วันเวลาปัจจุบัน 10 มิ.ย. 2025, 02:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 15:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


anisa2521 เขียน:
เรียนคุณศรีสมบัติ
หากการบอกธรรมที่ผิดบิดเบียนต่อความเป็นจริง(จะรู้ไม่รู้ก็ตาม) ผมมองว่าต่อให้เจตนาดีหรือจิตใจบริสุทธิ์เพียงใด ก็คงไม่ต่างจากเด็กไร้เดียงสาที่ยื่นซองพิษให้ผู้อื่นฉันนั้น(ผลคือตายเหมือนกัน) หากเรารู้ไม่มากหรือไม่รู้อะไรเลย ควรเป็นผู้ฟังที่ดีจะดีกว่า หรือไม่ก็ทำตัวเป็นนิสิตฯค้นคว้าหาความรู้มาตอบ ผมอยากให้มองความถูกต้องมากกว่าเจตนา หากคุณทำผิดมันก้คือผิด แต่เจตนาเป็นเครื่องบงบอกว่าคุณเล็งผลแบบไหน?
สมมุติว่า..ผมอยากทำประทัด..แต่คุณไม่รู้..ไปถามจำจากปากคนอื่นมาสอน(คนนี้อาจไม่ชอบคุณก็ได้)..แต่พอระเบิดตูมมือขาดขึ้นมา..ผมควรสาธุการใครดี? (1.คุณที่สอนผมมาผิดๆเพราะรู้ไม่จริง 2.คนที่สอนคุณ รู้จริงแต่บอกไม่หมด อาจหวังผลให้คุณเสียหาย 3.ตัวผมเอง ไม่รู้แต่รับรู้สิ่งผิดๆมา)

นานา จิตตังครับ...เพราะ จขกท.ที่ถามเพราะความไม่รู้..หรืออาจรู้แต่ถามลองภูมิไปอย่างนั้น..หรือถ้ารู้คำตอบที่มันบิดเบือนความจริง..ทุกอย่างย่อมแย้งหรือค้านกันได้..ตามเหตุผล..หรือหลักฐานตำราที่นำมาเสนอ...เพราะแม้เป็นผู้ฟัง..หรือผู้อ่าน..เขาย่อมแสดงความคิดเห็นได้...เพราะทุกท่านย่อมมีประสบการณ์..ภูมิปัญญาแบบชาวบ้านๆ..หรือผ่านการปฏิบัติได้มรรคผลมาอาจเป็นถึงพระ..ครูบาอาจารย์..ก็มี..เราเองก็ไม่รู้..ส่วนเรื่องคำตอบจะบิดเบือนหรือผู้ตอบรู้ไม่จริง..จะให้เขาหยุดเป็นผู้ฟังจะดีกว่านั้นคงเป็นเรื่องที่ไม่เปิดใจนัก...คำตอบนั้นผู้ตอบอาจจะตอบแบบบริสุทธิ์ใจ..ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ใจจะผิดจะถูก..ผู้อ่านผู้ฟังต้องใช้วิจารณญานในการตัดสิน..คงไม่มีใครอ่านแล้วเชื่อเลยหรอกครับ..จนกว่าเขาจะไปปฏิบัติและได้เห็นผลตามนั้น...พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ครับ...พิสูจน์ได้โดยการปฏิบัติ..และชาวกัลยาณมิตรในเว็บนี้ทุกท่าน...ย่อมมีวิจารณญานแยกผิดถูกได้...ขออย่างเดียวให้เกียรติเคารพในคำตอบซึ่งกันและกัน..ไม่ดูถูกดูหมิ่น..ว่าเขาว่าใครรอบรู้น้อยด้อยกว่าใคร...เพียงแค่นี้การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น..หรือถาม-ตอบกระทู้ในเว็บนี้ก็จะเป็นประโยชน์และสร้างสรรค์ทั้งทางโลกและทางธรรมครับ
ด้วยความเคารพ
เจริญในธรรม :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ศรีสมบัติ เมื่อ 31 พ.ค. 2010, 15:19, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 19:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่างว่าค่ะธรรมเข้าถึงยากลึกสุดหยั่งความขัดแย้งจึงเกิด มันเป็นสัจธรรมค่ะสำคัญที่เจตนาของผู้บอกและวิจารณญาณของผู้อ่าน การจะเข้าถึงธรรมได้อย่างแท้จริงคือต้องถือศีลและทำสมาธิค่ะ ส่วนปัญญาจะเกิดตอนไหนเป็นหน้าที่ของกรรมที่กำหนดไว้ เมื่อถึงเวลาที่กรรมกำหนดให้ปัญญาเกิดเมื่อนั้นผู้ปฏิบัติก็โสดาบัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 20:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


คนไม่รู้ ไม่ทะเลาะ
คนรู้ ก็ไม่ทะเลาะ
คนทะเลาะ คือคนไม่รู้ ที่คิดว่าตัวเองรู้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 20:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ทุกอย่างมีเหตุ จึงมีผล เมื่อมีผล จึงมีเหตุใหม่เกิดขึ้นเรื่อยๆ
จนกว่าจะดับเหตุได้ คือ กิเลสในใจของเรานั่นเอง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 31 พ.ค. 2010, 20:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 มิ.ย. 2007, 21:13
โพสต์: 2631

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


chulapinan เขียน:
อย่างว่าค่ะธรรมเข้าถึงยากลึกสุดหยั่งความขัดแย้งจึงเกิด มันเป็นสัจธรรมค่ะสำคัญที่เจตนาของผู้บอกและวิจารณญาณของผู้อ่าน การจะเข้าถึงธรรมได้อย่างแท้จริงคือต้องถือศีลและทำสมาธิค่ะ ส่วนปัญญาจะเกิดตอนไหนเป็นหน้าที่ของกรรมที่กำหนดไว้ เมื่อถึงเวลาที่กรรมกำหนดให้ปัญญาเกิดเมื่อนั้นผู้ปฏิบัติก็โสดาบัน



ถ้าเป็นเช่นนั้น

กรรมฐานก็ไม่จำเป็น

.....................................................
นิพพานที่นี่ เดี๋ยวนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 พ.ค. 2010, 21:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 00:22
โพสต์: 1

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue คนรู้ธรรมะแล้วจะไม่ขัดแข้งที่ขัดแข้งกันคือจิตที่ยังไม่ละวางต่างหากละ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 21:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ธ.ค. 2009, 18:41
โพสต์: 46

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความขัดแย้งกัน น่าจะเกิดจาก การเชื่อมั่น เพราะเราเชื่อในสิ่งใด เราก็จะยึดมั่นในสิ่งนั้น หรืออาจกล่าวได้ในภาษาง่ายๆ คือ ขึ้นอยู่กับความคิดและจิต ของแต่ละคนนั้นนะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะธรรมยังไม่เข้าถึงจิตใจของผู้ที่คิดว่ารู้ธรรมอย่างแท้จริง :b8:

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2010, 16:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 พ.ค. 2010, 12:55
โพสต์: 26

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะยังรู้ไม่ถึงที่สุด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2010, 22:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 19:37
โพสต์: 13

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออัญเชิญ คำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล จากหนังสือ หลวงปู่ฝากไว้ มาแสดงค่ะ

จับกับวาง

นักศึกษาธรรมะ หรือนักปฏิบัติธรรมะ มีสองประเภท
ประเภทหนึ่งศึกษาปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
ประเภทสองศึกษาปฏิบัติ เพื่อจะอวดภูมิกัน ถกเถียงกันไปวันหนึ่งๆเท่านั้น ใครจำตำราหรืออ้างครูบาอาจารย์ได้มาก ก็ถือว่าตนเองเป็นคนสำคัญ............
......."ผู้ใดหลงไหลในตำรา ผู้นั้นไม่อาจพ้นทุกข์ได้ แต่ผู้ที่จะพ้นทุกข์ได้ต้องอาศัยตำราและอาจารย์เหมือนกัน"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2010, 13:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 07:11
โพสต์: 93

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


anisa2521 เขียน:
ทำไมคนคนรู้ธรรมะต้องขัดแย้งกันด้วยครับ??

เพราะ
ความเห็นไม่ตรงกัน ทิฏฐิไม่ลงกัน
ใช้ตำราคนละเล่ม เปิดตำราแข่งกัน

เอาสัญญา ความจำได้ มาอวดกันว่า
ใครจำได้เยอะ ใครจำได้แม่นกว่ากัน

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2010, 13:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมะ ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เป็นของกลาง
ทั้งที่มีอยู่ทุกแห่ง แต่เราไม่เห็นไม่เข้าใจเพราะอวิชชา(ความไม่รู้)
ถ้าพระองค์ไม่นำมาเปิดเผย เราก็ไม่ได้รู้จัก
ส่วนคนที่รู้จักธรรม ก็สนทนาไปตามสิ่งที่ตนรู้ ตามความหนาบางของอวิชชา

ธรรม รู้ไม่ได้ด้วยการคิด นึก ด้น เดา อนุมาน เทียบเคียง
ธรรม รู้ได้ด้วยการปฏิบัติเท่านั้น


ธรรมของสัตบุรุษ ( สัปปุริสธรรม 7 )

1. ความรู้จักธรรม รู้หลัก หรือ รู้จักเหตุ ( ธัมมัญญุตา) คือ รู้หลักความจริง รู้หลักการ รู้หลักเกณฑ์ รู้กฎแห่งธรรมดา รู้กฏเกณฑ์แห่งเหตุผล และรู้หลักการที่จะทำให้เกิดผล เช่น ภิกษุรู้ว่าหลักธรรมข้อนั้นๆ คืออะไร มีอะไรบ้าง พระมหากษัตริย์ทรงทราบว่าหลักการปกครองตามราชประเพณีเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง รู้ว่าจะต้องกระทำเหตุอันนี้ๆ หรือกระทำตามหลักการข้อนี้จึงจะให้เกิดผลที่ต้องการหรือบรรลุจุดหมายอันนั้นๆ เป็นต้น

2. ความรู้จักอรรถ รู้ความมุ่งหมาย หรือรู้จักผล (อัตถัญญุตา) คือ รู้ความหมาย รู้ความมุ่งหมาย รู้ประโยชน์ที่ประสงค์ รู้จักผลที่จะเกิดขึ้นสืบเนื่องจากการกระทำ หรือความเป็นไปตามหลัก เช่น รู้ว่าหลักธรรมหรือภาษิตข้อนั้นๆ มีความหมายว่าอย่างไร หลักนั้นๆ มีความมุ่งหมายอย่างไร กำหนดไว้หรือพึงปฏิบัติเพื่อประสงค์ประโยชน์อะไร การที่ตนกระทำอยู่มีความมุ่งหมายอย่างไร เมื่อทำไปแล้วจะบังเกิดผลอะไรบ้าง ดังนี้เป็นต้น

3. ความรู้จักตน (อัตตัญญุตา) คือ รู้ว่า เรานั้น ว่าโดยฐานะ ภาวะ เพศ กำลัง ความรู้ ความสามารถ ความถนัด และคุณธรรม เป็นต้น บัดนี้ เท่าไร อย่างไร แล้วประพฤติให้เหมาะสมและรู้ที่จะแก้ไขปรับปรุงต่อไป

4. ความรู้จักประมาณ ( มัตตัญญุตา) คือ ความพอดี เช่น ภิกษุรู้จักประมาณในการรับและบริโภคปัจจัยสี่ คฤหัสถ์รู้จักประมาณในการใช้จ่ายโภคทรัพย์ พระมหากษัตริย์รู้จักประมาณในการลงทัณฑอาชญาและในการเก็บภาษี เป็นต้น

5. ความรู้จักกาล ( กาลัญญุตา) คือ รู้กาลเวลาอันเหมาะสม และระยะเวลาที่ควรหรือจะต้องใช้ในการประกอบกิจ ทำหน้าที่การงาน หรือ ปฏิบัติการต่างๆ เช่น ให้ตรงเวลา ให้เป็นเวลา ให้ทันเวลาให้พอเวลา ให้เหมาะเวลา เป็นต้น

6. ความรู้จักบริษัท (ปริสัญญุตา) คือ รู้จักชุมชน และรู้จักที่ประชุม รู้กิริยาที่จะประพฤติต่อชุมชนนั้นๆว่า ชุมชนนี้เมื่อเข้าไปหา จะต้องทำกิริยาอย่างนี้ จะต้องพูดอย่างนี้ ชุมชนนี้ควรสงเคราะห์อย่างนี้ เป็นต้น

7. ความรู้จักบุคคล ( ปุคคลัญญุตา หรือ ปุคคลปโรปรัญญุตา) คือ ความแตกต่างแห่งบุคคลว่า โดยอัธยาศัย ความสามารถ และคุณธรรม เป็นต้น ใครๆ ยิ่งหรือหย่อนอย่างไร และรู้จักจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นๆ ด้วยดี ว่าควรจะคบหรือไม่คบ จะใช้ จะตำหนิ ยกย่อง และแนะนำสั่งสอนอย่างไร เป็นต้น

ที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ผู้แต่ง พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พ.ศ. 2546 หน้า 210-219

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


แก้ไขล่าสุดโดย จันทร์ ณ ฟ้า เมื่อ 13 มิ.ย. 2010, 13:46, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2010, 22:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตราบใดที่ยังมีการให้ค่าให้ความหมาย
ตราบนั้น วาทะและการกระทำย่อมไม่จบ

แล้วข้อคิดเห็นก็จะมีมาเรื่อยๆ
เรื่องธรรมดาค่ะ เป็นปกติที่มีอยู่แล้ว

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2010, 04:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 03:10
โพสต์: 34

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกท่านครับ..ผมแค่ต้องการทิ้งกระทู้ให้ขบคิดกันเล่นๆครับ..แค่อยากให้ฉุกคิดนิดนึงจะได้ไม่หลงถือตัวกันมากไป..! เห็นกระทู้แรงบ่อยๆ จะได้เบาลงกันนี๊ดนึงนะครับ


แก้ไขล่าสุดโดย anisa2521 เมื่อ 14 มิ.ย. 2010, 04:52, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2010, 04:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 พ.ค. 2010, 03:10
โพสต์: 34

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


- เช่นนั้นตอบ -

คำถามตั้งเป็นหัวข้อกระทู้ ก็สุภาพดี

แต่อ่านในเนื้อหา ถึงรู้คำตอบ ว่าทำไม

คำตอบคือ
เพราะมี คนอย่างท่าน anisa2521 อยู่ในโลกนี้อีกมากมาย

***************************
ไม่เข้าใจ..อย่าบอกนะว่า..ท่านเช่นนั้น..อยู่บนฟ้าอ่ะคับ..เอ๊า.พวกเรากราบ..! smiley


แก้ไขล่าสุดโดย anisa2521 เมื่อ 14 มิ.ย. 2010, 04:53, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron