วันเวลาปัจจุบัน 19 พ.ค. 2025, 01:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 04:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงปู่หลวงเป่ออะไรนี่
เลอะเทอะจริงๆ

ทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น สวดอยู่ทุกวันว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรนัง คัจฉามิ
มีตรงไหนสดวว่า อนุตรธรรม สรนัง คัจฉามิ
ยังจะไปรับธรรมรับองค์อะไรนี่อีก

ศาสนาเสื่อมเพราะพระแบบนี้แหละ
กระทั่งตนเองยังพึ่งไม่ได้เลย จะเป็นที่พึ่งให้คนอื่นได้ยังไง

ใครบอกว่าอนุตรธรรมเป็นเรื่องจริงนี่ ขอบอกว่าเราต่อต้านสุดกำลัง

คนเราก็ประสาท
ทุกวันนี้มีเวลาวันละ 24 ชั่วโมง ปีละ 52 สัปดาห์ มากจนไม่รู้ว่่าจะมากยังไง ยังไม่รู้จักใช้ประโยชน์
กลับไปหวังลมๆแล้งๆ อยากได้เวลาตอนตายแล้วฟื้นแค่ไม่กี่ชั่วโมง
ฟื้นมาก็ไม่ใช่จะทำอะไรได้มาก จะยืนยังไม่ได้เลย

ตื่นเต้นกับเรื่องขี้หมูขี้มาที่จริงบ้างไม่จริงบ้าง

แน่จริงให้มันตายแล้วฟื้นทุกคนสิ ถึงจะเรียกว่าเป็นเรื่องจริง
นี่เห็นอยู่แค่คนเดียว แถมเป้นการกล่าวอ้าง

คนไม่นับถือนุตรธรรม ชาวพุทธนี่แหละ
ตายแล้วฟื้นยิ่งกว่านี้ ฟื้นจริงๆ แบบชนิดว่าอยู่อีกเป้นหลายสิบปี
มีชื่อมีแส้ มีหลักฐาน ประจักพยานเป็นหลักแหล่ง เขายังไม่โม้ขนาดนี้
นี่เรื่องเล่าลือเล่าอ้างนิดหน่อย

คนมันโง่ ชี้ทางสว่างก็ไม่ได้
เหมือนจับหมาฉีดยานั่นแหละ หมามันกัดเอาเฉยเลย
ทั้งๆที่หวังดีกับมันนะ
โลกมันเป้นอย่างนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 10:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 00:29
โพสต์: 15

งานอดิเรก: ศึกษา
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงปู่อายุยืนขนาดนี้ ทำไม่ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงท่านเลย
น่าจะเป็นข่าวไปทั่วโลกนะ เท่าที่เคยเห็นแค่ร้อยกว่าปี
เป็นคนธรรมดาด้วย ยังลงข่าวกันเกรียวกราวเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 12:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ทัสยุ เขียน:
หลวงปู่อายุยืนขนาดนี้ ทำไม่ไม่เคยได้ยินชื่อเสียงท่านเลย
น่าจะเป็นข่าวไปทั่วโลกนะ เท่าที่เคยเห็นแค่ร้อยกว่าปี
เป็นคนธรรมดาด้วย ยังลงข่าวกันเกรียวกราวเลย


ธรรมะแบบแอบๆหลบๆซ่อนๆ มันก็เป้นอย่างนี้แหละ
ไม่กล้าท้าพิสูจน์ ไม่กล้าเรียกให้เข้ามาดู


ถ้าคนอายุ 200 กว่าปีจริง
ต้องสามารถเล่าเรื่องราวในอดีตในช่วง 200 ปีของตนได้
ต้องกล้าท้าให้เข้ามาถาม

นี่อะไร หมกๆเม็ดๆ หลบๆซ่อนๆ
นี่พอตาย พูดไม่ได้ปั๊บ ก็เอามาเป้นเครื่องมือหากินกันเลย


คนหิวบุญนี่น่ากลัวกว่าโจรอีกนะ
คือโจรมันถือมีดถือปืนมาเลย มันแสดงเจตนาชัดเลยว่าจะทำร้ายเรา
จะเอาเงินทองของเรา อะไรก็ว่าไป
เราเห็นได้ง่าย แยกแยะได้ง่าย


แต่คนประเภทผีบุญนี่นะ มันจะพูดจาน่าเคารพเลื่อมใส น่าศรัทธามาก
โดยมากเป้นพวกฉลาดนะ สามารถหาสำนวนถ้อยคำและการอ้างอิงได้น่าฟัง
แล้วมันก้ลากเราลงไปเป็นพรรคเป็นพรรคเป้นพวก
ทำให้เราเสียเวลาอยู่อยู่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง โงหัวไม่ขึ้นเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 17:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 06:38
โพสต์: 59

อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


kirara เขียน:
ขอแรงกลับบ้างนะคะขออนุญาตล่ะค่ะ พระพุทธเจ้ายังไม่เคยประกาศว่าพระองค์มาก่อนใคร ไม่เคยประกาศว่าพระองค์เลิศกว่าใคร ห้ามใครเผยแพร่คำสอนของพระศาสดาองค์นั้น องค์นี้ แต่มาวันนี้คนที่อ้างว่าตนเป็นคนพุทธที่ศึกษาดี อ้าวว่าตนเองคือผู้ที่เดินตามรอยพระบาทของพระศากยมุนีพุทธเจ้า แต่กลับมาด่าว่าคนนั้นอย่างนั้น อย่างนี...เฮ้อมันน่าคิดนะคะเนี่ย(อันนี้คือคิดไว้เขียนใส่กระดาษอยากเอามาโพสแต่บังเอิญแม่ของข้าพเจ้าบอกว่าถ้าเราไปโพสว่าเค้าเราก็แย่เหมือนเค้าสิลูก พอได้ฟังที่แม่สอนมันเลยคิดได้......แต่สายเสียละเพื่อนดิชั้นจัดการแทนละ...อิอิ)


ใน อัจฉริยอัพภูตธัมมสูตร กล่าวไว้ว่า

ฯลฯ "ดูก่อนอานนท์ ! โพธิสัตว์ผู้คลอดแล้วเช่นนี้ เหยียบพื้นดินด้วยฝ่าเท้าอันสม่ำเสมอ มีพระพักตร์ทางทิศเหนือ ก้าวไป ๗ ก้าว, มีฉัตรสีขาวกั้นอยู่ ณ เบื้องบน, ย่อมเหลียวดูทิศทั้งหลาย และกล่าว อาสภิวาจา* ว่า "เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก, เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก, เราเป็นผู้ประเสริฐสุดแห่งโลก. ชาตินี้ เป็นชาติสุดท้าย. บัดนี้ ภพใหม่ย่อมไม่มี" ดังนี้.

ที่มา:http://www.buddhadasa.org/html/life-work/dhammakot/01-buddha/1-10.html

ไม่รู้นะครับว่ามีใครอ่านในลิงค์ที่ผมสแกนมาให้ผู้แสวงบุญทุกท่านดูหรือยัง

ในหนังสือที่พูดถึงอนุตรธรรมโดยมีพระพุทธเจ้าลงมาประทับญาณ
ในหนังสือกล่าวว่า ได้อาศัยพระทีปังกร อาศัยกลุ่มดาวประกายพฤกษ์เพื่อเปิดประตูจิตให้กับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งตรงข้อความนี้ก็ได้เผยแพร่ไปกี่รุ่นต่อกี่รุ่นแล้วก็ไม่ทราบ

จึงอยากให้ผู้แสวงหาในลัทธิอนุตรธรรมช่วยงดการเผยแพร่หนังสือฉบับนี้ด้วยถ้าพูดอย่างที่คุณเคยบอกในกระทู้จริงๆครับ

ไม่รู้ว่ามีคนโหลดไปจริงๆหรือเปล่าที่ผมสแกนแล้วฝากไฟล์ไป เสียไปหน้าละ 3 บาทแหนะ :b12:

ผมคงไม่ต้องพูดอะไรมากนะครับ

ถ้าหากกระผมได้ล่วงเกินผู้แสวงบุญท่านใด กระผมต้องขออโหสิกรรมด้วยครับขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 17:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 พ.ย. 2008, 20:43
โพสต์: 42


 ข้อมูลส่วนตัว


พระไตรปิฎก เล่มที่ 19
หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ... ในพระธรรม ... ในพระสงฆ์ ... มีปัญญาร่าเริง เฉียบแหลม และ
ประกอบด้วยวิมุติ เขาย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะ
อาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ บุคคลแม้นี้พ้นจากนรก กำเนิด
สัตว์ดิรัจฉาน ปิตติวิสัย อบาย ทุคติ วินิบาต.
[๑๕๓๑] ดูกรมหาบพิตร ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่
หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ... ในพระธรรม ... ในพระสงฆ์ ... มีปัญญาร่าเริง เฉียบแหลม แต่ไม่
ประกอบด้วยวิมุติ เพราะสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป เขาเกิดเป็นอุปปาติกะ จัก
ปรินิพพานในภพที่เกิดนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลแม้นี้ก็พ้นจากนรก กำเนิด
สัตว์ดิรัจฉาน ปิตติวิสัย อบาย ทุคติ วินิบาต.
[๑๕๓๒] ดูกรมหาบพิตร ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่
หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ... ในพระธรรม ... ในพระสงฆ์ ... ไม่มีปัญญาร่าเริง ไม่เฉียบแหลม
และไม่ประกอบด้วยวิมุติ เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป (และ) เพราะราคะ โทสะ และโมหะ
เบาบาง เขาได้เป็นพระสกทาคามี มาสู่โลกนี้อีกคราวเดียวเท่านั้น จะกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
บุคคลแม้นี้ก็พ้นจากนรก ... อบาย ทุคติ วินิบาต.
[๑๕๓๓] ดูกรมหาบพิตร ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอัน
ไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ... ในพระธรรม ... ในพระสงฆ์ ... ไม่มีปัญญาร่าเริง ไม่เฉียบแหลม
และไม่ประกอบด้วยวิมุติ เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เขาได้เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำ
เป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า บุคคลแม้นี้ก็พ้นจากนรก ... อบาย ทุคติ วินิบาต.
[๑๕๓๔] ดูกรมหาบพิตร ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ประกอบด้วยความเลื่อมใสอัน
ไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ... ในพระธรรม ... ในพระสงฆ์ ... ไม่มีปัญญาร่าเริง ไม่เฉียบแหลม
และไม่ประกอบด้วยวิมุติ แต่ว่าเขามีธรรมเหล่านี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์
สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์ ธรรมทั้งหลาย ที่พระตถาคตประกาศแล้ว ย่อมทนซึ่งการเพ่งด้วยปัญญา
ของเขา (ยิ่ง) กว่าประมาณ บุคคลแม้นี้ก็ไม่ไปสู่นรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ปิตติวิสัย อบาย
ทุคติ วินิบาต.
[๑๕๓๕] ดูกรมหาบพิตร ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ประกอบด้วยความเลื่อมใสอัน
ไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า ... ในพระธรรม ... ในพระสงฆ์ ... ไม่มีปัญญาร่าเริง ไม่เฉียบแหลม
และไม่ประกอบด้วยวิมุติ แต่ว่าเขามีธรรมเหล่านี้ คือ สัทธินทรีย์ ฯลฯ ปัญญินทรีย์ และเขา
มีศรัทธา มีความรักในพระตถาคตพอประมาณ บุคคลแม้นี้ก็ไม่ไปสู่นรก ... อบาย ทุคติ วินิบาต.
[๑๕๓๖] ดูกรมหาบพิตร ถ้าแม้ต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ พึงรู้ทั่วถึงสุภาษิตทุพภาษิตไซร้
อาตมภาพก็พึงพยากรณ์ต้นไม้ใหญ่เหล่านี้ว่า เป็นพระโสดาบัน ... จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า จะป่วย
กล่าวไปไยถึงเจ้าสรกานิศากยะ เจ้าสรกานิศากยะ สมาทานสิกขาในเวลาสิ้นพระชนม์ ขอถวาย
พระพร.
จบ สูตรที่ ๔
สรกานิสูตรที่ ๒
ผู้ถึงสรณคมน์ไม่ไปสู่วินิบาต
[๑๕๓๗] กบิลพัสดุ์นิทาน. ก็สมัยนั้น เจ้าสรกานิศากยะสิ้นพระชนม์ พระผู้มี
พระภาคทรงพยากรณ์ท่าน ว่าเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้
ในเบื้องหน้า ดังได้ยินมา พวกเจ้าศากยะมากด้วยกัน มาร่วมประชุมพร้อมกันแล้ว ย่อมยกโทษ
ติเตียนบ่นว่า น่าอัศจรรย์หนอ ท่านผู้เจริญ ไม่เคยมีมาแล้วหนอ ท่านผู้เจริญ บัดนี้ ในที่นี้
ใครเล่าจักไม่เป็นพระโสดาบัน เพราะเจ้าสรกานิศากยะสิ้นพระชนม์แล้ว พระผู้มีพระภาคทรง
พยากรณ์ท่าน ว่าเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า
เจ้าสรกานิศากยะมิได้กระทำให้บริบูรณ์ในสิกขา.
[๑๕๓๘] ครั้งนั้น พระเจ้ามหานามศากยราช เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
ประทับ ทรงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส เจ้าสรกานิศากยะสิ้นพระชนม์
พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ ว่าเป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะ
ตรัสรู้ในเบื้องหน้า ดังได้ยินมา พวกเจ้าศากยะมากด้วยกัน มาร่วมประชุมพร้อมกันแล้ว ย่อม
ยกโทษติเตียนบ่นว่า ... เจ้าสรกานิศากยะมิได้กระทำให้บริบูรณ์ในสิกขา.
[๑๕๓๙] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหาบพิตร อุบาสกผู้ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม
พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะตลอดกาลนาน จะพึงไปสู่วินิบาตอย่างไรเล่า ก็บุคคลเมื่อจะกล่าวให้ถูก
พึงกล่าวอุบาสกนั้นว่า อุบาสกผู้ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะตลอดกาลนาน
เมื่อจะกล่าวให้ถูก พึงกล่าวเจ้าสรกานิศากยะว่า เจ้าสรกานิศากยะเป็นอุบาสกผู้ถึงพระพุทธเจ้า
พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะตลอดกาลนาน เจ้าสรกานิศากยะนั้นจะพึงไปสู่วินิบาต
อย่างไร?
[๑๕๔๐] ดูกรมหาบพิตร บุคคลบางคนในโลกนี้ เลื่อมใสยิ่งแน่วแน่ในพระพุทธเจ้า ...
ในพระธรรม ... ในพระสงฆ์ ... มีปัญญาร่าเริง เฉียบแหลม และประกอบด้วยวิมุติ เขาย่อม
กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วย
ปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ บุคคลแม้นี้ก็พ้นจากนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ปิตติวิสัย
อบาย ทุคติ วินิบาต.
[๑๕๔๑] ดูกรมหาบพิตร ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ เลื่อมใสยิ่ง แน่วแน่ในพระ-
พุทธเจ้า ... ในพระธรรม ... ในพระสงฆ์ ... มีปัญญาร่าเริง เฉียบแหลม แต่ไม่ประกอบด้วยวิมุติ
เพราะสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป เขาเป็นพระอนาคามี ผู้อันตราปรินิพพายี อุปหัจจ-
ปรินิพพายี อสังขารปรินิพพายี สสังขารปรินิพพายี อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี บุคคลแม้นี้ก็พ้น
จากนรก ... อบาย ทุคติ วินิบาต.
[๑๕๔๒] ดูกรมหาบพิตร ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ เลื่อมใสยิ่งแน่วแน่ในพระ-
พุทธเจ้า ... ในพระธรรม ... ในพระสงฆ์ ... ไม่มีปัญญาร่าเริง ไม่เฉียบแหลม ไม่ประกอบด้วย
วิมุติ เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เพราะราคะ โทสะ และโมหะเบาบาง เขาได้เป็นพระสกทาคามี
จักมาสู่โลกนี้อีกคราวเดียวเท่านั้น แล้วกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ บุคคลแม้นี้ก็พ้นจากนรก ... อบาย
ทุคติ วินิบาต.
[๑๕๔๓] ดูกรมหาบพิตร บุคคลบางคนในโลกนี้ เลื่อมใสยิ่งแน่วแน่ในพระพุทธเจ้า ...
ในพระธรรม ... ในพระสงฆ์ ... ไม่มีปัญญาร่าเริง ไม่เฉียบแหลม ทั้งไม่ประกอบด้วยวิมุติ
เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เขาได้เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะ
ตรัสรู้ในเบื้องหน้า บุคคลแม้นี้ก็พ้นจากนรก ... อบาย ทุคติ วินิบาต.
[๑๕๔๔] ดูกรมหาบพิตร ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่เลื่อมใสยิ่งแน่วแน่ใน
พระพุทธเจ้า ... ในพระธรรม ... ในพระสงฆ์ ... ไม่มีปัญญาร่าเริง ไม่เฉียบแหลม ทั้งไม่ประกอบ
ด้วยวิมุติ แต่เขามีธรรมเหล่านี้ คือ สัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ สตินทรีย์ สมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์
ธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว ย่อมทนซึ่งการเพ่งด้วยปัญญาของเขา (ยิ่ง) กว่าประมาณ
บุคคลแม้นี้ก็ไม่ไปสู่นรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ปิตติวิสัย อบาย ทุคติ วินิบาต.
[๑๕๔๕] ดูกรมหาบพิตร ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่เลื่อมใสยิ่งแน่วแน่ใน
พระพุทธเจ้า ... ในพระธรรม ... ในพระสงฆ์ ... ไม่มีปัญญาร่าเริง ไม่เฉียบแหลม ทั้งไม่ประกอบ
ด้วยวิมุติ แต่เขามีธรรมเหล่านี้ คือ สัทธินทรีย์ ... ปัญญินทรีย์ และเขามีศรัทธา มีความรัก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 18:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 พ.ย. 2008, 20:43
โพสต์: 42


 ข้อมูลส่วนตัว


(หันทะ มะยัง เขมาเขมะสะระณะทีปิกะคาถาโย ภะณามะ เส)
เชิญเถิด เราทั้งหลาย จงกล่าวคาถาแสดงสรณะอันเกษมและไม่เกษมเถิด

พะหุง เว สะระณัง ยันติ ปัพพะตานิ วะนานิ จะ,
อารามะรุกขะเจต๎ยานิ มะนุสสา ภะยะตัชชิตา
มนุษย์เป็นอันมาก, เมื่อเกิดมีภัยคุกคามแล้ว ก็ถือเอาภูเขาบ้าง,
ป่าไม้บ้าง, อารามและรุกขเจดีย์บ้างเป็นสรณะ
เนตัง โข สะระณัง เขมัง, เนตัง สะระณะมุตตะมัง,
เนตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะ ทุกขา ปะมุจจะติ
นั่น มิใช่สรณะอันเกษมเลย, นั่นมิใช่สรณะอันสูงสุด,
เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว, ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
โย จะ พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะโต,
จัตตาริ อะริยะสัจจานิ สัมมัปปัญญายะ ปัสสะติ
ส่วนผู้ใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้ว,
เห็นอริยสัจคือความจริงอันประเสริฐสี่ด้วยปัญญาอันชอบ
ทุกขัง ทุกขะสะมุปปาทัง ทุกขัสสะ จะ อะติกกะมัง,
อะริยัญจัฏฐังคิกัง มัคคัง ทุกขูปะสะมะคามินัง
คือเห็นความทุกข,์ เหตุให้เกิดทุกข์, ความก้าวล่วงพ้นทุกข์เสียได้,
และหนทางมีองค์แปดอันประเสริฐเครื่องถึงความระงับทุกข์
เอตัง โข สะระณัง เขมัง เอตัง สะระณะมุตตะมัง,
เอตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ
นั่นแหละเป็นสรณะอันเกษม, นั่นเป็นสรณะอันสูงสุด,
เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว, ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 23:52
โพสต์: 4

แนวปฏิบัติ: ไม่มีค่ะ
งานอดิเรก: เล่นเกมค่ะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: โหแต่ละคนแรงๆๆทั้งน้านเลยน่ากลัว...ดูจามองดีกว่า

สร้างประโยชน์ ย้อนสำรวจตน ทุกวันให้คิดดี พูดดี กระทำดีหวังว่าคงเข้าใจ ขี้เกียจอ่าน ขี้เกียจตอบละ เสียเวลาดูจามอง...อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 19:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 23:52
โพสต์: 4

แนวปฏิบัติ: ไม่มีค่ะ
งานอดิเรก: เล่นเกมค่ะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: ระหว่างโฆษณานะคะ....ขอบคุณ คุณ โซดานะคะที่ได้ให้ความรู้ทางธรรม นับถือที่คุณใจกว้าง ไม่ว่าร้ายแรงๆแบบคนอื่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 19:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 06:38
โพสต์: 59

อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


พอศาสนาพุทธเริ่มพูดกลับกลายเป็นว่าศาสนาพุทธพูดแรงไป

ในที่นี้ผมถึงได้ตั้งวัตถุประสงค์ดังข้อที่ ๓ ว่า
เราจะวางตนอย่างไรให้เหมาะสมกับการอยู่กับชาววิถีอนุตรธรรม
ในวัตถุประสงค์ ๒ ข้อแรกกระผมคิดว่ากระผมได้ทำตามหน้าที่แล้ว
แต่ในวัตถุประสงค์ข้อที่ ๓ เราจะวางตนอย่างไรในการอยู่ร่วมกับชาววิถีอนุตรธรรม
สักวันหนึ่งเราต้องเจอแน่นอนครับ เพราะลัทธิ์นี้ได้กระจายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แล้วมีอีก ๑ ข้อสังเกตครับ วันเฉลิมฉลองพระแม่องค์ทำประจำฤดู ใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง
ผมได้ไปดูตารางถวายผลไม้พบว่า ตรงกับ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสฬหบูชา
ผมได้ทำการสอบถามเขาบอกว่ามันไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกปี ผมก็เลยสงสัยเพราะว่า ปฏิทินพิธีถวายผลไม้จะใช้ปฏิทินแบบจันทรคติ(ผมเรียกถูกไหมอะ ที่บอกแบบว่า ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖)แล้วแบบนี้จะไม่ให้มันตรงกันทุกปีก็ให้รู้กันไปครับ แล้วในหนังสือที่ให้สำหรับคนที่ผ่านชั้นเรียนฟื้นฟูจิตเดิมแท้ ตอนนั้นเขาให้ผมมาเป็นหนังสือ ลังกาวตนสูตร กระผมเปิดไปหน้าท้ายๆเขาเขียนอย่างใน web ที่ผมเคยให้ลิงค์ไปนั่นแหละครับ ผมถึงกับเก็บมันไว้(คิดจะโยนก็โยนไม่ได้เพราะมันก็มีธรรมะอยุ่)แล้วก็เอากระดาษในชั้นมากลบๆจนมิดชิด เพราะกระผมไม่อยากเห็นหนังสือเล่มนั้นอีก ถ้ากระผมเข้าใจผิดอย่างไรก็ขอให้ผู้รู้ช่วยชี้แจงด้วยครับ

ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม ในกรณีที่ทำตามวัตถุประสงค์ข้อ ๒ ไม่ได้ คือ เราได้เตือนเขาไปแล้ว
เขาก็ไม่เชื่อเรา กระผมก็ต้องไปตามวัตถุประสงค์ข้อ ๓ ต่อ คือ เราจะวางตัวอย่างไร รู้ทั้งรู้ว่าเขาทำผิด
เขาชวนคนจากศาสนาอื่นๆไปทำพิธีปั้นเต้า(พิธีรับธรรมะ) ซึ่งจะมีทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละราวๆ ๒ คนขึ้นไป หนึ่งสิ่งหละครับเราคงไม่ต้องไปเถียงแข่งกับเขาครับ เพราะเขาก็จะอ้างว่านี่หรอชาวพุทธทำไมมาโจมตีอะไรกับเขาแบบนี้ซึ่งเหตุการณ์นี้ดูกำลังเกิดขึ้นอย่างเนืองๆ
เราพูดเพราะเราเมตตา แต่เขาคิดในใจ อู๋ ไท่ ฝอ มี เลอร์ ไม่ก็ เซี่ย เซี่ย เหลาหมู่ ต้าสือ ต้าเปย
เขาบอกว่าขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา ขอบคุณมารที่มาทดสอบ มันก็เลยดูคลับคล้ายคลับคลาว่า
ชาวพุทธทำไมเป็นแบบนี้หนอ ทำไมไปว่าอนุตรธรรม ปาวๆ
แต่ที่ผมพูดในกระทู้นี้ อย่างที่บอกครับตามวัตถุประสงค์ข้อ ๒
วัตถุประสงค์ข้อ ๓ อันนี้ก็สำคัญ เราจะรักษาคนที่มีศรัทธาในศาสนาพุทธไว้อย่างไร
จึงอย่างฝากให้ท่านผู้รู้ทั้งหลายช่วยคิดว่าเราจะวางตนอย่างไร เมื่อเราได้กระทำหน้าที่ของกัลยาณมิตรแล้ว

ในความคิดเห็นของกระผม คิดว่า เราน่าจะกลับมาดูจิตของเรา แต่ในภาวะที่เรามีเมตตาผมสงสารเขา
เขาชวนคนไปรับธรรมะ เขาพาคนออกห่างจากพระรัตนตรัย เขาทำให้คนที่มีปัญญา กลายเป็นคนขาดปัญญา ผมควรจะวางตนอย่างไรดีครับ ให้เหมาะสม ขอบคุณล่วงหน้าครับ

หากมีสิ่งใดที่ล่วงเกินท่านผู้แสวงบุญท่านอื่น กระผมต้องขออโหสิกรรม ณ ที่นี้ด้วยครับ ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 22:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2007, 11:39
โพสต์: 85

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

มูลเหตุที่ทำให้พระศาสนาเสื่อม

มี ๒ สาเหตุ คือ จากปัจจัยภายใน และ ปัจจัยภายนอก

พระพุทธเจ้าตรัสสาเหตุความเสื่อมของพระพุทธศาสนาไว้ (โดยย่อ) คือ

- พวกภิกษุเล่าเรียนกันมาผิด ด้วยบทพยัญชนะ และความหมาย อันคลาดเคลื่อน.
- พวกภิกษุ เป็นคนว่ายาก ไม่อดทน ไม่ยอมรับคำตักเตือน โดยความเคารพหนักแน่น.
- พวกภิกษุที่เป็นพหูสูต คล่องแคล่ว ในหลักพระพุทธวัจนะ ทรงธรรม ทรงวินัย แต่ภิกษุเหล่านั้น ไม่ได้เอาใจใส่ บอกสอนแก่คนอื่น ๆ เมื่อท่านเหล่านั้น ล่วงลับดับไป สูตรทั้งหลาย ก็เลยขาด
- พวกภิกษุชั้นเถระ ประพฤติย่อหย่อนในไตรสิกขา ผู้บวชภายหลัง ได้เห็นพวกเถระ เหล่านั้น ก็ถือเอา เป็นแบบอย่าง


ส่วนความเสื่อมในทางประวัติศาสตร์ที่ท่านรวบรวมไว้

(คัดย่อจากบางส่วนหนังสือ“ทำไมพระพุทธศาสนา จึงเสื่อมไปจากอินเดีย”
พระราชวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวัณโณ)

จากหน้าประวัติศาสตร์ เกิดจากภัยภายใน เกิดขึ้นจาก พุทธบริษัททั้งสี่
โดยตรง มี 3 ประการ คือ


๑. การเสื่อม ทางด้านศีลธรรม และการเสื่อมจากการได้ บรรลุมรรคผล
และคุณวิเศษต่างๆ ของชาวพุทธ เนื่องจากปฏิบัติไม่ถูกต้อง

๒. การแตกแยกนิกาย และการขัดแย้งกัน ทางนิกาย

๓. ลัทธิมหายาน และ ลัทธิตันตระ

จะอธิบายข้อ ๓ นิดนึงนะครับ

ความเสื่อมของ พระพุทธศาสนา ในอินเดีย เกิดจากข้อเสีย ของนิกายมหายาน มากกว่า นิกายหินยาน

เพราะการที่นิกายมหายาน เจริญแพร่หลายขึ้น ในอินเดีย ก่อให้เกิดการเพิ่ม ปริมาณศาสนิก ให้มากขึ้น
ในขณะเดียวกัน คุณภาพของศาสนิก ก็เสื่อมลงตามลำดับด้วย
.

พอถึงพุทธศตวรรษที่ 13 มหายานในอินเดีย เหลือแต่เพียงการบูชา พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
การสวดอ้อนวอน และการประกอบ พิธีกรรมอันโอ่อ่า โดยมหายาน ได้แต่งเรื่องความเชื่อเก่าๆ
แต่โบราณขึ้น เป็นจำนวนมาก. ชาวพุทธมหายาน ในสมัยนั้น จึงขยับเข้าใกล้ชิด ลัทธิฮินดู
เข้าไปมากขึ้นทุกทีๆ.
จนในที่สุด ได้ทำลายความแตกต่าง ระหว่างพุทธศาสนา มหายาน และลัทธิฮินดูลง.

ฆราวาสในอินเดียยุคนั้น มองไม่เห็นความแตกต่าง ในการบูชาพระพุทธเจ้า
กับ พระวิษณุ และ พระอวโลกิเตศวร กับ พระศิวะ และนางตารา กับนางปารวตี (ชายาพระศิวะ)
แล้วลัทธิโพธิสัตว์ยาน ก็ดูเหมือนว่า จะกำเนิดสถาบันพระมีเมียด้วย.


ลัทธิตันตระได้แตกออกมาจาก นิกายมหายาน เจริญอยู่ในอินเดีย ในระหว่าง
พุทธศตวรรษที่ 11-15 แล้วแพร่หลาย เข้าไปอยู่ในธิเบต.

พระในลัทธิตันตระมีเมียได้ เพราะมุ่งบำเพ็ญตน เป็นพระโพธิสัตว์ ในฐานะคฤหัสถ์มุนี.
นิกายตันตระนี้มีหลายชื่อ เช่น พุทธตันตรยาน มันตรยาน คุยหยาน สหัชชยาน วัชรยาน
พระนี้ ก็ไม่ได้เรียกว่าภิกษุ แต่เรียกว่า “นักสิทธะ”

การปรากฏ ของลัทธิตันตระนั้น ได้ทิ้งหลักธรรมแท้ๆ ของพระพุทธศาสนา ดั้งเดิมที่บริสุทธิ์
ไปเกือบหมด มีแต่การยกย่อง เวทมนตร์ อาคมขลัง พิธีมหาลาภ พิธีลงเลขเสกเป่าต่างๆ.

เรื่องไสยศาสตร์ และเรื่องกามศาสตร์ ของลัทธิตันตระกับฮินดูนั้น มีลักษณะที่เหมือนกัน.

หลักจริยธรรม ขั้นมูลฐาน และหลักธรรม ที่นำไปสู่การพ้นทุกข์ ในพระพุทธศาสนา
ได้ถูกลัทธิวัชรยาน เปลี่ยนแปลงไปเสียใหม่ โดยสิ้นเชิง จนเป็นสัทธรรมปฏิรูป (พระธรรมปลอม)

ปัจจัยภายนอกจากศาสนาอื่น เช่น

ศังกราจารย์ เป็นนักบวชฮินดู ที่มีชื่อเสียงมาก อยู่ในราว พ.ศ. 1331 เป็นผู้ที่คัดค้าน
และกล่าวโจมตีคำสอน ในศาสนาพุทธ อย่างรุนแรง, แต่ตัวเขา ก็กลับนำเอาคำสอน
ในพุทธศาสนา มาปฏิรูป ให้เป็นหลักธรรม คำสอนของ ศาสนาพราหมณ์ ดังที่ปรากฏอยู่ใน
คัมภีร์เวทานตะ ซึ่งในปัจจุบัน ศาสนาฮินดู ได้นับถือตาม หลักคำสอนของศังกราจารย์นี้.

ส่วนตัวเขาเอง กลับไปอธิบาย ระบบคำสอนใน พระพุทธศาสนาว่าเป็น ไวนาสิกะ หรือ
สรฺวไวนาสิกะ พวกพราหมณ์ ยกเอาพระพุทธเจ้า ผู้ก่อตั้งพระพุทธศาสนา ว่าเป็นเทพเจ้า
ในศาสนาของเขาเสียแล้ว ชาวพุทธทั้งหมด ก็เท่ากับว่า เป็นพราหมณ์ไปด้วย
โดยไม่จำเป็น ต้องเปลี่ยนศาสนา ซึ่งวิธีนี้ เป็นการกลืน พระพุทธศาสนา อย่างแนบเนียนที่สุด.


เพราะพระพุทธศาสนาเถรวาท อันเป็นพระพุทธศาสนารูปแบบเดิม
ถูกพระพุทธศาสนามหายานบีบจนถอยร่นไป ทำให้พระพุทธศาสนาในอินเดียยุคหลัง
แทบไม่เหลือความเป็นพระพุทธศาสนา กลายเป็นเอาศาสนาพราหมณ์มาปน มีเทวรูปตารา
มีเวทมนต์คาถา นับถือพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เป็นรูปเคารพขอพร ทำให้พระพุทธดั้งเดิม
ซึ่งเหมือนต้นไม้ใหญ่ รากก็เน่า ผุกร่อน เพราะพระพุทธศาสนาแบบใหม่ๆ


จริงอยู่ ที่มหายานมีจุดเด่นตรงที่สามารถปรับเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นได้ง่าย
เป็นเหตุให้สามารถเผยแผ่ได้ง่ายกว่า แต่เวลา จะสูญสลาย ก็จะสูญสลายอย่างรวดเร็ว
เพราะมีหลักการใหม่หลายข้อที่สำคัญซึ่งไปขัดแย้งกับหลักธรรมวินัยดั้งเดิมที่พระพุทธองค์
ทรงวางไว้ให้ และทำให้สัทธรรมดั้งเดิมสูญหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน


โดยเฉพาะการที่มีลักษณะแบบพหุเทวนิยมของมหายานนั้น
เป็นที่แน่ชัดว่า
ส่วนใหญ่จะถูกแทนที่ด้วยศาสนาเอกเทวนิยม


ดังที่ปรากฏในหลายต่อหลายภูมิภาคของโลก

ในชวา (จากปัจจัยภายในของมหายานเองเป็นหลัก การใช้กำลังบังคับจากศาสนาอื่นเป็นส่วนน้อย)
ที่ปัจจุบันกลายเป็นประเทศมุสลิมที่ใหญ่ที่สุด


ในจีน(จากหลายปัจจัย) ที่ตอนนี้ พระพุทธศาสนามหายานอ่อนแอมาก ๆ

ญี่ปุ่น(จากจากปัจจัยภายในของมหายานเองเป็นหลัก) ซึ่งพระญี่ปุ่นในปัจจุบัน
พากันละทิ้งศีลพรหมจรรย์กันเกือบทั้งสิ้น


เกาหลี(จากปัจจัยภายในของมหายานเองเป็นหลัก) และปัจจุบันเกาหลีใต้
กลายเป็นแหล่งเผยแผ่ศาสนาคริสต์ที่ส่งออกมิชชันนารี่ไปยังประเทศอื่นๆในภูมิภาคนี้ไปแล้ว


และ อีกหลายต่อหลายประเทศที่มหายานเคยรุ่งเรือง ก็มีลักษณะในแนวนี้เกือบ
ทั้งสิ้น คือ เสื่อมสลายลง และถูกทดแทนด้วยศาสนาอื่น(มักจะเป็นเอกเทวนิยม หรือ
ศาสนาบูชาพระเจ้า)


เมืองไทยเราโชคดี หลักธรรมวินัยดั้งเดิมที่สืบทอดผ่านมาในพระไตรปิฎกเถรวาท
สามารถดำรงอยู่และอำนวยประโยชน์แก่ชาวพุทธในดินแดนสุวรรณภูมิเกิน1000ปีมาแล้ว
(พ.ศ. 236 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลาสองพันกว่าปีแล้ว) และไทยเราก็ยังคงมีพระอรหันต์ปรากฏ
ให้รับทราบกันอยู่จริงๆ แม้นแต่ในยุคปัจจุบัน

ถ้าช่วยกันรักษาหลักการดั้งเดิมของเถรวาทไว้ได้
โลกนี้จะไม่ว่างเว้นจากพระอรหันต์ อย่างแน่นอน!


อัศวโฆษ

ดูรายละเอียด
http://www.pharm.chula.ac.th/computer/w ... estroy.htm


แก้ไขล่าสุดโดย aswakos เมื่อ 07 มี.ค. 2010, 22:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2007, 11:39
โพสต์: 85

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: :b42: :b42:

การกราบไหว้พระโพธิสัตว์มีจุดเริ่มต้นที่อินเดีย ในยุคที่ศาสนาฮินดู
แข่งขันกับศาสนาพุทธเพื่อชิงศาสนิก


ศาสนาฮินดูก็คือศาสนาพราหมณ์เดิม โดยประมาณปีพ.ศ. ๑๓๐๐
นักบวชนิกายไศวะชื่อชื่อ ศังกราจารย์ ได้นำหลักธรรมและปรัชญาในศาสนาพุทธนิกายมหายาน
ไปปรับให้เข้ากับศาสนาพราหมณ์ และตั้งชื่อเรียกใหม่ว่า ศาสนาฮินดู ส่วนศาสนาพราหมณ์นั้น
ใช้ในความหมายของศาสนาเดิม แต่เรียกแทนกันได้ (* หน้า ๖๑ – ๖๒ ) ศังกราจารย์
นอกจากจะปล้นสะดมภ์ทางปัญญาแล้ว ยังโจมตีศาสนาพุทธอย่างมาก
และใช้วิธีการเผยแพร่แบบป่าล้อมเมือง คือเผยแพร่ตามชนบทก่อน แล้วค่อยๆทะลวง
เข้าไปในเมืองที่ศาสนาพุทธยังคงแข็งแรงกว่า


ในสมัยนั้น พระสงฆ์ในพุทธศาสนาก็ลืมหน้าที่ตนหลักความคิดก็คลาดเคลื่อน
ไปจากศาสนาเดิม จึงเร่งให้ศาสนาพุทธเสื่อมสลายในอินเดียเร็วขึ้น ความคิดหนึ่งก็คือ
เมื่อฮินดูมีเทพให้มนุษย์สวดอ้อนวอนบูชา เพื่อบันดาลสิ่งต่างๆให้ตามที่มนุษย์ปรารถนา
พุทธก็น่าจะมีบ้าง เห็นว่าผู้ที่บำเพ็ญบารมีเพื่อหวังตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเพื่อนำแสงสว่างมาสู่โลก
หรือช่วยโลกคือพระโพธิสัตว์ แต่ทั้งปัจจเจกพุทธ และพระพุทธเจ้าได้ปรินิพพานไปแล้ว
คงไม่สามารถมาทำหน้าที่นี้ได้ จึงนำเอาพระพุทธเจ้าในอนาคตมาทำหน้าที่นี้แทน

“ จึงเกิดพระโพธิสัตว์ขึ้นหลายองค์ เช่น พระอวโลกิเตศวร
พระมัญชุศรี พระวัชปาณี พระสมันตภัทร และพระอะไรต่างๆหลายองค์ พระโพธิสัตว์เกิดใน
อินเดียยุคหลังนี้จึงมีมาก
ในสมัยพุทธกาล พระโพธิสัตว์ที่มีชื่อเหล่านี้ไม่มี มามีในสมัยยุคปลาย
ในประเทศอินเดีย.......ตกลงว่ามีพระโพธิสัตว์มาคอยช่วย เทียบกันได้กับศาสนาฮินดู
ที่เขามีเทพไว้ช่วย พอแข่งกันได้ ไปคิดแข่งกับเขาในแง่นี้ ” (** หน้า ๒๓ – ๒๔ )


พระโพธิสัตว์ที่มีชื่อเสียงมากในพุทธศาสนานิกายมหายาน
คือ พระอวโลกิเตศวร เพราะถือว่าเป็นพระผู้มีมหากรุณา ช่วยเหลือ ปลดเปลื้องความทุกข์
ให้แก่สัตว์ทั้งหลาย เมื่อพุทธศาสนามหายานเข้าไปในจีน ก็ได้นำคติเรื่องพระโพธิสัตว์
อวโลกิเตศวรนี้เข้าไปด้วย ต่อมาพระองค์ได้เปลี่ยนเป็นเจ้าแม่กวนอิม เหตุที่ท่านเป็นชาย
แต่กลายเป็นหญิงไป มีความเชื่อมาหลายตำนาน


ตำนานหนึ่งเล่าว่า พระราชธิดาของพระเจ้ากรุงจีน ประชวรเป็นโรคที่รักษาไม่หาย
พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรต้องช่วยรักษา แต่การเข้าวัง ท่านเป็นชาย ไม่สามารถเข้าวังได้
จึงต้องแปลงกายเป็นหญิง รักษาจนพระธิดาหาย แต่แล้วท่านกลับแปลงร่างกลับเป็นชายไม่ได้
จึงกลายเป็นหญิง เป็นเจ้าแม่กวนอิมมาจนถึงทุกวันนี้


แล้วคติในการเคารพบูชาพระโพธิสัตว์ก็เปลี่ยนไป จากเดิม
พระโพธิสัตว์คือผู้ที่บำเพ็ญบารมีอย่างยิ่งยวดเพื่อที่จะให้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ชาวพุทธจากที่เคยนับถือพระโพธิสัตว์ในแง่ที่เป็นแบบอย่าง เป็นตัวอย่างที่ดีในด้าน


๑) การเสียสละประโยชน์ตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เพราะพระโพธิสัตว์มีปณิธานแน่วแน่
เราจึงควรถือเอาเป็นแบบอย่างด้วยการตั้งใจทำความดีอย่างมั่นคงและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค
๒) เตือนตนให้สำนึกในหน้าที่ที่จะพัฒนาตนเองเพื่อให้บรรลุคุณธรรมเบื้องสูง
เพราะเมื่อเห็นว่าพระโพธิสัตว์เป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ยังเพียรจนบรรลุธรรมขั้นสูงได้ เราก็ควรยึดถือ
การกระทำของท่านเป็นแบบอย่าง เพราะพระโพธิสัตว์นั้น ต้องลำบากมากกว่าเรามากนัก
แต่เมื่อมีพระโพธิสัตว์เพื่อแข่งกับเทพของฮินดู การนับถือก็กลับกลาย กลายเป็นเพราะ

“ เรามีผู้ที่จะช่วย
อยู่แล้ว เราไม่ต้องทำอะไร เราจึงพากันไปอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากท่าน
แทนที่จะคิดทำดีอย่างพระโพธิสัตว์ในอดีต ”
( ** หน้า ๒๔ )


คงไม่ผิดหากชาวพุทธจะนับถือพระโพธิสัตว์ แต่เราคงต้องพิจารณากันหน่อย
ว่าจะนับถือท่านในแง่ไหน
“ มิฉะนั้นแล้ว เราจะถูกดึงเฉออกไปจากหลักพุทธศาสนา จากหลักการที่ถูกต้อง
นอกจากหล่นจากพุทธศาสนาแล้ว ก็อาจจะแกว่งไกว ไถลลงไปสู่ความเสื่อมได้ ”
( ** หน้า ๓๑ )

.................................................................
อ้างอิง
*ดร.สุชาติ หงษา ประวัติศาสตร์พระพุทะศาสนา สำนักพิมพ์ศยาม ๑๑๗ – ๑๑๙ ถนนเฟื่องนคร กรุงเทพ
**พระพรหมณ์คุณาภรณ์ ( ป.อ.ปยุตฺโต ) ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง สำนักพิมพ์ระฆังทอง นครปฐม

ที่มา

http://www.oknation.net/blog/nadrda2/2009/01/23/entry-1

อัศวโฆษ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 22:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มันไม่มีปัญหาอะไรหรอก ถ้าแต่ละลัทธิศาสนานั้น
อยู่ใครอยู่มัน สอนของตนเองไป
พุทธเราสอนว่า สัตว์ในกามาวจรภูมิ ปัญญาน้อย
ก็มีแค่ศรัทธานำพาไป
พูดง่ายๆว่า มีรสนิยมแตกต่างกันไป
บางคนชอบอย่างนี้ บางคนชอบอย่างนั้น


แต่ปัญหามันมามีอยู่ว่าอนุตรธรรมนี่ ทำตัวเกเร
บอกว่าตัวเองเป็นต้นกำเนิดทุกศาสนา
ยิ่งไปกว่านั้นก็ไปหลอกพระที่น่าสงสัยมาเข้าพิธีได้รูปหนึ่ง
ก็มาอ้างอย่างนู้นอย่างนี้ พยามจะทำให้ดูเสมือนว่า...
--- พุทธศาสนาเป้นส่วนหนึ่งของอนุตรธรรม
--- พระพุทธศาสนายอมรับอนุตรธรรม (แม้แต่พระก็ยังมาเข้ารีต)

ผมก็พยามจะบอกว่า อย่ามางี่เง่า
สอนกันคนละโยชน์เลย จะมาบอกว่าเหมือนกันไม่ได้

แล้วก็มีคนมาบอกว่า ทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี
ผมก็บอกว่า ใช่ ทุกศาสนาสอนให้คนเป้นคนดี
แต่ดีคนละแบบ

อนุตรธรรมบอกว่า ให้อาจารย์มาเจิมหน้าผาก เข้าพิธี แล้วก็จะได้ถึงสวรรค์
อ้างไปถึงกระทั่งเข้านิพพาน
เนียะ เห็นชัดๆว่าไม่ได้สอนให้คนเป็นคนเลว
แล้วก็ชัดเจาว่าไม่ใช่พุทธ พุทธไม่สอนให้ขึ้นสวรรค์หรือเข้านิพพานแบบนี้

อยากถามชาวคริสต์ที่บังเอิญมาแจมว่า
ถ้าอยู่ดีๆมีศาสนาอันหนึ่ง มาพาเอาบาทหลวงไปเข้ารีต
แล้วทำทีว่าศาสนาคริสต์เป้นส่วนหนึ่งของเขา
ชาวคริสต์คงจะยังใจกว้างอีกไหม
ยังจะพูดว่าศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนเป้นคนดีอีกหรือเปล่า
นี่มันเป็นการบิดเบือนศาสนาอื่นๆ เพื่อประโยชน์ของตนโดยแท้

ศาสนาพุทธกำลังถูกพวกปฏิรูปโดยพวก"คนโง่แต่ขยัน"
โง่ในจิต ไม่ฉลาดในจิตของตนว่ามีโลภะ มีความกระหายหิว
เหมือนเปรตน่ะ มันหิวแต่บุญ ทั้งวี่ทั้งวันมันหิวแต่บุญ
แต่เพราะปัญญามันไม่มี มันทำอะไรได้แล้วมันสบายใจมันก้ทำ
แต่สิ่งที่ทำเนียะ มันเป็นการเบียดเบียนชาวบ้าน
กรณีนี้คืออนุตรธรรมไม่สามารถจะยืนหยัดด้วยคำสอนของตนได้
ได้แต่อาศัยทำตัวเป็นเหลือบ เป็นพยาธิในลำไส้ของศาสนาพุทธ
เหมือนต้นไทรน่ะ มันไม่มีลำต้นของตัวเอง
แต่มันอาศัยขี้นกไปเกิดตามคาคบไม้
พอมันแตกราก มันก็เอารากของมันเจาะเข้าไปในต้นไม้ใหญ่
เพื่อดูดกินน้ำเลี้ยง จนวันหนึ่งมันก็แทนที่ต้นไม้ต้นนั้นโดยสมบูรณ์

ศาสนาพุทธของผมมันเป็นเป็นเมหือนต้นไม้ใหญ่
ที่โดนกาฝากเช่นอนุตรธรรม มาอาศัยเจริญเติบโตแบบน่าเกลียด

พูดมาได้เป้นฉากๆว่านิพพานก็เจิมตรงนี้ๆ
ถึงเวลานี้เวลานั้นให้บวงสรวงเทพยาดาแล้วจะได้รับผลตอบแทน
เช่น เมื่อโลกแตกจะปลอดภัย คนไหนไม่ยอมรับเทพของตน ก้จะไม่รอด

นี่ดูสิ เทพเทวดาศาสนานี่มันขี้อิจฉาหน้าใหญ่ขนาดไหน
ไม่เคารพมัน ไม่ไหว้มัน ไม่เข้ารีตของมัน มันก็ปล่อยให้ตาย
เทพลัทธินี้ ใจมันดำ๊ดำดำ ถ่านยังไม่ดำเท่าใจพวกมัน
นิสัยแบบนี้ จะมาใช้คำนำหน้านามว่าเทพ เทวดา.. มันจะมากไปหน่ิอย

ไหว้อิฐหินดินทรายยังดีกว่าไว้เทพกำมะลอพวกนี้
สำหรับผม เทพพวกนี้มันเป็นแค่ความคิดความเชื่อของคนเท่านั้น
ใครคิดว่ามีจริง มันก้จริงในใจคนที่เชื่อ คนไม่เชื่อมันก็ไม่จริง
จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง แสดงว่ามันไม่ใช่สัจจะธรรม

รวมความทั้งหมดแล้ว มันเป็นแค่เจตสิกของคนโง่ที่ขยัน

ถ้าคุณทั้งหลายเป็นคนที่"รักความจริง"
ว่ามาเลย เป็นข้อๆมาเลย จะกระชากหน้ากากให้ดู


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 07 มี.ค. 2010, 22:43, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 22:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2007, 11:39
โพสต์: 85

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.:b8: :b8:.

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า


อสาเร สารมติโน สาเร จ อสารทสฺสิโน
เต สารํ นาธิคจฺฉนฺติ มิจฺฉาสงฺกปฺปโคจรา
สารญฺจ สารโต ญตฺวา อสารญฺจ อสารโต
เต สารํ อธิคจฺฉนฺติ สมฺมาสงฺกปฺปโคจรา


บุคคลใดเห็นสิ่งอันไม่เป็นสาระว่าเป็นสาระ และเห็นสิ่งอันเป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ
บุคคลนั้น มีความดำริผิดประจำใจ ย่อมไม่อาจพบสาระได้
ส่วนบุคคลใดเห็นสิ่งอันเป็นสาระว่าเป็นสาระ สิ่งอันไม่เป็นสาระว่า ไม่เป็นสาระ
บุคคลนั้นมีความดำริถูกประจำใจ ย่อมสามารถพบสิ่งอันเป็นสาระ

............................



พระพุทธดำรัสนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสปรารภถึง สัญชัยปริพพาชก
ซึ่งไม่ยอมมาพบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามคำเชิญชวนของพระสารีบุตรและ
พระมหาโมคคัลลานะ เพราะทิฐิมานะและความติดอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ
เนื่องจากตนเองเป็นคณาจารย์เก่าแก่มาก่อนพระบรมศาสดา


เมื่อพระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะเชิญชวน
“บัดนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้วในโลก ธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้วนั้น
เป็นนิยยานิกธรรม สามารถนำผู้ปฏิบัติออกจากทุกข์โดยชอบได้จริง
พระสงฆ์สาวกก็ปฏิบัติชอบด้วยสุปฎิบัติ ท่านอาจารย์จงมาร่วมกันไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ยังพระเวฬุวันสถานนั้นเถิด”



ท่านสญชัยปริพพาชกจึงกล่าวห้ามว่า
“ใยท่านทั้งสองจึงมาเจรจาเช่นนี้ เรามีลาภมียศใหญ่ยิ่ง เป็นเจ้าสำนักใหญ่โต
ถึงเพียงนี้แล้ว ยังควรจะไปเป็นศิษย์ของใครในสำนักใดอีกเล่า ? ”

แต่แล้วก็คิดว่า อุปดิสสะและโกลิตะทั้งสองนี้เป็นคนดีมีปัญญาสามารถ น่าที่จะบรรลุ
โมกขธรรมตามที่ปรารถนายิ่งนักแล้ว คงจะไม่ฟังคำห้ามปรามของตน จึงกล่าวใหม่ว่า

“ท่านทั้งสองจงไปเถิด เราเป็นผู้ใหญ่ล่วงกาลผ่านวัยถึงความชราแล้ว
ไม่อาจจะไปเป็นศิษย์ของผู้ใดได้ดอก “


“ท่านอาจารย์อย่ากล่าวดังนั้นเลย”

สหายทั้งสองวิงวอน

“ไม่ควรที่ท่านอาจารย์จะคิดเช่นนั้น เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น
ดังดวงอาทิตย์อุทัยให้ความสว่างแล้ว คนทั้งหลายจะหลั่งไหลไปฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แล้วท่านอาจารย์จะอยู่ได้อย่างไร”


“พ่ออุปดิสสะ ในโลกนี้ คนโง่มาก หรือคนฉลาดมาก ?”

สญชัยปริพพาชกถามอย่างมีท่าเลี่ยง แต่อุปดิสสะตอบตรง ๆ โดยความเคารพว่า

“คนโง่สิมาก ท่านอาจารย์ คนฉลาดมีปัญญาสามารถ จะมีสักกี่คน”
“จริง ! อย่างพ่ออุปดิสสะพูด”

สญชัยปริพพาชกกล่าวอย่างละเมียดละไม

“คนฉลาดมีน้อย คนโง่มีมาก อุปดิสสะ เพราะเหตุนี้แหละ เราจึงไม่ไปด้วยท่าน
เราจะอยู่ในสำนักของเรา อยู่ต้อนรับคนโง่ คนโง่อันมีปริมาณมากจะมาหาเรา
ส่วนคนฉลาดจะไปหาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น ท่านทั้งสองจงไปเถิด เราไม่ไปด้วยแล้ว”


แม้สหายทั้งสอง จะพูดจาหว่านล้อมสญชัยปริพพาชกด้วยเหตุผลใด ๆ
ก็ไม่สามารถจะโน้มน้าวจิตใจของสญชัยปริพพาชกให้ไปเฝ้าพระบรมศาสดาได้

ก็จากมาพร้อมกับบริวารจำนวนหนึ่ง สัญชัยปริพพาชกเสียใจมากถึงกับอาเจียนออกมาเป็นโลหิต

อัษวโฆษ


"ธรรมชาติพื้นฐานของมนุษย์โดยมาก มักจะมีแนวโน้มที่จะเชื่อในสิ่งที่ลี้ลับ
มีเหตุผลน้อย หรือ ไม่มีเหตุผล พื้นฐานมาจากความไม่รู้ ความกลัว
และต้องการสนองความรู้สึกตัวเอง"


"พระพุทธศาสนา เกิดขึ้นมาเพื่อสอนให้มนุษย์ใช้ปัญญา วิเคราะห์หาเหตุผล ตามหลักอริยสัจจ์
เป็นศาสนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง ผลย่อมสมควรแก่เหตุ
มีเหตุ ย่อมมีผล จะพ้นทุกข์ได้เพราะความเพียรของตน

บางครั้ง คนจะรู้สึกลำบากใจ เพราะต้องใช้ความเพียร
ใช้ปัญญาของตน ในการที่จะพ้นทุกข์ หรือได้สิ่งของที่ตนเองประสงค์
จึงเป็นการง่าย ถ้ามีการอ้อนวอนขอแล้วได้มาโดยไม่ต้องออกแรง "


อัศวโฆษ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 16:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 06:38
โพสต์: 59

อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอทิ้งท้ายนะครับ

ธรรมะแท้จะไม่เปลี่ยนไปตามโลก แต่โลกจะเปลี่ยนไปตามธรรมะแท้ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 22:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 พ.ค. 2007, 08:24
โพสต์: 56


 ข้อมูลส่วนตัว




fo-02.jpg
fo-02.jpg [ 25.88 KiB | เปิดดู 6290 ครั้ง ]
ท่านอาจารย์พุทธทาสได้ฝากปณิธานไว้ 3 ข้อ ดังนี้

ปณิธาน ข้อที่ 1.ขอให้ศาสนิกของแต่ละศาสนาเข้าถึงหัวใจของหลักธรรมของศาสนาของตนๆ

ปณิธาน ข้อที่ 2.ขอให้มีความร่วมมือระหว่างศาสนา

ปณิธาน ข้อที่ 3.ขอให้มนุษย์ถอนตัวออกจากวัตถุนิยม

ในช่วงที่โลกก็วิกฤต ไทยก็วิกฤตไปตามโลกด้วยอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง คนไทยน่าจะพากันศึกษาปณิธานทั้ง 3 ประการกันอย่างจริงจัง อันจะทำให้พบทางออกจากวิกฤต

การคิดภายใต้ความครอบงำของสภาพที่ดำรงอยู่ ไม่ทำให้พ้นวิกฤตได้ แต่มนุษย์สามารถหลุดจากมายาคติทั้งปวงไปสู่อิสรภาพและพบกับความจริง ความงาม ความถูกต้อง ได้โดยการเข้าถึงศาสนธรรม
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร