วันเวลาปัจจุบัน 03 พ.ค. 2025, 00:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2010, 15:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 เม.ย. 2010, 08:13
โพสต์: 37

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิธีแก้ทุกข์ทางใจของนายโจโจ้ (รวบรวมโดยคุณ Vivi )

นายโจโจ้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องเวรกรรมรวมทั้งวิธีแก้ทุกข์ได้ดีมาก จึงขอตัดมาเพื่อให้สมาชิกได้ศึกษาเพื่อใช้เป็นแนวทางในยามประสบทุกข์ แก้แบบถาวร ไม่เลื่อนลอย ไม่ใช่บทความน้ำเน่าอ่านเอาฮาชั่วครั้งชั่วคราว

ความคิดเห็นที่ 15 : (นายโจโจ้)

ขออนุญาตเพิ่มเติมครับ จากข้อความ

"วันนี้คุณเจอเหตุการณ์อย่างนี้ แสดงว่าในอดีตคุณก็เคยทำอย่างนี้เหมือนกัน หากคุณไม่เคยทำให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจในลักษณะนี้ เหตุการณ์แบบนี้ย่อมไม่เกิดกับคุณแน่"

ขอเพิ่มว่า ถ้าคุณหมดกรรมหรือได้ใช้กรรมชนิดนี้ไปบางส่วนแล้ว ใจคุณจะไม่รู้สึกเจ็บแค้นหรือผูกพยาบาทหรือถ้ารู้สึกก็จะเบาบางเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ลักษณะนี้ และยิ่งใจผูกพยาบาทอาฆาตมาดร้ายแรงเท่าไหร่ ก็สะท้อนว่าหนี้ใจที่คุณยังติดค้างไม่ได้ชำระ มากเท่าๆกับความเจ็บแค้นพยาบาทที่คุณกำลังรู้สึกอยู่นั่นเอง ขอให้ระลึกว่า ณ เวลาที่คุณกระทำคนอื่นเขาไว้ เขาก็รู้สึกอย่างที่คุณกำลังรู้สึกอย่างไม่มีผิดเพี้ยนเลย นี่คือความเสมอภาค ความยุติธรรมของกรรม

และ

ในห้วงเวลานี้ ห้วงเวลาที่คุณสามารถเลือกได้ และคุณคือผู้ที่ต้องตัดสินใจเลือก ว่าจะชดใช้หนี้ก้อนนี้ หรือจะไม่ใช้แล้วก่อใหม่เพิ่มด้วยการแก้แค้นทวงเอาคืน

กรรมเก่านั้นส่งผลที่ความรู้สึก และอันที่จริง วาระของกรรมที่คุณกำลังรับผลอยู่นี้ อันที่จริงได้เริ่มส่งผลตั้งแต่วันแรกที่ใจคุณเข้าไปผูกกับเขาคนนี้แล้ว ที่ว่า ความรักทำให้ตาบอด ต้องพูดให้เป็นธรรมมากขึ้นว่า กรรมบังตา หรือพูดอีกคำก็คือ กรรมบังคับให้ใจไปผูกกับคนที่จะนำให้เราไปรับผลที่เราเคยก่อไว้นั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ว่าเก่งแค่ไหน ถ้ายังมีความเห็นว่าความรู้สึกคือเรา (เวทนาขันธ์ของเรา/ขันธ์ของเรา/ความชอบของเรา) ก็จะเชื่อความรู้สึกและทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้อยู่ใกล้/เป็นคู่/มีความสัมพันธ์/หลงรักคนที่จะรานน้ำใจเรา จากการที่เชื่อความรู้สึก "ของเรา" นี่เอง

จึงกล่าวได้ว่า กรรมเก่าของเรา ส่งให้เราต้องไปพบและผูกใจกับคนที่จะนำเราไปรับผล(วิบาก)ของกรรมที่เราก่อไว้ ไม่ว่าสุขหรือทุกข์

กรรมเก่าของเรา ส่งให้เราไปพบและผูกใจกับคนที่มีนิสัยที่จะก่อกรรมใหม่ของเขากับเราเพื่อให้เราได้รับผลของสิ่งที่เราก่อไว้ในอดีต

เรียกได้ว่า กรรมเก่าของเรา กรรมใหม่ของเขา และไม่ต้องห่วงหรอกครับ เขาจะต้องไปรับผลของสิ่งที่เขากระทำไว้ ไม่ว่าคุณจะเรียกร้อง/สนับสนุนหรือไม่ก็ตาม

ถ้าคุณอโหสิกรรมให้เขา เขาก็ยังคงต้องไปรับอยู่ดี แต่จะไปรับกับคนอื่น แต่ถ้าคุณไม่ยินดีที่จะอโหสิกรรมให้เขา คุณก็จะผูกกับเขาไปเรื่อยๆ ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ หนี้เก่าก็ไม่ชดใช้ หนี้ใหม่ก็ก่อเพิ่ม ก็จะ "อ่วม" ขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะยอมจำนน ยอมชดใช้ให้แต่โดยดีทั้งหมด

ชดใช้ตอนนี้ มูลหนี้ยังน้อย ดอกเบี้ยยังไม่บาน ถ้าไม่ชดใช้และยังก่อหนี้เพิ่ม ก็ต้องไปชดใช้อยู่ดีในกาลข้างหน้าทั้งหนี้เก่าหนี้ใหม่

คงให้หลักการไว้ได้เพียงเท่านี้ ส่วนหนทางแก้ไขก็คือ หมั่นสละแรงกายแรงใจและทรัพย์สินส่วนตัวของคุณเพื่อช่วยให้ผู้อื่นรอบข้างพ้นจากทุกข์ในแบบเดียวกับที่คุณกำลังเผชิญ คุณจะได้เรียนรู้มันจากอีกมุมหนึ่ง ได้เพื่อน ได้ใช้กรรม ได้อานิสงส์ที่จะทำให้คุณเกิดอาการคิดได้ ตาสว่าง และรู้สึกเห็นดีเห็นงามกับการให้อภัยใครก็ตามที่ร้าย ด้วยความที่เข้าใจที่มาที่ไปของเหตุของผลได้อย่างกระจ่างครับ

วิธีเลือกคู่ด้วยปัญญา

ความคิดเห็นที่ 17 : (นายโจโจ้)

ปัญญา = ความรู้ชัด/รู้แจ้ง/รู้แบบหมดมุมมืด (แจ้งแปลว่าสว่าง)/รู้สิ้นสงสัย

การที่เกิดปัญญาเพราะได้พิจารณาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของเรื่องต่างๆแล้วเห็นถึงความจริงของกรรมจนกระทั่งเข้าใจว่า การที่บุคคลต้องไปเผชิญกับสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ ล้วนแล้วแต่มีที่มาจากกรรมเป็นใหญ่อยู่ในเบื้องหลัง บุคคลที่เห็นอย่างนั้นแล้วย่อมคลายจากความเข้าใจผิดว่า

-ร่างกายของเรา
-ความรู้สึกเป็นของเรา
-ความจำของเรา
-ความคิดของเรา
-การรับรู้ของเรา

อันจะเป็นเหตุให้ปัญญาเริ่มทำงาน เห็นสิ่งๆต่างๆตามความเป็นจริง คือแทนที่จะเชื่อใจที่บอด(ความรักทำให้ตาบอด) ก็เปลี่ยนมาเป็นการพิจารณาสิ่งต่างๆตามจริง ว่าคนๆนี้เหมาะสมหรือไม่ มีศีล ศรัทธา ปัญญา จาคะเสมอกันกับเราหรือไม่ มีฆราวาสธรรมคือสัจจะ ทมะ ขันติ จาคะในระดับที่เพียงพอต่อการครองเรือนหรือไม่ รู้จักนำ(ฟังและนำไปคิดเปรียบเทียบกับความจริงที่เกิดขึ้นและมองเห็นได้)ภูมิปัญญาของผู้ที่ผ่านชีวิตมาก่อน(เช่นพ่อ-แม่-ปู่-ย่า-ตา-ยาย-นักปราชญ์ ฯลฯ)ไปพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหลายอย่างเป็นกลาง อย่างละเอียดอ่อนโดยไม่ด่วนสรุปแล้วจึงตัดสินด้วยเหตุด้วยผลว่าคนๆนี้เป็นอุปนิสัยในการเป็นผู้ครองเรือนเพียงใด ถ้าไม่มี คือตนเองก็ยังรับผิดชอบไม่ได้ ก็ไม่ต้องหวังว่าจะไปรับผิดชอบคนอื่นได้ จึงไม่ใช่ผู้ที่ควรเป็นผู้มีภรรยา ไม่ใช่ผู้ควรมีบุตร ไม่ใช่ผู้ที่เหมาะสมในการปกครองบริวาร เป็นต้น

ความคิดเห็นที่ 19 :
อีกประสบการณ์ชีวิตหนึ่งที่ควรแก่การกล่าวถึงก็คือ ผู้ที่มีทมะ คือการฝึกฝนตนเองนั้น แม้วันนี้จะยังขาดประสบการณ์ แต่ถ้ามีธรรมข้อนี้มาก ก็เห็นได้ไม่ยากว่าจะเป็นผู้ที่เจริญก้าวหน้าต่อไปในวันข้างหน้า และยิ่งถ้าผู้นั้นมีจาคะ คือเป็นผู้เสียสละ เผื่อแผ่ แบ่งปัน มีน้ำใจมาก ก็หมายได้ว่าจะเป็นผู้ที่พร้อมจะสละส่วนของตนเพื่อผู้อื่น อันหมายความถึงว่าจะเป็นผู้ที่มีความถือตัวน้อย คือพร้อมที่จะสละความสุขสบายของตนเอง อันเชื่อมโยงกันกับทมะในเชิงของความพร้อมในการน้อมรับความผิดพลาดบกพร่องของตนเองไปแก้ไขขัดเกลา อันจะนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่ผู้ที่มีทมะและจาคะน้อย แม้โดยกิริยาจะคัดลอกธรรมสูงๆมาเป็นธรรมทานอยู่เสมอ แต่ถ้าทำด้วยความยึดติด ก็จะนำไปสู่ผู้ศึกษาธรรมในกลุ่มปทปรมะ คือผู้ที่เข้าถึงธรรมเพียงบทหรือตัวอักษรเป็นที่สุด แถมยังมีความเข้าใจผิดว่าตนเองนั้นสูง กล่าวธรรมที่ลึกล้ำและสูงส่งได้เป็นจำนวนมาก แต่ยิ่งกล่าวก็จะยิ่งยึดติด ซึ่งโจโจ้เคยเป็นมาในอดีต คือเข้าใจผิดว่าตนเองนั้นสูงส่งเลิศเลอเสียเหลือเกิน โดยมองไม่เห็นว่านั่นมันกิเลสล้วนๆ จนกระทั่งได้คลุกคลีกับผู้ที่จมอยู่ในความทุกข์จำนวนมาก จึงได้เห็นความสำคัญของการฝึกฝนตนเองนี้ ว่าสำคัญอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณในระยะยาว

ความคิดเห็นที่ 20 : (นายโจโจ้)
การคิดถึงสิ่งดีๆที่เคยทำร่วมกัน น่าจะเป็นคนละวาระกรรมกันครับ เช่นเคยอธิษฐานจิตให้รักกันทุกชาติร่วมกันไว้ เคยทำบุญร่วมกันไว้ ฯลฯ ซึ่งถ้าจะไปตามปลดทุกกรรมนั้น เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง พระศาสดาจึงสอนทางออกจากสังสารวัฏในมรรค 8 ซึ่งไม่ใช่การตามไปปลดไปแก้ไขกรรมเก่า แต่ก็มิได้หมายความว่า การตามไปขออโหสิกรรมนั้นจะไม่ได้ผล เพียงแต่จะไปหาตัวเจ้ากรรมนายเวรที่เคยผูกใจมีกรณีกันมาได้ที่ไหน ต่างคนก็ไปตามทางของตัวทั้งนั้น ด้วยเหตุดังกล่าว สำหรับผู้ที่ยังผูกใจ ถ้าระลึกได้ว่าเคยก่อกรรมทำไม่ดีกับใครไว้ และยังอยู่ในวิสัยที่จะขอขมาได้ ก็รีบทำก่อนที่จะไม่มีโอกาสนะครับ

โปรดระลึกว่า การที่เราไปขอขมานั้นเป็นส่วนของเรา เราเพียงขอขมาในส่วนที่เราทำไม่ดีกับเขา ในขณะที่การอโหสิกรรมนั้น ต้องออกจากใจ จากความรู้สึกที่แท้จริงว่าปล่อย ยอม หมด โล่ง ไม่ถือโทษด้วยเหตุว่าเราเห็นแล้วว่านี่คือสิ่งที่เราเคยทำไว้กับคนนั้นคนนี้มาในอดีตนั่นเอง รวมทั้งสำนึกผิดแล้ว ว่าที่เคยทำคนอื่นไว้ในอดีตนั้น ผู้ถูกกระทำรู้สึกอย่างไร รวมทั้งมีความตั้งใจจะไม่ไปทำให้ใครรู้สึกอย่างนี้อีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

เจริญในธรรมครับ

จะรู้ได้อย่างไรว่าหมดเวรหมดกรรมหรือไม่
ความคิดเห็นที่ 22 : (นายโจโจ้)

หมดเมื่อความรู้สึกเราไม่เคลื่อนอีกแล้วเมื่อนึกถึงเขา คือจำได้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องของคนอื่น

เช่น

สำหรับคนที่เคยถูกทำร้ายร่างกาย จำได้หมดว่ากายเจ็บยังไง ถูกทุบตี ถูกต่อยตรงนี้ จุกอย่างนี้ แต่ใจไม่ "จี๊ด" อีกต่อไปแล้ว เหมือนเห็นคนอื่นทะเลาะกันไกลๆอะไรแบบนั้นน่ะครับ

สาระสำคัญก็คือ เห็นว่า นั่นคือสิ่งที่ควรกัน เหมาะสมกันแล้วกับสิ่งที่เราเคยทำไว้ในอดีต เป็นสิ่งที่เราต้องรับ เราจึงต้องมาเผชิญกับเหตุการณ์นี้ๆ และยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหมดกรรมและเกิดปัญญาเข้าใจเรื่องกรรมแล้ว มักจะเกิดความรู้สึกกรุณา คือหวังให้เขาพ้นจากทุกข์ที่เขาจะต้องไปรับ(เพราะกรรมที่มาก่อกับเราไว้)ต่อไปในอนาคตด้วย จนสามารถอโหสิกรรมให้เขาได้จากใจ ไม่ว่าจะกล่าวออกจากปากหรือไม่ก็ตามที เพราะในหลายวาระ เขาอาจจะยังไม่พร้อมจะรับฟังคำอโหสิกรรมจากเรา ซึ่งแต่ละคนคงต้องใช้ปัญญาดูสภาพแวดล้อมเอาเอง ว่าสมควรกล่าวอโหสิกรรมให้เขาหรือไม่ ถ้ากล่าวแล้วไม่เป็นประโยชน์ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องกล่าว เก็บไว้ในใจก็พอ รอโอกาสที่เหมาะสมต่อไปครับ

ความคิดเห็นที่ 25 : (นายโจโจ้)
วิธีหนึ่งที่ใช้ได้ผลดีมากมาหลายสิบครั้งแล้วก็คือ

นอกจากจะมองว่าเราต้องเคยทำอย่างนี้มาในอดีตแล้ว ให้ตั้งใจให้แน่วแน่ด้วยว่าจะไม่ทำให้ใครรู้สึกอย่างนี้ไม่ว่าจะต้องลำบากขนาดไหนก็ตาม ความตั้งใจ(สมาทิยามิ)จะละเว้นไม่กระทำ(เวรมณี สิกขา)ก็คือศีล ศีลจะเป็นศิลาที่ปกป้องใจกายจากสิ่งเหล่านั้น ยิ่งถ้าตั้งใจจะไม่กระทำได้หนักแน่นเพียงไร ก็จะมีศิลาที่หนาแน่นมั่นคงเสมอกันปกป้องชีวิตจากสิ่งที่ตั้งใจจะไม่กระทำนั้นครับ

เรื่องแบบนี้มีกรณีศึกษาเล่าให้ฟังได้มากมาย

เครื่องเตือนใจก็คือ ถ้าใจมัน "จี๊ด" ขึ้นมา นั่นแหละครับ เครื่องแสดงว่า "กรรมของเรา(กู)" ยิ่งจี๊ดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งชัดเจนเท่านั้น ให้ระลึกถึงผู้ถูกกระทำในอดีตเลยครับ แผ่เมตตา สละแรงกายแรงใจทำดี ให้ธรรมะเป็นทานเพื่อส่วนรวมอุทิศให้เขาไปเรื่อยๆ มันจะค่อยๆเบาบางลง จนในที่สุดก็จะจบไป

ความคิดเห็นที่ 27 : (นายโจโจ้)

ถ้าอยากรู้ว่ากรรมเบาบางลงไหม ก็ดูที่จิตนั่นแหละครับ มันจี๊ดน้อยลงมั้ย ถ้าน้อย ก็คือมันลดลง ถ้ายังแรง ก็แปลว่าไม่ลง

เขียนมาถึงตรงนี้ คงจะเห็นแล้ว ว่าจะอโหสิกรรมให้เขา หรือจะปล่อยวางขันธ์ ซึ่งหมายถึงทั้งขันธ์เรา ขันธ์ของเขา หรือขันธ์ของใคร เป็นธรรมชาติหนึ่งที่ไม่มีความเป็นตัวตนอยู่ในนั้น ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา มันก็ให้ผลอย่างเดียวกัน คือปล่อยวาง

จะวางที่ขันธ์ หรือจะวางความแค้น ก็วางเหมือนกัน แต่ที่แค้น เพราะยังหลงผิดว่าตัวตนมี มีเรา มีเขา มีความรู้สึกของเรา มีเจตนาของเขา

จะแก้ที่ปลายเหตุ หรือจะแก้ที่ต้นเหตุก็ได้ ถ้าแก้ที่ปลายเหตุ มันได้เป็นคราวๆเท่านั้น แต่ถ้าแก้ที่ต้นเหตุ มันจะจบในคราวเดียวเลย ไม่ต้องมาแก้หลายๆรอบ


ความคิดเห็นที่ 33 : (นายโจโจ้)
มีเรื่องเล่าสู่กันฟังเพื่อประกอบให้เข้าใจได้ดียิ่งขึ้นครับถึงที่มาของข้อสรุปที่ว่า กรรมส่งผลผ่านทางความรู้สึกครับ

คืนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งโทรมาสะอื้นกับโจโจ้ว่า "พี่ ทำไมหนูถึงต้องไปหลงรักผู้ชายห่วยๆที่ไม่เคยใส่ใจเลยว่าหนูจะเป็นตายร้ายดียังไง"

แทนที่จะปลอบน้องที่กำลังสะอื้นให้หายเศร้า นายโจโจ้ปากหมาก็ตอบแบบไว้ลายความปากหมาอย่างถึงที่สุดว่า "อ่ะฮ่า แล้วเราน่ะ เคยทำอะไรมาล่ะถึงต้องมาหลงรักผู้ชายห่วยๆแบบนี้"

น้องงงไปวูบนึง หยุดสะอื้น แล้วตอบแบบมั่นใจว่า "พี่ หนูไม่เคยทำอะไรแบบนี้กับใครเลยนะ"

โจโจ้ตอบไปว่า "แบบนี้น่ะแบบไหน" น้องเลยขยายความว่า ผู้ชายที่เขาชอบ ให้ความหวังผู้หญิงไว้สองคน ให้สองคนนี้แข่งกันเอาใจฝ่ายชาย โดยไม่ได้ใส่ใจเลยว่าฝ่ายหญิงจะรู้สึกยังไง สารทุกข์สุกดิบอะไรก็ไม่ดูแล เลยตอบเขาไปว่า

"ดี สรุปรูปแบบของกรรมที่เคยก่อไว้แล้ว ก่อนจะบอกว่าไม่เคยทำ ลองไปคิดทบทวนดูก่อน ไม่ต้องหาไกลหรอก ชาตินี้นี่แหละ ไปคิดทบทวนดีๆว่าเคยทำอะไรอย่างนี้กับผู้ชายมามั่งมั้ย"

น้องหายไป พอคิดออกแล้วก็โทรมากรี๊ดๆ "คิดออกแล้ว คิดออกแล้ว ใช่เลย เคยทำจริงๆแหละพี่ ตอนหนูอยู่ ป.5 กับผู้ชายสองคน หนูไปให้ความหวังเค้าไว้สองคนพร้อมกันเพื่อให้เค้าไม่มีกะใจจะอ่านหนังสือ หนูจะได้ได้คะแนนสอบสูงกว่าเค้า ตอนนั้นเค้าเป็นเพื่อนรักกันด้วย แทบจะผิดใจกันเลยเพราะแข่งกันเอาใจหนู แล้วทีนี้หนูต้องทำอะไรต่อล่ะพี่"

โจโจ้ตอบไปว่า "ก็ติดต่อไปหาสองคนนั้น สารภาพผิดแล้วขออโหสิกรรมจากเขาทั้งสองคนสิ อย่าลืมบอกเค้าทั้งสองคนด้วยว่าตอนนี้เราน่ะเจอสภาพนั้นกับตัวแล้ว เข้าใจแล้วว่าตอนนั้นเค้ารู้สึกยังไง และเราตั้งใจจะไม่ทำให้ใครรู้สึกอย่างนี้อีกเลยไม่ว่าจะต้องลำบากขนาดไหน"

น้องใช้เวลาไปอีกสองสามวันในการตามหาเบอร์ของเพื่อนทั้งสองคนนั้น ซึ่งทั้งสองคนไปทำงานกันคนละประเทศ พอได้แล้วก็จัดการโทรไปสารภาพผิด ขออโหสิกรรมจากเพื่อนทั้งสองคนนั้นซึ่งต่างก็แต่งงานไปเรียบร้อยแล้วกับสาวที่เจ้าตัวบอกเองว่าหน้าตาคล้ายน้องคนนี้ และทั้งสองคนก็แทบจะลืมเรื่องนี้ไปนานแล้ว เห็นเป็นเรื่องเด็กๆเท่านั้น ยังบอกว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมากหรอก ซึ่งน้องก็ได้ขอขมาด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริงๆไป พอขออโหสิกรรมเสร็จก็โทรมารายงานโจโจ้ราวสี่ทุ่มกว่าว่าเรียบร้อยแล้ว จะให้ทำอะไรต่อดี ก็บอกเขาไปว่า ดูความรู้สึกตัวเองเอาไว้นะ ล่าสุดวันนี้ที่เจอกัน รู้สึกกับผู้ชายคนนั้นยังไง แล้วพรุ่งนี้ที่เจอกันครั้งแรกหลังจากที่ได้สารภาพผิดและได้รับการอโหสิกรรมจากเพื่อนทั้งสองคนไปแล้ว พรุ่งนี้เจอกันแล้วโทรมาเล่าให้ฟังด้วย

น้องโทรกลับมาใหม่ในเช้าวันต่อมา แปดโมงเศษ เล่าแบบกึ่งตื่นเต้นว่า "พี่ หนูเพิ่งออกมาจากบ้านเขาล่ะ แว่บแรกที่เปิดประตูเข้าไปแล้วเห็นหน้าเค้านะ หนูรู้สึกขึ้นมาเลยว่า ผู้ชายคนนี้ไม่มีอะไรเลย"

"ฮ่ะๆๆ แล้วเมื่อวานนี้ก่อนจะขออโหสิกรรมจากเพื่อนสองคนนั่นล่ะ รู้สึกยังไง" โจโจ้ถาม

"เมื่อวานหนูยังรู้สึกรักเค้า ยังป้อนข้าวเค้าอยู่เลย นี่ไม่ได้ทะเลาะกันด้วยนะ เมื่อวานก็แยกกันดีๆ ไม่ได้มีอะไรไม่ดีซักกะหน่อย ทำไมความรู้สึกรักเหลือเกินเมื่อวานมันหายไปไหนหมด" น้องว่า

โจโจ้เลยอธิบายต่อว่า "ก็กรรมมันส่งผลกันผ่านทางความรู้สึกไง พอหมดวาระของกรรม ความหลงรักที่เป็นเหตุให้ต้องไปรับวิบากจากกรรมนั้น ความหลงก็หมดไป คือไม่ต้องรับกรรมก้อนนี้อีกแล้ว ความทรมานใจก็หายไปด้วย รู้สึกมั้ยล่ะ...."

จากนั้นอีกไม่ถึงสัปดาห์ ทั้งสองคนก็ยุติความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ

มีเรื่องทำนองนี้อีกหลายเรื่องครับ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อธิบายขึ้นมาแล้วชัดเจนที่สุด และเจ้าตัวก็ได้เอ่ยปากอนุญาตไว้แล้วว่า ถ้าเรื่องของเขาจะเป็นประโยชน์กับใคร ก็ให้นำไปเล่าได้เลย แต่อย่ามาถามนะครับว่าน้องคนนี้เป็นใคร เพราะจะไม่บอกครับ แต่อย่างไรแล้ว ท่านที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ก็อย่าลืมอนุโมทนากับเจตนาน้องเขาด้วยนะครับ ถ้าเขาไม่ได้อนุญาตไว้ โจโจ้ก็ไม่กล้านำมาเล่าหรอก

ความคิดเห็นที่ 39 :
เป็นความเข้าใจผิด ว่าถ้าเราดีกับใครมากๆแล้ว เขาจะต้องดีกับเราแบบเดียวกับที่เราดีกับเขา

แท้ที่จริงแล้ว กรรมกำหนด ทั้งหมดเลย

ที่จะรู้สึกดีกับใคร ก็กรรมกำหนด
ที่จะได้ไปเจอกับใคร ในเวลาที่แสนจะพอดีอย่างไร ก็กรรมกำหนด
ที่จะคิดไปว่า บังเอิญเสียเหลือเกิน นี่เป็นเรื่องพิเศษ เป็นโอกาสที่หาได้ยากเสียเหลือเกิน ก็กรรมกำหนด ถูกกรรมจัดฉากไว้ให้ต้องไปเจอ และรู้สึกไปอย่างนั้น จนกระทั่ง "จิตส่งออก" ทะยานโถมออกไปเกาะเกี่ยวยึดเอาไว้ หลงไปยึดเอาว่านั่นเป็นของเรา คนของเรา คู่ของเรา เอาป้ายไปแปะไว้ว่า นี่แฟนของเรา ต้องดีกับเรา ห้ามไปดีกับคนอื่น ต้องดีกับเราเท่านั้น

พอเชื่อใจ คลายความคลางแคลง มั่นใจแล้วว่าใช่แน่ๆ มอบทุกอย่างให้หมด อาจจะแต่งหรือไม่แต่งงานก็สุดแท้แต่ ก็จะถึงเวลาที่ของจริงจะส่งผล แสดงตัวจริง ของจริงให้เห็น

ใจก็ "จี๊ด" ขึ้นมาจนกระทั่งต้องไปถาม อาจจะเริ่มด้วยการถามเพื่อน หรือไม่ก็ไปถามเจ้าตัวคู่กรณี ว่าเดิมไม่ใช่อย่างนี้ ทำไมเปลี่ยนไป ที่รับปากไว้ ที่สัญญาไว้ ทำไมไม่ทำ ปรับโทษ อาละวาด ตีโพยตีพาย

กรรมทั้งนั้น...

การปฏิบัติด้วยการเฝ้าตามรู้ดูที่จิต ที่ขันธ์จนกระทั่งเข้าใจกระบวนการส่งผลของกรรมได้ชัดเจนพอ ก็จะเริ่มขึ้นจากหลุมที่กรรมขุดล่อไว้ให้เดินลงไป แทนที่จะไปตีโพยตีพาย ก่อกรรมใหม่เพิ่มโดยไม่ได้ชดใช้หนี้เก่า ก็จะเต็มใจทะยอยชดใช้ไป รวมทั้งไปสารภาพผิด ขออโหสิกรรมจากคนที่เคยทำกับเขาไว้แทน นั่นเป็นทางออกจริงๆที่ทำให้ทุกอย่างจบลงได้ครับ

ความคิดเห็นที่ 42 : (นายโจโจ้)
กล้าๆหน่อยนะครับคุณ kawjai สิ่งที่พอบอกได้ก็คือ ที่ใจเรายังชิงชัง ก็เพราะเห็นว่าเขามาทำกับเราโดยไม่มีเหตุ ซึ่งในจุดนี้ ใครก็ตามที่เปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราไปแล้วทั้งหมดนั้น เหมาะสมแล้วทั้งสิ้น เพราะกฏแห่งกรรมเสมอภาค แม่นยำและไม่เคยลำเอียงครับ เราเองที่เปิดใจยอมรับ ใจเราเองที่ถลำไปผูกกับเขา ใจเราเองที่กอดทุกข์ก้อนนี้ไว้จนถึงทุกวันนี้

สาเหตุมีประการเดียว คือเห็นว่าเขามาทำกับเรา ซึ่งเพียงสำรวจการกระทำของตัวเราเองย้อนกลับไปในอดีต เกือบจะร้อยละร้อยว่าเราต้องเคยทำให้ใครบางคนรู้สึกอย่างเดียวกันกับที่เรากำลังรู้สึกอยู่นี้

เศษส่วนเล็กๆที่เหลือ เป็นพวกที่ทำมาในอดีตชาติ ซึ่งขอบอกจากสถิติว่า จากคน 300 กว่าคนที่ผมเคยคุยมา มีคนเดียวจริงๆที่หาไม่พบว่าเคยทำอะไรแบบนี้กับใครในชาตินี้ และมากกว่าครึ่งเคยทำไว้กับพ่อแม่ครับ ที่เหลืออีกครึ่งนึงเคยทำไว้กับแฟนหรือคนที่เข้ามาชอบ

อย่าลืมนะครับ กรรมเก่า(1)ของคนที่เราเคยไปทำไว้กับเขานั้น ส่งเขามาเจอกับเรา ซึ่งกรรมเก่า(1)ที่เขาทำไว้นั้น ส่งผลทางใจให้เรากระทำ(กรรม(2)ของเรา)กับเขาอย่างนั้น และกรรม(2)ที่เราก่อเอาไว้นั้น ส่งเรามาเจอกับที่ก่อกรรม(3)ซึ่งส่งผลให้เรารู้สึกอย่างเดียวกับคนที่รับผลที่เราก่อกรรม(2)เอาไว้นั่นเอง ซึ่งคนที่ก่อกรรม(3)กับเรา เขาก็ต้องไปรับของเขาต่อไปในอนาคตด้วย เห็นมั้ยครับว่านี่มันวงจรอุบาทว์ที่ไม่มีวันจบเลย มันจะวนไปอย่างนี้ และซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ

ถ้ายังวางไม่ได้ ก็หมายความว่า จะติดอยู่ในวงจรอุบาทว์นี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งสำหรับใครก็ตามที่ลือกอย่างนั้น ก็ขออวยพรให้หาทางออกพบเร็วๆ(โดยการยอมรับความผิดที่เราก่อไว้ง่ายๆเท่านั้น) และเราคงไม่เจอกันอีก เพราะผมเลือกแล้วที่จะออกจากวงจรนี้

สลดใจทุกครั้งที่เห็นคนที่เที่ยวสอนธรรมะไปทั่ว แต่ไม่สามารถยอมรับความผิดของตนเองได้ ใครแตะนิดแตะหน่อยก็ลาจาก หายหัวไป หลบหนีหน้าไปเพราะกลัวว่าความผิดตนเองจะเปิดเผย หรือบางคนก็ใช้วิธีโกหก ผิดศีลเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาอัตตาเอาไว้ บางคนก็ใช้วิธีบ่ายเบี่ยง แบ่งรับแบ่งสู้ ซึ่งผลทั้งหมดเหมือนกัน คือจะไม่ก้าวหน้าไปไหน จมอยู่กับที่เดิมอยู่อย่างนั้นไป ซึ่งทั้งหมดนั้นจะไปโทษใครไม่ได้เลย ต้องโทษอัตตาที่ใหญ่เกินกว่าที่จะยอมรับสิ่งที่ตนเองก่อไว้เองครับ

วิธีลดอัตตามี ก็คือการตามรู้ดูจิตหรือสตินี่แหละครับ รู้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะจำนนต่อความจริง ว่าความเป็นเราไม่มีอยู่เลยไม่ว่าตรงไหน

กายนี้ก็ไม่ใช่เรา ไข่กับสเปิร์มก็มาจากอาหารที่แม่/พ่อกินเข้าไป รวมกันเป็นตัวอ่อน ก็มีแต่อาหาร จับไปสิครับ ตั้งแต่เส้นผมลงไปจนเล็บเท้า หมู ไก่ ปลา เนื้อ ผัก ผลไม้ ซึ่งทั้งหมดก็มาจากปุ๋ยในดินทั้งนั้น เห็นไหมครับว่าเนื้อหนังเรามันก็มาจากขี้วัว ขี้ค้างคาวที่เอาไปทำปุ๋ยให้ต้นไม้งอกงามนั่นแหละ

ถัดมา มองไปในรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ไม่มีอะไรสั่งได้สักอย่าง กายนี้สั่งให้แผลหายก็ไม่ได้ สั่งให้เด็กลงก็ไม่ได้ ที่รู้สึกชอบใครอยู่ เกลียดใครอยู่ สั่งให้เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้ามก็ไม่ได้ ที่จำอะไรได้อยู่ สั่งให้ลืมก็ไม่ได้ ที่ลืมอยู่จะสั่งให้นึกออกเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ เวลาสังขารขันธ์มันปรุงแต่งเรื่องร้าย จะสั่งให้มันปรุงแต่งเฉพาะเรื่องดีๆก็ไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น ของที่สั่งไม่ได้ทั้งหมด หลงไปเข้าใจว่านี่เรา ความจำของเรา กายของเรา ความรู้สึกของเรา ก็ต้องทุกข์แน่นอน

ทุกข์เพราะความเข้าใจผิด น่าสมเพชไหมครับ?

ที่สุข ก็เพราะความเข้าใจผิดเหมือนกัน สุขเพราะมีอะไรพิสูจน์ว่าตัวตนเรามี เรามีความสำคัญ มีคนมารักใคร่ใยดี เป็นห่วงนะ รักนะ เธอสวยนะ ดีนะ น่ารักนะ เก่งนะ หล่อนะ ฯลฯ ความเข้าใจผิดทั้งนั้นว่าตัวตนมี

อย่างที่คุณพัดยกมาเลยครับ มัวไปแสวงหาสิ่งที่ไม่มี แสวงหาสิ่งที่จะอยู่ชั่วคราวและแน่นอนว่าจะต้องหายไปอยู่ทำไม???

เจริญในธรรมครับทุกๆท่าน

ความคิดเห็นที่ 45 : (นายโจโจ้)
บรรเทาได้ครับ แต่คงไม่ใช่หายกันปุบปั่บนะครับ เพราะศีล 8 นั้นเป็นการตั้งเจตนาจะละเว้น การใช้การปาวารณาศีล 8 เป็นสัจจาทิฏฐานเพื่อบรรเทาผลแห่งวิบากนั้นอยู่ในวิสัย แต่ถ้าวิบากนั้นแรงมาก ก็อาจจะไม่ได้ผล หรืออาจจะคล้ายๆการเกาไม่ถูกที่คันก็ได้ครับ เหมือนเจ็บที่เท้า แต่ไปรักษาที่มือ ก็อาจจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยก็ได้ ตรงนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะในการสร้างกรรมนั้นๆ

สาระประการหนึ่งของการที่กรรมจะหยุดส่งผล ก็คือการสำนึกผิด สารภาพผิด รวมทั้งตั้งใจจะไม่ทำอีก ที่ดีที่สุดคือมีการประกาศสารภาพผิด สำนึกผิด การตั้งจิตรวมไปถึงการประกาศสัจจะที่หนักแน่น อาจจะต่อหน้าผู้ที่มีความเคารพศรัทธาในระดับสูง เช่นพระพุทธรูป พ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพว่าจะไม่ทำอีก ซึ่งสุดท้ายแล้ว การตั้งใจจะไม่ทำสิ่งนั้นอีก ก็คือศีล(การตั้งจิตจะงดเว้นการกระทำ)นั่นเอง

สรุปมาเล่นๆให้จำง่ายๆว่า confront (กล้าเผชิญหน้า-กับความผิด-ยอมรับความผิด) และ confess คือยอมรับสารภาพอย่างสิ้นเชิงเพราะจำนนต่อความจริง ไม่มีอาการถือตัวหรืออาการพยายามปกป้อง ปกปิดอะไรไว้อีกต่อไป ไม่มีอาการโกหกซ้อนโกหกหรือแต่งเรื่องขึ้นมาอ้างเพื่อเลี่ยงแบบแบ่งรับแบ่งสู้เช่น ไม่รู้ จำไม่ได้ อาจจะใช่หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ นี่ไม่ใช่การยอมรับผิดครับ

ผู้ที่ยังไม่ยอมรับ ก็คือผู้ที่เลือกที่จะกอดเก็บ แบกเอากรรม แบกเอาความผิดนั้นไว้กับจิตต่อไป กรรมก็จะยังส่งผลต่อไป จนกว่าจะสารภาพ ด้วยความเห็นว่าสิ่งนั้นผิด สิ่งนั้นไม่ดี พูดออกมาอย่างสิ้นเชิงได้ไม่ว่าที่ไหนๆเสมือนหนึ่งว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องของคนอื่นทำ คือมันเป็นการกระทำในอดีตที่ไม่เกี่ยวกับตัวผู้นั้นในปัจจุบันแล้ว นั่นคือการวางสิ่งนั้นแล้วอย่างสิ้นเชิงครับ

ความคิดเห็นที่ 54 : (นายโจโจ้)
ถ้าอ่านเข้าใจแล้วแต่ไม่ยอมวาง เหตุเพิ่มเติมที่แนะนำให้ไปทำต่อก็คือ ให้ไปช่วยคนที่กำลังอยู่ในความทุกข์ให้พ้นจากทุกข์

เจตนา(กรรม)ที่เราตั้งใจจะช่วยให้เขาพ้นจากทุกข์นั้น จะย้อนกลับมาส่งให้จิตเราเปิดรับปัจจัยที่จะย้อนมาทำให้เราพ้นจากทุกข์ได้เช่นเดียวกัน

เริ่มด้วยการตั้งจิตจะช่วยคนที่กำลังอยู่ในความทุกข์ จากนั้น พอมีใครที่มีความทุกข์อะไรก็ตามผ่านเข้ามาในชีวิต ก็ตั้งใจช่วยเขาไปเถิดครับ ช่วยไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้เอง

ความคิดเห็นที่ 55 : (นายโจโจ้)
วันนี้โทรไปอนุโมทนากับน้องที่เป็นเจ้าของเรื่องที่เล่าไปก่อนหน้านี้แล้ว เลยถือโอกาสถามเรื่องที่เขาเกิดการเรียนรู้อีกเรื่องหนึ่งกับผู้ชายคนถัดมาจากคนแรกที่เล่าไป

เรื่องนี้เกิดหลังจากเรื่องแรก ที่เขาถูกกรรมบังคับให้ไปหลงรักผู้ชายที่ไม่สมกับเขาเลยอีกคนหนึ่ง พอหมดช่วงหวานชื่นได้สักพักหนึ่งก็เริ่มรู้สึกขึ้นมาโดยตั้งอยู่บนประสบการณ์จากรอบที่แล้ว ที่ทำให้เขาเริ่มสำรวจตัวเองว่านี่มันกรรมชนิดไหนและทำไว้กับใคร เพราะผู้ชายคนนี้จะมาหาเขาก็ต่อเมื่อตัวเองมีความทุกข์เท่านั้น คือมาใช้เขาเป็นที่พัก พอช่วยแก้ไขเรียบร้อยแล้วก็จะห่างออกไป วนอยู่อย่างนี้เรื่อยๆจนชักผิดสังเกต ก็เอาเรื่องนี้กลับมาถามโจโจ้แล้วนั่งวิเคราะห์กัน

ที่จำได้คือวันนั้นเป็นวันที่ 6 มกราคม ประมาณปี 2005 โจโจ้กำลังขับรถไปสนามบินดอนเมืองเพื่อบินไปทำงานต่างประเทศ คุยกับเขาจนแบตฯเกือบหมด เหลืออยู่จุดเดียว น้องก็กำลังขับรถไปทำงานที่ไหนซักแห่ง ก็ชี้ให้เขาเห็น ว่าคู่กรรมของเขาก็คือแม่ของเขาเอง ที่น้องเขาทอดทิ้งแม่ของเขามาตั้งแต่เริ่มทำงานหาเงินเองได้ ทิ้งมาอยู่กันคนละบ้าน (รำคาญแม่) แต่พอมีปัญหาก็วิ่งกลับบ้านไปที จนกลายเป็นว่าแม่ต้องวิ่งมาหาเขา หลังจากวางสายไปเนื่องจากโจโจ้ถึงเครื่องบินแล้ว เขาก็ค่อยๆเริ่มสำนึกได้ พอดีขับรถไปถึงสถานที่ๆต้องไปทำงาน ก็นั่งร้องไห้เพราะเห็นความผิด ความไม่ดีของตัวเองที่ทิ้งแม่ออกมาจากบ้านตลอดเป็นปี ก็ร้องไห้มันอยู่ในรถไปคนเดียว อายก็อายคนที่เดินผ่านไปผ่านมา แต่ความที่สำนึกได้ว่าทำกับแม่มานานขนาดไหนแล้วมันมากกว่า ก็ร้องไห้ไปอย่างนั้น

เขาไม่ได้ไปขอขมาแม่ อาจจะเพราะเขินหรือว่าเห็นว่ายังไม่เหมาะสม แต่ความหลงในผู้ชายคนนั้นก็คลายลงไปอย่างมาก แต่ยังไม่เลิกกัน จนกระทั่งเขาได้เริ่มดีกับแม่มากขึ้นเรื่อยๆ พยายามใส่ใจกับแม่ให้มากขึ้น อยู่เป็นเพื่อนแม่ พาแม่ไปเที่ยวไหนต่อไหนบ้าง ฯลฯ จนกระทั่งสามารถตัดใจจาก "ผู้ชายคนนั้น" ลงได้ทีละนิดๆ จนยุติความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการในวันที่ 31 พฤษภาคมปีเดียวกัน

หลักฐานของการปล่อยวางและสำนึกผิดอย่างสิ้นเชิงของเขาก็คือ เขายินดีมากที่เรื่องของเขาเป็นประโยชน์กับคนอื่น โดยไม่ได้รู้สึกว่าจะต้องปกปิดมันไว้แต่อย่างใดเลย กลับเห็นเพียงประโยชน์ที่คนที่ได้รับรู้เรื่องกรรมของเขาและผลที่เขาได้เผชิญแล้วจะเกิดปัญญาพาตนพ้นจากปัญหาต่างๆได้

ก็หวังเช่นเคยว่าเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้หลงเข้ามาอ่านกระทู้นี้ทุกท่านครับ

ความคิดเห็นที่ 57 : (นายโจโจ้)
เนื่องจากได้เล่าเรื่องต่างๆมาเพียงพอต่อการตอบคำถามตามหัวข้อกระทู้แล้ว ก็ขอตอบในความเห็นนี้เลยว่า

"จะต้องได้รับแน่ๆครับ ไม่ต้องกังวลกับกรรมของเขา แต่ทีต้องกังวลก็คือกรรมที่คุณกำลังรับอยู่ ก็ทุกข์ที่กำลังเสวยอยู่และเป็นเหตุให้เกิดคำถามอย่างนี้ขึ้นนี่เอง ว่าจะจัดการกับมันหรือไม่ ถ้าจะจัดการ วางแผนจะจัดการอย่างไร"

เรื่องที่เล่าไปทั้งหมดข้างบนพร้อมคำอธิบาย มีคำตอบทั้งในเชิงหลักการและวิธีการ

ถ้ายังไม่ชัดเจนพอ สอบถามมาได้ครับ โจโจ้ใช้หลักการเดียวกันนี้ได้ผลดีกับคนหลายร้อยแล้วครับ ความผิดพลาดที่เคยเกิดมามีกับตัวมีสองกรณีจากสาเหตุเดียวกัน คือเราดันไปหลงรักเขาเข้าเสียเอง จากที่จะไปช่วยเขาได้ ดันกลายเป็นช่องทางให้เราได้ใช้กรรมของเรา และเขาก็ก่อกรรมใหม่กับเราไป จากหลายร้อยคน ที่โจโจ้พลาด ทำเจ๊งกะบ๊งไปมีสองรายครับ รายแรกสุดที่เริ่มคุยด้วย ตอนนั้นยังอ่อนประสบการณ์อย่างสุดๆ แถมเราเองก็เหงามากด้วย กับรายที่สองร้อยกว่าๆ ซึ่งตอนนี้เขาแต่งงานไปแล้ว...

การที่จะช่วยคนได้ ต้องมีทุกรสครับ ยืนยันแบบเดิมว่า เมตตาอย่างเดียวไม่พอแน่นอน ต้องมีการกระทบอัตตา อาจจะมีหรือไม่มีการดุด่าว่ากล่าว แต่ที่แน่ๆคือต้องมีการจัดการ ต้องมีการต้อนเข้ามุมแบบนุ่มๆหรือแข็งๆ ตามแต่โอกาส หรือถ้าหนาเกินกว่าจะช่วย ก็เชือดซะ ดีกว่าปล่อยให้ก่อความเดือดร้อน หรือปล่อยให้สอนอะไรผิดๆ กับส่วนรวมต่อไป




ความคิดเห็นที่ 69 : (นายโจโจ้)
ผู้ตอบกระทู้ได้บุญ แต่ผู้อ่านกระทู้อย่างเดียว ช่วยไม่ได้ครับ ประเด็นสำคัญคือเขาต้องสำนึกผิด รวมทั้งปล่อยวางความผิดเหล่านั้น ซึ่งปัญญาที่จะทำให้เขาปล่อยวางได้นั้น ไม่สามารถได้มาจากการอ่าน โดยเฉพาะถ้าเขาไม่เคยช่วยคนอื่นๆด้วยเจตนาเพื่อให้ผู้ได้รับความช่วยเหลือพ้นจากทุกข์อย่างแท้จริง พูดง่ายๆคือ ถ้าเขาไม่เคยให้ธรรมะเป็นทาน เขาก็จะไม่สามารถรับธรรมะเป็นทานได้ นี่คือความหมายของคำว่า ปทปรมะ คือเข้าถึง(ธรรม)ได้เพียงตัวบท(ตัวอักษร) โดยที่ธรรมะไม่สามารถซึมเข้าไปในใจเขาได้ ซึ่งก็จนกว่าเขาจะรู้จักการให้ธรรมะเป็นทานโดยไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ว่ากันตรงๆก็คือการทิ้งนิสัยเห็นแก่ตัว การทิ้งนิสัยการทำเพื่อหวังผลประโยชน์ส่วนตน หรือการทำโดยหวังให้เขาพ้นทุกข์เป็นที่สุดโดยไม่มีประโยชน์ทางวัตถุหรือหวังให้เกิดสภาพ "ต่างตอบแทน" กับผู้ที่เขาช่วยน่ะครับ

นี่เป็นปัญหาใหญ่มากๆในสังคมไทยในยุคปัจจุบันที่คนรุม "ขอของฟรี" ด้วยอาการ "แร้งลง" ที่เห็นได้จากทุกหนทุกแห่ง ที่ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นแบบแร้งก็คืออาการตีกันแย่งของ แต่ก็ยังปรากฏไปกดดันด่าว่าผู้แจกของฟรีว่าทำไมแจกให้เล่มเดียว ต้องให้เดินวนสามรอบหรืออย่างไร? เป็นต้น

เล่าเรื่องจริงอีกเรื่องนะครับ

ในวาระที่น้องคนหนึ่งที่มีความทุกข์เรื่องความรักมาปรึกษากับโจโจ้ ซึ่งโจโจ้ก็พากเพียรแบบเดียวกับคุณ Vivi คือพูดให้เขาฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเขาจำได้ทุกตัวอักษร คือพูดตามได้ทุกคำ จำเอาไปพูดกับคนอื่นรอบๆตัวเขาได้อย่างคล่องปากแล้ว (เห็นความเป็นปทปรมะไหมครับ?) แต่ "ไม่เข้าใจ" จนกระทั่งโจโจ้ก็แน่ใจแล้ว ว่าการพูดกับเขาต่อไปมันตันแล้ว ก็เลยแนะให้ไปทำบุญ โดยการให้เอาของเก่าที่เขาไม่ใช้แล้ว ทั้งเสื้อผ้า ชุดนักเรียน หนังสือเรียน เครื่องเขียน สารพัดของเขาไปให้ผู้ที่ขาดมากๆและต้องการใช้ของเหล่านั้นจริงๆ ซึ่งเราไปสรุปกันที่ค่ายผู้อพยพไร้สัญชาติ ซึ่งคณะที่ทำงานกับค่ายนี้คือ Jesuit Refugee Service นำโดยอ.เอมิลี เกตุทัต ภรรยาอาจารย์ ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต ซึ่งแม้ค่ายนี้จะเป็นค่ายของคริสต์ แต่อ.เอมิลีท่านมีใจกว้างอย่างแท้จริงที่ไม่ได้ใส่ใจว่าจะทำในนามของใครอย่างไร

ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ที่วันที่ผมกับน้องคนนี้นั่งรถเอาของไปให้ที่สำนักงานของ Jesuit Refugee Service ในซอยอารีย์ 4 ฝั่งใต้ ที่ผมเป็นเพียงคนนั่ง น้องเป็นคนขับ ขาไปเขายังเศร้ากับเรื่องแฟนอยู่เลย แต่พอเอาของทั้งลังไปให้กับมืออ.เอมิลีเสร็จ ได้เห็นภาพความเป็นอยู่ของผู้อพยพที่ไม่มีบ้านเมืองให้กลับแล้ว เกิดความสลดสังเวชใจ และในขณะเดียวกันก็เกิดปีติว่าสิ่งของที่เขานำไปมอบให้นั้นจะถูกนำไปใช้และนำความยินดีมาสู่ผู้ได้รับเพราะเขาไม่มีอะไรจะใส่ ไม่มีอะไรจะใช้แล้วจริงๆ แม้แต่ผ้าอนามัย เขาก็ยังต้องใช้ผ้าแถบ แล้วชิ้นเดียวต้องสลับกันใช้สองคนต่อหนึ่งผืนนะครับ

น้องกลับมาขึ้นรถ แล้วโจโจ้ก็พูดเรื่องเดิมที่พูดมาแล้วยี่สิบกว่าหน น้องฟังเข้าใจทันที แล้วก็ถามว่า แล้วที่ผ่านมาทำไมถึงฟังเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ ก็เลยได้บอกให้น้องเข้าใจ ว่านี่ไง อานิสงส์ของการทำให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ทันตาเห็นมั้ย ไม่อย่างนั้นแล้ว เขาจะไม่สามารถรับปัจจัยที่ทำให้เขาหลุดจากทุกข์ได้เลย

น้องก็เลยอ๋อ และนำความเข้าใจเรื่องนี้ไปใช้กับพ่อเขาเองที่สอนเท่าไหร่ก็ยังไม่ Get เสียที ก็ต้องจับไปทำบุญเสียก่อน ถึงจะเริ่ม "รับได้บ้าง" และจากนั้นก็ได้นำไปใช้กับเพื่อนรอบๆตัวอีกหลายสิบคน เช่นไปชักชวนคนรอบตัวพิมพ์หนังสือธรรมะ ชักชวนไปทำบุญกับผู้ที่ไร้ที่พึ่ง ขาดแคลนหนักหนาสาหัส เพื่อลดความเห็นแก่ตัว ลดความอยากได้ของคนอื่นอย่างรุนแรงที่ถูกสังคมบ่มมาตลอดชีวิต อันเป็นเหตุให้เขาเริ่มรับสิ่งที่ไม่เคยรับได้มาก่อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เริ่มที่ผิวเขาขาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากที่เดิมคล้ำมาก กลายเป็นขาวอย่างชัดเจนครับ

โจโจ้เคยเห็นทั้งคนที่ดำกลายเป็นขาว และเคยเห็นคนที่ขาวแบบ Glow in the dark กลายเป็นหมองหรือเกือบดำก็มี ซึ่งก็ได้ติดตามข่าวและเก็บข้อมูลสิ่งต่างๆที่เขาทำตลอดกว่าสิบปี ทำให้ได้เข้าใจการส่งผลของกรรมที่เอามาสรุปสู่กันฟังโดยหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านต่อๆไปครับ
ความคิดเห็นที่ 70 : (นายโจโจ้)
ความหิวกระหายอยากได้ของฟรีในระดับสูงที่เจ้าตัวต้องคอยปิดบังไว้(ด้วยมารยาท-หรือมารยานั่นเอง) เป็นเหตุให้คนไทยจำนวนมากมีอาการฉวยโอกาสทุกโอกาสที่ฉวยได้ หรือถ้าความอยากมันมาก รอของฟรีมันไม่จุใจ ก็จะใช้วิธีหลอกลวงคนอื่นแบบเนียนบ้างไม่เนียนบ้างๆเพื่อให้เขามีโอกาสเอาเปรียบอย่างไม่คิดชีวิต (ที่ไม่เนียน ก็พวกเจ้าชู้ยักษ์ที่มีความอยากในกามมาก เบื่อภรรยาแล้วก็ไปโกหกคนอื่นหาเอานอกบ้าน เที่ยวไปรับใครต่อใครเป็นเมียเพิ่มขึ้น)

ถ้าจะถามว่าชีวิตใครหลายคนทำไมจึงซับซ้อน มันซับซ้อนก็ด้วยเหตุที่เขาสร้างไว้แบบเนียนๆมากับตัวนั่นแหละครับ ไม่ได้ซับซ้อนเพราะใครที่ไหนเลย...

นึกถึงที่หลวงปู่เหรียญ วรลาโภท่านเทศน์ไว้ในเทปม้วนหนึ่งว่า "... สาเหตุที่คนเราละเมิดศีลนี่ก็เพราะว่า กรรมส่งผลให้เท่านั้นเท่านี้แล้วยังไม่จุใจ ต้องการมากกว่านั้น วิธีเดียวที่จะได้มากกว่าที่กรรมส่งผลก็คือต้องไปเอาส่วนที่เป็นของคนอื่นเขา จึงต้องละเมิดศีล..."

~~~~~~~~~~~
แจกฟรี ! CD เสียงอ่าน "รู้จักรัก" ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจรัก และคลายจากพิษรักได้เร็วขึ้น
ส่งชื่อ-ที่อยู่ทางไปรษณีย์ของคุณ มาได้ที่ roojakrak@gmail.com หรือ โพสต์ไว้ที่กระทู้

หรือเข้าไปดาวน์โหลดไฟล์เสียงด้วยตนเองได้ที่
http://www.jozho.net/index.php?mo=3&art=140764


แก้ไขล่าสุดโดย roojakrak เมื่อ 30 เม.ย. 2010, 15:57, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 เม.ย. 2010, 16:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7820

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b20: tongue :b8: ขออนุโมทนาสาธุการด้วยค่ะ คุณ roojakrak :b12: smiley :b13:

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร