วันเวลาปัจจุบัน 08 มิ.ย. 2025, 13:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 164 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 06:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณ ท่าน จขกท.น่ะครับ




เห็นด้วยครับ ประโยคที่ว่า

อ้างคำพูด:
"สติอันกำหนดรู้รูปนามเป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจจ์

ตัณหาที่อยู่เบื้องหลังการกำหนดรู้รูปนามเป็นอารมณ์ เป็นสมุทัย"





น่าจะนำความหมายมาจาก อรรกถาส่วนนี้


อ้างคำพูด:
ๆลๆ คุณหมอถามว่าเจอคำนั้นในอรรถกถาตรงไหน

ผมเจอแล้ว

http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... &i=273&p=3

ตรงหัวข้ิอ " สติกำหนดจิตเป็นอริยสัจ ๔ "

Quote Tipitaka:
สติกำหนดขันธ์ ๕ เป็นอริยสัจ ๔

แต่ในที่นี้ มีข้อต่างกันอย่างเดียว คือพึงประกอบความอย่างนี้ว่า สติกำหนดขันธ์เป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจ ดังนี้แล้ว พึงทราบว่า เป็นทางปฏิบัตินำออกจากทุกข์ของภิกษุผู้กำหนดขันธ์เป็นอารมณ์.
คำที่เหลือก็เช่นนั้นเหมือนกัน.

http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... b=10&i=273


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 07:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ลองมาพิจารณาประโยคนี้ กันอีกที


อ้างคำพูด:
แต่บ่อยครั้งมาก ที่ในชั้นหลัง เราไปแปล คำว่าสติ ว่า การกำหนดรู้ ซึ่งแสดงถึง ความจงใจที่จะรู้ อันมีตัณหาอยู่เบื้องหลังของการกระทำดังกล่าว

ดังที่อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า

"สติอันกำหนดรู้รูปนามเป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจจ์

ตัณหาที่อยู่เบื้องหลังการกำหนดรู้รูปนามเป็นอารมณ์ เป็นสมุทัย"




ผมเห็นว่า



1.ท่านเจ้าของบทธรรม"การเจริญสติปัฏฐาน" ท่าน ไม่เห็นด้วย กับ การใช้คำว่า"กำหนดรู้" ในการเจริญสัมมาสติ (การกำหนด ในการเจริญสติ ในมุมมองของท่าน จัดเป็น ภาวะผิดพลาด ; อ่าน คห.ก่อนหน้านี้)



2.ดูเหมือนท่านเจ้าของบทธรรม ท่าน จะมองประโยค

" สติอันกำหนดรู้รูปนามเป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจจ์ "

ว่า หมายถึง การเจริญสติชนิดที่ยังคงมีการกำหนดอยู่ นำไปสู่ความเป็นทุกข์ .....

หรือ อีกนัยยะหนึ่ง คือ การเจริญสติชนิดที่ยังคงมีการกำหนดรู้นั้น เป็นภาวะผิดพลาด ไม่ได้นำไปสู่ความพ้นทุกข์



3.สืบเนื่องจาก การที่ท่านเจ้าของบทธรรม ท่านไม่เห็นด้วยกับการใช้คำว่า"กำหนดรู้" ในการเจริญสัมมาสติ

ท่านเจ้าของบทธรรม ท่านจึงเหมือน จะมีมุมมอง ที่ว่า

"การกำหนดรู้"ในการเจริญสตินั้นละ คือ สมุทัย ....เพราะ การกำหนดรู้ นั้น นำไปสู่สติชนิดที่เป็นทุกข์

คือ ผู้ที่เจริญสติจะเป็นทุกข์(ไม่พ้นจากทุกข์) ถ้าเจริญสติในแบบที่มีการกำหนดนั้นๆ ???



................................



ผมเสนอว่า ในประเด็น กิจอันพึงทำในอริยสัจจ์สี่ ที่แสดงอยู่ในอรรกถาแห่งมหาสติปัฏฐานสูตร นั้น

ท่านอรรถกถาจารย์ กำลังแสดงถึง สติ คือ การกำหนดรู้ ว่าเป็นกิจแรกสุด ของทั้งหมด

กิจแรกสุดที่พึงทำต่อทุกขสัจจ์ คือ การกำหนดรู้ ซึ่งนี่ก็คือ หน้าที่ของสติ นั้นเอง...


เมื่อ กำหนดรู้ทุกข์อันเป็นกิจแรกแล้ว กิจข้อถัดๆมา คือ.... ละสมุทัย.... แจ้งในนิโรธ.... ด้วยการเจริญมรรค ก็จะสืบเนื่องตามมา


ไม่ใช่ว่า อรรกถาจารย์ท่านกำลังแสดง ห้ามไม่ให้ตั้งใจ(จงใจ)เจริญสติ แต่อย่างใด



ขอเสนอเพิ่มเติมมาดังนี้ก่อนน่ะครับ


แก้ไขล่าสุดโดย ตรงประเด็น เมื่อ 05 เม.ย. 2010, 09:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 16:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




สติ สมาธิ_resize.jpg
สติ สมาธิ_resize.jpg [ 99.75 KiB | เปิดดู 5512 ครั้ง ]
tongue
ปัญญา เป็นเหตุของ สติ

สติ เป็นเหตุของสมาธิ และสนับสนุนปัญญา

:b8: :b8: :b8: :b12: :b12: :b12:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 16:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


มีบทความที่เกี่ยวข้อง มาเสนอเพิ่ม



ประเด็นแนวคิด ที่ว่า


การฝึกเจริญสัมมาสติที่จะนำไปสู่วิปัสสนาได้นั้น ต้องปราศจาก การจงใจ ตั้งใจ หรือ การกำหนด (ปราศจากตัณหา อันเป็นเบื้องหลังของการจงใจ ตั้งใจ หรือ การกำหนด นั่นเอง) ….

ถ้า มีการจงใจ ตั้งใจ หรือ การกำหนด อยู่ ในการฝึกเจริญสติ ....สติที่บังเกิดขึ้นจะไม่ใช่สัมมาสติ และ ไม่นำไปสู่วิปัสสนา




ผมได้อ่านพบบทความหนึ่ง ที่ เกี่ยวเนื่องกับเรื่องนี้

จาก ธรรมะจากพระผู้รู้


อ้างคำพูด:
สันตินันท์
(พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช ในปัจจุบัน)

“...ผมเที่ยวศึกษาการปฏิบัติของสำนักต่างๆ หลายสำนักมากครับ พบว่าแนวทางของแต่ละสำนักจะเหลื่อมกันอยู่เสมอ
แม้แต่สำนักที่มีรากฐานอภิธรรมจากท่านอาจารย์แนบด้วยกัน พอลงมือปฏิบัติจริงก็ยังเหลื่อมกัน

ผู้ปฏิบัติในทุกๆ สำนัก กระทั่ง ในสายพระป่าที่ผมเติบโตมา ส่วนมากจะทำแค่สมถะกันแทบทั้งนั้น…”




กรณี บทธรรมที่กล่าวถึงผู้ปฏิบัติ “ในสายพระป่าที่ผมเติบโตมา ส่วนมากจะทำแค่สมถะกันแทบทั้งนั้น

เมื่อก่อน ผมเองก็ไม่เข้าใจว่า ทำไม ท่านอาจารย์ปราโมทย์ ท่านกล่าวเช่นนั้น...

เพราะ คำว่า “ทำแค่สมถะ” นั้น ก็คือ ไม่ได้มีการเจริญวิปัสสนาเลย นั้นเอง !!!



แต่ เมื่อได้มีโอกาสรับทราบแนวคิด การเจริญสัมมาสติใน วิชาดูจิต สตธ. ดังกล่าวแล้ว ใน คห.ข้างต้น ....
จึง เข้าใจว่า ทำไมท่านจึงกล่าวว่า ผู้ปฏิบัติ“ในสายพระป่าที่ผมเติบโตมา ส่วนมากจะทำแค่สมถะกันแทบทั้งนั้น”




### ตรงจุดนี้ อยากเสนอ ให้ย้อนกลับไปอ่าน คำสอนการเจริญสติ ที่ ครูบาอาจารย์พระป่า เช่น ที่ หลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว หลวงพ่อพุธ ท่านสอน เอาไว้.... ใน คห.ข้างต้น

จะเห็น ได้ว่า คำสอนการฝึกเจริญสติที่ครูบาอาจารย์พระป่าท่านสอน ท่าน ไม่ได้ห้ามการจงใจ ไม่ได้ห้ามการตั้งใจ ไม่ได้ห้ามการกำหนด แต่อย่างใดเลย.

นอกจาก ไม่ห้ามแล้ว.... ท่านยังกล่าวชัดๆ ว่า ในการฝึกเจริญสตินั้น พึงตั้งใจ และ ให้กำหนด เสียอีก!!!

ดังนั้น ผู้ที่ฝึกเจริญสติตามแนวทางคำสอนของครูบาอาจารย์พระป่า จึง ไม่ได้กลัว หรือ ไม่มามัวกังวล กันว่า ต้องไม่จงใจน่ะ ต้องไม่ตั้งใจน่ะ ต้องไม่กำหนดน่ะ ในเวลาเจริญสติ...




แต่ ถ้าใช้มาตรฐานการวินิจฉัย ตามแนวทางดูจิต สตธ. แล้ว

ก็ต้องวินิจฉัยว่า ...ผู้ปฏิบัติตามแนวทางคำสอนของครูบาอาจารย์พระป่า ต้อง " ทำแค่สมถะ "( ไม่เข้าข่ายว่ามีส่วนแห่งการเจริญวิปัสสนา)

เพราะ ผู้ปฏิบัติตามแนวทางคำสอนของครูบาอาจารย์พระป่า ยังคงมีการจงใจ ยังคงมีการตั้งใจ ยังคงมีการกำหนด ในการฝึกเจริญสติอยู่ นั้นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 21:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
อายะ เขียน:
ขอความเห็นท่านเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ ว่าสติขั้นฝึกฝนจงใจได้หรือไม่


จงใจครับ


เมื่อก่อนท่านชาติว่า ต้องจงใจ แต่เหตุำไฉนมาเปลี่ยนไปมาหนอ


ท่านตรงประเด็น เขียน:
2.ดูเหมือนท่านเจ้าของบทธรรม ท่าน จะมองประโยค
" สติอันกำหนดรู้รูปนามเป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจจ์ "
ว่า หมายถึง การเจริญสติชนิดที่ยัง คงมีการกำหนดอยู่ นำไปสู่ความ เป็นทุกข์ .....
หรือ อีกนัยยะหนึ่ง คือ การ เจริญสติชนิดที่ยังคงมีการกำหนดรู้นั้น เป็นภาวะผิดพลาด ไม่ได้นำไปสู่ความพ้นทุกข์


ผมก็คิดเหมือนท่านตรง แปลงยังไงก็แปลไม่ออกว่า

ชาติสยาม เขียน:
"
สติอันกำหนดรู้รูปนามเป็นอารมณ์ เป็นทุกขสัจจ์
ตัณหาที่ อยู่เบื้องหลังการกำหนดรู้รูปนามเป็นอารมณ์ เป็นสมุทัย"


แปลอีกทีจากท่านชาติ
กำหนด รู้ทุกข์(รูปนาม)ด้วยสติ...จึงรู้ทุกข์
ตันหา เป้นสมุทัย



อยู่ดีๆ ตัด "อยู่เบื้องหลังการกำหนดรู้รูปนามเป็นอารมณ์" เฉยเลย
ไม่เชื่อลองพิมพ์คำว่า " อย่าจงใจนะ พระอาจารย์ปราโมทย์ " ลงใน google แล้วก็ลองอ่านธรรมต่างๆ ของพระเดชพระคุณเจ้าปราโมทย์ ที่ท่านแสดงซ้ำแล้วซ้ำอีกนะหมายถึง การเจริญสติชนิดที่ยัง คงมีการกำหนดอยู่ นำไปสู่ความ เป็นทุกข์ จริงหรือไม่ลองดูได้ครับ มิใช่นึกจะแปลอะไรก็แปลเสียชื่ออาจารย์หมด :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมได้มีโอกาสอ่าน พบ บทธรรม การเจริญสติ ในวิชาดูจิต-สตธ. อีกแห่งหนึ่ง...

บทธรรมนี้ ขออนุญาตเรียกว่าเป็น editionหลัง เป็นฉบับปรับปรุงแก้ไข แล้วกันน่ะครับ....
เพราะ มีเนื้อหาเปลี่ยนแปลงจาก ที่นำมาเป็นประเด็นเสวนาก่อนหน้านี้
บทธรรมนี้ ท่านแสดงตอนที่ท่านเป็นพระแล้ว (ประมาณปี2551)


ขออนุญาตเรียกบทธรรมที่นำมาเป็นประเด็นก่อนหน้านี้ ว่า editionก่อน น่ะครับ


(และ ผมเองก็ไม่แน่ใจว่า มีedition ระหว่างeditionก่อน กับ editionหลัง ....หรือ มีeditionอื่นๆหลังeditionหลัง อีกไหม น่ะครับ)




เนื้อความ ใน editionหลัง เป็นฉบับปรับปรุงแก้ไข มีดังนี้ครับ



อ้างคำพูด:
จิตที่เป็นกุศลที่จะใช้ในวิปัสสนาต้องมีกำลังกล้า ต้องเกิดเอง ตรงนี้ดูๆ เบื้องต้นนะ เบื้องต้นมันก็ต้องอาศัยจงใจไปก่อน แต่จงใจแล้วก็คอยสังเกต คอยรู้กายรู้ใจจนวันหนึ่งไม่จงใจ รู้โดยไม่จงใจ ตรงที่รู้โดยไม่จงใจนี่สำคัญที่สุดเลย ถ้ายังจงใจรู้นี่มรรคผลจะไม่เกิดในขณะนั้นหรอก

คนทั่วๆ ไปถ้าไม่จงใจจะรู้จิตจะหนีไปเลย รู้สึกไหม ถ้าไม่จงใจปฏิบัติจิตจะหนีหายไปไหนต่อไหน หนีไปเที่ยวเลย ถ้าจงใจก็กลายเป็นการเพ่งจ้อง สุดโต่งอยู่สองอย่างนี้ หนีไม่รอดเลย

แต่พอหัดรู้สภาวะไปเรื่อยๆ นะ มันก็จงใจบ้างไม่จงใจบ้าง ต่อไปจิตมันคุ้นเคยที่จะรู้สึกตัวโดยที่ไม่ได้จงใจ มันคุ้นเคยที่จะรู้สึกโดยไม่จงใจ มันจะเกิดรู้สึกขึ้นมาเอง ไม่หลงไปและก็ไม่ได้จงใจรู้สึก รู้ แต่ไม่จงใจรู้สึก ตรงนี้เกิดขึ้นมา บางคนแว๊บแรกเท่านั้นก็ขาดสะบั้นเลย





ขออนุโมทนาครับ :b8:


การปรับปรุงบทธรรม ตรงจุดที่อาจจะสร้างปัญหาร้าวฉานให้ชาวพุทธ (ระหว่าง ผู้ที่ถือว่า จงใจหรือตั้งใจเจริญสติปุ๊บ-ผิดปั๊บ VS ผู้ที่ถือว่า จงใจหรือตั้งใจเจริญสติได้-ไม่ผิด) เสมือน พยายามปลดชนวนระเบิดเวลา ....เป็น ความพยายามที่สมควรคารวะครับ


แต่ ผมไม่แน่ใจว่า นักดูจิตสวนสันติธรรม ท่านที่เคยสมาทาน editionก่อนที่ถือว่า จงใจหรือตั้งใจเจริญสติปุ๊บ-ผิดปั๊บ ทุกท่าน ได้มีโอกาสรับทราบไหม..... ว่า มีการปรับปรุงแก้ไขเนื้อธรรมตรงจุดนี้แล้ว???



## และ ถ้าจะให้ดีกว่านี้ ....ขอเสนอ


1.น่าจะ มีการแก้ไข บทธรรม ที่เป็นไปในลักษณะ ตัดสินวินิจฉัยการปฏิบัติธรรมของผู้อื่นด้วยมาตรฐานมุมมองของตนเอง (เช่น ในสายพระป่าที่ผมเติบโตมา ส่วนมากจะทำแค่สมถะกันแทบทั้งนั้น”) ที่เกี่ยวเนื่อง กับ ประเด็น "จงใจ หรือ ตั้งใจ หรือ กำหนดเจริญสติ สามารถนำไปสู่วิปัสสนาได้ไหม" เสียด้วย น่ะครับ

(ผู้ที่ตัดสินผู้อื่นด้วยมุมมองของตน ก็ มักจะถูกผู้อื่นตัดสินด้วยมุมมองของเขา เช่นกัน...เป็น สัจจธรรม)


2.มีการแจ้งไปยัง นักดูจิต สตธ.ในวงกว้าง ว่า ได้มีการปรับปรุงแก้ไขเนื้อธรรมในส่วนนี้แล้ว เพื่อ ให้ นักดูจิต-สตธ. ที่ยังอาจจะสมาทานแนวทางตามeditionก่อน รับทราบ .... น่า จะลดการกระทบกระทั่ง ในหมู่ชาวพุทธลงได้บ้าง



มีสิ่งใดที่กล่าว ผิดพลาด คลาดเคลื่อน ไม่เหมาะสม ผมขออภัยด้วย

ขอบคุณครับ




(ปล... ใน บทธรรมของ editionหลัง ถ้าว่างๆ จะมาเสวนาลงในรายละเอียดกันอีกที)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านตรงคับ เด๋วก็มีหน่วยเก็บข้อมูลมาอ่าน แล้วก็นำไปเป็นธรรมอัพเดท เฮ้อ
ถ้าอัพเอท แล้วมันไม่ผิดจากหลัก ผมก็ขออนุโมทนาด้วย แม้ผู้อัพจะจริงหรือปลอมก็ตาม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 17:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ประเด็น ที่สืบเนื่องจาก


ข้อขัดแย้ง ระหว่าง

นักดูจิต สตธ.ที่ถือตามคำสอน editionดั้งเดิม
และ
ผู้ที่ปฏิบัติตามแนวทางคำสอนของครูบาอาจารย์พระป่า



จะมีอยู่อีกจุดหนึ่ง

คือ ทางแนวทาง ดูจิต-สตธ. แบบดั้งเดิม(edition ก่อนๆ) จะมองว่า การฝึกจริญสติที่ยังคงมีการ จงใจ-ตั้งใจ-กำหนด อยู่นั้น เป็น “การบังคับ” ให้ สติที่เป็นอนัตตา เกิดขึ้น ....
ซึ่ง ฟังดูแล้ว เหมือนจะแสดงความหมายไปในทางลบ

ในขณะ ที่ ทางแนวทางคำสอนของครูบาอาจารย์พระป่า ท่านไม่ได้ถือว่า การฝึกจริญสติที่ยังคงมีการจงใจ-ตั้งใจ-กำหนด อยู่ นั้น เป็นสิ่งที่ไม่สมควร แต่อย่างใดเลย .
หากแต่ เป็น ลักษณะของ “การฝึกจิต” คล้ายๆกับใน พระพุทธพจน์ที่ตรัสว่า “จิตที่ฝึกดีแล้ว นำสุขมาให้” มากกว่า....



อยากเสนอ ให้อ่าน ที่ท่านอาจารย์ตั๋น ท่านกล่าวไว้

พระอาจารย์ตั๋น วัดป่าบุญญาวาส จังหวัดชลบุรี

เทศน์เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2551 เรื่องปฏิปทาที่เหมาะสม


"....ตามหลัก ผู้ที่จิตไม่สงบในเบื้องต้น ในเวลาเดินจงกรมให้ทำสติอยู่ที่กรรมฐานที่ภาวนาเท่านั้น ถ้าเผลอสติออกไปก็ตั้งสติใหม่ขึ้นมา เผลอสติก็ตั้งสติขึ้นมาอยู่กับกรรมฐานเรา ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องคิดเรื่องอดีตเรื่องอนาคต อย่าไปหลงกลกิเลส ปรุงแต่งส่งเสริมไป.... จะว่าบังคับ จะว่าควบคุม ก็ช่างเถอะ เราจะทำสติสมาธิก่อน ..."

ๆลๆ

"....ฝึกอย่างนี้เรื่อยๆ หรือนั่งสมาธิก็ตาม กำหนดระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั่่งคู้บัลลังก์ขัดสมาธิ กำหนดสติอยู่กับกรรมฐานที่เราภาวนา จะกำหนดอาปานสติ หรือ พุทธานุสติ หรือ กรรมฐานบทใดบทหนึ่งก็แล้วแต่ ให้ทำจิตให้ว่างจากอารมณ์ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอดีต เรื่องอนาคต เรื่ิองปัจจุบัน ให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน ถ้าเรานั่งอยู่กับหมู่ ให้เราทำใจให้เหมือนนั่งอยู่บนท้องฟ้าคนเดียว กำหนดสติอยู่กับกรรมฐานของเราเท่านั้นแหละ ถ้าคิดเรื่องอดีต ก็ตั้งสติขึ้นมาใหม่ คิดถึงเรื่องอนาคตก็ตั้งสติขึ้นมาใหม่อยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับคำบริกรรมภาวนา ทำอย่างนี้ไปก่อน .....สำหรับผู้ที่ไม่มีความสงบ ทำอย่างนี้ไปก่อน ใครจะว่าบังคับก็ตาม ควบคุมก็ตาม ไม่สนใจ.... เราจะควบคุมจิตใจเราให้ได้หนิ ปล่อยจิตใจมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว เค้ายังฝึกช้างให้เชื่องได้ ฝึกม้าให้หายพยศ ฝึกหมาให้เชื่องได้ ทำไมใจตัวเราฝึกให้ดีไม่ได้ จะฝึกให้มันนิ่ง นิ่งไม่ได้เหรอ กำหนดอยู่ตรงนั้นแหละ...."



>>>>>>>>>>>


คห.ส่วนตัว ของผม น่ะครับ


ที่ ท่านกล่าวว่า

อ้างคำพูด:
ใครจะว่าบังคับก็ตาม ควบคุมก็ตาม ไม่สนใจ



น่าจะสืบเนื่องมาจาก

การที่มี นักดูจิต สตธ.ที่ยังคงสมาทาน แนวทางเจริญสติแบบในeditionก่อน . ได้ นำหลักธรรมที่ตนเรียนรู้มา ไปแสดง ในสำนักครูบาอาจารย์พระป่าต่างๆ
และ เกิดมีการเปรียบเทียบ กันขึ้น...

เพราะ จู่ๆแล้ว ท่านอาจารย์ตั๋น ท่านคงไม่กล่าวเช่นนี้ ออกมาโดยไม่มีเหตุนำ




นอกเหนือจาก ข้างต้นแล้ว

ลักษณะ ปรากฏการณ์เช่นนี้ ก็จะเห็นได้จาก ความแตกต่างคำสอน ในเรื่อง

การเดินจงกรม ของทาง สตธ.

และ

การเดินจงกรม ของทางสวนพุทธธรรมป่าละอู. (ซึ่ง ทางสวนพุทธธรรมป่าละอู มีลักษณะ การ”กำหนด”ในการเดินจงกรมได้ด้วย และ ไม่หลีกเลี่ยงสมถะ .... )



เคยทราบมาว่า มีการนำไปเปรียบเทียบกัน ระหว่าง ผู้ที่ศึกษาตามแนวทาง ดูจิต สตธ. และ แนวทางของทางสวนพุทธธรรมป่าละอู ..... ในสำนักของครูบาอาจารย์พระป่า





จน มีเรื่องราวต่างๆ ติดตามมามากมาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 17:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่างไรก็ตาม



ผมเองก็เห็น ทาง สตธ.ออกแถลงการณ์ เตือนนักดูจิต สตธ ว่า
ทาง สตธ.ไม่ได้สอนให้นักดูจิต สตธ. ไปเที่ยวแสดงธรรม และ อวดปมเขื่องของตน ให้ครูบาอาจารย์ในสำนักอื่นฟัง..

ซึ่ง ผมเอง เห็นแล้ว ก็ขออนุโมทนา อย่างจริงใจ :b8:




แต่ อยากเรียนว่า ...

มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่ ทาง นักดูจิต สตธ.จะไม่นำหลักธรรมที่ตนได้เคยเรียนรู้มานั้น ไปเปรียบเทียบกับ คำสอนของครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ เมื่อไปกราบครูบาอาจารย์องค์อื่นๆ...

ถึงแม้น การนำหลักวิชาดูจิต สตธ.ไปแสดงเปรียบเทียบ กับ คำสอนครูบาอาจารย์องค์อื่นๆนั้น อาจจะ แสดงด้วยเจตนาบริสุทธิ์(เพื่อศึกษา;ไม่ได้เจตนาไปยกข่ม) และ สุภาพ ก็ตาม แต่ มันก็ง่ายมากที่จะสร้างความรูสึกที่"แตกต่าง"ขึ้น....
และ ง่ายมากที่จาก “แตกต่าง” จะกลายเป็น"แปลกแยก" ....และ "แตกแยก" ขึ้น ...... ถ้าหาก นักดูจิต สตธ.ท่านนั้น สมาทานแนวทางในeditionเดิม




การออกแถลงการณ์เตือนไม่ให้ นักดูจิต สตธ. นำ แนวทางของตน ไปเปรียบเทียบกับ คำสอนของครูบาอาจารย์อื่นๆ เปรียบเสมือน กับ การพยายามปลดล็อค หรือ ถอดชนวนระเบิด .

ซึ่ง ก็เป็นความพยายามที่น่าอนุโมทนา ....

แต่ มาตรการนี้ อาจจะยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ที่จะ ลดข้อขัดแย้ง ระหว่างแนวคิดที่แตกต่างกันลงได้

เพราะ แม้นจะมีแถลงการณ์เรื่องนี้ออกมาแล้ว ก็ ยังปรากฏให้เห็นว่า ระเบิดยังคงระเบิดอยู่ เป็น ระยะๆ

ด้วยว่า เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่อยากเรียนรู้เปรียบเทียบ สิ่งที่ตนทราบมา กับ ของผู้อื่น…

เมื่อ นักดูจิต สตธ.ไปยังสำนักครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ จึงเกิดเรื่องราวเช่นนั้นขึ้น




### วิธีการ ที่น่าจะยุติปัญหาเหล่านี้ได้ คือ


มีการแจ้งไปยัง นักดูจิต สตธ.ในวงกว้าง (ต้อง เน้น) ว่า ได้มีการปรับปรุงแก้ไขเนื้อธรรมในส่วนนี้แล้ว
เพื่อ ให้ นักดูจิต-สตธ. ที่ยังอาจจะสมาทานแนวทางตามeditionก่อน รับทราบ .... และ สมาทานedition ที่อัพเดท ขึ้น ซึ่ง จะลดการขัดแย้งกันลงได้

และ

มี การแก้ไข บทธรรม ที่เป็นไปในลักษณะ ตัดสินวินิจฉัยการปฏิบัติธรรมของผู้อื่นด้วยมาตรฐานมุมมองของตนเอง (เช่น ในสายพระป่าที่ผมเติบโตมา ส่วนมากจะทำแค่สมถะกันแทบทั้งนั้น”) เสีย.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2010, 08:14
โพสต์: 829

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


29993.สิ่งใดเป็นเหตุของสติ

สังสารวัฎของสติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2010, 07:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


มีกระทู้สืบเนื่อง กับ กระทู้นี้

ที่

เจริญสติ กับ เจริญสมาธิ ต่างกันอย่างไร

viewtopic.php?f=1&t=32612&st=0&sk=t&sd=a


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2010, 09:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2010, 08:34
โพสต์: 47

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
สิ่งใดเป็นเหตุของสติ

ความระลึกได้ เป็นเหตุของสติ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ค. 2010, 23:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2010, 15:59
โพสต์: 390

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
จากภาคทฤษฏีที่ว่า สรรพสิ่งล้วนเกิดแต่เหตุ
ผมจึงสงสัยว่า อะไรกันล่ะ ที่เป็นเหตุของสติ
เมื่อทราบเหตุ จะได้เพียรในเหตุ รักษาถูกโรคครับ
:b8:


สติเกิดจากสภาวะการรับรู้ทางจิตและสัมผัส เมื่อมีสิ่งเร้าหรือมีสิ่งมาสัมผัส เราจึงเกิดการรับรู้
หรือการระลึกได้...สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุของสภาวะที่เรียกว่าการเกิดสติ หรือพูดแบบง่ายๆก็คือ

สติ = สภาวะการรับรู้ที่เกิดจากการสัมผัสของสิ่งเร้าหรือมีสิ่งใดมาสัมผัสร่างกาย
เหตุเกิดของสติ=คือการระลึกได้ถึงสิ่งเร้าที่เข้ามากระทบทางจิตหรือทางร่างกาย

เมื่อสตินั้นได้มีการนำมาไต่ตรอง พินิจพิจารณา ก็จะก่อให้เกิดการหยั่งรู้หรือที่เรียกว่าเกิดปัญญา

.....................................................
บุรุษใดพึงเห็นแดน"โลก" เขาจักอยู่ในแดน"โลก"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"สวรรค์" เขาจักอยู่ในแดน "สวรรค์"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"นรก" เขาจักอยู่ในแดน"นรก"

บุรุษใดพึงเห็นแดนทั้งสาม เขาจักพึงสิ้นภพจบแดน...แล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2010, 15:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 มี.ค. 2009, 16:53
โพสต์: 113

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b20:
คุณนิดนึง ตอบได้ดีค่ะ ตรง สั้น แปะ
tongue

.....................................................
คำของหลวงพ่อชา
“ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด”


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 164 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร