วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 23:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 72, 73, 74, 75, 76, 77, 78 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูได้คลอดลูก และเกิดการแท้ง ทั้ง ๆที่ระมัดระวัง เป็นอย่างดี เด็กอายุได้ 7 เดือน คุณหมอกำลังหาสาเหตุโดยบอก เคร่า ๆ ว่าเกิดจากเชื้อโรค และ น้ำคร่ำรั่ว และจะนัดตรวจอีกครั้งหนึ่ง

หนูเสียใจมาก ๆ ๆ เพราะต้องการลูก ( หนูตั้งใจจะมีลูกคนแรก) โดยซื้อของเตรียมไว้ทุกอย่างให้ลูก ปัจจุบันได้สวดมนตร์ ตักบาตรตอนเช้าทุกวันให้ลูกและเจ้ากรรมนายเวร เป็นห่วงลูก..สงสารลูกมาก ..ๆๆ ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง.. อยากเรียนถามว่า.....

1.การแท้งลูกเป็นบาปหรือเปล่า

2.การแท้งลูก อดีตเคยทำกรรมอะไรไว้

3.แนวทางการแก้ไขตามหลักศาสนาพุทธที่ถูกต้องทำอย่างไร

...... เมตตาช่วยไขปัญหาด้วยค่ะ....
...หนูพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาทุกอย่างเพราะเชื่อในเรื่องการเกิด-ตั้งอยู่-ดับ ไป เพื่อจะได้มีภพชาติใหม่ที่ดีขึ้น...และหมดกรรม

ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
(๑) จิตวิญญาณที่มาอาศัยท้องแม่เป็นที่เกิด แต่ต้องตายไปเมื่อมีอายุได้เจ็ดเดือน ถือว่าลูกและแม่เคยมีกรรมที่เป็นบาปร่วมกันมาแต่อดีต จึงทำให้เด็กต้องตายไปด้วยการแท้งของแม่

(๒) ทั้งแม่และลูกเคยร่วมกันทำให้ชีวิตของสัตว์ต้องตกล่วงไปขณะอยู่ในท้องได้ เจ็ดเดือน

(๓) ดูวิธีบริหารหนี้เวรกรรม ข้อ 728

( ข้อ 728)
นักวิทยาศาสตร์เชื่อในความเป็นเหตุผล เมื่อมีเหตุเกิดย่อมมีผลเกิดตามมาหรือผลที่เกิดขึ้นย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิด ผู้ที่เข้าถึงธรรมในพุทธศาสนารู้ว่าไม่มีแม้เพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น โดยบังเอิญทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิดทั้งสิ้น กรรมวิบาก มีจริง เป็นประสบการณ์ตรงของผู้ตอบปัญหาจึงขออนุญาตแนะนำพระคุณเจ้าว่า การจะให้ปัญหาของพระคุณเจ้าหมดไปสามารถทำได้ 4 อย่างคือ

1. ยอมรับความจริงของบุพกรรมและยอมชดใช้วิบากของกรรมที่ตามมาทันในชาติปัจจุบัน ชดใช้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าหนี้เวรกรรมจะหมดสิ้น

2. ทำบุญใหญ่แลกหนี้บุญใหญ่ต้องทำด้วยการปฏิบัติจิตตภาวนาแล้วอุทิศบุญที่เกิด ขึ้นให้กับเจ้าหนี้เวรกรรม (อดีตภรรยาและลูกสาว) ไปเรื่อย ๆ วิธีนี้เป็นการเอาบุญของพระคุณเจ้าแลกกับหนี้บุพกรรมที่เป็นเวรต่อกัน

3. สร้างความดีหนีหนี้ ด้วยการพัฒนาตัวเองให้มีความเพียรไม่ประพฤติอกุศลกรรมใหม่ให้เกิดขึ้น เพียรกำจัดอกุศลกรรมเก่าให้หมดไปเพียรทำความดีทุกรูปแบบให้มีกำลังหนีทัน อกุศลวิบากที่จะตามมาให้ผลและสุดท้ายเพียรรักษาความดีที่พัฒนาได้ให้คงอยู่

4. หนีเข้านิพพานด้วยการพัฒนาจิตตนเองหมดอาสวกิเลสแล้วดับรูปดับนามเข้านิพพาน

ทั้ง 4 ข้อเป็นทางปฏิบัติของอริยบุคคล ในการบริหารจัดการนำพาชีวิตของตนเองข้ามวัฏฏะ คือข้ามไปจากความทุกข์ทั้งมวล

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้ฟังบรรยายธรรมของอ.ในเวปอย่างสม่ำเสมอ และได้น้อมนำคำสอนที่ท่านอ.ได้สอน มาปฎิบัติในชีวิตประจำวันอย่างสมำเสมอ ชีวิตทุกวันนี้ดีขึ้นมากค่ะ เพราะในครอบครัวชอบที่จะฟังธรรมะบรรยาย

จากการที่ฟังนั้นดิฉันก็เปิดฟังโดยไม่สนใจว่าลูกจะฟังหรือไม่ แต่ธรรมของพระพุทธเจ้าสุดยอดมาค่ะ เราฟังด้วยใจที่เปิดกว้าง แต่ผลก็คือลูกเราได้รับธรรมะนั้นไปด้วยค่ะท่านอาจารย์ ดิฉันคิดที่จะเรียนต่อป.โทที่มหาจุฬาสาขาพระพุทธศาสนา เรียนเพื่ออยากศึกษาเกี่ยวกับศาสนาค่ะอ. แต่ที่เคยได้ฟังอ.บรรยายมาทำให้รู้สึกว่าการที่เราเรียนสูงๆนั้น เป็นการพัฒนาปัญญาเพียงภายนอกเท่านั้น ทำให้ลังเลว่าจะเรียนดีหรือไม่ จึงขอเรียนปรึกษาท่านอาจารย์ค่ะ

กราบขอบพระคุณค่ะ
ขอให้อาจารยืมีสุขภาพที่แข็งแรงตลอดไปนะคะ

คำตอบ
มนุษย์เป็นสัตว์ที่ต้องอยู่ร่วมกันเป็นสังคม จึงต้องใช้ความรู้ทางโลกทำงานให้กับสังคม ผู้รู้ไม่ปฏิเสธการเรียนรู้ตามที่บอกเล่าไป แต่ต้องไม่ลืมว่าตายแล้วต้องไปเกิดใหม่ งานภายในคือพัฒนาจิตวิญญาณตัวเอง จึงจำเป็นต้องทำเพื่อไปเกิดในภพภูมิที่ดี

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมทำงานอยู่ในโรงงานผลิตยาตำแหน่งหัวหน้างาน วันหนึ่งได้มีโทรศัพท์มาขู่ว่า "ตอนกลับบ้านให้หลบลูกปืนดีๆ" ต่อมาทราบภายหลังว่า ผู้ที่โทรมาขู่คือพนักงานในแผนกช่าง ซึ่งผมไม่เคยคุยกับเขาเลย และไม่ทราบว่าเขามีความไม่พอใจอะไรในตัวผม อย่างไรก็ดี กระผมตระหนักดีในคำสอนของอาจารย์ที่กล่าวไว้ว่า "ในโลกนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อมีเหตุุ ก็ต้องมีผลที่เกิดจากเหตุนั้น" ในกรณีนี้กระผมไม่มีความโกรธแค้นอะไรในตัวผู้กระทำ และยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าต้องเกิดขึ้นจากเหตุที่ผมได้เคยกระทำไว้เองในอดีตถึงปัจจุบัน กระผมขอเรียนถามอาจารย์ถึงวิธีการแก้ไขปัญหานี้ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้ายในอนาคต และวิธีป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีกตามแนวทางที่ถูกตรงตามธรรม

กราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง

คำตอบ
กรรมที่ทำไว้แล้วแต่อดีต ไม่มีใครแก้ไขได้ แต่ทำดีในปัจจุบัน เมื่อกรรมดีให้ผล วิบากดีย่อมเกิดขึ้นให้ผู้ทำกรรมได้รับ กรรมดีที่ควรประพฤติอยู่ทุกขณะตื่น คือสวดมนต์ บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย แล้วตามด้วยสวดมนต์บทพาหุงฯ พร้อมกับเจริญเมตตาด้วยการให้อภัยในทุกเรื่องที่เป็นเหตุขัดใจ ผู้ใดประพฤติแล้วอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรตามที่แนะนำได้แล้ว ไฟ ยาพิษ ศาสตรา ไม่แผ้วพาน ซ้ำยังมีเทวดาคุ้มรักษาอีกด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.เวลานั่งสมาธิหรือเดินจงกรม เมื่อปฏิบัติได้สักระยะหนึ่งเกิดอาการเหมือนสะอื้นออกมาเบา (แต่ไม่ได้ร้องไห้หรือมีนำตา) ก็กำหนดว่าสะอื้นหนอ อาการที่สะอื้นนั้น เหมือนสะท้อนใจเหมือนสำนึกผิด อยากทราบว่าเป็นอาการทางกายทั่วไปหรือเกิดจากอะไรคะ เพราะจะเป็นบ่อยๆเวลาปฎิบัติธรรมคะ

2.ได้เข้าปฏิบัติธรรม ที่สถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งในช่วงวันที่ 3 ของการปฏิบัติ (ซึ่งตรงกับวันเกิดของตนเอง) ในบัลลังก์ตอนเย็นเมื่อเดินจงกรมเสร็จนั่งสมาธิ ขณะนั่งได้ปฏิบัติเหมือนทุกครั้งคือกำหนดรู้ท้องพอง-ยุบ และสภาวะธรรมที่เกิด แต่ครั้งนี้สามารถกำหนดรู้ได้ถูกตรง พอดีกับสิ่งที่ปรากฎ แรกๆเหมือนกำหนดได้ทันสิ่งที่เข้ามากระทบ แต่ผ่านไปเหมือนเราไม่ต้องกำหนด แต่เป็นการรู้สิ่งที่มากระทบ รู้แล้วก็ดับไปแล้วก็รู้อีกดับไปอีก จนเห็นเหมือนมีสิ่งๆหนึ่งที่เข้าไปรู้ วิ่งทำงานมิได้หยุดหย่อน และเร็วมากเหมือนมี 2 อย่าง คือ สิ่งที่ทำหน้าที่รู้ ก็ทำหน้าที่รู้ไป แล้วก็มาอีกสิ่งหนึ่งเห็นการทำงานของสิ่งที่เข้าไปรู้ ซึ่งขณะนั้นไม่ว่าจะเกิดความรู้สึกความคิดอะไร จะรู้ขึ้นมาโดยไม่ต้องตั้งใจกำหนด หรือนึกคำกำหนดเลย และทุกๆการรู้จะแจ่มชัด คม ฉับไว เป็นอยู่อย่างนั้นสักระยะหนึ่ง แล้วก็คลายไป คือกลับมากำหนด ทันบ้างไม่ทันบ้างเหมือนเดิม ขณะนั้นรู้สึกว่าไม่คงที่ ไม่เที่ยง ก็กำหนดไปตามนั้น ว่า"ไม่เที่ยงหนอ" "อนิจจังหนอ" ความรู้สึกต่อมา รู้สึกตื้นตัน ปิติ กำหนดตามนั้นจนนำตาปริมที่ขอบตา ก็กำหนด ต่อมารูสึกรัก อยากขอบคุณ ผู้มีพระคุณทุกคน รวมถึงสรรพสัตว์ ก็กำหนดตามนั้น แต่ได้อธิษฐาน แผ่บุญกุศลออกไปให้กับทุกคน ทุกผู้ทุกนาม (ไม่ทราบว่า ทำถูกหรือไม่)
อยากทราบว่า "สภาวะที่เกิดคืออะไรคะ" ช่วยอธิบายา และแนะนำด้วยคะ

คำตอบ
(๑) เกิดจากเจ้ากรรมนายเวรเก่าตามทวงหนี้ วิธีแก้ปัญหาตามที่บอกเล่าไปทำถูกต้องแล้ว แต่ต้องอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ทุกครั้งหลังจากได้ทำบุญ (ดูบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ) แล้วเสร็จ อุทิศบุญไปเรื่อยๆจนกว่าอาการดังกล่าวสงบไป

(๒) สภาวะที่เกิดขึ้น เป็นการตามรู้ของจิตที่ระลึกได้กับทุกสิ่งที่เข้ากระทบ ผู้ใดรักษาสภาวะเช่นนี้ไว้ได้ตลอดไปทุกขณะตื่น ผู้นั้นได้ชื่อว่ามีธรรมรักษาใจ ความดีใดเมื่อเกิดขึ้นแล้ว หากรักษาความดีนั้นไว้ไม่ได้ก็ไม่มีความหมาย การรักษาความดีให้คงอยู่ตลอดไป ต้องเจริญพละ ๕ อยู่ทุกขณะตื่น แล้วจะทำให้ใจมีกำลังรักษาความดีให้คงอยู่ตลอดไปได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. การที่ท้องยุบ(รูป หรือร่างกาย) ตลอดเวลาจนทำให้จิตรับรู้ว่ารูปจะดับหรือเปล่า หรือเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะ ที่ผ่านมา 7 วัน 8 คืนหนูปฏิบัติเคร่งไปทำให้ จิตเป็นสมาธิมากเกินไป จนกระทั่งหลับไม่ได้ร่างกายไม่ได้พักผ่อน มีสมาธิอยู่ตลอดเวลากำหนดอยู่ตลอดเวลาทำให้มีผลต่อ ร่างกายที่ไม่ประสาน กับจิตจนทำให้ร่างกายน๊อค

จนสุดท้ายจิตบอกตัวเองว่ากำลังจะตาย หรือเป็นเพราะกำลัง ของสติอ่อนคะ

2. หลังจากนั้นหนูเข้าใจว่า ตัวเองได้ตายจากโลกมนุษย์ (ดูเหมือนว่าจิตเข้าใจอย่างนั้น ) กรณีนี้เป็น เพราะกำลังสติอ่อนทำให้ จิตเตลิดหรือเปล่าค่ะ หรือเป็นประเภทจิตวิปลาสค่ะ

3. เมื่อจิตเข้าใจว่าร่างกายดับแล้ว จิตบอกว่าร่างกายคนเราก็เหมือนการที่เราเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เราต้องสละเสื้อผ้าชุดเก่าทิ้งไป ไม่อาลัยอาวรณ์เสื้อผ้าชุดเก่า เป็น เพราะอะไรคะ ?

ในช่วงเวลานี้ หนูเหมือนไม่ใช่ตัวของตัวเองแต่เป็นคนอีกคนหนึ่ง และพูดไม่ได้เหมือนกลับไปเป็นเด็ก แม้ขณะนั่งอยู่เฉย ก็เหมือนมีภาพในหัวตลอดเวลา เหมือนเห็นคนเป็นเด็กแล้วก็เป็นผู้ใหญ่ แล้วก็แก่แล้วก็ตาย แล้วก็เห็นพระภิกษุสงฆ์เดินตามกันไป เป็นแถวเรียงหนึ่งไปแล้วที่ๆพระภิกษุสงฆ์ไป ก็จะมีเป็นระดับชั้น ที่หนูไม่เข้าใจก็คือว่า มีพระภิกษุอยู่รูปหนึ่งไม่เดินไปไหน แต่เดินเป็นวงกลมอยู่ตลอดเวลา เป็นเพราะอะไรคะ ?

4. เพื่อนเอาของคาวมาให้กิน ไม่อยากกินจะกินแต่ของที่ไม่มีจิตวิญญาณ และจิตตัวเองรู้ว่ากิเลสเป็นสิ่งที่สกปรกมาก จนไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะเปรียบเทียบได้

5. หลังจากนั้นเพื่อนกลัวว่าหนูจะเป็นบ้า จึงพาหนูไปหาอาจารย์วิปัสนากรรมฐานท่านหนึ่ง และมีคนพูดว่าหนูไม่รับพุทธศาสนา ตอนนั้นหนูไม่ได้พูดกับเขาแต่ชูมือ 3 นิ้วซึ่งตัวหนูเองหมายถึง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์

6. เพื่อนหนูถามอาจารย์วิปัสนากรรมฐานว่า ต้องพาหนูไปรับขันธ์อะไรหรือเปล่า (ความเชื่อของเพื่อนหนู) อาจารย์บอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลยอีก 7 วันหนูจะกลับมาเป็นปกติ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้

ขณะนี้สำหรับหนูเป็นอดีตไปแล้ว แต่ที่หนูข้องใจ ก็คือว่า หนูปฏิบัติเคร่งไปจนกลายเป็นวิปัสนูปกิเลสหรือเปล่า เพราะ กำลังสมาธิมากไป แต่กำลังสติอ่อนหรือไม่ทำให้เกิดอาการแบบนี้ค่ะ

หลังจากครบ 7 วันหนูถึงรู้ว่าตัวเองยังไม่ตายยังอยู่ในโลกมนุษย์ และรู้ว่าตัวเองจะดำรงชีวิตอยู่ เพื่อพัฒนาตัวเองไปสู่ทางพ้นทุกข์ ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับเหตุการณ์ในอดีต ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติที่ผ่านมาเพราะไม่มีค่าอะไรเลย สุดท้ายคนเราก็ไม่ได้อะไรติดตัวไปสักอย่างเดียว ขนตาเส้นเดียวก็นำติดตัวไปไม่ได้มีเพียงบุญ และบาปเท่านั้นที่ติดไปกับดวงจิตที่ยังมีกิเลสอยู่ สิ่งที่หนูค้นพบเป็นเพียงหนทางที่เริ่มต้นเดินเท่านั้น หนทางสายนี้ยังอยู่อีกยาวไกลนัก

สุดท้ายนี้ หนูขอให้อาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะว่าหนูควรปฏิบัติอย่างไร จากจริตของหนูๆชอบนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เสมอ โดยเฉพาะบทสวด

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ธรรมมัง สะระณัง คัจฉามิ

สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ ธรรมมัง สะระณัง คัจฉามิ

ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ตติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

ตติยัมปิ ธรรมมัง สะระณัง คัจฉามิ

ตติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

ขอกราบขอบพระคุณในเมตตาธรรมของอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ


คำตอบ

(๑) ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนาจนจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (อัปปนาสมาธิ) จึงจะเรียกว่าจิตมีสมาธิมากเกินไป ไม่สามารถนำมาพิจารณาให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ แต่ที่บอกเล่าไปเป็นเพราะจิตขาดสติ จิตเคลื่อนออกจากการระลึกรู้ในอาการยุบของผนังหน้าท้อง แล้วจิตเกิดจินตนาการว่า รูปจะดับหรือเปล่า ที่บอกเล่าไปจึงเป็นเพราะจิตมีกำลังของสติอ่อนนั่นเอง

(๒) ผู้ถามปัญหาเข้าใจเอาเองว่าได้ตายจากโลกมนุษย์ ทั้งๆที่ยังมิได้ตายไปไหน ยังเขียนมาบอกเล่าอาการและยังถามปัญหาได้ อย่างนี้เรียกว่า จิตเกิดจินตนาการที่เพี้ยนไปจากความเป็นจริง ขอแนะนำว่า ควรหาครูบาอาจารย์ที่มีประสบการณ์ตรงในการปฏิบัติธรรมและเข้าถึงอริยธรรมได้ แล้ว มาเป็นผู้ชี้แนะและแก้ไขการปฏิบัติที่ผิดทาง แล้วมรรคผลแห่งการปฏิบัติธรรมก็จะเกิดได้ถูกตรง

(๓) เป็นการเข้าใจผิด ทั้งๆที่ร่างกายยังคงอยู่ให้จิตใช้งานได้ คนที่จะเห็นร่างกายดับได้ ต้องพัฒนาสมถภาวนาจนจิตเข้าถึงปุพเพนิวาสานุสติญาณได้แล้ว จึงจะเห็นการดับของร่างกายในอดีตได้ ดังนั้นที่บอกเล่าไปจึงเป็นจินตนาการที่ผิดของจิต

อนึ่ง การเห็นภิกษุสงฆ์เดินตามกันเป็นแถวเรียงหนึ่ง และเดินเป็นวงกลม เป็นเพียงจินตนาการของจิตที่ขาดสติ

(๔) กิเลสคือสิ่งที่ทำให้จิตเศร้าหมอง อาหารคาว อาหารหวาน เนื้อสัตว์และพืช ล้วนต่างเป็นสิ่งสกปรกโสโครก (ปฏิกูล) ฉะนั้นที่บอกเล่าไป จึงเป็นจินตนาการของจิตที่ผิดเพี้ยนไปจากความจริงแท้

(๕) คำว่า “ บ้า ” หมายถึง จิตมีสติฟั่นเฟือน คือมีอาการของจิตผิดไปจากจิตของคนปรกติ เมื่อจิตทำหน้าที่สั่งร่างกาย จึงแสดงออกเป็นพฤติกรรมที่ผิดไปจากพฤติกรรมของคนปรกติ ฉะนั้นเพื่อนที่พาผู้ถามปัญหาไปหาอาจารย์ให้ช่วยแก้อาการที่ผิดปรกติให้นั้น เขาเป็นเพื่อนที่ดี

(๖) อาจารย์ที่สอนวิปัสสนากรรมฐานพูดถูกแล้ว เมื่อใดปล่อยให้จิตรับสิ่งกระทบภายนอกเข้าปรุงอารมณ์ ก็จะกลับมาเป็นอารมณ์แบบคนปรกติได้

อนึ่ง จิตของผู้ใดมีกำลังของสติอ่อน ความตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิตผู้นั้น ย่อมอ่อนตามไปด้วย ความศรัทธาในพุทธศาสนาเป็นทรัพย์อันประเสริฐ เพราะบุคคลจะข้ามพ้นการเวียนว่าย-ตายเกิดได้ ต้องมีศรัทธาเป็นตัวนำ และต้องมีปัญญาเห็นถูกตามธรรมเป็นเครื่องส่องนำทางให้กับชีวิต ความบริสุทธิ์ของจิตจึงจะเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 20:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ดิฉันมีคนรู้จักมาพูดให้ฟังเกี่ยวกับการรักษาศีลข้อ มุสาฯ ค่ะ ว่าหากเราพูดโกหก
เพื่อที่จะให้เขาสบายใจหรือพูดเพื่อให้ผู้อื่นไม่เดือดร้อน แต่ทั้งที่จริงเรารู้อยู่ว่าไม่
เป็นความจริงอันนี้ถือว่าเป็นบาปหรือไม่อย่างไรค่ะ

2.หากเราเป็นสื่อกลางในการโกหกเพื่อสื่อสารระหว่างคน 2 คน ในการติดต่อประสานงาน แต่เรารู้สึกไม่สบายใจที่จะโกหกทั้งที่จริงรู้อยู่และคนที่เราสื่อสารด้วยไม่สบายใจ ข้อนี้ผิดศีลหรือเปล่าค่ะ

3.หากผิดศีลดิฉันควรจะทำอย่างไรดีค่ะ หากดิฉันยังต้องเป็นสื่อกลางอยู่อย่างนี้

4.ดิฉันชอบสวดมนต์และนั่งสมาธิ เวลาก่อนนอนค่ะ แต่ไม่ทุกวันอย่างนี้การปฏิบัติของดิฉัน จะเกิดผลหรือเปล่าค่ะ

รบกวนอาจารย์ช่วยตอบให้กระจ่างด้วยค่ะ

คำตอบ
(๑) ถือว่าเป็นบาปครับ ผู้ใดยังมีพฤติกรรมเป็นเช่นนี้ ผู้นั้นสามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่เข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ

(๒) ผู้สื่อสารพูดเท็จ แล้วไม่สบายใจ ถือว่าเป็นบาป และผู้รับการสื่อ ไม่สบายใจ ถือว่าเป็นบาปด้วยเช่นกัน

(๓) หากประสงค์แก้ปัญหาการสื่อที่เป็นเท็จ ต้องแก้ที่ต้นเหตุ คือสื่อสารให้ถูกตรงตามความเป็นจริง

(๔) การสวดมนต์ นั่งสมาธิ เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ และยังเป็นบุญใหญ่สุด เพราะสามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงความทรงฌานได้ หากตายในขณะจิตทรงอยู่ในฌาน จะไปเกิดเป็นพรหมอยู่ในพรหมโลก วันใดที่สวดมนต์และนั่งสมาธิ วันนั้นบุญได้เกิดขึ้น วันใดมิได้สวดมนต์ มิได้นั่งสมาธิ วันนั้นบุญจากการประพฤติเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 05 มิ.ย. 2010, 18:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้รู้จักอาจารย์สนองผ่านหนังสือ ทำชีวิตให้ได้ดีและมีความสุข กับ ยิ่งกว่าสุขเมื่อจิตเป็นอิสระ ซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ ที่ได้ซื้อหนังสือของอาจารย์ เมื่ออ่านหนังสือทั้งสองเล่มจบ ดิฉันรู้สึกว่าเกิดการรู้แจ้งในเรื่องชีวิตขึ้นมากเลย สงสัยจริง ๆ ว่า 40 ปีที่ผ่านมาทำไมดิฉันไม่เจออาจารย์ให้เร็วกว่านี้

จากหนังสือของอาจารย์ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ดิฉันได้ไปบวชเนกขัมมะ เนื่องในวันวิสาขบูชาที่วัดอ้อน้อย ของหลวงปู่ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้พบกับหลวงปู่ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้าที่จะได้อ่านหนังสือของอาจารย์ ดิฉันไม่เคยคิดที่จะไปถือศีลที่ไหนเลย และไม่เคยคิดที่จะอยากรู้จักกับหลวงปู่ทั้ง ๆ ที่พี่ชายของดิฉัน เคยพูดเรื่องหลวงปู่บ่อยมาก แต่ดิฉันก็เฉย ๆ

วิสาขบูชาปีนี้ทำให้ดิฉันได้สะสมบุญ สำหรับตัวเองเป็นครั้งแรก และได้พบกับหลวงปู่ ผู้ที่ดิฉันจะยึดเป็นแบบอย่างในการสะสมบุญ และทำความดี และได้มีโอกาสเห็นอาจารย์สนองบนเวที เนื่องในงานเสวนาธรรมที่ลุมพินีที่ผ่านมา รู้สึกยินดียิ่ง ที่ได้เห็นตัวจริงของผู้ที่ทำให้ดิฉันตาสว่างจากกิเลส และเข้าใจกับคำว่า สัตว์ โลกเป็นไปตามกรรม ปัจจุบันดิฉันพยายามสวดมนต์,ทำบุญ,รักษาศีล 5 , พยายามมีสติอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งก็ยากในทางปฎิบัติ เพราะยังมีอวิชาอยู่แต่ก็ต้องพยายามต่อไป มีคำถามอยากจะขอคำแนะนำจากอาจารย์คือ

1) ถ้าในชีวิตของเรามีเพื่อนร่วมงานที่เอาเปรียบ และมีหัวหน้าที่ไม่มีความยุติธรรมนึกถึงแต่เด็กตัวเอง เราไม่ควรไหว้คนพวกนี้ เพราะเป็นผู้ที่ไม่มีคุณธรรมใช่หรือไม่

2) ในการสวดมนต์แต่ละครั้ง อยากจะตั้งจิตอธิษฐานว่าให้หลุดพ้นจากสังสารวัฎ ไม่ทราบว่าต้องอธิษฐานว่าอย่างไร

สุดท้ายนี้บุญใดที่ดิฉันได้กระทำมาขอฝากบุญให้กับอาจารย์ด้วยค่ะ

คำตอบ
ผู้รู้จริงในพุทธศาสนา ไม่มีคำว่า บังเอิญ ดังนั้นสี่สิบปีผ่านไป ยังไม่พบและไม่ได้อ่านหนังสือที่อ้างถึง เป็นเพราะความไม่ถึงพร้อมในเหตุปัจจัย คือบุญของผู้ถามปัญหายังไม่ส่งผล บัดนี้บุญนำพาหรือวาสนาส่งผลให้แล้ว จึงไม่ควรประมาทในการดำเนินชีวิต เพราะบุคคลเกิดแล้วต้องแก่ แก่แล้วต้องตาย การตายไปสู่ภพที่ดี มีบุญเป็นปัจจัยนำพาจิตวิญญาณให้โคจรไปสู่ ตราบใดที่ลมหายใจเข้า-ออก ยังมีอยู่ บุคคลยังมีโอกาสสั่งสมบุญเพื่อใช้เป็นปัจจัยเดินทางสู่ปรโลกได้

(๑) ดูให้ออกว่า เพื่อนร่วมงานที่เอาเปรียบเรา เหตุเพราะเขาไม่มีอย่างที่เรามี เขาจึงประพฤติตนเป็นผู้เอาเปรียบผู้อื่น เขาเอาเปรียบเรายังไม่สำคัญเท่ากับเราไปเอาเปรียบเขา เพราะหากเราประพฤติเช่นนั้น ย่อมเป็นเครื่องแสดงว่า ชีวิตของเราขาดแคลนและด้อยค่า

ส่วนเรื่องของหัวหน้าที่ไม่มีความยุติธรรม เป็นเรื่องที่เขาประพฤติถูกตามความเห็นของเขา ผู้ถามปัญหาต้องเอาหัวหน้าเป็นครูสอนใจตัวเองว่า เราจะไม่ประพฤติแบบเขา หากเราได้ก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าเหมือนเขา

อนึ่ง หากผู้ถามปัญหาอยู่ในสถานะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ต้องประพฤติจริยธรรมของการเป็นลูกน้องที่ดี อาทิ มาทำงานก่อนเจ้านาย เลิกงานทีหลังเจ้านาย เอาแต่ของที่นาย ให้ มีความรับผิดชอบงาน เอาเฉพาะส่วนที่ดีของเจ้านายไปเผยแพร่ ความไม่ดีของเจ้านายต้องไม่เผยแพร่ เพราะจะเป็นการสร้างบาปให้กับตัวเองได้

(๒) อธิษฐานตามที่เขียนบอกไป แต่ที่สำคัญคือต้องประพฤติเหตุให้ถูกตรง ความหลุดพ้นจากสังสารวัฏจึงจะเกิดขึ้นได้ เหตุถูกตรงคือ ต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนเข้าถึงมรรคผลแห่งการปฏิบัติได้เมื่อใด ความหลุดพ้นจากสังสารวัฏ จึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 05 มิ.ย. 2010, 18:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้กลุ้มใจมากค่ะ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี? เรื่องมีอยู่ว่า ดิฉันทำงานอยู่บริษัทการตลาดแห่งหนึ่ง ซึ่งได้คิดแคมเปญรับบริจาคคะแนนสะสมของสมาชิก เพื่อนำมาเปลี่ยนเป็นปัจจัยให้พระสงฆ์ ปรากฏว่ามีคนบริจาคคะแนนสะสมให้มากมาย จนเกินใช้ และในที่สุดจนจบโครงการ ก็มีคะแนนสะสมบางส่วนที่ไม่ได้ใช้ (ทั้งๆที่ในตอนแรกตั้งใจจะใช้ทั้งหมด แต่ด้วยเหตุผลทางการตลาดบางประการ จึงไม่สามารถใช้คะแนนสะสมที่รับบริจาคมาได้ทั้งหมด ซึ่งตรงนี้อยู่เหนืออำนาจการตัดสินใจของดิฉัน)

ดิฉันรู้สึกว่ามันเป็นบาป ที่เอาของของคนอื่นมาแล้วไม่ได้นำไปทำบุญ อย่างที่คนให้ตั้งใจ ทั้งๆที่การตัดสินใจเด็ดขาดว่า จะมอบคะแนนสะสมจำนวนเท่าไหร่เพื่อเปลี่ยนเป็นปัจจัย ให้พระสงฆ์นั้นไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของดิฉัน ดิฉันไม่สามารถเข้าไปยุ่งในส่วนนี้ได้เลย หลักๆคือ ดิฉันจะเป็นพวกเจ้าไอเดียออกไอเดียเริ่มโครงการต่างๆเท่านั้น และตอนเริ่มโครงการนี้ ก็มีความตั้งใจที่จะให้ทุกคนได้ร่วมทำบุญจริงๆ

ดิฉันขอถามอาจารย์ว่า ดิฉันจะบาปมากใหมคะ? และจะได้รับผลกรรมเช่นไรจากการกระทำนี้คะ? จะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้อย่างไรบ้าง? และถ้าเกิดเหตุการณ์คล้ายๆอย่างนี้อีก จะทำอย่างไรดี เพราะจากความสำเร็จของโครงการในครั้งแรก ทำให้ผู้ใหญ่เริ่มที่จะทำการตลาดจากความศรัทธาแบบนี้อีก และเริ่มที่ทำอย่างเกินงาม ซึ่งดิฉันก็ถูกดึงเข้ามาร่วมออกไอเดียอย่างปฏิเสธไม่ได้ อาจารย์คิดว่าดิฉันควรจะหลีกเลี่ยงอย่างไรดีคะ จึงจะเป็นการเลี่ยงอย่างฉลาด แบบชาวพุทธที่ดีพึงกระทำ

ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ

ผู้มีทุกข์

คำตอบ
แนวความคิดที่เสนอให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจถือว่า แนวความคิดนั้นเป็นบาป เพราะเอาบุญมาเป็นเหยื่อล่อให้คนหลง ผู้เสนอแนวความคิดจึงเป็นจำเลยบาปที่หนึ่ง ผู้อนุมัติให้นำเอาแนวความคิดนี้ไปใช้ เป็นจำเลยบาปที่สอง ส่วนการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามหลักการที่ให้ไว้แก่ผู้มาใช้บริการ ถือว่าไม่รักษาสัจจะให้ผลเป็นบาปเกิดขึ้นกับผู้อนุมัติโครงการ ถือว่าไม่รักษาสัจจะให้ผลเป็นบาปเกิดขึ้นกับผู้อนุมัติโครงการ สรุปแล้วงานนี้ผู้อนุมัติฯ มีบาปมากกว่าผู้เสนอแนวความคิด

กรรมที่ทำจะบาปมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความไม่สบายใจของผู้ที่มีส่วนร่วมในการกระทำกรรม ใครไม่สบายใจมากย่อมบาปมาก ใครไม่สบายใจน้อยย่อมบาปน้อย

ผลของกรรมคือ เมื่อใดที่กรรมให้ผล ย่อมเป็นเหตุให้ต้องสูญทรัพย์ ติดขัดในเรื่องของทรัพย์ ตายแล้วยังมีโอกาสเปิดให้ลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิได้ ส่วนการแก้ไขบาปที่เกิดขึ้น โปรดดู web site ข้อ 728

ผู้ใดรู้ว่ากรรมที่ทำแล้วให้ผลเป็นบาป และไม่ประสงค์ให้มีบาปเพิ่มมากขึ้น ต้องไม่ทำบาปนั้นซ้ำ ผู้ถามปัญหามีชีวิตเป็นของตัวเอง จึงต้องเลือกประพฤติด้วยตัวเองครับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 05 มิ.ย. 2010, 18:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันไม่ใช่คนปฎิบัติธรรมเคร่งครัด แต่แม่สวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิ ใส่บาตร ให้เห็นมาทุกวันตั้งแต่จำความได้ หนังสือธรรมมะก็พอมีให้หยิบจับอ่านอยู่ในบ้าน วิทยุก็ฟังหลวงตาบัวทุกวัน ตั้งแต่เช้ายันค่ำ ดังนั้นก็จะมีเรื่องธรรมซึมๆเข้ามาบ้างตามอัตถภาพ ทำให้ไม่กล้าทำบาปหนัก

ที่บ้านเป็นตึกแถวอยู่ใกล้ตลาดค่ะ มักจะมีหนูวิ่งเข้ามาเรื่อยๆตามซอกประตู หรือไม่ก็จากหลังคา ล่าสุดได้ปิดทางท่อระบายน้ำไม่ให้ขึ้นมาได้ แต่ก็ยังมีหนูเข้ามาวิ่งให้ให้เห็น หรือส่งเสียงร้องให้ได้ยิน สงสารแม่มาก เพราะท่านแก่มากแล้วเดินขึ้นบันไดไม่ไหวเลยต้องนอนอยู่ข้างล่าง ตอนกลางคืนแม่จะได้ยินเสียงหนูร้อง ทำให้กลุ้มใจและนอนไม่หลับ และมักจะบ่นเสมอว่าไม่รู้ว่าไปทำเวรทำกรรมอะไรมาไม่รู้ แม่แผ่เมตตาให้หนูทุกวันเลยค่ะ

แต่ก่อนนี้แม่ก็จะเอากรงมาดัก จับได้ก็เอาไปปล่อย ไม่เคยวางยา หรือวางกาว เนื่องจากไม่มีใครในบ้านกล้าทำค่ะ มาพักหลังๆ หนูฉลาดมากค่ะ ไม่เข้ากรงเลย และมีจำนวนเยอะขึ้นมากด้วยค่ะ แม่เคยบอกว่าเห็นเดินกันเป็นแถว 10 กว่าตัวได้ ทั้งๆที่ได้ติดตั้งเครื่องกำจัดหนูที่จะรบกวนหนูด้วยคลื่นเสียง แต่ก็ไม่เป็นผลแต่อย่างใด

ตอนนี้เวลาไปเจอใครก็จะถามเกียวกับปัญหานี้ว่า มีวิธีกำจัดหนูโดยที่ไม่ต้องฆ่าบ้างไหม พอดีได้คุยกับพี่คนหนึ่งซึ่งปฎิบัติธรรม แนะนำให้มาขอปัญญาจากท่านอาจารย์ค่ะ

อาจารย์พอจะแนะนำวิธีกำจัดหรือป้องกันหนูโดยไม่ต้องฆ่าบ้างไหมค่ะ เพราะตอนนี้หนูเริ่มขึ้นบนบ้าน ชั้น2-3 แล้วค่ะ เกรงว่าอีกหน่อย ไม่อยากทำก็อาจต้องทำเพราะอับจนปัญญา และกลัวหนูกันค่ะ

ขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
ผู้ใดมีความกลุ้มใจ ผู้นั้นไม่มีเมตตา ผู้ไม่มีเมตตาแล้วยังแผ่เมตตาให้กับสัตว์ (หนู) ถือว่าการแผ่เมตตานั้นว่างเปล่า (โมฆะ) แม้จะแผ่เมตตาให้หนูทุกวัน หนูก็ไม่ได้รับเมตตาตามที่ตัวเองปรารถนา

อนึ่ง วิธีป้องกันหนูโดยไม่ต้องประพฤติปาณาติบาต คนโบราณใช้วิธีหลายอย่างเพื่อแก้ปัญหาหนูรบกวน อาทิ เลี้ยงแมวไว้ที่บ้าน ใช้พริกไทยป่น ยาฉุนป่น หรือสารอื่นที่หนูไม่ชอบโรยไว้ตามทางที่หนูเดิน หรือใช้วิธีป้องกันหนูเข้ามาในบ้านด้วยการอุดรูโหว่หรือใช้ตาข่ายลวดปิดทาง เข้าบ้าน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 05 มิ.ย. 2010, 18:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. เตี่ยผมเป็นโรคสมองตีบ ผมจะช่วยท่านอย่างไรครับ
2. ผมเคยช่วยคนอื่น แต่ทำให้เขาต้องเดือดร้อนจนผมไม่กล้าช่วยเหลือใคร ผมต้องทำอย่างไรครับ
3. ผมกลัวการเอาเปรียบคนอื่น ทำให้ผมไม่มั่นใจในตัวเอง และโดนเอาเปรียบอยู่เรื่อย

สุดท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักสิทธิ์ในสากลโลก จงดลบัญดาลให้ ดร.สนองและครอบครัว อยู่เย็นเป็นสุข คิดอะไรสมความปรารถนาทุกประการ

คำตอบ

(๑) ช่วยพาเตี่ยไปหาหมอที่มีความรู้ทางด้านสมอง ให้หมอแนะนำวิธีบำบัดรักษา

(๒) การช่วยเหลือผู้อื่น อาจทำให้บุคคลต้องเดือดร้อนได้ในระยะต้น แต่ในบั้นปลายปัญหาของผู้ถูกช่วยเหลือ ย่อมมีโอกาสหมดไปได้ ฉะนั้นจะช่วยเหลือใคร ต้องใช้ปัญญาเป็นตัวพิจารณาให้ถูกตรง

(๓) ความไม่มั่นใจในตัวเอง เกิดขึ้นจากเหตุไม่รู้จริงเกี่ยวกับตัวเอง ผู้ใดประสงค์จะแก้ปัญหานี้ ต้องทำเหตุให้ถูกตรง ด้วยการนำตัวเองเข้าฝึกวิปัสสนากรรมฐาน

ผู้ใดถูกผู้อื่นเอาเปรียบ ผู้รู้มองว่า ผู้นั้นเป็นผู้มีดีให้คนอื่นเอาเปรียบ ตรงกันข้าม ผู้เอาเปรียบคนอื่น มีความพร่อง มีความขาดแคลน ไม่มีเหมือนเขาจึงเอาเปรียบเขา ฉะนั้นผู้รู้จึงนิยมเป็นบุคคลประเภทแรก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 05 มิ.ย. 2010, 18:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีความรู้สึกว่าตัวเองปราถนาพุทธภูมิ จึงขอความกรุณาอาจารย์ช่วยตอบข้อสงสัยดังนี้ครับ
1.ในชาติปัจจุบัน จะต้องปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน ให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งหรือไม่ครับ

2.ทุกครั้งที่สร้างบารมี จะต้องอธิษฐานเพื่อให้เข้าถึงพุทธภูมิหรือไม่ครับ

ขอขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบครับ และก็ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายไปนานๆ

คำตอบ

(๑) ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้ยิ่งดี เพราะจะได้มีปัญญาเห็นถูก ส่องนำทางให้กับชีวิต แต่ทั้งนี้ต้องไม่พัฒนาจิตให้เกิน สังขารุเปกขา ญาณ เพราะจะทำให้สภาวะความเป็นพุทธภูมิยังคงอยู่ได้

(๒) ระลึกได้ก็สามารถอธิษฐานได้ แต่ยังไม่สำคัญเท่ากับทำเหตุให้ถูกตรง ตามแนวทางของพระโพธิสัตว์

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 05 มิ.ย. 2010, 18:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูได้ติดตามฟังธรรมของอาจารย์ และได้นำไปใช้เป็นแง่คิดในการดำรงชีวิตประจำวัน
ซึ่งก็สามารถแก้ใขปัญหาที่เกิดในชีวิตประจำวันได้มาตลอด แต่มีปัญหาหนึ่งที่หนูไม่ทราบว่า จะเป็นการตัดสินใจถูกหรือผิด จึงใคร่เรียนขอคำแนะนำจากอาจารย์คะ

คือเมื่อกลางปีนี้ หนูได้เช่าเครื่องชำระเงินผ่านบริษัทในอังกฤษ ( หนูทำธุรกิจที่นี่คะ) เค้าขอให้วางมัดจำเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งหนูก็ได้ใช้เครื่องของเขา และคืนไปให้เขาเรียบร้อย และรอเงินมัดจำคืน แต่ในขณะนี้หนูก็ยังไม่ได้เงินมัดจำคืน ซึ่งเวลาผ่านล่วงเลยไป 3 เดือนแล้ว ซึ่งทางบริษัทได้ให้สัญญาว่า จะส่งเงินกลับคืนภายใน 7 วันหลังจากที่ได้รับเครื่องคืนแล้ว หนูก็ได้ทำการติดต่อไปหลายครั้ง และหนูมีความรู้สึกว่าเค้ากำลังโกหกหนูอยู่ เพราะแต่ละครั้ง เค้าจะบอกว่าส่งมาแล้ววันนั้นวันนี้ แต่พอโทรอีกทีบอกจะส่งในให้ในวันนี้ และทุกครั้งเค้าก็สัญญาว่าจะติดต่อกลับ และจะจัดการส่งเงิน (อสรพิษ) คืนให้ แต่จนบัดนี้ ก็ยังไม่ได้รับเงินคืน

ซึ่งหนูพยายามตัดใจและก็ใช้คำสอนของอาจารย์ ที่ว่า ช่างมันเถอะ และพิจารณาว่ามันเป็นของนอกกาย และพยายามที่จะไม่โกรธ และไม่เอาเรื่อง แต่มานึกดูอีกทีก็คิดว่าเอ๊ะ บริษัทนี้เค้าโกงเรา เราต้องจัดการฟ้องร้อง ให้เค้าเอาเงินมาคืน แต่มาคิดดูอีกทีอาจารย์ไม่เคยให้สอนให้ใช้วิธีทางโลกแก้ปัญหา ซึ่งวิธีที่ต้องฟ้องร้องเอาความนั้น มันเป็นวิธีทางโลก ที่เป็นการก่อเวรอย่างไม่หยุดยั้ง และต้องมีผู้เดือดร้อนและเป็นการสร้างศัตรู แต่วิธีที่พิจารณาถึงสัจจธรรมความไม่เที่ยง การสูญเสียซึ่งมันเหมือนเป็นการวัดใจว่า เรามีความเข้าใจถึงโลกธรรมนั้น เป็นวิธีทางธรรมที่ไม่ก่อเวรและไม่สร้างศัตรู สิ่งที่เราเสียไปนั้นมันไม่เป็นการบังเอิญ หากเราไม่เอาความและทำใจยอมรับมันได้ ในความคิดหนู หนูว่ามันมีค่ามากกว่าเงินที่สูญเสียไป ส่วนคนที่เขาโกงเราเขาก็ย่อมได้รับผลของเขาเอง และหนูก็พิจารณาตามที่หนูได้รับคำสอนจากหลวงพ่อสนอง กตปุญโญว่า ถูกเขาโกง ดีกว่าไปโกงเขา ซึ่งบางทีหนูก็ทำใจได้ แต่พอคิดถึงเงินที่เราสูญเสียไป ก็อยากฟ้องร้องสั่งสอนให้เขารู้สึก มันเหมือนเป็นการคานกันอยู่กับการแก้ไขปัญหา โดยวิธีทางโลกและทางธรรม

ตอนนี้หนูก็ได้เขียนจดหมายไปบอกเค้าว่า ถ้าไม่ส่งค่ามัดจำให้เราเราจะฟ้องร้อง แต่ในใจหนู หนูคิดว่าถ้าเค้าไม่ส่งมาหนูก็ไม่เอาความแล้ว หากเขาต้องการหรืออยากได้เงินจำนวนนี้ไป ก็นำไปเถิด หนูคิดว่า บางทีการสูญเสียทางโลกหมายถึงเราจะได้ในทางธรรมซึ่งมีคุณค่ามากกว่า บางคนเค้าหาว่าหนูโง่ ไม่รู้จักสู้ โดนเค้าเอาเปรียบแล้วยังยอมรับสภาพจำยอม เงินไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แต่หนูก็นึกถึงธรรมะของพระพุทธเจ้าเสมอคะ ในบทธรรมจักรที่ว่ามีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ และความพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ หากเราไม่ปรารถนาสิ่งเหล่านี้ เราก็จะไม่เป็นทุกข์ ดังนั้นหนูได้ตัดสินใจในการแก้ไขปัญหานี้โดยที่ว่าวันนี้หนูโทรไปตามเรื่อง เค้าก็โกหกอย่างเช่นเคย หนูรู้สึกสงสารคนที่เค้ากำลังโกงหนู โกหกหนู และหนูก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่า หนูจะยกเจ้าอสรพิษนี้ให้เค้าไปโดยที่หนูจะไม่ผูกใจเจ็บใดๆ และถึงแม้ว่าใครจะหาว่าหนูโง่ ถูกหลอกง่ายให้คนเขาเอาเปรียบ หนูก็จะไม่เปลี่ยนใจกลับไปแย่งชิงเจ้าอสรพิษนี้กลับมา และให้อภัยเค้าไม่คิดจองเวรกันต่อไป

หนูจึงอยากถามคิดเห็นของอาจารย์คะ ว่าสิ่งที่หนูคิดใช้ในการแก้ปัญหานี้ถูกทางหรือไม่คะ

สุดท้ายนี้หนูขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ ในการถ่ายทอดธรรมของพระพุทธเจ้าให้พวกหนูได้เข้าใจ และยึดเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิตในสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้อย่างมี สันติสุขภายในจิตใจ และขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์จงดลบันดาลให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง เพื่อเป็นกำลังใจและแบบอย่างที่ดีงามให้พวกหนุตลอดไปนะคะ


ด้วยความเคารพอย่างสูง


คำตอบ
จงมีความเห็นถูกว่า ธรรมะที่ได้ยินได้ฟังนั้น เป็นของพระพุทธะ มิใช่เป็นของผู้ตอบปัญหา การใช้ปัญญากำจัดอสรพิษให้ห่างไกลออกไปจากตัว เป็นวิธีบริหารจัดการกับปัญหาที่ผู้รู้จริง ในพุทธศาสนาสรรเสริญ .... สาธุ

อนึ่ง ผู้รู้เอาสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นบทเรียนสอนใจตัวเองว่า การเอาจิตเข้าไปเป็นทาสกับโลกธรรม วัตถุ กิเลส ตัณหา ฯลฯ แม้เพียงชั่วขณะของชีวิต ย่อมนำทุกข์นำโทษมาทำให้จิตเศร้าหมองได้ ฉะนั้นจงใช้ปัญญาเห็นถูกดังที่บอกเล่าไป ส่องนำการทำงานให้กับโลกและชีวิต เพื่อปลอดจิตให้เป็นอิสระเป็นเบื้องสุด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 05 มิ.ย. 2010, 18:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมและภรรยาได้ปฏิบัติตามคำสอนของอาจารย์แม้จะยังทำไม่ได้ 100% แต่มีความตั้งใจอยู่ทุกเวลาครับ
กระผมและภรรยามีข้อสงสัยในเรื่องการกำหนดลมหายใจโดยการภาวนาหลายๆ อย่างเช่น พุทโธ พองหนอ ยุบหนอ หรือ เกษา โลมา ฯ แต่จิตยังไม่นิ่งเท่าที่ควร แต่กระผมก็ทราบว่าเราต้องมีศีล 5 คุมใจก่อน และเมื่อได้อ่านในเรื่องการผิดศีลของอาจารย์ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่อง ที่ละเอียดมาก เช่นการใช้สิ่งของที่อีกคนไม่ได้อนุญาตก็ผิดแล้ว (วิสาสะ)
กระผมจึงใคร่เรียนขอคำแนะนำจากอาจารย์ในเรื่องนี้อีกครั้งครับ


คำตอบ
ศีลที่นำสู่การตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิต อย่างน้อยต้องมีศีลห้าข้ออยู่ครบ (ไม่ขาด ไม่ทะลุ) ต้องเป็นศีลที่บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสปนเปื้อน (ไม่ด่าง ไม่พร้อย) และมีศีลคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น

ในเรื่องของศีลข้อสอง คือ อทินนาทาน ในทางกฎหมายคนทั่วไปถือว่า สามีภรรยาเป็นบุคคลเดียวกัน สามารถที่จะเอาของที่แต่ละคนมี มาใช้ได้โดยไม่ต้องขออนุญาต ในการปฏิบัติธรรมผู้ที่ยังประพฤติเช่นนี้ถือว่า มีศีลทะลุ นอกจากนี้ การเอาโทรศัพท์หน่วยงานมาใช้ในเรื่องส่วนตัว เอาเวลาของหน่วยงานมาประกอบอาชีพขายตรง ฯลฯ เหล่านี้เป็นการประพฤติศีลทะลุเช่นเดียวกัน ส่วนการบริโภคใช้สอยทรัพย์ร้อน อาทิบ้านที่ดินที่ซื้อจากหลุดจำนอง รถยนต์ที่หลุดจำนองจากบริษัท ของใช้เครื่องประดับที่หลุดจำนองจากโรงรับจำนำ ฯลฯ เหล่านี้ผู้ใดประพฤติ ผู้นั้นมีศีลด่างพร้อย ปฏิบัติธรรมแล้วเข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 05 มิ.ย. 2010, 18:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเคยฟังธรรมและอ่านหนังสือของท่านอาจารย์ ดร.สนอง แล้วรู้สึกศรัทธาในการยึดมั่น ในการเผยแพร่พระธรรม และโปรดผู้ที่ยังไฝ่ดีทั้งหลายให้พ้นจากไปอบายภูมิ ถือเป็นบุญที่ดิฉันได้เป็นส่วนหนึ่งที่ท่านอาจารย์มาโปรดไม่ให้ไปอบายภูมิ ดิฉันขอสะสมบุญและพยายามพัฒนาจิตให้เข้าถึงธรรมของพระสัมมนาสัมพุทธเจ้า และถือโอกาสถามคำถามกับท่านอาจารย์ดังนี้

1. เรื่องเบียร์ คุณพ่อดิฉันอายุ 80 ปี แล้ว ท่านยังดื่มเบียร์เลิกไม่ได้ พี่น้องเคยให้คุณพ่อเลิก โดยไม่ซื้อให้ท่าน ท่านก็เป็นทุกข์ เพราะเดินไปไหนมาไหนไม่ค่อยสะดวก แอบฝากคนที่ผ่านไปมาซื้อ เป็นเวลาหลายปี ดิฉันก็สงสารในเมื่อท่านเลิกไม่ได้ บังคับให้ท่านอดท่านก็เป็นทุกข์ ดิฉันจึงขอเป็นผู้ที่ซื้อเบียร์ให้คุณพ่อทาน โดยมีข้อแม้ว่า ขอให้ทานวันเว้นวัน วันไหนตรงกับวันพระ ให้เลื่อนทันไปอีก 1 วัน ท่านก็ตกลงและมีความสุขกับการทานข้าวได้ ดิฉันรู้ว่าเบียร์ไม่ดีผิดศีล ตอนที่ดิฉันให้เบียร์คุณพ่อ ดิฉันคิดในใจไม่ขออนิสงฆ์ของการให้เบียร์ แต่ดิฉันขออนิสงฆ์ขอการให้ของที่พ่อพอใจ ดิฉันไม่อยากเห็นท่านมีความทุกข์ที่เบื่ออาหาร อยากจะกินเบียร์ก่อนอาหารแล้วไม่ได้กิน เรื่องเหล้าท่านอดไม่ได้จริงๆ

2. เรื่องหวย พอคุณพ่ออายุ 80 ปี คุณพ่อก็ขอหวย 1 ใบ ดิฉันก็ไม่สนับสนุนนัก แต่จะอธิบายท่านก็ยังไม่รับเท่าไร ก็ทำเฉยๆคิดว่าเดี๋ยวท่านก็คงจะลืมไปเอง แต่ท่านถามว่าซื้อหรือยัง ถามหลายครั้ง ก็เลยซื้อให้ท่านและคิดในใจว่า ไม่เอาอานิสงฆ์ของหวย แต่ขออานิสงฆ์ของการให้ตามที่พ่อต้องการ

3. สำหรับการให้ธรรมะ คุณพ่อของดิฉันยังไม่หงายรับ ผิดศีลข้อ 5 แต่ท่านก็เป็นคนที่ใจดี มีเมตตารักสัตว์ ก็ไม่อยากหักดิบท่าน ท่านอายุมากแล้ว ดิฉันซื้อของทั้งข้อ 1 และ 2 ให้คุณพ่อบาปมั๊ยค่ะ แต่ดิฉันรู้สึกสบายใจที่ได้ให้ท่าน เวลาท่านอยากได้ของกินของใช้ จะถือว่าเป็นโอกาสดี ที่ดิฉันจะสรรหามาให้ท่านได้พอใจ แต่ดิฉันถือศีล เกรงว่าการซื้อเบียร์จะบาปเพิ่มขึ้นหรือไม่

ขอโอกาสท่านอาจารย์ ดร.สนอง ช่วยแนะนำให้ดิฉันได้ทำในสิ่งที่ถูกไม่ผิดศีลผิดธรรม ได้ตอบแทนคุณพ่อให้ดีเท่าที่ยังมีเวลาเหลืออยู่

ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง และขอกราบอนุโมทนาบุญที่ท่านเป็นผู้ให้แสงสว่างทางธรรม และให้ปัญญาเป็นทานมา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ

คำตอบ
ผู้ใดมีศรัทธาในกุศลธรรมของพระพุทธะ ผู้นั้นมีโอกาสหนีอบายภูมิได้ และจะดีที่สุดหากนำเอากุศลธรรมมาปิดอบายภูมิให้ได้

(๑) วันใดที่มิได้ซื้อเบียร์ให้คุณ พ่อดื่ม วันนั้นบาปไม่เกิด ผู้พอใจในการทำกรรมที่เป็นบาป ผู้ร่วมกระทำกรรมต้องรับอานิสงส์ของบาปนั้นด้วย

(๒) อบายมุขเป็นทางแห่งความฉิบหาย ผู้ใดเข้าไปมีส่วนร่วมกับการกระทำที่เป็นอบายมุข ผู้นั้นต้องได้รับผลแห่งความฉิบหายนั้นด้วย

(๓) การประพฤติทุศีลข้อห้า มีโทษไม่หนักถึงกับต้องลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในนรก แต่ยังหนีอบายภูมิไม่พ้น ตายแล้วยังมีโอกาสลงไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้ครับ

อนึ่ง ความกตัญญูกตเวที เป็นคุณธรรมที่มีพลังผลักดันชีวิตไปสู่ความเจริญ ฉะนั้นผู้หวังความสวัสดิ์ในชีวิต ต้องประพฤติจริยธรรมของการเป็นลูกที่ดี คือประพฤติแล้วต้องไม่ขัดต่อหลักของศีลธรรม ความกตัญญูฯ จึงจะเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ท่านมีความเห็นอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับ "การุณฆาต"
1. ในแง่ของผู้ที่ลงมือกระทำ
2. ในแง่ของผู้ป่วย ที่เต็มใจให้ลงมือกระทำ

ขอทราบไว้เป็นความรู้ค่ะ เพราะเคยดูข่าวแล้วอดสงสัยไม่ได้ ว่าจะเป็นบุญหรือบาปประการใด หรือมีทางออกใดที่ดีกว่านี้บ้างคะ

ขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงค่ะ

คำตอบ
คำว่า การุณยฆาต หรือ การุญฆาต หมายถึงทำให้ตายด้วยความสงสารคิดช่วยให้พ้นทุกข์ชั่วคราวในชีวิตนี้

๑. ในทางโลก หากได้บัญญัติเรื่องนี้ไว้เป็นหลักฐานในทางกฎหมาย ให้ผู้มีหน้าที่ประพฤติได้โดยไม่ถือเป็นความผิด จึงไม่มีโทษกับผู้ประพฤติการุณยฆาต ในทางธรรมมิได้เป็นเช่นนั้น บุคคลมีกรรมเป็นตัวนำเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ฉะนั้นการเจ็บป่วยของคนไข้จึงเป็นวิบากของกรรม ที่คนไข้เคยทำเหตุเบียดเบียนไว้ก่อน เมื่อใดที่กรรมเบียดเบียนให้ผล คนไข้จึงต้องรับอกุศลวิบากนั้น ผู้ใดเข้าไปทำให้อกุศลวิบาก (การุณยฆาต) ของคนไข้ระงับไปชั่วคราว ผู้นั้นยังมีโอกาสรับอกุศลวิบาก (บาป) ด้วยการถูกจองเวรจากเจ้ากรรมนายเวรของคนไข้นั้นด้วย

๒. ในทางโลก หากมีกฎหมายบัญญัติไว้ ให้ผู้มีหน้าที่ประพฤติการุณยฆาตได้ และบัญญัติให้คนไข้ยินยอมให้ผู้อื่นกระทำการุณยฆาตกับชีวิตของตัวเองได้ โดยไม่ถือว่าผิดกฎหมาย ผู้มีหน้าที่ฯ จึงไม่ต้องรับผิดในทางโลก แต่ยังมีโอกาสรับอกุศลวิบากได้ หากเจ้ากรรมนายเวรของคนไข้ผูกพยาบาทไว้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 72, 73, 74, 75, 76, 77, 78 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร