วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 18:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 68 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2010, 03:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


พงพัน เขียน:
แนะนำให้เริ่มจากการพิจารณารูปหรือร่างกายเรานี้ครับ
ในความเป็นธาตุ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟเพราะนามธรรมทุกอย่างในขันธ์ คือ
เวทนา(ความรู้สึก) สัญญา(ความจำ) สังขาร(ความคิด) วิญญาณ(ตัวรู้)
ก็เกิดขึ้นได้เพราะมีรูปนี้เป็นที่ตั้งถ้าทำลายความยึดมั่นในกายนี้เสียได้
ยอมรับในความไม่ใช่เราในกายนี้เสียได้เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณที่เกิดจากรูปอันเป็นที่ตั้งนี้ก็จะไม่มีความหมายเช่นกันครับ


วันนี้ไม่ได้เดิน นั่งอย่างเดียว ไม่สะดวกเรื่องเวลา
ขณะนั่ง ก็พิจารณากายที่นั่งอยู่ แล้วความรุ้สึกก็ไปอยู่ทรวงอกกระเพื่อม
ขยายออก หดเข้า แทนที่จะอยู่ที่ท้องพองยุบ สักพักก็รู้สึกเหมือนจะมี
แต่ทรวงอกที่กระเพื่อม ตรงกลางกลวง ตัวตนทั้งหมดหายไป ได้แต่รับรู้
แล้วก็เกิดเวทนาคือปวดหัว ปวดท้อง ปวดตา มีอาการแบบนิดๆ ไม่มาก
แต่ก็รู้สึก แล้วก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พอไปรู้ที่หัว ก็หนีไปที่ท้อง พอรู้ที่ท้อง
ก็หนีไปที่ตา ปวดมากขึ้น และหนีเร็วขึ้น ก็ตามความรู้สึกนั้นไปเรื่อยๆ
และก็คิดว่า เกิดเอง ก็ดับเอง เปลี่ยนแปลงเอง ไม่มีอะไรคงทน เมื่อกี้
ปวดหัวอยุ่ ไม่ถึงเสี้ยววินาที เปลี่ยนมาเป็นท้อง แล้วก็ไปที่ตา เมื่อกี้ปวด
แต่น้อย เดี๋ยวนี้มากขึ้น ถ้าไม่มีหัว ไม่มีตา ไม่มีท้อง มันจะปวดไหม?
คิดแต่ไม่ได้คำตอบ.....แล้วก็มีความรู้สึกว่ามือติดเป็นแผ่นเดียวกัน
ทั้งๆที่ความรู้สึกทั้งหลายเหล่านั้นยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ ทรวงอกที่
กระเพื่อมขยายออก และหดเข้าก็ยังคงอยู่ และรู้สึกได้...วันนี้ไม่ได้คิด
เรื่องอื่นเลย นอกจากสิ่งที่เล่ามานี้....อารมณ์เยือกเย็นดี...ไม่ร้อน
ไม่ยุ่ง ไม่พัวพันกันเหมือนที่ผ่านๆมา...ราบๆ เรียบๆ เรื่อยๆ จนออกจาก
บัลลังค์.....จะพยายามทำตามคำแนะนำต่อไปนะค่ะ....อนุโมทนาค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 เม.ย. 2010, 23:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


taktay เขียน:
วันนี้ไม่ได้เดิน นั่งอย่างเดียว ไม่สะดวกเรื่องเวลา
ขณะนั่ง ก็พิจารณากายที่นั่งอยู่ แล้วความรุ้สึกก็ไปอยู่ทรวงอกกระเพื่อม
ขยายออก หดเข้า แทนที่จะอยู่ที่ท้องพองยุบ สักพักก็รู้สึกเหมือนจะมี
แต่ทรวงอกที่กระเพื่อม ตรงกลางกลวง ตัวตนทั้งหมดหายไป ได้แต่รับรู้
แล้วก็เกิดเวทนาคือปวดหัว ปวดท้อง ปวดตา มีอาการแบบนิดๆ ไม่มาก
แต่ก็รู้สึก แล้วก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พอไปรู้ที่หัว ก็หนีไปที่ท้อง พอรู้ที่ท้อง
ก็หนีไปที่ตา ปวดมากขึ้น และหนีเร็วขึ้น ก็ตามความรู้สึกนั้นไปเรื่อยๆ
และก็คิดว่า เกิดเอง ก็ดับเอง เปลี่ยนแปลงเอง ไม่มีอะไรคงทน เมื่อกี้
ปวดหัวอยุ่ ไม่ถึงเสี้ยววินาที เปลี่ยนมาเป็นท้อง แล้วก็ไปที่ตา เมื่อกี้ปวด
แต่น้อย เดี๋ยวนี้มากขึ้น ถ้าไม่มีหัว ไม่มีตา ไม่มีท้อง มันจะปวดไหม?
คิดแต่ไม่ได้คำตอบ.....แล้วก็มีความรู้สึกว่ามือติดเป็นแผ่นเดียวกัน
ทั้งๆที่ความรู้สึกทั้งหลายเหล่านั้นยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ ทรวงอกที่
กระเพื่อมขยายออก และหดเข้าก็ยังคงอยู่ และรู้สึกได้...วันนี้ไม่ได้คิด
เรื่องอื่นเลย นอกจากสิ่งที่เล่ามานี้....อารมณ์เยือกเย็นดี...ไม่ร้อน
ไม่ยุ่ง ไม่พัวพันกันเหมือนที่ผ่านๆมา...ราบๆ เรียบๆ เรื่อยๆ จนออกจาก
บัลลังค์.....จะพยายามทำตามคำแนะนำต่อไปนะค่ะ....อนุโมทนาค่ะ :b8:


อนุโมทนาสาธุครับ
ความรู้สึก(เวทนาขันธ์)ต่างๆที่เกิดขึ้นที่กาย(รูปขันธ์)
โดยมีตัวรู้(วิญญาณขันธ์)เข้าไปรู้เวทนาต่างๆเหล่านั้น
ตัวคิด(สังขารขันธ์)ที่คิดว่าถ้าไม่มีโน่นนี่มันจะปวดมั้ยมันก็อาศัยความจำ(สัญญาขันธ์)จึงสามารถคิดอะไรต่างๆได้
ไม่ว่าจะมีอาการใดหรือสภาวะใดในขันธ์๕นี้เกิดขึ้นมา
หัวใจสำคัญคือ
พิจารณาในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ของสภาวะนั้นๆเมื่อเกิดขึ้น
ให้เห็นถึงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของสภาวะนั้นๆ ไม่มีอะไรคงที่อยู่ได้ แปรปรวนอยู่ตลอดเวลา
เพื่อให้เห็นว่าความจริงแล้วมันไม่มีเราเลย
เพื่อให้เห็นความไม่น่ายึดมั่นถือมั่น เพื่อให้เห็นความเป็นโทษที่ไปยึดมั่นถือมั่น
เมื่อพิจารณาอยู่เรื่อยๆจะละความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์๕นี้ได้ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 00:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


วันนี้พยายามพิจารณาตามคำแนะนำ
ขณะที่เดิน....พยายามไม่หาอดีต ไม่ไปอนาคต อยู่ที่เท้าให้มากที่สุด
แต่ก็ยังแว่บออกไปๆมาๆ....เดินได้สี่สิบกว่านาที....แล้วนั่งลง
พอนั่งปุ๊ปก็จับท้องพองยุบได้ปั๊ป...สักระยะหนึ่ง...มีความรู้สึก
เหมือนมีคนสองคนนั่งซ้อนกันอยู่ พอรับรู้ปุ๊ปก็กลับมารู้สึกกาย
ที่นั่งอยู่ทันที...วันนี้ปล่อยไปตามเรื่อง จะคิดก็ปล่อยให้คิด
ไม่ฝืน...พอคลายตัวแบบนี้...กลับไม่คิด ท้องพองยุบชัดขึ้น
ความคิดไม่มีเลย....อาการเจ็บ ปวด เมื่อยทางกายไม่มี
หรือมีก็เพียงนิดเดียวแทบไม่รู้สึก และไม่สนใจ...พิจารณาว่า
ความจำ ความรู้สึก การปรุงแต่ง มันมาด้วยกันเป็นพรวนเลย
ถ้าไม่ดูดีๆ ก็จะนึกว่าเป็นตัวเดียวกัน แต่ถ้าพิจารณาให้ดี
มันแยกออกจากกัน....เหล่านี้เป็นนาม......ไม่มีตัวตน
แต่กลับเปลี่ยนแปลงได้...เร็วด้วย.... :b1:

ขณะที่ไม่เข้าบัลลังค์ ในตอนกลางวัน ก็จะพิจารณาสิ่งเหล่านี้
เริ่มจาก....หิว...ก็หาของกิน...พอกินแล้วก็อิ่ม...อิ่มแล้วก็ง่วง
อยากทำโน่น...อยากได้นี่...เดี๋ยวก็ไม่อยากได้ ไม่อยากทำ
ร้อน...หนาว....เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา...แม้ขณะที่
นั่งอยุ่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย....มีแต่ความคิดอย่างเดียว...ก็ยัง
เปลี่ยน.....คิดไปเรื่อยๆ....พิจารณาไปตามนี้...แต่ก็ยังไม่แจ้ง
อยู่ดี.....จะพยายามต่อไปเรื่อยๆ..... :b41:

ตรงไหนที่เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง แนะนำได้นะค่ะ เรื่องของ
ปริยัติ อภิธรรม ไม่เคยได้เรียนมา นอกจากการหาอ่านตาม
หนังสือทั่วไป ซึ่งก็เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง จึงยังไม่ค่อยแจ้ง
อาจเข้าใจผิดเพี้ยนไปบ้าง ยินดีรับคำแนะนำทุกกรณีค่ะ :b48:

อนุโมทนาที่กรุณาค่ะท่านพงพัน :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 00:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งนี้มาพิจารณาตัวตัณหากันครับ
เป็นตัวสมุทัยที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นตัวเพิ่มทุกข์

สภาวะต่างๆมันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น
ทุกข์ยังไงก็คือทุกข์ แก้ไขไม่ได้
สุขก็คือสุข แก้ไขไม่ได้
ความเป็นจริงของมัน เป็นยังไงก็ต้องเป็นอยู่
นี่คืออริยสัจ คือความจริง
เห็นตัวตัณหามั้ย เห็นตัวอยากมั้ย
อยากแล้วเกิดทุกข์ จะอยากทำไม
อยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นอย่างนี้ ก็ทุกข์
หยุดอยากตัวเดียวก็สบายแล้ว
การเพียรพยายามเพื่อจะอยากรู้ อยากละ อยากเข้าใจ นี่คือสมุทัยทั้งหมด
คือการวิ่งหนีความจริง
ความจริงมันก็เป็นของมันตามสภาวะ
ความเป็นจริงที่เป็นอยู่นั้นมันก็ไม่เที่ยงด้วย นี่เป็นอริยสัจ
จะให้ของไม่เที่ยงมันเที่ยงได้อย่างไร
จะให้ของไม่ใช่ตัวตนเป็นตัวตนได้อย่างไร
ของที่มันเป็นทุกข์จะให้เป็นสุขได้อย่างไร
เราปฏิบัติเพื่อให้เห็นความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ใช่มั้ย
แล้วเห็นหรือยังว่าทุกสิ่งมันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นหรือยัง
ทุกขังก็ต้องเป็นทุกขัง จะเป็นสุขขังได้อย่างไร
เราไปอยากได้สุขขังกันใช่มั้ย มันถึงทุกข์เพิ่ม

ความเป็นทุกขัง มันก็เป็นอนิจจังด้วย เป็นอนัตตาด้วย
ในเมื่อทุกขังมันเป็นอนิจจังไม่เที่ยง
จะไปเอาอะไรกับมันในความเป็นทุกขัง
แล้วสุดท้ายมันก็เป็นอนัตตาด้วย
ทุกข์ มันก็เหมือนเงาตามตัว
วิ่งหนีเท่าไรก็หนีไม่พ้น
ทุกคนเกิดมาต้องทุกข์
ผู้ที่จะไม่ทุกข์ไปกับทุกข์ได้คือผู้ที่ไม่เอาทุกข์มาเป็นของเรา
ยอมรับความจริง ในความเป็นทุกข์
ตัวทะยานอยากหรือตัวสมุทัยเป็นตัวเพิ่มทุกข์ให้กับขันธ์
เราไม่เพิ่ม ทุกข์ก็มีของมันอยู่เท่านั้น
ตัวอยากตัวสมุทัยทำให้ทุกข์เพิ่มมหาศาล
เวลาพิจารณาทุกข์เห็นตัวอยากกันหรือไม่
ทุกข์เกิดก็ไปไม่พอใจ ไม่อยากให้มันเกิด อยากให้มันดับ
นี่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
การพิจารณา จึงไม่ได้พยายามไปแก้ไขมัน
แต่ให้ปล่อยวาง ไม่ไปยึดมั่นสภาวะที่เกิดว่าเป็นเรา
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อะไรจะเป็นก็ต้องเป็น
แต่เรารู้ว่าสภาวะที่มันเป็น สภาวะที่มันเกิด อะไรก็ตาม
เป็นอนิจจังทั้งหมด
เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ที่เราไม่สามารถแก้ไขได้เลยแม้แต่นิดเดียว
แม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้ ไปดับอาการของเขาไม่ได้
เพียงแต่อยู่กับเขาไปโดยที่ไม่แบกไม่หาม
เท่านั้นก็จะสบาย
ที่แบกที่หามอยู่นี้มันเหนื่อยมั้ย
ที่คอยไปแก้ไขกันอยู่นี้ อยากให้มันไม่ทุกข์กันอยู่นี้ มันเหนื่อยมั้ย
เหนื่อยแล้วไปแก้มันทำไม
หยุดแก้ก็หยุดเหนื่อย ต้องเห็นตัวที่เข้าไปแก้ เข้าไปยุ่งกับทุกข์
อยากวาง อยากว่าง อยากละ อยากสงบ
นี่เป็นสมุทัยทั้งหมด
เราต้องหยุดตัวเดียวคือหยุดอยากก็หยุดเหนื่อย
"หยุดอยากไม่ใช่อยากหยุด"


แก้ไขล่าสุดโดย พงพัน เมื่อ 26 เม.ย. 2010, 00:50, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 01:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


เข้าใจมาอีกนิดหนึ่งแล้ว
จะพิจารณาบ่อยๆ...ต่อไปนะค่ะ

อนุโมทนา สาธุค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 01:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


taktay เขียน:
วันนี้พยายามพิจารณาตามคำแนะนำ
ขณะที่เดิน....พยายามไม่หาอดีต ไม่ไปอนาคต อยู่ที่เท้าให้มากที่สุด
แต่ก็ยังแว่บออกไปๆมาๆ....เดินได้สี่สิบกว่านาที....แล้วนั่งลง
พอนั่งปุ๊ปก็จับท้องพองยุบได้ปั๊ป...สักระยะหนึ่ง...มีความรู้สึก
เหมือนมีคนสองคนนั่งซ้อนกันอยู่ พอรับรู้ปุ๊ปก็กลับมารู้สึกกาย
ที่นั่งอยู่ทันที...วันนี้ปล่อยไปตามเรื่อง จะคิดก็ปล่อยให้คิด
ไม่ฝืน...พอคลายตัวแบบนี้...กลับไม่คิด ท้องพองยุบชัดขึ้น
ความคิดไม่มีเลย....อาการเจ็บ ปวด เมื่อยทางกายไม่มี
หรือมีก็เพียงนิดเดียวแทบไม่รู้สึก และไม่สนใจ...พิจารณาว่า
ความจำ ความรู้สึก การปรุงแต่ง มันมาด้วยกันเป็นพรวนเลย
ถ้าไม่ดูดีๆ ก็จะนึกว่าเป็นตัวเดียวกัน แต่ถ้าพิจารณาให้ดี
มันแยกออกจากกัน....เหล่านี้เป็นนาม......ไม่มีตัวตน
แต่กลับเปลี่ยนแปลงได้...เร็วด้วย.... :b1:


การเจริญสติรู้อยู่ที่กายในปัจจุบันขณะนั้นดีแล้วครับ
แต่ควรเพิ่มการพิจารณากายที่รู้อยู่นั้นด้วยว่ากายนี้มันเป็นเพียงธาตุ๔
เช่นกำหนดรู้ท้องที่ขยับ ก็ให้รู้ว่าเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ขยับอยู่
ให้ดูกายและอาการของกายนั้นว่าไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
เป็นเพียงธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มารวมกัน
มีสติรู้ที่กาย และเพิ่มการพิจารณากายนั้นในความเป็นธาตุ๔ เป็นไตรลักษณ์
เป็นสิ่งไม่น่ายึดมั่นถือมั่น
ส่วนนามขันธ์ทั้ง๔ ถ้าแยกนามออกจากกันได้ชัดขึ้นแสดงว่าละเอียดขึ้น
นามนี้ ก็พิจารณา ให้เห็นความเป็นไตรลักษณ์เช่นกัน
พิจารณาในขันธ์๕แต่ละตัวให้ชัดก่อนก็ดีครับ
ว่าแต่ละตัวอาการมันเป็นอย่างไรบ้าง
เพื่อจะได้เห็นสภาวะของขันธ์ได้ครอบคลุมและละเอียด
เพื่อเป็นพื้นฐานที่แน่นในการวิปัสสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 01:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


รับทราบ เพื่อปฏิบ้ติต่อไป

อนุโมทนาค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 พ.ค. 2010, 04:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ถูกกิเลสเข้าครอบ...สบายใจก็ขี้เกียจ...เมื่อวันก่อนไม่เข้าบัลลังค์
ไม่สวดมนต์....เอาแต่ระเริง โลดแล่นไปตามกิเลส...เมื่อวานยอมนั่ง...สิบนาที....วันนี้ก็
ไม่อยากเข้า...ก็เปิดเพลงให้ฟัง....เปิดเวบบ์ต่างๆดู....พอจิตเผลอ....ก็แว่บเปิดเสียงสวดมนต์
พอได้ยินเสียงสวดมนต์ ก็มีความรู้สึกสงบ...ท่องตามบทสวด...แล้วก็มีความรู้สึกอยากหลับตา
ก็เลยนั่ง...และเอาใจจรดจ่ออยู่ที่เสียงสวดมนต์....ระหว่างที่สวดในใจตาม ก็รู้ที่พองยุบไปด้วย
รู้ชัด...เสียงสวดก็ชัด.....กายที่นั่งหลับตาอยู่ก็ชัด....เหมือนมีอะไรมาไต่ หรือกระตุกที่แถวๆ
ปาก หรือมือกระตุก...แบบเบามากๆ แต่ก็รู้สึก...เลยรู้ว่า ความรู้สึกของตัวเองละเอียดขึ้น
มีความรู้สึกกายนุ่มเหมือน นุ่น หรือปุยเมฆ ทำท่าจะเคลื่อนออกจากอีกกายหนึ่ง..พอรู้ปุ๊ป
ก็ขยับกลับเข้าที่เดิม แล้วก็รู้ที่กายนั่งหลับตาอยู่...กลับไปหาพองยุบและเสียงสวดมนต์
สักพักก็มีอาการเหมือนเดิมอีก...แต่น้อยกว่า....และพอระลึกรู้...ก็กลับมาหาที่กายนั้งอีก
เป็นประมาณสามครั้งของการนั่งในครั้งนี้ แต่ครั้งแรกชัดที่สุด สองครังหลัง เพียงแต่ตั้งท่า
หรือไม่ก็เคลื่อนแค่นิดเดียว....แล้วก็แว่บขึ้นมาว่า....กายเราอยู่ตรงไหน?...จริงๆแล้ว
ไม่มีตัวตนเลย...แต่เป็นความคิดแค่แว่บ...เหมือนฟ้าแล่บ...สว่างวาบแล้วก็ดับทันที :b42:

:b48: สองคืนมาแล้วที่นอนหลับอยู่ดีๆ ต้องสะดุ้งตื่นเพราะอาการ หว้าว ที่ท้องกลับมาอีกแล้ว :b48:

:b41: คงต้องใช้เสียงสวดมนต์เข้าล่อตัวกิเลส.....เพื่อความเพียร.... :b41:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ค. 2010, 18:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


taktay เขียน:
ถูกกิเลสเข้าครอบ...สบายใจก็ขี้เกียจ...เมื่อวันก่อนไม่เข้าบัลลังค์
ไม่สวดมนต์....เอาแต่ระเริง โลดแล่นไปตามกิเลส...เมื่อวานยอมนั่ง...สิบนาที....วันนี้ก็
ไม่อยากเข้า...ก็เปิดเพลงให้ฟัง....เปิดเวบบ์ต่างๆดู....พอจิตเผลอ....ก็แว่บเปิดเสียงสวดมนต์
พอได้ยินเสียงสวดมนต์ ก็มีความรู้สึกสงบ...ท่องตามบทสวด...แล้วก็มีความรู้สึกอยากหลับตา
ก็เลยนั่ง...และเอาใจจรดจ่ออยู่ที่เสียงสวดมนต์....ระหว่างที่สวดในใจตาม ก็รู้ที่พองยุบไปด้วย
รู้ชัด...เสียงสวดก็ชัด.....กายที่นั่งหลับตาอยู่ก็ชัด....เหมือนมีอะไรมาไต่ หรือกระตุกที่แถวๆ
ปาก หรือมือกระตุก...แบบเบามากๆ แต่ก็รู้สึก...เลยรู้ว่า ความรู้สึกของตัวเองละเอียดขึ้น
มีความรู้สึกกายนุ่มเหมือน นุ่น หรือปุยเมฆ ทำท่าจะเคลื่อนออกจากอีกกายหนึ่ง..พอรู้ปุ๊ป
ก็ขยับกลับเข้าที่เดิม แล้วก็รู้ที่กายนั่งหลับตาอยู่...กลับไปหาพองยุบและเสียงสวดมนต์
สักพักก็มีอาการเหมือนเดิมอีก...แต่น้อยกว่า....และพอระลึกรู้...ก็กลับมาหาที่กายนั้งอีก
เป็นประมาณสามครั้งของการนั่งในครั้งนี้ แต่ครั้งแรกชัดที่สุด สองครังหลัง เพียงแต่ตั้งท่า
หรือไม่ก็เคลื่อนแค่นิดเดียว....แล้วก็แว่บขึ้นมาว่า....กายเราอยู่ตรงไหน?...จริงๆแล้ว
ไม่มีตัวตนเลย...แต่เป็นความคิดแค่แว่บ...เหมือนฟ้าแล่บ...สว่างวาบแล้วก็ดับทันที :b42:

:b48: สองคืนมาแล้วที่นอนหลับอยู่ดีๆ ต้องสะดุ้งตื่นเพราะอาการ หว้าว ที่ท้องกลับมาอีกแล้ว :b48:

:b41: คงต้องใช้เสียงสวดมนต์เข้าล่อตัวกิเลส.....เพื่อความเพียร.... :b41:


ขอโทษนะครับคุณทักทายที่ตอบช้า

สภาวะ อาการใดเกิดขึ้นมาก็แล้วแต่ครับ
ให้ดึงเข้าขันธ์๕ ลองพิจารณาดูก่อนว่าอาการที่เกิดขึ้นมาเป็นตัวใดในขันธ์๕
ให้ชัดเจนและแยกให้ละเอียดในขันธ์ทั้ง๕นี้ก่อนว่าตัวใดมีอาการอย่างไร
เพราะสภาวะทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่กายใจเราก็อยู่ในขันธ์๕นี้เอง
จะละก็ละที่ขันธ์๕นี้ จะพิจารณาจะต่อสู้กับอะไรก็ต้องรู้จักศรัตรูเสียก่อน
เพื่อมันจะได้ไม่หลง มีอาการอะไรเกิดขึ้น เราไล่ต้อนเข้าขันธ์๕หมด
แล้วพิจารณามันสู่ความเป็นไตรลักษณ์ อันเป็นความไม่น่ายึดมั่นถือมั่นในขันธ์๕นี้

การพิจารณารูปนั้นมีสติอยู่ที่อาการของกายนั้นดีแล้วครับ
แต่ที่สำคัญให้พิจารณากายที่มีอาการต่างๆนั้นสู่ความเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ
ซึ่งไม่มีส่วนใดที่เป็นเราแท้ๆเลย พิจารณากายตรงไหนก็มีแต่ธาตุทั้งสิ้น
ตรงนี้เน้นนะครับ อย่าพิจารณาเห็นแค่รูปขยับ แต่ให้พิจารณารูปที่ขยับเป็นดินน้ำลมไฟด้วย
ส่วนเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ อย่างไรนั้น เคยอธิบายไว้แล้วครับ ลองอ่านดูให้เข้าใจและพิจารณาให้เห็นจริงตามนั้นครับ
ผมว่าคุณทักทายเริ่มจากรูปนี้ก่อนน่าจะดีนะครับ
เมื่อละเอียดขึ้นก็พิจารณานามทั้ง๔ตาม จะง่ายขึ้น

อยากให้โหลดเทศน์ของหลวงพ่อชานนท์ฟังจังเลยน่ะครับ
เพราะท่านเทศน์หลักการพิจารณาไว้ละเอียด ฟังบ่อยๆแล้วพิจารณาตาม
จะเข้าใจได้เร็วกว่าผมอธิบายนะครับ ถ้ามีโอกาสลองโหลดฟังดูนะครับ
เริ่มจากกัณฑ์แรกๆก่อนก็ดีครับ
สนใจก็เว็บนี้เลย http://www.watpachareongtham-chonburi.com/index.php

ขอให้มีสมาธิและสติในการพิจารณามากๆนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2010, 05:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนาค่ะท่าน

จะศึกษาไปเรื่อยๆนะค่ะ สาธุค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ค. 2010, 14:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งนี้มาพิจารณากันว่า ร่างกายและจิตใจหรือรูปและนามหรือขันธ์๕ของเรานี้ล้วนแต่เป็นเพียงสมมติ
อันที่จริงแล้วนั้นไม่มีเรา คำว่าเรานี้ก็เป็นเพียงสมมติด้วยเช่นกัน

กายของเรานี่เกิดขึ้นมาด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ
แล้วก็อยู่ได้ด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ
สุดท้ายก็ตายจากร่างกายนี้ไปสู่ความเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ในที่สุด
ที่เราอาศัยจึงอาศัยสมมตินั่นเอง

ก่อนที่เราจะเกิดมาร่างกายนี้ก็ไม่มีมาก่อน
ไม่มีมาแต่เดิม มาเกิดอยู่ชั่วขณะ
แล้วก็กลับไปสู่ความไม่มีเหมือนเดิม
เราเกิดมาอาศัยสมมติอยู่ชั่วขณะ
อาศัย ยืน เดิน นั่ง นอน
สร้างคุณ ความดีให้เกิดขึ้นกับตัวเรา
จึงเรียกว่าเราอาศัยสมมติ
สมมต็ก็เป็นของจริงที่เราต้องอาศัยอยู่
แต่สมมตินี้ก็ไม่เที่ยง ความไม่เที่ยงก็คือมันแปรปวรอยู่ตลอดเวลา
ตั้งแต่เกิดมาตัวเล็กๆ โตขึ้นมาเป็นหนุ่มเป็นสาว
สุดท้ายก็แก่ชราและตายลงในที่สุด
จึงว่าสมมตินี้เป็นของไม่เที่ยง
และขณะเกิดมาโดยความไม่เที่ยงนี้มันก็เป็นทุกข์ด้วย
ทุกข์ตลอดเวลาที่เราอาศัยมันอยู่

จึงว่ามันเป็นอนิจจังตั้งแต่เกิดมา
และเป็นทุกขังในขณะที่อยู่
และสุดท้ายก็ดับสลายเสื่อมไปในที่สุด
ก็เป็นอนัตตา ไม่ตั้งอยู่ได้
ที่เราอาศัยทั้งหมดจึงว่ามันเป็นสมมติ สมมติอยู่ชั่วคราว

เพราะเรามีรูป รูปก็คือร่างกาย ดิน น้ำ ลมไฟ
ที่มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน
พอมีรูปขึ้นมา จึงมีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตามมาอาศัยที่รูป
ที่เราหลงคือหลงว่า เวทนา สุข ทุกข์ และความนิ่งเฉยนั้นเป็นของเรา
หลงสังขารความคิดปรุงแต่งว่าเป็นของเรา
หลงวิญญาณคือความรับรู้ทั้งหลาย
จาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่าเป็นของเรา

ทั้งที่จริงๆแล้ว เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ต้องอาศัยรูปทั้งหมด
ก็ในเมื่อรูปนั้นไม่ใช่ของเราเป็นเพียงดิน น้ำ ลม ไฟ แล้ว
เรายังจะไปหลงอะไรกับเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เพราะเราไปหลง ไปยึดมั่นว่า รูป-นาม นี้เป็นของเรา


เมื่อคนตายแล้ว เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ไม่อยู่
เพราะไม่รู้จะไปตั้งอยู่กับใคร
นี่แหละที่เราไปหลง
หลงสมมติกันก็ตรงนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2010, 10:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


วันนี้งอแงค่ะ...เลยไม่มีบันทึก
แต่ขณะทำงาน....ขณะเคลื่อนไหวตัวเอง
ก็พยายามพิจารณา กาย...เวทนา
สัญญา ฯลฯ....เป็นไปอย่างลางเลือน
และเบาบางค่ะ..... :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2010, 15:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


taktay เขียน:
วันนี้งอแงค่ะ...เลยไม่มีบันทึก
แต่ขณะทำงาน....ขณะเคลื่อนไหวตัวเอง
ก็พยายามพิจารณา กาย...เวทนา
สัญญา ฯลฯ....เป็นไปอย่างลางเลือน
และเบาบางค่ะ..... :b8:


อนุโมทนาสาธุกับคุณทักทายและผู้ที่พิจารณาขันธ์๕(กายใจ)สู่ความเป็นไตรลักษณ์เสมอๆนะครับ

อาการงอแงนี้มันเป็นอย่างไรหรือครับคุณทักทาย
ไม่ว่าวันที่งอแงหรือไม่งอแงขันธ์๕นี้ก็ไม่ได้หยุดทำงานหรอกครับ
เพียงแต่ตัวสติที่เราใช้เข้าไปพิจารณามันเดี๋ยวหยุดบ้างเดี๋ยวทำงานบ้าง แปรปรวน เกิดดับอยู่เสมอ
เห็นความเปลี่ยนแปลงตรงนี้ด้วยก็จะดีครับ
สติเบาก็พิจารณาได้ สติมีกำลังก็พิจารณาได้ ไม่มีสติก็สามารถพิจารณาความไม่มีสตินั้นได้เมื่อสติเกิดขึ้น
ที่ว่าลางเลือนและเบาบางทราบไหมล่ะครับว่าใครลางเลือนใครเบาบาง
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของเรานี้มันเป็นอย่างไร
ส่วนใดมันมีอาการเป็นอย่างไร มันเป็นไตรลักษณ์หรือไม่ ก็พิจารณาไปเหมือนเดิมครับ

เมื่อใดที่กำลังของสติเกิดเต็มที่ก็เดินเครื่องพิจารณาเต็มกำลังครับ

สาธุ สาธุ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2010, 16:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มาพิจารณาความไม่มีตัวเราของเรากันครับ
แม้แต่จิตเดิมที่ประภัสสร ก็ไม่ใช่ของใครเช่นกัน

ทุกอย่างมีแต่ความเกิด-ดับ ไม่มีเราอยู่ในอะไรซักอย่างเลย
ตัวที่ไปเข้าใจว่าไม่เที่ยง ตัวนี้มันก็ไม่เที่ยงในตัวของมัน
แม้แต่คำว่าอนัตตา ตัวมันก็เป็นอนัตตาเช่นกัน
ผ่านมา – ผ่านไป ไม่มีอะไรคงที่ถาวร
แล้วเราจะไปยึดอะไร ในเมื่อไม่มีอะไรให้ยึด
เราจะไปหลงยึดถืออะไร

แม้แต่ตัวรู้ที่ว่าไม่ควรยึดอยู่เดี๋ยวนี้มันก็ยังไม่ใช่เรา
ก็แค่สิ่งสมมติมารู้เฉยๆ ว่ามันยึดถือไว้ไม่ได้ แล้วมันก็ดับไปเช่นกัน
เชื่ออะไรไม่ได้ เอาอะไรไม่ได้ซักอย่าง
รู้ก็สักแต่ว่า ละก็สักแต่ว่าเข้าใจก็สักแต่ว่า
หาอะไรคงที่ถาวรไม่ได้เลย

สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพียงแต่อาการของจิต
เรียกว่ารูปกับนาม หรือ ขันธ์ 5 นั่นเอง
เปรียบเสมือนลมกับใบไม้ ลมพัดใบไม้ไม่มีใครเห็นลมเห็นแต่ใบไม้ที่ไหว
เรานั่นก็เหมือนกัน ไม่มีใครเห็นจิตมีแต่เห็นอาการของจิต

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เหล่านี่เป็นอาการของจิต
ไม่ใช่ตัวจิตแท้จิตเดิม จิตดวงเดิมประภัสสรอยู่และไม่เคยตาย
จะไปเป็นสัตว์เดรัจฉานก็จิตดวงนี้ จะไปสวรรค์ ไปลงนรก ไปมรรคผลนิพพานก็จิตดวงนี้
แตกต่างกันที่จิตที่ไปนรกคือจิตที่หลงทุกข์
จิตที่ไปสวรรค์คือจิตที่หลงสุข
จิตกลางๆ ก็มาเกิดเป็นมนุษย์
จิตหลงความว่างก็ไปเกิดในแดนพรหมโลก
เพราะฉะนั้น จิตที่ไม่หลงสุข ไม่หลงทุกข์ ไม่หลงความว่าง
คือจิตที่คู่ควรไปแดนแห่งพระนิพพาน

เพราะจิตมันชอบเกาะ ชอบยึด ชอบหาที่พึ่ง
ซึ่งจริงๆ แล้วมันพึ่งพาอะไรไม่ได้เลย
เพราะมันไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งที่เที่ยงแท้
คงอยู่ถาวรได้เลย เป็นสมมติ เป็นอนัตตาทั้งสิ้น
แต่จิตก็ทะยานอยาก อยากวิ่งหาสุข อยากวิ่งหนีทุกข์
เปรียบเสมือนการวิ่งหนีเงาตัวเอง วิ่งเท่าไหร่ก็หนีไม่พ้น

คนตายเท่านั้นถึงจะดับอาการของขันธ์ได้
ดับไม่ให้มันทุกข์ได้ ที่ปฏิบัติกันมานานๆ
ที่หลงกันก็เพื่อจะดับขันธ์ ดับไม่ให้มันมีเวทนา
ดับไม่ให้มันปรุงแต่ง พยายามที่จะทำจิตให้สงบได้เท่าไหร่ยิ่งดี
สังขารมันจะได้ไม่ทุกข์ จริงๆแล้วคือไม่ใช่

เราต้องห้ามจิตตัวเดียว ห้ามไม่ให้ไปยึดในอาการที่เกิดขึ้นเหล่านั้น
เพราะอาการเหล่านั้นเป็นเพียงธรรมชาติ
ไม่ยึดในธรรมชาติ แล้วจิตจะปล่อยวางเป็นอิสระจากอาการของขันธ์
จึงได้ชื่อว่าเหลือแต่สมมติ เหลือแต่ขันธ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2010, 17:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 พ.ค. 2010, 03:27
โพสต์: 12

แนวปฏิบัติ: ธรรมชาติแห่งธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: สูตรเว่ยหล่าง
ชื่อเล่น: เมฆ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




.jpg
.jpg [ 20.2 KiB | เปิดดู 3881 ครั้ง ]
ยุคนี้.......สร้างได้.....แต่คงได้แค่คนกลุ่มเดียวที่มีบารมีทางธรรมเท่านั้น
คนมีบุญในยุคนี้เท่านั้นซึ่งเป็นส่วนน้อย.....ถึงจะเข้ามาในเส้นทางวิปัสสนาได้

ยุคนี้คือ......กลียุค
มีแต่คนใจร้ายมาเกิด


แต่ต้องรอในยุคหน้า
ที่คนทุกคนสามารถวิปัสสนาเป็น
คือยุค......ศาสนาพระศรีอาริย์.......พระพุทธเจ้าองค์ต่อไป
คนยุคนั้น........อายุยืนถึง 80000 ปี
เป็นคนที่มีจิตใจสูงส่ง
เป็นสังคมยูโธเปีย......อุดมสมบูรณ์ไปเสียทุกอย่าง


บุญของเมตไตรโย
พระพุทธองค์ต่อไป............


smiley smiley smiley smiley smiley smiley smiley
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 68 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร