วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 02:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


Facebook ลานธรรมจักร - http://www.facebook.com/larndhammajak
ห้องแชดสนทนาธรรม - http://www.dhammajak.net/chat/



กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 18:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 22:29
โพสต์: 77

อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ผมอยากให้เพื่อน ๆ ที่อ่านกะทู้นี้ ช่วยกันร่วมแสดงความคิดเห็นเรื่อง...ในหลวงของฉัน คือผมอยากได้รายละเอียดครบทุกแง่มุม ทั้งพระราชประวัติ พระอัจฉริยภาพด้านต่าง ๆ ตลอดจนพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อประชาชนของพระองค์ เพื่อที่ผมจะได้ทำการบันทึกและจัดเก็บเข้าในไดอารี่ส่วนตัว ไว้ให้รุ่นลูก รุ่นหลานเอาไว้ดู และศึกษาถึงคุณงาม ความดีของพระองค์ท่าน ครับ

ด้วยความเคารพ


กฤษฏ์ เทพทิพย์

.....................................................
บุคคลขาดสติย่อมนำชีวิตไปสู่ความทุกข์ความล้มเหลวฉันใด ในทางตรงกันข้าม บุคคลผู้มีสติสมบูรณ์ มีสติชอบ (สัมมาสติ) ย่อมนำชีวิตไปสู่ความสุขความรุ่งเรืองฉันนั้น และความแตกต่างระหว่างปุถุชนกับพระอรหันต์ก็อยู่ตรงนี้ คือ ปุถุชนมีสติไม่สมบูรณ์ ส่วนพระอรหันต์มีสติสมบูรณ์ ปุถุชนจึงต้องหัวเราะบ้าง ร้องให้บ้าง ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เพราะเผลอสติ ส่วนพระอรหันต์ท่านไม่มีไม่เป็นอย่างนั้น.....กฤษฏ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 21:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 22:29
โพสต์: 77

อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


"ข้าวผัดไข่ดาว"


ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เล่าเรื่อง ข้าวผัดไข่ดาวของในหลวงไว้ว่า

"วันหนึ่งเสด็จฯ เขาค้อ เปิดอนุสาวรีย์ พอเปิดอนุสาวรีย์เสร็จ พระองค์ท่านก็ขอกลับไปที่ตำหนักเพื่อจะทรงเปลี่ยนฉลองพระบาท เพราะเดี๋ยวจะไปดูงานในป่าดง...เราก็ไม่ได้ทานข้าว ไม่มีใครได้ทานข้าว ตอนนั้นบ่ายสองโมงแล้ว กว่าจะเปลี่ยนฉลองพระบาทสักยี่สิบนาทีน่าจะพุ้ยข้าวทัน ก็รีบวิ่งไปห้องอาหารที่เตรียมไว้ ปรากฏว่าพวกที่ไม่ได้ตามเสด็จเขาทานกันหมดแล้ว ในนั้นจึงเหลือแต่ข้าวผัดติดก้นกระทะกับมีไข่ดาวทิ้งแห้งไว้ 3-4 ใบ เราก็ตัก เห็นมีข้าวอยู่จานหนึ่งวางไว้ มีข้าวผัดเหมือนอย่างเรา ไข่ดาวโปะใบหนึ่ง มีน้ำปลาถ้วยหนึ่งวางอยู่ เพื่อนผมก็ไปหยิบมา มหาดเล็กบอกว่า

"ไม่ได้ ๆ ของพระเจ้าอยู่หัว ท่านรับสั่งให้มาตัก"

ดูสิครับ ตักมาจากก้นกระทะเลย ผมนี่น้ำตาแทบไหลเลย ท่านเสวยเหมือน ๆ กับเรา..."

อ้างถึง
ที่มา : จากหนังสือเรื่อง 100เรื่องในหลวงของฉัน (วิทย์ บัณฑิตกุล รวบรวม)

.....................................................
บุคคลขาดสติย่อมนำชีวิตไปสู่ความทุกข์ความล้มเหลวฉันใด ในทางตรงกันข้าม บุคคลผู้มีสติสมบูรณ์ มีสติชอบ (สัมมาสติ) ย่อมนำชีวิตไปสู่ความสุขความรุ่งเรืองฉันนั้น และความแตกต่างระหว่างปุถุชนกับพระอรหันต์ก็อยู่ตรงนี้ คือ ปุถุชนมีสติไม่สมบูรณ์ ส่วนพระอรหันต์มีสติสมบูรณ์ ปุถุชนจึงต้องหัวเราะบ้าง ร้องให้บ้าง ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เพราะเผลอสติ ส่วนพระอรหันต์ท่านไม่มีไม่เป็นอย่างนั้น.....กฤษฏ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 23:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หอบของมาช่วยงาน


เรื่องเล่าจากในวัง

ผมมีเรื่องที่จะเล่าให้ฟังอยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องจริงเหตุการณ์เกิดทีจังหวัดตาก
เมื่อพระเทพทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ
และได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสด
และถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลา
ซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า 'ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ'
แม่ค้าตอบว่า 'ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท
และที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80 บาทจ๊ะ'
เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน


---------------------------------------

เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า
นางสนองพระโอษฐ์ของฟ้าหญิงองค์เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับฟ้าหญิง
ทางนางสนองพระโอษฐ์ ก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย
ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า คนที่แบงค์
นางสนองพระโอฐก็ งง...งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก็ยังไม่เปิดนี่หว่า
แต่พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ
ก็ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิดกระเป๋าตังค์
แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ ............ ขนลุกเลย ทรงตรัสกับในหลวงท่านอยู่นั่นเอง


------------------------------------

อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน
เมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง
ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูล
ที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน
เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า
'ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่าบัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้า..'
มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน
ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว..
พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า
มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป
ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย
และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว'
เรื่องนี้ ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง


-------------------------------------

เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น
เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ
ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า 'ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์'


--------------------------------------

เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน
ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงาน
ว่า 'ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม
ข้าพระพุทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต กราบบังคมทูลรายงาน ฯลฯ'
เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวล อย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า
'เออ ดี เราชื่อเดียวกัน...'
ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย
เพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้


-----------------------------------

มีอยู่ครั้งหนึ่งทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย
ทรงโปรดสูบมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า 'ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า'
ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆ กับอธิการบดีว่า
'เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก'


------------------------------------

เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่า ในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร
อยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว
แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า
'ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์'
ในหลวงทรงตรัสว่า 'ขอเดชะ พระหมดแล้ว '


------------------------------------

วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด
ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย
พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท
ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท
แล้วก็เอามือของแกมาจับพระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็พูดว่า
'ยายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง'
แล้วก็พูดว่า ยายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมาย
แต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร
แต่พวกข้าราชบริพารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัย หรือไม่
แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น
ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า
'เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ
ต้องเรียกน้าซิถึงจะถูก'


-------------------

ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว
พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวีมีพระอาการคัน
มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษา

คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์
ก็กราบบังคมทูลว่า 'เอ้อ - ทรง... อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ
อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ'
พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า 'ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่จะท้องได้ยังไง'
แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่า หมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ
ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า เอ้า พูดภาษาอังกฤษกันเถอะ
เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษไป


------------------------------

เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า
มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร
อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่า มีเหตุขัดข้องบางประการ
ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว
ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า
'เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว'
และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ...
ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป
พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว
ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท
ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้ง
เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม
ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน


หอบมาช่วยงาน

...

งมงาย

...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.พ. 2010, 20:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 22:29
โพสต์: 77

อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมตั้งกะทู้...คนไทยรักในหลวง..."ในหลวงของฉัน" ไว้ที่เว็บบอร์ดของ อรุณสวัสดิ์ดอทคอม และกับเว็บบอร์ดของธรรมจักรคอทเน็ต...นี้

มีผู้ตอบกะทู้ท่านหนึ่งในอรุณสวัสดิ์ดอทคอม...น่าเห็นใจท่านผู้นี้มาก เป็นข้าราชการอยู่ที่เชียงใหม่ ผมอยากให้เพื่อน ๆ ในเว็บบอร์ดนี้ได้ดู โดยเฉพาะคุณหลวงจีนงมงาย ช่วยดูแล้วแสดงความคิดเห็น หรือส่งกำลังใจให้คุณ Amorn ด้วยครับ...รายละเอียดข้อความมีดังนี้
...............................................................................................................
...พระองค์ท่านเป็นเหตุผลเดียว...ที่ยังทำให้ดิฉันยืนหยัดประกอบ อาชีพเป็นข้าราชการอยู่....
เป็นหนังหน้าไฟ..ที่แม้บางครั้ง...ยอมแพ้ ..ท้อถอยจนไม่อยากจะเผชิญหน้ากับอะไรอีก....
ก็ได้แต่ปลอบใจตัวเอง...ทำ งานรับใช้พระองค์ท่าน...เท่านั้น....ทำให้สบายใจขึ้นเยอะ
...............................................................................................................

ส่วนของผมส่งมอบกำลังใจให้ท่านผู้นี้...ดังนี้ครับ

ตลอดเวลากว่า 60 ปีที่ทรงครองราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเอนกประการ อันเป็นคุณประโยชน์ใหญ่หลวง ทรงอุทิศเวลาทั้งหมดของพระองค์ เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาความทุกข์ร้อนของราษฏรอย่างไม่ทรงเหน็ดเหนื่อย ด้วยเหตุนี้ "คนไทยจึงรักในหลวงเป็นยิ่งนัก"
.......................................................................

K. Amorn นั้นประกอบอาชีพข้าราชการอยู่...จึงถือได้ว่าคุณ คือข้าราชบริภารคนหนึ่งในอีกหลาย ๆ บุคคล ที่ต้องทำงานรับใช้ประชาชนแทน "พระองค์ท่าน" เสมือนเป็นหนังหน้าไฟ...

อย่ายอมแพ้...ท้อถอยครับ ถือซ่ะว่าคุณทำงานให้ประชาชนแทนพระองค์ท่าน...จะดีกว่าครับ ผมว่าคิดเพียงเท่านี้ก็สบายใจแล้วครับ

การทำความดีนั้นถึงคนจะไม่ เห็น แต่ ผมว่า "ฟ้า ดิน" เห็นครับ

ผมขอเป็น "กำลังใจ" ให้คุณอีกคนหนึ่ง...ครับ


กฤษฏ์

.....................................................
บุคคลขาดสติย่อมนำชีวิตไปสู่ความทุกข์ความล้มเหลวฉันใด ในทางตรงกันข้าม บุคคลผู้มีสติสมบูรณ์ มีสติชอบ (สัมมาสติ) ย่อมนำชีวิตไปสู่ความสุขความรุ่งเรืองฉันนั้น และความแตกต่างระหว่างปุถุชนกับพระอรหันต์ก็อยู่ตรงนี้ คือ ปุถุชนมีสติไม่สมบูรณ์ ส่วนพระอรหันต์มีสติสมบูรณ์ ปุถุชนจึงต้องหัวเราะบ้าง ร้องให้บ้าง ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เพราะเผลอสติ ส่วนพระอรหันต์ท่านไม่มีไม่เป็นอย่างนั้น.....กฤษฏ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.พ. 2010, 20:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 22:29
โพสต์: 77

อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ..คุณกฤษณ์

รักในหลวงเหมือนกัน...

ร่วมกันแสดงความ รักที่คนไทยมีต่อในหลวงให้โลกได้รับรู้

http://www.thailoveking.com/

ช่วย กันคนละ 1 click เพื่อให้ website นี้ติดอันดับหนึ่งของโลกให้ได้ ทราบแล้วอย่าลืมบอกต่อกันด้วยนะคะ

ขอขอบคุณ www.อรุณสวัสดิ์.คอม / โดยคุณ deejai

.....................................................
บุคคลขาดสติย่อมนำชีวิตไปสู่ความทุกข์ความล้มเหลวฉันใด ในทางตรงกันข้าม บุคคลผู้มีสติสมบูรณ์ มีสติชอบ (สัมมาสติ) ย่อมนำชีวิตไปสู่ความสุขความรุ่งเรืองฉันนั้น และความแตกต่างระหว่างปุถุชนกับพระอรหันต์ก็อยู่ตรงนี้ คือ ปุถุชนมีสติไม่สมบูรณ์ ส่วนพระอรหันต์มีสติสมบูรณ์ ปุถุชนจึงต้องหัวเราะบ้าง ร้องให้บ้าง ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เพราะเผลอสติ ส่วนพระอรหันต์ท่านไม่มีไม่เป็นอย่างนั้น.....กฤษฏ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2010, 09:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 22:29
โพสต์: 77

อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตแจ้งข่าวดีครับ


ในหลวง เสด็จสวนจิตรฯ


ปฏิบัติ'พระกรณียกิจ'เป็นการส่วน พระองค์ศิริราชยังให้ถวายพร

พสกนิกร สุดปลื้ม รับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ออกจาก รพ.ศิริราชโดยในหลวงทรงมีพระพักตร์แจ่มใส เสด็จฯ ถวายสักการะพระรูปพระบรมราชชนก และพระบรมราชชนนี รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อนประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จฯ ยังพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เพื่อไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจส่วนพระองค์ ขณะที่สำนักพระราชวังแจ้งยังเปิดให้ประชาชนมาลงนามถวายพระพรตามปกติ โดยยอดผู้ถวายพระพรล่าสุดกว่า 2.1 ล้านรายชื่อ

เมื่อช่วงค่ำวันที่ 27 ก.พ. พสกนิกรต่างปลาบปลื้มปีติที่ได้เฝ้ารับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างใกล้ชิดอีกครั้ง โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 20.30 น. ที่บริเวณใต้อาคารเฉลิมพระเกียรติและบริเวณพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลา ธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ก็เนืองแน่นไปด้วยประชาชนที่ทราบข่าวว่าในหลวงจะเสด็จฯ ออกจาก รพ.ศิริราช ได้มาจับจองที่นั่งเพื่อรอเฝ้ารับเสด็จ

กระทั่งเวลาประมาณ 20.50 น. พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯลงมาจากชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โดยประทับนั่งรถเข็นไฟฟ้า ทรงฉลองพระองค์เสื้อแจ็กเกตสีชมพู ทับฉลองพระองค์เสื้อเชิ้ต พระสนับเพลาสีเข้ม พระพักตร์ แจ่มใส พระหัตถ์ขวาทรงถือสายจูงคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง ซึ่งสวมเสื้อกล้ามสีฟ้าขลิบขาว ในการนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ รศ.นพ.ประดิษฐ์ ปัญจวีนิน หัวหน้าศูนย์ หัวใจสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ รพ.ศิริราช เข็นรถเข็นพระที่นั่งถวายไปสักการะพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก จากนั้นเสด็จฯทางลาดด้านอาคาร 100 ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ มายังศาลาศิริราช 100 ปี ทรงนำพวงมาลัยถวายราชสักการะพระรูปหล่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งตลอดสองข้างทางที่เสด็จฯผ่าน มีประชาชนที่ทราบข่าวมารอเฝ้ารับเสด็จจำนวนมาก และต่างเปล่งเสียงทรงพระเจริญ บางคนหลั่งนํ้าตาด้วยความตื้นตันใจ

ต่อ มาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประทับรถเข็นเสด็จฯจากศาลาศิริราช 100 ปี ไปยังท่านํ้า รพ.ศิริราช ทรงนำพวงมาลัยถวายสักการะพระพุทธเมตตากรุณาพร แล้วทรงใช้เวลาช่วงหนึ่งประทับทอดพระเนตรทัศนียภาพแม่นํ้าเจ้าพระยา กระทั่งเวลา 21.25 น. จึงเสด็จฯประทับรถยนต์พระที่นั่ง เพื่อเสด็จฯไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจส่วนพระองค์ ยังพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต และจะเสด็จฯกลับมาประทับยัง รพ.ศิริราชอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังยังได้แจ้งว่า ประชาชนที่จะเดินทางมาถวายพระพรที่ศาลาศิริราช 100 ปี ในวันที่28 ก.พ. ยังสามารถเดินทางมาได้ตามปกติ

ด้านนางจิต เครือวงศ์ อายุ 62 ปี กล่าวด้วยความตื้นตันใจที่ได้เฝ้ารับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า หลังจากที่ในหลวงเสด็จฯมาประทับรักษาพระอาการประชวรที่ รพ.ศิริราช เมื่อวันที่ 20 ก.ย.ปีกลาย ได้ตัดสินใจหยุดแข่งวิ่งมาราธอน ซึ่งเป็นสิ่งที่ชอบและทำติดต่อกันมายาวนานมาเฝ้าฯพระองค์ที่ รพ.ศิริราช ตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย. โดยจะเดินทางมาในเวลา 09.00 น. และเดินทางกลับบ้านเวลา 21.00 น. ทุกวัน และวันนี้ทราบว่าท่านจะเสด็จฯลงจากอาคารจึงมารอเฝ้าฯด้วยความหวังว่าจะได้ เห็นท่านอย่างใกล้ชิด ซึ่งไม่ผิดหวังเลย ดีใจที่ท่านทรงมีพระพักตร์แจ่มใส ทราบว่าท่านจะเสด็จฯกลับมาอีก จึงจะเฝ้าฯจนกว่าท่านจะเป็นปกติ

สำหรับ การลงนามถวายพระพรในหลวงที่ศาลาศิริราช 100 ปี ตลอดทั้งวัน คณะบุคคลทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนประชาชนทั่วไปจากทั่วสารทิศ เดินทางมาลงนามถวายพระพรและอธิษฐานจิตต่อพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิ เบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ อาทิ คณะครูนักเรียนสตรีราชูทิศ จ.อุดรธานี พร้อมด้วยคณะกรรมการสมาคมผู้ปกครองและครู คณะครู และนักเรียนวิทยาลัยการอาชีพนครปฐม (วัดไร่ขิง) คณะครูกลุ่มสาระเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย คณะทำงานโครงการพระราชดำริ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยะลา นราธิวาส ปัตตานี) สมาชิกชมรมผู้สูงอายุศูนย์สุขภาพชุมชน โรงพยาบาลพล อ.พล จ.ขอนแก่น ฯลฯ

ขณะเดียวกัน มีประชาชนนำดอกไม้ อาหาร และสิ่งมงคลมาทูลเกล้าฯถวายพระพรให้ในหลวงทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง และทรงมีพระเกษมสำราญ อาทิ ดอกไม้ประดิษฐ์จากธนบัตรรวมมูลค่า 10,000 บาท จาก น.ส.ภาวินี ปุณณกันต์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดตรัง พระบรมสาทิสลักษณ์จากการปักผ้าคอสติสของครอบครัว "เขมะรัตนา" ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพ จาก น.ส.สายชล จันทร์เจริญผล ชาวบ้านย่านดินแดง กทม. กระเช้าผลไม้จากชมรมอาสาสมัครสาธารณสุข กรุงเทพฯ ขณะที่คณะลูกเสือชาวบ้าน กทม. คณะครูและนักเรียน ร.ร.เทศบาลเขาพิทักษ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ต่างก็ทูลเกล้าฯถวายแจกันดอกไม้ คณะพระสงฆ์และสามเณร 80 รูป จากโรงเรียนบาลีสาธิตศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ (วัดสวนดอก) อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ทูลเกล้าฯ ถวายพระพุทธรูปพระเจ้าเก้าตื้อขนาดหน้าตัก 5 นิ้ว และอธิษฐานจิตถวายพระพร ให้ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง เจริญพระชนมายุยิ่งยืนนาน

ขณะที่สำนักพระราชวังสรุปยอดประชาชนเดิน ทางมาลงนามถวายพระพร ที่ศาลาศิริราช 100 ปี รพ.ศิริราช ตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย. 2552 ถึงวันที่ 26 ก.พ. 2553 มีจำนวนทั้งสิ้น 2,142,558 รายชื่อ
..................................
* โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์
* 28 กุมภาพันธ์ 2553, 02:18 น.

.....................................................
บุคคลขาดสติย่อมนำชีวิตไปสู่ความทุกข์ความล้มเหลวฉันใด ในทางตรงกันข้าม บุคคลผู้มีสติสมบูรณ์ มีสติชอบ (สัมมาสติ) ย่อมนำชีวิตไปสู่ความสุขความรุ่งเรืองฉันนั้น และความแตกต่างระหว่างปุถุชนกับพระอรหันต์ก็อยู่ตรงนี้ คือ ปุถุชนมีสติไม่สมบูรณ์ ส่วนพระอรหันต์มีสติสมบูรณ์ ปุถุชนจึงต้องหัวเราะบ้าง ร้องให้บ้าง ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เพราะเผลอสติ ส่วนพระอรหันต์ท่านไม่มีไม่เป็นอย่างนั้น.....กฤษฏ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 12:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 22:29
โพสต์: 77

อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
ผมดูภาพจากภาพนี้แล้วหลาย ๆ ครั้ง พูดไม่ออกครับ ตื้นตันใจ บอกไม่ถูกครับ ตอบได้คำเดียวว่า "ไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ" ครับจากภาพ ภาพนี้

.....................................................
บุคคลขาดสติย่อมนำชีวิตไปสู่ความทุกข์ความล้มเหลวฉันใด ในทางตรงกันข้าม บุคคลผู้มีสติสมบูรณ์ มีสติชอบ (สัมมาสติ) ย่อมนำชีวิตไปสู่ความสุขความรุ่งเรืองฉันนั้น และความแตกต่างระหว่างปุถุชนกับพระอรหันต์ก็อยู่ตรงนี้ คือ ปุถุชนมีสติไม่สมบูรณ์ ส่วนพระอรหันต์มีสติสมบูรณ์ ปุถุชนจึงต้องหัวเราะบ้าง ร้องให้บ้าง ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เพราะเผลอสติ ส่วนพระอรหันต์ท่านไม่มีไม่เป็นอย่างนั้น.....กฤษฏ์


แก้ไขล่าสุดโดย krit_2112_tt เมื่อ 07 มี.ค. 2010, 12:32, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 15:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 22:29
โพสต์: 77

อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้ เราทำอะไรเพื่อ "ในหลวง" หรือยัง?


ที่ผ่านมา ข่าว คนไทย ใส่ เสื้อเหลือง สวม สายรัดข้อมือ เพื่อแสดงความจงรักภักดีแด่ ในหลวง พระเจ้าอยู่หัว ขณะเดียวกัน เราเรียกร้อง ประชาธิปไตย เรากำลังฆ่ากันเองทุกวัน เราสร้าง กฎ หมู่เหนือ กฎหมาย เราแตกแยกกัน แต่เคยหยุดคิดกันบ้างไหมว่า พ่อหลวง พระมหากษัตริย์ จะทรงเสียพระทัยเพียงใด กษัตริย์ แห่ง ราชวงศ์จักรี จะทรงเหนื่อยเพียงใด...............


หนึ่งปีที่ผ่านมา......

เรา .. ใส่เสื้อเหลือง
เรา .. ใส่สายรัดข้อมือสีเหลือง
... คนนับแสนไปนั่งรอเป็นชั่วโมงๆ หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม .. เพียงเพื่อจะได้เห็นพระพักตร์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพียงไม่กี่ นาที

วันนั้น ...

ในขณะที่ทั้งโลกเริ่มเสื่อมศรัทธาในระบบการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็น ประมุข .. เราได้แสดงให้โลกได้เห็นว่ามีประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่ง .. ที่คนทั้งชาติยังซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อราชวงศ์จักรีและพระมหากษัตริย์อัน ทรงเป็นที่รักยิ่งของคนไทย

สิบสองปีที่ผ่านมา......

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนักด้วยโรคหัวใจ .. เพราะทรงงานหนักเกินไป

ในขณะเดียวกัน .. สมเด็จพระราชชนนีก็ทรงพระประชวรหนักอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราชเช่นกัน

เรายังจำรูปในหนังสือพิมพ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิน ไปทรงเยี่ยมพระราชชนนีไม่กี่วันหลังจากการผ่าตัดใหญ่ถวาย ..พระหัตถ์ข้างหนึ่งกุมอยู่ที่พระอุระและในพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งทรงถือม้วน แผนที่กรุงเทพฯ เพราะน้ำกำลังท่วมกรุงอยู่

ยังจำกันได้ไหม ?

34 ปีที่ผ่านมา.....

วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เป็นครั้งแรกในรัชกาลที่เกิดวิกฤติด้านการเมืองรุนแรงที่สุด วันนั้น .. นิสิตนักศึกษาและประชาชนนับหมื่นนับแสนเดินขบวนประท้วงรัฐบาล

เหตุการณ์ร้ายแรงยิ่งขึ้น ตำรวจทหารยิงประชาชน ในขณะที่นิสิตนักศึกษาก็เผาสถานที่ราชการ เกิดกลียุคทุกหย่อมหญ้า คนไทยฆ่าคนไทยด้วยกันเอง

คืนนั้น สถานีโทรทัศน์ทุกช่องถ่ายทอดสดจากพระราชวังสวนจิตรลดา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสกันคนไทยทุกคนว่า “ คนไทยจะฆ่าคนไทยด้วยกันไม่ได้ ทุกอย่างต้องสงบโดยฉับพลัน ”

และทุกอย่างก็สงบโดยฉับพลัน

... หลังจากนั้นไม่นาน มีฝรั่งคนหนึ่งมาถามผมว่า “ เป็นไปได้อย่างไร ที่คนๆ เดียวจะมีอำนาจเหนือคนทั้งประเทศได้อย่างนั้น ?”

... ผมไม่ได้ตอบ .. แต่ตอนนั้นใจผมคิดถึงประโยคที่ มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมชฯ ได้ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ BBC ว่าพระองค์ทรงเป็น "SOUL OF THE NATION" หรือ “ จิตวิญญาณของคนไทยทั้งชาติ ”

ยังจำกันได้ ไหม ?

แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่ ?

เรา.. สร้างค่านิยมผิดๆ ว่าคนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่มีเงินมากที่สุดเรา .. โกงทุกครั้งที่มีโอกาส

เรา .. เรียกร้องประชาธิปไตยโดยคิดถึงแต่ “ สิทธิ ” แต่ลืมคำว่า “ หน้าที่ ”

เรา .. กำลังฆ่ากันเองทุกวันในภาคใต้

เรา .. สร้าง “ กฎหมู่ ” ให้เหนือ “ กฎหมาย ”

เรา .. เดินขบวนประท้วงในทุกอย่างที่เราไม่เห็นด้วย

เรา .. ก้าวร้าวต่อกัน เราแตกแยกกัน

.. และทั้งโลกกำลังจับตามองเราอยู่
.. เราเคยหยุดคิดกันบ้างไหมว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา .. จะทรงเสียพระทัยเพียงใด ?

......................................................



80 ชันษาของพระองค์ท่าน

หากเปรียบกับคนธรรมดาก็สมควรที่จะได้พักเต็มที่ ได้รับการดูแลและระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่สมควรที่จะตรากตรำทำงานหนัก หรือกระทบกระเทือนใจแต่อย่างใด

แต่กลับเป็นว่า ในปีที่ครบ 80 ชันษาของพระองค์ ท่านยังต้องทรงงานอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ทรงต้องอยู่ภายใต้การถวายการดูแลของคณะแพทย์ พระองค์ต้องรับทุกข์ของคนไทยทั้งชาติ

ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้

.. ไม่ใช่จะประทับอยู่ในพระราชวังใหญ่โตสวยงาม แห่ล้อมด้วยข้าราชบริพาร

หากแต่ความสุขของพระมหากษัตริย์พระองค์นี้คือ

.. เมื่อประชาชนของพระองค์ท่านรักสามัคคีกัน .. รู้จักความพอเพียงและมีสติ .. เพียงเท่านี้เอง

แล้ววันนี้เรากำลังทำอะไรกันอยู่ ?

หรือนี่คือการแสดงความกตเวทีต่อพระมหากษัตริย์ของเรา ?

................................................



ได้รับฟอร์เวิร์ดเมล์ฉบับนี้มา อยากให้ทุกคนได้อ่านนะคะ ไม่ทราบว่าใครเป็นคนเขียน แต่ยังไงก็อยากขอบคุณ ที่ช่วยเตือนสติคนไทยทุกคนให้ได้รู้สึกตัวว่า ..

ปากที่ส่งเสียง .. "ขอจงทรงพระเจริญ" นั้น .. ตัวตนที่ใส่เสื้อเหลืองเพื่อแสดงถึงความจงรักและภักดีต่อในหลวงของเรานั้น .. เป็นการกระทำที่ออกมาจากใจจริงของท่านหรือเปล่า?

หรือทำไปแค่เพราะ .. ที่ทำงานกำหนดให้ใส่เป็นเครื่องแบบ .. โรงเรียนบังคับให้ใส่ .. เท่านั้นเอง .. และถ้าการใส่เสื้อเหลืองของคุณและการสวมสายรัดข้อมือของคุณคือการแสดงออกถึง ความรักและภักดีจริง ..

สิ่งหนึ่งที่พระมหากษัตริย์ของเราคงจะต้องการมากที่สุด .. คือความรักและสามัคคีของคนในชาติที่ควรแสดงออกมาจากใจ .. เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา .. เท่านั้นเอง ..

อ้างจาก..http://king.kapook.com/about2.php ( โดยคุณ deejai )

.....................................................
บุคคลขาดสติย่อมนำชีวิตไปสู่ความทุกข์ความล้มเหลวฉันใด ในทางตรงกันข้าม บุคคลผู้มีสติสมบูรณ์ มีสติชอบ (สัมมาสติ) ย่อมนำชีวิตไปสู่ความสุขความรุ่งเรืองฉันนั้น และความแตกต่างระหว่างปุถุชนกับพระอรหันต์ก็อยู่ตรงนี้ คือ ปุถุชนมีสติไม่สมบูรณ์ ส่วนพระอรหันต์มีสติสมบูรณ์ ปุถุชนจึงต้องหัวเราะบ้าง ร้องให้บ้าง ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เพราะเผลอสติ ส่วนพระอรหันต์ท่านไม่มีไม่เป็นอย่างนั้น.....กฤษฏ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 12:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


ปิดทองหลังพระ ทำไมต้องปิดทองหลังพระ? หากทุกคน หวังปิดทองหน้าพระกันหมด
องค์พระ ก็จะสวยแต่เบื้องหน้าเท่านั้น เปรียบได้กับการทำงานเอาหน้า ภาวนากันตาย
ในหลวงฯ ท่านทรงมอบพระสมเด็จจิตรลดา ให้แก่บรรดาข้าราชบริพารของท่าน
พระแต่ละองค์ตอกตรา มีหมายเลขกำกับ ทราบว่ามีเพียง 3,000 องค์ เป็นของดี
ของหายาก และพระองค์ได้ทรงบอกแก่ผู้ได้รับ ให้ "ปิดทองหลังพระ"

มีคนข้องใจไปถามพระองค์ และขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ปิดทองหน้าพระ
พระองค์ท่านไม่ทรงอนุญาต และมีรับสั่งให้ "ปิดทองหลังพระ" เท่านั้น

เพื่อเป็นคติเตือนใจตนเองด้วย ให้รู้จักทำงาน โดยไม่ต้องโฆษณา
ประชาสัมพันธ์ทำดีแล้วไม่ต้องเป่าแตรฟันฟา (Fanfare) ไม่ต้องป่าวประกาศ
ไม่ต้องป่าวร้องให้คนมาลุมล้อม จ้องมองตนว่า กำลังกระทำความดีอยู่
อุทิศอะไร ถวายอะไรแก่ใคร ไม่ต้องถ่ายรูป หากจะถ่ายก็ไม่ต้อง
หันมาตาโมงโก้ง (ตามองกล้อง) กันให้เมื่อย ทำดี ทำด้วยใจ
ทำไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องโฆษณา อวดสรรพคุณ แห่งการประกอบคุณงามความดีนั้น แก่ใคร ๆ เขาหรอก

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


ภาพหลอดยาสีฟันที่เห็นนี้ต้องเรียกว่าเป็นหลอดยาสีพระทนต์ประวัติศาสตร์


เพราะนี่คือหลอดยาสีพระทนต์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภาพนี้ถูกตีพิมพ์เป็นโปสเตอร์โดยคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์ฯ ติดบอร์ดให้เด็กนักเรียนได้เรียนรู้และเข้าใจคำว่า "ประหยัด"

ศาสตราจารย์พิเศษทันตแพทย์หญิงท่านผู้หญิงเพ็ชรา เตชะกัมพุช ทันตแพทย์ประจำพระองค์ อดีตคณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเขียนเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งทันตแพทย์ประจำพระองค์กราบถวายบังคมทูลเรื่องศิษย์ทันตแพทย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบางคนมีค่านิยมในการใช้ของต่างประเทศและมีราคาแพง รายที่ไม่มีทรัพย์พอซื้อหาก็ยังขวนขวายเช่า มาใช้เป็นการชั่วครั้งชั่วคราว

ซึ่งเท่าที่ทราบมามีความแตกต่างจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ที่ทรงนิยมใช้กระเป๋าที่ผลิตภายในประเทศเช่นสามัญชนทั่วไป ทรงใช้ดินสอสั้นจนต้องต่อด้าม แม้จนยาสีพระทนต์ของพระองค์ท่านก็ทรงใช้ด้ามแปรงพระทนต์รีดหลอดยาจนแบน จนแน่ใจว่า ไม่มียาสีพระทนต์หลงเหลืออยู่ในหลอดจริงๆ

เมื่อกราบบังคมทูลเสร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งว่าของพระองค์ท่านก็เหมือนกัน และยังทรงรับ สั่งต่อไปด้วยอีกว่าเมื่อไม่นานมานี้เอง มหาดเล็กห้องสรงเห็นว่ายาสีพระทนต์ของพระองค์ คงใช้หมดแล้ว จึงได้นำหลอดใหม่มาเปลี่ยนให้แทน เมื่อพระองค์ได้ทรงทราบก็ได้ขอให้เขานำยาสีพระทนต์หลอดเก่ามาคืนและพระองค์ท่านยังทรงสามารถใช้ต่อไปได้อีกถึง 5 วัน จะเห็นได้ว่า ในส่วนของพระองค์ท่านเองนั้นทรงประหยัดอย่างยิ่ง ซึ่งตรงกันข้ามกับพระราชทรัพย์ ส่วนพระองค์ที่ทรงพระราชทานเพื่อราษฎรผู้ยากไร้อยู่เป็นนิจ พระจริยาวัตรของพระองค์ได้แสดง ให้เห็นอย่างแจ่มชัดถึง พระวิริยะ อุตสาหะ ตลอดจนความประหยัดในการใช้ของอย่างคุ้มค่า

หลังจากนั้น ทันตแพทย์ประจำพระองค์ได้กราบพระบาททูลขอพระราชทานหลอดยาสีพระทนต์หลอดนั้น เพื่อนำไปให้ศิษย์ได้เห็นและรับใส่เกล้าเป็นตัวอย่างเพื่อประพฤติปฎิบัติในโอกาสต่อๆ ไป

ประมาณหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานส่งหลอดยาสีพระทนต์เปล่าหลอดนั้นมาให้ถึงบ้านทันตแพทย์ประจำพระองค์รู้สึกซาบซึ้ง ในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นเกล้ายิ่งเมื่อได้พิจารณาถึงลักษณะของหลอดยาสีพระทนต์เปล่าหลอดนั้นแล้ว ทำให้เกิดความสงสัยว่าเหตุใดยาสีพระทนต์หลอดนี้จึงแบนราบเรียบโดยตลอด คล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอดยังปรากฏรอยบุ๋มลืกลงไปเกือบถึงเกลียวคอหลอด

เมื่อได้มีโอกาสเข้าเฝ้าอีกครั้งในเวลาต่อมาจึงได้รับคำอธิบายจากพระองค์ว่า หลอดยาสีพระทนต์ที่เห็นแบนเรียบนั้นเป็นผลจากการใช้ด้ามแปรงสีพระทนต์ ช่วยรีดและกดจนเป็นรอยบุ๋มที่เห็นนั่นเอง และเพื่อที่จะขอนำไปแสดงให้ศิษย์ทันตแพทยได้เห็นเป็นอุทาหรณ์ จึงได้ขอพระราชานุญาต ซึ่งพระองค์ท่านก็ได้ทรงพระเมตตาด้วยความเต็มพระทัย

ผมมีโอกาสได้ยืนมองดูรูปหลอดยาสีพระทนต์หลอดนี้อยู่เนือง ๆและเมื่อยิ่งดูก็ยิ่งได้รับรู้ถึงปรัชญาที่พระองค์พระราชทานผ่านมาทางหลอดยาฯนี้ แล้วผมก็พบว่าแก่นแท้ของการประหยัดมันอยู่ตรงนี้นี่เอง


"ไม่ใช่ไม่ยอมใช้เลย แต่ต้องรู้จักใช้ รู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด"

มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่ใช้แบบเหลือทิ้งเหลือขว้าง
และทำให้ผมคิดไปถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติบนโลกใบนี้
หลอดยาสีพระทนต์ของในหลวงหลอดนี้ สอนผมให้เข้าใจว่า...
ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์เรายังคงต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติต่อไป
ไม่ใช่ไม่ใช้เลย แต่จะใช้อย่างไรมากกว่า


ที่มา : http://macro.exteen.com/20050201/entry

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 12:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
:b54: เรื่องที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อน :b54:

เมื่อหลายปีก่อน (ประมาณสัก ๑๓ปี) มีนักธุรกิจคนหนึ่งไปหาอาตมาที่วัดสุทัศน์ฯ
เป็นนักธุรกิจที่ทำงานอยู่กับคุณเจริญ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี
เมื่อพบกัน ท่านผู้นี้ก็แจ้งความประสงค์ของการมาพบ และเล่าเรื่องที่เป็นจุดประสงค์ ดังนี้...

" ท่านคงพอจะจำผมได้นะครับ เราเคยพบกันที่บ้านของคุณเจริญ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี
ผมมีเรื่องอยากจะเล่าให้ท่านฟังดังนี้ว่า
เมื่อก่อนผมเป็นครูสอนวิชาภูมิศาสตร์และวิชาประวัติศาสตร์
ปกติผมต้องไปค้นคว้าข้อมูลในหอสมุดแห่งชาติ
ต่อมา ก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งผูกเปีย ๒ ข้างเข้าไปค้นข้อมูลอย่างจริงจัง
ว่างก็สนทนากันถึงเรื่องวิชาการ

... อยู่มาวันหนึ่งนักเรียนหญิงคนนั้นก็ชวนผมไปเที่ยวบ้าน
โดยบอกว่าจะให้พ่อเลี้ยงข้าวหนึ่งมื้อ ในฐานะที่ให้ความรู้ด้านวิชาการ
โดยมีการนัดแนะกันที่พระราชวังดุสิต สวนจิตรลดา
โดยเธอบอกว่าเมื่อเข้าประตูที่ ๑ แล้วขอให้บอกแก่คนที่เฝ้าประตูด้วยคำพูดนี้ (เป็นคำเฉพาะ)

... ครั้นถึงวันนัดหมายผมก็เดินทางไปโดยรถแท็กซี่
เมื่อเข้าประตูผมก็มิได้สงสัย คงบอกเจ้าหน้าที่ตามนั้น
ครั้นถึงขั้นที่ ๒ ผมก็บอกตามนั้นอีก เจ้าหน้าที่ก็อัธยาศัยดี ให้ความเคารพผมอย่างยิ่ง
แต่พอถึงขั้นที่๓ ผมก็เริ่มเห็นภาพชัดเจนว่า...แท้ที่จริงเด็กผู้หญิงคนนั้นคือ
" สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี " ซึ่งตอนนั้นยังมิได้เฉลิมพระยศนี้...

... ท่านครับ พอผมนึกออกก็เริ่มสั่นแล้ว แต่เหตุที่ผมนึกไม่ออกนั้น เพราะผมไม่เคยคิดเลยว่า
เจ้าฟ้าจะสนพระทัยในวิชาการอย่างจริงจัง เวลาค้นคว้าก็ทรงสืบค้นด้วยพระองค์เองทุกอย่าง
ทรงค้นคว้าและจดจำอย่างขมีขมัน โดยมิได้มีข้าราชบริพารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพระองค์
และเวลาที่ทรงสนทนาก็ให้ความนับถือคู่สนทนา ยิ่งรู้ว่าผมเป็นครูสอนวิชาดังกล่าว

... เมื่อผมรู้ว่านักเรียนหญิงคนนั้นคือสมเด็จพระเทพฯ ผมก็ประหม่า
และแล้วรถแท็กซี่ก็ถึงที่นัดพบ สักครู่พระองค์ก็เสด็จออกมาแล้วตรัสปฏิสันถาร
ถึงตอนนี้ผมก็ก้มลงกราบกับพื้น และที่ทำให้ผมสั่นยิ่งขึ้นก็คือ
ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าคุณพ่อของเด็กผู้หญิงคนนี้คือ
" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "

... ท่านครับ
สักครู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จออกมา ทรงมีพระพักตร์ที่ยิ้มแย้มแล้วตรัสว่า
" เห็นลูกสาวบอกว่าเป็นเพื่อนกัน "
เมื่อพระองค์ตรัสดังนี้ ผมก็ก้มลงกราบด้วยความประหม่าเป็นที่สุด แล้วกราบบังคมทูลว่า
" มิเป็นการบังอาจ พระพุทธเจ้าข้า "

... พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระมหากรุณาธิคุณตรัสว่า
ขอให้ทำตัวตามปกติไม่ต้องประหม่าหรือกลัวแต่อย่างใด
พระองค์ตรัสขอบใจที่ได้เป็นเพื่อนสนทนาในวิชาการดังกล่าว
จากนั้นพระองค์ก็ตรัสว่า

" อันที่จริงก็มีผู้อยากขอเข้าเฝ้าฯ เป็นจำนวนมาก
บางรายก็ขอนำเงินขึ้นทูลเกล้าถวาย แต่เราก็ไม่สามารถจะรับเงินของบางคนได้
เราจะรับเงินของเขาได้อย่างไร ในเมื่อเงินที่เขานำมาถวายเรานั้น
เป็นเงินที่เกิดจากการขายแผ่นดินของเรา
เราจึงรับเงินนั้นไม่ได้

... ถ้าจะถามพระราชาอย่างเราว่าพระราชาอย่างเราต้องการอะไร
เราก็ขอตอบว่า ... พระราชาอย่างเราต้องการคนที่ซื่อสัตย์
เพราะคนที่ซื่อสัตย์ คือ สมบัติของพระราชาอย่างเรา "

... ท่านครับ
ผมก้มลงกราบถวายบังคมพระองค์อีกครั้ง ด้วยความซาบซึ้งน้ำตาไหล
ในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้แก่ครูสอนหนังสือเล็กๆ คนหนึ่ง
พระราชดำรัสของพระองค์มีคุณค่ายิ่งต่อชีวิตของผม
จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว
เป็นอาหารที่ผมรับประทานแล้วอิ่มตลอดชีวิต........

... ท่านครับ จากวันนั้นมา
ชีวิตผมก็เปลี่ยนแปลงไป โดยที่ผมเองก็มิได้รู้ว่าทำไม
ชีวิตของผมซึ่งเป็นครูต้องเปลี่ยนแปลงงานที่ทำโดยมิได้ตั้งใจ
ชีวิตเจริญก้าวหน้าขึ้นตามลำดับ
แต่พระราชดำรัสที่พระองค์ตรัสไว้นั้นจารึกอยู่ในใจผมเสมอ

... ผมอยากจะเรียนท่านให้ทราบเพียงเท่านี้แหละครับ
ถ้าท่านจะกรุณานำไปเล่าให้คนทั้งหลายได้รับทราบ
ก็จะเป็นลาภของคนที่ฟัง
เขาจะได้รู้ว่าพวกเขาควรทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนของพระราชา
อาจารย์ท่านนี้เมื่อเล่าจบก็ลากลับด้วยสีหน้าที่อิ่มสุขและน้ำตาที่คลอเบ้าตา
มิใช่เพียงอาจารย์ท่านนี้ที่อิ่มสุขเท่านั้น
อาตมาเองซึ่งเป็นผู้ฟังก็อิ่มสุขน้ำตาคลอเบ้าเช่นเดียวกัน



บทความของ พระราชวิจิตรปฏิภาณ วัดสุทัศน์เทพวราราม

ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันศุกร์ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๑

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 23:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 22:29
โพสต์: 77

อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


ถึง...K.Bwitch ครับ

ผมต้องขออนุญาตนำบทความที่คุณได้โพสต์เข้ามา 3 หัวข้อนั้น ผมขอนำไปเผยแพร่สิ่งดี ๆ สิ่งนี้ต่อ ๆ ไปนะครับ

ด้วยความเคารพ

กฤษฏ์

.....................................................
บุคคลขาดสติย่อมนำชีวิตไปสู่ความทุกข์ความล้มเหลวฉันใด ในทางตรงกันข้าม บุคคลผู้มีสติสมบูรณ์ มีสติชอบ (สัมมาสติ) ย่อมนำชีวิตไปสู่ความสุขความรุ่งเรืองฉันนั้น และความแตกต่างระหว่างปุถุชนกับพระอรหันต์ก็อยู่ตรงนี้ คือ ปุถุชนมีสติไม่สมบูรณ์ ส่วนพระอรหันต์มีสติสมบูรณ์ ปุถุชนจึงต้องหัวเราะบ้าง ร้องให้บ้าง ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เพราะเผลอสติ ส่วนพระอรหันต์ท่านไม่มีไม่เป็นอย่างนั้น.....กฤษฏ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2010, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ก.พ. 2010, 22:29
โพสต์: 77

อายุ: 43

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ


เป็นภาพแห่งความภูมิใจของตระกูลครับบุคคลในภาพต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์ท่านทั้งสองคือน้าชายของผม(สรธัสส์ ธันยลาภพิทักษ์)...ครับ

.....................................................
บุคคลขาดสติย่อมนำชีวิตไปสู่ความทุกข์ความล้มเหลวฉันใด ในทางตรงกันข้าม บุคคลผู้มีสติสมบูรณ์ มีสติชอบ (สัมมาสติ) ย่อมนำชีวิตไปสู่ความสุขความรุ่งเรืองฉันนั้น และความแตกต่างระหว่างปุถุชนกับพระอรหันต์ก็อยู่ตรงนี้ คือ ปุถุชนมีสติไม่สมบูรณ์ ส่วนพระอรหันต์มีสติสมบูรณ์ ปุถุชนจึงต้องหัวเราะบ้าง ร้องให้บ้าง ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง เพราะเผลอสติ ส่วนพระอรหันต์ท่านไม่มีไม่เป็นอย่างนั้น.....กฤษฏ์


แก้ไขล่าสุดโดย krit_2112_tt เมื่อ 11 มี.ค. 2010, 19:10, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 03:38
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในหลวงของฉัน.....ผู้เป็นดั่งครูของฉัน

ฉัน ซึ่งเป็นข้าราชการ เมื่อครั้งจบใหม่ บรรจุเข้ารับราชการในต่างจังหวัด ทำงานได้เกือบ 2 ปี จึงทำเรื่องย้ายกลับมาอยู่จังหวัดบ้านเกิด ระหว่างรอคำสั่งย้าย ฉันว้าวุ่นใจที่สุด ความกลัวได้เริ่มทำร้ายฉัน กลัวโน่นนี่ กลัวในสิ่งที่ยังมองไม่เห็น กลัวผู้คนใหม่ ภาระงานใหม่ซึ่งต้องหนักกว่าเดิม ด้วยความเป็นเด็ก ขาดประสบการณ์และความคิดอ่าน จึงสับสนใจว่าการขอย้ายครั้งนี้เราทำถูกแล้วหรือไม่....และเรากำลังจะก้าวไปในทางใด

แต่แล้ววันหนึ่งฉันเห็นภาพในหลวงที่ทรงงานจนพระเสโทหลั่งจรดปลายจมูก ฉันจ้องมองจนน้ำตาไหล และรู้สึกว่าความกลัวทั้งหลายได้อันตรธานไปทันที นึกบอกตัวเองว่า เรานี่ขี้ขลาดจริงหนอ กลัวอะไรอย่างนั้น หน้าที่เราคืออะไร เป็นฟันเฟืองอันเล็กๆที่ต้องแบ่งเบาพระราชภาระของพระองค์ท่านใช่หรือไม่ สิ่งที่เรานั่งกลัวอยู่นี่คืออะไร งานหนักที่รออยู่จะได้ครึ่งของพระราชภาระของพระองค์ไหม เราจะหลั่งเหงื่อบ้างจะเป็นไร เพราะฉะนั้นแล้วอย่ากลัว มีหน้าที่อะไรก็ทำไป

พระองค์ทรงทำให้ดู ให้เห็นเป็นแบบอย่าง สอนโดยไม่ทรงพูด เท่านี้ก็ทรงเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น นึกถึงวันเก่าทีไร อดที่จะตื้นตันไม่ได้ หากฉันไม่มีพระองค์ท่านเป็นที่ยึดเหนี่ยวแล้ว ฉันจะผ่านสถานการณ์อันสับสนมาอย่างไร พระองค์ทรงเป็นหลักชัยของฉันอย่างแท้จริง

ทุกวันนี้ฉันตอบแทนบุญคุณพระองค์ท่านโดยการตอบแทนคุณแผ่นดิน ปฏิบัติตนให้ถูกตรงตามที่พระองค์สอน ไม่ขัดสนจนตัวต้องลำบาก ไม่มีฟุ่มเฟือย มากล้นเกินจนเกิดปัญหา พึ่งพาตนเองได้ และช่วยเหลือคนอื่นได้ด้วย โชคดีที่งานของดิฉันเป็นงานที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นไปพร้อมกับได้เงินเดือนหล่อเลี้ยงชีวิตตนเองด้วย ฉันคิดเสมอว่าทุกครั้งที่ฉันได้ช่วยเหลือคน คือได้แบ่งเบาพระราชภาระของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเหนื่อยมามากเหลือเกิน ทุกครั้งที่ฉันท้อใจเรื่องงาน เพียงจ้องมองพระฉายาลักษณ์ แล้วพระองค์ท่านจะมีคำตอบให้ฉันเสมอ

.................และนี่.....คือในหลวงของฉัน.........


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2010, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ปรัชญาและข้อคิดคติเตือนใจ

จาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี



สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ได้ทรงวาดลายเส้นฝีพระหัตถ์เป็นภาพสัตว์ต่างๆ

และทรงพระอักษรด้วยพระองค์เอง

มาเป็นปรัชญาและข้อคิดคติเตือนใจให้พสกนิกรชาวไทย

ได้ดำเนินชีวิตอย่างมีสติ และตั้งอยู่ในธรรมอยู่เสมอ

อีกทั้งยังได้แสดงถึงพระปรีชาสามารถ

ทั้งในด้านภาษาศาสตร์และวรรณกรรม

ที่สื่อความหมายได้ลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง


รูปภาพ
:b44: :b44: :b44:
ขออนุโมทนาและเจริญในธรรมนะคะ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร