วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 05:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 11:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณน้ำเขียน เขียน:
ท่านอาจารย์
เคารพในความคิดเห็น ... แต่อยากจะบอกว่า

ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยจิต ที่ไม่อาจจะสำเร็จได้ เพราะมัวหลงไปให้ค่าต่อสิ่งที่มากระทบ
การให้ค่าใดๆต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจากอุปทานที่เกิดจากจิตทั้งสิ้น จิตที่ยังมีอวิชชา
อวิชชาก็คือกิเลสนี่เอง ที่บดบังปัญญา ทำให้ไม่สามารถมองเห็นตามความเป็นจริงได้
จึงหลงก่อเหตุที่เป็นการสร้างภพสร้างชาติใหม่ให้เกิดขึ้นไปเรื่อยๆ

ธรรมะที่แท้จริงปราศจากรูปแบบ ไม่มีคำเรียก ไม่มีตัวตน ไม่มีใดๆ
มีแต่สิ่งที่ถูกรู้ และสิ่งที่รู้ มีแค่นั้นเอง

ไม่ว่าจะลัทธิไหนๆก็สามารถไปถึงฝั่งได้ ถ้ารู้จักทางที่แท้จริง
การเจริญสติปัฏฐาน ทุกๆลัทธิสามารถนำไปใช้ได้ ถ้าจับจุดได้ถูกต้อง

ทำไมเส้นทางของทุกคนจึงแตกต่างกันไป
ที่แตกต่างไปนั้น ล้วนเกิดจากเหตุที่กระทำมากันเองทั้งสิ้น หาใครเป็นผู้สร้างเหตุให้เกิดขึ้นมาไม่
เหตุมี ผลย่อมมี สร้างเหตุอย่างใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น
เราจึงต้องมาเจริญสติกันเพราะเหตุนี้
เพื่อจะได้เห็นตามความเป็นจริง
อย่าได้ให้ค่ากันเลยว่าเป็นลัทธิไหนๆ ถ้าเหตุที่เขากระทำนั้นเป็นกุศล

เราเห็นด้วย กับความคิดเห็นของคุณน้ำค่ะ
คุณน้ำเขียนได้ตรง กับความรู้สึกของเราเลยค่ะ

เราคิดไว้แล้วล่ะค่ะ ว่าจะเป็นอย่างนี้
แต่ คุณสติสัมปันน์ ค่ะ
พระจีน หลวงพ่อบางท่าน อาจารย์ของท่าน
คือพระไทยค่ะ พระจีนท่านพูดเอง
อาจารย์ของท่าน คือพระไทยอยู่ที่ประเทศไทย :b8:

คุณน้ำค่ะ ถ้าคุณน้ำมีภาพอีก เอาภาพมาลงสิค่ะ :b8:
ดูแล้วรู้สึก ในใจเย็นสบายดีน่ะค่ะ
:b41: :b55: :b47: :b38:


แก้ไขล่าสุดโดย อมิตาพุทธ เมื่อ 27 มิ.ย. 2010, 03:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 11:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ก็เหินลอยสู่ท้องนภา ประหนึ่งเหาะเหินเดินอากาศ ยังไงยังงั้น
มุ่งตรงไปเบื้องหน้า รู้สึกมีเสียงลมพัด ผ่านข้างหูดังหวีดหวิว
แต่ร่างกาย กลับไม่รู้สึกว่า มีแรงลมปะทะ
อัตราเร็วยิ่งกว่า นั่งเครื่องบินเสียอีก เห็นสรรพสิ่งรอบๆกาย
เคลื่อนที่ถอยหลัง แว่บผ่านตัวเราไปไม่ขาดสาย


เวลาผ่านไปไม่นาน อาตมารู้สึกว่า ตัวค่อยๆร้อนขึ้น
ยามนั้น สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคือ ประตูเมือง
ที่ดูคล้ายๆ เทียนอานเหมินของปักกิ่ง แต่มันกว้างขวางใหญ่โต
สง่าโอฬาริก ยิ่งกว่าเทียนอานเหมิน รูปแกะสลัก หงส์มังกรบนเสาหิน
เปล่งประกายวาววับ หลังคามีรูปลักษณะคล้ายๆวังโบราณ
แต่เป็นสีเงินยวงทั้งหมด ประหนึ่ง เมืองรชตะมหึมาเมืองหนึ่ง
เด่นสง่ายิ่ง

ครั้นเรามาถึง เมืองรชตะแห่งนี้แล้ว เราเห็นซุ้มประตูเมือง
มีแผ่นป้ายติดตัวอักษร 5 ภาษาด้วยกัน ภาษาที่เป้นภาษาจีนเขียนว่า
“หนานเทียนเหมิน” (ประตูเทวาลัยทิศใต้) หรือ จาตุมหาราชิก
(จาตุมหาราชิก เป็นสวรรค์ชั้นที่ 1 อันเป็นสถานที่พำนักของจตุโลกบาล)



ภายในประตูจาตุมหาราชิก มีคนยืนอยู่เป็นอันมาก ที่แต่งกาย
ด้วยชุดพลเรือนนั้น มีลักษณะคล้ายคลึง กับชุดขุนนางสมัยราชวงศ์ชิง
หรูหรามาก

เสื้อผ้าอาภรณ์ ล้วนมีแสงในตัว ส่วนพวกที่แต่งชุดทหาร
ก็มีลักษณะคล้ายขุนพล ที่แสดงบนโรงงิ้ว
เสื้อเกราะที่สวมใส่ เปล่งหระกายวาววับ ดูน่าเกรงขาม
พวกเขายืนเข้าแถวเป็นระเบียบ อยู่สองข้างประตูเมือง
ประนมมือ แสดงความเคารพต่อพวกเรา
ต้อนรับพวกเราเข้าเมือง
แต่ไม่มีผู้ใดเข้ามาพูดจาด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


เข้าประตูเมือง ไปได้ประมาณ 10 ก้าว เห็นกระจกใหญ่บานหนึ่ง
กระจกนี้สามารถ ส่องโฉมหน้าเดิมของตนออกมา
จำแนกว่า เป็นคนดีหรือคนชั่ว


หลังจากเข้าประตูเมืองแล้ว ตลอดทาง จะเห็นทัศนียภาพ
พิลึกพิสดารเหลือคณานับ ดูคล้ายรุ้ง คล้ายลูกฟุตบอล
คล้ายดอกไม้ และคล้ายแสงไฟเป็นต้น
แว่บผ่านตัวเราไป ในกลุ่มเมฆหมอก
จะเห็นเป็นวัดวาอาราม โบสถ์ วิหาร ปราสาทราชวัง และยอดเจดีย์


อยู่ใกล้บ้าง ไกลบ้าง แว่บๆ วับๆ เดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือน
ท่านธรรมาจารย์หยวนกวน แนะนำว่า
ชั้นนี้ เป็นชั้นที่สูงกว่าชั้นจาตุมหาราชิก

ชั้นหนึ่งเรียกว่า ชั้น ดาวดึงส์ (สวรรค์ชั้นที่ 2 ในฉกามาพจรหรือ 6 ชั้นในกามภพ)
อันเป็นที่พำนัก ของเง็กเซียนฮ่องเต้
หรือพระอินทร์ ปกครอง 4 ทิศ 32 ชั้นฟ้า

เราไม่มีเวลาหยุดดู คงตรงดิ่งขึ้นไป ท่านธรรมาจารย์
กล่าวกับอาตมาว่า เวลานี้เรามาถึง “สวรรค์ชั้นดุสิต” แล้ว
ซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นที่ 4* ในฉกามาพจร

พริบตาเดียว เราก็มาถึงหน้าประตู เขาพระวิหารหลังหนึ่ง
เห็นคน 20 กว่าคน มาต้อนรับพวกเรา
ในนั้นมีอยู่คนหนึ่ง ไม่ใช่ใครที่ไหน คือพระอาจารย์ซวีหยุน
ผู้ประสิทธิ์ประสาท วิชาแก่อาตมานั่นเอง
(พระเถระชั้นสูง 1 ใน 3 ของประเทศจีนในยุคปัจจุบัน)

ยังมีอีก 2 ท่านที่อาตมารู้จัก ท่านหนึ่งคือ พระภิกษุเมี่ยวเหลียน
อีกท่านหนึ่งคือ พระภิกษุฝูหยง (ทั้งสองท่านล้วนไปสู่สุคติภพแล้ว)
ทุกท่าน ล้วนห่มกาย ด้วยผ้ากาสาวพัสตร์แพรต่วนสีแดง งามสง่ายิ่ง

พอเห็นพระอาจารย์ซวีหยุน อาตมารีบเข้าไปคุกเข่ากราบคารวะ
ยามนั้น อาตมาตื้นตันใจ จนเกือบจะร้องไห้ออกมา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 11:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


พระอาจารย์ ถามอาตมาว่า “เป็นไง ใจสงบดีไหม ยังมีเรื่องดีใจ เสียใจ
อะไรอยู่อีกหรือเปล่า เจ้ารู้ไหม คนที่มากับเจ้าคนนั้นเป็นใคร”
อาตมาตอบว่า “ท่านมีนามว่า พระธรรมาจารย์หยวนกวนครับ”


ยามนั้น พระอาจารย์ ได้เปิดเผยความจริง อันชวนตระหนก แก่อาตมาเรื่องหนึ่ง
ท่านกล่าวว่า “ท่านนั้นก็คือ
พระมหาเมตตาการุณย์โพธิสัตว์กวนอิม ผู้ดับทุกข์เข็ญแก่เวไนยสัตว์
ที่พวกเจ้าสวดอยู่ทุกวันนั่นเอง”


อาตมาตะลึงงัน ด้วยคิดไม่ถึง ภายหลังที่พระอาจารย์กล่าวจบลง
อาตมาจึงรีบคุกเข่า ลงกราบแทบเท้าพระโพธิสัตว์กวนอิม
ในธรรมกาย ของพระธรรมาจารย์หยวนกวน


โอ.... มีนับตาเสียเปล่า แต่หารู้จักขุนคีรีไท่ซันไม่
เบื้องหน้าพระโพธิสัตว์กวนอิมแปลง อาตมาไม่ทราบจะกล่าวกระไรดี

เทวดาใน “สวรรค์ชั้นดุสิต” ต่างกับมนุษย์
ในสัพพะโลกของเรา ซึ่งสูงแค่ 5-6 ฟุตเท่านั้น
แต่เทวดาที่นี่ สูงประมาณ 30 ฟุต

แต่ว่า พระธรรมาจารย์เฒ่าหยวนกวน (กวนอิมแปลง)
กล่าวว่า ในเมื่อพาอาตมามาถึงที่นี่แล้ว รูปร่างของอาตมา
ก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย คือเปลี่ยนสูงใหญ่เป็น 30 ฟุต
เท่าพวกเขานั่นแหละ

ขณะนั้น พระอาจารย์ ยังสั่งกำชับอาตมาว่า จะต้องบำเพ็ญศีลภาวนา
ในสัพพะโลกอย่างมุมานะ กรรมกีดขวาง
ต้องผ่านการทดสอบ จึงจะค่อยๆปลดเปลื้องออกได้
ทั้งสั่งกำชับว่า พยายามสร้าง
และบูรณะ ปฏิสังขรณ์วัดวาอารามเป็นต้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 11:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ณ ที่นั้น อาตมายังเห็นคนจำนวนมาก มีทั้งชายและหญิง
ทั้งเด็กและคนชรา การแต่งกายของพวกเขา
คล้ายกับชุดแต่งกายในสมัยราชวงศ์หมิง


.พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย ไขปริศนาธรรม

หลังจากนั้น เราก็พากันเข้า สู่ลานภายในของสวรรค์ชั้นดุสิต
เพื่อเข้าเฝ้า นมัสการพระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย
ครั้งเข้าไปภายใน มหาวิหารศรีอาริยเมตไตรย

ได้เห็นความใหญ่โต โอ่อ่า สง่างามของมหาวิหาร
จนสุดจะหาคำมาเปรียบเทียบ ให้มองเห็นภาพได้
ทุกหนทุกแห่ง วาววับไปด้วยประกายสีทอง
หน้าประตูมหาวิหาร มีอักษรตัวโต 3 ตัว

เปล่งประกายแวววาว เขียนด้วยภาษา 5 ชนิดติดอยู่
ที่เขียนเป็นภาษาจีน อ่านได้ความว่า “แดนดุสิต”
ณ ที่นั้น อาตมาได้เห็น พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย ด้วยตนเอง

รูปร่างหน้าตาของ พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย
หาได้มีส่วนเหมือน “พระยิ้มพุงพลุ้ย”
อย่างที่เรา ตั้งไว้สักการะบูชา ในสัพพะโลก
ซึ่งท้องโตโย้ ยื่นออกมาข้างหน้า พระพักตร์ยิ้มเซ่อๆก็หาไม่

พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย ที่แท้จริงนั้น กล่าวได้ว่า
มีธรรมลักษณ์สง่าเคร่งขรึม เพียบพร้อมด้วย 32 ลักษณะ 80 มงคล
รูปโฉมภายนอกเด่นเป็นพิเศษ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 18:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


สองข้างมหาวิหาร มีพระโพธิสัตว์มากมาย นั่งบ้าง ยืนบ้าง
ห่มกายด้วย ธรรมาภรณ์หลากหลายชนิด แต่ที่มากที่สุดคือ
ผ้ากาสาวพัสตร์สีแดง ที่มีแสงในตัว แต่ละท่าน
ล้วนมีแท่นดอกบัว 1 แท่น อาตมาเข้ากราบนมัสการ
ท่านโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย อาราธนาธรรมจากท่าน

ท่านได้ไขปริศนาธรรม ต่ออาตมาดังนี้ คือ
“อนาคต อาตมาจะจุติ ศรีนาคาไตรจักร จะลงสู่สัพพะโลก
ถึงเวลานั้น พื้นพิภพจะปราศจากขุนคีรี จะราบเรียบดั่งฝ่ามือ
สัพพะโลก จะกลายเป็นวิสุทธิภูมิ ของแดนมนุษย์
ระหว่างศาสนาด้ายกัน จะต้องถนอมรักซึ่งกันและกัน
ปลุกเร้าซึ่งกันและกัน เพื่อพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น อย่าได้ดูหมิ่นก้าวร้าว
จาบจ้วงซึ่งกันและกัน ระหว่างนิกายต่าง ๆ ในศาสนาเดียวกัน
ก็อย่าได้ดูหมิ่นซึ่งกันและกัน จะต้องช่วยกันขจัดภัยพาล
ผดุงความเป็นธรรม ” ( ท่านยังประทานธรรมกถาอื่น ๆ อีก แต่อาตมาจำได้ไม่หมด )


รูปภาพ

หลังจากนั้น พระอาจารย์ของอาตมา คือภิกษุเฒ่าซวีหยุน
ก็พาอาตมาไปที่ อารามใหญ่หลังหนึ่ง หน้าอารามมีขุนศึก
แต่งกายคล้ายชุด ราชวงศ์หมิงยืนอยู่ แต่ไม่ใช่เหว่ยตว้อ
ขุนศึกนายนั้น พาเราเข้าสู่ภายในอารามแล้ว ก็ได้จัดแจงยกขนมหวาน
ทำจากน้ำผึ้งบุปผา ที่เสาะหาโดยเทพธิดา มาเลี้ยงรับรองเรา
อาตมากินไปชิ้นหนึ่ง รสหว่านอร่อย หาใดเปรียบมิได้
รู้สึกอิ่มมาก ขณะเดียวกัน จิตใจก็กระชุ่มกระชวยขึ้นอีกหลายเท่า

ท่านภิกษุฝูหยง กล่างกับอาตมาว่า “บนสรวงสวรรค์
ล้วนแต่ใช้น้ำผึ้งบุปผาเป้นอาหาร ซึ่งเพทบุตร เ ทพธิดา
หน้าพระลาน จะเป็นผู้นำมาถวาย ใช้ดอกไม้หลายอย่าง
หลายชนิด มาทำเป็นน้ำผึ้ง รสชาติดีมาก
คนในโลกมนุษย์ มีวาสนาได้ดื่มกิน น้ำผึ้งบุปผานี้
สามารถขจัดโรคา อายุวัฒนา ผู้เฒ่าจะกลับเป็นเยาว์
เจ้าทานมากหน่อย จะได้ประโยชน์เอนกอนันต์ ”


แก้ไขล่าสุดโดย อมิตาพุทธ เมื่อ 27 มิ.ย. 2010, 03:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 18:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


นับแต่นั้นมา ร่างกายของอาตมา รุ้สึกจะหนุ่มแน่นขึ้น
กว่าแต่ก่อนจริง ๆ จนถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยต้องทานยาเลย

ต่อจากนั้น ท่านภิกษุฝูหยง กล่าวกับอาตมาอีกว่า
“ บนสรวงสวรรค์ อยู่สุขสบายเกินไป ไม่ค่อยจะบำเพ็ญศีลภาวนากัน
ก็เหมือนพวกมั่งมีศรีสุข ในแดนมนุษย์นั่นแหละ ที่ไม่ยอมบวชเรียน
รู้จักแต่เสพสุขเฉพาะหน้า หารู้ไม่ ว่าก้าวไม่พ้นไตรภพ
เวียนว่ายตายเกิด อยู่ในวัฏสงสารของ 6 ภูมิ
ยากแก่การหลุดพ้น พวกเราอยู่ที่นี่ ฟังธรรมะ
จากท่านโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรย วันข้างหน้า ยังต้องไปจุติยังโลกมนุษย์
เพื่อดับทุกข์เข็ญ แก่เวไนยสัตว์อีก
หลังจากนั้น จึงจะสามารถเข้าสู่
วิถีแห่งโพธิสัตว์ หลุดพ้นอย่างแท้จริง ”



ยามนั้น พระอาจารย์ซวีหยุน ก็ได้ให้คำชี้แนะ
แก่อาตมา ท่านกล่าวว่า “ ยุคปลายธรรมะ
จะต้องยืนหยัด ช่วยนำเวไนยสัตว์ ไปสู่ความหลุดพ้น ในภาวะที่ยากลำบากที่สุด
อย่าได้เห็น แก่ความสุขสบาย ในภาวะราบรื่น และอย่าได้หลบเลี่ยง
ในภาวะที่ยากลำบาก สามารถยืนหยัด

ในสัมโพธิญาณแห่งสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นการเดินตาม วิถีแห่งโพธิสัตว์อย่างแท้จริง
จำได้ให้ดี ภายหลังกลับสู่โลกมนุษย์แล้ว เจ้าต้องบอกต่อผุ้ร่วมทางธรรม
เฉพาะอย่างยิ่ง พี่น้องที่ร่วมบำเพ็ญศีลภาวนา ให้ถือศีลเป็นครู
ยืนหยัด วัตรปฏิบัติดังเดิมอย่างเคร่งครัด อย่าได้เที่ยวปฏิรูป
อย่าได้เที่ยวเปลี่ยนระบบสงฆ์ ปัจจุบันมีคนกล่าวว่า ปรมัตถ์สูตรเป็นของปลอม
บางคนแก้ชุดแต่งกายสงฆ์ บ้างไม่เชื่อกฏแห่งกรรม บอกว่าไข่เป็นอาหารมังสวิรัติ
ไม่ยืนหยัด วัตรปฏิบัติอย่างมุมานะ แล้วใช้สิ่งนี้ไ
ปส่งผลสะเทือน ต่อเวไนยสัตว์ กลับใช้อวิชชาไปหลอกลวงผู้คน
ให้เกิดความหลงเชื่องมงาย ลุ่มหลงมัวเมา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2010, 18:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ตีความ พุทธคัมภีย์ เสียจนผิดเพี้ยน เลอะเทอะ
ไปหลอกเอาของถวาย สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นมารทำลายมูลปัญญา
แห่งพระตถาคตเจ้า ปล่อยให้มารออกมาอาละวาด ทำลายผู้คนอย่างเสรี
ฉะนั้น เ จ้าต้องสืบทอดเจตนารมณ์ของข้า จึงเป็นศิษย์ที่ดีของข้า

วันข้างหน้า เจ้าจะต้องไปเผยแพร่ เทศนาสั่งสอนธรรมะ ยังนานาประเทศ
แต่ว่า ในภาวะแวดล้อมที่เลวร้าย จ้ะต้องประคับประคอง
ฟื้นฟู บูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม ที่ข้าสร้างมากาลก่อน
ฉะนั้นชื่อเจ้า ที่ตั้งไว้ว่าฝูซิง (ฟื้นฟู ) เมื่อครั้งที่ข้าถ่ายทอดวิชาให้นั้น
ตอนนี้ เจ้าเข้าใจความหมายของมันหรือยัง ”



หลังจากพักผ่อนอยู่ชั่วครู่ พระโพธิสัตว์กวนอิม ก็มาพาอาตมา
ออกจากมหาวิหาร ไปชมทัศนียภาพ แดนวิมานที่หน้าพระลาน
เห็นแสงแพรวพราววาววับ ปรากฏอยู่ทั่วไป
ปักษินเทวาสกุณาพิมาน จับคู่ขับขาน ดนตรีไพเราะเสนาะหู
มโหรีทิพย์พิมาน ใส่พิสุทธิ์ ดีดสีบรรเลง วังเวงแว่ว
เลิศล้ำเป็นธรรมชาติ เทพบุตร เทพธิดา
แต่งกายด้วยชุด แพรพรรณสีฉูดฉาด เพริดแพร้วงามวิไล
เดินเป็นแถวเป็นแนว อย่างมีระเบียบ เดินเล่นตามสบาย
บุปผชาติ พิมานบานสะพรั่ง ชูช่อดอกสลอนแข่งความงาม
วัดวาอาราม โบสถ์ วิหาร ศาลา
รวมทั้งรัตนเจดีย์ต่าง ๆ ล้วนเปล่งประกายชัชวาล
สมเป็นทัศนียภาพ ของพิมานแมนแดนสวรรค์จริง ๆ
โลกมนุษย์ไม่มีทางเปรียบได้ แม้เท่ากระผีก ริ้น

อาตมา ชมพลางสดุดีไม่หยุดหย่อน ท่านโพธิสัตว์กวนอิม
ชี้ให้อาตมาดู รัตนเจดีย์ขนาดใหญ่กว่าขุนเขาคุนหลุน
ซึ่งกำลังเปล่งสัพรังสี องค์หนึ่งพลางกล่าวว่า

“เจดีย์นี้ ก็คือสถานที่พำนักของ ไท่ซั่งเหล่าจวิน (ไทย-เสียงเล่ากุน .... เล่าจื้อ )
เรียกว่า เจดีย์กลั่นยาอายุวัฒนะ ” มองไปแต่ไกล
เห็นมหาเจดีย์ กลั่นยาอายุวัฒนะอันใหญ่โต มโหฬารองค์นั้น
ถูกเมฆหมอกบดบังบางส่วนไว้ เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง ไม่รู้ว่าสูงกี่ชั้นกันแน่
เหมือนมายืนอยู่ เบื้องหน้าขุนเขา เราได้แต่มองดู อยู่ด้านนอกเท่านั้น
ไม่ได้เข้าไปภายในเจดีย์ พระโพธิสัตว์กวนอิม
กล่าวสืบไปว่า " เจดีย์นี้เป็นที่พำนักของเทวราช รอบ ๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 11:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


มีต้นหลิงหยวนซู่ (พวกเต๋าใช้สำหรับ ฝึกฝนบำเพ็ญตะบะ ให้คืนสู่โฉมเดิม)
ตลอดจนไม้ดอก ไม้ผล 4 ฤดู กล่าวกันว่า พวกฝึกฝนบำเพ็ญตะบะ
ถ้าบำเพ็ญได้ดี ต้นหลิงหยวนซู่ ประจำตัวของเขา ในแดนสวรรค์
จะออกดอกสวยงามน่าชม ตรงกันข้ามก็จะไร้ชีวิตชีวา
กระทั่งเ**่ยวเฉาโรยรา "

ยามนั้น พระโพธิสัตว์กวนอิม เร่งรัดอาตมาว่า
“เร็วเข้าเถอะ เวลาเหลือไม่มากนัก เดี๋ยวอาตมา
จะพาท่าน ไปยังแดนสุขาวดีประจิม ที่นั่นสวยงามกว่านี้อีก
เปรียบเทียบกับสัพพะโลก ก็ยิ่งเปรียบกันไม่ติด ”



เยือนแดนสุขาวดี เข้าเฝ้านมัสการพระอมิตาภะ
พุทธเจ้า



ออกจาก “ สวรรค์ชั้นดุสิต ” อาตมาท่องปรมัตถ์สูตรตามเคย
แท่นดอกบัว พลันปรากฏที่ใต้เท้า พาตัวอาตมา เหินลอยสู่ท้องฟ้านภากาศ
ตลอดทาง ได้ยินแต่เสียงลมพัดอื้อ แต่ไม่รุ้สึกว่ามีแรงลมปะทะ
อัตราความเร็วนั้น บรรยายไม่ถูก

ทัศนียภาพ แดนวิมานอันงามวิจิตร เบื้องหน้าเรา จะแว๊บผ่านตัวเราไป
พริบตาเดียว ก็ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังลิบลับ ชั่วไม่กี่นาที ก็เห็นเบื้องล่าง
ใต้แท่นดอกบัวลงไป เป็นพื้นราบ เกลื่อนด้วยทรายทอง
ต้นไม้ยักษ์เป็นแถวเป็นทิว แต่ละต้นสูงหลายร้อยฟุต กิ่งทองใบหยก
ใบเป็นรูป 3 เหลี่ยมบ้าง 5 เหลี่ยมบ้าง 7 เหลี่ยม ก็มี

ล้วนออกดอก เป็นแสงได้ทุกต้น วิหกนกไพรนานาชนิด ล้วนมีแสงในตัว
นกบางตัวมี 2 หัว กระทั่งหลายหัว 2 ปีก กระทั่งหลายปีก
พวกมันโผบินว่อน ล้อลมอย่างอิสระเสรี ขับลำนำเป็นนามศักดิ์สิทธิ์
ของอมิตพุทธเจ้า รอบ ๆ รั้ว ลูกกรง ตกแต่งด้วยสีสันต่าง ๆ 7 สี

พระโพธิสัตว์กวนอิม กล่าวกับอาตมาว่า “ร่างแห 7 ชั้น กับแนวพฤกษ์ 7 แถว
ที่กล่าวถึงในพุทธคัมภีร์นั้น ก็คืออาณาจักรนี้นั่นเอง ”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 12:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ข้างหูแว่วเสียง ผุ้คนสนทนากันเอ็ดอึง แต่ภาษาฟังไม่รู้เรื่อง

พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า " ภาษาต่าง ๆ ท่านอมิตยัสพุทธะ ท่านฟังรู้เรื่องหมด "
ตลอดทาง ยังเห็นเจดีย์สูงใหญ่มากมาย ล้วนประกอบขึ้นจากรัตนะ 7
เปล่งประกายวาววาม เราคงมุ่งหน้าต่อไป ชั่วครู่ก็มาถึงเบื้องหน้า
ภูเขาทองลูกหนึ่ง ภูเขาทองลูกนี้ สูงใหญ่กว่าภูเขาเอ๋อเหมย (ง้อไบ๊)
ของจีนหลายต่อหลายเท่านัก
มิพักต้องสงสัย ตอนนี้เราได้เดินมาถึงใจกลาง " แดนสุขาวดี " แล้ว



พระโพธิสัตว์กวนอิม ยกพระหัตถ์ชี้ไปเบื้องหน้า
กล่าวว่า "ถึงแล้ว พระอมิตาภะพุทธเจ้า อยู่เบื้องหน้าท่าน ท่านเห็นไหม"

อาตมาประหลาดใจ ถามว่า "อยู่ไหน อาตมา เห็นแต่ผาหินขวางอยู่ข้างหน้า"
ที่ใหนได้ คำตอบของ พระโพธิสัตว์กวนอิม
อยู่เหนือความคาดหมาย ของอาตมามาก ท่านตอบว่า
" ขณะนี้ ท่านกำลังยืนอยู่ปลายพระบาท ของพระอมิตาภะพุทธเจ้าแแล้ว "

อาตมากล่าวว่า "พระธรรมกาย ของพระอมิตาภะพุทธเจ้า สูงใหญ่ปานนั้น
อาตมาจะเห็น ได้อย่างไรล่ะครับ"

จะว่าไปแล้ว ภาวะเช่นนี้ ก็เปรียบดังมดน้อยตัวหนึ่ง
ยืนใต้ตึกระฟ้าสูง 100 กว่าชั้น ของอเมริกา
ไม่ว่าจะแหงนมองมองอย่างไร ก็ไม่มีทาง จะมองเห็นโฉมหน้า
ส่วนทั้งหมดของตัวตึก ฉันใดก็ฉันนั้น

พระโพธิสัตว์กวนอิม แนะให้อาตมา คุกเข่าลงอธิษฐานขอพร พระอมิตาภะพุทธเจ้า
อาตมารีบคุกเข่าลง แล้วตั้งจิตอธิษฐาน
พริบตาเดียว รู้สึกว่าร่างกายตัวเองพลันสูง ใหญ่ขึ้นๆ


จนเสมอพระนาภี (สะดือ) ของพระอมิตาภะพุทธเจ้า
ในระดับความสูงดังกล่าว อาตมาจึงได้มองเห็น พระอมิตาภะพุทธเจ้า
ยืนอยู่ข้างหน้าอาตมา จริงๆ

ท่านยืนอยู่ บนแท่นดอกบัว นับชั้นไม่ถ้วน กลีบดอกแต่ละชั้น ล้วนมีรัตนเจดีย์
เปล่งสัพรังสี ภายในรังสี มีพระพุทธรูป นั่งขัดสมาธิ
อยู่ท่ามกลางประกายสีทอง ขณะเดียวกัน อาตมายังเห็น
พระมหาวิหารวิจิตรงดงาม อร่ามเรืองหลังหนึ่ง
เพ่งสายตามองออกไปอีก อาตมา ก็เห็นโฉมหน้าทั้งหมด
ของแดนสุขาวดีประจิม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 12:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ยามนั้น ท่านธรรมจารย์หยวนกวน ได้แปลงกายกลับสู่
พระธรรมกายตัวจริง ของพระโพธิสัตว์กวนอิม
ทั้งสรรพางค์กาย เป็นผลึกแก้ว สีทองโปร่งใส
อาภรณ์ห่มกาย เปล่งฉัพพรรณรังสี
จำแนกไม่ออก ว่าเป็นหญิงหรือชายกันแน่
พระธรรมกายท่าน สูงใหญ่กว่าอาตมา
สูงเสมอไหล่ ของพระอมิตาภะพุทธเจ้า



อาตมา ยืนอยู่ ณ ที่นั้น มองภาพอภินิหารนี้ จนเคลิ้มไหลหลง
เลยนึกไม่ออก ว่าสมควรจะกล่าววาจาอย่างไร
เวลานี้ จะให้อาตมาบรรยายภาพ อภินิหารในขณะนั้นอย่างละเอียด
สงสัยจะต้องใช้เวลาสัก 7 วัน 7 คืน

เอาเฉพาะ พระธรรมกายที่สง่าเคร่งขรึม สุดประมาณของพระอมิตาภะพุทธเจ้า
พูดครึ่งวันก็พูดไม่จบ เป็นต้นว่า
พระธรรมลักษณ์ของท่าน อย่างพระเนตรคู่นั้นของท่าน
ก็ดูประหนึ่ง ห้วงมหรรณพอันเวิ้งว้างไพศาล
พูดไปอาจไม่มีใครเชื่อก็ได้ แต่จริง ๆ
พระเนตรคู่นั้นของท่าน กว้างใหญ่
เหมือนทะเลในแดนมนุษย์ไม่ผิดเพี้ยน



อาณาจักร ของแดนสุขาวดีประจิม ตามที่กล่าวไว้ในพุทธคัมภีร์
บอกว่า อยู่ห่างไกลถึง 10 ล้านล้านพุทธภูมิ ถ้าคำนวณเป็นเวลา
สมมิตในแต่ละนาทีของคนเรา เดินทางได้ 1 ปีแสง
ก็ต้องใช้เวลาเดินทาง 15,000 ล้านปีแสง จึงจะไปถึงได้

อีกนัยหนึ่งคือ ดูจากชั่วอายุขัย ของคนๆ หนึ่งแล้ว
เป็นสิ่งที่ เป็นไปไม่ได้เลย แต่ว่า จะไปยังแดนสุขาวดีประจิม
ต่อให้โลกทั้งโลก ตั้งแต่เริ่มเกิดจนแตกดับ ใช้เวลาในการเดินทาง
ยาวนานขนาดนั้น ก็ยังไปไม่ถึงอยู่ดี

ดึงนั้น ต้องอาศัยพลังจิตอธิษฐาน บวกกับพระอมิตาภะพุทธเจ้าประทานพร เ
พียงชั่วพริบตาเดียว ก็สามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้
อาตมากราบนมัสการ พรพอมิตาภะพุทธเจ้าขอให้ท่านประทานพร

ประทานสติปัญญา แก่อาตมา เพื่อการหลุดพ้นจากสังสารวัฏ
พระอมิตาภะพุทธเจ้า แย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า
" พระโพธิสัตว์กวนอิม นำพาเจ้ามาถึงที่นี่ เพื่อทัศนาจรยังสถานที่ต่างๆ
เจ้าก็ไปเถอะ แต่หลังจากนี้เจ้า ต้องกลับสู่โลกมนุษย์ "


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 12:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


[size=150]ขณะนั้น อาตมารู้สึกติดตรึง กับความสวยงาม
น่าอภิรมย์ ของแดนสุขาวดีประจิม รู้สึกว่าโลกมนุษย์
มีแต่ความทุกขเวทนา ไม่คิดอยากกลับ ไปยังโลกมนุษย์อีกแล้ว

ดังนั้น อาตมาจึงวิงวอนว่า
"แดนสุขาวดีประเสริฐยิ่ง ข้าพุทธเจ้า ไม่คิดหวนกลับไปอีกแล้ว
ขอพระอมิตาภะพุทธเจ้า โปรดแผ่เมตตากรุณา รับข้าพระพุทธเจ้าไว้ด้วยเถิด "

พระอมิตาภะพุทธเจ้าตรัสว่า "ไม่ได้หรอก ไม่ใช่ข้าจะไม่รับเจ้า
หรือเจตนา ขับไล่ไสส่งเจ้า หากเป็นด้วยว่า 2 กัลป์ก่อน
เจ้าได้ไปเกิดยังสุคติภพแล้ว และ ด้วยเหตุที่เจ้า
ได้ตั้งปณิธานไว้เองว่า จะกลับไปจุติยังโลกมนุษย์
เพื่อดับทุกข์เข็ญ แก่เวไนยสัตว์ ฉะนั้นปัจจุบัน เจ้ายังจำเป็นต้องกลับไป
[/size]
เพื่อทำตาม ปณิธานที่ตั้งไว้ ให้บรรลุเสียก่อน
จงนำสภาพที่ได้พบเห็น ในแดนสุขาวดี ไปบอกกล่าว
ถ่ายทอดให้มนุษย์โลกไ ด้รับรู้ สั่งสอนพวกเขา
ให้รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 12:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


พระอมิตาภะพุทธเจ้า ยังประธานปริศนาธรรมอีกว่า
"เจ้าได้ไปเกิด เมื่อสองกัลป์ก่อน
เพราะเจ้าตั้งปณิธาน โปรดเวไนยสัตว์ บิดามารดา
รวมทั้งญาติโกโหติกาใ นชาติต่างๆ
ปฏิญาณ จะ ช่วยพวกเขาไปยังบัวเก้าชั้น"


ครั้นพระอมิตาภะพุทธเจ้า ประทานปริศนาธรรมจบ
อาตมารู้สึกว่า ทั้งตัวสั่นสะท้านขึ้นคราหนึ่ง
ระลึกถึง สภาพที่ไปเกิดยัง สุคติภพเมื่อ 2 กัลป์ก่อนโน้น
ภาพเหล่านั้น ปรากฎออกมา ภาพแล้วภาพเล่า
แจ่มแจ๋วเหมือนติดอยู่กับตา


พระอมิตภะพุทธเจ้า ตรัส กับ พระโพธิสัตว์กวนอิมว่า
"ท่านนำเขา ไปเที่ยวชมยังสถานที่ต่างๆ เถิด "


อาตมา ก้มลงกราบแทบเท้า อมิตพุทธเจ้า 3 ที
จากนั้นก็ออกจาก ประตูใหญ่ของเวทีแสดงธรรม

ยามนั้น อาตมา อาตมาเห็นประตูใหญ่ทุกบาน ระเบียง
ขอบสระ รั้วลูกกรง ภูเขา พื้นดิน ล้วนประกอบด้วยรัตนะ 7
มีแสงในตัวทั้งสิ้น เหมือนกับไฟฟ้า หลอดไฟฟ้านีออน
ยังไงยังงั้น ที่แปลกประหลาดก็คือ สิ่งทั้งหลายทั้งปวง
ที่ดูคล้ายมีรูปร่างเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่โปร่งใส ไร้กีดขวาง
สามารถเดินผ่านทะลุได้ บนประตูใหญ่
มีอักษรสีทอง 4 ตัว สองข้างประตู มีกลอนคู่ติดอยู่
อาตมาอ่านไม่ออก แต่จนบัดนี้
ยังจำได้ว่า ตัวหนึ่งมีรูปร่างดังนี้คือ _______
อีก 3 ตัวจำไม่ได้แล้ว พระโพธิสัตว์กวนอิมอธิบายว่า
"อ่านออกเสียงเป็นภาษาจีน จะได้ความหมายว่า
ต้าสงเป่าเตี้ยน (รัตนบัลลังก์มหาชาตรี)
จะหมายถึงพุทธแห่งอายุวัฒนะก็ได้"


มหาวิหารวิจิตรงดงาม อร่ามเรืองหลังนั้น ใหญ่โตมโหฬาร
สุดจะเปรียบปาน มีคนหลายหมื่นคน อยู่ในมหาวิหารหลังนั้น
ขณะเดียวกัน

ก็เห็น พระโพธิสัตว์จำนวนมาก นั่งบ้างยืนบ้าง บ้างอยู่ภายในวิหาร
บ้างอยู่นอกวิหาร พระธรรมกายแต่ละรูป
ล้วนสีทองโปร่งใส ความสูงของพระโพธิสัตว์ ต่ำกว่า
พระอมิตภะพุทธเจ้าเล็กน้อย

ในบรรดาพระโพธิสัตว์ อาตมายังเห็น พระโพธิสัตว์ต้าซือจื้อ(พระมหาสถามปราบต์โพธิสัตว์) กับ พระโพธิสัตว์ฉางจงจิ้น เป็นต้นรวมอยู่ด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 14:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เชิญเส้นทางนี้ด้วย ตามไปดู =>

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=118.0

มีเกือบทุกลัทธิความเชื่อ เหตุมี ผลย่อมมี :b48: :b48:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 19 มิ.ย. 2010, 14:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 19:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า "เอาล่ะ อาตมาจะพาท่าน
ไปเที่ยวชมดอกบัว 9ชั้น เริ่มจาก ชั้นล่าง ชั้นกลาง ไปจนถึงชั้นสูงสุด "

เดินไปตามทาง ปรากฎว่า ร่างกายเราค่อยๆ หดเล็กทีละน้อย
เห็นปรากฎการณ์ อันแปลกประหลาดนี้แล้ว อาตมาก็เรียนถาม
พระโพธิสัตว์กวนอิมว่า " เหตุใดจึงมีสภาพเช่นนี้ ร่างกายคนเราไฉนหดเล็กลงได้"

พระโพธิสัตว์กวนอิมตอบว่า "เวไนยสัตว์ แต่ละชั้นในแดนสุขาวดี
เนื่องจากอาณาจักรต่างกัน ความเล็กใหญ่ ต่ำสูงของร่างกาย
ก็แตกต่างไปด้วย ขณะนี้
เรากำลังเริ่มจากชั้นสูงสุด (ที่พำนักของพระอมิตาภะพุทธเจ้า)
ไปหาชั้นต่ำสุดในบัว 9 ชั้น บัวชั้นสูง จะสูงใหญ่กว่า บัวชั้นกลาง
บัวชั้นกลาง ก็สูงใหญ่กว่า บัวชั้นล่าง

ตอนนี้ เราจะไปยังบัวชั้นล่าง ดังนั้นร่างกาย จึงค่อยๆหดเล็กลงจนได้
***ส่วนสัมพันธ์โดยตรง กับร่างกายของเวไนยสัตว์
ในบัวชั้นล่าง อย่างเช่นโลกมนุษย์ ร่างกายคนเราไม่เกิน 8 ฟุต
แต่เทวดาในแดนสวรรค์ กลับสูงใหญ่ถึง 30 กว่าฟุต
นี่เรียกว่า ประสานสอดคล้องกับภูมิภาพ"


บัวชั้นล่าง สถานที่เกิดโดยมีกรรมติดตัวของเวไนยสัตว์

เราเดินพลาง สนทนาพลาง ชั่วครู่ก็มาถึง สระบัวของบัวชั้นล่าง
กวาดตามองดูรอบๆ เห็นพื้นดินราบเรียบ ดังฝ่ามือ ปูด้วยแผ่นทองคำ
เปล่งประกายเหลืองอร่ามอำไพ อีกทั้งโปร่งใสด้วย และแล้ว
เบื้องหน้าเรา ก็ปรากฎ จัตุรัสอันกว้างขวางเเห่งหนึ่ง
บนจัตุรัส มีดรุณี อายุประมาณ 13-14 ปี จำนวนมาก ดรุณีเหล่านี้
ล้วนไว้แกละ 2 แกละ บนศรีษะ ทัดดอกไม้สีม่ว ง บนแกละงามหรู
ทุกคน แต่งกาย ด้วยอาภรณ์ชุดเขียวอ่อน ๆ
ใส่เอี๊ยมสีดอกท้อ เอวคาดสายรัดสีทอง
แต่งกายเหมือนกันหมด รูปร่างหน้าตา ก็เหมือนกันอย่างกับแกะจากพิมพ์เดียวกัน

ในสุคติภพ ก็มีสีกาด้วยแฮะ อาตมา พกความสงสัย เต็มกลั้นเรียนถาม
ท่าน พระโพธิสัตว์กวนอิมว่า
"ตามพุทธคัมภีร์กล่าวว่า ในแดนสุขาวดี หามีแบ่งหญิงบ่งชายไม่
เหตุใดที่นี่ จึงมีเด็กผู้หญิงอยู่ด้วยล่ะครับ"

พระโพธิสัตว์กวนอิมตอบว่า "ใช่แล้ว ณ ที่นี้ ไม่มีรูปลักษณ์หญิง ชายหรอก
ท่านดูตัวท่านเองซิ ว่าตอนนี้เป็นอย่างไร"

อาตมาฟังคำ รู้สึกเอะใจ จึงหันมาสำรวจตัวเอง ค่อยพบว่า
แท้จริงตัวเอง ได้กลายเป็นเด็กสาวอายุ 13-14 ปี
แต่งกาย และ รูปร่างหน้าตา เหมือนพวกเขาทั้งหมด ไปเสียแล้ว
อาตมาตะลึงลาน ถามขึ้นว่า "เหตุใดจึงจึงเป็นเช่นนี้ได้"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 83 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร