วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 02:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 48 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 15:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


จารย์มีคำถามค่ะ รูปภาพ

สอนธรรมะเด็ก กะสอนธรรมะให้ผู้ใหญ่
อย่างไหนง่ายหรือยากกว่ากัน
แล้วเด็กที่ไม่เคยทุกข์มาก่อนจะเข้าใจธรรม จะหลุดพ้นได้มั้ยคะรูปภาพ
เหมือนคนไม่เคยมีรัก จะรู้จัก อกหัก หรือคะ (เอ๊ะ เกี่ยวกันป่าว) :b9: :b32: :b13:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 16:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Bwitch เขียน:
จารย์มีคำถามค่ะ
สอนธรรมะเด็ก กะสอนธรรมะให้ผู้ใหญ่ อย่างไหนง่ายหรือยากกว่ากัน
แล้วเด็กที่ไม่เคยทุกข์มาก่อนจะเข้าใจธรรม จะหลุดพ้นได้มั้ยคะ
เหมือนคนไม่เคยมีรัก จะรู้จัก อกหัก หรือคะ (เอ๊ะ เกี่ยวกันป่าว)




ไม่ใช้กลวิธีอะไรมาก ตอบปัญหาแม่มดก่อน :b1:

สอนธรรมะเด็ก กะสอนธรรมะให้ผู้ใหญ่ อย่างไหนง่ายหรือยากกว่ากัน

สอนธรรมะเด็ก เราก็หยิบเอาธรรมะพื้นๆแนะนำ เช่นความกตัญญู ความอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่

ความซื่อสัตย์ ความขยัน ความเป็นเหตุเป็นผล เช่น ทำอย่างนี้ๆ ผลของมันจะเป็นอย่างนี้ ประมาณนี้แหละ

ให้เขาประพฤติปฏิบัติจนเป็นนิสัย

ส่วนผู้ใหญ่ก็มีพื้นมาจากแต่เด็ก แต่จะให้ฝึกให้ทำตอนโตแล้วท่านว่ายาก เหมือนไม้แก่


แล้วเด็กที่ไม่เคยทุกข์มาก่อนจะเข้าใจธรรม จะหลุดพ้นได้มั้ยคะ

ได้ แต่มีน้อย ในตำนานอายุ 7 ขวบ ก็มี

เพราะเขารู้จักมองสรรพสิ่งรอบๆตัวและตัวของเขาเองว่าเป็นธรรมชาติ หรือเป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติ

แม้ไม่เคยมีรัก หากรู้จักคิด ก็ไม่ต้องผ่านประสบการณ์ตรงก็ได้ เพราะเห็นคนอกหักร้องไห้กันระงม :b32:

คำสอนในอริยสัจ 4 ข้อ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พระพุทธเจ้าเริ่มต้นที่ทุกข์ก่อน เพราะง่ายต่อการ

พิจารณาหัวข้อธรรม ง่ายกว่าแนะนำคนที่กำลังมีความสุข

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 27 พ.ค. 2010, 08:55, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




bluehills.jpg
bluehills.jpg [ 27.85 KiB | เปิดดู 2639 ครั้ง ]
เมื่อพูดถึงเรื่องความจริงของพระอริยะ (อริยสัจจ์) แล้ว แนะนำลิงค์ อริยสัจจ์ ให้อ่านกัน

viewtopic.php?f=2&t=22926&st=0&sk=t&sd=a&start=15

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 17:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพรูปภาพรูปภาพ แอบร้อง ไม่ให้ใครเห็น อิอิ.. รูปภาพ รูปภาพรูปภาพ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 17:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




176895x048b3o4jk.gif
176895x048b3o4jk.gif [ 204.77 KiB | เปิดดู 2613 ครั้ง ]
ข่างเขาเถอะนะหัวใจ- :b32:

http://www.pleng.com/song.php?song_id=002565

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 18:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

อิ อิ เรื่องความรัก ไบกอนได้แต่ฟัง...หง่ะ...

:b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 18:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ช่วยคิดต่ออีกหน่อยนะครับ

ในความเข้าใจแม่มด กับ ไบก่อน มนุษย์ หรือคน ทั้งองคาพยบเป็นธรรมชาติไหม :b1:


ก็จิ่...จานป้อ...




ไบกอน

เมื่อสภาวะชีวิตเป็นธรรมชาติดังว่า มันจึงเป็นตามวิถีของมัน ไม่เป็นตามต้องการของเรา (เราในอุปาทานว่า

เป็น เรา...) หรือ ของใครทั้งนั้น

สรุปสั้นๆ การดำเนินชีวิตของมนุษย์บนโลก มนุษย์เข้าใจชีวิตด้านเดียว ไม่เข้าใจธรรมชาติ

เมื่อธรรมชาติเปลี่ยน ใครยึดมากก็ทุกข์มากทุกข์หนัก จิตใจวุ่นวนกับโทมนนัสตามปริมาณที่ยึดถือไว้

แต่ตัวสภาวะหรือธรรมชาติไม่วุ่น เพราะมันเป็นไปอย่างนั้นเองตามปกติธรรมดา ไม่เกี่ยวกับใครจะไปยึดหรือไม่

มนุษย์เป็นผู้วุ่นไปฝ่ายเดียว และเพราะมันไม่วุ่นด้วย มนุษย์จึงยิ่งวุ่นวายใหญ่ เพราะขัดความปรารถนา

ถูกบีบคั้นจึงเกิดเป็นปัญหาแก่ตัวมนุษย์เอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 18:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทบทวนข้อคิดนี้อีกครั้ง อ่านเทียบเคียงถือเอาแต่สาระ


เมื่อพูดในแง่สมมติ ก็ให้รู้ว่ากำลังพูดแง่สมมุติ

เมื่อพูดในแง่สภาวะหรือปรมัตถ์ ก็ให้รู้ว่ากำลังพูดในแง่สภาวะ เมื่อรู้เท่าทันความเป็นจริง และความหมาย

ในการพูดแบบนั้นๆ ไม่เข้าไปยึดติดถือมั่น ไม่เอามาปะปนกัน ก็เป็นอันใช้ได้


ข้อสำคัญก็คือจะต้องรู้เท่าทัน แยกสมมุติกับตัวสภาวะออกจากกันได้ ของอันเดียวกันนั่นแหละ

เมื่อใดจะพูดถึงสภาวะ ก็พูดไปตามสภาวะ

เมื่อใดจะใช้สมมุติ ก็พูดไปตามสมมุติ อย่าไขว้เขว อย่าสับสนปะปนกัน และต้องมีความเข้าใจสภาวะ

เป็นความรู้เท่าทันรับรองยืนเป็นพื้นอยู่


ทั้งตัวสภาวะและสมมุติ เป็นสิ่งจำเป็น ตัวสภาวะ เป็นเรื่องของธรรมชาติ

ส่วนสมมุติเป็นเรื่องของประโยชน์สำหรับความเป็นอยู่ของมนุษย์

แต่ปัญหาเกิดขึ้น เพราะมนุษย์เอาสภาวะกับสมมุติมาสับสนกัน คือ เข้าไปยึดเอาตัวสภาวะจะให้เป็นตาม

สมมุติ จึงเกิดวุ่นวายขึ้น

ตัวสภาวะไม่วุ่น เพราะมันเป็นไปอย่างนั้นเองตามปกติธรรมดา ไม่เกี่ยวกับใครจะไปยึดหรือไม่

มนุษย์เป็นผู้วุ่นไปฝ่ายเดียว และเพราะมันไม่วุ่นด้วย มนุษย์จึงยิ่งวุ่นวายใหญ่ เพราะขัดความปรารถนา

ถูกบีบคั้นจึงเกิดเป็นปัญหาแก่ตัวมนุษย์เอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 26 พ.ค. 2010, 18:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 18:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เสพบทความนี้อีกด้วย


ปัญญาที่รู้เท่าทันสังขาร รู้สามัญลักษณะ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)

รู้เท่าทันสมมุติบัญญัติ ไม่ถูกหลอกให้หลงไปตามรูปลักษณ์ภายนอกของสิ่งทั้งหลาย และยอมรับความจริง

ทุกด้าน มิใช่ติดอยู่เพียงแง่ใดแง่หนึ่ง ความรู้เห็นตามที่มันเป็น หรือรู้เห็นตามความเป็นจริง


เมื่อเกิดปัญญารู้เห็นสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็น เห็นอาการที่มันเกิดจากเหตุปัจจัยอาศัยกันและกันจึงมีขึ้น

ก็เข้าใจโลกและชีวิตตามเป็นจริง เรียกว่าเกิดโลกทัศน์และชีวทัศน์ที่ถูกต้อง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 19:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




IMG_9370.jpg
IMG_9370.jpg [ 67.38 KiB | เปิดดู 2572 ครั้ง ]
แบบอย่างของท่านผู้เห็นธรรมชาติแล้วว่าท่านดำรงชีวิตอยู่อย่างไร


“ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมไม่กล่าวเข้าข้างกับใคร ไม่กล่าวทุ่มเถียงกับใคร อันใดเขาพูดกันอยู่

ในโลก ก็กล่าวไปตามนั้น ไม่ยึดติด”


“ภิกษุผู้เป็นอรหันตขีณาสพ ...จะพึงกล่าวว่า ฉันพูดดังนี้ก็ดี เขาพูดกับฉันดังนี้ก็ดี เธอเป็นผู้ฉลาด

รู้ถ้อยคำที่เขาพูดกันในโลก ก็พึงกล่าวไปตามโวหารเท่านั้น”


“ภิกษุทั้งหลาย เราไม่ขัดแย้งกับโลกดอก โลกต่างหากย่อมขัดแย้งกับเรา ธรรมวาที ย่อมไม่ขัดแย้ง

กับใครในโลก สิ่งใดบัณฑิตในโลกสมมุติกันว่าไม่มี เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่าไม่มี

สิ่งใดบัณฑิตในโลกสมมุติกันว่ามี เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่ามี”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 19:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เนื่องจากได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมกรรมฐานเพราะถูกบังคับอยู่ประมาณหนึ่งสัปดาห์ พบว่าเมื่ออกจากวัดแล้วจิตใจนิ่ง สงบ และปล่อยวางอะไรได้มากขึ้น
เมื่อเวลาผ่านไป ก็มีปัญหากับคนรัก เนื่องจากเขาไม่เอาใจใส่ และเราเองก็รู้สึกน้อยใจเสียใจว่า
เขาไม่รัก ความเป็นคนใจเย็นของเรานั้นหายไปทันที ทั้งๆที่ตอนที่ถูกเพื่อนร่วมงานตำหนินั้นเราเกิดความโกรธแต่ก็ละความโกรธลงง่ายๆ แต่กับคนรักนนั้นมันวางไม่ได้เลยค่ะ
พอหลับตาจะทำสมาธิก็ทำไม่ไป ร้องไห้เหมือนเดิม เลยลุกขึ้นมาสวดมนต์ ตักบาตร ในขณะที่ทำนั้น
ใจสงบเล็กน้อย
เมื่อทำบุญเสร็จกลับเข้าบ้าน ก็พบว่าเขาได้ส่งข้อความมาหาบอกให้เลิกกัน เพียงเท่านั้นก็รู้สึกว่าใจจะสลาย เลยปิดประตู อ่านหนังสือธรรมะ และนั่งสมาธิอยู่ วันนี้เป็นวันที่สามแล้ว
พ่อแม่เป็นห่วงมาก แต่ดิฉันก้ไม่อยากออกไปข้างนอก เพราะรู้แน่ว่าต้องร้องไห้ฟูมฟาย

การทำสมาธินั้น ทำแบบดูท้องพองยุบเหมือนกับตอนได้ฝึกมา เมื่อทำอยู่ใจจะสงบ มองเห็นความรักเป็นอนิจจัง แต่เมื่อละจากสมาธิ มันกลายเป็นว่าเราไปข่มไว้ เลยร้องไห้และเครียดหนักเช่นเดิม

ตอนนี้อยากตัดสินใจลาออกจากงานแล้วไปปฏิบัติธรรมในวัดถาวร แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการหนีปัญหา
เลยอยากขอคำปรึกษา ว่าควรทำอย่างไรให้สมาธิอยู่กับเรานานๆ และปล่อยวางความรักความหลงนันออกไปได้จริงๆ
ทีนี้ หากฝ่ายชายกลับมาขอคืนดี เราจะหายหรือไม่ คิดว่าคงหายแต่ก็ได้เพียงพักเดียว เพราะเดี๋ยวก็จะมีเรื่องให้โกรธเคืองกันใหม่ เพราะเขาไม่ได้รักแค่เราคนเดียว
จึงอยากยุติความสัมพันธ์กับเขา พร้อมกับมีจิตใจเข้มแข็ง เป็นสมาธิค่ะ


เมื่อพอมองเห็นความจริงโดยธรรมชาติและโดยสมมุติบ้างแล้ว ก็นำตัวอย่างของผู้ทุกข์เพราะยึดติดถือมั่น

ธรรมชาติมาเทียบให้พิจารณาอีกครั้ง

เมื่อเข้าใจปัญหานี้แล้ว ก็จะเข้าใจกระทู้ทุกกระทู้ถามที่ตั้งขึ้นทุกห้องในลานธรรมจักรแห่งนี้ทั้งหมด :b1: :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 19:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เมื่อพอมองเห็นความจริงโดยธรรมชาติและโดยสมมุติบ้างแล้ว ก็นำตัวอย่างของผู้ทุกข์เพราะยึดติดถือมั่น

ธรรมชาติมาเทียบให้พิจารณาอีกครั้ง

เมื่อเข้าใจปัญหานี้แล้ว ก็จะเข้าใจกระทู้ทุกกระทู้ถามที่ตั้งขึ้นทุกห้องในลานธรรมจักรแห่งนี้ทั้งหมด :b1: :b12:


:b1: :b16: :b1: :b16:

อิ อิ ฆ่าความไม่น่าอยู่... อิ อิ

:b4: ขอบคุณค่ะ :b4:

อิ อิ คุยกับเด็กอนุบาล จานป้อก็ต้องสวมวิญญาณครูอนุบาล

ใช้ภาษา และเทคนิคที่เด็กอนุบาลจะคิดตามได้... :b9: :b9:

อิ อิ เมื่อคุยกับเด็กมหาลัย จานป้อก็ต้องใช้คำพูดอย่างเด็กมหาลัย...ใช่ม๊า

:b16: :b16: :b16:

เด็กหญิงไบกกอน รับทราบแล้วค่ะ... อิ อิ .. :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 20:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เนื่องจากได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมกรรมฐานเพราะถูกบังคับอยู่ประมาณหนึ่งสัปดาห์ พบว่าเมื่ออกจากวัดแล้วจิตใจนิ่ง สงบ และปล่อยวางอะไรได้มากขึ้น
เมื่อเวลาผ่านไป ก็มีปัญหากับคนรัก เนื่องจากเขาไม่เอาใจใส่ และเราเองก็รู้สึกน้อยใจเสียใจว่า
เขาไม่รัก ความเป็นคนใจเย็นของเรานั้นหายไปทันที ทั้งๆที่ตอนที่ถูกเพื่อนร่วมงานตำหนินั้นเราเกิดความโกรธแต่ก็ละความโกรธลงง่ายๆ แต่กับคนรักนนั้นมันวางไม่ได้เลยค่ะ
พอหลับตาจะทำสมาธิก็ทำไม่ไป ร้องไห้เหมือนเดิม เลยลุกขึ้นมาสวดมนต์ ตักบาตร ในขณะที่ทำนั้น
ใจสงบเล็กน้อย
เมื่อทำบุญเสร็จกลับเข้าบ้าน ก็พบว่าเขาได้ส่งข้อความมาหาบอกให้เลิกกัน เพียงเท่านั้นก็รู้สึกว่าใจจะสลาย เลยปิดประตู อ่านหนังสือธรรมะ และนั่งสมาธิอยู่ วันนี้เป็นวันที่สามแล้ว
พ่อแม่เป็นห่วงมาก แต่ดิฉันก้ไม่อยากออกไปข้างนอก เพราะรู้แน่ว่าต้องร้องไห้ฟูมฟาย

การทำสมาธินั้น ทำแบบดูท้องพองยุบเหมือนกับตอนได้ฝึกมา เมื่อทำอยู่ใจจะสงบ มองเห็นความรักเป็นอนิจจัง แต่เมื่อละจากสมาธิ มันกลายเป็นว่าเราไปข่มไว้ เลยร้องไห้และเครียดหนักเช่นเดิม

ตอนนี้อยากตัดสินใจลาออกจากงานแล้วไปปฏิบัติธรรมในวัดถาวร แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการหนีปัญหา
เลยอยากขอคำปรึกษา ว่าควรทำอย่างไรให้สมาธิอยู่กับเรานานๆ และปล่อยวางความรักความหลงนันออกไปได้จริงๆ
ทีนี้ หากฝ่ายชายกลับมาขอคืนดี เราจะหายหรือไม่ คิดว่าคงหายแต่ก็ได้เพียงพักเดียว เพราะเดี๋ยวก็จะมีเรื่องให้โกรธเคืองกันใหม่ เพราะเขาไม่ได้รักแค่เราคนเดียว
จึงอยากยุติความสัมพันธ์กับเขา พร้อมกับมีจิตใจเข้มแข็ง เป็นสมาธิค่ะ


เมื่อพอมองเห็นความจริงโดยธรรมชาติและโดยสมมุติบ้างแล้ว ก็นำตัวอย่างของผู้ทุกข์เพราะยึดติดถือมั่น

ธรรมชาติมาเทียบให้พิจารณาอีกครั้ง

เมื่อเข้าใจปัญหานี้แล้ว ก็จะเข้าใจกระทู้ทุกกระทู้ถามที่ตั้งขึ้นทุกห้องในลานธรรมจักรแห่งนี้ทั้งหมด :b1: :b12:


รูปภาพ อ้าว เอวังสะงั้น กะลังเพลินรูปภาพ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 21:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อ้าว เอวังสะงั้น กะลังเพลิน


ยังได้อีกยึดยาว ปัญหาที่เขาถามเนี่ย =>

เนื่องจากได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมกรรมฐานเพราะถูกบังคับอยู่ประมาณหนึ่งสัปดาห์ พบว่าเมื่ออกจากวัดแล้ว
จิตใจนิ่ง สงบ และปล่อยวางอะไรได้มากขึ้น
เมื่อเวลาผ่านไป ก็มีปัญหากับคนรัก เนื่องจากเขาไม่เอาใจใส่ และเราเองก็รู้สึกน้อยใจเสียใจว่า เขาไม่รัก ความเป็นคนใจเย็นของเรานั้นหายไปทันที ทั้งๆที่ตอนที่ถูกเพื่อนร่วมงานตำหนินั้นเราเกิดความโกรธแต่ก็ละความโกรธลงง่ายๆ แต่กับคนรักนนั้นมันวางไม่ได้เลยค่ะ

พอหลับตาจะทำสมาธิก็ทำไม่ไป ร้องไห้เหมือนเดิม เลยลุกขึ้นมาสวดมนต์ ตักบาตร ในขณะที่ทำนั้น
ใจสงบเล็กน้อย
เมื่อทำบุญเสร็จกลับเข้าบ้าน ก็พบว่าเขาได้ส่งข้อความมาหาบอกให้เลิกกัน เพียงเท่านั้นก็รู้สึกว่าใจจะสลาย เลยปิดประตู อ่านหนังสือธรรมะ และนั่งสมาธิอยู่ วันนี้เป็นวันที่สามแล้ว
พ่อแม่เป็นห่วงมาก แต่ดิฉันก้ไม่อยากออกไปข้างนอก เพราะรู้แน่ว่าต้องร้องไห้ฟูมฟาย

การทำสมาธินั้น ทำแบบดูท้องพองยุบเหมือนกับตอนได้ฝึกมา เมื่อทำอยู่ใจจะสงบ มองเห็นความรักเป็นอนิจจัง แต่เมื่อละจากสมาธิ มันกลายเป็นว่าเราไปข่มไว้ เลยร้องไห้และเครียดหนักเช่นเดิม

ตอนนี้อยากตัดสินใจลาออกจากงานแล้วไปปฏิบัติธรรมในวัดถาวร แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการหนีปัญหา
เลยอยากขอคำปรึกษา ว่าควรทำอย่างไรให้สมาธิอยู่กับเรานานๆ และปล่อยวางความรักความหลงนั้น
ออกไปได้จริงๆ

ทีนี้ หากฝ่ายชายกลับมาขอคืนดี เราจะหายหรือไม่ คิดว่าคงหายแต่ก็ได้เพียงพักเดียว เพราะเดี๋ยวก็จะมีเรื่องให้โกรธเคืองกันใหม่ เพราะเขาไม่ได้รักแค่เราคนเดียว
จึงอยากยุติความสัมพันธ์กับเขา พร้อมกับมีจิตใจเข้มแข็ง เป็นสมาธิค่ะ


อยากรู้ประเด็นไหนอนุญาตให้ถามได้ครับ แต่รวมๆแล้วทุกข์เกิดเพราะมนุษย์เข้าใจชีวิตไม่ตรงตามความ

เป็นจริง หรือ ตามที่มันเป็นของมัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ค. 2010, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระนอนปูนปั้นขนาดเล็กที่ผนังด้านในสุด เป็นแบบปางทรงพระสุบินซึ่งนอนตะแคงซ้าย ผิดจากปกติที่นอนตะแคงขวา

จานป้อ... สงสัยค่ะ
ทำไมตะแคงซ้ายคะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 48 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 0 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร