วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 03:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 46 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 01:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธแท้ๆ จะกลับมาเจริญรุ่งเรืองเหมือนครั้นสมัยพุทธกาลได้หรือมั้ยน้อ ...... :b6:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 02:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ลานนี้จะมีผึ้งหลงมาซักตัวหรือเปล่าเนี่ย :b7:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 13:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
พุทธแท้ๆ จะกลับมาเจริญรุ่งเรืองเหมือนครั้นสมัยพุทธกาลได้หรือมั้ยน้อ


แบบพุทธแท้ๆในสมัยพุทธกาลมีอะไรยังไงบ้างล่ะขอรับ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 13:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


พระไม่มียศ ไม่มีศักดิ์ ไม่รับใช้พระราชา ไม่รับใช้พ่อค้าคหะบดี ไม่มีกุฏิใหญ่โต ไม่มีพระพุทธรูปไว้กราบใหว้ ฯ บวชก็เพื่ออรหัตผล

มีแต่พระอริยะ มีคำสอนฝังแน่นอยู่ในใจอุบาสกอุบาสิกาทุกคน

ไปหาพระ ก็ได้ความดี ความงาม และปัญญา ... ทุกวันนี้ได้แต่พระเครื่อง ซองผ้าป่า กับบทสวดภาษาบาลีที่ฟังไม่รู้เรื่อง

หมู่บ้านก็ไม่มีรั้ว เพราะไม่มีโจร ไม่มีขโมย มีแต่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล

ไม่มีคำสอนของศาสนาอื่นมาปะปนกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

สาวกพูดถึงเรื่องหัวข้อธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็พูดเป็นสิ่งเดียวกัน

ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมเพื่อดับทุกข์ ฯ

เราแพ้พวกคริสนะ เพราะคริสอ่านคำภีใบเบิลกันทุกคน ทั้งสาวก ทั้งนักบวช เจอกันพูดภาษาเดียวกัน แต่ชาวพุทธกับไม่เอาพระไตรปิฏก เอาความเห็นไปปนกับความจริง เจอกัน ทะเลาะกัน วุ่นวายไปหมด .... เฮ้อ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 14:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
มีแต่พระอริยะ มีคำสอนฝังแน่นอยู่ในใจอุบาสกอุบาสิกาทุกคน

ไปหาพระ ก็ได้ความดี ความงาม และปัญญา ... ทุกวันนี้ได้แต่พระเครื่อง ซองผ้าป่า กับบทสวดภาษาบาลีที่ฟังไม่รู้เรื่อง

หมู่บ้านก็ไม่มีรั้ว เพราะไม่มีโจร ไม่มีขโมย



ในสมัยพุทธกาล ไม่มีพระที่เป็นปุถุชนบ้างหรอ แล้วพระอริยะมาจากไหนขอรับ

แล้วในสมัยพุทธกาล ไม่มีขโมยขโจรบ้างเลยหรือขอรับ

อีกอย่างพุทธกาล เขาใช้ภาษาอะไรกันเล่าขอรับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 18:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ในสมัยพุทธกาล ไม่มีพระที่เป็นปุถุชนบ้างหรอ
มีช่วงปลายๆ พุทธกาล สมมุติสงฆ์เกิดเพราะมีผู้อยากจะเข้ามาบวชเป็นจำนวนมาก

อ้างคำพูด:
แล้วพระอริยะมาจากไหนขอรับ
โสดาปัติมรรคขึ้นไปมาบวช

อ้างคำพูด:
แล้วในสมัยพุทธกาล ไม่มีขโมยขโจรบ้างเลยหรือขอรับ
มันก็ไม่ขนาดทุกวันนี้หรอก ดูรั้วบ้านคนสิ ยังกะคุก ยังกะทำแดนความมั่นคงสูง

อ้างคำพูด:
อีกอย่างพุทธกาล เขาใช้ภาษาอะไรกันเล่าขอรับ
เท่าที่รู้ ใช้ภาษาของแต่ละท้องถิ่น มีบาลีเป็นภาษากลาง

เอ้า ... แล้วตกลงท่านคิดจะมาเป็นพุทธแท้ๆ ฝึกฝนจนสำเร็จเป็นอริยะบุคคลกะเขาบ้งหรือเปล่า? หรือจะพอใจแค่เนี้ย พุทธบ้าง พราหมณ์บ้าง ฮินดูบ้าง เอาพระพุทธเจ้าว่าบ้าง เอาเขาว่าบ้าง

ไม่มีอริยบุคคลเกิดขึ้นนอกวินัยของสถาคต

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 09:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




869.gif
869.gif [ 12.15 KiB | เปิดดู 3737 ครั้ง ]
Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
ในสมัยพุทธกาล ไม่มีพระที่เป็นปุถุชนบ้างหรอ

มีช่วงปลายๆ พุทธกาล สมมุติสงฆ์เกิดเพราะมีผู้อยากจะเข้ามาบวชเป็นจำนวนมาก

อ้างคำพูด:
แล้วพระอริยะมาจากไหนขอรับ
โสดาปัติมรรคขึ้นไปมาบวช



อ้างคำพูด:
แล้วในสมัยพุทธกาล ไม่มีขโมยขโจรบ้างเลยหรือขอรับ
มันก็ไม่ขนาดทุกวันนี้หรอก ดูรั้วบ้านคนสิ ยังกะคุก ยังกะทำแดนความมั่นคงสูง

อ้างคำพูด:
อีกอย่างพุทธกาล เขาใช้ภาษาอะไรกันเล่าขอรับ
เท่าที่รู้ ใช้ภาษาของแต่ละท้องถิ่น มีบาลีเป็นภาษากลาง

เอ้า ... แล้วตกลงท่านคิดจะมาเป็นพุทธแท้ๆ ฝึกฝนจนสำเร็จเป็นอริยะบุคคลกะเขาบ้งหรือเปล่า? หรือจะพอใจแค่เนี้ย พุทธบ้าง พราหมณ์บ้าง ฮินดูบ้าง เอาพระพุทธเจ้าว่าบ้าง เอาเขาว่าบ้าง

ไม่มีอริยบุคคลเกิดขึ้นนอกวินัยของสถาคต


เอ้า ... แล้วตกลงท่านคิดจะมาเป็นพุทธแท้ๆ ฝึกฝนจนสำเร็จเป็นอริยะบุคคลกะเขาบ้งหรือเปล่า? หรือจะพอใจแค่เนี้ย พุทธบ้าง พราหมณ์บ้าง ฮินดูบ้าง เอาพระพุทธเจ้าว่าบ้าง เอาเขาว่าบ้าง

ก็อยากเป็นขอรับ อยากเป็นพุทธแท้ๆกะเขาเหมือนกัน :b1:

แต่ไม่รู้จะทำยังไง เดินไปทางไหน เหมือนคนยืนอยู่ที่หนทาง 4-5 แพร่ง จึงยังเป็น (พุทธบ้าง

พราหมณ์บ้าง ฮินดูบ้าง เอาพระพุทธเจ้าว่าบ้าง เอาเขาว่าบ้าง)
อยู่แบบเนี่ยแหละขอรับ

:b12:

แต่วันนี้รู้สึกดีใจจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ :b2: ที่ได้สนทนาธรรมกับคุณ Supareak ว่าเออเป็นบุญแท้ๆ

คงนอนตายตาหลับเสียที :b7:

กรัชกายขอความกรุณาคุณแนะแนวทางหรือวิธีปฏิบัติเพื่อเป็นอริยะหรือเป็นพุทธะแท้ๆแก่กรัชกายด้วยเถอะนะขอรับ :b8:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 18 มี.ค. 2010, 09:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


สะสม อนิจจสัญญา ทุขขสัญญา อนัตตสัญญา ไว้มากๆ

ดับอุปทานขันธ์ ๕ ได้ ก็นิพพาน มีแค่นี้แหละ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 10:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
สะสม อนิจจสัญญา ทุขขสัญญา อนัตตสัญญา ไว้มากๆ

ดับอุปทานขันธ์ ๕ ได้ ก็นิพพาน มีแค่นี้แหละ


ที่ต้องการคือวิธีๆ วิธีทำ วิธีสะสมนั่นทำยังไง :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 11:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


พิจารณาปัจจุบันอารมณ์ หรือเมื่อเกิดผัสสะ ให้ครบ ๖ ทาง ด้วยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

เอาของจริง ไม่ใช่นั่งหลับตานึกเอาว่า รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง ถ้าหลับตานึกเอาเรียก วิปัสสนึก

ตอนพิจาณาจะออกเสียงหรือนึกในใจก็ได้

ตาเห็นรูป น่าดู ไม่น่าดู พิจารณาว่า รูปที่เห็นไม่เที่ยง

หูได้ยินเสียง เพราะ ไม่เพราะ พิจารณาว่า เสียงที่ได้ยินไม่เที่ยง

จมูกได้กลิ่น หอม เหม็น พิจารณาว่า กลิ่นไม่เที่ยง

ลิ้นรับรส หวาน ขม เค็ม เปรี้ยว ณ พิจารณาส่า รสสัมผัสก็ไม่เที่ยง

กายสัมผัส เย็น ร้อน อ่อนแข็ง ตึงใหว ฯ ก็พิจารณาว่า กายสัมผัสไม่เที่ยง

ใจคิดนึก ไม่ส่าเรื่องอะไร ก็พิจารณาว่า ความคิดก็ไม่เที่ยง

พิจารณาวัตถุรอบๆ ตัวว่า ไม่เที่ยง ใหม่ เก่า แตกสลาย

พิจารณาตัวเองว่า ตัวฉันก็ไม่เที่ยง หรือ แก่ เจ็บ ตาย

พิจาณาคนอื่นๆ รอบๆ ตัวว่า คนเหล่านี้ก็ไม่เที่ยง แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน


ให้ทำอย่างนี้ตลอด หรือเท่าที่ทำได้ จิตจะจำไว้เป็น อนิจจะ ทุขขะ อนัตตะ สัญญา ไว้ทุกครั้งเมื่อเราพิจารณา

เช่น หูได้ยินเสียงด่า ก็พิจารณาว่า เสียงด่าไม่เที่ยง คนด่าก็ไม่เที่ยง (แก่ เจ็บตาย) คนถูกด่า(คือเรา)ก็ไม่เที่ยง สรุปว่า เสี่ยงด่าไม่เที่ยง คนด่าก็ตาย คนถูกด่าก็ตาย หากพิจารณาได้อย่างนี้ ไม่ไปโกรธใครเลยเพราะเสียงด่า ตำไม่ได้ด้วยว่าใครด่า อีกวันเจอหน้าคนด่า ยิ้มให้เขาเฉย เพราะจิตไม่เก็บไว้เป็นพยาบาทสัญญา

ไม่เที่ยงเกิดดับ แปลว่า มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว พร้อมด้วยเหตุปัจจัยที่ให้อยู่ก็อยู่ พร้อมด้วยเหตุปัจจัยที่แตกสลายก็แตกสลาย ไม่สามารถบังคับบัญญาได้

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 11:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ตาเห็นรูป น่าดู ไม่น่าดู พิจารณาว่า รูปที่เห็นไม่เที่ยง
ฯลฯ


ตาเห็นรูป น่าดู ไม่น่าดู พิจารณาว่า รูปที่เห็นไม่เที่ยง

แล้วในขณะที่เห็นรูปดังว่า ได้เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วไหมที่พิจารณาอย่างนั้น

หรือ คิดเอาว่ามัน (รูป) เป็นต้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 12:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 23:02
โพสต์: 157

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
พระไม่มียศ ไม่มีศักดิ์ ไม่รับใช้พระราชา ไม่รับใช้พ่อค้าคหะบดี ไม่มีกุฏิใหญ่โต ไม่มีพระพุทธรูปไว้กราบใหว้ ฯ บวชก็เพื่ออรหัตผล

มีแต่พระอริยะ มีคำสอนฝังแน่นอยู่ในใจอุบาสกอุบาสิกาทุกคน

ไปหาพระ ก็ได้ความดี ความงาม และปัญญา ... ทุกวันนี้ได้แต่พระเครื่อง ซองผ้าป่า กับบทสวดภาษาบาลีที่ฟังไม่รู้เรื่อง

หมู่บ้านก็ไม่มีรั้ว เพราะไม่มีโจร ไม่มีขโมย มีแต่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล

ไม่มีคำสอนของศาสนาอื่นมาปะปนกับคำสอนของพระพุทธเจ้า

สาวกพูดถึงเรื่องหัวข้อธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็พูดเป็นสิ่งเดียวกัน

ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมเพื่อดับทุกข์ ฯ


. รู้สึกคุ้นๆนะครับ

.....................................................
มาตามหา เพื่อนร่วมทาง

ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด > > ต้องทำให้ได้ คือแก้ไขตนเอง > > ฝึกหยุด-ไม่หยุดฝึก >
ไม่มีเวลาสำหรับความชั่วบาปอีกแล้ว. ." ทุกวินาทีเป็นวินาทีแห่งบุญ "
เราจะฝึกฝนตนเพื่อไปถึงจุดนั้นให้ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 12:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


คิดเอา พิจารณาเอา ปลงเอา วิปัสสนา คือ การสร้างความเห็นที่วิเศษ สร้างสัมมาทิฏฐิ

ยกตัวอย่างมีเด็กอยู่คนหนึ่ง กินแต่เนื้อ ไม่กินฝัก พอเราบอกว่า เนื้อมีพิษนะ กินมากอึดอัด เป็นแผลก็คันเป็นแผลเป็น ต้องกินผักแก้ให้สมดุลย์กัน ฆ่าพยาทไข่พยาทได้ด้วย พอเด็กคนนั้นเห็นด้วยตามนี้ นิสัยการกินเปลี่ยนเลย พอแม่เด็กยังว่า ผมพยายามมาเป็นปีให้ลูกกินผัก คุณพูด ๕ นาทีลูกผมกินฝักเรียบหมดสำรับ

ถ้าอยากจะศึกษาธรรมจริงๆ จังๆ ต้องเห็นธรรมก่อน เห็นจริงๆ ก็ระดับพระอนาคามี พระอรหันต์โน้น ถึงเรียกว่ารู้จริงรู้แจ้ง ถึงว่าอภิธรรมเป็นวิชาของพระอรหันต์เพื่อพระอรหันต์

โสดาบันรู้จริง ยังไม่รู้แจ้ง คือ รู้ แต่ยังไม่เห็น พระอริยะจำนวนหนึ่ง ไม่สนใจที่จะเห็นด้วยซ้ำไป พอพ้นแล้ว ก็ไม่เอาอะไรแล้ว มองแผ่นดินแผ่นฟ้าเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต

ถ้าคิดว่าจะมีตาทิพย์ก่อน แล้วจึงจะเชื่อ แปลว่า เริ่มจากความไม่เชื่อ พอมีตาทิพย์ได้จริงๆ ก็เห็น แล้วก็บอกว่าเชื่อแล้ว เห็นจริงด้วย เริ่มปฏิบัติ มันจะต่างอะไรกับคนที่เห็นด้วยตั้งแต่แรก กว่าจะได้ตาทิพย์ คนที่เขาเห้นจริงด้วยตั้งแต่แรกเป็นอรหันต์ไปกันหมดแล้ว

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 19:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เข้าใจนิดหนึ่ง สังเกตนะครับ

คห. ก่อนคุณ Supareak บอกว่า

อ้างคำพูด:
เอาของจริง ไม่ใช่นั่งหลับตานึกเอาว่ารูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง
สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง
ถ้าหลับตานึกเอาเรียกวิปัสสนึก



ถ้าหลับตานึกเป็นวิปัสสนึก

แต่ คห. ต่อมาบอกว่า

อ้างคำพูด:
คิดเอา พิจารณาเอา ปลงเอา วิปัสสนา คือ การสร้างความเห็นที่วิเศษ สร้างสัมมาทิฏฐิ


ถามระหว่างหลับตานึกเป็นวิปัสสนึก กับ คิดเอา พิจารณา ปลงเอา วิปัสสนา

ต่างกันตรงไหนขอรับ ระหว่างหลับตานึก เป็นวิปัสสนึก กับ ลืมตานึก ว่าเป็นวิปัสสนา :b1:

วิปัสสนาเนี่ย ต่างกันตรงหลับตานึก กับลืมตานึกหรือขอรับ

วิปัสสนา แปลว่า การสร้างความเห็นที่วิเศษ หรือ ขอรับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มี.ค. 2010, 20:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าหลับตานึกเป็นวิปัสสนึก คือ ไปพิจารณาแต่อารมณ์ที่เกิดในมโนวิญญาน ไม่ได้พิจารณาวิญญานที่เหลืออีก ๕ ดวง เช่น หลับตานึกว่าเห็นรูป(จริงๆ เป็นนิมิต) แต่มันไม่ใช่จักขุวิญญาน มันเป็นมโนวิญญาณ

หลักการของวิปัสสนา คือ

ปกติเมื่อชวนะจิตเกิดขึ้นมาเพื่อเสวยอารมณ์ ทั้ง ๖ ทาง จิตจะเกิดการตีความ และปรุงแต่ง ผลออกมาเป็นเวทนา จิตจะจำผลนั้นไว้เป็นสัญญา ต่อมาสัญญาที่ถูกสะสมไว้ ก็จะพัฒนามาเป็นสังสาร คือ เป็นความคิดความรู้ เป็นนิสัย

ถ้าเราตีความสิ่งที่เข้ามากระทบสัมผัสเป็น พอใจ ไม่พอใจ หลงไปตามความรู้สึกนั้น ผลของเวทนา ก็คือตัณา เป็นอวิชชา แปลว่า จิตจะจำอวิชชาไว้

กระบวนการตีความนั้น สติเจตสิก จะเป็นตัวดึงสัญญาเก่ามารับกระทบสัมผัส เช่น ถ้าตาเราเห็นหน้าคู่อริ สติบอกว่านี่เป็นคู่ปรับ ความโกรธความไม่พอใจเกิดขึ้นทันที และจิตก็จะเก็บความโกรธนี้ไว้เป็นพยาบาทสัญญาอีก และจะถับถมกันแบบนี้ ไม่จบไม่สิ้น ถึงบอกว่า สัญญาจะกลายเป็นสังขาร เป็นนิสัย ในที่สุด

เมื่อเราวิปัสสนา เราจะพิจารณาอารมณ์ที่เกิดทั้ง ๖ ทาง ด้วยความไม่เที่ยง ฯ จิตจะหยุดการปรุงแต่ง ไม่เป็นเวทนา สัญญาที่เก็บ ก็จะเป็น อนิจจสัญญา หรือวิชชาเกิด แปลว่าจิตจะจำวิชชาไว้แทนอวิชชา

เมื่อ วิชชา สะสมมากขึ้น สติเริ่มควานหาอวิชชาไม่เจอ ถึงจุดหนึ่ง สติจะดึงแต่วิชชามารับกระทบสัมผัส เวทนา หรือ ความพอใจ ไม่พอใจ ก็ไม่เกิดเป็นอัตโนมัติ (ในทางปรมัติ คือ บรรลุโสดาปัตติผล)

เพราะความเห็น เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความคิด ความคิดเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดการพูด แปลว่า การที่เราคิดว่า สิ่งที่เข้ามาทางทวารทั้ง ๖ หรืออินทรีย์ ๖ มันไม่เที่ยง ความเห็นมันก็ต้องเกิดก่อน การวิปัสสนาจึงอาศัยเพียงความเห็น(ทิฏฐิ)เท่านั้น

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ ต้องพิจารณาทันทีเมื่อเกิดผัสสะ ตั้งรับไว้ให้ทันทั้ง ๖ ทาง กระทบแล้วจึงพิจารณา ถ้ายังไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แล้วพิจารณาว่าเสียงไม่เที่ยง ก็ยังเป็นวิปัสสนึกอยู่ดี

ทำได้แบบนี้เรียกว่า เอาปัญญา หรือ สัมมาทิฏฐิ ไปทั้งรับการกระทบสัมผัสทั้ง ๖ ทาง

"เห็นจริง ตามจริง เท่าทันปัจจุบัน ต่อสิ่งที่เข้ามากระทบสัมผัสทางอินทรีย์ ๖"


ภาษาไทย เรามีปัญหากับคำพ้องรูปพ้องเสียง เห็นด้วยปัญญา ความเห็น หรือเห็นเป็นรูปภาพ ก็ว่าเห็นเหมือนกันหมด ยิ่งมีการเขียนตำราขึ้นมารุ่นต่อรุ่น ยิ่งเพี้ยนหนัก

ความเห็นที่ถูกต้อง ความเห็นจริงตามจริง หรือ สัมมาทิฏฐิ เป็นความเห็นที่วิเศษ เพราะดับทุกข์ได้ ด้วยประการเช่นนี้

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 19 มี.ค. 2010, 00:00, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 46 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร