วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 23:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 71, 72, 73, 74, 75, 76, 77 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้อ่านคำตอบของท่านในคำถามที่ผู้ถามได้ถามเกี่ยวกับการทำกรรมไว้เพียงครั้งเดียว แต่ผลของกรรมนั้นทำไมจึงมากมายหลายเท่านัก ท่านได้ตอบไว้ว่า คนที่มีจิตค่อนข้างบริสุทธิ์ แล้วไปทำบาปให้เกิดขึ้น ผลของบาปที่ถูกเก็บบันทึกไว้ในดวงจิต จะถูกระลึกถึงได้ง่ายและถูกระลึกถึงได้มาก เมื่อใดที่กรรมให้ผล จึงให้ผลรุนแรงและให้ผลในปริมาณมากกว่าบาปที่ตนกระทำ

ดิฉันมีความสงสัย จึงรบกวนขอสอบถามเพิ่มเติมว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น อย่างนี้ก็เท่ากับว่าคนดีและคนชั่วหากทำบาปลักษณะเดียวกัน คนดีซึ่งมีจิตที่บริสุทธิ์กว่า มีหิริโอตตับปะมากกว่าจะโดนเล่นงานจากวิบากมากหนักกว่าใช่หรือไม่ อย่างนี้จะเป็นการขัดกับกฎแห่งกรรมหรือไม่ และทำอย่างไรเราจึงจะป้องกันในเรื่องนี้ได้ค่ะ หากดิฉันตีความที่ท่านแนะนำผิดพลาด ขอกราบขออภัยและขออโสหิกรรมด้วยค่ะ สุดท้ายนี้ขอให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ และเผยแผ่ความรู้และการปฏิบัติในทางธรรมต่อไปตราบนานเท่านาน ขอบพระคุณมากค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะจิตที่มีบุญสั่งสมอยู่มากมีความไว (Sensitive) ต่อการรับกระทบบาปได้มากกว่า เมื่อใดที่บาปให้ผล ย่อมให้ผลได้รุนแรงกว่า ส่วนจิตที่มีบาปสั่งสมอยู่มาก มีความไวต่อการรับกระทบบาปได้น้อยกว่า เมื่อใดที่บาปให้ผล จึงให้ผลได้อ่อนกว่า เหตุผลนี้มิได้ผิดไปจากกฎแห่งกรรม ฉะนั้นผู้ที่มีความดี (บุญ) สั่งสมอยู่ในจิตมาก พึงระมัดระวังในการทำกรรมไม่ดี ต้องใช้สติสัมปชัญญะเป็นตัวชี้นำการประพฤติกรรม สติคือระลึกได้ สัมปชัญญะเป็นตัวปัญญา เมื่อรู้ว่าดีแล้วทำ รู้ว่าไม่ดีแล้วไม่ทำ แล้วบาปใหม่จะไม่เกิดขึ้น เรื่องนี้ท่านเจ้าคุณโชดก เคยพูดกับผู้ตอบปัญหาว่า ผู้ที่ปฏิบัติธรรมและเข้าถึงมรรคผลแห่งธรรมแล้ว หากไปทำกรรมชั่วเพียงครั้งเดียว ผลของกรรมย่อมรุนแรงกว่า ผู้ปฏิบัติธรรมที่ยังเข้าไม่ถึงมรรคผลของธรรม เป็นหลายเท่า

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.เรื่องศีล ข้อ 3 ดิฉันมีสามีแล้ว แต่บางทีเจอคนถูกใจชอบแอบนำมาคิด หรือจินตนาการทางเพศ อยากทราบว่าถือว่าผิดศีลข้อ3และข้อ 3ในศีล 8 หรือไม่คะ

2. การมีลูกเป็นโรคสมาธิสั้น เพราะชาติที่แล้วดิฉันผิดศีลข้อ 5 ใช่หรือไม่คะ

3.ดิฉันนั่งสมาธิจนนิ่งแล้ว จะผลิกเข้าสู่วิปัสสนาได้อย่างไร ตอนนี้พอจิตสงบ ก็จะนำเหตุการณ์ต่างๆมาคิดตามกฎไตรลักษณ์ เช่นอาการเกิดดับของเหน็บชาที่เกิดขึ้นจริง อารมรณ์โกรธที่หายไป อารมรณ์ที่เกิดขึ้นทั้งวัน ดิฉันทำถูกต้องหรือผิดไปจากหลักกรรมฐานไหมคะ

รักและเคราพ/คนช่างสงสัย

คำตอบ
(๑) ที่บอกเล่าไป เป็นการประพฤติทุศีลข้อ ๓ ทางใจ เป็นมโนทุจริต ผิดทั้งศีล ๕ และผิดทั้งศีล ๘

(๒) เป็นไปได้

(๓) ผู้ใดมีจิตตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) แล้วใช้จิตตามดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่ออารมณ์ดับไป (อนัตตา) จิตจะปล่อยวางอารมณ์ แล้วจิตว่างเข้าสู่ความเป็นอุเบกขา หากมีผลถูกตรงตามนี้ ถือว่า วิปัสสนาภาวนาดำเนินไปถูกต้อง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากเรียนถามอาจารย์ว่าการที่คนเราจะอยู่โดดเดี่ยวในทุกๆสังคม ทั้งๆที่ปฏิบัติตัวด้วยดีกับผู้อื่น เช่น การมีน้ำใจ การไม่ดูดายเมื่อผู้อื่นต้องการความช่วยเหลือ การรู้จักเกรงใจ ไม่เอาแต่ใจ (แต่อาจจะไม่ใช่คนพูดเก่งหรือคุยสนุก) คนที่เป็นแบบนี้ทำกรรมอะไรมาคะ พยายามทำบุญตามกำลัง รักษาศีล 5 สวดมนต์มาตลอดแต่ก็ไม่ค่อยมีมิตรแท้ ทั้งๆที่หลายคนมักบอกว่าดิฉันเป็นคนดี เมื่อนานๆเข้ารู้สึกเบื่อๆ

อยากเรียนถามอาจารย์ว่าควรแก้ไขวิบากกรรมนี้อย่างไรคะ อยากมีเพื่อนที่ดีๆเข้ามาบ้างค่ะ

คำตอบ
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องพึ่งอาศัยผู้อื่นเพื่อชีวิตอยู่รอด แม้แต่พระสงฆ์ผู้อยู่ตามป่า,น้ำ ฤาษีชีไพร คนจรจัดที่หลับนอนตามที่สาธารณะ เหล่านี้ หากจะถือว่าเป็นผู้อยู่โดดเดี่ยวก็เป็นเพียงชั่วคราว เพราะยังต้องพึ่งคนอื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหาร ดังนั้นพฤติกรรมที่ผู้ถามปัญหาบอกเล่าไป จึงมิใช่เป็นการอยู่โดดเดี่ยว

บุคคลจะรู้ว่าตัวเองดีหรือไม่ดี มิใช่ตัวเองเป็นผู้ดูเป็นผู้ตัดสิน ต้องให้ผู้อื่นเป็นคนดูเป็นคนตัดสิน และต้องดูกันนานๆ จึงจะรู้ว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่

ผู้ใดประพฤติตนให้อย่างน้อยมีเบญจศีล (ศีล ๕) มีเบญจธรรม (เมตตากรุณา สัมมาอาชีวะ กามสังวร สัจจะและสติสัมปชัญญะ) คุ้มครองใจอยู่ทุกขณะตื่น สัตว์เดรัจฉานยังอบอุ่นใจ ไว้วางใจ นำตัวเข้าใกล้ ยังมีเทวดาคุ้มรักษา

ผู้ใดพัฒนาตัวเองให้มีความเห็นถูก ย่อมแสวงหาธรรมะมาเป็นมิตรแท้คุ้มครองใจ ตัวอย่างเช่นพระสารีบุตรมีกายคตาสติเป็นมิตรแท้ ฉะนั้นปัญหาที่ถามไปสรุปลงได้ว่า มีความเห็นผิดเป็นเหตุให้เกิด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันยังไม่อาจเจริญสติจนเกิดปัญญารู้แจ้งกฎไตรลักษณ์ จึงขอรบกวนถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. ถ้ามีคนมาทำกรรมไม่ดีมากๆกับเรา แต่เราต่างอโหสิซึ่งกันและกันแล้ว อยากทราบว่าคนคนนั้นต้องไปรับกรรมจากคนอื่น(ในแบบเดียวกับที่ทำให้เรา ทุกข์)อีกหรือเปล่าคะ เพราะเคยอ่านเจอว่า แม้เราจะอโหสิให้แล้ว เราจะพ้นวงจรกรรมกับเขา แต่เขาก็ยังคงต้องไปรับผลต่อกับคนอื่นอยู่ดี

และกรณีที่เขาเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา กรรมที่เขาทำกลับคืนเรา จะถือว่า"เจ๊า"กันไปหรือเปล่าคะ คือเขาไม่ต้องไปรับผลจากคนอื่นอีก

2. หนังสือยิ่งกว่าสุข เมื่อจิตเป็นอิสระที่อาจารย์เขียน ทำให้ชีวิตของดิฉันเปลี่ยนไปมากๆ (ไม่อย่างนั้นคงลงเหวไปแล้วเพราะความไม่รู้ ก่อนหน้าดิฉันอ่านหลายเล่มก็ยังทำใจกับทุกข์ไม่ได้)
ตอนนี้ดิฉันไม่สนใจเรื่องตำแหน่งฐานะเลย จะนับถือใครก็ที่คุณธรรมความดีของเขา ทำบุญกิริยาวัตถุ 10 สม่ำเสมอ ทำทานทุกวัน (ถ้าวันไหนไม่มีโอกาสก็จะหยอดใส่กล่อง รวบรวมไปทำบุญอีกที ) สวดมนต์ทุกคืน นั่งสมาธิอยู่เนืองๆ (เพราะสถานที่ไม่สัปปายะค่ะ) ในชีวิตประจำวันก็คอยดูจิตใจ ดูความรู้สึกของตัวเองไปด้วย ดิฉันตั้งใจรักษาศีล 5 มากๆ แต่มักจะมีเหตุการณ์มาทดสอบดิฉันมากเหลือเกิน เช่น ตอนไปทำงานตจว. พี่ที่ทำงานคะยั้นคะยอให้กินเหล้า จิบเดียว แต่ยังไงดิฉันก็ยืนยันไม่กิน เค้าจึงเททิ้งทั้งหมดโดยไม่มีคนอื่นได้กิน (ตอนนั้นดิฉันตกใจ ภายหลังก็ไม่มีอะไร) และมีมาทดสอบอีกหลายเรื่องค่ะ ซึ่งการที่ดิฉันเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ดูทีวี ไม่อ่านนสพ. (ไม่อยากดู/อ่านไปเอง) พูดน้อยลง (เพราะส่วนใหญ่พูดไปก็ไม่มีสาระ) ทำให้ที่ทำงานมองว่าดิฉันแปลกๆ และมองว่าวัยอย่างดิฉันยังไม่ควรมาศึกษาธรรมะ ยิ่งพอดิฉันพูดว่ากรรมที่เราทำเป็นประจำทุกวันสำคัญมาก เพราะตอนตายถ้าไม่มีกรรมหนักหรืออาสัญกรรมให้ผล อาจิณกรรมก็จะส่งผล เค้าก็ตกใจกันใหญ่ที่ดิฉันพูดถึงเรื่องความตาย และวันนี้ก็มีน้องที่ทำงานพูดว่ายังไงเราตายไปแล้วเกิดใหม่ก็ไม่ใช่คนเดียว กับเค้า ณ ตอนนี้แล้ว

ขอถามว่า ทำไมเวลาที่เราตั้งใจจะเป็นคนดี ถึงต้องมีเรื่องทดสอบเรามากมายล่ะค่ะ บางทีก็ทำให้เหนื่อยและท้อมาก (เมื่อก่อนดิฉันทำตัวแทบจะตรงข้ามกับตอนนี้เลยค่ะ) ได้แต่อาศัยการอ่านข้อธรรมของครูบาอาจารย์(รวมถึงท่านอาจารย์ด้วย) ทุกคืนๆ ที่จะช่วยให้ดิฉันเดินบนทางนี้ต่อไปได้ (เพราะคนที่บ้านและที่ทำงาน ไม่มีใครสนใจคำสอนของพระพุทธองค์เลย ไม่ว่าเขาจะมีทุกข์แค่ไหน และมองว่าดิฉันเริ่มเพี้ยน หลังๆดิฉันเลยไม่ค่อยแสดงออกเรื่องนี้มาก)

3. ดิฉันรู้จากการอ่าน
รู้ว่า...ขันธ์ 5 เป็นทุกข์
รู้ว่า...ทุกสิ่งในโลก ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
รู้ว่า...สามีและลูกคือห่วง
รู้ว่า...ชีวิตนี้เป็นของชั่วคราว และน้อยนัก

แต่เนื่องจากยังไม่ปัญญาเห็นจริงด้วยตัวเอง จึงขอถามว่า เวลาที่อยู่บนโลกมนุษย์(ถ้าไม่มีกรรมตัดรอน) ของดิฉันอาจเหลือประมาณ 50 ปี หากไม่มีคู่ ดิฉันจะสามารถทำแต่กรรมดีๆแบบนี้ไปทุกวันๆ โดยไม่รู้สึกโดดเดี่ยวมากได้ไหมคะ พี่ที่ทำงานบอกว่า ถ้าตอนนี้ดิฉันไม่คิดมีคู่ เลยวัยนี้ไปแล้วจะมาเสียใจทีหลัง ขอความเห็นของอาจารย์เรื่องนี้ได้ไหมคะ เพราะบางครั้งดิฉันก็รู้สึกเหงามากๆ แต่ก็ไม่อยากมีทุกข์เพราะความรักอีก

4. เทวดา ท่านสามารถดลจิตใจมนุษย์ให้คิด หรือทำอย่างที่ท่านปรารถนาได้ไหมคะ ถ้าได้ จะไม่เป็นการแทรกแซงกรรมของมนุษย์ผู้นั้นหรือคะ

จากที่ดิฉันมีโอกาสไปฟังธรรมครั้งแรก วันที่12 ก.ค. เห็นเด็กๆรุ่นใหม่ไปกันเยอะมาก (ชื่นใจ) แต่ในสายตาคนนอก (ที่ไม่ได้สนใจธรรมะ) กลับมองว่า เพราะคนเหล่านั้นต้องมีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งถึงสนใจธรรมะ ดิฉันอธิบายเท่าไหร่ ก็ไม่เชื่อจนดิฉันต้องนิ่งไป คงอย่างที่อาจารย์บอกว่ามีบัวหลายเหล่า และหลวงปู่ดูลย์ บอกว่าธรรมะไม่ใช่ของที่จะไปยัดเยียดให้ใครนะคะ ทุกวันนี้ดิฉันก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองดี ยิ่งกลับคิดว่าขยะยังอยู่ในใจเต็มเลย แต่ดิฉันก็เชื่อว่าได้มาเดินบนหนทางที่ถูกต้อง ดีงามแล้วค่ะ

ขอบพระคุณอาจารย์ผู้มีพระคุณกับดิฉันอย่างมากเหลือเกิน


คำตอบ
(๑) ผู้ใดทำกรรมที่เป็นเวรไว้กับคนอื่นสัตว์อื่น หากยังไม่ได้รับการยกโทษให้ (อโหสิ) เวรกรรมของเขาทั้งสองยังผูกกันอยู่ ผู้ใดชดใช้หนี้เวรกรรมให้กับผู้จองเวรได้หมดสิ้น หนี้เวรกรรมของสัตว์บุคคลทั้งสองย่อมหมด (เจ๊า) กันไป ไม่มีหนี้เวรกรรมเหลือตกค้างให้ต้องกลับมาชดใช้กันอีก

(๒) การทำความดีย่อมมีมารขัดขวาง ความเหนื่อยกายเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องมี แต่ผู้ใดมีธรรมคุ้มครองใจ ความท้อแท้ใจย่อมไม่เกิดขึ้น ผู้ใดมีพฤติกรรมไม่เหมือนพฤติกรรมของคนปกติทั่วไป เรียกผู้นั้นว่า “ เพี้ยน ” ที่มีคนพูดว่าผู้ถามปัญหานั้นเป็นคนเพี้ยน เป็นการพูดถูกของเขา แต่ผู้ที่ถูกพูดถึงมีพฤติกรรมเพี้ยนไปสู่ความสวัสดีของชีวิต ผู้รู้ไม่หยุดเพี้ยน ดีให้ถึงที่สุด ฉะนั้นจงเพี้ยนต่อไป

(๓) ผู้ใดมีธรรมะคุ้มครองใจ ความเหงา ความรู้สึกโดดเดี่ยว ย่อมไม่มีกับผู้นั้น

อนึ่ง พี่ที่ทำงานพูดถูกตามความเห็นของเขา แต่ไม่ถูกตามความเห็นของผู้รู้จริง พระพุทธะตรัสในทำนองที่ว่า มนุษย์มีทรัพย์สมบัติเป็นห่วงผูกขา มีสามี/ภรรยาเป็นห่วงผูกมือ มีบุตรธิดาเป็นห่วงผูกคอ ผู้ถามปัญหาจะผูกชีวิตไว้กับสิ่งใด เลือกได้ตามใจปรารถนา หรือไม่เอาสิ่งใดมาผูกมัดให้ขาดความเป็นไท อยู่ที่ต้องตัดสินใจเอาเอง เพราะบุคคลมีสิทธิในชีวิตที่ต้องบริหารจัดการด้วยตัวเอง

(๔) ผู้ใดมีศีลมีธรรมคุ้มครองใจ ผู้นั้นมีเทวดาคอยคุ้มรักษา เทวดาเป็นผู้มีหิริโอตตัปปะ ฉะนั้นเมื่อเทวดาดลใจ จะไม่ดลใจให้ทำชั่ว แต่จะดลใจผู้มีศีลมีธรรมให้ทำแต่กรรมดี ถือว่าเป็นการแทรกแซงกรรมได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จากที่เคยฟังบรรยายจากท่านในหัวข้อของ "จิต" จิตมีหน้าที่รู้ คิด นึก (สมองเป็นเครื่องมือ) ถ้าจิตเรารับสิ่งกระทบเข้าปรุงแต่งเป็นอารมณ์จากทางหู เช่น เค้าพูดดีกับเรา เราก็อารมณ์ดี เค้าด่าเรา เราก็โกรธ
ดิฉันรบกวนท่านอาจารย์ช่วยแนะนำวิธิฝึกจิตเพื่อไม่ให้เรารับสิ่งกระทบมา ปรุงแต่งเป็นอารมณ์ เนื่องจากว่าดิฉันถูกต่อว่าจากเพื่อนสนิทในที่ทำงาน (เกี่ยวกับหน้าที่การงาน) ดิฉันเข้าใจว่าเพื่อนหวังดี แต่ด้วยวิธีพูดของเค้า (หยาบคาย) มันทำให้จิตของดิฉันรับมาปรุงแต่งเป็นอารมณ์ (โกรธ,น้อยใจ) ดิฉันคิดเอาเองว่าเค้าน่าจะให้กำลังใจ ปลอบใจ เพื่อให้ดิฉันมีกำลังใจปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่อง แต่กับเป็นคำหยาบคาย ดิฉันเข้าใจว่ามันเป็นแค่คำพูด แต่มันก็มีผลต่อจิตใจค่ะ

รบกวนท่านอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณ

คำตอบ
ผู้ใดพัฒนาตนให้มีศีลห้าบริสุทธิ์ และไม่พร่องลงคุมใจได้แล้ว นำตัวเองเข้าปฏิบัติสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา โดยมีความเพียรและสัจจะเป็นแรงสนับสนุน สติและปัญญาเห็นแจ้งจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ ผู้ใดมีสติระลึกทันเสียงหยาบคายและปัญญาเห็นแจ้งว่า เสียงที่หยาบคายดับไปตามกฎไตรลักษณ์ จิตจะไม่ยึดเอาเสียงมาปรุงเป็นอารมณ์โกรธหรือน้อยใจได้ ฉะนั้นแก้ปัญหาที่ตัวเอง พัฒนาจิตให้กำลังของสติและปัญญาเห็นแจ้งให้เกิดขึ้น ปัญหาที่ถามและปัญหาอื่นที่จะตามมา ย่อมไม่เข้าไปรบกวนใจให้หวั่นไหวได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. เมื่อนั่งกำหนดไปแล้วรู้สึกสติเริ่มจางๆ จนในที่สุดก็หมดความรู้สึกทางกายและทางจิต จนเมื่อเวลาผ่านไปซักระยะหนึ่ง ความรู้สึกทางกายและทางจิตจึงกลับมาใหม่ รู้สึกเวลาหายไป และเมื่อเลิกกำหนดแล้วรู้สึกสบายทั้งกายและใจ เช่น ถ้าเป็นไข้หวัดตัวร้อนน้ำมูกไหล หลังจากออกจากสภาวะดังกล่าวแล้วรู้ว่าน้ำมูกหยุดไหล ไข้ลดลง สภาวะ ดังกล่าวนี้เป็นสภาวะที่เรียกว่าเป็นการเข้าภวังค์ หรือ เข้าสมาบัติครับ และจะสังเกตุความแตกต่างของสภาวะทั้งสองอย่างไร

2. ก่อนเข้าภวังค์นั้น จะต้องมีความคิด และขณะที่เข้าภวังค์จะต้องมินิตอยู่ด้วย แต่ไม่สามารถรู้สึกตัวได้เนื่องจากสติเบาบางมาก อันนี้ถูกผิดประการใดครับ

3. สภาวะจิตก่อนเข้าภวังค์ สำหรับการทำสมาธิ เหมือนหรือแตกต่างอย่างไรกับกับสภาวะจิตก่อนหลับ หรือก่อนที่จะตายครับ

4. ในบางครั้ง ผมได้ทำเมตตาภาวนาควบคู่ไปกับการเจริญสติปัฎฐานสี่ โดยใช้คำภาวนาว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายจงมีความสุขกายสุขใจ เมื่อภาวนาไปได้ซักพักหนึ่ง คำภาวนาจะหายไป หลังจากคำภาวนา หายไปแล้วนั้น จะกำหนดจิตอย่างไรและ เอาจิตไปไว้ที่ไหนครับ

5. หากผมต้องการทำเมตตาภาวนาให้ได้อัปปมาฌาณ
แต่ไม่ต้องการให้จิตไหลเข้าสภาวะดังข้อ 1. จะมีวิธีแก้อย่างไรครับ

6. สภาวะของผลสมาบัติ นั้นสามารถมีเวทนาจางๆ และความคิดจางๆ ได้หรือไม่ครับ

7. สมถะภาวนานั้น ไม่ว่าจะอยู่ในฌาณระดับไหนก็ตามจะต้องมีนิมิตเสมอ ( เพ่งในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเสมอ หรือจะต้องมีความคิดเสมอ ) ส่วนความรู้สึกทางกาย อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ขึ้นอยู่กับระดับของฌาณ ใช่หรือไม่ครับ และถ้าเทียบกับสภาวะของผลสมาบัตินั้น จะแตกต่างกันคือความรู้สึกทางกาย และความรู้สึกทางจิตหายไป หมดความรู้สึกนึกคิด เวลาหายไป ใช่หรือไม่ครับ

8. สภาวะในวิปัสนาญาณ เหมือนหรือแตกต่างอย่างไรของสภาวะที่เกิดจากการทำสมถะภาวนา (เช่น ใน มุ ญจิตุกัมยตาญาณ จะมีสภาวะคันมากเลิกทำแล้วก็ยังคัน บางคืนไม่ได้หลับเลยคันทั้งคืน ในขณะที่ผู้ทำสมถะ บางท่านก็เกิดอาการคันเหมือนกันโดยกล่าวว่าเป็นอาการของปิติ หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ในภังคญาณ ที่กำหนดไปแล้วตัวหาย อาการเช่นเดียวกันนี้ ก็เกิดในผู้ทำสมถะเหมือนกัน)

ขอแสดงความเคารพอย่างสูงครับ

คำตอบ
(๑) อาการหมดความรู้สึกทางกายและทางจิต เป็นสภาวะที่จิตเข้าสู่ภวังค์ จึงไม่สามารถระลึกถึงอารมณ์ได้

ส่วนจิตที่เข้าสู่สภาวะของฌานสมาบัติ จิตไม่สามารถรับกระทบข้างนอก (อายตนะภายนอก) ใดๆเข้ามาปรุงเป็นอารมณ์ แต่อารมณ์ภายใน (อารมณ์ฌาน) ยังคงมีอยู่และจิตสามารถระลึกได้

(๒) ก่อนที่จิตเข้าสู่ภวังค์ จิตยังเกิด-ดับ ยังทำงานได้ ยังคิดได้ ยังมีนิมิตให้ปรากฏได้ การที่จิตไม่สามารถระลึกได้เป็นสภาวะที่ไม่เกิด-ไม่ดับ

(๓) สภาวะจิตก่อนเข้าสู่ภวังค์ กับสภาวะจิตก่อนหลับมีสภาวะเป็นอย่างเดียวกัน ซึ่งต่างไปจากสภาวะของจิตก่อนเคลื่อนออกจากร่าง จิตสามารถระลึกได้ชัดเจน เหตุเพราะจิตยังเกิด-ดับ คือยังทำงานได้

(๔) การเจริญเมตตาภาวนา เป็นการระลึกถึงความปรารถนาให้สัตว์อื่นได้ประโยชน์และมีความสุข ซึ่งใช้เป็นฐานให้จิตเข้าสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ เมื่อใดที่จิตตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) จึงจะสามารถนำจิตไปตามดูสติปัฏฐาน ๔ ตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดเห็นว่า องค์กรรมฐานที่นำมาพิจารณาผันเข้าสู่ความมิใช่ตัว มิใช่ตน (อนัตตา) ปัญญาเห็นแจ้ง หรือเห็นถูกตามธรรมก็จะเกิดขึ้น จิตจะปล่อยวางสิ่งที่ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ทำให้จิตเป็นอิสระและว่างเป็นอุเบกขา นี่คือผลที่เกิดจากการพิจารณาสติปัฏฐาน

ส่วนคำภาวนาที่หายไป คือสติระลึกไม่ได้ในคำภาวนา แก้ไขโดยสร้างอิริยาบถใหญ่ให้เกิดขึ้น เช่น เปลี่ยนจากการนั่งภาวนามาเป็นเดินจงกรม เมื่อใดที่จิตมีกำลังสติเพิ่มมากขึ้น คำภาวนาจะไม่หายไป

(๕) ขออภัย คำว่า “ อัปปมาฌาน ” ไม่เคยปรากฏในจิตสำนึกของผู้ตอบปัญหา จึงแสดงความเห็นไม่ได้

(๖) คำว่า “ ผลสมบัติ ” ไม่มีในจิตสำนึก จึงแสดงความเห็นไม่ได้ แต่หากผู้ใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงสภาวะที่เรียกว่า นิโรธสมาบัติ หรือ อนุปุพพวิหารสมาบัติ หรืออนุปุพพนิโรธ ได้แล้ว สัญญาและเวทนา ย่อมดับไปจากจิต ผู้ใดยังมีเวทนาจางๆ ยังมีความคิดจางๆ เกิดขึ้นกับจิต ผู้นั้นยังพัฒนาจิตเข้าไม่ถึงสภาวะที่เรียกว่า นิโรธสมาบัติ

(๗) คำว่า “ นิมิต ” หมายถึง เครื่องหมาย, เค้า, มูล, ลาง, เหตุ ผู้ใดมีปัญญาเห็นผิด ย่อมมีความรู้สึกทางกาย ฉะนั้นผู้ที่พัฒนาจิต จนเข้าถึงรูปฌานได้ ยังมีความรู้สึกทางกายได้ หากพัฒนาจิตจนเข้าถึงอรูปฌานแล้ว ความรู้สึกทางกายย่อมไม่มี

ส่วนคำว่า “ ผลสมาบัติ ” โปรดดูคำตอบข้อ (๖)

(๘) ผู้ใดพัฒนาจิตด้วยวิธีสมถภาวนา จะไม่สามารถเข้าถึงมุญจิตุกัมยตาญาณ (ญาณหยั่งรู้ที่ทำให้ต้องการพ้นไปจากสังขารที่น่าเบื่อหน่าย) ได้ เพราะญาณดังกล่าวจะเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเท่านั้น ส่วนอาการคันเป็นผลมาจากจิตเริ่มตั้งมั่นเป็นสมาธิ

อนึ่ง ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนา แล้วเห็นตัวหายไป ไม่เรียกว่า ภวังคญาณ ส่วนผู้ใดปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เมื่อเข้าถึงเฉพาะปรีชาหยั่งรู้เฉพาะความดับของสังขารเด่นชัดขึ้นมา ว่าสังขารทั้งปวง ล้วนต้องแตกสลายด้วยกันทั้งสิ้น อย่างนี้จึงจะเรียกว่า ภังคญาณ หรือ ภังคานุปัสสนาญาณ.

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พี่สาวถูกข่มขืน และเกิดตั้งท้อง พ่อพาไปทำแท้งเมื่อนานมาแล้วร่วม 20 ปี แต่พี่สาวไปดูดวงพร้อมเพื่อน ซึ่งหมอดูทักเพื่อนเค้าว่าเคยทำแท้ง มีวิญญาณเด็กตามอยู่ แต่ของพี่สาวหมอดูไม่ได้ทัก พี่สาวเลยสงสัยว่า วิญญาณเด็กไปเกิดและอโหสิกรรมให้เธอแล้ว

การที่เหตุเป็นเพราะถูกข่มขืน และผลไปทำแท้งนั้น ทำให้เธอบาปมากหรือไม่คะ และเธอควรทำบุญให้เด็กอย่างไร

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์

คำตอบ
การถูกจองเวรจากเด็กที่ถูกทำแท้ง จะให้ผลออกมาในรูปของความวิบัติในงานที่ใช้เป็นอาชีพเลี้ยงตัว ความวิบัติในชีวิต เช่น ทะเลาะเบาะแว้ง ประสบอุบัติเหตุ ยากเข็ญ สูญทรัพย์ เสียเพื่อน ฯลฯ หากพี่สาวของผู้ถามปัญหามีชีวิตปลอดจากสิ่งเหล่านี้ และไม่ระลึกถึงการทำแท้งในอดีต เป็นเครื่องหมายบ่งชี้ให้เห็นถึงการไม่มีเวรผูกพันกับเด็กที่ถูกทำแท้ง หากเป็นในทางตรงข้าม ย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงเวรที่ยังผูกพันกันอยู่ จึงต้องบริหารหนี้เวรกรรม ตอบคำถามใน ข้อ 728
(คำตอบ ข้อ 728)
นักวิทยาศาสตร์เชื่อในความเป็นเหตุผล เมื่อมีเหตุเกิดย่อมมีผลเกิดตามมาหรือผลที่เกิดขึ้นย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิด ผู้ที่เข้าถึงธรรมในพุทธศาสนารู้ว่าไม่มีแม้เพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น โดยบังเอิญทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ย่อมมีเหตุที่ทำให้เกิดทั้งสิ้น กรรมวิบาก มีจริง เป็นประสบการณ์ตรงของผู้ตอบปัญหาจึงขออนุญาตแนะนำพระคุณเจ้าว่า การจะให้ปัญหาของพระคุณเจ้าหมดไปสามารถทำได้ 4 อย่างคือ

1. ยอมรับความจริงของบุพกรรมและยอมชดใช้วิบากของกรรมที่ตามมาทันในชาติปัจจุบัน ชดใช้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าหนี้เวรกรรมจะหมดสิ้น

2. ทำบุญใหญ่แลกหนี้บุญใหญ่ต้องทำด้วยการปฏิบัติจิตตภาวนาแล้วอุทิศบุญที่เกิด ขึ้นให้กับเจ้าหนี้เวรกรรม (อดีตภรรยาและลูกสาว) ไปเรื่อย ๆ วิธีนี้เป็นการเอาบุญของพระคุณเจ้าแลกกับหนี้บุพกรรมที่เป็นเวรต่อกัน

3. สร้างความดีหนีหนี้ ด้วยการพัฒนาตัวเองให้มีความเพียรไม่ประพฤติอกุศลกรรมใหม่ให้เกิดขึ้น เพียรกำจัดอกุศลกรรมเก่าให้หมดไปเพียรทำความดีทุกรูปแบบให้มีกำลังหนีทัน อกุศลวิบากที่จะตามมาให้ผลและสุดท้ายเพียรรักษาความดีที่พัฒนาได้ให้คงอยู่

4. หนีเข้านิพพานด้วยการพัฒนาจิตตนเองหมดอาสวกิเลสแล้วดับรูปดับนามเข้านิพพาน

ทั้ง 4 ข้อเป็นทางปฏิบัติของอริยบุคคล ในการบริหารจัดการนำพาชีวิตของตนเองข้ามวัฏฏะ คือข้ามไปจากความทุกข์ทั้งมวล

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 02 มิ.ย. 2010, 22:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีความสงสัยอยู่มากว่า ถ้าเรารู้สึกว่า คน หรือสัตว์ต่าง ๆ ที่เราเคยเบียดเบียน เขามาทวงหนี้เรา แล้วเราอยากแผ่เมตตาให้เขา เราจะต้องใช้บทสัพเพ สัตตาฯ หรือว่าบทไหนในการแผ่เมตตาคะ (ถ้าใช้บท สัพเพ สัตตาฯ แล้วเขาจะรู้หรือคะว่าเราให้เขา) ขอรบกวนอาจารย์โปรดเมตตาตอบให้ดิฉันคลายติดขัดในใจด้วยเถิดค่ะ

ขอขอบพระคุณในความกรุณาของอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
เมตตาคือความปรารถนาให้ผู้อื่น สัตว์อื่น ได้รับประโยชน์และมีความสุข ผู้ใดมีเมตตา ผู้นั้นมีจิตสงบเย็นปราศจากโทสะ ผู้มีเมตตาสามารถแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์แล้ว เวรย่อมไม่เกิดขึ้น ผู้มีเมตตามีจิตไม่หวั่นไหว จึงสามารถแผ่เมตตาที่ตนมีให้กับมนุษย์หรือสัตว์ที่ประสงค์ร้าย ด้วยการพูดว่า “ จงเป็นสุข ไม่มีเวรต่อกัน ” หรือจะกล่าว คำว่า “ สัพเพ สัตตา ฯ.... ” ย่อมทำได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูขอรบกวนถามปัญหาอาจารย์อีกครั้งค่ะ คือเมื่อช่วงวันเข้าพรรษาที่ผ่านมานี้ หนูได้ไปปฏิบัติธรรม บวชเนกขัมมะที่วัดอ้อน้อย เป็นเวลา 4 - 5 วัน ช่วงที่มีเวลาว่าง หนูก็ไปช่วยขายของสังฆทานให้กับ ทางวัด เงินเข้าวัดทุกบาททุกสตางค์ค่ะ หนูช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ คือคิดแค่อยากช่วยเท่านั้น ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่มีแม่ชีท่านหนึ่งซึ่งช่วยทำงานอยู่ที่วัดเช่นกัน ได้มาบอกหนูว่า ไม่ควรไปช่วยขาย ของสังฆทาน เพราะเป็นของหนัก ทำไปแล้วจะเป็นกรรมหนัก ต้องรับกรรมหนัก อะไรประมาณนี้น่ะค่ะ และยังบอกอีกว่า ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเงินๆทองๆของทางวัด ให้ช่วยทำอย่างอื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับเรื่อง เงินๆทองๆจะดีกว่า แม่ชีท่านนี้บอกว่า ถึงแม้เราจะช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจก็จริง แต่ถ้ามีคนอื่นมากล่าว หาเราว่าเราคดโกง เราก็เสียแล้วและต้องตกลงต่ำ แม่ชีบอกว่าคนมีบุญมักจะมีมารมาฉุดให้ตกลงต่ำ

หนูจึงอยากเรียนถามอาจารย์ว่า

1. สิ่งที่แม่ชีท่านนี้พูด อาจารย์มีความคิดเห็นเช่นไรคะ ในเมื่อเราช่วยงานทางวัดด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทำไมจึงทำไม่ได้

2. ในเมื่อเราไม่ได้คดโกง ถ้ามีคนอื่นมากล่าวหาเรา เราก็ต้องตกลงต่ำเลยหรือคะ ทำไมแม่ชีท่านนี้ จึงพูดเช่นนี้คะ

หนูขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะที่ได้ตอบคำถามหนูทุกครั้ง หากหนูได้พูดและทำสิ่งใดผิดพลาดไป ขออาจารย์โปรดอโหสิกรรมให้หนูด้วยค่ะ

กราบมาด้วยความเคารพรักและศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง

คำตอบ
(๑) เป็นความเห็นถูกของแม่ชีจึงพูดออกมาเช่นนั้น แต่พฤติกรรมของแม่ชีที่บอกเล่าไป เป็นความเห็นผิดในมุมมองของผู้รู้ตามแนวพระพุทธะ ที่ว่า “ บุคคลจะเป็นเช่นไร มิได้อยู่ที่คำพูดของผู้อื่น แต่อยู่ที่การกระทำของตัวเอง ”

(๒) บุคคลตกต่ำด้วยการประพฤติทุศีลไร้ธรรม เหตุที่แม่ชีพูดเช่นนั้น เพราะจิตของแม่ชียังมีโปรแกรมบาปเก็บบันทึกอยู่

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณพ่ออาจารย์คะ หนูได้ฟังธรรมจากที่คุณพ่อบรรยาย ทำให้หนูกลัวการทำชั่ว และจะระวังตัวอยู่ตลอดค่ะ หนูมีปํญหาเรียนถามค่ะ

คุณพ่อกับคุณแม่หนูเลิกกันต่างฝ่ายต่องมีใหม่ คุณแม่มีลูกใหม่ คุณพ่อไม่มี มีแต่ลูกติด หนูได้เรียนน้อยเพราะต้องให้น้องเรียนด้วยแม่ส่งเสียไม่ไหว เมื่อได้ทำงานก็ได้ช่วยเหลือคุณแม่ ส่วนคูณพ่ออยู่กับครอบครัวใหม่ ขณะนี้หนูมีครอบครัวแล้ว หนูรับราชการ คุณพ่อใช้สิทธิเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของหนู หนูก็ดีใจนะคะที่ได้ทดแทนบุญคุณ ส่วนคุณแม่นั้นพ่อเลี้ยงรับราชการค่ะ พ่อหนูเอาสมบัติของพวกหนูทั้งหมดไปขายให้กับครอบครัวใหม่และลูกติด ซึ่งพวกเราไม่ได้เลย แต่เวลานี้ครอบครัวพ่อลำบากมากค่ะ หนูคิดว่าแม่เลี้ยงหนูกำลังใช้เวรอยู่

หนูมี ๔ เรื่องเรียนถามด้งนี้ค่ะ

1. การที่พ่อมาขอเงินหนูแล้วเอาเงินไปให้กับแม่เลี้ยง ถ้าหนูไม่ให้คุณพ่อหนูจะบาปไหมคะ

2. หนูไม่ค่อยได้ไปหาคุณพ่อเลย นานๆๆไปครั้ง เพราะว่าเมื่อไป แม่เลี้ยงก็จะเข้ามาว่าคอยดูว่าคุยอะไรกัน ทำให้ไม่อยากไป แต่กับคุณแม่ไปหาทุกเดือน ซื้อของที่คุณแม่ต้องการทุกอย่างไปให้ ตามที่ต้องการคือว่าเลี้ยงดูคุณแม่อย่างดี เพราะพ่อเลี้ยงเค้าก็เลี้ยงดูเรา และไม่เคยเข้ามายุ่งเวลาหนูกับคุณแม่คุยกัน หนูทำผิดไหมคะ และควรจะทำอย่งไรคะถึงจะถูกต้อง

3. หนูแปลกใจตัวเองว่าถ้าให้เงินพ่อหนูจะเสียดายมาก เพราะพ่อเอามาให้ครอบครัวใหม่เค้าหมด หนูเคยคิดว่าเค้ารักพวกเราหรือหรือเปล่า หนูควรทำอย่างไร

4. ถ้าเราไม่ได้เลี้ยงดูคุณพ่อ แต่เลี้ยงดูคุณแม่คนเดียวบาปไหมคะ

คำตอบ
(๑) ผู้ถามปัญหาให้เงินกับพ่อแล้ว รู้ว่าผู้เป็นพ่อนำเงินไปส่งต่อให้แม่เลี้ยง แล้วทำให้ตนเองไม่สบายใจ ถือว่าการให้เงินนั้นได้ผลเป็นบาป ตรงข้ามถ้าให้แล้วสบายใจ การให้นั้นเป็นบุญ

(๒) ผู้ใดเดินเข้าตลาดแล้วผ่านร้านขายปลาร้า เมื่อจมูกรับสัมผัสกับกลิ่นเหม็น ย่อมเกิดอารมณ์ไม่ดี หากเดินเลี่ยงไม่ผ่านร้านขายปลาร้า ย่อมไม่เหม็น ผู้รู้จึงนิยมไม่ประพฤติเหตุที่ทำให้อารมณ์ไม่ดีเกิดขึ้น

(๓) ผู้ใดให้เงินแล้วรู้สึกเสียดาย การให้เช่นนั้นเป็นบาป ตรงข้ามให้เงินแล้วสบายใจถือว่าเป็นบุญ ฉะนั้นผู้ถามปัญหาต้องเลือกด้วยตนเองว่า จะประพฤติแบบไหน เลือกประพฤติได้ตามที่ชอบ

(๔) เมื่อใดมีจิตระลึกถึง การมิได้ประพฤติจริยธรรมของลูกที่มีต่อพ่อ เมื่อนั้นบาปได้เกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลูกเป็นศิษย์อาจารย์จากการอ่านหนังสือที่อาจารย์เขียน หนูเคยปฎิบัติวิปัสนากรรมฐานมาประมาณ 3 ครั้ง ครั้งที่1-2 ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากนักเพราะมัวแต่ง่วงนอนมากๆ

ครั้งที่ 3 ได้มีโอกาสปฎิบัติวิปัสนากรรมฐานเป็นเวลา 7 วัน 8 คืน สามวันแรกของการปฎิบัติ ทุกข์ทรมานจากการง่วงนอนมากจิตไม่เป็นสมาธิเลย

วันที่ 4 ของการปฎิบัติจิตเริ่มเป็นสมาธิมากขึ้น เมื่อจะถอนจากสมาธิตัวแข็งต้องใช้เวลานานมาก ในการถอนจากสมาธิ

ขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้

1). วันที่ 6 และวันที่ 7 มีอาการเหมือนจิตครองร่างกายไม่ได้ เหมือนจิตจะหลุดออกจากร่าง
อยากเรียนถามอาจารย์ว่าเป็นเพราะอะไร

2). มีอาการเหมือนจิตเศร้าหมอง จนกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ร้องไห้สะอึกสะอื้น และเหมือนมีคนสองคนอยู่ในตัวของเรา บอกว่าเราผิดที่เราเป็นลูกพระพุทธเจ้าแต่ไม่ให้อภัยคน ที่ทำไม่ดีกับเรากลับไปอาฆาตพยาบาลเขา รู้สึกเหมือนตัวเองถูกลงโทษอย่างหนัก

3). หลังจากครบ 7 วัน 8 คืน หนูกลับไปพักกับเพื่อน ขณะกำลังกินข้าวเกิดอาการเหมือนมี คนสองคนโต้ตอบกันในจิตของเรา
คนที่1 บอกว่าเราได้ทำผิดที่เราเคยเอาเนื้องูไปถวายพระอรหันต์ ทำให้ท่านได้รับทุกขเวทนาอย่างมาก

4).หลังจากนั้น หนูก็ไปนอนเกิดอาการท้องยุบตลอดเวลา ไม่ยอมพองแล้วจิตตัวที่1ก็ถามเราว่า เรากำลังจะตายเราจะเอาอะไรไปด้วยหรือเปล่า จิตตัวที่ 2 บอกว่าไม่เอาอะไร จะเอาแต่บุญกุศลที่ได้สร้างมาไปเท่านั้น หลังจากเหมือนตัวเองปล่อยลมออกจากทวารหนัก และจิตบอกว่าร่างกายของเรากำลัวถูกเผา รู้สึกร้อนตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า และสติดับวุบไป หลังจากนั้นตื่นขึ้นมาเพราะเพื่อนมาปลุก หนูยังไปต่อว่าเพื่อนทิ้งให้หนูอยู่คนเดียว หนูเหมือนได้กลับบ้านแต่ก็ไม่รู้ว่าบ้านที่ไหน และเหมือนตัวเองไม่ได้อยู่บนโลกมนุษย์แล้ว เหมือนเราตายแล้วเราได้กลับบ้าน

หนูขอเรียนถามอาจารย์เพียงเท่านี้ก่อน เหตุการณ์หลังจากนี้มีอะไรเกิดขึ้นมาก จนหนูเข้าใจว่าตัวหนูเองปฏิบัติเคร่งไปทำให้เกิดอาการแบบนี้ ทำให้ทุกวันนี้ หนูไม่กล้านั่งสมาธิให้จิตมีสมาธิมาก หนูกลัวว่าจะเป็นเหมือนที่เคยเป็น

หนูรอคำอธิบายจากอาจารย์อยู่ค่ะเพราะหนูไม่รู้จะไปสอบถามจากครูบาอาจารย์ ท่านใด

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง


คำตอบ
(๑) เป็นเพราะจิตได้รับการพัฒนาจนรู้เห็นว่า จิตกับร่างกายเริ่มจะแยกออกเป็นคนละส่วนกัน

(๒) ความผูกใจเจ็บและอยากแก้แค้น (พยาบาท) เป็นกิเลส ผู้ใดเก็บไว้กับจิต ย่อมมีผลเป็นบาป (ร้องไห้) เกิดขึ้น

(๓) ผู้ใดพัฒนาจิตจนมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น ย่อมมีโอกาสระลึกได้ในอกุศลกรรมที่ทำไว้แต่อดีต ซึ่งไม่มีใครผู้ใดสามารถแก้ไขอดีตได้ ผู้รู้จึงไม่ประพฤติอกุศลที่เคยทำแล้วให้เกิดซ้ำขึ้นอีก

(๔) ผู้ใดระลึกได้ว่า ตัวเองถูกเผาแล้วรู้สึกร้อน นั่นเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า เคยเผาสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้ตายด้วยความร้อน ผู้รู้จึงไม่ประพฤติตนในชาติปัจจุบัน ให้สัตว์ต้องตายด้วยการเผาอีกต่อไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมทำงานในตำแหน่งหัวหน้างาน ซึ่งต้องมีการตัดสินใจอยู่ตลอดเวลา กระผมขอคำแนะนำจากอาจารย์ว่าจะทำอย่างไรให้มีปัญญาเห็นถูกตามธรรม เพื่อให้ทุกการตัดสินใจถูกต้องและไม่เกิดโทษแก่ตัวผมเอง

กราบขอบพระคุณอาจารย์


คำตอบ
ความสมปรารถนาในสิ่งที่เป็นกุศลที่ถามไปจะสำเร็จได้ ผู้ถามปัญหาต้องนำตัวเองเข้าปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน จนจิตเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว การตัดสินใจที่ถูกตรงตามธรรม และไม่มีโทษบาปเกิดขึ้น จึงจะบรรลุความปรารถนา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูเคยได้ยินมาว่า การนั่งสมาธิควรทำ ช่วงตั้งแต่ตะวันขึ้น ถ้าตะวันตกดินไปแล้ว จะมีภูตผี วิญญาณ ต่างๆ มาขอส่วนบุญ และถ้าไม่ได้จะทำให้วิญญาณต่างๆ ไม่พอใจ และจะเป็นเจ้ากรรม นายเวรของผู้ที่กำลังนั่งสมาธินั้น จริงหรือไม่คะ ทำให้หนูไม่กล้านั่งสมาธิหลังตะวันตกดินไปแล้ว
เพราะมีเวลานั่งสมาธิได้ตอนกลางคืน

รบกวนอาจารย์ ดร.สนอง อธิบายด้วยคะ ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
จริงตามปากของคนที่พูด แต่ไม่จริงตามคำสอนในพุทธศาสนา ที่แนะนำบุคคลให้ทำกรรมดีได้ในทุกโมงยามที่มีความพร้อม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้หนูกำลังฝึกปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตามแนวทางของพระสงฆ์รูปหนึ่งอยู่ค่ะ (โดยการฟังจากเวปไซด์, ซีดีและได้ฟังเทศน์จากท่านโดยตรงเพียงไม่กี่ครั้ง ) หลังจากทดลองปฎิบัติตามที่ท่านสอนหนูรูสึกว่าตัวเองมีสติมากขึ้น ฯลฯ
เหตุผลที่หนูเลือกปฎิบัติตามแนวของท่านเพราะ ครั้งแรกที่ได้เห็นหน้าท่านหนูรู้สึกศรัทธา และเคารพในตัวท่านอย่างบอกไม่ถูก (และมีความรู้สึกเชื่อมั่นขึ้นมาทันทีว่า ท่านนี้แหละ จะเป็นผู้นำทางหนูไปสู่หนทางหลุดพ้นจากวัฎฎสงสารได้ ถึงหนูจะไม่เคยได้ยินใครกล่าวถึงท่านว่า ท่านบรรลุธรรมขั้นนั้นขั้นนี้แล้วก็ตาม) จากนั้นก็เริ่มสนใจฟังการเทศน์ของท่านตลอดมา

แต่เมื่อไม่กี่วันมานี้ หนูเริ่มคิดและเกิดความลังเลสงสัย และเกิดคำถามต่าง ๆ ขึ้นมาในใจมากมายเกี่ยวกับท่าน


1. หากพระสงฆ์รูปที่หนูกำลังกล่าวถึงอยู่นี้ ท่านยังไม่ได้เป็นอริยบุคคล หรือท่านกำลังบำเพ็ญเพียรตามแนวทางของ พระโพธิสัตว์ (ที่ว่าหากท่านกำลังบำเพ็ญเพียรตามแนวทางของพระโพธิสัตว์นั้น -----> หนูคิดไปเองค่ะ เท่าที่ทราบมา หนูก็ไม่เคยได้อ่านหรือได้ยินใครกล่าวถึงท่านแบบนี้เลยค่ะ) แล้วท่านจะสามารถสอนให้หนูเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลได้หรือไม่คะ

2. แล้วหนูจะมีวิธีทราบได้อย่างไรคะ ว่าพระสงฆ์รูปใดที่จะเป็นครูบาอาจารย์ของหนูจริง ๆ ไม่ได้เกิดจากการคิดไปเอง

ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
(๑) พระโพธิสัตว์ยังมีสภาวะของจิตปุถุชน หากสอนได้ถูกตรงตามธรรม เมื่อศิษย์นำคำสอนไปปฏิบัติ ย่อมเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้

(๒) ผู้ใดพัฒนาจิต จนบรรลุดวงตาเห็นธรรมได้แล้ว มนุษย์และอมนุษย์ รวมถึงสรรพสิ่งที่เข้ากระทบใจ ย่อมเป็นครูสอนใจที่แท้จริง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 22:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1 ผมได้ฟังจากอาจารย์ว่า หลังจากเข้าถึงอัปปนาสมาธิแล้วอาจาย์ได้อภิญญา 6 เช่น มีตาทิพย์เป็นต้น จึงอยากเรียนถามว่า จำเป็นไหมที่ทุกคนที่ผ่านจุดนี้ จะมีความสามารถที่พิเศษนี้ ผมมิได้หวังว่ามีอำนาจพิเศษ เพียงแต่ว่าผมปฏิบัติเข้าถึงอัปปนาสมาธิแล้วหลายครั้ง แต่สภาวะธรรมขณะนี้มีเพียงความรู้ว่า จิตและกายไม่ได้เป็นสิ่งเดียวกัน ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงพองยุบในรูปแบบต่างๆ เห็นการเกิดดับของพองยุบ มีความรู้สึกว่าบางครั้งสมาธิลึกไปจนถึงอัปปนาสมาธิ แล้วถอยมายังสมาธิเบื้องต้น แล้วขณะจิตนี้พยามน้อมนำมาสู่วิปัสสนากรรมฐาน ไม่ทราบว่าผมทำถูกหรือไม่ครับ

2 เราจะมีวิธีสังเกตุอย่างไรว่า เรามีจริตในการปฏิบัติแบบไหน เนื่องจากแนวทางการบรรลุธรรมมีหลายแบบเช่น สุขขวิปัสสโก,เตวิชโช เป็นต้น

3 กรณีบรรลุธรรมตามแนวสายสุขขวิปัสสโก เราจะมีวิธีสังเกตอย่างไรว่าเราก้าวหน้าในทางธรรมจริงๆ เพราะกระผม มองว่าตัวเอง มีสติ มากขึ้น มี โลภ โกรธ หลง ลดลงจากเมื่อก่อน แต่กล้วว่าตนเองอาจมีมิจฉาทิฐฐิ โดยอาศัยอำนาจของพลังสมาธิข่มกิเลสไว้ เหมือนก้อนหินทับหญ้าเอาไว้ครับ โดยการเฝ้าสังเกตตนเองจากการปฏิบัติมาหลายปี แต่อยากให้มีครูอาจาร์ชี้แนะครับเพื่อมีสัมมาทิฐฐิ ในการปฏิบัติต่อไปครับ

กราบขอบคุณท่านอาจาย์ครับ


คำตอบ
(๑) ฟังผิดฟังใหม่ให้ถูกได้ ผู้ใดเข้าถึงอัปปนาสมาธิ (ฌาน) เมื่อนำจิตออกจากฌาน อภิญญา ๕ (อิทธิวิธี ทิพพโสต เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ และทิพพจักขุ) ย่อมเกิดขึ้น การรู้ว่าจิตและกายมิใช่เป็นสิ่งเดียวกัน มิได้เป็นเครื่องบ่งชี้สภาวะของจิตที่เข้าถึงอัปปนาสมาธิ ฉะนั้นผู้ถามปัญหาประสงค์จะพัฒนาจิตให้เข้าถึงปัญญาเห็นแจ้ง ควรนำตัวเองเข้าเป็นศิษย์ฝึกกรรมฐานกับครูผู้ผ่านประสบการณ์การเข้าถึงดวงตา เห็นธรรมมาก่อน การพัฒนาจิตจึงจะสัมฤทธิ์ผล

(๒) จริตของมนุษย์มี ๖ อย่าง คือ ราคจริต โทสจริต โมหจริต สัทธาจริต พุทธจริต และวิตกจริต บุคคลมีจริตแบบไหนยังไม่สำคัญเท่ากับ เมื่อนำกรรมฐาน (ดูกรรมฐาน ๔๐) มาบริการรมแล้ว ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้นั้นสำคัญยิ่งกว่า บทกรรมฐานที่เหมาะแก่การฝึกจิต อาทิ

อสุภะ กายคตาสติ ฯลฯ เหมาะกับผู้มีราคจริตนำ

พรหมวิหาร ๔ กสิณ อรูป ๔ เหมาะกับผู้มีโทสจริตนำ

อานาปานสติ อรูป ๔ ฯลฯ เหมาะกับผู้มีโมหจริตนำ

การระลึกถึงคุณ ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณของศีล ฯลฯ เหมาะกับผู้มีสัทธาจริตนำ

มรณสติ อาหาเรปฏิกูลสัญญา จตุธาตุววัฏฐาน ๔ เหมาะกับผู้มีพุทธจริตนำ

อานาปานสติ กสิณ ฯลฯ เหมาะกับผู้มีวิตกจริตนำ

(๓) การบรรลุธรรมตามแนวสุกขวิปัสสก มีข้อบ่งชี้ความก้าวหน้าในทางธรรม ที่ผู้เข้าถึงได้แล้วได้ทำเป็นตัวอย่างให้ดู คือจิตเห็นสิ่งที่เข้ากระทบ ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วจิตปล่อยวางทุกสิ่งที่เข้ากระทบจิต แล้วทำให้จิตเป็นอิสระจาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเมตตา ความมีสติ ความมีปัญญา ฯลฯ (เจตสิกดับ) และไม่สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงความทรงฌานได้ ความเป็นพระอรหันต์สุกขวิปัสสกจึงจะเกิดขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 71, 72, 73, 74, 75, 76, 77 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร