วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 23:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 73, 74, 75, 76, 77, 78, 79 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ที่วัดแถวบ้านของหนูมีการจัดอบรมภาวนาคะ หนูและคุณแม่สามีคิดว่าเมื่อเรา ไม่ได้เข้าภาวนา น่าจะไปร่วมทำบุญ และ อนุโมทนาบุญ กับชาวบ้านที่ร่วมภาวนา (ส่วนใหญ่เป็นคนวัยกลางคน และ ผู้สูงอายุคะ) ระหว่างนั้น หนูได้สนทนาธรรมกับพระอาจารย์ผู้จัดงาน ท่านทราบว่าหนูพอมีความรู้บ้าง หนูเคยศึกษา พระอภิธรรมมาพอสมควรจบชั้นจุลตรี จบนักธรรมโท และ ผ่านการฝึกอบรมวิปัสสนามาหลายสำนักคะ และ ทุกวันนี้ไม่หยุด ที่จะแสวงหาความรู้ทางธรรมคะ ท่านต้องการให้หนูเป็นวิทยากรบรรยายธรรมะ ให้ผู้ร่วมภาวนาฟังคะ ที่แรกหนูปฏิเสธ เพราะหนูคิดว่าต้องเตรียมตัว และ การพูดธรรมะต้องพูดของจริง แต่ท่านก็ขอร้องเพราะ ไม่มีวิทยากรที่ เป็นฆราวาสมาบรรยายธรรม ต่อมาหนูคิดว่าหากไม่พูดธรรมตอนนี้หนูก็ไม่มีโอกาสจะสั่งสมบุญ 1 ใน 10 บุญกิริยา จึงตัดสินใจรับปากท่าน เรื่องที่หนูพูดในวันนั้น หนูได้นำธรรมของอาจารย์สุรวัฒน์ ที่หนูได้อ่านและง่ายสำหรับผู้เริ่มปฏิบัติคะ

1. หนูจะบาปรึเปล่าคะ ในการนำธรรมะของครูบาอาจารย์ ไปบรรยายให้ผู้ปฏิบัติธรรมฟัง (แต่หนูมั่นใจว่าเป็นธรรมที่เป็นสัมมาทิฐิคะ) หนูมีเจตนาตั้งใจต้องการให้ผู้ภาวนา (ทั้งสมาธิ หรือ วิปัสสนา) ได้มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มากขึ้น เลยเล่าเรื่องประสบการณ์ของตนเสริม ให้ผู้เข้าภาวนาฟังบ้าง (บ้านหนูอยู่บ้านนอกคะ ชาวบ้านส่วนใหญ่ ไม่เน้นปฏิบัติ และ ปริยัติ ทำไร่ ทำสวน คนแก่)

2. วันที่ 9 ตุลาคม ท่านเจ้าอาวาสต้องการให้หนูไปเป็นวิทยากร อีกคะ หนูอยากขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์คะว่าควรจะไปบรรยายหรือไม่ หากต้องไป ควรทำอย่างไร หรือปฏิเสธท่านไปเลยคะ

3. ในสมัยที่หนูเรียนพระอภิธรรม หนูเคยบรรยายธรรม ให้พระ และ ฆราวาสฟัง (ผู้มีความรู้) แต่ทำไมไม่รู้สึกว่าผิดคะ แต่ตอนนี้พอปฏิบัติมากขึ้น กลับกลัวการบรรยายธรรมะ (ทั้งที่ผู้ฟังเป็นชาวบ้าน)

รบกวนอาจารย์ด้วยนะคะ และหนูขอร่วมอนุโมทนาที่สิ่งที่อาจารย์ที่ได้ทำอยู่ทุกวันนี้คะ

คำตอบ
(๑) ไม่บาปครับ

(๒) การบรรยายธรรม ถือได้ว่าเป็นการให้ปัญญาเป็นทาน เมื่อเทียบกับการให้ทานประเภทต่างๆ แล้ว การให้ปัญญาเป็นทาน ถือว่าเป็นบุญสูงสุดในบรรดาทานทั้งหลาย ฉะนั้นผู้ใดประสงค์ให้ปัญญาเป็นทานด้วยการบรรยายธรรม จึงไม่ควรปฏิเสธ แต่การเผยแพร่ธรรมต้องถูกตรงตามธรรมวินัยของพระพุทธโคดม จึงจะไม่เป็นบาปเกิดขึ้น

(๓) การเรียนอภิธรรมเป็นเพียงรู้ธรรม แต่การปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงเหตุผลแท้จริงได้แล้ว ถือว่าเป็นผู้มีธรรม คือ สามารถรู้เห็นเข้าใจความจริงแท้ของสรรพสิ่งได้ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่กลัวการบรรยายธรรม จึงยังเป็นผู้ที่ยังไม่รู้แจ้งในธรรมที่บรรยายนั่นเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเรียนถามท่านอาจารย์ ดังนี้คะ

1. เราสามารถช่วยผู้ที่ตายก่อนอายุขัย ได้ด้วยวิธีการทำบุญแบบใด
จึงจะมีผลทำให้ผู้ตายหลุึดพ้นจากสภาพสัมพเวสีไปเป็นเทวดา หรือไ้ด้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดี
หากไม่สามารถทำได้จะมีวิธีใดที่จะช่วยให้ดวงวิญญาณนั้นไม่ต้องทนทุกข์ทรมานบ้างคะ

2. ผลบุญที่เราได้กระทำแล้วและอุทิศให้แก่ผู้ตาย เราจะทราบได้อย่างไรว่า ผู้ตายได้มาโมทนาส่วนกุศลนั้นแล้ว หากผู้ตายอยู่ในสภาวะที่สามารถมารับได้ เขาจะทราบไหมคะ ว่าเราเรียกชื่อเขา ให้มาโมทนาในเมื่อเราอยู่กันคนละภพภูมิ

รบกวนท่านอาจารย์ช่วยคลายข้อสงสัยและแนะนำวิธีการทำบุญที่ถูกต้องให้ด้วยคะ

ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง


คำตอบ
(๑) การช่วยผู้ที่ตายไปเป็นสัมภเวสี ไม่ให้ต้องทนทุกข์ทรมาน สามารถทำได้บางส่วนด้วยการอุทิศบุญ อันเกิดจากการให้วัตถุเป็นทาน ส่วนอกุศลวิบากที่ส่งผลให้ไปเกิดเป็นสัมภเวสี เขาต้องเสวยไปจนครบอายุขัย แล้วจึงสามารถไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในภพภูมิอื่น ตามแรงผลักของกรรมที่ตนทำไว้ก่อนตาย

(๒) แม้จะไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในต่างภพภูมิ หากผู้อุทิศบุญสามารถสื่อสารถึงกันได้ เขาย่อมรับทราบได้ไม่ว่าจะเอ่ยชื่อหรือไม่เอ่ยชื่อก็ตาม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะนี้ดิฉันมีความทุกข์มากค่ะ ตัวดิฉันมองเห็นทุกข์ที่หลั่งไหลเข้ามา พยายามมองให้เห็นทุกข์ตามสภาพความเป็นจริงที่เกิด มองเห็นว่าทุกอย่างก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่อดคิดไม่ได้ว่าทำไมต้องเป็นเรา ที่ต้องช่วยเหลือคนในครอบครัวตลอดเวลา เวลาเราเดือดร้อนก็ต้องดูแลตัวเอง แต่ก็พยายามทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด รู้ทุกข์ทุกอย่าง บางครั้งไม่รู้อาจจะทำให้ทุกข์น้อยลงไหมคะ จิตของดิฉันขณะนี้ไม่เบิกบานเลย อยากลืมทุกอย่าง อยากวางทุกอย่าง

ขอความกรุณาท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะว่าดิฉันควรวางใจอย่างไรคะ จิตถึงจะเป็นอุเบกขาและใจเบิกบานค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ


คำตอบ
ความทุกข์ หมายถึง ความยากลำบาก ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ความเดือดร้อน ฯลฯ ผู้ใดมีจิตเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ แล้วใช้จิตตามดูความทุกข์ที่เกิดขึ้น จนเห็นว่าความทุกข์เป็นสิ่งไม่เที่ยง ความทุกข์เป็นภาวะที่คงทนอยู่ไม่ได้ และความทุกข์ย่อมดับไปไม่มีตัวตนแท้จริง ก็จะเกิดปัญญาเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงว่า ความทุกข์เกิดขึ้นแล้วดับไป ความทุกข์จึงไม่มีตัวตนแท้จริง มีแต่คนที่รู้ไม่จริงเท่านั้น ยึดเอาสิ่งที่ไม่มีตัวตน (ความทุกข์) ไว้กับตัว จึงต้องมีความทุกข์

ฉะนั้น หากผู้ถามปัญหาประสงค์จะพ้นไปจากความรู้ไม่จริง (ความทุกข์) ต้องพัฒนาจิตให้สงบ แล้วใช้จิตตามดูความทุกข์ตามกฎไตรลักษณ์ให้ถึงที่สุด จึงจะสามารถปล่อยวางความทุกข์ได้ ความมีจิตว่าง ความมีจิตอิสระ ความมีจิตเป็นไท ก็จะเกิดขึ้นได้เอง คนที่รู้จริงประพฤติเช่นนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันใส่บาตรตอนเช้า และบางครั้งถวายหนังสือธรรมะที่เหมาะสมแก่พระด้วย(เล่มซื้อใหม่) ท่านก็ได้บอกว่าได้อ่านหนังสือที่ถวายแล้ว ดีมากๆ จะเอาไว้ไปเทศน์ให้ญาติโยมฟัง ดิฉันฟังแล้วปลื้มใจมากเลยค่ะ

อยากทราบว่า หากดิฉันจะนำหนังสือธรรมะที่ดิฉันอ่านแล้ว (แต่สภาพดีมาก) ถวายไป จะเป็นบาปไหมคะ หรือ ไม่เหมาะสมหรือเปล่าคะ เพราะดิฉันคิดว่าหนังสือเล่มนั้นๆ ดีมากๆ และหนังสือบางเล่มก็ซื้อจากร้านหนังสือเก่าค่ะ

ขอให้อาจารย์ให้คำแนะนำด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ

คำตอบ
ผู้ใดถวายหนังสือธรรมที่ตนเองได้อ่านแล้วให้พระ ด้วยมีจิตระลึกว่าเป็นธรรมที่ดีความเผยแพร่ การถวายในลักษณะนี้เป็นบุญ ตรงกันข้ามหากจิตของผู้ถวายระลึกได้ว่า เป็นหนังสือที่ตนเองใช้แล้ว นำไปถวายพระ การถวายในลักษณะนี้เป็นบาป

ฉะนั้น ผู้ถามปัญหาคิดว่า หนังสือเล่มนี้ดีมาก ซื้อมาจากร้านหนังสือเก่า แล้วนำไปถวายพระ ไม่ถือว่าเป็นบาป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้าพเจ้าขณะนี้ อาศัย อยู่ที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่ปี ๒๕๔๒ แต่งงานครั้งแรกกับฝรั่งที่พิการทางหูได้ ๒ ปีก็หย่ากัน และได้คบกับผู้ชายฝรั่งอีก ๒ คน จนมาพบและแต่งงานครั้งที่ ๒ กับสามีคนปัจจุบันเมื่อปี ๒๕๕๑ ขณะนี้ข้าพเจ้าอายุ ๓๕ และ มีความสงสัย เนื่องจาก สามีคนปัจจุบันี้ เป็นคนอินเดีย นับถือ ศาสนา SIKH มีลูกติด ๓ คน ส่วนข้าพเจ้าไม่มีบุตรเลย (เคยทำแท้ง ๑ ครั้ง และ ลูกตายในท้องไม่ทราบสาเหตุ ๑ครั้ง) ข้าพเจ้าเป็นคนในพุทธศาสนาแต่ไม่เคยได้มีดวงตาเห็นธรรม จนเมื่อประมาณ ๒ เดือนมานี้ ข้าพเจ้าได้เริ่มศึกษาพระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า โดยการ อ่านหนังสือธรรมมะ ดู และ ฟังสื่อธรรมะ ต่างๆ ทางอินเตอร์เนต รวมทั้ง กัลญาณธรรม ด้วยค่ะ และได้เกิด ดวงตาเห็นธรรม (หลังจากเกิดมาตั้ง ๓๕ ปี) จึงเกิดความเบื่อหน่ายกับการเกิดมาเป็นคน และเวียนว่ายตายเกิดอย่างมาก จนอยากจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดที่อยู่ไม่ไกลจากบ้าน ( วัดสันติวงศาราม สาขาของวัดสังฆทาน และวัดป่าสันติธรรม สาขาของวัดหนองป่าพง) แต่ปัญหาก็คือ สามีเกิดต่อต้านอย่างรุนแรง ไม่ยอมให้ไปค้างคืนที่ใหน และไม่พอใจแทบทุกครั้งที่เห็นข้าพเจ้า ดู ฟัง หรือ อ่าน ธรรมมะ และยังมาพูดส่อเสียดพุทธศาสนา และบอกให้ข้าพเจ้าทำตามที่ตนเห็นควรในความเชื่อทางศาสนาของตน ก็เกิดการทะเลาะกัน เพราะข้าพเจ้าศรัทธาในพระรัตนตรัยมากกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็ต้องคอยแอบทำ ทั้งการนั่งสมาธิ และสวดมนต์ที่บ้านก็เช่นกัน ต้องทำในเวลาที่เขาไม่อยู่บ้าน ข้าพเจ้าจึงเกิดความอึดอัดทางใจและยิ่งเพิ่มพูน ความเบื่อหน่ายในวงเวียนชวิตเช่นนี้เป็นอย่างมาก จึงอยากจะหนีไปให้พ้นๆ จึงคิดที่จะหนีกลับไปอยู่ที่เมืองไทย เพื่อที่จะปฏิบัติธรรมได้โดยสะดวก และหากทำได้ข้าพเจ้าก็อยากจะบวชเป็นแม่ชีถือศีล ๘ ไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่นี้ แต่ปัญหาที่ข้าพเจ้าอยากจะถามนี้ก็คือ

๑. ข้าพเจ้าจะบาปหรือเปล่าที่จะทิ้งเขาไปเช่นนี้ เขาจะต้องโกรธ และคิดว่าข้าพเจ้าเห็นแก่ตัว และหนีปัญหา (เขาเคยพูดไว้) เรามีหนี้สินที่สร้างขึ้นมาดวยกันที่อังกฤษนี้เป็นเงินไม่น้อย แต่เราก็มีบ้านและรถ ที่เป็นทรัพย์นอกกาย มากกว่าหนี้สินที่มี และข้าพเจ้าเองก็ไม่คิดที่จะเอาอะไรไปด้วยเลย ยกเว้นเงินสดเล็กน้อยที่จะเอาไปให้พ่อและแม่เพื่อตอบแทนบุญคุณท่าน แต่เรื่องของเรื่องก็คือ หนี้สินที่มีกับทางธนาคารนั้นเป็นชื่อของข้าพเจ้าผู้เดียว หากข้าพเจ้าหนีไปเขาคงไม่ยอมจ่ายหนี้นี้แน่ ข้าพเจ้าเองก็คงกลับมาที่อังกฤษไม่ได้อีก แต่ก็ไม่รู้สึกเป็นทุกข์กับเรื่องนี้เลย แต่กลัวจะบาปที่หนีหนี้ไปค่ะ เรียนท่านอาจารย์ โปรดช่วยชี้แนะด้วยค่ะ

๒. ข้าพเจ้ารู้มาว่าครอบครัวของสามีข้าพเจ้าเขานับถือวิญญานตนหนึ่งอยู่ และพวกเขาเชื่อว่าวิญญาณตนนี้เป็นผู้ดูแลพวกเขาทุกคน ถึงขนาด สร้างที่อยู่บนที่ดินของตระกูล ที่ประเทศอินเดียให้กับวิญญาณนี้ และกราบไหว้สักการะบูชามาเป็นเวลานาน รวมถึงบ้านทุกหลังของตระกูลนี้ที่อังกฤษ ก็ต้องนำสัญลักษณ์ของวิญญาณนี้มาสักการะบูชาอย่างเข้มงวดด้วย ข้าพเจ้าเลยกลัวว่าเขาจะพากันสาปแช่งข้าพเจ้า หรือใช้วิญญาณนี้ในการสาปแช่ง ทำให้ข้าพเจ้ากลัวว่าจะเป็นบ่วงกรรมทำให้ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด และเจอกันอีกในชาติต่อๆไป ข้าพเจ้าหวังอยากให้อโหสิกรรมต่อกัน ข้าพเจ้าเองอโหสิอยู่แล้ว แต่เขานี่ข้าพเจ้าไม้แน่ใจ แล้วอย่างนี้ข้าพเจ้าต้องพบกับแรงอาฆาตนี้หรือไม่ และจะเป็นอุปสรรคใด ในการหนีไปบวชอย่างไรหรือไม่เจ้าคะ ท่านอาจารย์

ข้าพเจ้าไม่เคยทำสิ่งไม่ดีกับสามีเลย ช่วยเขาดูแลลูกทั้ง ๓ เป็นอย่างดี และเด็ก ๓ คนก็ดีกับข้าพเจ้าด้วย ทำงาน ดูแลบ้าน และเป็นแม่บ้านที่ดี มาตลอด แต่อยู่ๆ ความรักที่มีให้เขามันก็หายไป แต่ก็ไม่ได้เกลียด รู้สึกเฉยชากับความรักมาก ข้าพเจ้าเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่า จากที่เคยรักมาก ทุ่มเทให้ทุกอย่าง ทนความเจ็บช้ำกับเขามามาก แต่พอวันหนึ่ง มันก็หายไปเฉยๆ ยิ่งได้มาศึกษาธรรมมะ ก็ยิ่งวางเฉย ยิ่งเขามาพูดลบหลู่พุทธศาสนา ก็ยิ่งอยากหนีให้ไกลห่างคนคนนี้ มีแต่อยากจะไปบวช ท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยนะคะ ถ้าข้าพเจ้าจะหนีไปเช่นนี้ จะเป็นอย่างไรบ้าง จะบาป ไหม จะต้องมาเกิดเพื่อเจอกับเขาอีกไหมคะ แต่ข้าพเจ้าไม่อยากมาเกิดอีกเลยไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา หรืออะไรก็ตามแต่ มันก็ทุกข์เหมือนกันดังที่อาจารย์เคยกล่าวไว้ มันจริงแท้แน่นอนค่ะ และอีก ๑ คำถามสุดท้าย

๓. พรหม หรือ เทวดา สามารถสร้างบุญจากการ เจริญภาวนา จนถึงเข้าสู่พระนิพพาน ได้หรือไม่คะ ??

ท้ายนี้ข้าพเจ้าขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ เป็นอย่างสูงที่ท่านมีจิตเมตตาต่อสัตว์โลกทั้งหลายที่ช่วยชี้แนะ ชี้ทางสว่างให้ทุกผู้ทุกนาม และขออนุโมทนาบุญ กับอาจารย์ ด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

คำตอบ
(๑) กรรมที่เกิดขึ้นจากการกระทำ หากมีสัตว์บุคคลประพฤติเบียดเบียน เรียกว่าหนี้เวรกรรม (บาป) ด้วยเหตุนี้ที่ชีวิตมีการเวียนตาย-เกิดไม่รู้จบ บุญและบาปที่เป็นหนี้เวรกรรมของสัตว์บุคคล จึงมีอนันต์ ไม่มีใครผู้ใดสามารถชดใช้ได้หมดสิ้น แต่มีใครผู้ใดสามารถปลอดจากหนี้เวรกรรมด้วยการบริหารจัดการดังนี้

๑. เมื่อหนี้เวรกรรมตามทัน ผู้เป็นลูกหนี้ต้องชดใช้จนกว่าจะหมดสิ้น

๒. เมื่อหนี้เวรกรรมตามทัน ผู้เป็นลูกหนี้ต้องประพฤติบุญใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) ให้เกิดขึ้น แล้วอุทิศบุญใหญ่ชดใช้หนี้ก็จะหมดไปได้เร็ว

๓. ทำดีหนีหนี้ คือหนี้เวรกรรมที่ยังตามให้ผลไม่ทัน ต้องคิด พูด ทำดีอยู่ทุกขณะตื่น

๔. หนีเข้านิพพาน หนี้เวรกรรมที่เหลือเป็นอันยกเลิก (อโหสิ)

วิธีการสุดท้ายนี้ พระองคุลีมาล หนีบาปที่ถูกขว้างปาด้วยก้อนดินและท่อนไม้จนได้รับบาดเจ็บ ด้วยประพฤติแก่คนมามาก อัฑฒกาสีหนีบาปไม่ต้องไปปีนต้นงิ้วนรก ด้วยเหตุประพฤติตนเป็นโสเภณีแห่งแคว้นกาสี อิสิทาสีหนีบาปจากการคิดฆ่าตัวตาย ด้วยเหตุถูกสามีถึงสามคนปฏิเสธที่จะอยู่ร่วม ฯลฯ

(๒) พระพุทธะตรัสในทำนองที่ว่า ใครผู้ใดไม่สามารถทำให้บุคคลเป็นไปตามวาจาที่เขาพูด แต่บุคคลเป็นไปตามที่ตนเองประพฤติ ผู้รู้จึงมีจิตเป็นอิสระต่อคำพูด คำสาปแช่งใดๆ ด้วยประพฤติตนให้มีสติ มีปัญญาเห็นแจ้งคุ้มครองใจ แล้วใช้สติปัญญาเช่นนี้ ส่องนำทางให้กับชีวิต

อนึ่ง ผู้ใดใช้สติปัญญาที่เห็นต่างกันส่องนำทางชีวิต เส้นทางเดินของชีวิตย่อมแยกออกจากกัน โอกาสที่จะโคจรไปพบกันอีกย่อมไม่เกิดขึ้น

(๓) พรหม (สุทธาวาส) และเทวดาบางองค์สามารถปฏิบัติธรรม แล้วเข้าสู่นิพพานได้

อาศัย อยู่ที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่ปี ๒๕๔๒ แต่งงานครั้งแรกกับฝรั่งที่พิการทางหูได้ ๒ ปีก็หย่ากัน และได้คบกับผู้ชายฝรั่งอีก ๒ คน จนมาพบและแต่งงานครั้งที่ ๒ กับสามีคนปัจจุบันเมื่อปี ๒๕๕๑ ขณะนี้ข้าพเจ้าอายุ ๓๕ และ มีความสงสัย เนื่องจาก สามีคนปัจจุบันี้ เป็นคนอินเดีย นับถือ ศาสนา SIKH มีลูกติด ๓ คน ส่วนข้าพเจ้าไม่มีบุตรเลย (เคยทำแท้ง ๑ ครั้ง และ ลูกตายในท้องไม่ทราบสาเหตุ ๑ครั้ง) ข้าพเจ้าเป็นคนในพุทธศาสนาแต่ไม่เคยได้มีดวงตาเห็นธรรม จนเมื่อประมาณ ๒ เดือนมานี้ ข้าพเจ้าได้เริ่มศึกษาพระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า โดยการ อ่านหนังสือธรรมมะ ดู และ ฟังสื่อธรรมะ ต่างๆ ทางอินเตอร์เนต รวมทั้ง กัลญาณธรรม ด้วยค่ะ และได้เกิด ดวงตาเห็นธรรม (หลังจากเกิดมาตั้ง ๓๕ ปี) จึงเกิดความเบื่อหน่ายกับการเกิดมาเป็นคน และเวียนว่ายตายเกิดอย่างมาก จนอยากจะไปปฏิบัติธรรมที่วัดที่อยู่ไม่ไกลจากบ้าน ( วัดสันติวงศาราม สาขาของวัดสังฆทาน และวัดป่าสันติธรรม สาขาของวัดหนองป่าพง) แต่ปัญหาก็คือ สามีเกิดต่อต้านอย่างรุนแรง ไม่ยอมให้ไปค้างคืนที่ใหน และไม่พอใจแทบทุกครั้งที่เห็นข้าพเจ้า ดู ฟัง หรือ อ่าน ธรรมมะ และยังมาพูดส่อเสียดพุทธศาสนา และบอกให้ข้าพเจ้าทำตามที่ตนเห็นควรในความเชื่อทางศาสนาของตน ก็เกิดการทะเลาะกัน เพราะข้าพเจ้าศรัทธาในพระรัตนตรัยมากกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็ต้องคอยแอบทำ ทั้งการนั่งสมาธิ และสวดมนต์ที่บ้านก็เช่นกัน ต้องทำในเวลาที่เขาไม่อยู่บ้าน ข้าพเจ้าจึงเกิดความอึดอัดทางใจและยิ่งเพิ่มพูน ความเบื่อหน่ายในวงเวียนชวิตเช่นนี้เป็นอย่างมาก จึงอยากจะหนีไปให้พ้นๆ จึงคิดที่จะหนีกลับไปอยู่ที่เมืองไทย เพื่อที่จะปฏิบัติธรรมได้โดยสะดวก และหากทำได้ข้าพเจ้าก็อยากจะบวชเป็นแม่ชีถือศีล ๘ ไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่นี้ แต่ปัญหาที่ข้าพเจ้าอยากจะถามนี้ก็คือ

๑. ข้าพเจ้าจะบาปหรือเปล่าที่จะทิ้งเขาไปเช่นนี้ เขาจะต้องโกรธ และคิดว่าข้าพเจ้าเห็นแก่ตัว และหนีปัญหา (เขาเคยพูดไว้) เรามีหนี้สินที่สร้างขึ้นมาดวยกันที่อังกฤษนี้เป็นเงินไม่น้อย แต่เราก็มีบ้านและรถ ที่เป็นทรัพย์นอกกาย มากกว่าหนี้สินที่มี และข้าพเจ้าเองก็ไม่คิดที่จะเอาอะไรไปด้วยเลย ยกเว้นเงินสดเล็กน้อยที่จะเอาไปให้พ่อและแม่เพื่อตอบแทนบุญคุณท่าน แต่เรื่องของเรื่องก็คือ หนี้สินที่มีกับทางธนาคารนั้นเป็นชื่อของข้าพเจ้าผู้เดียว หากข้าพเจ้าหนีไปเขาคงไม่ยอมจ่ายหนี้นี้แน่ ข้าพเจ้าเองก็คงกลับมาที่อังกฤษไม่ได้อีก แต่ก็ไม่รู้สึกเป็นทุกข์กับเรื่องนี้เลย แต่กลัวจะบาปที่หนีหนี้ไปค่ะ เรียนท่านอาจารย์ โปรดช่วยชี้แนะด้วยค่ะ

๒. ข้าพเจ้ารู้มาว่าครอบครัวของสามีข้าพเจ้าเขานับถือวิญญานตนหนึ่งอยู่ และพวกเขาเชื่อว่าวิญญาณตนนี้เป็นผู้ดูแลพวกเขาทุกคน ถึงขนาด สร้างที่อยู่บนที่ดินของตระกูล ที่ประเทศอินเดียให้กับวิญญาณนี้ และกราบไหว้สักการะบูชามาเป็นเวลานาน รวมถึงบ้านทุกหลังของตระกูลนี้ที่อังกฤษ ก็ต้องนำสัญลักษณ์ของวิญญาณนี้มาสักการะบูชาอย่างเข้มงวดด้วย ข้าพเจ้าเลยกลัวว่าเขาจะพากันสาปแช่งข้าพเจ้า หรือใช้วิญญาณนี้ในการสาปแช่ง ทำให้ข้าพเจ้ากลัวว่าจะเป็นบ่วงกรรมทำให้ต้องมาเวียนว่ายตายเกิด และเจอกันอีกในชาติต่อๆไป ข้าพเจ้าหวังอยากให้อโหสิกรรมต่อกัน ข้าพเจ้าเองอโหสิอยู่แล้ว แต่เขานี่ข้าพเจ้าไม้แน่ใจ แล้วอย่างนี้ข้าพเจ้าต้องพบกับแรงอาฆาตนี้หรือไม่ และจะเป็นอุปสรรคใด ในการหนีไปบวชอย่างไรหรือไม่เจ้าคะ ท่านอาจารย์

ข้าพเจ้าไม่เคยทำสิ่งไม่ดีกับสามีเลย ช่วยเขาดูแลลูกทั้ง ๓ เป็นอย่างดี และเด็ก ๓ คนก็ดีกับข้าพเจ้าด้วย ทำงาน ดูแลบ้าน และเป็นแม่บ้านที่ดี มาตลอด แต่อยู่ๆ ความรักที่มีให้เขามันก็หายไป แต่ก็ไม่ได้เกลียด รู้สึกเฉยชากับความรักมาก ข้าพเจ้าเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่า จากที่เคยรักมาก ทุ่มเทให้ทุกอย่าง ทนความเจ็บช้ำกับเขามามาก แต่พอวันหนึ่ง มันก็หายไปเฉยๆ ยิ่งได้มาศึกษาธรรมมะ ก็ยิ่งวางเฉย ยิ่งเขามาพูดลบหลู่พุทธศาสนา ก็ยิ่งอยากหนีให้ไกลห่างคนคนนี้ มีแต่อยากจะไปบวช ท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยนะคะ ถ้าข้าพเจ้าจะหนีไปเช่นนี้ จะเป็นอย่างไรบ้าง จะบาป ไหม จะต้องมาเกิดเพื่อเจอกับเขาอีกไหมคะ แต่ข้าพเจ้าไม่อยากมาเกิดอีกเลยไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดา หรืออะไรก็ตามแต่ มันก็ทุกข์เหมือนกันดังที่อาจารย์เคยกล่าวไว้ มันจริงแท้แน่นอนค่ะ และอีก ๑ คำถามสุดท้าย

๓. พรหม หรือ เทวดา สามารถสร้างบุญจากการ เจริญภาวนา จนถึงเข้าสู่พระนิพพาน ได้หรือไม่คะ ??

ท้ายนี้ข้าพเจ้าขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ เป็นอย่างสูงที่ท่านมีจิตเมตตาต่อสัตว์โลกทั้งหลายที่ช่วยชี้แนะ ชี้ทางสว่างให้ทุกผู้ทุกนาม และขออนุโมทนาบุญ กับอาจารย์ ด้วยค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

คำตอบ
(๑) กรรมที่เกิดขึ้นจากการกระทำ หากมีสัตว์บุคคลประพฤติเบียดเบียน เรียกว่าหนี้เวรกรรม (บาป) ด้วยเหตุนี้ที่ชีวิตมีการเวียนตาย-เกิดไม่รู้จบ บุญและบาปที่เป็นหนี้เวรกรรมของสัตว์บุคคล จึงมีอนันต์ ไม่มีใครผู้ใดสามารถชดใช้ได้หมดสิ้น แต่มีใครผู้ใดสามารถปลอดจากหนี้เวรกรรมด้วยการบริหารจัดการดังนี้

๑. เมื่อหนี้เวรกรรมตามทัน ผู้เป็นลูกหนี้ต้องชดใช้จนกว่าจะหมดสิ้น

๒. เมื่อหนี้เวรกรรมตามทัน ผู้เป็นลูกหนี้ต้องประพฤติบุญใหญ่ (ปฏิบัติธรรม) ให้เกิดขึ้น แล้วอุทิศบุญใหญ่ชดใช้หนี้ก็จะหมดไปได้เร็ว

๓. ทำดีหนีหนี้ คือหนี้เวรกรรมที่ยังตามให้ผลไม่ทัน ต้องคิด พูด ทำดีอยู่ทุกขณะตื่น

๔. หนีเข้านิพพาน หนี้เวรกรรมที่เหลือเป็นอันยกเลิก (อโหสิ)

วิธีการสุดท้ายนี้ พระองคุลีมาล หนีบาปที่ถูกขว้างปาด้วยก้อนดินและท่อนไม้จนได้รับบาดเจ็บ ด้วยประพฤติแก่คนมามาก อัฑฒกาสีหนีบาปไม่ต้องไปปีนต้นงิ้วนรก ด้วยเหตุประพฤติตนเป็นโสเภณีแห่งแคว้นกาสี อิสิทาสีหนีบาปจากการคิดฆ่าตัวตาย ด้วยเหตุถูกสามีถึงสามคนปฏิเสธที่จะอยู่ร่วม ฯลฯ

(๒) พระพุทธะตรัสในทำนองที่ว่า ใครผู้ใดไม่สามารถทำให้บุคคลเป็นไปตามวาจาที่เขาพูด แต่บุคคลเป็นไปตามที่ตนเองประพฤติ ผู้รู้จึงมีจิตเป็นอิสระต่อคำพูด คำสาปแช่งใดๆ ด้วยประพฤติตนให้มีสติ มีปัญญาเห็นแจ้งคุ้มครองใจ แล้วใช้สติปัญญาเช่นนี้ ส่องนำทางให้กับชีวิต

อนึ่ง ผู้ใดใช้สติปัญญาที่เห็นต่างกันส่องนำทางชีวิต เส้นทางเดินของชีวิตย่อมแยกออกจากกัน โอกาสที่จะโคจรไปพบกันอีกย่อมไม่เกิดขึ้น

(๓) พรหม (สุทธาวาส) และเทวดาบางองค์สามารถปฏิบัติธรรม แล้วเข้าสู่นิพพานได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 06 มิ.ย. 2010, 16:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. หนูมีปัญหาเรื่อง ศีล ข้อ 3 ค่ะ คือ หนูจับได้ว่าสามี มีเมียน้อย เราจึงแยกบ้านกันอยู่ (มีลูกด้วยกัน 2 คน) แต่เรายังติดต่อพูดคุย และพบปะกันอยู่ โดยในใจหนูตอนนี้ไม่ยึดติดแล้วค่ะ ไม่อยากให้เค้ากลับมาอยู่ด้วยอีกแล้ว คิดในใจอยู่เสมอว่าเราเลิกกันแล้ว (ยังไม่จดทะเบียนหย่า) แต่สามีอยากกลับมาอยู่ด้วยอีก ถ้าสามีกลับมาอยู่ด้วยจริง โดยที่เค้าไปมีเมียอีกคนหนึ่งแล้ว (ยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน) หนูจะได้ชื่อว่าแย่งสามีคนอื่น จะผิดศีลข้อ 3 หรือไม่คะ เพราะหนูตั้งใจไว้แล้วว่าจากนี้ไปจะรักษาศีลข้อ 3 ให้บริสุทธิ์ หนูขอรบกวนอาจารย์ เพราะหนูต้องตัดสินใจแล้วค่ะ

2. ถ้าหนูให้อภัยสามี โดยไม่คิดด่าทอ โกรธเคือง หรือพยาบาท เค้าทั้ง 2 คน ถือว่าหนูให้อภัยทานแล้วหรือไม่ และถ้าสามีขอกลับมาอยู่ด้วยอีกครั้ง แต่หนูไม่ยอม เป็นเช่นนี้ หมายความว่าหนูไม่ให้อภัยทานใช่หรือไม่คะ

3. ถ้าสามีทำประกันชีวิตไว้ เมื่อเค้าตายหนูจะได้รับเงินตรงนี้ ถ้าหนูได้รับเงินจริง ๆ จะถือว่าหนูเป็นหนี้เค้าหรือไม่คะ โดยเค้าสมัครใจทำเอง

ขอขอบพระคุณในคำตอบของอาจารย์ ด้วยความเคารพเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
(๑) หากผู้ถามปัญหาได้รับการยินยอมจากพ่อแม่ยกให้เป็นภรรยาของชายผู้เป็นสามี ไม่ผิดศีลข้อสาม แล้วยังไม่ชื่อว่าแย่งสามีคนอื่น

(๒) หากผู้ถามปัญหาประพฤติได้อย่างที่บอกเล่าไป ถือว่าได้ให้อภัยเป็นทานแล้ว ความเมตตาย่อมเกิดขึ้น ส่งผลให้มีจิตสงบเย็น

อนึ่ง การไม่ยินยอมให้สามีผู้จากไปมีหญิงอื่นเป็นภรรยา แล้วกลับเข้ามาอยู่ร่วมกับครอบครัว ถือว่าผู้ถามปัญหามีจิตเป็นอิสระจากสามี และมิได้หมายความว่า มิได้ให้อภัย

(๓) ไม่ถือว่าเป็นหนี้ ตรงกันข้าม อดีตสามีนั่นแหละที่เป็นหนี้ผู้ถามปัญหา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูและสามี ทำงานธุรกิจส่วนตัวด้วยกัน และเป็นเวลาเกือบ 3 ปีแล้วค่ะ ธุรกิจไม่เจริญก้าวหน้า อย่างที่ควรจะเป็น เป็นลักษณะที่ว่าไม่มีความรู้สึกมั่นคง กระท่อนกระแท่นตลอด งานไม่สม่ำเสมอ แต่ก็ผ่านไปได้แต่ละปีด้วยความทุกข์ค่ะ หนูและสามี พยายามคิดหาทางทำธุรกิจใหม่ ๆ ตลอดเวลาแต่ก็ยังไม่สำเร็จผล ปัจจุบัน หนูและสามี ก็พยายามสวดมนต์ ทำสมาธิ พยายามฝึกทำจิตใจให้ปกติ และพยายามไม่สร้างกรรมทางด้านการทำงานกับใคร แม้แต่เก็บสตางค์ลูกค้าไม่ได้ แต่ก็จ่ายสตางค์ ให้กับซัพพลายเออร์ที่ติดต่อด้วยตรงดิวเสมอ

หนูอยากจะเรียนถามอาจารย์เป็นแนวทางค่ะ ว่ากรรมอันใดอาจที่ส่งผลต่อความไม่ราบรื่นในอาชีพการงาน และการทำบุญแบบใด ที่จะทำให้กรรมนี้เบาบางลงได้คะ
หนูจะได้เน้นทำบุญทางด้านนี้ และระมัดระวังการกระทำของตนเอง ไม่ให้สร้างกรรมเช่นนั้นอีกค่ะ

หนูสำรวจตนเอง ก็หาสาเหตุไม่ได้ค่ะ นอกจากเรื่องชอบเถียงบิดา,มารดา (ในอดีต) เพราะคิดแต่ว่า ความคิดเห็นของตนถูกต้องค่ะ (ในปัจจุบันสำนึกได้แล้วค่ะ) สำหรับสามีนั้น กับบิดามารดา แทบไม่เคยมีปัญหากันเลยค่ะ

ขอบพระคุณอาจารย์มาก ๆ ค่ะ

คำตอบ
ผู้ประสบปัญหาด้านธุรกิจ ต้องประพฤติเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้

๑. ทำธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ทุศีล ไร้ธรรม

๒. ทำธุรกิจด้วยการหวังผลเลิศ แต่ไม่ใช่วิธีการอันเลิศ

๓. ผู้ทำธุรกิจประพฤติอกตัญญูต่อผู้มีอุปการคุณ อาทิ โต้แย้งโต้เถียงพ่อแม่ ไม่ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ฯลฯ

ตรงกันข้าม ผู้ใดประพฤติทาน ศีล ภาวนา จนกุศลกรรมที่ทำแล้วให้ผล ผู้ประพฤติย่อมมีดวงดี พ้นจากความไม่มี พ้นจากความไม่ดี พ้นจากความไม่ได้ พ้นจากความไม่สบายกายใจได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเป็นสัตวแพทย์ เปิดคลินิกรักษาสัตว์ มีงานอย่างหนึ่งที่ผมทำเป็นประจำคือ การทำหมันสุนัขและแมว ทั้งตัวผู้และตัวเมีย วิธีการคือ ตัวผู้ผ่าตัดเอาอัณฑะออก ตัวเมียผ่าตัดเอามดลูกและรังไข่ออก ผมจึงมีคำถามที่จะถามอาจารย์ดังนี้

1. การกระทำดังกล่าวข้างต้นบาปมากไหม และถ้าผลของกรรมข้างต้นให้ผลจะเป็นอย่างไร

2. การกระทำดังกล่าวข้างต้น เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมหรือไม่ สามาถทำวิปัสนากรรมฐานเพื่อให้เกิดปํญญาเห็นแจ้งได้หรือไม่

ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ

คำตอบ
(๑) พฤติกรรมที่ทำถือว่าเป็นบาป ถามว่าบาปมากหรือไม่ อยู่ที่จำนวนของสัตว์ที่ถูกทำหมัน และอยู่ที่การผูกเวรของสัตว์ เมื่อใดที่กรรมให้ผล ความเจ็บป่วย ความไม่มีทายาทสืบสกุล ย่อมเกิดขึ้นได้

(๒) เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรม ตรงที่ยังสามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่ไม่สามารถเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีข้อสงสัยถามปัญหาจากการปฏิบัติดังนี้ค่ะ

1. ทุกวันที่สวดมนต์จะมีสติตั้งมั่นอยู่กับบทสวดค่ะ แต่จะเกิดอาการหาวง่วงนอนทุกครั้ง แต่พอสวดจบแล้วก็ไม่รู้สึกง่วงแต่อย่างใด ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

2. บางครั้ง หลังจากสวดมนต์เสร็จแล้ว ก็จะนั่งสมาธิบ้าง เวลานั่งนั้นมีสตินิ่งตลอดเวลา แทบจะไม่คิดเรื่องอื่นเลย สติจะจับอยู่กับลมหายใจเข้าออกเกือบตลอดเวลา มีเหตุ 2 แบบ ดังนี้
2.1 หากนั่งนาน เหมือนกับลมหายใจเข้าออกจะหายไป แทบจะจับไม่ได้ และรู้สึกวูบ คล้ายตกจากที่สูง จึงรู้สึกตกใจและกลับมาจับลมหายใจได้ใหม่อีกครั้ง
2.2 หากนั่งไม่นาน จะเกิดอาการเหมือนตอนสวดมนต์คือ จะรู้สึกง่วงนอน บางครั้งทนไม่ไหว ต้องเลิกนั่ง แล้วนอนค่ะ

ไม่ทราบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมีเหตุปัจจัยอะไรที่เป็นอย่างนั้น และปฏิบัติผิดหรือเปล่าคะ โปรดแนะนำด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณมากค่ะ

คำตอบ
(๑) การสวดมนต์เป็นการพัฒนาจิตแบบหนึ่ง แต่การสวดมนต์ไม่เหมาะกับจริตของผู้ถามปัญหา จึงทำให้เกิดอาการง่วงเหงาหาวนอน

(๒) ปฏิบัติธรรมไม่ผิด แต่ยังแก้ปัญหาที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมไม่ถูกทาง วิธีแก้ปัญหาคือ เมื่อใดที่จิตระลึกได้ว่า ลมหายใจหายไป ต้องสร้างอิริยาบถใหญ่ให้จิตระลึกได้ ด้วยการหายใจเข้าลึกๆ แล้วปล่อยออกด้วยเอาจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจ วิธีการเช่นนี้เป็นการเพิ่มกำลังสติให้มีกำลังมากขึ้น และเมื่อใดมีอาการวูบเกิดขึ้น ต้องเอาจิตกำหนดว่า “ วูบหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆจนกว่าอาการวูบหายไป แล้วดึงจิตกลับสู่องค์บริกรรมเดิม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1)ผมเห็นบางวัดเขามี กุมารทอง ให้บูชา จึงอยากรู้ว่าการที่คนเลี้ยงกุมารทองนั้นบาปหรือไม่ เพราะผมรู้สึกว่าเหมือนเป็นการเหนี่ยวรั้งวิญญานกุมารทองไม่ให้ไปเกิด

2)หากการเลี้ยงกุมารทองเป็นการเหนี่ยวรั้งวิญญานไม่ให้ไปเกิดจริง (ตาม1) แล้วถ้าเราเลี้ยงแล้วทำบุญอุทิศส่วนกุศล สาวดมนต์ จะช่วยปลดปล่อยเขาได้ไหม

คำตอบ
(๑) กุมารทองเป็นของขลังรูปเด็กไว้ผมจุก คนที่มีความหลงนิยมเลี้ยงกุมารทองไว้เฝ้าบ้านหรือเพื่อประโยชน์อย่างอื่น ผู้เลี้ยงกุมารทองคิดเอาเองว่าไม่เป็นบาป แต่สำหรับผู้รู้ การประพฤติเช่นนั้นเป็นบาป เพราะเป็นเหตุให้ไม่สามารถพัฒนาจิตไปสู่ความพ้นทุกข์ได้

(๒) เรื่องที่ถามไป ไม่ต่างจากการจับสัตว์มาขังไว้ในกรงเลี้ยง แม้จะเอาอาหารให้สัตว์กินทุกวัน ยังไม่เรียกว่าได้ปลดปล่อยสัตว์ให้เป็นอิสระ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.)กระผมได้ฝึกสติปัฐานสี่ แบบตามดูกาย ยืนเดินนั่งนอน เคลื่อนไหวในอิริยาบถต่างๆ ตามที่ครูบาอาจารย์ท่านได้ชี้แนะ (กระผมขอคำชี้แนะกับท่านทุกเดือนครับ)ตอนนี้ทำมาได้ 10 เดือนแล้ว ผลคือ สองเดือนที่ผ่านมาทุกครั้งที่รู้สึกตัวจิตจะรวมเข้ามาหนี่งขณะ แล้วก็คลายออกไปรับรู้เรื่องราวข้างนอกตอนที่เผลอ ระหว่างสองเดือน จะเห็นว่าเวลามี่สิ่งมากระทบเมื่อรู้ว่าเกิดอารมณ์สติจะระลึกถึงความไม่ใช่ตัวตน แล้วก็กลับมาตั้งมั่นชั่วขณะเหมือนเดิมและจิตก็ค่อยๆละเอียดขึ้น มาเรื่อยๆ เข้าใจว่าเป็นขณิกะสมาธิ ไปกราบเรียนครูบาอาจารย์ท่านก็บอกว่าให้อยู่กับความนิ่งนั่นหล่ะ ตอนที่เผลอออกไปแล้วจิตรวมเข้ามานั่นล่ะที่สำคัญมันจะทำให้จิตละเอียดขึ้น

ดังนั้น จึงอยากเรียนถามอาจารย์ว่าสมาธิที่เหมาะกับการวิปัสสนา เป็นขณิกะสมาธิเพียงพอหรือไม่ หรือว่าผมต้องภาวนาไปจนสมาธิตั้งมั่นกว่านี้ครับ

2.)แล้วอาการที่กระผมกล่าวมา ช่วงสองเดือนหลังเรียกว่าเรียกว่าวิปัสสนาหรือไม่ครับ หรือว่าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ (กระผมสงสัยเพราะตอนที่จิตของกระผมเริ่มนิ่งตั้งมั่นขึ้นมาได้ เป็นเพราะสติไประลึกถึงไตรลักษณ์ ก่อนหน้านี้8เดือนจิตจะส่ายไปมาไม่รวมแบบนี้ครับ)

คำตอบ
(๑) สำหรับผู้ฝึกปฏิบัติธรรมที่ยังไม่มีความชำนาญในการใช้จิตตามพิจารณากาย ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จิตต้องมีความตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) แต่ผู้ที่มีความชำนาญมาก่อนแล้ว เพียงแค่จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิประเดี๋ยวประด๋าว (ขณิกสมาธิ) ก็สามารถเห็นสิ่งที่เข้ากระทบจิตว่า ไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา) ได้

(๒) การที่จะเรียกว่าเกิดปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนา) ได้ มีเครื่องชี้วัดอยู่สองอย่างคือ เห็นสิ่งที่เข้ากระทบจิตไม่ใช่ตัวตน (อนัตตา) แล้วจิตปล่อยวางสิ่งที่เข้ากระทบ เกิดเป็นความว่างความเป็นอิสระขึ้นกับจิต อย่างนี้จึงจะเรียกว่า ปัญญาเห็นแจ้ง หรือเห็นถูกตรงตามธรรม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขอเรียนถามอาจารย์ครับว่า ปกติผมจะสวดมนต์เป็นประจำเกือบทุกวัน มีนั่งสมาธิบ้างเป็นบางครั้งแล้วแต่ เวลาอำนวย แต่บางครั้งทำงานมาเหนื่อยมากทั้งวัน อยากนอนพักผ่อน แต่ก็จะฝืนไหว้พระสวดมนต์ให้ได้ เพราะอยาก ให้ต่อเนื่อง ก็ปรากฏว่าบางครั้งสวดมนต์แล้วหลับ ทั้งที่ปากยังสวดอยู่ หรือบางทีนั่งสมาธิก็หลับ
อยากเรียนถามอาจารย์ครับว่า

1. การที่ผมหลับในระหว่างสวดมนต์ หรือ นั่งสมาธิ จะได้บาป แทนที่จะเป็น บุญ หรือไม่ครับ หรือ ถึงได้บุญ ก็จะได้ บุญน้อยลงไปกว่าเวลาปกติที่ไม่หลับ หรือไม่ครับ

2. เนื่องจากผมมีสวดมนต์อัญเชิญ เทวดามาร่วมด้วยทุกครั้ง ถ้าง่วงๆ หลับๆ แบบนี้ เทวดาท่านจะไม่พอใจได้หรือไม่ และ ท่านจะโมทนากับบุญนี้ได้หรือไม่ครับ

3. อันนี้ไม่เกี่ยวกับสวดมนต์ครับ แต่อยากทราบว่า เวลาไปวัดเพื่อทำสังฆทานยุคสมัยนี้ เราไม่ต้องซื้อถังเตรียมไปเองแล้ว เพราะทางวัดมีสังฆทานที่ใช้เวียนกันแล้วให้เราบริจาคเงินซื้อถังเพื่อใช้ถวาย เมื่อพระรับแล้วก็นำไปเวียนให้คนอื่นใช้ถวาย ซ้ำอีก ขอเรียนถามว่า แบบนี้จะได้บุญหรือไม่ครับ

ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ

คำตอบ
(๑) ขณะใดจิตจดจ่ออยู่กับบทมนต์ที่สวด หรือจดจ่ออยู่กับการปฏิบัติสมาธิ ขณะนั้นบุญได้เกิดขึ้นแล้ว แม้จะเป็นบุญเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นก่อนหลับ หากประพฤติบ่อยๆ บุญย่อมมีกำลังมากขึ้นได้

(๒) ผู้ใดมีศีลสถิตอยู่กับใจ ผู้นั้นย่อมเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา ผู้ใดมีศีลมีสัจจะผู้นั้นศักดิ์สิทธิ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์กล่าวอัญเชิญเทวดาให้มาสร้างบุญด้วยการฟังบทมนต์ เทวดาย่อมรับคำเชิญ ปัญหาจึงมีอยู่ว่า ผู้กล่าวคำเชิญเทวดามีคุณสมบัติตามที่กล่าวหรือไม่

(๓) ถวายสังฆทานแล้วมีจิตเป็นกุศล ผู้ถวายย่อมได้บุญ ผู้ใดเอาจิตไปตามดูของที่ถวายแล้วเกิดอกุศลขึ้นกับจิต ผู้นั้นได้บาป ผู้รู้ผู้ฉลาดจึงไม่เอาจิตไปตามดูของที่ถวาย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูเกิดสงสัยในการกระทำของผู้ที่เรียกว่าได้ถือศีล ปฏิบัติธรรมแล้ว แต่ทำไมยังทำผิดอยู่ เช่น เห็นการฆ่ามด ยุง เป็นสัตว์เล็กที่ทำแล้วเชื่อว่าไม่บาป การทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ เบียดเบียนทางใจ การบิดเบือนความจริงต่อเวลาในการปฎิบัติงาน โดยไม่คิดว่าผู้ือื่นจะรู้สึกพอใจ หรือไม่พอใจที่ได้ถูกกระทำจากเขา เขาจะทำเสมือนหนึ่งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่ทำให้เขารู้สึกต้องทุกข์หรือผิด เนื่องจากเขาได้แสดงว่า ตนเป็นผู้มีความรู้มากในเรื่องการเข้าถึงธรรมว่า สิ่งที่เขาพูดมานั้นถูกต้องทุกเรื่อง ดูเป็นผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แต่เวลาอยู่ใกล้รู้สึกไม่สนิทใจ ไม่เชื่อใจเลยค่ะ หนูควรจะวางใจอย่างไรดีค่ะ เพราะบางทีความคิดมันก็ทำให้คิดไม่พอใจ เมื่อเห็นการกระทำจากเขา หนูจะบาปมากมั้ยค่ะที่รู้สึกไม่ดีกับเขา เพราะเขาก็ปฏิบัติธรรม แต่หนูก็พยายามรู้ตัวอยู่เสมอว่ากำลังคิดไม่ดีอยู่

ขอขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
ผู้ใดประพฤติฆ่าสัตว์ เบียดเบียนผู้อื่นด้วยกาย วาจา ใจ ผู้นั้นได้ชื่อว่าประพฤติทุศีล ผู้ใดศรัทธาคำสอนในพุทธศาสนาด้วยการเรียนรู้จากการอ่านตำราคัมภีร์ (ปริยัติ) จนถ่องแท้ เรียกผู้มีลักษณะเช่นนี้ว่าเป็นผู้รู้ธรรมวินัย แต่ยังไม่เรียกว่าเป็นผู้มีธรรมวินัยคุ้มครองใจ ด้วยเหตุนี้พระมหากัสสปะ ผู้ทำหน้าที่เป็นประธานปฐมสังคายนาพุทธศาสนา จึงได้กล่าววาจาตักเตือนภิกษุผู้รู้ธรรมวินัยเฉพาะด้านปริยัติ ในทำนองที่ว่า “ เพียงแค่ท่องบ่นคำสอนตามพุทธวจนะได้ ย่อมทำให้คนโง่มองไม่เห็นตัวเอง สำคัญตนว่าประเสริฐกว่าผู้อื่น ” ซึ่งมีความหมายว่า ผู้รู้ธรรมวินัย แต่เข้าไม่ถึงธรรมวินัย เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นกับชีวิตแล้ว ยังใช้ปัญญาเห็นไม่แจ้ง (สัญญา) แก้ปัญหา ปัญหาจึงดับไปชั่วคราวและไปสร้างปัญหาอื่นให้เกิดขึ้น ซึ่งตรงข้ามกับผู้เข้าถึงธรรมวินัยด้วยการปฏิบัติธรรม ปัญญาเห็นแจ้งหรือเห็นถูกตรงตามธรรมย่อมเกิดขึ้น เมื่อใช้ปัญญาเห็นแจ้งแก้ปัญหาให้กับชีวิต ปัญหาจึงดับไปสิ้นเชิงและไม่สร้างปัญหาอื่นให้เกิดขึ้น

ฉะนั้นผู้ถามปัญหา ควรยกเอาเขาเป็นครูสอนใจ แม้จะสนใจในธรรม แม้จะนำตัวเข้าปฏิบัติธรรม แต่ยังไม่สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติ พฤติกรรมจึงแสดงออกให้เห็นดังที่บอกเล่าไป คนที่มีลักษณะเช่นนี้ในสังคมชาวพุทธมีอยู่มาก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. หากต้องการเพิ่ม IQ ให้สูงขึ้นต้องทำสมาธิให้ถึงขั้นไหนและวิธีการอย่างไรคะ คลื่นสมองจึงจะเปลี่ยนได้ (จริงๆนั่งสมาธิอยู่บ้างแล้วค่ะ ครั้งละ 5- 45 นาที แต่ค่อนข้างฟุ้งมากกว่าสงบ)

2.การเปลี่ยนแปลงนี้สามารถเห็นผลได้ในปัจจุบันชาติหรือไม่ หรือเกี่ยวข้องกับการสั่งสมและวิบากกรรมจากอดีตด้วยหรือไม่คะ อยากจะพัฒนาศักยภาพของตัวเองเพื่อการทำงานและการใช้ชีวิตให้ดีกว่านี้ค่ะ เนื่องจากเป็นคนที่สมาธิไม่ค่อยดี เข้าใจช้าและความคิดไม่เป็นระเบียบ เวลามองคนที่ประสบความสำเร็จในสาขาอาชีพที่ทำประโยชน์ได้ในวงกว้างแล้ว รู้สึกมีแรงบันดาลใจอยากทำสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างนั้นบ้างค่ะ

คำตอบ
(๑) จิตฟุ้งซ่าน เพราะจิตมีศีลไม่ครบ จิตมีศีลไม่บริสุทธิ์ ผู้ใดประสงค์แก้ปัญหาเช่นนี้ ต้องเอาศีลในลักษณะที่กล่าว คุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วการปฏิบัติสมถภาวนา ย่อมทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ง่าย จิตที่เป็นสมาธิ ส่งผลกระทบถึงคลื่นสมองให้มีการปรับตัวเป็นระเบียบมากขึ้น แล้วความจำจะดีขึ้นแน่นอน

ผู้ถามปัญหาประสงค์พัฒนา IQ ของตัวเองให้มีกำลังมากขึ้น ต้องพัฒนาจิตให้เข้าถึงสมาธิระดับจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) แล้วใช้สมาธิเป็นฐานพัฒนาปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนาภาวนา) เมื่อใดที่ปัญญาเห็นแจ้งได้เกิดขึ้นแล้ว โอกาสเข้าถึงความเป็นผู้มี IQ สูง ย่อมเกิดตามมา

(๒) การเปลี่ยนแปลงตามข้อ (๑) สามารถเกิดขึ้นได้ในชาติปัจจุบัน ผู้พัฒนาจิตต้องประพฤติเหตุปัจจัยให้ถูกตรง คือมีศีล มีสัจจะ มีความเพียรเป็นเครื่องสนับสนุน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่นั่งสมาธิ จิตมันเหมือนจะสงบแต่ก็ยังมีความคิดผุดขึ้นมา อย่างนี้ต้องทำยังไงดีคะ ต้องเพิ่มตัวสติใช่มั้ยคะ

คำตอบ
ทำได้สองทาง คือ เพิ่มกำลังของสติให้มากขึ้น ด้วยการกำหนดว่า “ คิดหนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆจนกว่าความคิดที่ผุดขึ้นดับไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม หรือในทางที่สอง หากผู้ปฏิบัติธรรมมีจิตสงบ แล้วความคิดได้ผุดขึ้นมา ให้ใช้จิตที่สงบเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ ตามดูความคิดที่ผุดขึ้นว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดจิตเห็นว่า ความคิดที่ผุดขึ้นดับไป (อนัตตา) ความคิดไม่ใช่ตัวตนแท้จริง ปัญญาเห็นแจ้งในความคิดย่อมเกิดขึ้น จิตจะปล่อยวางความคิด แล้วจิตว่างเป็นอิสระจากความคิด ผู้ใดพิจารณาจนเห็นเป็นจริงแท้ได้เช่นนี้แล้ว ปัญญาเห็นแจ้งย่อมเกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 73, 74, 75, 76, 77, 78, 79 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร