วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 23:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 75, 76, 77, 78, 79, 80, 81 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เนื่องจากเราแสวงหาการหลุดพ้น มีจริงหรือเปล่า แล้วจุดกำเนิดที่ทำให้เราต้องมาวนเวียนจนต้องแสวงหาทางหลุดพ้นนั้น มาจากไหน
ขอรบกวนท่านอาจารย์ด้วยครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
พระพุทธะตรัสกับอาฬวกยักษ์ (เทวดา) ว่า

บุคคลข้ามโอฆะ (เวียนว่ายตายเกิด) ได้ด้วยศรัทธา

บุคคลล่วงความทุกข์ ได้ด้วยความเพียร

บุคคลบริสุทธิ์ ได้ด้วยปัญญา

อาฬวกยักษ์ฟังแล้วพิจารณาโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ) แล้วทำให้จิตบรรลุโสดาปัตติผล

ฉะนั้น อวิชชา จึงเป็นจุดที่ทำให้สัตว์บุคคล ต้องเวียนตาย-เกิดอยู่ในวัฏสงสาร และการจะนำพาชีวิตให้พ้นไปจากวัฏสงสารได้ ต้องใช้ปัญญาเห็นถูกตามธรรมกำจัดอวิชชา ซึ่งมีความเป็นไปได้จริง ดังที่อรหันตบุคคล (อนุปาทิเสสนิพพาน) ได้กระทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีข้อคำถามจะเรียนถามอาจารย์เพื่อนำไปแก้ไขปัญหาทางโลกดังนี้ค่ะ
ดิฉันอายุ 36 ปีแล้ว มีหน้าที่การงานดี ได้คบหารู้จักแฟนมาปีกว่า ซึ่งแฟนก็มีงานการทำดี จบวิศวะ แต่เตี้ยกว่าดิฉัน ที่สำคัญคือ คุณแม่ไม่ชอบและไม่ยอมให้แต่งงานด้วย หากผู้ชายจะส่งพ่อแม่มาสู่ขอก็จะไม่ต้อนรับ บอกว่าคนไม่แต่งงานอยู่กับพ่อแม่ตลอดก็มีถมไป และไม่จำเป็นต้องแต่งงาน คนแต่งงานเลิืกรากันก็มีเยอะแยะไป ดิฉันต้องการแยกครอบครัวโดยไม่ทำให้ท่านโกรธ ดิฉันจะทำอย่างไร หากคุณแม่ไม่ยอมให้แต่งแต่ดิฉันเลือกที่จะแต่งและขอมีชีวิตเป็นขอตนเอง ดิฉันจะบาปหรือไม่อย่างไร และดิฉันจะแก้ปัญหาที่ท่านไม่ยอมให้แต่งกับคนนี้ และจะตัดขาดแม่ลูกหากเลือกคนนี้ได้อย่างไร

กราบขอบพระคุณในความเมตตา ขออนุโมทนาในบุญกุศลที่อาจารย์เพียรให้ความรู้เป็นวิทยาทาน สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
สิ่งขัดใจเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดเป็นความโกรธกับผู้ที่มีสติรับไม่ทัน ฉะนั้นผู้ใดโกรธก็เป็นเรื่องของผู้นั้น ผู้รู้ไม่สามารถเข้าไปแก้ปัญหาให้คนอื่นได้ ผู้ใดให้อภัยเป็นทานอยู่เสมอ หากประพฤติได้ผลแล้วผู้นั้นมีเมตตา แล้วความโกรธจะไม่เกิดขึ้นได้อีก

อนึ่ง เรื่องที่แม่ไม่ยอมให้ลูกสาวแต่งงาน เป็นความเห็นผิดของผู้เป็นแม่ ที่เอาความสมมุติว่าเป็นแม่ เข้าไปก้าวล่วงในชีวิตของลูกสาว

ผู้เป็นลูกประสงค์มีชีวิตเป็นของตัวเอง ถือว่าเป็นความเห็นถูกตามธรรม หากประสงค์บริหารจัดการชีวิตด้วยตัวเองย่อมทำได้ และไม่ถือว่าเป็นบาป แต่ทั้งนี้ต้องไม่ทิ้งความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อแม่ ด้วยการประพฤติจริยธรรมของลูกที่ดีที่สามารถทำได้ และเช่นเดียวกันหากแม่ประสงค์จะตัดลูกสาวออกจากความเป็นลูกก็เป็นเรื่องของท่าน ผู้มีความเห็นถูกคือลูกสาว ต้องไม่ตัดท่านอออกจากความเป็นแม่ และยังต้องประพฤติจริยธรรมของลูกที่ดีอยู่เสมออีกด้วย

อนึ่ง ผู้รู้กล่าวว่า มนุษย์มีทรัพย์สมบัติเป็นห่วงผูกขา มีสามี/ภรรยาเป็นห่วงผูกมือ มีบุตร/ธิดาเป็นห่วงผูกคอ ผู้ใดใคร่ผูกมักชีวิตของตัวเอง หรือมีชีวิตเป็นอิสระ มีสิทธิ์เลือกได้ตามใจปรารถนา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. มักจะไ้ด้ยินเสียงพระสวดมนตร์ในโบสถ์หลังออกจากสมาธิ จะเกิดจากจิตใต้สำนึกหรือไม่ ทำไมถึงได้ยินเมื่อเข้าอบรมในวันที่สองและสาม ดีหรือไม่ดี

2. อุคคหินิมิตรและปฏิภาคนิมิตร เกิดได้อย่างไร ทำไมถึงเกิด และถ้าเกิดแล้วจะต้องทำอย่างไรต่อไป และทั้งสองอย่างนีืื้้มีผลแตกต่างกันอย่างไร

ขอกราบอนุโมทนา

คำตอบ
(๑) การได้ยินเสียงสวดมนต์ดังกล่าว เกิดจากจิตใต้สำนึกเป็นเหตุ การได้ยินเช่นนี้ดีตรงที่ว่า เป็นตัวชี้วัดความตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิต ไม่ดีตรงที่ว่า หากเอาจิตไปจดจ่ออยู่กับเสียงสวดมนต์ที่ได้ยิน จะทำให้จิตเข้าไม่ถึงปัญญาเห็นแจ้ง

(๒) อุคคหนิมิต หมายถึง นิมิตที่เกิดจากการฝึกกำหนด หรือเอาจิตเพ่งดูจนติดตาติดใจ แม้หลับตาก็ยังเห็นสิ่งที่ถูกเพ่งดูนั้น เหตุที่ทำให้เกิดอุคคหนิมิต เพราะใช้จิตเพ่งดูสิ่งสมมุติที่นำเอามากำหนดเป็นอารมณ์กรรมฐานจนเกิดเป็นความชำนาญ ผู้ใดประสงค์พัฒนาจิตให้เข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง ต้องใช้จิตตามดูนิมิตนั้นว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดนิมิตเข้าสู่ความเป็นอนัตตา ปัญญาเห็นแจ้งในนิมิตจะเกิดขึ้น

ส่วนปฏิภาคนิมิต เป็นการเอาภาพเหมือนของอุคคหนิมิต มานึกขยายให้มีขนาดใหญ่ขึ้น หรือนึกหดภาพให้เล็กลง

ผลที่เหมือนกันของนิมิตทั้งสองแบบ คือเป็นสัญญาที่เกิดขึ้นกับจิต หากไม่นำนิมิตมาพิจารณาตามกฎไตรลักษณ์ ย่อมทำให้จิตเกิดเป็นความหลง เพราะจิตมีอวิชชาครอบงำ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมติดตามฟังการบรรยายธรรมะ ของท่านอาจารย์มาอย่างสม่ำเสมอ แล้วนำมาผนวกกับคำสอนของท่านหลวงพ่อจรัญ แล้วนำปฏิบัติปรับใช้กับชีวิตประจำวันของตัวเองปรากฏว่าชีวิตดีขึ้นโดยลำดับ.. ผมจึงขอปรณาตัวเองขอเป็นลูกศิษย์ของท่าน ขอน้อมนำพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามที่ท่านอาจาย์ที่เป็นผู้รู้ได้บอกกล่าว... ผมมีเรื่องขอเรียนถามท่านอยู่1เรื่อง

1.เพื่อนของผมได้จัดทำบุญกฐิน วัตถุประสงค์เพื่อจัดสร้างกุฏิถวายวัด และนำซองมาให้ผมจำนวนหนึ่ง ผมได้แจกจ่ายบุญดังกล่าวแก่ผู้มีจิตศัทธาและจัดเก็บคืนเรียบร้อย แต่พอเสร็จจากงานปรากฏว่ามีซอง1ซองหลงอยู่ ไม่ได้นำถวายผมเคยรู้มาว่า การทำบุญกฐินนั้นอานิสงค์ของบุญใหญ่มาก แล้วซ้ำวัตถุประสงค์คือการสร้างกุฏิถวายวัดทำให้ผมไม่สบายใจ... ผมควรทำอย่างไร กับซองกฐินที่มีคนทำบุญมาแล้วจำนวน1ซองนี้

2.ผมเคยคิดว่าจะนำไปถวายพระ เป็นปัจจัยแต่กลัวว่าไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ เพราะคนที่เขาทำบุญเขาคงจะอธิฐานจิตทำบุญกฐิน.. ผมจึงใคร่เรียนถามอาจารย์ช่วยชี้ทางแก่ผมด้วยครับ... สุดท้ายผมขอกราบขอบพระคุณในความเมตตา ขออนุโมทนาในบุญกุศลที่อาจารย์เพียรให้ความรู้เป็นวิทยาทาน..สาธุ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
(๑) การทำบุญทอดกฐิน ได้อานิสงค์สูงสุดไม่เกินสวรรค์สมบัติ ผู้เห็นถูกแก้ปัญหาความทุกข์ใจ ด้วยการนำซองกฐินค้าง ไปถวายวัดตามที่ถูกระบุบนซองกฐิน ย่อมทำได้

(๒) นำซองกฐินตกค้าง ไปถวายวัดให้ถูกตรงกับเจตนารมณ์ของผู้ทำบุญ แล้วโทษย่อมไม่มีกับผู้ถามปัญหา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมติดตามฟังการบรรยายธรรมะ ของท่านอาจารย์มาอย่างสม่ำเสมอ แล้วนำมาผนวกกับคำสอนของท่านหลวงพ่อจรัญ แล้วนำปฏิบัติปรับใช้กับชีวิตประจำวันของตัวเองปรากฏว่าชีวิตดีขึ้นโดยลำดับ.. ผมจึงขอปรณาตัวเองขอเป็นลูกศิษย์ของท่าน ขอน้อมนำพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามที่ท่านอาจาย์ที่เป็นผู้รู้ได้บอกกล่าว... ผมมีเรื่องขอเรียนถามท่านอยู่1เรื่อง

1.เพื่อนของผมได้จัดทำบุญกฐิน วัตถุประสงค์เพื่อจัดสร้างกุฏิถวายวัด และนำซองมาให้ผมจำนวนหนึ่ง ผมได้แจกจ่ายบุญดังกล่าวแก่ผู้มีจิตศัทธาและจัดเก็บคืนเรียบร้อย แต่พอเสร็จจากงานปรากฏว่ามีซอง1ซองหลงอยู่ ไม่ได้นำถวายผมเคยรู้มาว่า การทำบุญกฐินนั้นอานิสงค์ของบุญใหญ่มาก แล้วซ้ำวัตถุประสงค์คือการสร้างกุฏิถวายวัดทำให้ผมไม่สบายใจ... ผมควรทำอย่างไร กับซองกฐินที่มีคนทำบุญมาแล้วจำนวน1ซองนี้

2.ผมเคยคิดว่าจะนำไปถวายพระ เป็นปัจจัยแต่กลัวว่าไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ เพราะคนที่เขาทำบุญเขาคงจะอธิฐานจิตทำบุญกฐิน.. ผมจึงใคร่เรียนถามอาจารย์ช่วยชี้ทางแก่ผมด้วยครับ... สุดท้ายผมขอกราบขอบพระคุณในความเมตตา ขออนุโมทนาในบุญกุศลที่อาจารย์เพียรให้ความรู้เป็นวิทยาทาน..สาธุ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
(๑) การทำบุญทอดกฐิน ได้อานิสงค์สูงสุดไม่เกินสวรรค์สมบัติ ผู้เห็นถูกแก้ปัญหาความทุกข์ใจ ด้วยการนำซองกฐินค้าง ไปถวายวัดตามที่ถูกระบุบนซองกฐิน ย่อมทำได้

(๒) นำซองกฐินตกค้าง ไปถวายวัดให้ถูกตรงกับเจตนารมณ์ของผู้ทำบุญ แล้วโทษย่อมไม่มีกับผู้ถามปัญหา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ผมมีนิมิตกสิณครับ แต่ว่าเวลาหลับตาสักพักก็จะเห็น จะว่าเข้าสมาธิได้เร็วก็ใช่ แต่สักพักนิมิตกสิณ ก็จะหายไป แล้วต้องเรียกกลับมาใหม่ คือผมไม่รู้ว่าถ้าจะเข้าอุปปจารสมาธิด้วยนิมิตกสิณ จะดีมั้ยครับ หรือจะใช้พองหนอ-ยุบหนอตามปกติ จะได้ผลดีกว่า ผมยัง งงๆ ครับ แต่ปัจจุบัน
ก็ใช้ยุบหนอ-พองหนอ ตามปกติครับ พยายามเห็นสักแต่ว่าเห็น ไม่สนในในนิมิต แบบนี้ดีแล้วใช่มั้ยครับ เพราะ...บางทีถ้าผมมองนิมิตไปนานๆ เล่นไปทางนั้นหลายๆ วัน บางทีเวลานอนตอนบ่าย มันจะเคลิ้มๆ แล้วหลับ แล้วบางทีไปเห็นนู่นเห็นนี่ เหมือนจิตไปเห็นภาพ ไม่รู้มาได้ไง เหมือนกัน แต่รู้อยู่ว่าตัวเองไม่ได้หลับ แต่จะปลุกตัวเองให้ตื่นก็ไม่ง่าย เลยบางครั้งเหมือนมีอะไรมาแทรก เลยคิดว่ามันไม่น่าจะใช่ เลยไปทาง ยุบหนอ-พองหนอตามปกติที่ครูบาอาจารย์สอนดีกว่า ไม่มีพิษไม่มีภัย

2. การเกิดนิมิตในดวงจิตนี่มันมาได้อย่างไรครับอาจารย์ ดร.สนอง เพราะผมไม่เคยไปนั่งเพ่งอะไรที่ไหน ที่มันเกิดได้ก็เพราะเมื่อก่อนนั่งสมาธิไปนานๆ โดยยังไม่รูจักวิปัสสนา นั่งไปสักพัก มันเกิดดวงนิมิตมาเองครับ จึงอยากทราบว่า อันนี้มันเป็นของเก่าของผมรึเปล่าครับ

*ขอกราบขอบพระคุณ ดร.สนอง วรอุไล และทีงานมากครับๆ ที่สละเวลาตอบปัญหา และก็ขอโทษที่ต้องมาถามเรื่องแบบนี้ซึ่งก็เข้าใจว่า มันไม่ใช่ทางแห่งปัญญา แต่มันเป็นสิ่งที่ผมยังค้างคาใจครับ ขอบคุณมากๆครับ.

คำตอบ
(๑) เมื่อนิมิตกสิณหายไป ผู้รู้จะรู้ว่า นิมิตกสิณดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วปัญญาเห็นแจ้งในนิมิตนั้นจะเกิดขึ้น ส่วนผู้ไม่รู้ เรียกกสิณนั้นให้กลับมาปรากฏขึ้นอีก อย่างนี้เรียกว่า หลง จะใช้องค์บริกรรมเช่นใด ย่อมเลือกได้ตามที่ถูกกับจริต แต่ผลสุดท้ายของการบริกรรม จิตต้องตั้งมั่นเป็นสมาธิ ฉะนั้นเลือกปฏิบัติตามที่ชอบ

เมื่อใดมีอาการพองยุบเกิดขึ้นที่ผนังหน้าท้อง แล้วทำเป็นไม่สนใจ ท่านเจ้าคุณโชดกเรียกว่า มีจิตเป็นโมหะ

ส่วนคำว่า “ เห็นสักแต่ว่าเห็น ” นั้นหมายความว่า เอาจิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ ตามดูสิ่งที่ถูกเห็น ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อสิ่งที่ถูกเห็นเข้าสู่ความเป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน แล้วมีจิตปล่อยวางสิ่งที่ไม่มีตัวตนแท้จริง อย่างนี้จึงจะเรียกว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น

การมีจิตส่ายไปรับเอาสิ่งกระทบมาปรุงอารมณ์ เช่นไปเห็นนู่นเห็นนี่ เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับคนที่มีจิตขาดสติ คนที่มีสติมั่นคงจะไม่เห็นอะไร แต่จิตจดจ่ออยู่กับอิริยาบถที่เป็นปัจจุบันขณะเท่านั้น

(๒) นิมิตที่เกิดขึ้นกับจิต มีสาเหตุมาจากจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ แล้วทำให้ความถี่คลื่นจิตมีความเป็นระเบียบ มิติใดที่มีความถี่คลื่นตรงกัน ปฏิสัมพันธ์ย่อมทำให้เกิดผลเป็นนิมิตขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง สำหรับคำสอน และการทำงานอย่างหนักของท่านอาจารย์เพื่อช่วยเพื่อนให้พ้นอบายภูมิ ดิฉันเป็นบุคคลหนึ่งที่เคารพ และศรัทธาต่อคำสอนของอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง

จากการที่ได้เข้าฝึกและเรียนกรรมฐาน รวมถึงการฟังธรรมจากอาจารย์สนอง ทำให้ดิฉันมีความตั้งใจอยากที่จะบวชชีตลอดชีวิต เพื่อปฏิบัติธรรม เนื่องจากมีความรู้สึกว่าชีวิตตนเองอาจอยู่ได้ไม่นาน แต่ทว่าตัวเองเป็นคนที่ต้องเลี้ยงดูสามีชาวต่างชาติ เคยบอกกับสามีเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการบวชแล้ว สามีมีความเสียใจอย่างยิ่งเนื่องจากเขาต้องการที่จะอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต

นอกจากนี้ดิฉันจบการศึกษาสูงสุดทางด้านวิทยาศาสตร์ ปัจจุบันมีอาชีพเป็นอาจารย์ โดยทางองค์กรต้องการให้ผลิตผลงานตีพิมพ์ในวารสาร แต่ในใจดิฉันเห็นตรงตามที่อาจารย์สนองกล่าวว่า งานวิจัยเหล่านี้เป็นเพียงจริงสภาวะ ไม่ยั่งยืน ดิฉันจึงหันมาให้เวลาศึกษาธรรมะของพระพุทธองค์มากกว่า แต่ทว่างานในองค์กรก็ต้องให้สำเร็จตามที่ได้ระบุไว้ ทำให้เกิดความขัดแย้งในความรู้สึกของตนเองอย่างยิ่ง

ขอความกรุณาอาจารย์สนอง ช่วยแนะแนวทางที่ถูกต้องตามธรรมให้ดิฉันด้วยว่า
1) ควรออกบวชเมื่อไรและควรทำอย่างไรให้สามีเข้าใจ

2) ยังควรทำงานวิจัยต่าง ๆ ต่อไปหรือไม่ เนื่องจากว่าการทำวิจัยแต่ละงาน ต้องทุ่มเททั้งกำลังกายและกำลังใจอย่างหนัก จึงกลัวว่าจะไม่มีเวลาให้กับการปฏิบัติธรรม

3) มีแนวทางภาวนาอย่างไร ในขณะที่ทำงานและทำวิจัยคะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สนองอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
(๑). ผู้ถามปัญหาประสงค์บวชเป็นชี ต้องพัฒนาตัวเองให้ดีจนสามีศรัทธา แล้วอนุญาตให้บวชได้ จึงควรบวชตามปรารถนา

(๒). ตราบใดภาระของสังคมยังมีอยู่ ควรทำงานวิจัยต่อไป เมื่อเสร็จจากงานสังคมแล้ว จึงจะเอาเวลาที่เหลือมาทำงาน (ปฏิบัติธรรม) ให้กับตนเอง

(๓). ขณะยังทำงานวิจัย ต้องทำงานด้วยใจรัก (ฉันทะ) ทำงานด้วยความพากเพียร (วิริยะ) เอาใจจดจ่ออยู่กับงานที่ทำ (จิตตะ) และใช้ปัญญาไต่สวนผลงาน (วิมังสา)

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รบกวนเรียนถามอาจารยดังนี้ค่ะ
1. หากหญิงสาวติดต่อกับพระสงฆ์ผ่านทาง website ธรรมะ หรือทาง Email ส่วนตัว แต่เป็นไปในเรื่องอรรถเรื่องธรรม จะผิดหรือบาปมั้ยคะ ช่วยอธิบายด้วยนะคะ

2. ดิฉันกับเพื่อนมีข้อสงสัยค่ะ เห็นไม่ตรงกัน ที่สุดจึงต้องมารบกวนถามอาจารย์ค่ะ เพื่อนว่าพระพุทธองค์สอนว่า ทุกอย่างไม่มีเรื่องบังเอิญ สิ่งที่เกิดล้วนมาจากเหตุและปัจจัยทั้งสิ้น เพื่อนบอกว่าดังนั้นการสร้างกรรมใหม่จึงไม่น่าจะมีได้ เพราะทุกการกระทำที่ทำไปนั้น ล้วนต้องมาจากเหตุปัจจัยบันดาลให้ตัดสินใจทำลงไปทั้งสิ้น อาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยนะคะ

3. การที่เราทำบุญทำทาน จำเป็นต้องอธิษฐานจิตหรือไม่คะ เช่น ปรารถนาว่าจะมี หรือจะเป็นอะไร (เทวดา พรหม หรือแม้แต่พระอริยบุคคล) ปกติเวลาทำบุญดิฉันไม่ค่อยได้อธิษฐาน นานๆครั้งจึงตั้งจิตว่า ขอให้เกิดเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิทุกชาติ ตราบที่ยังต้องเดินทางต่อไป และมีโลกุตตรปัญญา พ้นจากกองทุกข์ได้โดยเร็ว

ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
(๑). ปฏิสัมพันธ์ระหว่างหญิงสาวกับพระสงฆ์ ผ่านทาง website หรือ e-mail หากเป็นไปเพื่อธรรมะโดยไม่เกิดความเศร้าหมองขึ้นกับจิต ไม่ถือว่าเป็นบาป

(๒). คำว่า “ เหตุ ” และ “ ปัจจัย ” มีความหมายเป็นสิ่งเดียวกัน หมายถึงสิ่งที่ทำให้เกิด เหตุจะเกิดขึ้นได้ต้องมีสัตว์บุคคลเป็นผู้กระทำ การตัดสินใจทำเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดขึ้น เป็นเรื่องของปัญญา ซึ่งมีทั้งปัญญาเห็นถูกตามธรรมและปัญญาเห็นผิดไปจากธรรม ดังนั้นประโยคที่ว่า “ สิ่งที่เกิดล้วนมาจากเหตุทั้งสิ้น ” จึงเป็นคำกล่าวของคนที่มีปัญญาเห็นถูกตามธรรม เมื่อใดกรรมที่ทำไว้ให้ผล ผู้ทำเหตุรวมถึงผู้ร่วมกระทำเหตุ ต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ดังนั้นการกระทำมิได้ขึ้นอยู่กับที่เหตุเป็นตัวบันดาลให้เกิด แต่ขึ้นอยู่กับปัญญาในดวงจิตเป็นตัวสั่งให้สัตว์บุคคลกระทำกรรม

(๓). การประพฤติเหตุตามบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ผลของการประพฤติย่อมแสดงออกเป็นบุญ ส่วนคำว่า “ อธิษฐาน ” หมายถึง การตั้งจิตปรารถนา ด้วยเหตุนี้หลังจากทำบุญแล้ว เจ้าชายสุมนะ (อดีตของพระอานนท์) ได้อธิษฐานต่อพระปทุมุตตรพุทธเจ้า ขอเป็นพุทธอุปัฏฐากในพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งที่จะมีมาในกาลข้างหน้า ผลปรากฏว่า ในสมัยที่พระสมณโคดมมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระอานนท์จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพุทธอุปัฏฐากประจำ ทั้งๆที่พระนาคิตะ พระมหาจุณทะ พระเมฆิยะ พระสาคตะ พระอุปวาณะ ฯลฯ ซึ่งเคยรับใช้พระพุทธโคดมมาก่อน แต่มิได้รับการแต่งตั้ง ทั้งนี้เพราะอดีตชาติ บุคคลเหล่านั้นมิได้อธิษฐานเป็นพุทธอุปัฏฐากมาก่อนนั่นเอง

ฉะนั้น ที่ผู้ถามปัญหาอธิษฐานเอาไว้ว่า เกิดมาให้เป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิทุกชาติ มีโลกุตตรปัญญา พ้นไปจากทุกข์โดยเร็ว จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรณีที่เทวดาตั้งแต่ชั้นที่ 1 ถึง 6 นั้น ท่านสามารถจะบรรลุถีงขั้นอรหันเเละนิพานไดไหมครับ โปรดช่วยตอบด้วยครับอาจารย์

ผู้มีความรู้น้อย

คำตอบ
เทวดาหมายถึงชาวสวรรค์ ทั้งเพศชายและเพศหญิง เทวดาในทุกชั้นของสวรรค์ มีศักยภาพที่จะพัฒนาจิตตนเองให้บรรลุอรหัตตผลได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีหลาน 1 คน เดิมอยู่ด้วยกันกับดิฉันและคุณแม่ (ย่าเด็ก)ที่ชลบุรี เกเร นักเลง ด่าย่า ไม่เรียนหนังสือ โรงเรียนเชิญออก ดิฉันส่งไปอยู่กลับแม่เขาที่กรุงเทพฯ(พระโขนง) ให้โอกาสทุกเรื่องจนถึงโอกาสสุดท้ายทั้งหมด เรื่องเรียนก็เสียเงินให้โรงเรียนใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดโรงเรียนก็เชิญออก และตัวเขาก็หนีแม่ไปอยู่บ้านที่พ่อเขาเสีย (บางกะปิ) และอยู่คนเดียว ให้ขอเงินจากเพื่อนบ้านใช้วันละร้อย บอกให้เขานั่งคิดนอนคิดไประหว่างที่ไม่มีอะไรทำและไม่ได้เรียน ดิฉันรู้ว่าเขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อกลับมาอยู่กับย่าที่ชลบุรี แต่ดิฉันไม่อนุญาต บอกต้องเรียน จบ ม.3 ก่อนแล้วจะให้กลับมา เพราะกลัวจะกลับมาประพฤติแบบเดิม และย่ามีแต่เสียใจเสียน้ำตาและเสียเงิน ความดันก็ขึ้น ทุกข์ทรมาน

ในวันนี้ แม่เขาโทรมาบอกว่าเขาต้องการบวชเพื่อทดแทนบุญคุณย่าและแม่ 1 เดือน ให้บอกดิฉันหน่อย(ดิฉันเคยพาไปโครงการคุณแม่สิริที่นครนายก ไปอยู่ 1 คืน หนีกลับ ) เขาเลยไม่กล้าบอกเอง เพราะไม่เคยทำอะไรสำเร็จตามที่พูดสักครั้งหนึ่ง ดิฉันคิดจะบวชให้เขาแต่ต้องการจะให้เขาได้การเจริญภาวนา ปฏิบัติธรรมบ้าง เพราะเขาเคยบวชให้พ่อตอนพ่อตาย อยู่วัดในกรุงเทพฯเล่นเกมส์ ได้อีกด้วย

จะขอเรียนถามอาจารย์ว่า ด้วยข้อเท็จจริงของหลานคนนี้ ดิฉันควรจะพาเขาไปบวชที่วัดไหน จะเป็นวัดป่า หรือวัดใดที่ต่างจังหวัดห่างไกลจากความเจริญ ดิฉันก็จะพาไป อาจารย์กรุณาเมตตาด้วย

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
ไม่มีใครแก้ปัญหาใครได้อย่างแท้จริง ดังนั้นผู้มีปัญหาต้องแก้ไขด้วยตนเอง สิ่งที่ผู้ตอบปัญหาชี้แนะให้ได้คือ นำเขาไปบวชเณรและปฏิบัติธรรมอยู่กับหลวงปู่พุทธะอิสระ วัดอ้อน้อย อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ซึ่งต่อไปในวันข้างหน้า เขาจะเป็นอย่างไรต้องปล่อยวาง คือช่วยเท่าที่ทำได้เท่านั้น แล้วจะไม่ทุกข์ใจ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากให้ท่านช่วยอนเรื่องของขันธ์ 5 หน่อยคะ อันที่จริงรู้ว่า ประกอบด้วย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เวทนาคือความรู้สึก ก็คือ สุข หรือทุกข์ สัญญ คือความจำได้ สังขาร คือการปรุงแต่ง แต่วิญญาณ ยังไม่ค่อยเข้าใจยังเอาไปสับสนกับเวทนาอยู่คะ อยากให้ท่านช่วยอธิบายหน่อยคะ

ส่วนคำถามนี้ค้างคาใจมานานคะ ว่า ความคิดปรุงแต่งคืออะไร

ใช่ความคิดฟุ้งซ่านหรือป่าวคะ แล้วถ้าเราคิดในชีวิตประจำวันนี้ใช่ความคิดปรุ่งแต่งหรือเปล่าคะ


ถ้าหากเราต้องการที่จะหยุกความคิดปรุงแต่งมีวิธ๊การอย่างไรให้หลุดพ้นจากความคิดปรุงแต่ง

.......... ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
ขันธ์ ๕ ประกอบด้วยรูปขันธ์ ส่วนที่เหลือเป็นนามขันธ์ เรียกว่า เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์

เวทนา หมายถึง ความสุข ความทุกข์ ความไม่สุขไม่ทุกข์ ที่ปรากฏเป็นอารมณ์ขึ้นกับจิต เวทนาล้วนดำเนินตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดเวทนาเข้าสู่ความเป็นอนัตตา ผู้เข้าถึงสัจจธรรมนี้แล้ว ย่อมเห็นว่าเวทนาไม่มีตัวตนแท้จริง จิตจะปล่อยวางเวทนา แล้วอารมณ์สุข อารมณ์ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ จะไม่เกิดขึ้นกับดวงจิต

ส่วนวิญญาณขันธ์ หมายถึง ความรู้ที่เกิดขึ้นกับใจ ผู้เข้าถึงสัจจธรรมนี้ได้แล้ว ย่อมเห็นว่าความรู้ในเรื่องอารมณ์ที่เกิดกับใจเป็นสิ่งไม่มีตัวตนแท้จริง จิตจะปล่อยวางความรู้ที่เกิดขึ้นกับใจ แล้วทำให้จิตว่างเป็นอิสระจากความรู้ที่เกิดขึ้นกับใจนั้น

อนึ่งการอ่านคำตอบเป็นเพียงสุตมยปัญญา ผู้อ่านย่อมจำสิ่งที่ตอบได้ แต่หากผู้ใดปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งในวิญญาณขันธ์ได้แล้ว ความถ่องแท้ในการรู้เห็นเข้าใจในวิญญาณขันธ์ย่อมเกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. จากการที่ได้อ่านหนังสือบางเล่ม ที่ว่าการที่เราทำสังฆทานในทุกวันนี้ นี่ผิดแบบจากในพระไตรปิฎก ซึ่งได้เขียนถึงการทำสังฆทานที่ถูกต้องไว้ การทำไม่ถูกต้องนั้น แม้จะได้ชื่อว่าทำสังฆทานเหมือนกัน แต่ทำให้ได้บุญลดน้อยลง หรือได้บุญไม่เท่ากับการทำสังฆทานอย่างถูกต้อง นั้นเป็นจริงหรือไม่คะ

2. หนูเคยได้ซื้อของเพื่อเตรียมใส่บาตรพระ ในวันรุ่งขึ้น แต่บางครั้งก็ตื่นไม่ทัน ก็กลัวของเสีย ก็ทานเองบ้าง แบ่งคนอื่นทานบ้าง ก็คิดว่าไม่เป็นไร วันต่อไปก็ค่อยซื้อใส่บาตรใหม่ อย่างนี้เป็นบาปหรือไม่คะ

3. หนูมีเงินเก็บอยู่ส่วนหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ต้องสำรองไว้ในการทำธุรกิจของครอบครัว ( หนู และสามี)
ซึ่งตอนนี้หนูและสามีเริ่มทำธุรกิจใหม่กัน และขณะนี้ไม่มีรายได้เข้าค่ะ หนูและครอบครัวต้องใช้เงินเก่าที่มี จนกว่าจะทำสำเร็จ และดูต่อไปว่าจะขายได้อย่างที่คิดหรือไม่ (หนูมีลูกสาวหนึ่งคนที่ต้องดูแลค่ะ) และหนูมีพ่อ (ซึ่งบวชเป็นพระ) ท่านอยากได้กุฏิ ในที่บริเวณแห่งหนึ่งในวัดน่ะค่ะ ท่านไม่ได้พูดขอนะคะ เพียงแต่ท่านเคยพูดว่าอยากอยู่ตรงนั้น เงินที่เก็บไว้ก็พอที่จะสร้างกุฎิให้ท่านได้ค่ะ และก็อยากให้ท่านได้สมใจ แต่ในขณะนี้ หนูมีอยู่ 2 ความคิดเห็นค่ะ คือ
หนูควรปลูกให้ท่านตอนทีธุรกิจหนูไปได้แล้ว ครอบครัวจะได้ปลอดภัย และอีกความคิดก็คือถ้าหนูกลัวอนาคตความมั่นคงของตัวเอง และครอบครัวอย่างเดียว และรอ หากเกิดอะไรขึ้นก่อน หนูอาจไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่อยากทำให้พ่อ เพื่อตอบแทนบุญคุณน่ะค่ะ
ความคิดแบบใดถึงจะถูกต้อง ขอรบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะแนวทางหนูด้วยนะคะ

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มาก ๆ นะคะ

คำตอบ
(๑) ทานที่มีผู้ศรัทธาถวายไว้แก่หมู่สงฆ์ เรียกว่า สังฆทาน ผู้ถวายได้บุญมาก ตรงกันข้าม ทานที่มีผู้ศรัทธาถวายให้แก่สงฆ์รูปใดรูปหนึ่ง เมื่อสงฆ์รับถวายแล้ว นำไปบริโภคใช้สอยเป็นการส่วนตน อย่างนี้เรียกว่า ปุกคลิกทาน ผู้ถวายได้บุญน้อย

(๒) เจตนาซื้อของใส่บาตรในวันรุ่งขึ้น แต่ตื่นไม่ทันจึงมิได้ใส่บาตร การประพฤติเช่นนี้มีบาปเกิดขึ้นตรงที่ไม่รักษาสัจจะ แล้วนำของที่เตรียมไว้ใส่บาตรมากิน โดยคิดว่าวันถัดไปค่อยซื้อหามาใส่บาตรใหม่ หากทำแล้วไม่สบายใจถือว่าเป็นบาป และเช่นเดียวกัน ความสงสัยในการกระทำของตน แล้วเขียนมาถามผู้รู้ ความสงสัยนั้นถือว่าเป็นบาป

(๓) ความคิดทั้งสองรูปแบบ เป็นความคิดที่เกิดขึ้นกับผู้รู้ไม่จริง ผู้รู้จริงรู้ว่า ความคิดที่ดีงามที่เป็นปัจจุบันขณะ ความคิดเช่นนี้ถือว่าเป็นความคิดที่ถูกต้องตามธรรม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รบกวนขอถามว่า นรกหรือสวรรค์ของฝรั่ง,อิสลาม จะเป็นอย่างไร ในเมื่อฝรั่งหรือชาวคริสต์ เค้าไม่ได้สอนเรื่องการห้ามดื่มสุรา นรกสวรรค์ของเค้ากับเราชาวพุทธต่างหรือเหมือนกันอย่างไรครับ

คำตอบ
นรกหรือสวรรค์ของฝรั่ง ของอิสลาม เป็นอย่างไร ผู้ตอบปัญหามิทราบ เพราะไม่มีประสบการณ์ แต่มีประสบการณ์ตรงที่ว่า คนที่นับถือศาสนาอื่น ที่มารับโทษอยู่ในเรือนจำของประเทศไทย มีจิตหมดอิสรภาพเหมือนกัน ต้องมารับสมมุติแบบไทย คือนักโทษกินข้าว และต้องสื่อสารกันด้วยภาษาไทย เมื่อถูกทำโทษถึงขั้นประหารชีวิต มีสภาวะของจิตหลุดออกจากร่างกายเหมือนกัน ฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คือผมกำลังจะสอบเป็นผู้พิพากษา จึงอยากจะถามอาจารย์สนอง ว่าผมจะดำเนินชีวิตเป็นผู้พิพากษาอย่างไร ที่จะไม่ตกนรกและดวงตาเห็นธรรม โดยปฏิบัติอย่างไรครับต้องฝีก ให้ได้ถึงระดับใด

คำตอบ
การประกอบอาชีพตุลาการที่ปลอดภัย ต้องพัฒนาจิตตนเองให้มีเทวดาคุ้มรักษา ด้วยประพฤติตนอย่างน้อยให้มีเบญจศีล และเบญจธรรมคุ้มรักษาใจอยู่ทุกขณะตื่น หรืออย่างมากต้องปฏิบัติธรรม จนสามารถปิดอบายภูมิ (โสดาบัน) ได้แล้ว อาชีพตุลาการที่เสี่ยงต่อการไปเกิดอยู่ในอบายภูมิย่อมหมดไป

เบญจศีล ได้แก่ เว้นจากการทำลายชีวิต เว้นจากการถือเอาของที่เขามิได้ให้ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการพูดไม่ตรงความจริง และเว้นจากการเสพของมึนเมาอันเป็นเหตุให้ขาดสติ

เบญจธรรม ได้แก่ เมตตากรุณา สัมมาอาชีวะ กามสังวร สัจจะ และสติสัมปชัญญะ (คุณธรรมทั้งห้านี้ต้องประพฤติให้เกิดมีขึ้นกับตนเอง)

อนึ่ง คำบรรยายเรื่อง “ ธรรมะกับการปฏิบัติงานของผู้พิพากษา ” ที่แสดงให้ผู้พิพากษาศาลฎีกาฟัง เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ นั้น ผู้บรรยายขอสงวนสิทธิ์มิให้นำออกเผยแพร่ ณ เวลานี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 17:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ผมทำงานหลักเป็นนักออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์ใช้คอมพิวเตอร์ ต้องโปรแกรมหลายโปรแกรมที่ละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ทราบว่ามันบาปกรรมมากไหมครับ ผลกรรมมันจะเป็นอย่างไรครับ ตอนนี้ผมก็สวดมัน สวดมนต์ อาราธนาศีล 5 ก่อนนอน นั่งสมาธิ แผ่เมตตา อษิฐานจิตก่อนนอนทุกคืน ไม่ทราบว่ามันขัดกันไหมครับ

2. ผมอยากทำงานประสบความสำเร็จทางโลกให้สูงที่สุดและนำปัญญาที่ได้ไปศึกษาเรื่องทีต้องใช้ปัญญาขั้นสูง เช่น เรื่องมนุษย์ต่างดาว ฯ โดยใช้หลักการปฏิบัติธรรมเป็นหลัก อยากฝึกจริง ๆ จัง ๆ เท่าที่ฟังจากท่านอาจารย์ ผมสนใจเรื่องปัญญาจากฌาน และเรื่องอภิญญา โดยผมฝึกแบบเป็นฆราวาส ไม่ทราบท่านอาจารย์บอกแนะแนวหรือแนะสถานที่ฝึกได้ไหมครับ

3. อยากถามท่านอาจารย์ครับ เนื่องจากผมปัญญายังน้อยเลยอยากถามท่านอาจารย์ว่า หลังจากนิพพานแล้วเราอยากทำสิ่งใดในสิ่งที่เราอยากรู้ได้ไหมครับ เรามีหน้าที่ที่ต้องทำอะไรอีกไหม สภาวะจิตมันเป็นอย่างไร อยากให้ขยายความหน่อยครับ

ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่กรุณาตอบคำถาม
ขอให้ท่านอาจารย์ประสพแต่ความสุขตลอดไปครับ

คำตอบ
(๑) การกระทำที่บอกเล่าไปถือว่าเป็นบาป ผู้ใดยังประพฤติอยู่ ผู้นั้นยังสามารถปฏิบัติธรรม คือ สวดมนต์ได้ นั่งสมาธิได้ อธิษฐานได้ ฯลฯ แต่เข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ และหากถึงเวลาที่จิตทิ้งขันธ์ลาโลกแล้ว พลังบาปยังมีโอกาสผลักดันจิตให้ลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิได้ ด้วยสาเหตุที่ประพฤติธรรมไม่สมควรแก่ธรรมนั่นเอง

(๒) ผู้ใดประสงค์ความสำเร็จในทางโลก ต้องประพฤติเหตุให้ถูกตรงดังนี้ คือ
๑. เลือกทำแต่งานดี (ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล ไม่ผิดธรรม)
๒. มีทัศนคติในการทำงานถูกต้อง อาทิ ทำงานเพื่อเรียนรู้ตน เรียนรู้งาน ทำงานเพื่อให้สิ่งดีงามแก่สังคม ทำงานให้สำเร็จ ทำงานแล้วเสร็จทันเวลา ผลงานเข้าตา ทำงานเพื่องาน ฯลฯ
๓. พัฒนาตัวเองให้เป็นคนเก่งและดี คนเก่งคือคนที่มีความรู้มีความสามารถ คนดีคือคนที่มีคุณธรรม จะมีคุณธรรมได้ ต้องประพฤติจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับตน เช่น ประพฤติตนเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นพนักงานที่ดี เป็นพลเมืองดี ฯลฯ
๔. คบคนดีเป็นมิตร
ฯลฯ

ผู้ใดปรารถนาพัฒนาจิตให้เข้าถึงอภิญญา ๕ (อิทธิวิธี ทิพพโสต ปุพเพนิวาสานุสติญาณ เจโตปริยญาณ ทิพพจักขุ) ต้องปฏิบัติสมถภาวานาจนจิตเข้าถึงความตั้งมั่นแน่วแน่ (จิตทรงฌาน) ได้เมื่อใดแล้ว นำจิตออกจากความทรงฌาน อภิญญา ๕ จึงจะเกิดขึ้นได้ ผู้ตอบปัญหาไม่แนะนำให้มุ่งพัฒนาจิตไปในแนวทางนั้น เพราะไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ตรงกันข้ามแนะนำผู้ถามปัญหาให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดมเหยงค์ จังหวัดอยุธยา เพื่อพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ซึ่งสามารถใช้เป็นศัสตรากำจัดกิเลสที่มีอำนาจเหนือใจให้หมดไป แล้วการพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวง จึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้

(๓) ผู้ตอบปัญหาไม่มีประสบการณ์ จึงไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ แต่พระสารีบุตรได้ตอบปัญหาในลักษณะนี้ให้กับ ชัมพุขาทกะ ปริพาชกนอกพุทธศาสนาว่า

ชัมพุขาทกะ : นิพพานเป็นอย่างไร

พระสารีบุตร : ความสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ สภาวะของจิตเช่นนี้แหละ เรียกว่า นิพพาน

อนึ่ง เคยมีผู้ถามปัญหานี้กับหลวงพ่อประสิทธิ์ (มรณภาพแล้ว) แห่งถ้ำยายปริก เกาะสีชัง จังหวัดชลบุรีว่า

ผู้ถาม : บางคนบอกว่าพระอรหันต์ มาเยี่ยมผู้ปฏิบัติธรรมแสดงว่า รูปนามนั้นยังไม่ดับสิครับ

ลพ. ประสิทธิ์ : รูปนามดับ ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งดับ อาการทางจิต (เจตสิก) เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง เมตตา สติ ปัญญา ฯลฯ ดับ แต่ใจไม่ดับ เข้าใจไหม

ผู้ถาม : พระพุทธองค์เคยตรัสว่า หลังจากพระองค์นิพพานแล้ว จะไม่มีใครได้เห็นพระองค์อีก ไม่ว่าจะเป็นเทวดาหรือมนุษย์ แต่ปัจจุบันยังมีผู้ปฏิบัติธรรมบอกว่า พระอรหันต์ที่นิพพานไปแล้วมาสั่งสอนธรรม

ลพ. ประสิทธิ์ : จะจริงก็ต่อเมื่อผู้นั้นได้เห็นพระขีณาสพ (พระอรหันต์) เพราะเจตสิกและความนึกคิดปรุงแต่งของท่านไม่มี นอกนั้นล้วนเป็นสภาวธรรมที่มากระทบทั้งสิ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 75, 76, 77, 78, 79, 80, 81 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร