลับหลัง อย่างที่เรียกว่า มือถือสาก ปากถือศีลนั่นแหละ
คนประเภทนี้ จัดอยู่ 1 ใน 10 บาป
ไม่สามารถ ไปเกิดยัง วิสุทธิภูมิได้ ชั่วแต่ว่า ได้สร้างกุศล มูลไว้บ้างเท่านั้น
แต่กุศลมูลของผู้นั้น ยังคงอยู่ ขอเพียงว่า สักวันหนึ่ง เขาเกิดความสำนึกต่อบาป
สวดมนต์ทำบุญ ประกอบกุศลกรรมอีก
ดอกบัวของเขากอนั้น จะมีพลังชีวิตขึ้น มาใหม่
และออกดอกบานอีกครั้งหนึ่งได้"

ตามที่ พระโพธิสัตว์เปิดเผยให้ทราบ ผู้คนในโลก มนุษย์ ไม่ว่าจะ จน รวย
ตระกูลสูง ดี ชั่ว ฉลาด โง่ เขลา ผู้หญิง ผู้ชาย คนแก่เด็ก
บุคคลในวงการต่างๆ ขอเพียงมีจิต ศรัทธา สวดมนต์ไหว้พระ
งดชั่ว ทำดี ปากกับใจ ตรงกัน ปฏิบัติจนเป็นนิจศีล

กอบัวในวิสุทธิภูมิ ก็จะเจริญงอกงาม ก่อนตาย ก็จะได้รับการชักนำ
จากพระอมิตาภะพุทธเจ้า ไปสู่สุคติภพ เปลี่ยนร่างเกิดในบัวชั้นต่างๆ
ตามผลแห่งกรรม ถ้าหากเพียงแต่ ถือพุทธสวดมนต์
เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น เดี๋ยวตึงเดี๋ยวหย่อน ดอกบัวแม้จะออกดอก
ก็ไม่อวบใหญ่สวยงาม ยิ่งทำความชั่วเข้าไปอีก
ตายด้วยความตาย จำพวก 1 ใน 10 บาป จนตกลงไป
ในวัฏฏสงสาร ของ 6 ภูมิอีก ก็จะไม่มีโอกาส
ไปเกิดยังแดนสุขาวดีแล้ว

กล่าวถึงตอนนี้ อาตมาพลัน เห็นภิกษุรูปหนึ่ง อายุประมาณ 30 เศษ
เดินตรงมาหาเรา อาตมาเห็นชัดอีกที ปรากฎว่า เป็นภิกษุณีฝาเปิ่น
เจ้าสำนักนางชี ชวีหวุน แห่งภูเขาหยุนจวี มณฆลเจียงชีนั่นเอง

ท่านเห็นอาตมา ก็ร้องเรียกเสียงดัง อย่างตื่นเต้นดีใจว่า
"อ้าว หลวงพี่ควนจิ้นเองยินดีด้วย"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 17:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


อาตมาถามว่า "ท่านไปสู่สุคติภพ ตั้งแต่เมื่อไร เหตุใด อาตมาจึงไม่ทราบ"

ท่านตอบว่า "ปี พ.ศ. 2514 เนื่องจากอาตมา ไม่ยอมสละเพศบรรพชิต
ต่อมา ได้กระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ยังที่แห่งหนึ่ง
ความจริง เป็นความตายในประเภท 1 ใน 10 บาป ไม่อาจไปเกิดยังสุคติภพได้
แต่พระพุทธเจ้า ผู้เปี่ยมเมตตากรุณา เห็นแก่อาตมา
ที่มีจิตศรัทธาแน่วแน่ บริสุทธิ์ผุดผ่องไร้มนทิล จึงชักนำมาเกิดในสุคติภพ
อาตมาเพิ่งมาถึง ไม่นานมานี้เอง "

อาตมาจึงถามท่านว่า " ผู้มาเกิดในบัวชั้นล่าง ทุกคนจะมีรูปกายเป็นเด็กอายุ 10 กว่าปี
เหตุใดท่านแม่ชี จึงมีอายุ 30 ได้ล่ะ "

ท่านตอบว่า " ได้ข่าวหลวงพี่มา อาตมาจึงฝันเฟื่อง กลับสู่โฉมหน้าเดิม
เพื่อหลวงพี่ จะได้จำออกได้ง่ายไงล่ะ เอ้อ หลวงพี่ควนจง
สบายดีอยู่หรือ ท่านกลับไปแล้ว ถ้ามีโอกาสได้พบเขา
ช่วยบอกเขา ให้ตั้งใจบำเพ็ญศีลภาวนา
อาตมา ได้ไปเกิดยังสุคติภพแล้ว บอกเขาให้วางใจได้ "


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 18:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


" วิสุทธิทัศน์เจดีย์ " กับ " ธรณีภาษา "

ทันใด เสียงระฆังดังหง่างเหง่ง พระโพธิสัตว์กวนอิม
กล่าวกับอาตมาว่า ถึงเวลาแสดงธรรมแล้ว ยามนั้น

เด็กผู้ชาย นับพันนับหมื่น (ที่เห็นคราวนี้ไม่ใช่ผู้หญิง) อายุ 13-14 ปี
สวมชุดสีแดง สายคาดเอวสีทอง ไว้แกละบนศรีษะ 2 แกละ
แต่งกายเหมือนกันหมด เข้าแถวเป็นระเบียบเรียบร้อย เรือนกาย ศรีษะ
มือเท้า ทุกคน ล้วนเป็นแก้วผลึก สีขาวโปร่งใส

เห็นพวกเขา กระโดดโลดเต้น อยู่ใต้เวทีดอกบัว หลังจากที่ทุกคน
ทำความเคารพ ซึ่งกันและกันแล้ว ก็ถึงเวลา บรรเลงมโหรีทิพย์พิมาน วิหคเทวาลัย
สวยงาม นานาชนิด เหินลมบนท้องฟ้า
ประสานเสียงสดุดี พระพุทธองค์ ตามเสียงดนตรี ต่อจากนั้น พระโพธิสัตว์
ซึ่งมีพระธรรมกาย เปล่งประกายสัพรังสีรูปหนึ่ง
ได้ปรากฎอยู่เบื้องหน้า ภาพทั้งหมด งามหรูวิจิตรพิศดารสุดพรรณนา

พระโพธิสัตว์กวนอิม บอกอาตมาว่า " พระโพธิสัตว์ท่านนี้คือ พระโพธิสัตว์ ต้าเล่อชวอ
วันนี้เป็นเวร เทศนาธรรมของท่าน จะไปเข้าเฝ้านมัสการ อริยพุทธ 10 ทิศ "

ยามนั้น บนท้องฟ้านภาลัย มีข้าวตอกดอกไม้ และของแปลกๆ นานาชนิด
สีสัน สวยสดงดงาม โปรยปรายลงมา ราวกับสายพิรุณ
บรรดาเด็กผู้ชายเหล่านั้น พากันเก็บและห่อเข้าชายเสื้อ

ต่อจากนั้น ทั่วท้องนภาลัยฉายฉานด้วย สัพรังสี นับพันนับหมื่นสาย
เหมือนสายฟ้าแลบ แปลบปลาบ สวยงามเหลือจะกล่าว
ที่บัวชั้นล่างนี้ มีโรงอยู่โรงหนึ่ง เรียกว่า " โรงธรณีภาษา "

ธรณีภาษาก็คือว่า พระโพธิสัตว์ ปาฐกถาธรรม ออกมาคำหนึ่ง
เวไนยสัตว์ทั้งหลาย ล้วนฟังรู้เรื่อง ไม่ว่าเขาจะเป็นคนชาติใด ภาษาใด

เป็นต้นว่า เป็นคนจีนฝูเจี้ยน จีนกวางตุ้ง จีนไหหลำ จีนแต้จิ๋ว จีนเซี่ยงไฮ้ จีนเสฉวนหรือจะเป็นชาวอเมริกัน ชาวเยอรมนี ชาวฝรั่งเศส ชาวโซเวียต ชาวญี่ปุ่น

ไม่ว่าเขา จะเป็นคนประเทศใด สัญชาติใดก็ตาม สิ่งที่เขาได้ยินได้ฟัง
จากพระโอษฐ์ ของพระโพธิสัตว์ จะเป็นภาษาของตนเองไ
ม่จำเป็นต้องผ่านล่ามแปล ล้วนแต่ฟังเข้าใจ ได้โดยตรง
นี่ก็คือความอัศจรรย์ของ “ ธรณีภาษา ”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 10:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่บัวชั้นล่าง ยังมีเจดีย์ที่สูง เจดีย์หนึ่งเรียกว่า “ วิสุทธิทัศน์เจดีย์ ”
เวไนยสัตว์ของที่นี่ จะขึ้นไปบนยอดเจดีย์ หรือลงจากยอดเจดีย์
ไม่จำต้องกระทำ เหมือนสัพพะโลกของเรา ที่ขึ้นลงตามลิฟท์

จะขึ้น ก็เพียงแต่นึกเท่านั้นก็ขึ้น จะลงก็เพียงแต่นึกเท่านั้นก็ลง ร่างกายของพวกเขา
ก็ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น คือโปร่งใสไร้กีดขวาง ไม่ว่าอยู่ ณ ที่ใด จะข้ามฝาข้ามกำแพง
เพียงนึกเท่านั้น ก็ฝ่าข้ามไปได้ จะไม่ชนถูกสิ่งกีดขวางใดๆทั้งสิ้น

ถึงแม้ว่า มีคนหลายร้อยหลายพัน หรือหลายหมื่นคน ชุมนุมอยู่ในเทศะหนึ่ง
ก็ไม่มีปรากฏการณ์ ชนกันหรือเบียดกัน เพราะว่าพวกเขา ไม่มีเรือนกาย
ที่เป็นเนื้อหนังมังสา (วัตถุ) เรือนกายนั้นโปร่งใสไร้กีดขวาง

วิสุทธิทัศน์เจดีย์ ใหญ่โตมหึมาเหลือเกิน อยู่ภายในเจดีย์ จะเห็นได้ทั้งหมด
สามารถสะท้อน อาณาจักรต่างๆของโลก 10 ทิศ

เป็นต้น ว่า จะดูลูกโลก ของสัพพะโลกของเรา เพียงแต่ทอดสายตา
มองออกไป ก็จะเห็นลูกโลกของเรา มีขนาดโต เท่าเม็ดทรายเท่านั้น
ดวงอาทิตย์ก็เช่นกัน ก็เห็นขนาดโต เท่าเม็ดทรายเม็ดหนึ่งเท่านั้น
แต่ว่าถ้าหาก ท่านต้องการดูสภาพภายใน ของมันให้แจ่มชัดขึ้น
เช่นท่านอยากดูทวีปเอเชีย ทัศนะบถของท่าน ก็จะขยายกว้างขึ้น
ทวีปเอเชีย ก็จะปรากฏ อยู่ต่อหน้าท่านอย่างชัดเจน

จะดูประเทศจีน ดูกำแพงยักษ์ จะดูมณฑลฝูเจี้ยน กระทั่งดูบ้านหลังหนึ่ง
ดูสภาพภายในบ้าน ทัศนะบถของท่าน ก็จะขยายกว้างขึ้นตาม
***ส่วนของสรรพสิ่ง สะท้อนภาพปรากฏ อยู่ต่อหน้าท่าน อย่างชัดเจน
รวมความแล้วคือ ภายในวิสุทธิทัศน์เจดีย์ ไม่มีอะไร
ที่เรามองเห็นไม่ได้ เท่ากับเป็นหอดาราศาสตร์
ของทั้งจักรวาลจริงๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 10:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ไปเกิดในบัวชั้นล่าง คือคนที่ปกติ เคยประกอบกุศลกรรม ในสัพพะโลก
สะสมกุศลมูลไว้มาก หรือสวดมนต์ไหว้พระ ฝักใฝ่ในวิสุทธิภูมิ
เมื่อได้พร ของพุทธานุภาพ แห่งอมิตพุทธเจ้า ก็สามารถ
ไปเกิดยัง อาณาจักรของบัวชั้นล่าง ส่วนพวกที่ ไปเกิดยังระดับสูง
ของบัวชั้นล่างนั้น ก็สูงขึ้นอีกขั้นหนึ่ง

จะได้แก่ คนที่ยามมีชีวิตอยู่ เคยเกิดศีล 5 ศีล 8 ชอบทำบุญทำทาน
ปฏิบัติธรรมเป็นนิจศีล บำเพ็ญศีลภาวนา ค่อนข้างเคร่งครัด
จึงจะได้เกิดยังอาณาจักรนี้ได้
หลังจากเที่ยวชม สถานที่ในบัวชั้นล่างจนทั่วแล้ว พระโพธิสัตว์กวนอิม บอกว่า
เวลามีจำกัด จะพาอาตมา ไปเที่ยวสระบัวของบัวชั้นกลางต่อไป




บัวชั้นกลาง
(สถานที่อยู่ร่วมของสามัญบุคคลกับอริยบุคคล)


เราออกจากสระบัวชั้นล่าง อาตมาท่องคาถา ดังที่เคยปฏิบัติ
ร่างกายก็เหมือน นั่งเครื่องบิน เหินสู่ท้องฟ้านภากาศ เห็นวัดวาอารามวิหาร
เจดีย์ แว๊บผ่านข้างกายไป

ยามนั้น อาตมารู้สึกว่า ร่างกายของตัวเอง ค่อยๆขยายใหญ่โตขึ้น
เพราะว่าสระบัวชั้นกลาง ดอกบัวแต่ละดอก จะมีขนาดใหญ่
เท่าเนื้อที่ มณฑลหนึ่งของประเทศจีน
ประมาณ 7 – 800 กิโลเมตร ระยะทาง จากสิงคโปร์ถึงกัวลาลัมเปอร์
ก็ตกประมาณ 180 กิโลเมตร เท่านั้น ฉะนั้น 7 – 800กิโลเมตร
คงต้องไปถึง ภาคกลางของประเทศไทย

ดอกบัวใหญ่ขนาดนั้น รูปร่างของผู้มาเกิดยังที่นี่ ก็ต้องใหญ่ตามสัดส่วนด้วย
จึงจะรับกับขนาด ของเวไนยสัตว์ของที่นี่ได้

ท่านโพธิสัตว์กวนอิม กล่าวแก่อาตมาว่า
“ ในระดับกลางของบัวชั้นกลาง ส่วนใหญ่จะอยู่ร่วมกัน ระหว่างสามัญบุคคล
กับอริยะบุคคล มีครบบริษัทสี่ มีทั้งสงฆ์และชี ที่เป็นบรรพชิต
และก็มีทั้งอุบาสกอุบาสิกา ที่เป็นฆราวาส

ผู้เกิด ณ ที่นี่ จะสูงกว่าเวไนยสัตว์ ในบัวชั้นล่างขั้นหนึ่ง ขณะที่พวกเขา
อยู่ในสัพพะโลก ล้วนมีความตั้งใจ จะหลุดพ้นจากไตรภพ
จึงยืนหยัดวัตรปฏิบัติ บำเพ็ญศีลภาวนา นอกจากบำเพ็ญศีลแล้ว
ยังเข้าร่วมประกอบ พุทธศาสนกิจอย่างขะมักเขม้น

เป็นต้นว่า สร้างโบสถ์วิหาร วัดวาอาราม หรือพิมพ์คัมภีร์เผยแพร่ พุทธธรรมเป็นต้น
ทั้งทำบุญทำทาน ถือศีลกินเจเคร่งครัด เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
ก่อนตาย ก็จะได้รับ การชักนำจากพระศรีอารยเมตไตร
ไปเกิดยังระดับกลางของบัวชั้นกลาง แต่ว่า การปฏิบัติของพวกเขา
ก็มีสูงต่ำไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงแบ่งบัวชั้นกลาง ออกเป็นระดับล่าง
ระดับกลาง และระดับสูงอีก ”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 10:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ชั่วครู่ เราก็มาถึงมหาวิหาร หลังจากนมัสการ
บรรดาพระโพธิสัตว์แล้ว พระโพธิสัตว์กวนอิม ก็พาอาตมา
ไปเที่ยวชมยังสระบัวทันที

โอ..สระบัวชั้นกลาง เปรียบกับสระบัวชั้นล่างแล้ว ไม่ทราบว่าสวยงาม
เยี่ยมยอดกว่ากี่เท่า ต่อกี่เท่า รอบๆ ล้วนก่อด้วยรัตนะ 7 ดอก
บัวในสระ มีสีสันและลวดลาย สวยงามยิ่ง

ทั้งเปล่งประกายสีรุ้ง สะท้อนซึ่งกันและกัน วาววับจับตา สวยงามสุดจะพรรณนา
ที่ประหลาดยิ่งกว่า ก็คือดอกบัวในสระ มีกลีบดอกพิสดารมาก
แบ่งเป็นหลายชั้น ในแต่ละชั้นล้วนมีศาลา อารม ตำหนัก รัตนเจดีย์ เป็นต้น

เปล่งแสงสีหลายสิบชนิด ทัศนียภาพงามงดจับจิต คนที่อยู่บนดอกบัว
ร่างกายทอสีแดงโปร่งใส มีแสงในตัวเช่นกัน เสื้อผ้าและการแต่งกาย
เป็นอย่างเดียวกันหมด อายุประมาณ 20 เศษ
ไม่เห็นเด็ก หรือคนแก่แม้แต่คนเดีย

ยามนั้น อาตมาหันกลับมาสำรวจตัวเอง แปลกแฮะ
ไม่ทราบเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไร เปลี่ยนเหมือนพวกเขา อย่างกับพิมพ์เดียวกัน
มีแต่ พระโพธิสัตว์กวนอิมเท่านั้น ที่ยังคง รักษาพระธรรมกายเหมือนเดิม

อาตมา ถามพระโพธิสัตว์กวนอิมว่า “เหตุใดสิ่งของบรรดามี
ของที่นี่จึงเปล่งแสงได้ สีอะไรก็เปล่งแสงสีนั้น และร่างกายของอาตมา
ก็เปลี่ยนไป จนเหมือนพวกเขาได้ล่ะ”


ท่านตอบว่า “ทั้งหมดนี้ ล้วนเกิดขึ้นจาก พุทธานุภาพ
ของพระอมิตาภะพุทธเจ้า ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง จึงสามารถสะท้อนแสงได้
พระอมิตาภะพุทธเจ้า ได้เปล่งแสงสว่างมหาศาล ออกไปรอบทิศ
แสงสะท้อนมาถึงที่นี่ ก็เกิดภาพดังที่เราเห็นนี่แหละ
การเปลี่ยนแปลงร่างกายของท่าน ก็เช่นเดียวกัน เป็นการเปลี่ยนแปลง
ตามพุทธานุภาพ ของพระอมิตาภะพุทธเจ้า
อาณาจักร แต่ละอาณาจักรภายในสระบัว

รวมถึง การแต่งกายทั้งหมด จึงเหมือนกัน เว้นแต่ว่า
เรามีฤทธานุภาพของเราเอง แปลงเป็นรูปอื่นที่แตกต่างออกไป
หาไม่แล้วก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหมด”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 10:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


แต่ทว่า พระโพธิสัตว์กวนอิม ก็เปิดเผยว่า
ในสระบัวชั้นกลาง ก็มีอารามบางอาราม ที่มีสีสันซีดจาง
ไม่สามารถเปล่งแสงได้ แต่นั้น ไม่ใช่ภาพจริงของสุคติภพ
แต่เป็นภูมิภาพลวง ที่เป็นอนิจจัง อันเกิดจาก

ความฝันเฟื่องของผู้มาเกิด ขณะที่กล่าวอยู่นั้น ก็ปรากฏพระตำหนัก
ที่ไม่สามารถเปล่งแสงได้ ขึ้นที่เบื้องหน้าเราหลังหนึ่ง รอบๆตำหนัก
มีสวนบุปผชาติอันใหญ่โต กว้างขวาง ร้อยบุปผาบานสะพรั่ง
กำลังชูช่อสลอน แข่งความงาม

วิหคนกไพร ขับขานดนตรีอยู่บนกิ่งไม้ ภาพนี้ไม่มีผิดเพี้ยน กับบ้านมหาเศรษฐี
ในแดนมนุษย์เลย คนบ้านนี้ มีพระรัตนตรัย ตั้งสักการะบูชาอยู่ในห้องโถง
พ่อแม่ ลูกเมีย พี่น้องชายหญิง ญาติโกโหติกาทั้งหลาย
ต่างชุมนุมอยุ่ด้วยกัน ทำกิจสวดมนต์ไหว้พระ
ชายหญิงรวมกันแล้ว มีประมาณ 20กว่าคน
ล้วนแล้วแต่ เป็นพุทธมามะกะที่ถือ เคร่งทั้งสิ้น

พระโพธิสัตว์กวนอิม กล่าวกับอาตมาว่า "คนบ้านนี้ ชอบประกอบกุศลกรรม
เพียบพร้อมด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา
บางคน ได้ไปเกิดยังระดับกลาง ของบัวชั้นกลางแล้ว
แต่ว่า ยังตัดความรัก ความอาลัยไม่ขาด มักคิดคำนึงถึง
เรื่องราวต่างๆในโลกมนุษย์ ดังนั้น สภาพชีวิต ความเป็นอยู่
ของครอบครัวนี้ จึงสะท้อนมายังที่นี่"

พระโพธิสัตว์กวนอิม กล่าวต่อไปว่า "บัว 9 ชั้น บำเพ็ญไปทีละชั้น
จากล่างไปบน บำเพ็ญในชั้นล่างดีแล้ว กอบัวก็สามารถ
ย้ายไปปลูก ในสระบัวชั้นกลาง

สภาพเช่นนี้ ก็ทำนองเดียวกับ การเข้าญาน ญานแรกแล้วญานสอง
ญาน 2 แล้ว ไปญาน 3 ญาน 4 ฉันใดก็ฉันนั้น"

ทันใด ได้ยินเสียงระฆังกลางอากาศ ตำหนักหลังนั้น ก็อันตรธานจนไม่เหลือร่องรอย
ทุกคนในบ้าน กลายเป็นชายหนุ่มอายุ 20กว่าปี
ล้วนมีเรือนกาย เป็นสีแดงโปร่งใส การแต่งกายก็เหมือนกันหมด
และแล้ว จำนวนคนก็เพิ่มทวีขึ้น เพิ่มทวีขึ้น
เป็นร้อยเท่า พันทวี จนนับไม่ถ้วน
กลายเป็นสถานที่ชุมนุม ใหญ่มหาศาลคลาคล่ำไปด้วยฝูงชน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 17:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า "วันนี้ พระโพธิสัตว์ ต้าซื่อจื้อ (พระมหาสถามปราบต์โพธิสัตว์)
กับ พระโพธิสัตว์ฉางจิงจิ้น จะบรรยาย สัทธรรมปุณฑริกสูตร ท่านจะไปฟังดูไหมล่ะ"

อาตมาตอบว่า "อาตมาชอบฟัง สัทธรรมปุณฑริกสูตรที่สุด ไปฟังด้วยกันก็ดีซีครับ"
ว่าแล้ว เราก็เดินไปที่เวทีแสดงธรรม บนเวทีแสดงธรรมทั้ง 4 ทิศ ล้วนคลุมด้วยร่างแห
คล้ายๆสายรุ้ง และสร้อยมุข เปล่งรัศมีแพรวพราว

2 ข้างเวที มีต้นไม้ใหญ่ 7 แถว แต่ละต้นสูงเสียดฟ้า ภายในต้นไม้ก็มีศาล อาราม วิหาร
มีพระโพธิสัตว์จำนวนมาก ชุมนุมฟังธรรมอยู่ข้างบน เวทีประกอบขึ้นจากรัตนะ 7
และ เงินทอง ไม่ทราบสูงเท่าไหร่ ดูสง่าเคร่งขรึมมาก

พระโพธิสัตว์กวนอิม นำอาตมาขึ้นไป บนเวที หลังจากนมัสการ 2 พระโพธิสัตว์แล้ว
ท่านก็ให้อาตมา นั่งอยู่ที่นั่งข้างๆ พระมหาสถามปราบต์โพธิสัตว์

นั่งอยู่ใน ที่นั่งประธานเป็นองค์ประธาน ยามนั้นปรากฏควันธูป ไม่ทราบมาแต่หนใหน
ลอยวนเวียน ส่งกลิ่นหอมฟุ้งจรุงใจ บนท้องฟ้านภาลัย แว่วเสียงบรรเลงมโหรีทิพย์พิมาน
ฟังไพเราะเสนาะหู วิหคเทวาลัยสุดคณา นับเหินลมร่ายรำ ตามจังหวะดนตรี

เมื่อทุกคนกราบนมัสการกันแล้ว พระมหาสถามปราบต์โพธิสัตว์ ก็ยืนขึ้นประกาศว่า
การประชุมบรรยาย พระสูตรเริ่มขึ้นแล้ว

ต่อจากนั้น พระโพธิสัตว์ฉางจิงจิ้น ก้าวขึ้นแท่นพระธรรมาจารย์ นมัสการต่อทุกคนแล้ว
ก็เริ่มการบรรยายว่า "สัทธรรมปุณฑริกสูตร เป็นต้นกำเนิด ของนานาพุทธในโลก ศรีปิฎก
เป็นมูลฐาน ในการสำเร็จเป็นพุทธ ผู้ที่ปรารถนาจะสำเร็จ
เป็นพุทธ ล้วนต้องศึกษาคัมภีร์บทนี้ ครั้งก่อนเราพูดถึง

ตอนที่ 1 สัทธรรมปุณฑริกสูตร คืออะไร สัทธรรมปุณฑริกสูตรก็คือ
รัตนะอันหาค่าประมาณมิได้ วันนี้ เรามาพูดตอนที่ 2 บทบาทของสัทธรรมปุณฑริกสูตร..."
การบรรยายใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 17:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


หลังจากฟังการบรรยายแล้ว อาตมาเกิดข้อกังขาขึ้นในใจ
คือว่า ข้อความ ของสัทธรรมปุณฑริก สูตรที่บรรยายที่นี่
ต่างกับ ข้อความของสัทธรรมปุณฑริกสูตร ในโลกมนุษย์
ดังนั้นอาตมา จึงขอคำชี้แนะ จากพระโพธิสัตว์กวนอิม
ให้ช่วยไขข้อข้องใจให้ที

พระโพธิสัตว์กวนอิม อธิบายว่า "สัทธรรมปุณฑริกสูตรในโลกมนุษย์
จะมีข้อความ ค่อนข้างตื้นเขิน ส่วนข้อความ ที่ใช้บรรยายที่นี่
ค่อนข้างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่าจะตื้นลึกต่างกัน แต่ความหมายเหมือนกัน
อาจกล่าวอย่างนี้ได้ว่า

พระอรหันต์ ไม่เข้าใจ อาณาจักรของพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ไม่เข้าใจ
อาณาจักรของพระพุทธเจ้า ท่านฟังพระโพธิสัตว์บรรยายคัมภีร์
เวลาพระโพธิสัตว์ออกเสียง จะออกเสียงเดียว แต่ผู้ฟังหลายร้อยหลายพันภาษา
จะรับฟัง ได้ตามภาษาของตนเอง นี่คือ 3 มิติ ของธรณีภาษา"

ภายหลัง ที่พระโพธิสัตว์ฉางจิงจิ้น บรรยายคัมภีร์สิ้นสุดลง เบื้องหน้า
ก็ปรากฏภาพอันประหลาด พิศดาร มีบุปผาเทวาลัย และของวิเศษมากมาย
โปรยปราย ลงมาจากฟากฟ้าสุราลัย มีรูปร่างต่างๆ
เป็นรูปกลมก็มี รูป 3 เหลี่ยม ก็มี

หลากรูปหลายแบบ สารพัดสีสัน โปรยปรายลงมาดังสายฝน ผู้ฟังใต้เวที
ต่างยื่นมือออกไปรับ บ้างก็เก็บใส่ชายเสื้อ ยามนั้นมโหรีทิพย์พิมาน
โหมประโคมพร้อมกัน เสียงกังวานสดใส ไม่ทราบเสียงออกมาแต่ใหน
เคร่งขรึมมาก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 17:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ทันใด เด็กผู้ชาย เรือนพันเรือนหมื่น ใต้เวที ที่สวมชุดแดงเหล่านั้น
ต่างก็เปล่งกายพรึบเดียว ก็กลายเป็นเด็กผู้หญิง ที่ใส่เสื้อสีเขียว
กระโปรงสีดอกท้อ สายคาดเอวสีทอง ทุกคนเริงระบำรำฟ้อน
ด้วยลีลาแช่มช้อยสวยงาม แสดงถึงความสุข อันเปี่ยมล้น

ครู่เดียว พวกเธอก็แปลง เป็นดอกบัวกลมทอแสง สีสวยสด ประกายพวยพุ่ง
ออกรอบทิศ ผู้คนหายไปหมด ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว

ทันใด ดอกบัวก็ปรากฏ เป็นรูปพระโพธิสัตว์นั่งขัดสมาธิ ต่อจากนั้น
ก็เปลี่ยนเป็นสุวรรณเจดีย์ และรชตะเจดีย์นับไม่ถ้วน
เปล่งประกายพวยพุ่ง ทิวทัศน์รอบๆ ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
เป็นภาพวิจิตรการตา สุดจะพรรณนาจริงๆ

ขณะที่อาตมาชมดู จนเคลิบเคลิ้มไหลหลงอยู่นั้น พลันเห็นสาวงามชุดเขียว
หลายร้อยนาง ทิ้งตัวจากฟากฟ้าสุราลัย ลงมาอย่างรวดเร็วพร้อมกัน
โฉบผ่านมหาวิหาร ทะลุทะลวง รั้วขวางกำแพงกั้น เหมือนแหวกผ่านอากาศธาตุ
ที่ปราศจากสิ่งกีดขวาง ยังไงยังงั้น
อาตมาตะลึงงัน เอ่ยถามพระโพธิสัตว์กวนอิมว่า
" เหตุใดจึงมีปรากฏการณ์เช่นนั้น "

ท่านตอบว่า " แดนสุขาวดี เกิดจากแรงบันดาล ของพระอมิตาภะพุทธเจ้า
ลักษณะของมันไม่ใช่วัตถุ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็น ศาลา อาราม ตำหนัก
วิหาร ปราสาท ราชวัง รัตนเจดีย์ ภูเขา ลำน้ำ ต้นไม้ใบหญ้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มิ.ย. 2010, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ล้วนแล้วแต่โปร่งใสไร้ตัวตน ไร้สิ่งกีดขวาง สามารถฝ่าข้ามไปได้
ตามใจปรารถนา ท่านไม่เชื่อลองไปชนดูก็รู้เอง "

อาตมาทำตาม เดินไปที่กำแพงของมหาวิหาร เสา ราวลูกกรง
แต่ละแห่งลองชนดู เข้าทีออกที ปรากฏว่าไม่มีอะไรขวางกั้นจริง ๆ
ครั้นเอามือไปคลำดู ก็มีความรุ้สึก คล้ายมีของอยู่ที่นั่น
เพียงแต่ว่า ไม่ขัดขวางเท่านั้น

ปรากฏการณ์นี้ ก็ทำนองเดียวกับที่เราคลำน้ำ คลำลงไปรู้สึกมีของอยู่จริง
แต่ว่ายังคงแหวกทะลุข้ามไปได้นั่นเอง

ต่อจากนั้น พระโพธิสัตว์กวนอิม ก็พาอาตมาไปเที่ยวชม ทัศนียภาพพิศดารอีก 2 แห่ง
นั่นก็คือ อัฐคีรีภาพ กับพิพิธภัณฑ์โลกศรีปิฏก



" อัฐคีรีภาพ " ( ภูเขาภาพ 8 แห่ง )


ผู้ไปเกิดในระดับล่าง ของบัวชั้นกลาง โดยทั่วไป จะมีความคิดฝันเฟื่อง
ค่อนข้างน้อย รูปโฉมภายนอกของพวกเขา อยู่ระหว่างอายุ 16-20 ปี
แต่งกายเหมือนกัน ไม่แบ่งหญิงชาย กิจกรรมของพวกเขา
ก็มีลักษณะรวมหมู่ แต่ละวันก็สักการะ บูชาพุทธ 10 ทิศ
ดอกบัวของที่นั่น ก็มีกลีบดอกมากชั้นกว่า มีสีต่าง ๆ และมีแสงในตัว
เปรียบกับบัวชั้นล่างแล้ว ก็นับว่าดีเลิศกว่ามามายทีเดียว




ณ ที่นี้ มีสถานที่แห่งหนึ่งเรียกว่า " อัฐคีรีภาพ " หรือ ภูเขาภาพ 8 แห่ง
ซึ่งเป็นตัวแทนของ อัฐวิชานนะ (ญาณ 8) อันได้แก่ ตา (จักษุ) หู (โสด) จมูก (ฆาน) ลิ้น (ชิวหา) กาย (กายยะ) จิต (มโน) มโนคติ และ อาลัย
เรียกรวมกันว่า อัฐวิชานนะ พระอมิตาภะพุทธเจ้า ตั้งภูเขาภาพเหล่านี้ขึ้น
ก็เพื่อคนที่มาเกิดในที่นี้ จะได้บำเพ็ญ จนอัฐวิชานนะของตน “ว่างเปล่า” นั่นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2010, 13:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ภูเขาภาพแห่งที่ 1 เรียกว่า “ภูเขาภาพแสงสว่าง” เป็นตัวแทนของ “จักษุญาณ”
ที่ภูเขาลูกนี้ สรรพสิ่งทั้งปวงของทศภูมิ เราล้วนสามารถ
เห็นได้ด้วยตาได้ เช่น

จะดูเวไนยสัตว์ในสัพพะโลก ดูสภาพของชาติก่อน และชาติโน้นของเขา
ว่าเป็นฉันใด เป็นต้นว่า เวไนยสัตว์ ก.ชาติก่อนเป็นสุกร
ชาติก่อน ของชาติก่อนเป็นทาส ชาติก่อนของชาติก่อน ขึ้นไปอีก เป็นเศรษฐี

ชาติก่อน ยิ่งๆขึ้นไปอีก เป็นมหาเสนาบดีเป็นจักรพรรดิ ล้วนสามารถ
เห็นได้ชัดเจนทั้งหมด แม้แต่สภาพของพุทธภูมิอื่นๆ ก็สามารถเห็นได้ชัดตาเช่นกัน

ภูเขาภาพแห่งที่ 2 เรียกว่า “ ภูเขาภาพยินเสียง” เป็นตัวแทนของ “โสตญาณ”
เมื่อไปถึงภูเขาลูกนี้ หูจะได้ยินเสียง ทั้งปวงของทศภูมิ ไม่ว่าเสียงอะไร
แค่ผ่านรูหู ก็สามารถจำแนกได้ แม้แต่พุทธองค์ กำลังแสดงธรรมบทใด
ก็สามารถ ได้ยินและฟังรู้เรื่อง

ภูเขาภาพแห่งที่ 3 เรียกว่า “ภูเขาภาพหอมกลิ่น” เป็นตัวแทนของ “ฆานญาณ”
ของเรา ในภูเขาลูกนี้ จะสามารถได้กลิ่นทั้งปวง ของทศภูมิ
กลิ่นเหล่านี้ แค่ผ่านจมูก ก็จำแนกได้ทันที ว่าทารกในครรภ์ เป็นหญิงหรือชาย
ถ้าเป็นกลิ่นของโลหะ ก็สามารถ จำแนกได้ทันที ว่าเป็นทองคำ เป็นเงิน
เป็นทองแดง หรือเป็นเหล็ก

ภูเขาภาพแห่งที่ 4 เรียกว่า “ภูเขาภาพทิพยรส” เป็นตัวแทนของ “ชิวหาญาณ”
ของคนเรา ไม่ว่ารสชาติอะไรของทศภูมิ ไม่ว่ารสนั้น จะมาจากพุทธภูมิหรือนรกภูมิ
ล้วนสามารถ จำแนกได้ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2010, 13:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ภูเขาแห่งที่ 5 เรียกว่า “ภูเขาภาพสุวรรณกาย” เป็นตัวแทนของ “กายยะญาณ”
ของคนเรา ที่ภูเขาลูกนี้ จะสามารถ อาศัยประสาทสัมผัส
ไปจำแนกสรรพสิ่งทั้งปวง สามารถเห็น สุวรรณกายทั้งปวง และ 32 ลักษณ์
ของสัพพะโลก ไม่ว่ารูปลักษณ์แบบไหน ล้วนเห็นได้ชัดเจน

ภูเขาภาพแห่งที่ 6 เรียกว่า “ภูเขาภาพมโน” เป็นตัวแทน “มโนญาณ”
ของคนเรา ในภูเขาลูกนี้ จะเห็นพุทธบรรดามี การบำเพ็ญตน ในแต่ละชาติ
แต่ละภพ ของท่านเหล่านั้น ล้วนจะปรากฏ ในมโนนึกทั้งหมด สภาพในแต่ละชาติตัวเอง
ร้อยชาติ พันชาติ ก็สามารถสะท้อนใ ห้เห็นที่เบื้องหน้า


ภูเขาภาพแห่งที่ 7 เรียกว่า “ภูเขาภาพประจักษ์แจ้ง” เป็นตัวแทน “มโนคติญาณ’
ของคนเรา ซึ่งเป็นอาณาจักร ที่เยี่ยมยอดมาก ตือจะรวมศูนย์ญาณทั้ง 6 ข้างต้น
นัยหนึ่ง ในภาพนี้ ท่านคิดจะดู คิดจะฟัง คิดจะดม คิดจะลิ้มรส คิดจะสัมผัส
คิดธรรมะ ล้วนสามารถ ปรากฏออกมาให้เห็นประจักษ์

ภูเขาภาพแห่งที่ 8 เรียกว่า “ภูเขาภาพไร้ขอบ” เป็นตัวแทนของญาณที่ 8
คือ “อาลัยญาณ” ของคนเรา ในภูมิภาพนี้ คือว่างเปล่า อดีต ปัจจุบัน อนาคต 3 ชาติ
ทุกสิ่งทุกอย่าง ของทศภูมิ ล้วนสามารถ
สะท้อนให้เห็นประจักษ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2010, 13:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


“พิพิธภัณฑ์ของโลกศรีปิฏก”

ผู้ไปเกิดในระดับ กลางของบัวชั้นกลาง พวกนี้จะมีการบำเพ็ญ และเข้าถึงพุทธธรรม
อย่างลึกซึ้ง ขณะมีชีวิตอยู่ ในสัพพะโลก ในด้านการทำทานนั้น
พวกเขาจะทุ่มเทอย่างเต็มที่ ได้ผลบุญมหาศาล
จึงสำเร็จเป็นมหากุศลมูล ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะกล่าว ในแง่การบำเพ็ญตน
หรือการสะสมกุศลผลบุญ ผู้เกิดในระดับกลาง ของบัวชั้นกลาง
ล้วนสูงกว่า ผู้เกิดในระดับล่าง ของบัวชั้นกลางชั้นหนึ่ง

อาณาจักร ในระดับกลาง ของบัวชั้นกลาง มีอาราม ตำหนักและเจดีย์มากมาย
ไม่ต้องพูดถึง รูปร่างลักษณะ ของผู้คนที่นี่ ย่อมสูงใหญ่ กว่าระดับล่าง
ของบัวชั้นกลาง

ดังนั้น อารามตำหนัก และเจดีย์ ก็ต้องสูงใหญ่ ขึ้นตามสัดส่วน
ที่ระดับกลาง ของบัวชั้นกลาง ในแต่ละวัน จะมีดอกไม้ ที่ร่วงหล่น
จากฟากฟ้าสุราลัย เวไนยสัตว์ของที่นี่ จะไปเก็บดอกไม้ ที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้าเหล่านี้
มาสักการบูชาพุทธ 10 ทิศ

ดอกไม้เหล่านี้ สวยงามเป็นเลิศ ดอกไม้ในสัพพะโลก ไม่มีทางเทียบได้เลย
แม้เท่ากระผีกริ้น ขณะเดียวกัน มโหรีทิพย์พิมาน ที่บรรเลงจากสรวงสวรรค์
ก็ไพเราะเสนาะหู เป็นพิเศษ ยากจะหาถ้อยคำ
มาบรรยายให้เห็นภาพได้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร