วันเวลาปัจจุบัน 28 ส.ค. 2025, 00:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 69, 70, 71, 72, 73, 74, 75 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันขอเรียนถามอาจารย์ เกี่ยวกับการใส่บาตรกับพระสงฆ์ ที่มีพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความรู้สึกไม่แน่ใจว่า ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ ดังนี้ค่ะ
1.แถวบ้านดิฉัน ในตอนเช้าจะมีพระสงฆ์บางรูป ( ประมาณ 3 - 4 รูป ) มายืนรับบิณฑบาตรจากฆารวาส ด้วยการยืนอยู่ที่ข้างๆร้านขายอาหารซึ่งทางร้านมีขายสำหรับใส่บาตร ( มีอยู่ 2-3 ร้าน ) โดยจัดอาหารไว้เป็นชุดๆสำหรับให้ซื้อไปใส่บาตรได้เลย ท่านจะยืนอยู่ที่ข้างๆร้านขายอาหารร้านเดิมเป็นประจำทุกวัน โดยไม่ได้เดินไปที่อื่นเลย พอสายๆไม่มีใครมาใส่บาตรแล้วท่านจึงจะกลับวัด

2. วันหนึ่งดิฉันได้เห็นพระสงฆ์ที่ต้วเองได้ใส่บาตรกับท่านหลายครั้ง หลังจากรับบิณฑบาตรแล้ว ก่อนก่อนวัดท่านเดินแวะไปที่ร้านขายล๊อตเตอรี่ แล้วถามคนขายเกี่ยวกับใบหวยและหยิบขึ้นมาดูด้วยค่ะ แต่ไม่แนใจว่าซื้อหรือเปล่าค่ะ

สิ่งที่ดิฉันได้เห็นมานั้น ทำให้ดิฉันเกิดความรู้สึกไม่ค่อยเลื่อมใสศรัทธาในพฤติกรรมของพระสงฆ์เหล่า นั้น ทำให้เกิดความรู้สึกตะขิดตะขวงใจในเวลาใส่บาตร จึงไม่ค่อยอยากจะใส่บาตรกับพระสงฆ์เหล่านั้นซักเท่าไร แต่ดิฉันยังต้องการที่จะใส่บาตรอยู่จึงไม่รู้จะทำอย่างไรค่ะ

ขอให้อาจารย์ช่วยกรุณาชี้แนะด้วยว่าควรจะทำอย่างไรค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
(๑) ถูกต้องและเหมาะสมกับภิกษุ ๓-๔ รูป ที่มีพฤติกรรมเช่นนั้น แต่ไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสมกับเจตนารมณ์ของพระพุทธะ ในการบัญญัติให้ภิกษุออกบิณฑบาต

(๒) การที่ภิกษุรับอาหารใส่บาตรเสร็จแล้วแวะเข้าร้านขายล๊อตเตอรี่ แล้วถามหาใบหวย เป็นพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นว่าภิกษุนั้นประพฤติไม่ถูกตรงตามธรรมวินัย อนึ่งหากผู้ใส่บาตรพัฒนาตัวเองให้มีศีลและสัจจะ หรือพัฒนาตัวเองให้มีศีลธรรม หรือมีเทวดาคุ้มรักษาได้แล้ว ก่อนใส่บาตรในวันถัดไปควรอธิษฐานให้ภิกษุผู้ประพฤติถูกตรงตามธรรมวินัย มารับอาหารบิณฑบาตจากข้าพเจ้า

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตามที่ท่านได้กรุณาตอบคำถาม ดิฉันกราบขอบพระคุณ และตัดสินใจที่จะเพิ่มภาระตัวเอง โดยการตั้งศาลเจ้าที่ เพราะต้นไม้ใหญ่(มะขาม)ต้นนั้นเกิดตาย ซึ่งต้นอื่นๆ บริเวณที่ดินข้างเคียงไม่ตาย ดิฉันไม่เคยเห็นต้นมะขามยืนต้นตาย

จึงมีคำถามถามอาจารย์อีก 3 ข้อว่า
1.ต้นไม้ตายหรือไม่ตายก็เป็นที่สิงสถิตย์ของเจ้าที่ได้ใช่หรือไม่

2.ดิฉันสามารถตั้งศาลเอง โดยปรับสถานที่และตั้งได้ตามความเหมาะสม หรือไม่อย่างไร

3.สังเกตุว่าช่วงนี้ ลูกค้ามาดูห้องพักแล้ว ชอบใจ นัดหมายมาวางเงินมั่นเหมาะ บ้างก็โทรมาให้ทำความสะอาดห้องเพื่อย้ายเข้า แต่ก็ไม่มา เป็นเหตุจากการไม่พอใจของเจ้าที่ หรือการล่วงเกินอะไรหรือไม่ค่ะ

กราบขอบพระคุณในความกรุณา


คำตอบ
(๑) ใช่ หากอมนุษย์ประสงค์จะอยู่กับต้นไม้ที่ตายแล้ว เช่นต้นตะเคียนที่นำมาทำเป็นเสาเรือน นำมาขุดเป็นเรือพาย นางไม้ยังตามมาอยู่ได้

(๒) สามารถตั้งศาลเองได้ แต่ต้องสื่อให้อมนุษย์ทราบว่า เราได้สร้างศาลให้เขาแล้วเชิญเขาเข้าไปอยู่อาศัยได้

(๓) ผู้ใดประพฤติตนเป็นผู้ให้สิ่งดีงามกับผู้อื่นอยู่เสมอ ผู้ให้ย่อมมีเพื่อนดี มีบริวารดี คนที่มีเพื่อนดีมีบริวารดีที่เป็นอมนุษย์ เขาย่อมช่วยเหลือในสิ่งที่เราปรารถนาได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมอายุ 56 ปี และ early retire ตัวเองจากธุรกิจส่วนตัวหลังจากที่ลูกสาวคนโต (32) เข้ามาช่วยดูแลกิจการเมื่อ 7 ปีก่อน ตอนนี้เลยว่างและใช้เวลาไปกับการศึกษาและปฎิบัติไปตามความเข้าใจ และตามระดับสติปัญญาเท่าที่มีครับ หลังจากที่ได้มีโอกาสฟังบรรยายของท่าน ดร.สนอง จาก You Tube และจากสื่ออื่นๆบ้าง เห็นว่าท่าน ดร.สนอง มีข้อคิด และคำอธิบายที่แตกต่างไปจากท่านอื่นๆ ที่ผมรู้จักหรือเคยศึกษามา จึงใคร่ขออนุญาตถามท่าน ดร.สนอง ในเบื้องต้น ซึ่งผมเคยถามท่านผู้รู้ท่านอื่นๆมาแล้ว แต่ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจน ดังนี้ครับ

1. หากพรหม เทพ เทวดา ผี เปรต สัมภเวสี อยู่ในรูปของพลังงาน ไม่มีกายแบบมนุษย์ ทำไมเวลาคนทำพิธีไหว้ต้องมีเครื่องเซ่นไหว้ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ต้อง ผ่านขบวนการย่อยสลายแบบ digestive system แบบมนุษย์จึงจะใช้ประโยชน์ได้ครับ แล้วทำไมยังต้องมีดอกไม้ธูปเทียนอีกมากมาย ที่ผมไม่เห็นว่าสิ่งที่อยู่ในรูปของพลังงานต้องการหรือใช้ประโยชน์อะไรจาก เครื่องเซ่นไหว้พวกนี้ได้ นี่มันเป็นเพียงความคืดความเชื่อของมนุษย์ว่าต้องมีเครื่องเซ่นไหว้ หรือ พรหม เทพ เทวดา สัมภเวสี สามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องเซ่นไหว้เหล่านั้นได้จริงๆครับ

2. เวลาทำบุญ พอพระสวด สัพภีฯ ทำไมต้องเทน้ำลงดินครับ น้ำมันทำหน้าที่อะไรครับ เกี่ยวข้องกันอย่างไร หากไม่เทน้ำลงดินแล้วการแผ่เมตตาจะสมบูรณ์ไหมครับ หากเราตั้งจิตอุทิศผลบุญให้ไปแล้วก็น่าจะจบตรงนั้น ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเทน้ำลงดินด้วยครับ

3. การจุดธูปจุดเทียนไหว้พระไหว้เจ้าไหว้ผี เป็นสิ่งจำเป็นหรือมีผลอะไรจริงๆไหมครับ หรือเป็นเพียงความนิยม ตามที่ท่านหลวงวิจิตฯกล่าวไว้ว่า...พิธีการสร้างความยิ่งใหญ่... และเวลาจุดธูปไหว้พระบอกว่าต้องจุด 3 ดอก เพื่อไหว้พระพุธ พระธรรม พระสงฆ์ 9 ดอกเพื่อไหว้เทพ 16 ดอกเพื่อไหว้พรหม 1 ดอกเวลาไหว้คนตายในงานศพ แต่พอจุดเทียนทำไมจุดแค่ 2 ดอกครับ ไม่ว่าจะไหว้อะไร ดูแล้วไม่ make sense เลยครับ หากทุกอย่างอยู่ที่จิต จะไหว้อะไรก็จุดธูป 1 ดอก เทียน 1 เล่ม แล้วตั้งจิตไหว้ก็น่าจะพอครับ หรือไม่ต้องมีธูปหรือเทียนเลยก็ได้ ไม่เปลืองดีครับ บางคนแพ้ควันธูปและมีสารก่อมะเร็งอีกต่างหาก เราจำเป็นต้องจุดธูปเทียนไหมครับ

4. ตามที่ผมเคยได้ฟังจากผู้รู้หลายๆท่าน บอกว่ากรรมต่างๆเป็นของใครของมัน จำหน่ายถ่ายโอนกันไม่ได้ และกรรมไม่ใช่ Credit/Debit ที่จะสามารถหักกลบลบหนี้กันได้ แล้วการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวร เพื่อขอขมากรรมขออโหสิกรรม หรือให้พ่อแม่ที่ตายไปแล้ว เพื่อให้ได้ใช้บุญนั้น มันจะเกิดผลอะไรได้จริงหรือครับ หรือเป็นเพียงความเชื่อ

5. หากการปฎิบัติวิปัสนากรรมฐานเป็นทางนำไปสู่ ฌาณ และปัญญา ซึ่งผู้ปฎิบัติอ้างว่าเป็น ปัจจัตตัง ของใครของมัน พิสูจน์หรือแสดงให้คนอื่นดูหรือเห็นหรือเข้าใจไม่ได้ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าที่เราคิดว่าเป็น ฌาณหรือปัญญา นั้น ไม่ใช่เพียงจินตนาการณ์ของท่านเหล่านั้นครับ

6. จากข้อคิดของท่านผู้รู้หลายๆท่านที่ผมเคยสัมผัสมา มักพูดกันว่ามี สวรรค์ โลกมนุษย์ และ นรก ทำดีไปสวรรค์ ทำชั่วไปนรก และมีแต่ในโลกมนุษย์เท่านั้นที่คนเราจะทำดีหรือทำชั่วได้ แล้วกฏแห่งกรรมนี้ใครกำหนดครับ หากจะบอกว่ามันเป็นไปตามธรรมชาติ หมายความว่า มันเป็นไปของมันเองโดยไม่มีวัตถุประสงค์อะไรใช่ไหมครับ

7. ทำไมคนที่ปฎิบัติจนบอกว่าตนพบทางนิพพาน หรือรู้วิธีที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มาใช้ปัญญาที่ตนมีช่วยให้คนทั้งโลกหลุดพ้นหรือไปนิพพานกันให้หมดไปเลยที เดียวละครับ มันจะได้ไม่ต้องมีเรื่องวุ่นวายใน 3 โลกอีกต่อไป ไม่น่าปล่อยให้คน 6 พันกว่าล้านคนต้องทุกข์อีกต่อไป

8. หาก นรก เป็นที่ที่มีสภาพเลวร้าย ไม่น่าอยู่ แล้วบรรดาเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมนรก เช่น ท่านยมบาล ท่านยมฑูต ท่านอยู่ได้อย่างไรครับ ท่านเหล่านั้นไม่คิดอยากไปอยู่ที่อื่นเช่นบนสวรรค์หรือบนโลกมนุษย์หรือไป นิพพานบ้างหรือครับ หากท่านเหล่านั้นไปไหนไม่ได้มันเพราะอะไรครับ

9. คนที่ศึกษาและปฎิบัติ มีศิลและดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรม แต่เกิดเบื่อและยังไม่สามารถเข้าถึงนิพพานได้ แล้วฆ่าตัวตายผิดหรือบาปไหมครับ

10. สำหรับคนที่ปฎิบัติ แต่จิต สมาธิ หรือ บารมี ยังเข้าไม่ถึงระดับที่จะเห็น สวรรค์ นรก น่าจะมีผู้ที่มีจิตและสมาธิที่สูงกว่าพาไปเห็นสวรรค์นรกได้บ้าง เพื่อจะได้เป็นกำลังใจให้มุ่งมั่นปฎิบัติต่อไป ท่าน ดร.สนองจะสามารถพาจิตผมไปเห็นสวรรค์นรกได้ไหมครับ



คำตอบ
คนส่วนใหญ่นิยมพัฒนาสุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา แม้จะพัฒนาจนสูงสุดก็เข้าถึงความจริงที่เป็นสภาวสัจจะเท่านั้น หากนำปัญญาเช่นนี้ไปส่องนำทางให้กับชีวิตแล้ว โอกาสพบความวิบัติย่อมมีได้ ตรงกันข้ามคนส่วนน้อย พัฒนาปัญญาสูงสุดที่เรียกว่าภาวนามยปัญญา คนสามารถรู้เห็นเข้าใจสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) ได้ หากนำเอาปัญญาเช่นนี้มาส่องนำทางให้กับชีวิต ความเป็นอิสรภาพที่สมบูรณ์ของชีวิต ย่อมเกิดขึ้นได้ ดังที่อริยบุคคลได้ทำเป็นตัวอย่างให้มวลชนดู

(๑) สัตว์ที่กล่าวถึงทั้งหมด มิได้อยู่ในรูปของพลังงานล้วนๆ แต่อยู่ในรูปของสสารและพลังงานที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน สสารหรือรูปที่ละเอียด เช่น จุลินทรีย์แบคทีเรีย ประสาททางตาสัมผัสไม่ได้ แต่กล้องจุลทรรศน์ขยายรูปของจุลินทรีย์แบคทีเรียให้ใหญ่ขึ้นประมาณ ๘๐๐-๑๐๐๐ เท่า ประสาททางตาสามารถสัมผัสได้ กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน ขยายรูปของอนุภาคไวรัสให้ใหญ่ขึ้นประมาณหมื่นเท่า ประสาททางตาสามารถสัมผัสได้ ผู้ใดพัฒนาจิตจนถึงระดับฌานได้ เมื่อนำจิตออกจากความทรงฌาน ทิพพจักขุย่อมเห็นเทวดาและผีข้างถนนได้

ผู้ใดพัฒนาจิตจนสัมผัสกับรูปนามที่เป็นทิพย์ได้ ก็จะรู้ว่าการเซ่นไหว้เป็นการกระทำที่มีเหตุผล

(๒) การเทน้ำลงดินหรือไม่เทน้ำลงดินย่อมทำได้ หากผู้มีบุญแสดงเจตนาอุทิศบุญให้กับอมนุษย์ที่ตนปรารถนาจะให้แล้ว ย่อมสำเร็จผลตามปรารถนาได้ ตัวอย่างเช่น พระเจ้าพิมพิสาร ถวายผ้าและภัตตาหารแก่พระสงฆ์ แล้วได้เทน้ำลงดิน (หลั่งน้ำทักษิโณทก) พร้อมกับกล่าววาจาว่า ขอทานนี้จงถึงแก่ญาติทั้งหลายของเรา ทันใดนั้นสระโบกขรณีก็บังเกิดแก่เปรต (ญาติในอดีต) ได้อาบกันและสวมใส่พัสตราภรณ์อันเป็นทิพย์

พระสงฆ์ที่ปฏิบัติธรรมอยู่ในป่า อยู่บนดอย หลังจากประพฤติบุญแล้ว ได้อุทิศบุญให้กับสรรพสัตว์ที่ตนปรารถนาจะให้ ผลสำเร็จของการอุทิศบุญย่อมเกิดได้เช่นกัน

(๓) การบูชามีสองอย่าง การจุดธูปเทียนเป็นอามิสบูชา บุญได้เกิดขึ้นจากการประพฤติอ่อนน้อม จุดธูปกี่ดอก จุดเทียนกี่เล่ม เป็นเพียงพิธีกรรมที่มนุษย์สมมุติขึ้น อามิสบูชามีผลอย่างมากแค่สวรรค์สมบัติ การบูชาอย่างที่สองไม่จุดธูปเทียน แต่บูชาด้วยการไหว้พระ สวดมนต์ ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม ถือเป็นปฏิบัติบูชา มีผลส่งถึงพรหมสมบัติและนิพพานสมบัติ พระพุทธะสรรเสริญการบูชาอย่างหลังนี้มากกว่า

(๔) การอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร ถือว่าเป็นการใช้หนี้เวรกรรมให้แก่เจ้ากรรมนายเวรได้ อุทิศบุญให้พ่อแม่ที่ตายไปแล้ว หากท่านอยู่ในฐานะที่มาอนุโมทนาบุญได้ ท่านย่อมได้รับบุญที่มีผู้อุทิศให้ ดูข้อ (๒) ประกอบ ฉะนั้นการอุทิศบุญให้กับผู้ตาย จึงเป็นความเชื่อที่มีเหตุผลสนับสนุน

(๕) ผู้ใดปฏิบัติสมถกรรมฐานจนจิตบรรลุความเป็นฌาน ย่อมเข้าใจความเป็นจริงของฌานได้ ผู้ใดปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ ย่อมเข้าใจความเป็นจริงของโลกุตตรญาณได้ เพราะสภาวะทั้งสองเป็นของเฉพาะตัว (ปัจจัตตัง) ของผู้เข้าถึง

ผู้ตอบปัญหามีประสบการณ์ตรงในเรื่องทั้งสอง ด้วยการนำตัวเองเข้าไปปฏิบัติธรรม จึงบอกว่า ฌานและญาณโลกุตตระมิใช่เป็นจิตนาการของจิต อย่างที่ท่านผู้ถามปัญหาเข้าใจ

(๖) ผู้ใดบอกว่า การทำดีทำชั่วมีแต่ในโลกมนุษย์เท่านั้น เป็นคำบอกกล่าวที่ถูกของผู้นั้น แต่ไม่ถูกตามที่ผู้รู้จริงบอกกล่าว นันทยักษ์ (เทวดา) ใช้กระบองวิเศษตีศีรษะพระสารีบุตร ขณะกำลังนั่งเข้านิโรธสมาบัติ ผลปรากฏว่านันทยักษ์ถูกธรณีสูบลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในภพนรก ลิงป่ารักขิตวัน (เดรัจฉาน) นำรวงผึ้งป่ามาถวายพระพุทธะ ตายแล้วไปเกิดเป็นเทพบุตรอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ สิริมาโสเภณีแห่งแคว้นมคธ (มนุษย์) เลิกอาชีพโสเภณีแล้วหันมาบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ตายแล้วไปเกิดเป็นสิริมาเทพนารีโสดาบันอยู่ในสวรรค์ชั้นสูงสุด กฎแห่งกรรม (ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว) มีธรรมชาติเป็นตัวกำหนด ผู้ถามปัญหาทดลองได้ด้วยตัวเอง เมื่อเดินผ่านบ้านที่มีสุนัขดุ แล้วใช้ก้อนหินขว้างปาสุนัขเช้าเย็นเป็นเวลาหนึ่งเดือน ตรงกันข้ามเดินผ่านบ้านที่มีสุนัขดุอีกบ้านหนึ่ง แล้วใช้น่องไก่ทอดโยนให้สุนัขเช้าเย็นเป็นเวลาหนึ่งเดือน แล้วบอกเจ้าของบ้านทั้งสองให้เปิดประตูปล่อยสุนัขออกมาให้พบกับคนที่ขว้างปา สุนัขด้วยก้อนหิน และพบกับคนที่โยนน่องไก่ทอดให้ ลองดูว่า ให้ผลเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

(๗) มนุษย์แบ่งได้ ๔ จำพวก (บัว ๔ เหล่า)

๑. ผู้ที่รู้เข้าใจธรรมได้ฉับพลัน (อุคฆฏิตัญญู)

๒. ผู้ที่รู้เข้าใจธรรมได้เมื่อขยายความ (วิปัตตัญญู)

๓. ผู้ที่พอจะแนะนำต่อไปได้ (เนยยะ)

๔. ผู้ที่ไม่อาจแนะนำได้ เพราะพูดชี้แจงแสดงเหตุผลอย่างไรก็ไม่อาจเข้าใจได้ (ปทปรมะ) คนประเภทนี้มีอยู่เป็นจำนวนมากในโลก

ฉะนั้นคำตอบเกี่ยวกับเรื่องที่ถามจะจบลงได้ เมื่อผู้ถามปัญหาประเมินจำนวนคนประเภทที่สี่นี้ออกมาได้

(๘) กรรมคือการกระทำ ยมบาล ยมทูต ทำกรรมเพื่อไปทำงานอยู่ในยมโลก ผลจึงเป็นไปตามกรรมที่ทำ

หากมีโอกาสและประสงค์จะเรียนรู้เรื่องนี้ให้มาก ควรนำตัวเองเข้าไปพูดคุยไต่ถามกับตำรวจ อัยการ ทนายความ ผู้พิพากษา และผู้คุมนักโทษในเรือนจำ แล้วจะรู้ว่าบุคคลที่กล่าวถึงได้ประพฤติกรรมเช่นใดไว้ จึงต้องไปทำหน้าที่เช่นนั้น และอย่าลืมถามเขาว่าอยากไปเกิดเป็นเทวดาไหม? อยากเข้านิพพานไหม?

(๙) บุคคลฆ่าตัวตาย เพราะมีบาปเป็นแรงผลักดัน เมื่อจิตหลุดออกจากร่าง พลังบาปจะผลักดันจิตวิญญาณ ให้โคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในนรก

(๑๐) พระพุทธเจ้าเคยพาพระนันทะ (พุทธอนุชา) เหาะไปดูนางฟ้าใสสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อพระนันทะเห็นนางฟ้าแล้วว่านางฟ้าสวยงามกว่านางชนบทกัลยาณีเป็นร้อยเท่า จึงทำให้จิตคลายความคิดถึงนางลงได้

อนึ่งหลวงพ่อบางองค์ชำนาญในมโนมยิทธิ เคยพาศิษย์ไปดูนรกดูสวรรค์มาก็มาก แต่เมื่อไปเห็นสวรรค์แล้วมีจิตเป็นทาสของสิ่งที่ถูกเห็น จึงมิใช่ทางพ้นทุกข์ เจ้าคุณโชดกจึงมิให้ผู้ตอบปัญหาประพฤติเช่นนั้น แต่ปัจจุบันยังมีพระโพธิสัตว์บางองค์ยังประพฤติอยู่

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉัน เพิ่งเริ่มปฏิบัติวิปัสสนามาได้ประมาณ 2 เดือนค่ะ พอจะเข้าใจถึงการเจริญวิปัสสนาและมีสติสัมปะชัญญะบ้าง ไม่มีบ้างค่ะ แต่ช่วงนี้ไม่สามารถเจริญวิปัสสนาได้เลยค่ะ เพราะจิตใจฟุ้งซ่านมากมีแต่ความกลัวและวิตกกังวลมากมาย เพราะว่าภายใน 2 เดือนที่ผ่านมาเจอแต่เหตุการณ์ที่หนักๆ อย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน เรียกว่าถ้าไม่ได้เจริญวิปัสสนามาก่อน คงจะแย่กว่านี้มากเลยค่ะ

ภายในสองเดือนนี้ มีทั้งพลาดจากความก้าวหน้าของหน้าที่การงาน แม่ต้องได้รับการผ่าตัดเข้าโรงพยาบาล และที่แย่ที่สุดเมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมาขโมยขึ้นบ้าน ทรัพย์สินที่สูญหายไปไม่ได้เสียดายอะไรมากมาย ดีใจที่คนในบ้านไม่เป็นอะไร แต่ทำให้จิตใจหวาดกลัวและวิตกกังวลเนื่องจากเกรงว่ามันจะเข้ามาอีก และจะทำร้ายร่างกายคนในบ้านซึ่งอยู่กันแต่ผุ้หญิง 2 คน จะรบกวนสอบถามอาจารย์ว่า

1. จะมีวิธีการอย่างไรบ้างค่ะ ที่ทำให้เจริญวิปัสสนาได้บ้างในช่วงนี้ เนื่องจากไม่สามารถรู้ความจริงในปัจจุบันได้เลยค่ะ เพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องขโมยตลอด

2. เมื่อคิดถึงวิธีการที่จะป้องกันตัวที่จะทำให้เราพ้นจากอันตราย ก็เห็นแต่ความโหดร้ายที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ ถือว่าผิดหรือไม่ค่ะ ถ้าผิดควรจะละความคิดดังกล่าวอย่างไรดีคะ

3. เมื่อเจอเหตุการณ์ดังที่กล่าวมาข้างต้น มีใจบางส่วนคิดว่า ทำไมเมื่อเราทำดีกลับได้รับผลเป็นทางที่ไม่ดีมีอุปสรรค์มากมายในการปฏิบัติ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเป็นเพราะเหตุที่เราเจริญวิปัสสนาทำให้ทุกข์ที่มีน้อย กว่าที่ควรจะเป็น ความคิดเห็นดังกล่าวถือเป็น มิจฉาทิฏฐิหรือไม่ค่ะ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นวิบากหรือเปล่าคะ

รบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะแนวทางที่ถูกที่ควรด้วยนะคะ
ขอบพระคุณอย่างสูง


คำตอบ
(๑) วิธีแก้ปัญหาที่บอกเล่าไป ต้องประพฤติตนให้มีศีล ๕ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน เจริญอานาปานสติก่อนนอน หลังภาวนาแล้วอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้งที่การปฏิบัติธรรมแล้ว เสร็จ

(๒) “ ธรรมย่อมคุ้มรักษาผู้ประพฤติธรรม ” เป็นคำกล่าวที่เป็นจริงแท้ ปัญหาจึงมีอยู่ว่า ผู้ถามปัญหาสามารถเอาธรรมมาคุ้มใจได้ทุกขณะตื่นเมื่อใด อันตรายและความเห็นผิด ย่อมไม่เกิดขึ้นอีกกับผู้ถามปัญหา

(๓) ทำดีแล้วย่อมมีบุญเกิดขึ้น คนมีบุญย่อมถูกเจ้ากรรมนายเวรติดตามทวงหนี้ให้ต้องชดใช้ ผู้รู้ยอมรับความจริง ผู้รู้จะอยู่กับความจริงไม่คิดเบี้ยวหนี้ และผู้รู้ยอมชดใช้หนี้เวรกรรมจนกว่าจะหมดสิ้น แล้วหนี้เวรกรรมย่อมหมดไปเอง การปฏิบัติธรรมเป็นบุญใหญ่สุด มนุษย์และเทวดาสามารถประพฤติได้ สัตว์ในอบายภูมิไม่สามารถทำบุญใหญ่เช่นนี้ได้ ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรม ทุกข์ย่อมลดลงเป็นธรรมดา นี่คือสัมมาทิฏฐิ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือของอาจารย์มาหลายเล่ม รู้สึกประทับใจ แล้วรู้สึกว่าชีวิตผมเปลี่ยนไปเยอะมากครับ เดี๋ยวนี้ผมเป็นคนคิดดี พูดดี ทำดี ใครด่าใครว่า เฉยๆแล้วครับแล้วแผ่เมตตาให้พวกเขาทุกครั้งที่มีคนด่า หรือเกลียด มีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากถามอาจารย์นะครับ

เรื่องมีอยู่ว่า ผมกำลังจะไปทำบุญถวายเทียนพรรษาที่จังหวัดเชียงใหม่ ในเดือน ก.ค. นี้ครับผมอยากทำบุญมาก เพราะยังไม่เคยทำที่เกี่ยวกับเรื่องถวายเทียนพรรษา แล้วทุกคืนผมจะสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิแล้วแผ่เมตตา เหมือนกับอาม่าผมที่มาอยู่บ้านผมตอนนี้ท่าน อายุ 86 แล้วครับ สอนให้ผมทำบุญใส่บาตรทุกวันหน้าบ้านที่พระมา หลังจากที่ผมตบปากรับคำจะไปถวายเทียนพรรษาที่วัดในจังหวัดเชียงใหม่นั้น ผมก็เริ่มฝันที่ต้องบอกว่าประทับใจมากครับ คืนแรกๆผมฝันเห็นพระเครื่ององค์ใหญ่สีทองหนึ่งองค์ และอีกสององค์เป็นพระดินเผาอะไรทำนองนั้นครับอยู่ในหนังสือผมผมตกใจมาก จำได้วาพระสีทององค์หนึ่งศิลปะคล้ายกะอยุธยาอะครับ จากนั้นวันรุ่งขึ้น ผมก้รู้เรื่องว่าจะไปถวายเทียนพรรษาจากรุ่นพี่ที่มหาลัยและนั่นก็ทำให้ผม ตัดสินใจไปครับ

หลังจากตบปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ เพราะผมไม่เคยไปภาคเหนือและไปถวายเทียนพรรษาด้วยก็ทำให้ดีใจและตั้งใจมาก ขึ้น ผมยังคงไหว้พระสวดมนต์ทุกคืนจนกระทั่งผมสวดมนต์พระประจำวันเกิดวันจันทร์ 15 จบ แล้วนอนหลับไป วันนั้นผมฝันเห็นว่า ตัวเองเดินอยู่ในวัดร้างแห่งหนึ่ง เห็นพระปรางค์สีแดงอิฐใหญ่มาก ที่วัดร้างเงียบมากมีผมเดินคนเดียว ผมชอบมากๆๆๆๆๆ เพราะผมไม่เคยมีโอกาสไปเที่ยวโบราณสถานที่ไหนเลย แต่เดือนที่แล้วผมได้ไปไหว้พระเก้าวัดที่ อยุธยามา ผมมีความสุขมาก ผมชอบมาก ไม่รู้ว่าเป็นอะไรเห็นวัดร้าง หรือโบราณสถานแล้วใจผมจะมีความสุขเสมอ ตื่นมาก็เล่าให้อาม่าฟังอาม่าบอกว่าเป็นฝันที่ดีแล้ว
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ผมก็ฝันเห็นพระธาตุสีขาวใส ชมพูใส อยู่เต็มมากมายเม็ดใหญ่พอประมาณอยู่ในหอยสังข์บนโต๊ะหมู่บูชา โอ้โหหหหหห ผมงี้ดีใจสุดๆเพราะที่บ้านผมมีพระธาตุห้าองค์เล็กๆเหมือนเมล็ดข้าวสาร

และทุกคืนผมจะสวดมนต์บูชาพระสารีริกธาตุทุกครั้ง เล่าให้เพื่อนรุ่นพี่ฟัง เขาว่าผมดูหนังมากไปป่าว ผมก้เลยไม่พูดเลย อาจารย์ครับสิ่งที่ผมพุดทั้งหมดเป็นเรื่องจิงนะครับ ทุกวันนี้ผมรักษาศีล 5 ทุกวันทั้งตื่นนอน และเข้านอน ที่สำคัญผมมีอาม่าที่ผมต้องดูแล อาบน้ำ อาบท่า เปลี่ยนผ้าฉี่ให้ทุกครั้ง พูดจากับแกเพราะทุกอย่าง ไม่เคยพูดจาให้อาม่าช้ำใจเลยมีแต่พี่ชายผมชอบพูดกระโชก ตะคอกแกผมเห็นแล้วร้องไห้แทน ทำอะไรไม่ได้ ผมก้เลยปล่อยเขาไปผมทำคนเดียวก็ได้ เหนื่อยอะเหนื่อย แต่ผมไม่เคยลืมสมัยเด้กที่อาม่าเลี้ยงผมมาตั้งแต่เล็กๆหลังจากที่พ่อกับแม่ เลิกกัน ทุกวันนี้ผมก็ตอบแทนท่านมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมแอบร้องไห้ครั้งนึงวันที่ผมจูงอาม่าไปใส่บาตรที่หน้าบ้าน อาม่าอธิษฐานออกมาพอได้ยินว่า ขอชาติหน้าฉันใด ขอให้เจอหลานดีๆแบบนี้ไปทุกชาติ ผมไม่ได้อวดตัวเองนะครับ แต่ผมดีใจที่สุดท้ายของชีวิตอาม่า อาม่ามีความสุขกับหลานคนนี้ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีอาม่าแล้ว ผมก็ไม่รู้จะรอตอบแทนท่านเมือไร ผมมักเตือนตัวเองเสมอว่า พรุ่งนี้ผมอาจจะตายก็ได้ ดังนั้นในวันนึงๆ ผมพยายามจะทำบุญ ทำทานให้มากกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมแอบดีใจนะครับที่โชคดีที่ได้อาม่าดูแลมาตั้งแต่เด้ก พาเข้าวัด เข้าวาและสอนสิ่งดีๆเสมอ เดี๋ยวนี้แกไปวัดไม่ไหว ก็เลยเอาหนังสือธรรมมะอ่านให้แกฟังบ้าง เรื่องกรรมเวรให้แกฟังบ้างแกก็มีความสุขดีครับ แหม ฝอยมาเสียนานแล้วเดี๋ยวอาจารย์หาว่าโม้ แค่นั้นละครับที่ผมอยากทราบว่า

คำถาม คือ ทำไมคนเราถึงฝันเรื่องดีๆแบบนี้ติดต่อกัน ทั้งที่ไม่เคยฝันมาก่อนในชีวิตนี้


ขอกราบขอบพระคุณครับ


คำตอบ
เหตุที่ทำให้เกิดเป็นความฝัน เพราะสัญญาเก่าที่ถูกเก็บไว้ในดวงจิต ส่งผลกระทบจิตที่มีความถี่คลื่นคงที่ (สมาธิ) ผลจึงปรากฏออกมาเป็นความฝัน เหตุที่ฝันดีเพราะผู้ฝันเก็บประสบการณ์ดีไว้ในดวงจิตเป็นสัญญาดี ความฝันจึงออกมาเป็นฝันดี ผู้ใดรักษาความดีไว้ได้ตลอดไป ผลแห่งความดี จะผลักดันชีวิตให้ประสบแต่ความสวัสดีตลอดไป ทั้งในชีวิตปัจจุบันและในชีวิตหน้า

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมได้รับมอบหนังสือสวดมนต์จากเพื่อจำนวน180 เล่ม เพื่อช่วยแจกต่อ แต่เมื่อมาเปิดดูพบว่า นอกจากบทสวดมนต์แล้ว ยังมีเนื้อหาธรรมะบางส่วนด้วย ซึ่งอ่านแล้วเกรงว่า อาจจะไม่ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงไม่กล้าแจกต่อ หากจะทิ้งก็เห็นว่าไม่สมควร เพราะมีรูปพระพุทธรูปและมีบทสวดมนต์อยู่

จึงเรียนขอคำแนะนำจากอาจารย์ว่า ผมควรดำเนินการอย่างไรกับหนังสือเหล่านี้จึงจะเหมาะสมครับ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ครับ

คำตอบ
หนังสือสวดมนต์ที่มีเนื้อหาธรรมบางส่วนพิมพ์ต่อท้าย หากผู้ถามปัญหามีความเห็นถูกตามธรรม และสามารถวิเคราะห์ได้ว่าเป็นธรรมปลอม เป็นธรรมไม่แท้ เป็นธรรมเทียม (ธรรมปฏิรูป) สามารถเอาหนังสือไปทิ้งหรือนำไปทำลาย ไม่ถือว่าเป็นบาป แต่หากนำหนังสือที่มีธรรมปฏิรูปไปส่วนส่งต่อให้คนอื่น ถือว่าเป็นผู้ร่วมเผยแพร่อกุศลธรรม การกระทำเช่นนี้ให้ผลเป็นบาป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณแม่หลงลืมๆ ได้ทานยาบำบัดอัลไซเมอร์ระยะเริ่มต้น เป็นห่วงที่คุณแม่จะต้องจากด้วยอาการดังกล่าว

กราบเรียนขอข้อแนะนำอาจารย์ว่า คุณแม่ควรเจริญสติอย่างไร

กราบขอบพระคุณครับ

คำตอบ
หากคุณแม่ยังสามารถอ่านหนังสือสวดมนต์ได้ ให้ใช้หนังสือสวดมนต์เป็นเครื่องมือ สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน หรือหากมีเวลามากให้สวดมนต์ตอนเช้าด้วยยิ่งดี หลังสวดมนต์แล้ว เจริญอานาปานสติ ด้วยการกำหนด “ พุทโธ ” นาน ๑๕ – ๓๐ นาที เมื่อแล้วเสร็จ ควรอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง ผู้ใดมีสัจจะและประพฤติตามคำชี้แนะที่เป็นกุศลเช่นนี้ได้แล้ว ผู้ประพฤติย่อมมีบุญคุ้มรักษาชีวิตให้มีแต่ความสวัสดีตลอดไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีข้อสงสัยรบกวนถามอาจารย์ดังนี้ครับ การทำหมัน นั้นเป็นปาบไหมครับ ผมมีบุตร 2 คนแล้วภรรยาต้องการให้ทำหมันเพื่อครอบครัวจะได้ไม่ต้องลำบาก ขอคำแนะนำจากอาจารย์ เพื่อนำไปปฏิบัติด้วยครับ


คำตอบ
ถ้าผู้ถูกกระทำหมันเห็นดีด้วย การทำหมันนั้นไม่ถือว่าเป็นบาป ตรงกันข้าม หากผู้ถูกกระทำไม่เห็นด้วย แต่ถูกบังคับให้ทำหมัน พฤติกรรมเช่นนี้เป็นบาปเกิดขึ้นกับผู้บังคับให้ทำ และผู้ถูกกระทำด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. เมื่อก่อนหนูเคยทำบาป ด้วยการทำแท้ง พยายามฆ่าตัวตาย และเคยมีส่วนในการทำให้คนรักที่กำลังบวชอยู่สึกออกมา ทราบว่าทั้งหมดเป็นกรรมหนัก ปัจจุบันนี้ถือศีล พยายามทำบุญทำกรรมดี แต่ยังคงมีความหวาดกลัวต่อผลกรรมของตนเองอยู่ หนูไม่อยากตกนรก มีทางใดบ้างที่จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ บุญกุศลใดที่ที่ทำแล้วจะช่วยได้บ้าง บาปกรรมเหล่านี้สามารถแก้ไขได้มั๊ยคะ

2. หนูอยาหทราบว่าทำอย่างไรจึงจะได้ไปเกิดในยุคพระศรีอารย์คะ แล้วคนที่มีบาปอย่างหนูจะมีโอกาศหรือเปล่า

ขอความกรุณาช่วยชี้ทางให้ด้วยเถิด

ขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
(๑) บาปกรรมที่บอกเล่าไป สามารถแก้ไขได้ ด้วยการทำบุญใหญ่ คือนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม แล้วอุทิศบุญกุศลใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ จนกว่าหนี้เวรกรรมที่ผูกกันไว้จะจบสิ้น เมื่อใดหมดเวร โอกาสที่ไม่ต้องลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในนรกมีได้ชั่วคราว ผู้ใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมอย่างนั้น มีสภาวะจิตเป็นพระโสดาบันได้แล้ว จึงจะมั่นใจได้ว่า สามารถปิดอบายภูมิได้แน่นอน ดูสิริมาโสเภณีแห่งแคว้นมคธเป็นตัวอย่าง หลังจากได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์แล้วรู้ว่า อาชีพที่ตนเองทำอยู่นั้น เมื่อตายแล้วต้องไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในนรก จึงได้เลิกมิจฉาอาชีวะ แล้วประพฤติตนให้เป็นผู้บำเพ็ญทานรักษาศีล เจริญจิตตภาวนา จนเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบันในขณะยังเป็นมนุษย์ จึงสามารถปิดอบายภูมิได้ ตายแล้วโอปปาติกะไปเป็นสิริมาเทพนารีโสดาบัน อยู่ในสวรรค์ชั้นสูงสุดอยู่ในปัจจุบัน
(๒) ผู้ใดประพฤติอกุศลกรรม แล้วบาปตามให้ผลได้ทัน ต้องยอมรับความจริง และยอมชดใช้หนี้บาปไปจนกว่าจะจบสิ้น ขณะเดียวกัน ต้องไม่ลืมประพฤติตนให้เป็นผู้มีบุญ (ดูบุญกิริยาวัตถุ ๑๐) และประพฤติตนให้เป็นผู้มีบารมี (ดูบารมี ๑๐) และหากประสงค์เกิดในยุดของพระศรีอารยเมตไตรย ต้องประพฤติตนให้มีอัธยาศัย ไปในแนวทางเดียวกันกับพระศรีอารยเมตไตรย จึงจะมีโอกาสเกิดไปพบท่านได้ คือประพฤติตนให้เป็นผู้มีศีล มีธรรมอยู่เสมอ บำเพ็ญตนเป็นผู้ให้ทานอยู่เสมอ พัฒนาตนให้เป็นผู้มีเมตตาอยู่เสมอ คบหาสมาคมกับผู้มีปัญญาเห็นชอบอยู่เสมอ มีใจรักที่จะอยู่อย่างสงบ ชอบปลีกวิเวก และมีจิตหน่ายในสังสารวัฏ ต่างๆเหล่านี้หากประพฤติได้แล้ว โอกาสที่จะเกิดไปพบกับพระศรีอารยเมตไตรย ในกาลข้างหน้าย่อมมีได้ เพราะได้นำพาชีวิตดำเนินอยู่บนเส้นทางเดียวกันกับท่าน และจะให้มั่นใจยิ่งขึ้น ผู้ถามปัญหาต้องบำเพ็ญมหาทาน แล้วอธิษฐานเป็นพุทธสาวกของท่าน ผู้ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระศรีอารยเมตไตรยในกาลข้างหน้าด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันพักอาศัยอยู่หอพักเพียงคนเดียว ในบางโอกาสก็จะพาเพื่อนมานั่งเล่น พูดคุยที่ห้องพักบ้าง เพื่อนของดิฉันส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย และที่ผ่านมาก็ไม่เคยเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับดิฉันเลย แต่เมื่อไม่นานมานี้ ดิฉันได้ย้ายที่ทำงานใหม่และมีโอกาสได้พบเพื่อนกลุ่มใหม่ ดิฉันไม่ได้คิดอะไรมากเพื่อน (ผู้ชาย) ก็ขออนุญาตมานั่งเล่นที่ห้องพักดิฉัน (เริ่มทำงานได้ไม่ถึง 3 เดือน) ขอใช้ชื่อผู้ชายคนนี้ว่า นาย ก.

นาย ก. ได้มาห้องพักดิฉันได้ประมาณ 3-4 ครั้ง ก็ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ครั้งนี้เค้าได้พยายามที่จะข่มขืนดิฉัน ทั้งทีดิฉันได้ขอร้องนาย ก. แล้วแต่ไม่เป็นผล นาย ก. ใช้กำลังข่มขืนดิฉันจนสำเร็จ หลังจากนั้นดิฉันไม่พูดไม่คุยกับเค้า ทั้งที่ทำงานและทางโทรศัพท์ที่พยายามติดต่อมา นาย ก. พยายามมาหาดิฉันที่ห้องพักอีกหลายครั้ง แต่คราวนี้ดิฉันไม่กล้าเปิดห้องให้เข้ามา นาย ก. โทรศัพท์มาต่อว่าดิฉันว่า
"เรื่องแค่นี้โกรธอะไรนักหนา" ดิฉันโกรธมากจึงตอบกับไปว่า "เราได้ขอร้องแล้วว่าอย่าทำร้ายเรา แต่เธอก็ยังทำ แล้วถ้าเรื่องทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นกับลูกสาวคุณ คุณจะรู้สึกอย่างไร" (นาย ก. มีลูกสาว 2 คน แต่เค้าเลิกกับภรรยาแล้ว) หลังจากนั้นนาย ก. เค้าก็ไม่ได้มาหาหรือพยายามติดต่อดิฉันอีกเลย เพราะโกรธมากที่ต่อว่าลูกสาวเค้า

เรื่องทั้งหมดนี้ดิฉันทราบดีว่าดิฉันมีส่วนผิดในเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย ดิฉันรู้สึกเสียใจมากในการไว้วางใจคน แต่เหตุการณ์ได้ผ่านมาหลายเดือนแล้วดิฉันก็ยังทำใจไม่ได้ที่จะทำงานร่วมกับ นาย ก. ดิฉันพยายามหลีกเลี่ยงทุกครั้งที่มีเรื่องต้องพูดคุยกันไม่ว่าจะเป็นเรื่อง งานหรือเรื่องอื่น ๆ (ทำใจไม่ได้จริงๆ) ดิฉันไม่สามารถให้อภัยนาย ก. กับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ดิฉันทราบว่าทั้งหมดนี้มีแต่ดิฉันเพียงฝ่ายเดียวที่ทุกข์ทรมาน (นาย ก. อาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องนี้เลย)

ดิฉันกราบเรีอนขอคำปรึกษาจากท่านอาจารย์ ดร.สนอง ว่า ดิฉันควรทำอย่างไรให้จิตใจดิฉันสงบ ไม่คิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะดิฉันทราบมาจากที่ท่านอาจารย์เคยบรรยายว่า หน้าที่ของจิตจะสะสมผลกรรม ซึ่งมันจะทำงานทุกขณะที่ตื่น มันน่ากลัวมากเพราะดิฉันคิดถึงเรื่องนี้ตลอดเวลาทุกขณะตื่น กังวล วิตก โกรธแค้น ฯลฯ ทุกครั้งที่ได้เห็นหน้านาย ก. และที่สำคัญดิฉันยังต้องทำงานอยู่ที่เดียวกันนี้อีก จึงทำใจได้ยาก ดิฉันจึงกราบเรียนขอคำปรึกษาจากท่านอาจารย์ว่า ดิฉันควรทำอย่างไร ที่จะให้อภัยหรือปล่อยวางจากเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ได้

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

คำตอบ
ท่านเจ้าคุณโชดกเคยพูดไว้ว่า คบหมาให้ห่างศอก คบวอก (ลิง) ให้ห่างวา คบพาลาให้หนีห่างไกลลับตา

ลักษณะคนพาลดูได้จาก เวลาเราประพฤติผิดกฎหมาย ทุศีล ไร้ธรรม เขาไม่ป้องกันขัดขวาง ซ้ำยังชักนำเราให้ประพฤติชั่วอีกด้วย ฉะนั้นคนโบราณจึงแนะนำให้อยู่ห่างคนพาลให้ไกลลับตา พุทธศาสนามิได้สอนให้คนหนีปัญหา สอนให้อยู่กับปัญหาแล้วใช้ปัญญาแก้ปัญหา ปัญญาเห็นถูกเห็นว่า “ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ” ฉะนั้นเรื่องที่ผ่านไปถือว่าเป็นบทเรียน เอาไว้สอนใจตัวเองว่า จะดูใครว่ามีนิสัยเป็นอย่างไรต้องดูนานๆ และจะแก้ปัญหาบาปที่ฝังอยู่ในใจให้หมดไป ต้องแก้ที่ใจของตัวเอง ด้วยการให้อภัยเป็นทาน ทุกครั้งที่มีจิตระลึกถึงเรื่องนี้ ต้องบริกรรมคำว่า “ ช่างมันเถอะๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าความระลึกถึงเรื่องไม่ดีจะดับไป หากมีโอกาสควรนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม แล้วใช้สติและปัญญาเห็นแจ้งพิจารณาขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) จนดับไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อขันธ์ ๕ ดับ อัตตาย่อมไม่มี ปัญหาความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ย่อมไม่มีเช่นกัน ปัญหาก็จะหมดไป
อนึ่ง ผู้รู้บอกว่า ผู้ถามปัญหาเป็นผู้มีโชคดี หากคิดได้ว่า บาปที่เกิดขึ้นแล้วกับใจ เป็นเหตุนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณให้สูงยิ่งขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีเรื่องจะรบกวนเรียนถามดังนี้ค่ะ หนูกำลังจะซื้อบ้านประมาณภายในปีหน้า ในการซื้อบ้านใหม่นั้น หนูจะต้องอัญเชิญพระพุทธรูป เข้าบูชาในบ้าน หนูมีความชอบเป็นการส่วนตัวในคาถาพาหุงฯ จึงคิดจะอัญเชิญพระพุทธรูปปางมารวิชัย แต่โดยส่วนตัวหนูเกิดวันศุกร์ แม่หนูเกิดวันเสาร์
(หนูอยู่กับแม่สองคนค่ะ) หนูเลยไม่แน่ใจว่า หนูควรจะอัญเชิญพระพุทธรูปปางรำพึง เป็นองค์ประธาน หรือ พระพุทธรูปปางนาคปรกซึ่งประจำวันของแม่หนูเป็นประธาน (ปัจจุบันหนูเป็นคนทำงาน แม่หนูไม่ได้ทำงานแล้วค่ะ แต่ถ้าซื้อบ้านอาจจะเปิดขายของเล็กๆน้อยๆ ให้แม่หนูแก้เหงา)

ในความเห็นของอาจารย์ผู้มีความรู้ในทางธรรมของพระพุทธองค์ ซึ่งมากกว่าหนูมากมายนัก อาจารย์คิดว่าในกรณี้หนูควรจะอัญเชิญปางใดก่อนดีเป็นประธาน ถ้าครั้งแรกหนูจะเชิญเพียงปางเดียวก่อน และถ้าในอนาคตข้างหน้า หนูจะเชิญเพิ่มจนครบทั้ง 3 ปาง หนูควรจะให้ปางใดเป็นประธาน และปางใดวางเคียงกันไว้อย่างไรคะ

ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ


คำตอบ
ประสงค์นำพระพุทธรูปปางใดเข้าบ้านใหม่ สามารถทำได้ตามที่ใจปรารถนา แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า คือ พระพุทธรูปจัดเป็น อุทเทสิกเจดีย์ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเตือนใจให้ระลึกถึงคุณ ของพระพุทธเจ้า คือ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ และพระปัญญาคุณ ฉะนั้นการสวดมนต์ไหว้พระ จึงควรสวดมนต์บทสรรเสริญคุณ ของพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วต่อด้วยการสวดมนต์อื่นตามใจปรารถนา ย่อมทำได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันขอขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ ที่ช่วยตอบคำถามของดิฉันที่ผ่านมาหลายครั้ง ทำให้ดิฉันเข้าใจมากขึ้น และได้นำคำตอบของอาจารย์ ไปเล่าให้กัลยาณมิตรที่สนใจธรรมะเหมือนดิฉันฟังด้วยค่ะ ดิฉันมีข้อสงสัยอยากขอให้อาจารย์ช่วยชี้แนะเพิ่มเติมด้วยค่ะ

1) ดิฉันไม่ได้นั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอเพราะติดภาระทางโลกหลายอย่าง ต้องทำงาน ดูแลครอบครัว คุณแม่และลูกเล็ก เมื่อไม่นานมานี้ ดิฉันกลับมานั่งสมาธิอีก โดยการตามดูลมหายใจเข้าออก และรับรู้ว่า จิตได้ไปรวมอยู่ที่หน้าผาก ต่อมาก็ลงมาที่ลิ้นปี่ เมื่อตามดูไป ดิฉันเห็นท้องของตัวเองกลวง ก็กำหนดเห็นหนอไป เรื่อยๆ และต่อมาก็เห็นปอดของตัวเองทั้งสองข้างขยับเข้าออก ตามลมหายใจ ดิฉันเริ่มพิจารณาว่า ร่างกายประกอบไปด้วยธาตุลม แล้วก็เรอออกมาให้เห็นลมอย่างชัดเจน ดิฉันได้ออกจากสมาธิหลังจากนั้น เพราะถึงกำหนดระยะเวลาที่ตั้งใจไว้ เนื่องจากดิฉันฝึกนั่งสมาธิเองที่บ้าน โดยอ่านจากหนังสือธรรมะของอาจารย์สนอง และพระสงฆ์อีกหลายรูป จึงไม่รู้จะไปถามใคร อยากรบกวนให้อาจารย์ช่วยแนะนำว่า ควรจะทำอย่างไรต่อไปด้วยค่ะ

2) ดิฉันมีลางสังหรณ์ที่แม่นยำมาก ทั้งเรื่องดีและไม่ดี ในรูปของความฝันบอกเหตุและหลายๆอย่าง จนบางครั้งก็กลัวตัวเอง ตอนเด็กเคยได้ยินเสียงมากระซิบข้างหู บอกเหตุการณ์ล่วงหน้าตลอด แต่ตอนนี้ไม่ได้ยินแล้วนะคะ ปัญหาคือ ดิฉันฝันเห็นแม่บ้านที่จ้างมาไม่นาน มาบอกว่าจะลาออก และเห็นผู้หญิงอีกคนที่ไม่เคยเห็น มาบอกว่า จะขอลาออกเหมือนกัน วันนี้ ดิฉันไปรับแม่บ้านคนใหม่มาแทนคนเก่าก็ตกใจมากเพราะหน้าเหมือนกับคนที่เห็นใน ฝัน ดิฉันพูดไม่ออกและลังเลใจที่จะจ้าง แต่ก็รับมาเพราะเกรงใจนายหน้าและจำเป็นต้องมีผู้ช่วย ถ้าเรารู้ล่วงหน้า จะมีทางที่จะแก้ไขเหตุการณ์ ได้ไหมคะ ที่ผ่านมาไม่เคยแก้ได้เลย เหมือนกับอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ดิฉันเคยอ่านหนังสือ และพบว่า การทำบุญสร้างกุศลบางอย่าง จะช่วยให้เปลี่ยนชะตากรรมได้ รบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยค่ะ

3) อาจารย์เคยบอกไว้ในหนังสือ ดวงดีวิถีพุทธ ว่า เคยถูกเจ้ากรรมนายเวรของคนที่อาจารย์ไปช่วยโกรธ ไม่พอใจ อยากทราบว่า อาจารย์มีวิธีแก้ไขอย่างไรคะ อาจารย์ไม่ได้บอกไว้ในหนังสือ

กราบขอบพระคุณอย่างสูง
ขอให้บุญกุศลนี้ช่วยให้อาจารย์บรรลุถึงนิพานตามที่ตั้งใจไว้ทุกประการ

คำตอบ
(๑) การนั่งสมาธิ (สมถภาวนา) ถือว่าเป็นบุญเกือบสูงสุด ตายแล้วมีโอกาสโคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในพรหมโลกได้ เรื่องที่ผู้ถามปัญหาเขียนบอกเล่าไป ควรเอาสิ่งที่ถูกเห็นมาพิจารณาตามกฎไตรลักษณ์ว่า สิ่งที่ถูกเห็นมีความเป็นของไม่เที่ยง (อนิจจตา) สิ่งที่ถูกเห็นมีภาวะที่คงทนอยู่ไม่ได้ (ทุกขตา) และสิ่งที่ถูกเห็นมิใช้ตัวมิใช่ตนแท้จริง (อนัตตตา) ผู้ใดเห็นได้ถูกตรงตามที่บอกมานี้ ปัญญาเห็นแจ้งในสิ่งที่ถูกเห็นย่อมเกิดขึ้น

(๒) ผู้ใดประสงค์ไม่พบกับสิ่งที่ไม่ปรารถนา แต่ประสงค์พบกับสิ่งที่ปรารถนา ต้องพัฒนาจิตตัวเองให้มีบุญคุ้มรักษาอยู่ทุกขณะตื่น โดยเฉพาะพัฒนาจิตให้มีทาน มีศีล มีการเจริญจิตภาวนา คุ้มรักษาใจได้ตลอดไป ความปรารถนาในสิ่งที่ต้องการย่อมสำเร็จ

(๓) แก้ไขด้วยการยอมรับความจริง ประพฤติตนให้เป็นผู้มีบุญอยู่เสมอ แล้วอุทิศบุญให้กับสรรพสัตว์โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อยๆ ปัญหาการถูกจองเวร จึงจะมีโอกาสหมดไปได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ผมเคยบวชพระครั้งหนึ่งเมื่อราว10 ปีมาแล้ว ถ้ามีโอกาสบวชพระครั้งที่สอง คุณแม่ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว และคุณพ่อที่ยังมีชีวิตอยู่ จะได้อานิสงฆ์ผลบุญจากการบวชของลูกอีกครั้งหรือเปล่าครับ (เพิ่มขึ้นจากเดิม) และระยะเวลาในการบวชจะมีผลอย่างไรหรือไม่ กับผลบุญที่ท่านทั้งสองจะได้รับครับ

2. การบวชผ้าขาวถือศีล8 ราว 3-7 วัน บิดามารดาจะได้อานิสงฆ์ผลบุญ จากการบวชของลูกด้วยหรือไม่ครับ

3. ผมรู้สึกศรัทธาต่อการตอบคำถามของอาจารย์มากครับ และรู้สึกว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ชาติ ต่อผู้ที่พยายามจะเข้าใจกับความเป็นไปของธรรม และการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องแบบพุทธ ผมมีความคิดที่อยากจะนำคำถามคำตอบของอาจารย์ มาบันทึกเสียงใส่ซีดีเพื่อแจกจ่ายต่อบุคคลทั่วไป โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด เพื่อเป็นธรรมทานและเผยแพร่ความรู้ดังกล่าวนี้ออกไปให้มากที่สุด เลยอยากจะขอเรียนขอคำแนะนำจากอาจาย์ว่าจะเหมาะสมหรือไม่ ถ้าเหมาะสมจะเรียนขออนุญาตอาจารย์ด้วยครับ

ขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ

คำตอบ
(๑) ได้ครับ ถ้าผู้ล่วงลับ (คุณแม่) มาอนุโมทนาบุญได้ และผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ (คุณพ่อ) รับทราบถึงการบวชของลูกชาย แล้วเขาอนุโมทนาด้วย เขาก็ได้บุญ ระยะเวลาของการบวชยังไม่สำคัญ เท่ากับคุณธรรมที่ผู้บวชสามารถพัฒนาได้ เป็นสิ่งที่สำคัญ (บุญ) มากยิ่งกว่าระยะเวลาเป็นไหนๆ

(๒) หากผู้บวชอยู่ในเพศนุ่งห่มผ้าขาว แล้วประพฤติบุญให้เกิดขึ้นกับตัวเองได้ แล้วอุทิศบุญให้กับบิดามารดา เขาทั้งสองจะได้รับอานิสงส์แห่งบุญได้ ต้องอยู่ในเงื่อนไข ตามที่ระบุไว้ในข้อ (๑)

(๓) ผู้ใดมีศรัทธาเกิดขึ้นแล้ว ถือว่าผู้นั้นได้หงายภาชนะที่คว่ำ พร้อมที่จะรองรับสิ่งดีงาม (ธรรมวินัย) ของพุทธศาสนา มาเติมเต็มให้กับใจตัวเอง และยิ่งผู้ถามปัญหา มีศีล มีสัจจะ และมีความเพียรสนับสนุนด้วยแล้ว การเติมเต็มธรรมวินัยให้กับใจ ย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย

อนึ่ง ผู้ถามปัญหาปรารถนาเผยแพร่ธรรม ตามวัตถุประสงค์ที่บอกไปอนุญาตให้ทำได้ แต่ควรแจ้งชมรมกัลยาณธรรมด้วย ก็จะเป็นมารยาทที่ดี

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้อ่านหนังสือของท่านอาจารย์ ดิฉันได้มีความคิดที่ดีมากขึ้น แต่ตัวดิฉันยังด้อยด้วยสติปัญญา ยังไม่สามารถแก้ปัญหาชีวิตได้ และยังไม่รู้แนวทางปฏิบัติ จึงได้มากราบเรียนถามท่านอาจารย์

ดิฉันชอบปฏิบัติธรรม และทำบุญอยู่เสมอ ทั้งที่พยายามทำความดีทุกทาง มีสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างดี แต่ชีวิตการงานไม่รุ่งเรือง (ทำธุรกิจขายตรง ) จน สามีคิดว่าทำดีแล้วไม่ได้ดี หันมาดื่มเหล้า ทุกวัน จนดิฉันกลุ้มใจเพราะการเงินก็ไม่ค่อยจะดี ชวนคุณแม่ไปวัดทำบุญ แม่ก็ไม่ไปด้วย บอกว่าทำไปเถอะ ทุกคนคงไม่เชื่อในสิ่งที่เราทำ เพราะชีวิตของดิฉันยังย้ำแย่ เป็นหนี้เป็นสิน ทุกวันนี้ก็พยามทำความดี และเชื่อมั่นในความดี ทั้งที่เห็นบางคนทำงานแบบเอาเปรียบเบียดเบียนคนอื่น แต่เขากับมีเงิน ได้กำไรจากคนอื่นมากมาย ดิฉันทำงานแบบไม่เคยเบียดเบียนใคร ซื่อสัตย์กับลูกค้าเสมอมากว่า 7 ปี หรือมีกรรมอะไร ชาตินี้ที่เกิดมาก็ไม่เคยสร้างกรรมหนักอะไร จะมีก็บางทีตบยุง มีผึ้งมารุมต่อย ก็ฆ่าผึ้ง ตอนทำบุญหรือตอนบวชเนกขัมมะ ก็อุทิศบุญขออโหสิปล่อยๆ รวมถึงเจ้ากรรมนายเวรด้วย จะเรียนถามอาจารย์ว่า

1. ดิฉันจะต้องแก้ไขที่ตัวเองอย่างไร

2. ทำอย่างไรสามีถึงจะเลิกเหล้า และถ้าเลิกไม่ได้ดิฉันจะต้องทำใจอย่างไร

3. ความตั้งใจสูงสุด ดิฉันอยากจะประสบความสำเร็จในงานที่ทำ มีรายได้ปลดหนี้สิน ช่วยทุกคนในครอบครัว ให้มีความเป็นอยู่ที่ดี แล้วดิฉันจะไปถือศีล ปฏิบัติ ไปตามทางที่ใจคิดว่าป็นสิ่งที่เบาสบาย และไม่อยากเกิดแล้ว เห็นแล้วว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ สิ่งที่ดิฉันปารถนานี้ ไม่ทราบว่าจะสำเร็จได้อย่างไร หรือถ้าดิฉันมีกรรมแล้วไม่สำเร็จ แล้วดิฉันจะอยู่กับความทุกข์นี้ได้อย่างไร

คำตอบ
(๑) อยากทำดีแต่มีตัวถ่วง ความดีที่ทำก็เกิดไม่สะดวก หากผู้ถามปัญหาประพฤติตนเป็นผู้บำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญจิตตภาวนาอยู่เสมอ ดวงดีย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และยิ่งประพฤติบริโภคใช้สอยมักน้อยเท่าที่ทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ บริโภคใช้สอยแต่สิ่งที่เป็นสาระ และประพฤติตนเป็นผู้มีจิตสันโดษ ปัญหาต่างๆย่อมหมดไปได้

(๒) พระพุทธะสอนให้แก้ปัญหาที่ตัวเอง มิได้สอนให้ไปแก้ปัญหาที่ผู้อื่น ลองพิสูจน์สัจจธรรมนี้ ด้วยการพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีบุญสุดๆ เมื่อใดเขาศรัทธาในตัวผู้ถามปัญหา ปัญหาจึงมีโอกาสหมดไปได้ ตรงกันข้ามหากเขาไม่ศรัทธา จงยกเขาขึ้นเป็นครูสอนใจตัวเองว่า เมื่อมีการดื่มสุราเกิดขึ้น ต้องมีการหยุดดื่มสุราเป็นธรรมดา เพราะสรรพสิ่งดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ จงตามดูไปเรื่อยๆ หากผู้ดูไม่ทิ้งขันธ์ลาโลกไปเสียก่อน อาจเห็นสัจจธรรมของการดื่มสุราก็ได้นะ

(๓) ผู้ใดพัฒนาตัวเองให้เป็นคนเก่ง (มีความรู้ มีความสามารถ) และพัฒนาตัวเองให้เป็นคนดี (มีคุณธรรม) ได้แล้ว ความสำเร็จของชีวิตย่อมเกิดขึ้น และจะยั่งยืนได้ต้องพัฒนาตัวเองให้มีดวงดี คือประพฤติทาน ศีล ภาวนา จนให้ผลได้เมื่อใดแล้ว ความสำเร็จที่ยั่งยืนย่อมเกิดขึ้น ดังนั้นผู้ใดอยากดี อยากมีความสำเร็จในงาน ไม่อยากเกิดอีก ธรรมวินัยของพุทธศาสนาช่วยได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 21:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ผมเคยฟัง บรรยายของอาจารย์เกี่ยวกับการบูชาเทวดา เจ้าที่ เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการค้าขายและความเจริญในชีวิต จึงอยากเรียนถามว่าหากมีร้านค้าอยู่ 2 ร้าน โดยร้านแรกหมั่นไหว้บูชาเทวดาเจ้าที่ทุกวัน แต่อีกร้านหนึ่งหมั่นไหว้บูชาแต่พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์แต่ไม่ได้ไหว้บูชาเทวดาฟ้าดิน ร้านที่บูชาเทวดาจะค้าขายดีกว่าหรือรุ่งเรืองกว่าจริงหรือไม่ครับ (ในกรณีที่เจ้าของร้านทั้ง 2ร้านเป็นคนที่มีบุญบารมีศีลธรรมพอๆกัน)

2.ผมมีข้อสงสัยว่า ทำไมผู้คนส่วนมากถึงได้ชอบบูชาเทวดา เทพ พรหมหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เพื่อขอบารมีองค์เทพเหล่านั้นให้คุ้มครองและช่วยเหลือสิ่งที่ตนปรารถนา โดยเค้าให้เหตุผลว่า พรหมเทพเทวดาทั้งหลายยังอยู่ในกามภพ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด จึงต้องการสร้างบารมีเพื่อช่วยเหลือผู้คน และสามารถช่วยเราได้มากกว่าการที่เราไปบูชาพระรัตนตรัย หรือพระอริยะที่หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว เพราะท่านเหล่านั้นคงจะไม่ข้องแวะกับสัตว์โลก และไม่สามารถช่วยเหลือเราได้เหมือนเทพเทวดาทั้งหลาย หากเป็นแบบนี้จริงคนเราก็หนีไปบูชาเทพเทวดาทั้งหลายหมดสิครับ

3.การอุทิศส่วนกุศล และการแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย หากกายทิพย์ท่านนั้นหิวข้าวหรือไม่มีเสื้อผ้าใส่ และเราอุทิศส่วนกุศลและแผ่เมตตาไปให้ จะทำให้เค้าหายหิวหรือมีเสื้อผ้าได้หรือไม่ครับ จำเป็นไหมที่ต้องแปลงสภาพบุญจากการภาวนานั้น ให้เป็นสิ่งของทิพย์ที่กายทิพย์เหล่านั้นต้องการ?

รบกวนท่านอาจารย์ช่วยอธิบายและชี้แนะด้วยครับ ผมคิดว่าคำถามนี้คงอยู่ในใจของตนหลายๆคน และมีประโยชน์ต่อทุกท่านครับ

หากมีสิ่งใดที่ผมได้ล่วงเกินต่อท่านอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ขอท่านอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์โปรดให้อภัยและอโหสิกรรมแก่ผมด้วยครับ

คำตอบ
(๑) คำว่า “ บูชา ” หมายถึง แสดงความเคารพ และคำว่า “ ศรัทธา ” หมายถึง ความเชื่อถือในสิ่งที่ควรเชื่อ หรือคือความเชื่อในสิ่งดีงามที่มีเหตุผลรองรับ

ฉะนั้นการบูชาเทวดา เจ้าที่ เป็นการแสดงความเคารพสัตว์ที่อยู่ต่างมิติ ทำให้มีเทวดาเป็นเพื่อน เพื่อนย่อมช่วยเพื่อนให้ได้ตามที่มนุษย์ปรารถนา ทั้งนี้ต้องไม่เกินความสามารถของผู้ให้และผู้รับ อีกร้านหนึ่งที่ไม่ได้บูชาเทวดา ย่อมไม่มีเพื่อนต่างมิติคอยช่วยเหลือในสิ่งที่ต้องการ ด้วยเหตุนี้ร้านที่มีเทวดาสนับสนุนจึงค้าขายดีกว่า

ผู้ใดประพฤติตนมีศีลมีธรรม คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น ผู้นั้นย่อมมีเทวดาคุ้มรักษา หากเจ้าของร้านทั้งสองมีเทวดาคุ้มรักษาเหมือนกัน ผู้บูชาเทวดาย่อมค้าขายดีกว่า

(๒) ผู้มีความพร่องในคุณธรรมและยังมีปัญญาเห็นผิด ย่อมขอบารมีองค์เทพผู้ปุถุชนให้มาคุ้มครอง และช่วยเหลือในสิ่งที่ตนปรารถนา

เทวดาเกิดอยู่ในกามภพ พรหมเกิดอยู่ในรูปภพหรืออรูปภพ ซึ่งยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร จึงยังต้องสร้างบุญให้เกิดขึ้น ด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น

ส่วนการบูชาพระรัตนตรัยหรือบูชาพระอริยะเจ้า เป็นการกระทำของผู้มีความเห็นถูกว่า มนุษย์มีศักยภาพที่จะพัฒนาตัวเองได้ดีกว่าเทวดาหรือพรหม โดยเอาพระอริยะบุคคลมาเป็นตัวอย่างพัฒนาตัวเองให้เข้าถึงโลกุตรธรรม อันเป็นสมบัติสูงสุด ที่มนุษย์สามารถเข้าถึงได้

(๓) คำว่า “ บุญ ” หรือ “ กุศล ” มีความหมายเป็นสิ่งเดียวกัน ผู้ใดมีบุญ ผู้นั้นสามารถอุทิศบุญที่ตนมีให้กับคนอื่นได้ แต่เขาจะได้รับบุญหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยสามอย่าง คือ มีผู้อุทิศบุญ มีบุญที่อุทิศ และมีผู้มารับบุญ หากปัจจัยสามอย่างนี้ถึงพร้อม การอุทิศบุญจึงจะสัมฤทธิ์ผล อนึ่ง สัตว์ที่ยังต้องการบุญที่เกิดจากการให้ทาน บุญที่ใช้บำบัดความหิว บุญที่ทำให้มีเสื้อผ้าสวมใส่ มีเฉพาะปรทัตตูปชีวีเปรตและสัมภเวสีเท่านั้นที่ต้องการ สัตว์กายทิพย์ เช่น เทวดา พรหม จำนวนหนึ่งยังต้องการบุญจากการฟังธรรม และมีจำนวนน้อยต้องการบุญจากการให้อาหารให้ความช่วยเหลือเป็นทาน

ส่วนคำว่า “ เมตตา ” หมายถึงความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข เมตตาเป็นคุณธรรมจะเกิดได้ต้องให้อภัยเป็นทาน อภัยได้ในทุกสิ่งที่เป็นเหตุขัดใจ แค้นเคือง ขึ้งเคียด (ปฏิฆะ) เมื่อทำได้เช่นนี้แล้วเมตตาจึงเกิดขึ้นได้ และสามารถแผ่ให้กับผู้อื่นที่ตนปรารถนาแผ่ให้ได้

พูดถึงการแปลงสภาพบุญไม่สามารถทำได้ บุญที่เกิดจากการภาวนามีผลทำให้เกิดปัญญา ไม่สามารถแปรไปเป็นบุญที่เกิดจากให้ทาน บุญที่เกิดจากการรักษาศีล บุญที่เกิดจากการประพฤติอ่อนน้อม ฯลฯ ได้ เพราะทำเหตุต่างกันผลของบุญที่เกิดจึงต่างกัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 69, 70, 71, 72, 73, 74, 75 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร