วันเวลาปัจจุบัน 03 พ.ค. 2025, 03:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 04:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 03:38
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าคนในครอบครัวเรา เป็นคนมีมิจฉาทิฐิ

ทั้งๆที่เราพยายามแล้วที่จะช่วยเหลือ

แต่เขาก็ยังจมกับกองทุกข์

ที่เกิดจากเหตุแห่งการกระทำของเขาเอง

ดึงอย่างไร ก็สุดปัญญา

เราจึงพลอยทุกข์ใจไปด้วย

...ทุกข์ที่ไม่สามารถทำให้เขารู้ทางรอดได้ เพราะใจเขาไม่เปิดรับ

...ทุกข์เพราะทนเห็นชีวิตเขาตกต่ำ

...ทุกข์เพราะเห็นคนอื่นๆในครอบครัวทุกข์ใจ

...บางที

คิดว่า นั่นเป็นวิบากของเขาเอง

แต่ก็ไม่ช่วยอะไร ใจก็ยังนึกสงสาร น่าจะมีทางใดช่วยเขาได้มากกว่า นั่งปลง

แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

...เป็นความรู้สึกติดค้างในใจตลอดเวลา



ทำอย่างไรจึงจะจัดการกับความทุกข์เช่นนี้ได้คะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 10:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2009, 15:37
โพสต์: 112

ชื่อเล่น: ดอกพุทธ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คาร์เนชั่น เขียน:
ทั้งๆที่เราพยายามแล้วที่จะช่วยเหลือ

แต่เขาก็ยังจมกับกองทุกข์

ที่เกิดจากเหตุแห่งการกระทำของเขาเอง

ดึงอย่างไร ก็สุดปัญญา


ในเมื่อเราพยายามที่จะช่วยแล้ว แต่เขาก็ยังไม่หลุดพ้น
เราก็ไม่ต้องเอาความทุกข์ของเค้าที่เราเห็น มาแบกไว้กับใจค่ะ
เป็นเพียงผู้เห็น ผู้ดู เท่านั้นพอ รับรู้ แล้วก็ปล่อยวาง

และวันใดหากมีช่องโหว่ ให้เราช่วย เราก็พร้อมที่จะช่วยได้อีกเสมอ
เพียงแต่ตอนนี้อาจจะยังไม่ใช่จังหวะเท่านั้นเอง :b1: :b12:

.....................................................
หลอมจิตบรรจง สู่แสงแห่งธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 10:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมใดเกิดแต่เหตุ ที่เขาเป็นเช่นนั้นเพราะเขาทำเหตุมาให้เป็นเช่นนั้น บังคับบัญชาไม่ได้ จะเปลี่ยนเขาก็ไม่ได้ หากเขาไม่ดำริที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้

การที่จะเกิดมีดวงตาเห็นธรรมนั้น ต้องเริ่มจากบุญเป็นบาทเป็นฐาน ถึงจะเป็นบุญขั้นโลกียะ คือ ทำเราเพราะอยากได้ อยากมี อยากเป็น ก็ยังดี

จะเปลี่ยนเข้าได้ต้องให้เขาทำเหตุใหม่ เพราะปัจจุบันคือตัวกำหนดอนาคต

ง่ายๆ เช่น จะไปวัด ทำบุญ ก็บอกเขา ให้เอาอณุโมทนา อันนี้ก็ได้หน่อยหละ

พอเขาเกิดทุกขเวทนา ได้โอกาสพาเข้าวัดทำบุญ บอกว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์ ก็พอได้

ตื่นเช้าก็ลากไปใส่บาตร อันนี้ได้บุญมาก ล่อหลอกหน่อย เอาโภคทรัพย์ที่ได้จากบุญมาอ้างก็ได้

ข้อสำคัญ อย่างไปสอนอะไรที่เป็นภาษาธรรมมาก เว้นแต่เขาจะถาม

ก็ลองๆ เอาไปทำดู :b38:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 17:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 03:38
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทั้งสองท่านค่ะ คนที่มีปัญหาคือ หลานสาวค่ะ เป็นปัญหาแบบวัยรุ่นสมัยนี้ ทั้งเรื่องเรียนและชีวิตส่วนตัว ที่แย่ที่สุด คือการโกหกโดยไม่รู้สึกว่าผิดบาป ตอนนี้ชีวิตเขาก็แย่ค่ะ ทั้งที่ครอบครัวพยายามดูแล ประคับประคองเต็มที่ ถึงแม้บอกทางสว่าง แต่เขาไม่ต้องการเดิน ก็จนปัญญาค่ะ

เพราะว่าเขากำพร้าพ่อแม่ พี่สาวของคาร์เนชั่นเองที่เสียไป ก็คล้ายๆอย่างนี้ล่ะค่ะ ชีวิตล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เกิดมาแล้วตายเปล่า ทิ้งลูกสาวไว้ให้ครอบครัวดูแล 2 คน คนที่มีปัญหาคือคนโต เรียนมหาวิทยาลัยปี 2 แต่ตอนนี้หยุดเรียนแล้ว ไม่สนใจเรียน ติดแฟนอย่างเดียว แยกไม่ออกเลย เคยพาไปปฏิบัติธรรม เขาไม่ซึมซับเลยค่ะ

บางครั้งก็รู้สึกผิดนะคะ ว่าเราก็มีส่วนที่เลี้ยงเขาไม่ดี อาจให้ความอบอุ่นได้ไม่เท่าพ่อแม่ ดิฉันก็คิดปลอบใจตัวเองว่า ยึดหลัก พรหมวิหาร 4 เมตตา กรุณา มุทิตา จนหมดแล้ว สุดท้ายต้องอุเบกขา แต่ก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี ยอมรับว่าครั้งนี้เอาตัวไม่รอดค่ะ

สงสารแม่ซึ่งเป็นยายของหลาน ทั้งๆ ที่ก็พยายามปฏิบัติธรรม แต่พอเจอเข้าอย่างนี้ก็ยังแย่ แม่ทุกข์ใจ บางครั้งก็นอนไม่หลับ เพราะคิดถึงแต่กลัวหลานจะลำบาก เขาใจเด็ดมากลำบากยังไงก็ไม่ยอมกลับบ้าน นั่นยิ่งทำให้ยายกังวล จนไม่รู้จะปลอบใจอย่างไร

ขอบคุณทุกท่านที่ฟังคาร์เนชั่นระบาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 18:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


น่าอนุโมทนา ท่านผู้ถามที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อ ใคร่คิดจะช่วยให้คนพ้นจากโทษ

การที่จะกรุณาใครๆนั้น ท่านก็แสดงไว้ว่า เราต้องพิจารณาบุคคล โอกาส สถานที่ ความเหมาะควรมีประการต่างๆ และอย่าลืมวางใจไว้ยอมรับเขาด้วยว่า.....
"เขาจะรับฟังก็ได้ ไม่รับฟังก็ได้"..นี้เป็นความกรุณาของเรา ที่เป็นไปกับความกรุณาแท้ ไม่หวังแม้แต่จะต้องคาดหวังให้เขาเข้าใจและยอมรับคำแนะนำตักเตือนจากเรา
มิฉะนั้นแล้ว หากเขาปฏิเสธ หรือกล่าวถ้อยคำต่ำๆสูงๆ ว่า "เธอช่างเข้าไปก้าวก่ายกับเรื่องส่วนตัวของฉันมากไปแล้วนะเธอ" ... ก็คำอันยอกแสยงใจอย่างนี้ หากปรากฏขึ้นมาแล้ว คนที่จะเสียใจอย่างที่สุดก็คือ ตัวผู้กรุณานั่นเอง

ดังนั้น การทำกุศลนั้นก็ไม่สำเร็จ ทำบุญกลายเป็นบาปไปได้ เพราะใจนั้น กลายเป็นความโกรธ หรือความเสียใจขึ้นมาแทนที่

หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เห็นควรด้วยประการทั้งปวง และเตรียมวางใจยอมรับด้วยดีไว้ก่อน ก็ชื่อว่าเป็นเตรียมการพร้อมไปแล้ว ห้าสิบเปอร์เซนต์
ส่วนที่เหลือ พึงหาอุบายที่จะบอกแก่เขา
บางคนชอบใจ พอใจที่จะให้บอกตรงๆ
แต่บางคน ชอบให้กล่าวโดยอ้อม เพราะไม่อยากถูกแนะ ไม่อยากถูกสอน
บางคนชอบการฟังเรื่องของคนอื่น เป็นอุปมา อุปมัย แล้วก็เกิดนำไปพิจารณาเรื่องของตนได้ เกิดโยนิโสได้ ก็มี
หรือบางคน ก็ต้องข่ม ต้องขู่ ก็มีเหมือนกัน
หรือบางคน ชอบให้แสดงเรื่องแหล่งที่มา เหตุที่อ้างอิงถึง บุคคลที่น่าเชื่อถือ อย่างนี้ก็มี
นานาประการ...เรื่องนี้ ท่านผู้ถามก็ต้องพิจารณาบุคคล และอัธยาศัยของเขาด้วย

การคิดอยากจะช่วยคนอื่นนั้นเป็นเรื่องดี...หากแต่ธรรมทั้งหลายนั้น หาได้เกิดจากปัจจัยปัจจัยๆเดียว ก็หาไม่ ..เพราะติดขัดด้วยเหตุปัจจัยอะไรอะไรบางอย่าง...มีเหตุผลมากมายที่จะเป็นอุปสรรค "กั้น" ไม่ให้การช่วยนั้นสำเร็จลงได้ ..นี่ก็ต้องพิจารณาว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน กรรมนั่นเองจัดแจงมาให้เขาต้องเป็นไปเช่นนั้น ใครเล่าจะต้านกระแสกรรมได้ ย่อมไม่มี..

การช่วยนั้นเป็นเรื่องดี ก็จริง หากแต่การไม่ได้ช่วยหรือช่วยไม่ได้ ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ โดยที่เราเองหาเจตนาที่จะกลั่นแกล้ง ละเลยเพิกเฉยให้เขาผู้นั้นได้รับความเดือดร้อนนั้น ไม่มีเลย... หากเป็นเช่นนี้ การที่ท่านผู้ถามจะปล่อยใจให้เกิดความ เสียใจวิตกกังวล..กลับกลายเป็นบาปแก่ท่านชนิดหนึ่ง เรียกว่า "กุกกุจจะ" ได้แก่ความเสียใจในบาปที่ทำไปแล้ว หรือความเสียใจ เสียดายในบุญที่ไม่ได้ทำ ......นี้จะกระทำความกลัดกลุ้มให้เกิดในใจตัวท่านเองได้ นี้เป็นเรื่องไม่ควร

และข้อสำคัญ บางคน ก็แนะไม่ได้เลย ข้อนี้ เราเองก็ต้องยอมรับ เพราะคนหลงนั้นไม่รู้ว่าตัวเองหลง เพราะความสำคัญตน สำคัญว่าตนเองถูก ไม่ว่าใครจะว่าอะไรอย่างไรก็หาได้รับฟังเหตุผลไม่ เพราะปักใจ ดิ่งไปแล้วว่า ข้าพเจ้าคิดถูก ถูกกับใจของเขา ไม่ได้ถูกกับเหตุผลของธรรม ก็คนที่มีลักษณะอย่างนี้ นั่นแหละที่เรียกว่า" คนหลง" ..

จะเห็นว่า อดีตเหตุ ปัจจัยในอดีตนั่นแหละจะเป็นผู้ตัดสินว่า ใครคนไหนสามารถต่อยอดได้ หากมีบุญเก่าที่ทำไว้ดีแล้ว ก็สามารถต่อยอดได้ ด้วยการได้รับปัจจัยสนับสนุนแม้เพียงน้อยนิด
พึงเห็นเหมือนหนึ่งชาวนา ผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ลงในที่นานั้นไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ก็คราวใดคราวหนึ่งในฤดูแห่งฝน ฝนก็ได้ตกลงมาแล้ว ปัจจัยเดิมได้แก่เมล็ดพันธ์ นั้นนั่นแหละ ประกอบกับปัจจัยในปัจจุบัน มีที่นา น้ำฝน ลม และแสงแดด แร่ธาตุในนา ประกอบพร้อมกัน ณ บัดนั้น.... เพียงได้รับปัจจัยใหม่คือน้ำฝนนั่นเอง ต้นพืชก็ได้ถือกำเนิดเกิดเป็นต้น ในเวลาไม่นานนั่นเอง
ก็หากแม้มีปัจจัยอุปการะอย่างมากมายอย่างไร ....หากแต่ไม่มีเหตุในอดีตที่สั่งสมมา ก็ฝนนั้นก็ตกแล้ว ประกอบด้วยสายลม แสงแดด แร่ธาตุ และที่นากว้างขวางเพียงใด... ต้นพืชใดๆก็หาได้สามารถถือกำเนิดเกิดขึ้นมาได้ไม่...เพราะขาดเมล็ดพันธุ์ นั่นเทียว
ดังนั้น .....นี่เองที่เราท่าน พึงวางใจให้เป็นอุเบกขาไว้บ้าง เราท่านก็จะไม่กระสับกระส่ายใจเวลาเห็นใครๆเขาประสบกับ "อกุศลวิบาก" แล้วเราเองช่วยไม่ได้นะครับ..

อย่างไรก็ช่วยบอกคุณแม่ให้ทราบด้วยในเรื่องที่กล่าวมา อย่าให้ท่านปล่อยใจไปกับบาปเพราะวิตกกังวลเลย ในยามนี้ ท่านควรมีจิตเป็นไปกับกุศลให้มากน่าจะเป็นเรื่องที่เกษมปลอดภัยแก่ท่านเอง.. :b48: :b49: :b48:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2007, 11:39
โพสต์: 85

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



เริ่มในใจเรา

ทำ พูด คิด ทุกอย่าง ให้ประกอบด้วย

เมตตา ก่อน

แล้ว กรุณา

แล้ว มุทิตา


ทุกอย่าง ถ้าทำไม่ได้ ในที่สุด บางเรื่อง ก็ต้อง

อุเขกขา

"สัตว์ทั้งหลาย ล้วนมีกรรมเป็นของ ๆ ตน"


.........

ทุกข์ ไม่ต้องจัดการอะไร

ทุกข์ ก็กำหนดรู้


...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 20:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 03:38
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณคุณ dd และ aswakos มากค่ะ

คุณ dd คะ ดิฉันอ่านแล้ว น้ำตาไหล ไม่ทราบว่าด้วยเหตุใด

dd-และข้อสำคัญ บางคน ก็แนะไม่ได้เลย ข้อนี้ เราเองก็ต้องยอมรับ เพราะคนหลงนั้นไม่รู้ว่าตัวเองหลง เพราะความสำคัญตน สำคัญว่าตนเองถูก ไม่ว่าใครจะว่าอะไรอย่างไรก็หาได้รับฟังเหตุผลไม่ เพราะปักใจ ดิ่งไปแล้วว่า ข้าพเจ้าคิดถูก ถูกกับใจของเขา ไม่ได้ถูกกับเหตุผลของธรรม ก็คนที่มีลักษณะอย่างนี้ นั่นแหละที่เรียกว่า" คนหลง" ..
นี่ล่ะค่ะ ที่สำคัญเลย คนเราส่วนใหญ่ทุกข์โดยไม่รู้ตัวว่าอยู่ท่ามกลางทุกข์ เขาทำบาปโดยที่เขาเองไม่รู้ตัวว่ากระทำอยู่ และจะส่งผลใดในปัจจุบันและอนาคต


dd-บางคนชอบใจ พอใจที่จะให้บอกตรงๆ
แต่บางคน ชอบให้กล่าวโดยอ้อม เพราะไม่อยากถูกแนะ ไม่อยากถูกสอน
บางคนชอบการฟังเรื่องของคนอื่น เป็นอุปมา อุปมัย แล้วก็เกิดนำไปพิจารณาเรื่องของตนได้ เกิดโยนิโสได้ ก็มี
หรือบางคน ก็ต้องข่ม ต้องขู่ ก็มีเหมือนกัน
หรือบางคน ชอบให้แสดงเรื่องแหล่งที่มา เหตุที่อ้างอิงถึง บุคคลที่น่าเชื่อถือ อย่างนี้ก็มี
นานาประการ...เรื่องนี้ ท่านผู้ถามก็ต้องพิจารณาบุคคล และอัธยาศัยของเขาด้วย

เคยคิดว่าบอกสอนเขามานานับประการ แต่บางทีอาจจะสอนโดยไม่ถูกวิธี เช่น คุณ dd กล่าว ผลเลยเป็นเช่นนี้ เวลาคุยกันเขาเหมือนเข้าใจดี แต่ทำไม่ได้สักอย่าง เราคงทุกข์ที่ไปคาดหวังกับเขา คาดหวังว่าเขาจะมีชีวิตที่เป็นสุขตามสมควร พอเห็นเขาลำบากก็อดเป็นห่วงไม่ได้ นี่ถ้าวิบากใดๆนั้นเกิดกับตัวเราเอง คงจัดการได้ง่ายกว่านี้กระมัง

dd-อย่างไรก็ช่วยบอกคุณแม่ให้ทราบด้วยในเรื่องที่กล่าวมา อย่าให้ท่านปล่อยใจไปกับบาปเพราะวิตกกังวลเลย ในยามนี้ ท่านควรมีจิตเป็นไปกับกุศลให้มากน่าจะเป็นเรื่องที่เกษมปลอดภัยแก่ท่านเอง..
ขอบคุณในความกรุณาเป็นอย่างยิ่งค่ะ จะบอกท่านอย่างที่คุณ dd กล่าวมา แต่รู้สึกเป็นงานที่ไม่ง่ายเลยนะคะ


คุณ aswakos คะ

ทุกข์ ไม่ต้องจัดการอะไร

ทุกข์ ก็กำหนดรู้


ขอบคุณค่ะ จะพยายามนะคะ
กำหนดรู้นั้นพอไหว แต่พอกำหนดรู้แล้วจะ ละ
กลับยากจังค่ะ


แก้ไขล่าสุดโดย คาร์เนชั่น เมื่อ 12 มี.ค. 2010, 20:10, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 20:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 03:38
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งล่าสุด เขาโทรศัพท์มาบอกแม่ ตอนเที่ยงคืน ว่าเขาเป็นลมที่ป้ายรถเมล์
เมื่อตอนกลางวัน มีคนใจบุญนำส่งโรงพยาบาล

เท่านี้หัวใจคนเป็นยายก็แทบขาดแล้วค่ะ คิดไปต่างๆ นานา ว่าหลานเป็นลม
เพราะไม่มีเงินซี้อข้าวหรือไม่ หรือป่วยเป็นอะไร
อยากรับมาอยู่ด้วย แต่ก็ได้แต่คิด เพราะสุดท้ายเขาก็หนีกลับไปที่เดิมครั้งแล้วครั้งเล่า

ทุกครั้งที่วางอุเบกขา พอมีเรื่องแบบนี้ก็รู้ว่าแท้จริงไม่สามารถ ละ ได้เลย
เป็นอย่างนี้ตลอด

:b30: :b30: :b30:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 20:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


สัตว์ที่เกิดมาเป็นคนโดยเฉพาะวัยรุ่นในยุคปัจจุบัน ส่วนมาก มาจากสัตว์นรกหรือเดรัจฉานแทบทั้งนั้น ไม่ต้องไปคิดมากเรื่องนิสัย อุปนิสัย ที่ไม่ค่อยจะดี

พวกเทวดาจำนวนมาก รอคิวจะมาเกิด แต่ไม่มีที่ให้เกิด เพราะเหตุว่า มีแต่คนบาปเต็มไปหมด พ่อแก้ว แม่แก้ว ลูกแก้ว รวมสามแก้ว ... เมากันทั้งบ้าน

พวกที่มาจากนรก ก่อนเกิดก็บอกว่าเข็ดแล้วนรก จะเกิดมาทำบุญบ้างก็หวังถึงนิพพาน แต่มาหมดสติในท้องแม่ ๘-๙ เดือน ลืมเอาดื้อๆ ก็เลยออกมาเป็นอย่างที่เห็นนี้แหละ

รู้เขารู้เราแบบนี้แล้ว รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครัง

เราจะสั่งสอนคนให้เป็นคนดีนั้นไม่ได้ เพราะคนจะดีได้ต้องฝึกเอาเท่านั้น แนวทางการสอนของพระพุทธองค์ ก็คือ ให้ความจริง พอเขารับรู้ความจริงได้ ก็บอกวิธีให้เขาไปฝึกตัวเอง ตามความเป็นจริงหรือตามกฏของธรรมชาติทำได้แค่นี้ นอกจากคุณจะมีวิชาสะกดจิตสั่งให้เขาคิดทำอะไรตามใจคุณได้ :b12:

คนจะรับความจริงได้ ก้ต้องมีปัญญาติดตัวมาบ้าง และต้องมีบุญเป็นกำลังขับเคลื่อน

ข้อสำคัญ จะฝึกผู้อื่นให้ดีได้ คุณต้องฝึกตนเองให้ดีให้ได้ก่อน :b4:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 21:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มันเป็นวิบากนะคะ ช่วยยังไงก็ทำให้เขาเห็นผิดเป็นชอบไม่ได้ในตอนนี้ ที่ทำได้คือถือศีลทำสมาธิแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้เขาค่ะ แล้ววันนึงเมื่อชะตาลิขิตเขาจะดีขึ้นค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 21:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


chulapinan เขียน:
...แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้เขาค่ะ...
มันไม่ถึง ... อุทิศบุญกุศลให้มนุษย์เทวดาไม่ได้ นอกจากเขาจะอนุโมทนาเอาเอง

กินข้าวอิ่มแทนกันไม่ได้ ทำบุญให้กันก็ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าทำได้ นรกก็คงเงียบเหงา แค่มีคนมีบุญมากคนเดียวมาเกิดแล้วอุทิศบุญกุศลให้ทุกๆ คนในโลก
chulapinan เขียน:
แล้ววันนึงเมื่อชะตาลิขิตเขาจะดีขึ้นค่ะ
ไม่มีอะไรมาลิขิตชีวิตเราได้ ... กรรมหรือผลจากการกระทำเท่านั้นที่ลิขิต พูดง่ายๆ ก็คือ เรานั่นแหละลิขิตชีวิตเราเอง

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 12 มี.ค. 2010, 21:34, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


คาร์เนชั่น:

อ้างคำพูด:
เราคงทุกข์ที่ไปคาดหวังกับเขา คาดหวังว่าเขาจะมีชีวิตที่เป็นสุขตามสมควร พอเห็นเขาลำบากก็อดเป็นห่วงไม่ได้ นี่ถ้าวิบากใดๆนั้นเกิดกับตัวเราเอง คงจัดการได้ง่ายกว่านี้กระมัง
..

คงไม่ง่ายนักหรอกครับ เพราะเวลาที่ถูกกระทบด้วยอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนานั้น ใจที่ขาดความแยบคายเพราะไม่ได้เคยฟังคำสอนของพระพุทธเจ้ามาก่อนก็ย่อมตกไปอยู่กับฝักฝ่ายแห่งโทสะตามความเคยชิน...

ก็เวลานี้ คุณ[color=#008000]คาร์เนชั่นกำลังผจญกับอกุศลวิบากโดยตรง คือการต้องเกี่ยวข้องด้วยบริวารผู้หลงผิดอยู่ ถามว่าสามารถวางใจ"ยอมรับ"ได้โดยไม่ทุกข์อยู่หรือไม่..ทำได้ง่ายใหมครับ?..[/color] จึงพึงเข้าใจว่า นอกจากปัญญาที่ได้จากการคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มีกำลังพอแล้ เท่านั้นที่จะช่วยให้แก้ปัญหาได้อย่างไม่ต้องทุกข์ สิ่งอื่นไม่อาจช่วยได้เลย..

อ้างคำพูด:
เท่านี้หัวใจคนเป็นยายก็แทบขาดแล้วค่ะ คิดไปต่างๆ นานา ว่าหลานเป็นลม
เพราะไม่มีเงินซี้อข้าวหรือไม่ หรือป่วยเป็นอะไร
อยากรับมาอยู่ด้วย แต่ก็ได้แต่คิด เพราะสุดท้ายเขาก็หนีกลับไปที่เดิมครั้งแล้วครั้งเล่า


การที่จะคลายเยื่อใยเหนียวอันตนผูกไว้แล้วด้วยสำคัญผิดว่านั่นของเราย่อมทำได้ยากยิ่ง เพราะไม่เคยฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาคือไม่มีตนในที่ใหนๆ(ถ้าใครมาบอกว่ามีอัตตา ให้ทราบว่าเป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ เที่ยงที่จะติดอยู่ในวัฏฏะหาทางออกไม่เจอ)...การยึดถือว่าใครๆเป็นของเราก็ย่อมนำทุกข์มาให้ ยิ่งยึดมากก็ทุกข์มาก ..ลำพังทุกข์ที่ขันธ์๕ของตนก็บริหารกันด้วยทุกข์อุกฤษณ์แล้ว ยังไปยึดขันธ์๕นอกตัวอีก ก็ทุกข์ทวีคูณนั่นแหละ..

หากคุณแม่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมจริง ลองพาท่านไปฟังธรรมตามควรบ้างก็ดี หรือหาหนังสือธรรมะให้ท่านอ่านก็น่าจะเป็นบุญอันใหญ่หลวงครับ..

เรื่องของหลานนั้นก็เตือนคุณแม่ว่า เขาก็มาด้วยกรรมของเขา โปรดอย่าได้กังวลให้มากไปกว่านี้ดูเอาเถิด แม้คุณแม่จะเข้าอุปถัมภ์ให้เขาอยู่ดีมีสุข แต่เขากลับเลือกที่จะไปลำบาก นี่เพราะกรรมของเขาจัดแจงมาเช่นนี้ ใครจะ้ต้านทานกระแสกรรมได้ย่อมไม่มี ก็ขนาดพระพุทธเจ้ายังถูกพระเทวทัตกลิ้งหินใส่ ทั้งพยายามฆ่าหลายครั้ง ท่านก็ยังหลีกหลบกรรมไม่ได้เลย ขอให้คุณแม่วางใจให้เป็นอุเบกขาเถิด เพราะการปล่อยใจให้เศร้านั้นย่อมเป็นบาป มีผลให้ไปนรกทีเดียว อีกประการหนึ่ง เมื่อใจเป็นบาปย่อมยังรูปคือกายให้เสียหาย มีการล้มป่วยด้วยโรคต่างๆ หากสิ้นชีวิตลงเวลาใจเศร้าหมองย่อมได้เกิดในอบายทุคติ...หากคุณแม่จะกรุณาลดความวิตกลง ลูกก็จะพลอยมีความสุขด้วย แต่เพราะเห็นคุณแม่ทุกข์โทมนัสอยู่ลูกย่อมพลอยเดือดร้อนไปด้วย ยิ่งหากคุณแม่เจ็บป่วยลง ลูกก็ย่อมเดือดร้อนเพิ่มขึ้นอีกทบเท่าทวีคูณเพราะความรักห่วงใยปรารถนาให้คุณแม่อยู่เป็นมิ่งขวัญแก่ลูกตลอดกาลนาน คุณแม่ไม่ห่วงลูกบ้างหรือ....??

:b46: :b47: :b48:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


แก้ไขล่าสุดโดย -dd- เมื่อ 12 มี.ค. 2010, 21:43, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 22:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 03:38
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณกัลญาณมิตรทุกท่าน ที่เตือนสตินะคะ

เพราะบางครั้งความทุกข์ใจก็ทำให้สติหายไปได้
บางครั้งฟังธรรม ศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม มาบ้างแล้ว พอความทุกข์มาเยือนก็ได้รู้ว่า
เราเองนั้นเพียงแต่รู้ธรรมะ ไม่ได้เห็นธรรมะ
จึงตั้งรับมันไม่ทัน

เวลาที่พิจารณาทุกข์ตนเอง แล้วเห็นว่าเหตุแห่งทุกข์นี้ เป็นเพราะการยึดมั่น ถือมั่น
ว่าเป็นของเรา ทำให้ทุกข์ เพราะปัญหาแบบนี้มีออกเกลื่อนเมือง แย่กว่านี้ก็มี
เราก็ไม่ไปทุกข์กับเขาด้วย

แต่อีกใจก็แย้งว่า หากละอัตตาอันนี้ออกไป และเพียรรักษาใจตนให้อยู่ในสภาวะปกติไว้
มันเหมือนเอาตัวรอดคนเดียวหรือไม่ แล้วเราจะรอดไปคนเดียวปล่อยให้คนรอบข้างที่มืดบอด
ล้มลุกคลุกคลานต่อไป ไม่รู้เราจะมีแก่ใจทำได้ไหม

เคยถามผู้รู้เขาก็เคยบอกค่ะว่าก่อนที่จะช่วยคนอื่นให้รอด ก็ต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน
สำหรับตัวเอง เท่านี้ก็เห็นแล้วค่ะว่า ลำพังถึงแม้รู้ทางรอด ก็ไม่แน่ว่าจะเอาตัวรอดได้

เพราะปกติแล้วเรื่องอื่นๆในชีวิต ค่อนข้างเรียบร้อยดี ไม่ใช่คนที่จะทุกข์ใจกับเรื่องอะไรง่ายๆ
ทั้งการงานและครอบครัว แม้มีปัญหาบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องจะต้องทุกข์ใจอะไร

พอมาพบเรื่องแบบนี้บางทีก็ตันเหมือนกันนะคะ
แต่มันก็คงเหมือนเราเรียนมาบ้างแล้ว ก็คงต้องทำข้อสอบกันบ้าง ( รอบนี้สอบตกไปเรียบร้อยแล้วค่ะ )
แต่มันก็คงต้องผ่านไปให้ได้
ทุกข์ เท่านั้น เกิดขึ้น
ทุกข์ เท่านั้น ตั้งอยู่
ทุกข์ เท่านั้น ดับไป

อ่านความเห็นของทุกท่านกลับไปมาหลายรอบ ทำให้ได้สติมากขึ้นค่ะ

ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งนะคะ
:b8: :b8: :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 23:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 03:38
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ Supareak Mulpong คะ

แล้วถ้าหาก นั่งสมาธิ แล้วหมั่นแผ่ส่วนบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของหลาน

จะเกิดผลไหมคะ

เขาจะเกิดสัมมาทิฐิได้บ้างไหม

ผ่อนจากหนักเป็นเบาได้หรือไม่ อย่างไร

รบกวนด้วยนะคะ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มี.ค. 2010, 19:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แล้วถ้าหาก นั่งสมาธิ แล้วหมั่นแผ่ส่วนบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรของหลาน

จะเกิดผลไหมคะ

เขาจะเกิดสัมมาทิฐิได้บ้างไหม

ผ่อนจากหนักเป็นเบาได้หรือไม่ อย่างไร
แผ่ส่วนบุญก็พอได้ แต่ให้เขาทำเองจะดีกว่า ไม่ต้องไปนั่งสมาธิ ให้ทำบุญ ใส่บาตร หลังทำบุญ ก็อุทิศให้ได้ จะได้เฉพาะพวกที่เป็นเปรตเท่านั้น พวกเปรต ใครอุทิศส่วนบุญให้ก็ได้ ได้รับหมด

สัมมาทิฐิ หรือความเห็นที่ถูกต้อง ได้จากการสดับรับฟังแต่ผู้อื่น คือได้รับรู้เรื่องความจริงของโลกและชีวิต กับการฝึกสร้างความเห็นที่ชอบ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน สัมมาทิฏฐิที่มั่นคงจริงๆ ถึงจะเกิดได้ เป็นเรื่องที่เกิดเฉพาะตน ไม่มีใครทำให้ได้ ถ้าฟังแล้วรับไม่ได้ ... ก็เอวัง พระพุทธองคค์จึงตรัสว่าไม่มีอะไรแลวร้ายเท่ามิจฉาทิฏฐิ

ที่เราพอจะทำได้ คือ ให้เขาทำบุญหรือให้เขารู้จุกอนุโมทนาบุญที่เราทำ ให้ความจริงเกี่ยวกับโลกและชีวิต หรือชักชวนเขาให้มาฟังธรรมจากสัตบุรุษ ก็ต้องรอจังหวะเวลาและโอกาส .... :b38:

ขนาดพระสารีบุตร ยังทำให้แม่ของตัวเองเกิดมีดวงตาเห็นธรรม ได้ในวันที่ท่านดับขันธ์ปรินิพาน ... เรื่องที่ให้ยากที่สุด ก็คือให้ความจริงนี่แหละ

ก็อย่าลืมนะ จะช่วยคนตกน้ำ ก็ต้องหัดว่ายน้ำให้แข็งก่อน ไม่งั้นจมน้ำตายทั้งคู่ เมตตาก็เป็นความดี แต่ถ้าช่วยแบบเตี้ยอุ้มค่อม มันไม่เข้าท่า แต่ถ้าหนักแน่นเหมือนหัวจักรรถไฟ ลากโบ้ได้เป็นสิบๆโบกี้ :b13:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 13 มี.ค. 2010, 19:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร