วันเวลาปัจจุบัน 03 พ.ค. 2025, 02:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 06:38
โพสต์: 59

อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


อาจจะดูเป็นการล่วงเกินอะไรสักหน่อย ต้องขออภัยท่านผู้ใช้บอร์ดท่านอื่น
ด้วยนะครับ

อาจจะดูเป็นเรื่องที่มุ่งไปค่อนข้างตรงจุด

วัตถุประสงค์
๑.์เพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับวิถีอนุตรธรรมว่าจริงเท็จประการใด
๒.เพื่อป้องกันตนเองจากการชักชวนของลัทธิวิถีอนุตรธรรม
๓.เพื่อการวางตนที่เหมาะสมท่ามกลางชาววิถีอนุตรธรรม

หลักการและเหตุผล
เนื่องจากในปัจจุบันพบว่ามีลัทธิวิถีอนุตรธรรมเข้ามาในหมู่ของชาวพุทธ
และพบว่าสถานธรรมตามลัทธิวิถีอนุตรธรรมมีมากมายแผ่ขยายไปทั่วประเทศ
ไทย มีทุกภาค(คงไม่มีใครเถียงนะครับนอกจากนี้ยังพบว่ามี webpage มากมายที่เผยแพร่ลัทธิอนุตรธรรม ดังนั้นในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ
เราควรที่จะรู้เพื่อดำเนินการติดสินใจเข้าสู่ครรลองกระแสแห่งนิพพานให้ถูกต้อง

ในฐานะที่กระผมเป็นชาวพุทธคนหนึ่งจึงขอเรียนให้สมาชิกทุกท่านในบอร์ดได้รับ
ทราบว่าลัทธิวิถีอนุตรธรรมได้เข้ามาแทรกแทรงในสังคมชาวพุทธ

เรื่องที่ ๑
ประเด็นคำกล่าวและคำสอนจากอาวุโส
กระผมก็เป็น ๑ ในหลายๆคนที่เข้าไปศึกษาวิถีอนุตรธรรมแต่อาจจะแค่ผิวเผิน
หลักธรรมคำสอนของวิถีอนุตรธรรมก็คลับคล้ายกับหลักธรรมคำสอนของศาสนาพุทธ
แต่สาธุชนทั้งหลายครับ บางอย่างที่ถูกสอดแทรกเข้าไปในนั้นมันไม่ถูกต้อง
ก่อนอื่นขอให้ทำความเข้าใจง่ายๆนะครับ
เหมือนเราไปซื้อ Burger ที่ร้าน KFC แล้วสมมติว่่าเราไปเข้าห้องน้ำ
มีใครก็ไม่รู้เอาอะไรก็ไม่รู้ไปยัดไส้ไก่ที่อยู่ใน Burger คำถามข้อนี้
กระผมจะถามว่าหากคุณกลับมา แล้วพบว่า Burger ของเรามีใครเอาหนูตายมาโปะหน้า ทางผู้จัดการร้านก็ไม่รู้อะไรก็เลยบอกว่าคุณสามารถที่จะขออันใหม่ได้
แล้วคุณจะเลือกอันไหนครับ เบอร์เกอร์ที่โดนยัดไส้หนู หรือว่าเบอร์เกอร์ที่ทางร้านจัดให้ใหม่ครับ
เช่นเดียวกันครับ ลัทธิอนุตรธรรมบางส่วนมันก็ถูก แต่บางส่วนก็สอดแทรกสิ่ง
ที่มันผิดๆเอาไว้ กระผมขอแยกประเด็นนะครับ
จุดที่ ๑ ทุกอย่างล้วนเกิดแต่พระแม่องค์ธรรม
ความจริงแล้วนั้นหากใครได้ศึกษาไตรภูมิพระร่วง
จะพบว่าการเกิดโลกใหม่ซึ่งในไตรภูมิพระร่วงฉบับการ์ตูนได้อธิบายไว้ว่า
หลังจากที่โลกได้ถูกทำลายลงเหลือเพียงชั้นของอรูปพรหมเท่านั้น
เมื่อโลกเกิดขึ้นใหม่พบว่าดินมีกลิ่นหอมหวน จึงพากันลงมาทานดิน
เมื่อกินดินนานขึ้น นานขึ้นเรื่อยๆ รัศมีที่มีอยู่ในตัวจึงพากันหดหาย
ทำให้โลกมืดสนิทลง เหล่าอรูปพรหมเหล่านั้นก็เลยพากันคิดว่า
เอ! เราน่าจะมีวัตถุให้มีแสงสว่างได้เนอะ ด้วยอำนาจบุญกุศลเก่าจึง
ทำให้เกิดมีพระอาทิตย์บังเกิดขึ้น เมื่อถึงเวลากลางคืนก็เกิดมืดเสียอีกก็เลยคิดว่า
เอ! เราน่าจะมีวัตถุให้แสงสว่างได้ในยามกลางคืนด้วยหนอ
ด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลเก่าจึงทำให้เกิดมีพระจันทร์ขึ้น
บางคนอาจสงสัยว่า เอ!แล้วอรูปพรหมกินดินได้อย่างไรเล่าขนาดรูปร่างยังไม่มี
ในความคิดของกระผมคิดว่า ท่านวิปัสสนาจารย์ได้เคยกล่าวไว้ว่าการทำฌาณให้เกิดขึ้นนั้นเหมือนดั่งเอาก้อนหิน
ทับกอหญ้า หมายความว่า เมื่อเอาก้อนหินออกหญ้าย่อมสามารถเจริญเติบโตต่อไปได้
เหมือนกันครับกับอรูปพรหมเดิมทีเดียวก็เคยมีรูปเหมือนเราเราท่านท่านนี่แหละครับ
แต่ด้วยอำนาจของสมาธิเลยตัดออก เมื่อสมาธิเสื่อมลง กิเลส ตัณหา อุปาทาน สักกายทิฏฐิก็กลับมา รูป ผัสสะ เวทนา สัญญา สังขาร ก็เลยกลับมาครับ ถ้างงก็ขออภัยด้วยนะครับ
จากประเด็นตรงนี้จะแสดงให้เห็นว่าขนาด พระอาทิตย์ พระจันทร์ บรรพบุรุษของเราก็เป็นคนสร้างขึ้น แล้วภาษาออะไรกับ อย่างอื่นหละครับ
แต่บางอย่างก็เกิดขึ้นจากโลกเองก็มี เพราะโลกเกิดจากการประชุมกันของธาตุ
แล้วพระแม่องค์ธรรมมาสร้างอะไรหรอครับ ทุกอย่างมันเกิดมาจากความสืบเนื่อง แม้กระทั่งตัวเรานี้ก็เกิดมาจากความสืบเนื่องไม่ใช่หรอครับ

จุดที่ ๒ ลัทธิอนุตรธรรมได้กล่าวไว้ว่าพระพุทธองค์สามารถเข้าแดนนิพพานได้
โดยการเปิดจุดญาณทวาร
อย่างที่เราได้ศึกษาในพุทธประวัติแหละครับ พระพุทธองค์บรรลุได้โดยพระองค์เอง
งั้นเราคงไม่สวด นะโม ตัสสะ กันหรอกครับ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
อะระหะ โต
ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส
สัมมาสัมพุทธัสสะ
ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
การที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้ได้นั้น
สืบเนื่องจากการทำฌาณ แล้วจากการทำฌาณสืบเนื่องไปถึง อภิญญา ๖
สืบเนื่องจากอภิญญา ๖ เข้าใจในปฏิจสมุปบาท เข้าสู่อริยสัจ ๔ จึงได้บรรลุองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้าหากว่าพระพุทธองค์ได้เปิดจุดญาณทวารจริงแล้วท่านจะไปนั่งบำเพ็ญเพียรทำไม
ทำไมท่านต้องไปลองผิดลองถูกด้วยจริงหรือไม่

จุดที่ ๓ ลัทธิอนุตรธรรมมีการกล่าวเชิงประจักษ์หลักฐานว่าอย่างงั้นอย่างนี้
ในส่วนของการประจักษ์หลักฐาน คำว่า "ประจักษ์หลักฐาน" หมายถึงอะไร
ในทางเภสัชศาสตร์ก็ได้กล่าวถึง หลักฐานเชิงประจักษ์ แต่เป็น EBM
Evidence Base Medicine เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ทางการแพทย์
ขอเข้าใจความนะครับ ในทางEBM แบ่งระดับความน่าเชื่อถือ ออกเป็น ๔ ระดับ
๑.Meta analysis คือ การเอาข้อมูลจากหลายๆการทดลองมาสรุปผลร่วมกัน
๒.RCT Randomized Control Trial คือ เหมือนการจับฉลากมีการสุ่มผู้ป่วยว่าจะเข้าการทดลองไหนโดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ว่าใครได้หรือไม่ได้
๓.มีกลุ่ม Control แต่ไม่มีการ Random หมายถึง หยิบคนเข้าไปใส่ในการทดลอง
๔.Expert Opinion หมายถึง ถามผู้ชำนาญการต่างๆ
ในทางลัทธิวิถีอนุตรธรรมบอกว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะลงมาหาเป็นบางคน
หรือลงมาหาเฉพาะกับคนที่ฉุดช่วยคนไว้มาก หมายความว่าเราทุกคนไม่สามารถสัมผัสได้
แล้วคำกล่าวที่เอามาอ้าง ณ เวลา นั้นๆ บอกว่าวัน เวลานั้น เวลานี้
แม้แต่ตัวลัทธิเอง ยังบอกว่าเป็นความลับสวรรค์ แสดงว่าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน
เพียงพอ ในความคิดของกระผมจึงขอกล่าวว่า ระดับความเชื่อมั่นยังจัดอยู่ที่
ระดับ๔ เป็นเพียงแค่ มุขปาฐะ เป็นการเล่าปากต่อปาก

จุดที่ ๔ เรื่องของการตายแล้วฟื้น
ไม่เพียงแต่ลัทธิอนุตรธรรมเท่านั้นนะครับ ที่มีเรื่องตายแล้วฟื้น ศาสนาพุทธของเราก็มีครับ ตอนนั้นไปฟังบรรยายของคอร์สปฏิบัติธรรม
ของคุณแม่ชื่นจิต กาญจนากาศ รู้สึกจะกล่าวถึงคุณประเทืองที่มีการตายแล้วฟื้น
แล้วที่บอกว่าวิญญาณเข้าร่างแล้วขอรับวิถีอนุตรธรรม กระผมขอบอกเลยครับ
อย่างที่เคยกล่าวไปแล้ว เทวดาขนาดชั้นจาตุมหาราชิกายังมีฤทธิ์เลย
(สามารถศึกษาได้เพิ่มเติมครับ ในข้อมูลเกี่ยวกับที่มาของกรณียเมตตสูตร)
การเข้าร่าง ร่างทรงก็มีถมเถไปไม่ใช่หรือครับ แล้วการที่วิญญาณจะเข้าร่าง
ในตัวมนุษย์มันก็ดูเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยอัศจรรย์ใจใช่ไหมหละครับ
อย่างในกรณีของคุณประเทือง ตอนนี้ก็ยังคงมีชีวิตอยู่แต่ของลัทธิอนุตรธรรมอยู่ได้ ๔ ชั่วโมง
ดังนั้นสิ่งที่ฝากไว้ครับก็ คือ การที่เกิดนิมิตอะไรบางอย่าง ถึงแม้ว่าเกิดโดยเทวดามันก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องครับ
อีกเรื่องที่อยากฝากไว้นะครับ เปรตก็สามารถเข้าร่างคนได้ครับ ไปสังเกตตาม
สถานที่คนทรงหากมีกลิ่นเหม็นหรือกลิ่นคาวเนื้อสัตว์อันนั้นก็ใช่ครับ
แล้วก็อีกอย่างพวกหมอดูทั้งหลายกระผมก็เคยเล่นครับ หลวงพ่อท่านฝากเตือนว่า เปรตก็ดูดวงได้ ระวังจะทับซ้อนกันได้นะ(เข้าร่าง)

จุดที่ ๕ บอกว่าทำไมพวกอาจารย์ที่ใกล้ชิดสถานธรรมถึงมีทรรศนะราวๆกับว่า
รู้อนาคต รู้ใจคน
อันนี้กระผมก็หลงมาตั้งนานครับ ความจริงแล้วมันก็เหมือนกับ คนที่อยู่บนถนน
กับคนที่อยู่ตึกสูง ๕ ชั้นครับ คนที่อยู่บนตึกสูง ๕ ชั้นก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าไอคนที่อยู่บนพื้นมันทำอะไรบ้าง เหมือนกันครับ
เทวดาบางจำพวกก็รู้ครับว่าผมทำอะไรอยู่ เพราะเขาอยู่สูงกว่าผม
อย่างที่กระผมพูดไปในจุดที่ื ๔ เปรตยังดูดวงได้ รู้ใจคนได้ ภาษาอะไรกับเทวดาครับ

จุดที่ ๖ อาวุโสในสถานธรรมบอกว่าทำบุญกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้บุญมาก ส่งผลเห็นชัดในชาตินี้
ในทางพระพุทธศาสนานั้นได้กล่าวไว้เกี่ยวกับกรรมที่กระผมเคยอธิบายไปแล้ว
เกี่ยวกับ ชวนจิตทั้ง ๗ ดวง ครับ
ดวงที่ ๑ จะส่งผลกรรมในชาตินี้
ดวงที่ ๒-๖ ส่งผลกรรมในชาติต่อๆไป
ดวงที่ ๗ จะส่งผลกรรมในชาติหน้า
ความจริงแล้วมีสิ่งเกี่ยวข้องอีก ๑ ประการครับ
ท่านเปรียบว่า เหมือนกับม้าความเร็วสูง ที่ต้องให้ผลกรรมก่อน
คือ บุญหนัก หรือ บาปหนัก อย่างที่จะเข้าใจง่ายๆกระผมต้องขอพูดเรื่อง
พระเจ้าอชาตศัตรูครับ ท่านได้ทำปิตุฆาต ซึ่งกรรมจากปิตุฆาตนี้ครับ
ทำให้ทางแห่งนิพพานได้ปิดลงหมด ทำให้ในชาตินั้นท่านไม่สามารถบรรลุนิพพานได้ครับ กรรมแบบนี้เราเรียกว่า
ครุกรรม อย่างกรรมฝ่ายดีก็มีครับ อย่างการที่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
อย่าง พระองคุลีมาล ฆ่าคนไปมากมาย แต่เมื่อได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ประตูขุมนรกก็ปิดลง เนื่องด้วยกุศลจากการเป็นพระอรหันต์
เรื่องกฏแห่งกรรมที่กระผมคิดว่าน่าอ่าน ขออนุญาตแนะนำนะครับ
กฏแห่งกรรม โดย พระธรรมวิสุทธีกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ) อธิบายเรื่องกฏแห่งกรรมได้ลุ่มลึกระดับหนึ่งเลยครับ

จุดที่ ๗ มีคำพูดกล่าวว่า หลังจากที่ได้รับวิถีอนุตรธรรมจะได้การปิดประตูนรก
และขึ้นไปยังด่านพุทธาลัยโดยใช้รหัสคาถา ๕ คำ
ในความเป็นจริงแล้วนั้นการที่เราจะไปนรกหรือสวรรค์นั้น ขึ้นกับเหตุปัจจัยหลายๆอย่างครับ
๑.ครุกรรมรอให้ผล เช่น อานันตริยกรรม บรรลุเป็นพระอริยบุคคล
๒.อาสัณกรรม กรรมที่ทำก่อนตาย เปรียบดั่งวัวชราที่เข้าคอกตัวสุดท้าย
แม้จะมีกำลังน้อยแต่เมื่อเปิดคอก ย่อมได้ออกก่อน
๓.อาจิณณกรรม กรรมที่ทำเป็นนิสัย ทำเป็นนิตย์
๔.กตัตตากรรม กรรมสักแต่ว่าทำ
หากจะให้พูดง่ายๆก็คือ เราจะไปนรกสวรรค์ก็ขึ้นอยู่กับกรรมจำพวกนี้ครับ

จุดที่ ๘ มีคนพูดว่าคนที่ได้รับวิถีอนุตรธรรม ตอนตายไปตัวนิ่มเพราะสิ่งศักดิ์พาไปแดนพุทธาลัย
เป็นประเด็นที่น่าสนใจครับ แต่กระผมจะบอกว่าคนที่รับวิถีอนุตรธรรมดำรงตนในศีล ๕ ไหมครับ
ก็ใช่แล้วเมื่อเบญจศีล เบญจธรรมมันครบแล้วจะเอากรรมที่ไหนไปตรงนรกหละครับ ถ้าเปรียบกับจุดที่ ๗ ก็เข้าตรงตาม อาจิณณกรรม
แล้วอย่างประวัติ มิสฟลอเรนซ์ ไนติงเกล หละครับ เป็นชาวคริสต์ไม่ใช่หรอครับ
เวลาที่ท่านตายเมื่ออายุ 90 ปีก็ตายเหมือนคล้ายอาการคนนอนหลับ
ในระหว่างที่ท่านมีชีวิตอยู่ได้ปรับปรุงแบบแผนของวิชาชีพพยาบาล
รวมทั้งรูปแบบสาธารณสุข ท่านยอมเสียสละความรักเพื่อไปเป็นนางพยาบาล
ถูกดูหมิ่นจากมารดาและพี่สาวเพราะนางเกิดในตระกูลเศรษฐี ในสงครามไครเมีย ท่านก็เป็นนางพยาบาลที่ดูแลทหารของอังกฤษแม้จะถูกกดดันจากขั้วอำนาจใน
กองทหารนก็ตาม ตัวอย่างนี้แสดงได้ชัดเจนว่า ไม่จำเป็นเลยครับต้องนับถือวิถีอนุตรธรรมเวลาท่านตายถึงจะตัวนิ่ม

จุดที่ ๙ เรื่องของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ความหมายตรงตัวครับ พระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธของเราก็รู้อยู่แล้วว่าเป็น
อเทวนิยม ครับ แล้วอนุตรธรรมที่บอกว่าเป็นพระพุทธศาสนายุคใหม่
นับถืออะไรบ้างครับ เทพเจ้าเตาครัว ขุนพลเทพพิทักษ์ตำหนักธรรม
พระบรรพจารย์จี้กง เหลาหมู่ พระอริยมาตาจงหวา ฯลฯ แสดงว่าเป็นพหุเทวนิยม
อเทวนิยม กับ พหุเทวนิยม ชัดเจนนะครับ แตกต่างหรือไม่แตกต่างครับ

ขอค้างไว้ถึงตรงนี้ก่อนนะครับ มีธุระไปทำข้างนอกครับ :b16:
(ขอแก้ชื่อกระทู้นะครับ พยายามหาชื่อให้เกียรติฝั่งนู้นมากที่สุด คิดชื่อกระทู้ไม่ได้สักที)


แก้ไขล่าสุดโดย คนเกือบหลงทาง เมื่อ 04 มี.ค. 2010, 15:54, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 11:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: :b1: ติดตามอยู่เจ้าค่ะ...

ว่าต่อ ว่าต่อ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 12:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาเวลาไปศึกษาเรื่อง "ปรมัตถธรรม" ดีกว่าครับ
ไปศึกษาว่า ดูยังไง ทำยังไง ถึงเห็นถึงแจ้งปรมัตถธรรม
เมื่อเข้าใจปรมัตถธรรม จะเข้าใจสิ่งตรงกันข้ามคือบัญญัติ

เมื่อเข้าใจทั้งบัญญัติ-ปรมัตถ์
จะเข้าใจอนุตรธรรมเอง

บัญญัติ-ปรมัตถ์ สำคัญมากในการศึกษาพระพุทธศาสนา
เข้าใจเรื่องนี้ได้ (หรือเพียงแต่ "พอเข้าใจ") ก้จะสามารถแยกแยะธรรมทั้งหลายได้
รวมถึงอนุตรธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 12:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ปฏิบัติมาก่อน ปริยัตเป็นรอง

ภาษาพูดเข้าใจง่ายๆธรรมดาไม่ใช้ภาษาบาลีสักตัวยังทำให้คนบรรลุธรรมได้เลย เพราะการปฏิบัติฝึกจิตฝึกใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 06:38
โพสต์: 59

อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อนะครับ
หลายๆท่านบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจ ไปสนใจปฏิบัติธรรมของเราดีกว่า
มันดูแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องเราจริงๆ แต่ในความคิดของผม ผมคิดว่าการที่เราดึงคน
กลับจากวิถีอนุตรธรรมได้ เป็นการช่วยดึงคนกลับมาสืบต่อพระพุทธศาสนาไม่ใช่หรอครับ
้เท่าที่ฟังมา ศาสนาฮินดูก็เกิดจากการเอาศาสนาพราหมณ์มารวมกับศาสนาพุทธ อันนี้ก็เช่นกัน
ถ้าเราปล่อยไว้นานเกินควร หลักธรรมคำสอนของศาสนาพุทธอาจจะผิดเพี้ยนไปก็ได้
นอกจากนี้การที่เรากระทำแบบนี้ กระผมคิดว่ามันเป็นความกตัญญูต่อพระพุทธศาสนาทางหนึ่งที่
กระผมพอที่จะทำให้พระพุทธศาสนาได้

เข้าเรื่องนะครับ
หลายๆคนบอกว่าทำไมดูเหมือนผู้เขียนไปขุดคำสอนลึกๆที่เขาสอนผิดทำไมไม่เอาที่เขาสอนถูก
ในทัศนคติของผู้เขียนผมมองว่าในเมื่อเรามีทางเลือกที่ดีกว่า ทำไมเราต้องไปเลือกทางเลือกที่มันด้อยกว่าหละครับ

จุดที่ ๑๐ มีนักบรรยายธรรมอาวุโสบอกว่าหากคนที่ไม่กินเจ จะไม่สามารถบรรลุธรรมได้
อาหารเจ คือ อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นองค์ประกอบ ไม่มีผักฉุน ๕ อย่าง คือ กระเทียม หัวหอม ฝิ่น กุยช่าย และ ผักที่มีลักษณะคล้ายกระเทียม พระวิปัสสนาจารย์เคยเล่าให้กระผมฟังว่า มีคราวหนึ่ง
มีสัตว์ตายอยู่หน้าวัด ภิกษุณีจึงไปทูลขอพระพุทธองค์มาทำอาหาร พระพุทธองค์ก็ทรงอนุญาต
ถ้าหากว่าการกินเนื้อสัตว์ปิดกั้นทางบรรลุนิพพานพระพุทธองค์จะห้ามหรอครับ
อีกหลักฐานหนึ่งก็คือ พระปริตกรณียเมตตสูตร
กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะ
กุลบุตรผู้ฉลาดในประโยชน์ มุ่งหวังบรรลุสันตบทควรบำเพ็ญกรณียกิจ
ข้อที่ ๘ สุภะโร จะ เลี้ยงง่าย
หมายความว่า บริโภคแต่พอดี รวมไปถึงการไม่ยึดติดในรสอาหาร
อาจจะกล่าวในอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นผู้ดำเนินวิถีชีวิตง่าย ไม่ต้องสรรหาอะไรมาปรุงแต่งมาก
ได้อะไรมา(บิณฑบาท)ก็ฉันแบบนั้น

ความจริงก็มีอะไรอีกมากมายที่มันผิดเพี้ยนไป
เหมือนกับเบอร์เกอร์ที่ยัดไส้ด้วยหนู เวลาเอาไปตรวจสอบ มันก็ต้องมีเนื้อหนูปนในเนื้อไก่แน่นอน
อยู่แล้ว

อันนี้มันก็อยู่ที่ว่าเราจะเลือกอาหารที่ปนด้วยเนื้อหนู หรือจะกินอาหารเนื้อไก่ล้วนหละครับ
หรือมองอีกวิธีก็คือ เราจะเืลือกกินน้ำที่ต้นน้ำ หรือจะเลือกกินน้ำที่ปลายทางน้ำที่ถูกปนเปื้อนด้วยสิ่งต่างๆมากมาย

ทั้ง ๑๐ ข้อที่กล่าวมานี้กระผมหวังว่าจะช่วยพิจารณาในการตัดสินหากใครมาชวนเราท่านไป
วิถีอนุตรธรรม เรามีกำแพง ๑๐ ข้อกั้นแล้วนะครับกระผมหวังว่าคนที่ได้อ่านกระทู้นี้จะไม่ต้อง
มาเกือบหลงทางแบบผมครับ ขอบคุณครับ

ในบทต่อไปจะขอกล่าวถึงการปฏิบัติตัวกับการชักชวนผู้รับวิถีอนุตรธรรมเราจะวางตัวอย่างไร?
เป็นเรื่องอีกเรื่องที่สำคัญในการบ่ายเบี่ยงหรือการวางตัวให้อยู่ในสภาวะที่สันติสุขที่สุด
กรณีศึกษาที่จะกล่าวนี้นอกจากวิธีการปฏิบัติตัวแล้วกระผมขอให้สาธุชนร่วมออกความเห็น
เพื่อให้เป็นธรรมทานต่อไปด้วยครับ
บางคนอาจจะบอกว่ากรณีศึกษาที่กระผมยกมาดูคำตอบแสนจะง่ายดายเหลือเกิน
ทั้งนี้กระผมขอให้ผู้แสวงหาธรรมทุกท่านจดจำไว้นีี่คือสิ่งที่พวกท่านต้องเผชิญเมื่อต้องอยู่ใกล้กับวิถีอนุตรธรรม
กรณีศึกษาที่ ๑ กระผมเคยเข้าไปชั้นเรียนที่สถานธรรมจัดซึ่งมีอยู่ครั้งหนึ่ง
ครั้งนั้นมีผู้ร่วมศึกษาจากสถานธรรมอื่น เขาบอกว่าวิธีการชวนคนมารับธรรมะของเขาก็คือ
พาคนไปเลี้ยงอาหารเจ เขาบอกว่าเมื่อเขาเลี้ยงอาหารแล้วทำให้คนที่ถูกเลี้ยงเกิดความเกรงใจ
ทำให้เวลาเขาชวนคนที่เขาเลี้ยงเข้าสถานธรรมเลยง่ายขึ้น แล้วก็จัดเข้ารับวิถีธรรมะ
จากข้อมูลที่กระผมได้กล่าวข้างต้น ท่านๆคิดว่าเราควรจะแก้ไขอย่างไร เราจะบ่ายเบี่ยงอย่างไร

กรณีศึกษาที่ ๒ กระผมได้ไปคุยกับคนที่เขาปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานแต่หันไปอยู่ทางสถานธรรม
ซึ่งคนนี้ก็ปฏิบัติร่วมกันทั้งสองอย่าง คือ ทั้งสถานธรรม ทั้งปฏิบัติแต่กระผมมองว่าเขาไปทางสถานธรรม
มากกว่า ทำไมผมถึงกล่าวเช่นนั้น เวลาเกิดเรื่องเขาสอนผมว่า ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซะ
เซี่ย เซี่ย เหลาหมู่ ต้าสือต้าเปย แบบนี้มีปัญญาหรือไม่ วันที่กระผมบอกว่าผมไม่ขอยุ่งกับสถานธรรมแล้ว
เพราะมันไม่ใช่ เขาถามว่ากระผมว่า น้องไอซ์ไม่เชื่อเรื่องกฏแห่งกรรมหรอ

กรณีศึกษาที่ ๓ หลังจากที่ผมไปหาหลวงปู่เทพโลกอุดร ผมบอกกับคนในสถานธรรมว่าเป็นอย่างไรเล่า
รู้ไหมที่เธอทำเหมือนคล้ายๆสังฆเภทเลยนะ เขาบอกประมาณว่าเป็นมารมาทดสอบเขา ถ้าคิดว่าเราควรจะช่วยเหลือเราจะช่วยเหลืออย่างไร

กรณีศึกษาที่ ๔ หลังจากที่กระผมปฏิเสธสถานธรรมไปแล้วนั้น มีคนมาบอกกระผมว่า กระผมควรศึกษาอนุตรธรรมให้ถ่องแท้ก่อน ก่อนที่จะตัดสินใจอะไรลงไป ในความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ทางเลือกของเรา(พระพุทธศาสนา)ต้นตรง ปลายตรง
ทางเลือกของเขา ต้นคดแล้วปลายมันจะตรงได้อย่างไร ผมถึงเลือกไม่ศึกษา

บทส่งท้าย
ก่อนที่ผมจะจบหัวข้อนี้ กระผมขอทิ้งท้ายไว้ว่า ลักษณะของลัทธินี้เหมือนเอาแ้ป้งหลายยี่ห้อมาผสมกัน
มีทั้งดีและเลวปนกัน หากถามว่าเขามีคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาไหม เขาตอบได้ว่าเขามี
แต่ว่าเขาเข้าถึงรากของศาสนาพุทธหรือไม่ ไม่ใช่ เหมือนกับว่า ศาสนาพุทธเราตั้งโดยพระอรหันต์
พระอรหันต์ด้วยกันถึงจะพออธิบายได้ แต่ลัทธิอนุตรธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วหรอ แล้วมาอธิบายธรรม
ระดับพระอรหันต์ เหมือนกับคนตาบอด คลำช้าง เมื่อไม่รู้จักว่านี่คือช้าง แล้วจะบอกว่าช้างได้อย่างไร

กระผมขอฝากเรื่องชวนคิดไว้แค่นี้แหละครับ ผิดพลาดประการใดขออโหสิกรรมด้วยครับ

หากมีคำถามสามารถถามได้ แต่ตัวกระผมยังมีปัญญาน้อยกระผมอาจจะตอบได้ไม่ชัดเจนเท่าไรนะครับ
ขอขอบคุณที่ตั้งใจอ่านจนมาถึงบรรทัดนี้ได้ครับ ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ได้อ่านครับ (เพราะไม่มีจักขุปสาทสำหรับคำสอนนอกศาสนา) ..แต่กำลังคิดว่านี่เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการเผยแพร่ครับ :b1:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 15:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 พ.ย. 2008, 20:43
โพสต์: 42


 ข้อมูลส่วนตัว


รู้จักคนในอนุตรธรรมแยะเหมือนกัน คนเหล่านี้อาศัยธรรมของแต่ศาสนาซึ่งจริงๆแล้วคนเหล่านี้ไม่รู้จริงๆเลย อาศัยศาสนาและเอาความเชื่อตัวเอง เผยแพร่ เค้าเชื่อว่าไม่มีพระองค์ไดที่เป็นพระอรหันต์นอกจากต้องมารับวิธีธรรมอันไรสาระนี้เสียก่อน บางครั้งมีงานประชุมเค้าจะมีซันไฉ[ร่างทรง]มาครั่งหนึ่งมีเจ้าชายสิทธะมาประทับสั่งสอนว่า โลกนี้วุ่นวายเหล่าลูกศิษย์จะต้องเลือกข้าวหลามหรือดอกบัว ต้องปฏิษํติทั้ง2อย่าง ดอกบัวคือพระพุทธศาสนาต้องบำเพ็ญ20 ส่วนข้าวหลามคืออนุตรต้องบำเพ็ญ80 วันพระจีนก็ไปกราบขอขมาสิ่งศักสิทธิ์ ปันเต้าต้องหาคนมารับธรรมเยอะจะได้อานิสงฆ์ใหญ่บางครั่งฉันมีข้อสงสัยนั้นธรรมนั้นก็ไปถามอาจารย์บางทีเค้าจะอ้างเบื้องบนบ้างพระองค์แม่ธรรมหรืออ้างคำซันไฉหรืออ้างตอนเขียนกะบะทราย ความจริงคือไม่รู้ เมื่อปี2000ซันไฉเห็นว่าโลกจะถึงกาลแตกต้องเตรียมน้ำชาที่ถวายไว้เตรียมอาหารเจไว้อยู่ในสถานธรรมช่วยกันสวด หมีเลอร์ ฉันเคยถวายชีวิตเพื่ออนุตรธรรมครั่งหนึ่งขณะกราบพระ1000กราบนั้นใจก็ถามตัวเองว่ามันมีประโยคไหมนะทำไมฉันยังโกรธอยู่หรือแม้อาจารย์ผู้เบิกธรรมยังเป็นคนขี้โกรธฉันจึงมาศึกษาพุทธศาสนาแท้ ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่มีปํญญาในวันนั้นจึงได้ถอนออกจากมิญจาถอนออกจากอนุตรนั้นอย่างถารว
ถ้าสิ่งศักษ์สิทธิ์ไม่ว่าจะเป็นพระแม่องค์ธรรม พระจี้กงกวนอูพระแม่จันมีจริงขอจงให้คนในอนุตรธรรมมีดวงตาเห็นธรรมอันจริงของพระพุทธเจ้าและได้มีโอกาสสัมผัสกับธรรมอันสงบเย็นอันจริงด้วยอย่าได้ปล่อยให้คนเหล่านี้ใช้ชื่อท่านในทางผิดเทรญ


แก้ไขล่าสุดโดย โซดา เมื่อ 04 มี.ค. 2010, 15:37, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 16:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โซดา เขียน:
.........


เห็นชื่อนี้เข้ามาหลายต่อหลายครั้ง...
แต่ไม่ค่อยเห็นคุณ...post... :b1: :b1:

และดูเหมือนครั้งนี้...จะเป็นครั้งที่คุณ post ยาวที่สุด...ซะด้วย...

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 17:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิถีอนุตรธรรม หรือ วิปัสนากรรมฐาน หรือวิถีทางการบำเพ็ญทั้งหลาย สรุปคือทางผ่านเพื่อพ้นทุกข์ เพื่อออกจากกองทุกข์ ทุกสิ่งอย่างไม่ใช่สิ่งที่จะไปยึดติด
คนที่ไม่มีทุกข์ ก็ยากที่จะเข้าวัด ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม แต่ก็มีไม่น้อยที่มีมาโดยศรัทธาจริงๆ นั้นก็บ่งบอกว่า มันหลากหลายแนวทางที่จะได้พบธรรมะ วิบากกรรมที่หลากหลาย และเมื่อมาศึกษาก็มีมากหลากหลายแนวทางวิถี วิธีการ ตามแต่ที่มีได้ศึกษาตามครูอาจารย์ สำนัก ผู้อาวุโส จะนำพาศึกษาและปฏิบัติ เคี่ยวกรรมตามแนวนั้นๆไป และการที่แต่ละคนจะได้เจอครูอาจารย์ แนวทางนั้นนี้ ก็บ่งบอกตามวาสนา กรรมสัมพันธ์ บารมีสัมพันธ์ หากใครมี วิบากกรรมมาน้อย ก็จะเจอธรรมะ ครูอาจารย์ที่ตรงต่อคำสอนขององค์พุทธะ และมีดวงตาเห็นธรรมะโดยง่าย หรือบรรลุโดยง่าย หากใครมีวิบากในการบำเพ็ญเยอะหน่อยก็อาจไปเจอแนว วิถี ครูอาจารย์ที่ พาหลง พาติด พายึดนั้นนี้ไป และต้องใช้วิบากกรรมนานหน่อย กว่าจะได้เจอธรรมะ ครูอาจารย์ที่เป็นของจริงหรือไม่มีโอกาสไม่เจอเลยก็มีหากไม่มีวาสนาจริงๆ คือ ตายก่อน

ในส่วนตัวความคิดเห็นคือสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม หากเขามีวาสนาที่จะหลุดพ้น บุญกรรมคงนำแต่งให้ไปเจอหนทางที่สว่างเอง ตามวาระ ตามวาสนา ตามบารมี


แก้ไขล่าสุดโดย yodchaw เมื่อ 04 มี.ค. 2010, 20:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 03:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 06:38
โพสต์: 59

อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอย้ำอีกทีนะครับ

การเลือกเฟ้นในมรรคาเพื่อเข้าสู่กระแสนิพพานนั้น มันไม่ใช่ว่าจะเลือกเฟ้นโดยใช้กำลังโดยศรัทธาอย่างเดียว
ในขณะที่เราเลิอกนั้นเราต้องเลือกเฟ้นด้วยปัญญาของเราเอง
เราต้องเลือกเฟ้นด้วยสติและสมาธิ

หลายๆครั้งที่กระผมได้ฟังจากกลุ่มคนเหล่านีว่าทำไมถึงเลือกที่จะศึกษาอนุตรธรรม
เขาตอบกระผมว่า มันอุ่นใจดี มีหลายคนตอบว่ามันสามารถช่วยบรรพบุรุษได้
เราเอาตรงไหนมาบอกหรอว่ามันช่วยบรรพบุรุษได้ แค่เผาใบเทวนาคราชนี่นะครับ
เราเอาสิ่งไหนมาเป็นตัวบอกครับ จะเอานิมิตจากการที่ฝนตกว่านี่น่าจะเป็น จะเอานิมิตจากการฝัน
เพียงแค่ฝัน หรือเพียงแค่อาการฝนตก เหตุุที่ทำให้ฝัน เหตุที่ทำให้ฝนตก ก็ไม่ได้มีแค่ ๑ อย่าง
แต่เราเอาความคิดของเราไปจับว่าน่าจะเกิดจากอย่างนั้นอย่างนี้ เกิดเป็นความยึดมั่นถือมั่น

หากเราพิจารณาโดยปัญญา สังเกตวันตรุษจีนหรือไม่ครับที่เขาเผากระดาษเงินกระดาษทองกัน
ท่านคิดว่าการที่บรรพบุรุษของเราท่านจะได้มีเงินมีทองจากการเผากระดาษเงินกระดาษทองหรือไม่ครับ
ถ้ามันเป็นอย่างนั้น คงไม่ต้องมานั่งแผ่อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอย่างนี้หรอกครับ
สู้เผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้เจ้ากรรมนายเวรไม่ดีกว่าหรอครับ ถึงแม้ว่าพิธีกรรมจะเป็นเพียงแค่เปลือกนอกก็จริงครับแต่ผมมองว่า พิธีกรรมที่ไม่สอดคล้องกับแก่นที่ควรจะเป็น มันเหมือนกับต้นชนปลาย คนที่เขาปฏิบัติวิธีนั้นๆเขาก็จะพากันสับสน ปฏิบัติด้วยความไม่ชัดเจน ผลจากการปฏิบัติที่ครุมเครือ
ขนาดที่เรานั่งปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เดินจงกรม นั่งสมาธิ เอามารวบๆกัน จนไม่รู้แล้วว่าเราทำมากี่รอบกันแล้ว เรายังเหมือนวนอยู่ในขอบอ่างแล้วประสาอะไรกันครับกับการปฏิบัติที่ครุมเครือ ปากบอกว่าสอนไม่ให้ยึดติดแต่พิธีกรรมยึดติดซะยิ่งกว่าใครๆเสียอีก

กรรมนี้ใครทำ วิบากของกรรมนี้ก็เป็นตัวกำหนดคนนั้น จะให้คนอื่นมายุ่งไม่ได้
กระผมเคยถามผู้แสวงบุญในวิถีอนุตรธรรมกลุ่มหนึ่งว่า ที่ต้องเจอเรื่องร้ายๆมาเราควรเอาสติตั้งพิจารณา
น้องไอซ์พี่ก็คิดแบบนั้นแหละ พี่ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เมตตา แล้วสรุปว่าวิบากกรรมคนอื่นเป็นผู้สร้างให้หรอครับ
ศาสนาใด ลัทธิใด ที่ทำการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับกฏแห่งกรรม

ลัทธินี้บอกว่าศาสนาพุทธก็สอนเรื่องจิต ลัทธินี้ก็ศึกษาเช่นกัน
การศึกษาในลัทธินี้ส่วนใหญ่จะเป็นการเข้าชั้นเรียน เรียกว่าเกิดเป็นสุตมยปัญญา
ในทางศาสนาพุทธเริ่มจากสุตมยปัญญาเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้สุดที่สุตมยปัญญา
เพราะปัญญาที่จะนำไปสู่การหลุดพ้นคือ ภาวนามยปัญญา ที่เป็นโลกุตตระ
ดังนั้นในทางพระพุทธศาสนาจึงให้กระทำทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และ ปฏิเวธ
ในลัทธิอนุตรธรรมกล่าวไว้ว่า เมื่อเราบวชเป็นพระนั้นเราไม่สามารถที่จะประกอบอาชีพได้
ต้องอาศัยญาติโยมเข้ามาอุปฐาก ลัทธินี้จึงกล่าวว่า การที่เราบวชเป็นพระบุญกุศลนี้จะตกเป็นของ
โยมอุปััฏฐาก แท้ที่จริงแล้วกุศลนี้เรานับกันคนละส่วนกัน
พระท่านปฏิบัติ พระท่านก็เป็นคนได้
ส่วนที่โยมอุปฐากทำบุญ อันนั้นก็จัดเป็นกุศลกรรมบถ ๑๐ โดยพิจารณาบุญกุศลเหล่านั้น
๑.จากวัตถุ ๒.จากเจตนา ๓.จากบุคคล เรื่องนี้ถ้าเป็นไปได้ก็อยากขอความกรุณาให้ผู้รู้อธิบายเพิ่มครับ

สรุปความ
ทางที่ดีนั้นเราควรใช้สติ ปัญญา สมาธิ ศรัทธา ในการพิจารณาว่าที่เขาแขวนหัวแกะไว้นั้น
เขาขายเนื้อแกะจริงหรือเปล่า เขาผสมเนื้อ....ลงไปเท่าไร ระหว่างร้านที่เรารู้อยู่แล้วว่าเป็นเนื้อแกะ
กับร้านที่เราไม่แน่ใจเราจะเลือกร้านในกันครับ เขาบอกว่าเขาเป็นทางลัดในการเข้าสู่นิพพาน
โดยการที่เขาเผากระดาษเทวนาคราชปิดประตูนรก ขนาดแค่เผากระดาษเงินกระดาษทอง เสื้อผ้า
ขึ้นไปให้อากง อาม่า ยังไม่เห็นได้กัน ก็เห็นกลับมาเข้าฝันลูกหลานว่าเวลาไปทำกรรมฐานแผ่ส่วนบุญให้เขาด้วย
แล้วจะเอาอะไรมาบอกว่าประตูขุมนรกปิดจริงหละ
สาธุชนทั้งหลายครับ ก่อนที่ตัดสินใจเชื่ออะไรลงไป สติและปัญญาเป็นตัวสำคัญในการพิจารณา
พระพุทธองค์กล่าวสัจจะวาจาไว้ล่วงมา 2500 ปีกว่าแล้ว พระพุทธองค์ท่านบรรลุพร้อมด้วยอภิญญาณ
วิชชา ทศพลญาณ ท่านคงไม่เลือกทางอ้อมให้เราหรอกครับ ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 04:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



กำลังทำอะไรอยู่? :b1:
ทำแล้วได้อะไร? :b14:
ทำไปทำไม? :b7:
รู้มั่งไหมการกระทำนี้ กำลัง " เบียดเบียนตัวเอง และ ผู้อื่นนะ " :b30:
อกุศลจิตน่ะ อย่าไปเอามันว่าไว้ในจิตของตัวเองเลย :b40:

ก็เหมือนกับเดินเข้าวัดน่ะแหละ
พอเข้าวัด ดันไปเจอเจ้าหน้าที่งี่เง่า ก็เหมารวมเลยว่าวัดนี้ไม่ดี :b32:
แต่ไม่เคยย้อนกลับมามองตัวเองเลยว่า ทำไมถึงต้องไปเจอกับเจ้าหน้าที่งี่เง่าด้วย
ทั้งๆที่บางคนก็ไปวัดนี้เช่นเดียวกัน แต่นำมาเล่าเป็นฉากๆว่าวัดนี้ดีแบบนั้น ดีแบบนี้
บางคนเข้าไปวัดเดียวกันก็บอกว่า งั้นๆแหละ ไม่เห็นจะแตกต่างจากวัดอื่นๆเลย

ใครเคยสร้างเหตุมาอย่างไร ย่อมรับผลเช่นนั้นน่ะแหละ
กุศลของแต่ละคนสร้างสั่งสมมาไม่เท่ากัน ทางก็เลยมีหลายทางแตกแยกสาขาออกไป

ไม่เห็นจะต้องไปคิดแทนใครๆเขาเลยว่าทำไมๆๆๆๆๆๆ
ควรจะย้อนกลับมาดูกายและจิตของตัวเองให้มากๆจะดีกว่า
อย่าไปเที่ยววิพากย์วิจารณ์นอกตัวให้มากนักเลย
ถ้าทุกคนสามารถรู้ได้เท่ากันหมด ป่านนี้ คำว่า " คน และสรรพสิ่ง " สงสัยต้องสะกด :b53:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 04:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



อันนี้ถามนะ เพราะเห็นพูดออกมายืดยาวมากๆ
ขอถามว่า คุณได้เดินในเส้นทางที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้แล้วหรือยังคะ?


" การเจริญสติปัฏฐาน ๔


ถ้าดำเนินเส้นทางนี้อยู่ พอจะมาบอกเล่า เล่าสู่กันฟังได้ไหมคะ?
ว่าทำอย่างไรบ้าง? แล้วได้ผลอย่างไรบ้างคะ?
รออ่านอยู่นะคะ ว่างๆมาแบ่งปันกันบ้างนะคะ :b38:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 07:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 06:38
โพสต์: 59

อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้ถ้าจะให้เรียกว่าปฏิบัติก็ยังไม่ได้ ครั้นจะบอกว่าไม่มีเวลาทำก็ไม่ได้อีกนั่นแหละครับ

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆครับ

ช่วงนี้ตัวกระผมเองก็หันมาดูจิตดูใจเอง หลังจากที่ไปยุ่งกับคนสถานธรรมมานานพอสมควรทั้งตอนที่ศึกษาและตอนที่อยากดึงคนหลงทางกลับ
ตัวกระผมเองบอกตรงๆว่าก็ดื้อพอตัว พระกรรมฐานหลายๆท่านบอกว่าอย่าไปนะ ก็มีคนในสถานธรรม
มาบอกกับผมว่าเขาอิจฉาเราเขาเลยไม่อยากให้เราเข้าสถานธรรม
พอกระผมบอกว่าเรียนเสร็จอยากบวช คนที่สถานธรรมเขาก็บอกกระผมว่าจะเอาแบบชาติที่แล้วหรอต้องมาชดใช้หนี้กรรม
เสร็จโยมอุปฐากแบบนี้ แม้แต่พระบางรูปก็เข้าไปวิถีอนุตรธรรม ดังนั้นกระผมจึงเป็นห่วงเหลือเกิน
ถ้าสักวันหนึ่งจะมีคนหลงทางเพิ่มเติมไปอีก

แต่หลังจากนี้สิ่งที่เป็นห่วง แต่คำว่าเป็นห่วงตัวนี้ :b32: ก็ต้องไปพิจารณาว่าเป็นเมตตาหรือโมหะ
อีก กระผมถือว่าผมได้พูดให้เขาฟังไปแล้ว มันเป็นแบบไหนเรื่องแบบไหน มีว่าแบบไหน
ให้เขาไปฟังกับหูตัวเขาแล้วก็มี ตอนนี้คิดว่าที่สำคัญเหมือนกับเรารู้ว่านี่คือยาพิษเราก็ต้องวางตนให้เหมาะสมจะดีกว่า
ถึงแม้ว่าเขาไม่เชื่อเราก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ ฉะนั้นในตอนนี้ก็คงต้องปล่อย
คนที่ใกล้ชิดกับกระผมเขาก็เป็นคนสถานธรรม ผมบอกว่าแล้วแต่นะ เขาบอกกับผมว่าเจ้ากรรมนายเวรคงสอบหนัก ดำรงศรัทธาไว้
ผมยิ้มตอบเขาไปว่า จ๊ะ ในใจคิดว่าคงช่วยไม่ได้แล้วกระมัง ถึงเวลาต้องปล่อยแล้ว
หน้าที่ของเราได้ทำไปแล้ว เราได้ทำหน้าที่ของกัลยาณมิตรไปแล้ว
ถ้าจะให้เปรียบก็เหมือนคนจมน้ำ เราก็จะจมอยู่แล้วให้หันไปช่วยคนที่กำลังจมน้ำอีก ไม่ไหว
มันก็เหมือนกับว่าแม้ตัวกระผมเองอยู่ในศาสนาที่ถูกต้อง เหตุที่ทำให้ผมตกลงในอบายภูมิก็ยังคงมีอยู่

อย่างเรื่องอนุตรธรรมนี้วันนี้คงจะเป็นวันสุดท้ายที่จะเป็นคนเริ่มประเด็นในกระทู้นี้ เพราะผมถือว่าผมบอก
ในสิ่งที่ควรบอก และพูดในสิ่งที่ควรพูดไปแล้ว
หลายๆคนอาจจะต้องเจอแบบผมในอนาคตที่ต้องถูกห้อมล้อมด้วยคนกลุ่มนี้ กว่าจะหลุดจากบ่วงมาได้
ถ้าไม่มีวิปัสสนากรรมฐาน ไม่มีบุญเดิม ไม่มีศรัทธาในพระพุทธเจ้า หรือมีพระวิปัสนาจารย์ที่คอยเป็นห่วง :b2: พูดแล้วน้ำตาเกือบไหล ผมคงจะหลุดบ่วงนี้ได้ยากเหลือเกิน
แต่ถามว่าตอนนี้ยังทานเจไหม พบตอบง่ายๆว่าผมกินมังสวิรัติก่อนที่จะมาเจอวิถีอนุตรธรรมอีก กินมาก่อนหน้านั้นประมาณ ๑ ปีเศษๆ ครับ ขออนุญาตแบ่งปันประสบการณ์นะครับ
เหตุที่กินมังสวิรัติ หลังจากที่ไปปฏิบัติที่วัดเขาศรีราชาในช่วงปิดเทอม
คอร์ส อ.สุทธิวัสส์ พี่สาวชวนผมว่า ไอซ์พี่ยังไม่อยากกินเนื้อสัตว์เสียดาย เอางี้ไหมเราไม่กินเนื้อสัตว์
๑ อาทิตย์ ผมก็ตอบไปว่า ก็ดีเหมือนกัน อาทิตย์แรกคุณแม่ก็ไม่ว่าอะไร พอจบ ๑ สัปดาห์
ไอซ์ต่ออีก ๑ สัปดาห์ไหม รวมแล้วกลายเป็น ๒ สัปดาห์ พอจบ ๒ สัปดาห์ก็เสียดายอีกก็เลยกลายเป็น ๑ เดือน(ยังกินแบบมังเขี่ยนะครับ หมายความว่าเลือกกินเฉพาะผักแต่ในนั้นมันก็มีหมู)ทีนี้พอนานๆเข้าแม่บอกไอซ์ ตัวเองยังต้องเรียนหนังสือ ไม่กินเนื้อสัตว์ไม่ได้สมองมันต้องใช้ ก็เลยต้องจำยอมแม่เขาโดยผมเอง
จะงดกินเนื้อสัตว์วันละ ๑ มื้อ จนฟ่านเลยไปประมาณเดือนกว่าๆหลวงพ่อที่วัดท่านบอกให้คุณพ่อ
ให้เลิกทานเนื้อสัตว์ ผมเลยบอกกับหลวงพ่อว่าผมก็จะเลือกทานเนื้อสัตว์เหมือนกัน(ในใจคิดว่าถ้าคุณพ่อทำและพูดต่อหกน้าหลวงพ่อขนาดนี้ คุณแม่คงไม่กล้าคัดค้านอะไรอีก ดื้อเนอะ)
กระผมก็ขอพูดตรงๆเลยว่ากินเจอะมันดี แต่คำสอนในนั้นบางอย่างมันไม่ดี
เจอะทานได้แต่ต้องเลือกสารอาหารด้วยนะ เพราะแม่ชีอมรีฝากบอกอาโกมาว่า ต้นไม้เคลื่อนที่ได้หรือไม่
เราไม่ใช่ต้นไม้นะ บอกตรงๆว่าผมก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมายเหมือนกัน อาโกก็ส่งงาและธัญพืชอบแห้ง
อื่นๆมาให้ตัวผม จึงสรุปว่าเจกินได้ ผมอนุโมทนาบุญด้วย แต่ให้คำสอนบางอย่างในนั้นผมขอไม่รับ
สำหรับเรื่องอนุตรธรรมกระผมก็มีเรื่องสั่งเสียแค่นี้แหละขอบคุณครับ

ถ้าล่วงเกินหรือผิดถูกประการขอโปรดอโหสิกรรมด้วยครับ ขอบพระคุณครับ

สำหรับเรื่องปฏิบัติก็อย่างที่บอกครับ พึ่งหลุดจากสถานธรรมแบบแน่ชัดเมื่อไม่นานมานี้นี่เอง
ตอนแรกก็ผสมผสานกันไป แต่ปกติแล้วหลังจากเลิกเรียนอย่างน้อยกระผมก็ขอไปสวดมนต์
เอาสติไปกำหนดรู้ในการสวดมนต์(ข้ออ้างหรือเปล่าไม่รู้นะครับ เวลาที่สวดมนต์ผิดจะหลุดปากมาว่าเผลอหนอ) ถ้ามีเวลามากก็นั่งสมาธิสักประมาณ ๓๐ นาที
ยกเว้นว่าจะเข้าแบบสมาธิไร้กำหนด คือ ไม่ต้องเอาเวลามาเป็นเครื่องบอก ดูจิตไปเรื่อยๆ
พูดไปแล้วก็เหมือนสมถะปนกับวิปัสสนานั่นแหละครับ ในการปฏิบัติตอนนี้คือ พูดตรงๆเลยว่าไม่ได้กำหนด แต่สภาวะตอนนี้คือ ในขณะที่เดินก็รู้ว่าเดิน ในขณะที่ใจคิดก็รู้ว่าใจคิด
ก็กำหนดออกมาบ้างไม่กำหนดบ้าง บางครั้งก็กำหนดต้นจิตได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เช่น ไปฟังคนสถานธรรม
เขาไม่เชื่อเรา ไม่ได้กำหนดยินหนอ(เผลอหนอ)แต่เมื่อใจเริ่มจะโกรธกำหนดว่า อยากโกรธหนอ
โกรธหนอ โกรธหนอ แต่ในอาการของกายไม่ได้กำหนดแต่ใช้จิตตามดูดูอาการไหว ตึง อะไรพวกนี้แหละครับ :b17:
มีครั้งในขณะที่นั่งดูจิตไปเรื่อยๆ พองหนอ ยุบหนอ ไป
ปรากฏว่าใจนี้ได้ยินเสียงจากข้างนอกเป็นเสียงรถ กำหนดยินหนอ
ทีนี้ก็เกิดพิสดารอะไรไม่ทราบครับ มีความรู้สึกในขณะที่ได้ยินเสียง ขออนุญาตแยกเป็นขั้นๆนะครับ
๑.เสียงผ่านหู เข้าไปที่จิต
๒.รู้ตัวว่าตัวเองได้ยินเสียง
๓.ความจำได้หมายรู้ระลึกว่านี่คือ เสียงรถ
๔.เสียงรถมันดังก็เลยปรุง เกิดโทสะจริต
๕.เกิดการปรุงแต่งว่า เอทำไมวันนี้เสียงรถมันดังจังหนอ
๖.สติกลับมาระลึกรู้ว่าคิดหนอ โกรธหนอ
ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากเท่าไร
หลังจากที่ออกจากกรรมฐาน ผมคิดว่าเออเนอะ
เมื่อเกิดเสียง เราเกิดการรับรู้ที่ใจโดยอาศัยทวารจากหู ความจำได้หมายรู้ไปกระทบ นี่เป็นเสียงของรถ
เสียงรถดัง จิตก็ปรุงเอาสังขารไปจับ เกิด โทสะ สังขารปรุงต่อเอาความจำได้หมายรู้ไปปรุงกับโทสะ
เกิดเป็น มโนกรรม คือ ความคิดขึ้น ผมก็อธิบายได้เท่านี้ถ้าเป็นไปได้ขอให้ท่านผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยครับ
ว่าผมเข้าใจถูกไหมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 07:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิชา อวิชา เป็นธรรมคู่กัน แต่สัจธรรมคืออนิจจัง นั้นก็หมายความว่า ทั้งวิชา อวิชาก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมุ่งไปยึดติด ตอนนี้มีตึงเกินหรือเรียกว่า อัตตกิลมัตถานุโยค คือมุ่งแต่คอยดู คอยรู้ ตามดู ตามรู้ ศัพท์ใหม่ทันสมัยคือมีแต่เช็คอิน เช็คเอ๊าท์ มากเกินแต่ไม่เคยเช็คบิล เลิกเช็ค เลิกอะไรกับอะไร เลิกซ้อนดู ซ้อนรู้ ปลงกาย ปลงใจ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น รู้ก็สักแต่ว่ารู้ ธาตุสักแต่ว่าธาตุ เข้าใจก็ช่างมัน ไม่เข้าใจก็ช่างมัน ที่เป็นทางสายกลางจริงๆที่ไม่ใช่ตัวตน การที่ไม่สร้างเหตุ สร้างสมุจทัยนี้ซะเอง


ขอเชิญศึกษาธรรมบรรลุฉลับพลัน จบโลก จบธรรม จบกรรม การปฏิบัติ โดยหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต วัดร่มโพธิธรรม จ.เลย ที่บอร์ดสนทนาทั่วไปขอรับ หรือ http://www.rombodhidharma.com/


ขอให้ท่านมีส่วนในความ ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา แจ่มแจ้งในสัจธรรม ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามองค์พุทธะ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ หลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต นั่นเทอญ


แก้ไขล่าสุดโดย yodchaw เมื่อ 05 มี.ค. 2010, 07:49, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 19:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


คนเกือบหลงทาง เขียน:
ตอนนี้ถ้าจะให้เรียกว่าปฏิบัติก็ยังไม่ได้ ครั้นจะบอกว่าไม่มีเวลาทำก็ไม่ได้อีกนั่นแหละครับ

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆครับ

ช่วงนี้ตัวกระผมเองก็หันมาดูจิตดูใจเอง หลังจากที่ไปยุ่งกับคนสถานธรรมมานานพอสมควรทั้งตอนที่ศึกษาและตอนที่อยากดึงคนหลงทางกลับ
ตัวกระผมเองบอกตรงๆว่าก็ดื้อพอตัว พระกรรมฐานหลายๆท่านบอกว่าอย่าไปนะ ก็มีคนในสถานธรรม
มาบอกกับผมว่าเขาอิจฉาเราเขาเลยไม่อยากให้เราเข้าสถานธรรม
พอกระผมบอกว่าเรียนเสร็จอยากบวช คนที่สถานธรรมเขาก็บอกกระผมว่าจะเอาแบบชาติที่แล้วหรอต้องมาชดใช้หนี้กรรม
เสร็จโยมอุปฐากแบบนี้ แม้แต่พระบางรูปก็เข้าไปวิถีอนุตรธรรม ดังนั้นกระผมจึงเป็นห่วงเหลือเกิน
ถ้าสักวันหนึ่งจะมีคนหลงทางเพิ่มเติมไปอีก

แต่หลังจากนี้สิ่งที่เป็นห่วง แต่คำว่าเป็นห่วงตัวนี้ :b32: ก็ต้องไปพิจารณาว่าเป็นเมตตาหรือโมหะ
อีก กระผมถือว่าผมได้พูดให้เขาฟังไปแล้ว มันเป็นแบบไหนเรื่องแบบไหน มีว่าแบบไหน
ให้เขาไปฟังกับหูตัวเขาแล้วก็มี ตอนนี้คิดว่าที่สำคัญเหมือนกับเรารู้ว่านี่คือยาพิษเราก็ต้องวางตนให้เหมาะสมจะดีกว่า
ถึงแม้ว่าเขาไม่เชื่อเราก็ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ ฉะนั้นในตอนนี้ก็คงต้องปล่อย
คนที่ใกล้ชิดกับกระผมเขาก็เป็นคนสถานธรรม ผมบอกว่าแล้วแต่นะ เขาบอกกับผมว่าเจ้ากรรมนายเวรคงสอบหนัก ดำรงศรัทธาไว้
ผมยิ้มตอบเขาไปว่า จ๊ะ ในใจคิดว่าคงช่วยไม่ได้แล้วกระมัง ถึงเวลาต้องปล่อยแล้ว
หน้าที่ของเราได้ทำไปแล้ว เราได้ทำหน้าที่ของกัลยาณมิตรไปแล้ว
ถ้าจะให้เปรียบก็เหมือนคนจมน้ำ เราก็จะจมอยู่แล้วให้หันไปช่วยคนที่กำลังจมน้ำอีก ไม่ไหว
มันก็เหมือนกับว่าแม้ตัวกระผมเองอยู่ในศาสนาที่ถูกต้อง เหตุที่ทำให้ผมตกลงในอบายภูมิก็ยังคงมีอยู่

อย่างเรื่องอนุตรธรรมนี้วันนี้คงจะเป็นวันสุดท้ายที่จะเป็นคนเริ่มประเด็นในกระทู้นี้ เพราะผมถือว่าผมบอก
ในสิ่งที่ควรบอก และพูดในสิ่งที่ควรพูดไปแล้ว
หลายๆคนอาจจะต้องเจอแบบผมในอนาคตที่ต้องถูกห้อมล้อมด้วยคนกลุ่มนี้ กว่าจะหลุดจากบ่วงมาได้
ถ้าไม่มีวิปัสสนากรรมฐาน ไม่มีบุญเดิม ไม่มีศรัทธาในพระพุทธเจ้า หรือมีพระวิปัสนาจารย์ที่คอยเป็นห่วง :b2: พูดแล้วน้ำตาเกือบไหล ผมคงจะหลุดบ่วงนี้ได้ยากเหลือเกิน
แต่ถามว่าตอนนี้ยังทานเจไหม พบตอบง่ายๆว่าผมกินมังสวิรัติก่อนที่จะมาเจอวิถีอนุตรธรรมอีก กินมาก่อนหน้านั้นประมาณ ๑ ปีเศษๆ ครับ ขออนุญาตแบ่งปันประสบการณ์นะครับ
เหตุที่กินมังสวิรัติ หลังจากที่ไปปฏิบัติที่วัดเขาศรีราชาในช่วงปิดเทอม
คอร์ส อ.สุทธิวัสส์ พี่สาวชวนผมว่า ไอซ์พี่ยังไม่อยากกินเนื้อสัตว์เสียดาย เอางี้ไหมเราไม่กินเนื้อสัตว์
๑ อาทิตย์ ผมก็ตอบไปว่า ก็ดีเหมือนกัน อาทิตย์แรกคุณแม่ก็ไม่ว่าอะไร พอจบ ๑ สัปดาห์
ไอซ์ต่ออีก ๑ สัปดาห์ไหม รวมแล้วกลายเป็น ๒ สัปดาห์ พอจบ ๒ สัปดาห์ก็เสียดายอีกก็เลยกลายเป็น ๑ เดือน(ยังกินแบบมังเขี่ยนะครับ หมายความว่าเลือกกินเฉพาะผักแต่ในนั้นมันก็มีหมู)ทีนี้พอนานๆเข้าแม่บอกไอซ์ ตัวเองยังต้องเรียนหนังสือ ไม่กินเนื้อสัตว์ไม่ได้สมองมันต้องใช้ ก็เลยต้องจำยอมแม่เขาโดยผมเอง
จะงดกินเนื้อสัตว์วันละ ๑ มื้อ จนฟ่านเลยไปประมาณเดือนกว่าๆหลวงพ่อที่วัดท่านบอกให้คุณพ่อ
ให้เลิกทานเนื้อสัตว์ ผมเลยบอกกับหลวงพ่อว่าผมก็จะเลือกทานเนื้อสัตว์เหมือนกัน(ในใจคิดว่าถ้าคุณพ่อทำและพูดต่อหกน้าหลวงพ่อขนาดนี้ คุณแม่คงไม่กล้าคัดค้านอะไรอีก ดื้อเนอะ)
กระผมก็ขอพูดตรงๆเลยว่ากินเจอะมันดี แต่คำสอนในนั้นบางอย่างมันไม่ดี
เจอะทานได้แต่ต้องเลือกสารอาหารด้วยนะ เพราะแม่ชีอมรีฝากบอกอาโกมาว่า ต้นไม้เคลื่อนที่ได้หรือไม่
เราไม่ใช่ต้นไม้นะ บอกตรงๆว่าผมก็ไม่ค่อยเข้าใจความหมายเหมือนกัน อาโกก็ส่งงาและธัญพืชอบแห้ง
อื่นๆมาให้ตัวผม จึงสรุปว่าเจกินได้ ผมอนุโมทนาบุญด้วย แต่ให้คำสอนบางอย่างในนั้นผมขอไม่รับ
สำหรับเรื่องอนุตรธรรมกระผมก็มีเรื่องสั่งเสียแค่นี้แหละขอบคุณครับ






ตรงนี้ขอแบ่งปันประสพการณ์จากที่เคยไปรับอนุตรธรรม แต่อาจจะโชคดีกว่าคุณ
เหมือนดังที่ยกตัวอย่างเรื่องของวัดให้ฟัง อ่านดูนะคะ นำมาเล่าสู่กันฟัง
ไม่ได้คิดสนับสนุน หรือ คิดต่อต้านใดๆ เพียงแต่จะบอกว่า ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับทุกๆคนนั้น
ล้วนเกิดจากเหตุที่เคยกระทำร่วมกันมา ไม่ว่าจะกุศลหรืออกุศลก็ตาม



เป็นความโชคดีของเราทุกๆคน ที่ได้มาเกิดในพระพุทธศาสนา ถึงแม้ไม่ได้เกิดในสมัยพระพุทธเจ้าก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยยังมีพระธรรมคำสอนถ่ายทอดไว้ให้เรา สติปัฏฐาน 4 นี่แหละทางสายเอก บรรลุมรรคผล นิพพานได้ มีประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม เหตุที่เราเกิดเรื่องราวต่างๆที่ดีหรือไม่ดีนั้น เกิดจากการกระทำของเราทั้งสิ้น สร้างเหตุอย่างไร ผลที่ได้รับย่อมเป็นเช่นนั้น ที่เรากล่าวกันว่า ถูกหรือผิดนั้น เป็นเพียงแค่ความคิดของเรา ตราบใดที่สติ สัมปชัญญะเรานั้น ยังไม่มากพอ เราไม่สามารถแยกถูกผิดได้ 100 % หรอก เพราะเราไม่สามารถเห็นตามความเป็นจริงได้ เพราะยังมีการปรุงแต่ง ยังมีเรื่องของความคิดเข้ามาแทรก หาใช่การเห็นตามความเป็นจริงไม่ หากเราสามารถเห็นตามความเป็นจริงได้ เราจะไม่สร้างเหตุที่ไม่ดีกันเลย ตอนนี้มีแต่เรื่องของความถูกใจ แต่อาจจะไม่ใช่ถูกต้องตามความเป็นจริง นอกจากการทำสมาธิแล้ว การที่เราหมั่นเจริญสติปัฏฐาน 4 นี่ ก็ถือว่า เป็นการปฏิบัติบูชาอย่างหนึ่งเหมือนกัน ถ้าสามารถทำได้ทั้งสองอย่างได้ ชีวิตของเราจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง จะเป็นผู้มีสติปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรม เวลามีความทุกข์เข้ามาก็จะปล่อยวางได้เร็วกว่าคนทั่วๆไป

ศาสนาทุกศาสนาต่างมุ่งสอนให้ทุกคนเป็นคนดี ทำแต่ความดี แต่ ... ศาสนาพุทธนี้ มีความแตกต่างจากศาสนาอื่นๆตรงที่มี " สติปัฏฐาน 4 " ซึ่งเป็นตัวแกนสำคัญทั้งทางโลกและทางธรรม

ในอดีตนั้น ความที่ว่าเราเองเป็นคนที่เข้ากับทุกคนค่อนข้างง่าย มีเพื่อนหลายศาสนา แม้แต่ญาติก็ต่างศาสนากัน พุทธ คริสต์ อิสลาม นี่ เราเข้าได้หมด การกราบไหว้ ไม่ว่าจะศาสนาไหนก็ทำเป็นหมด จำได้ว่า เคยไปรับธรรมะกับเขา เขาเรียกว่า อนุตตรธรรม เขาจะต้องมีอาจารย์ผู้แนะนำ และอาจารย์ผู้รับรอง เราเองก็มีตรงนี้กับเขาเหมือนกัน

อันนี้เป็นเรื่องเล่าสู่กันฟังนะ ... คุณยุพิน ... เราจะชอบเรียกทุกคนว่า คุณ มันติดปากแล้ว ต่อให้อายุมากแค่ไหน ก็จะเรียกว่า คุณ ... คุณยุพิน มีแม่ที่ป่วยหนักอยู่ ก็พยายามเผยแผ่อนุตตรธรรม นำหนังสือที่พิมพ์แจกมาให้เราอ่าน เราเป็นคนชอบอ่านหนังสือ หนังสือของเขาจะเกี่ยวกับความเพียรของครูบาฯ คล้ายๆของพระปฏิบัติทางบ้านเรานี่แหละ แต่ของเขาจะเน้นเรื่องการช่วยเหลือ เรื่องการให้ เรื่องนรก สวรรค์ อะไรประมารนี้ มาวันหนึ่ง เขามาขอร้องให้เราไปรับธรรมะ เพื่อสร้างกุศลให้แก่แม่เขา เราก็ไปให้นะ คือ เป้นคนไม่คิดมาก เห็นว่าช่วยเขาได้ เราก็ช่วย ตอนแรกไปที่ลาดพร้าว พอดีสถานธรรมเขายังไม่ได้เปิดรับตรงนี้ เขาก็ไม่ท้อนะ อุตส่าห์พาเรานั่งแท็กซี่ไปโน่นฝั่งธน คิดดูก็แล้วกัน คนละฟากเลย เขาพาไปที่ สถานธรรมเทียนจง นี่ทุกวันนี้ใบยังเก็บไว้อยู่เลยนะ เล่าข้ามไป ตอนแรกก้ยังไม่ตกลงหรอก เพราะยังไม่แน่ใจว่าคืออะไร พอดีเขาให้อาจารย์ผู้เบิกธรรม ก็เหมือนทางเราน่ะ ชื่อ อาจารย์หวงลี่คุณ เห็นตัวจริงแล้วเราอึ้งเลย หน้าอาจารย์เศร้ามากมาก นัยน์ตาหงส์ เราตกลงเข้ารับธรรมะกับเขา เห็นหน้าอาจารย์แล้วสงสารมากๆ คุณยุพินพาเราไปพักที่บ้านอยู่ใกล้ๆสถานธรรมน่ะแหละ เขาไม่ได้ให้เราพักที่สถานธรรม บ้านนี้ดูแลเราอย่างดี เสื้อผ้าก็ของเขา คือ ต้องใส่กระโปรงดำ เสื้อสีขาว กระโปรงดำเราไม่มี พูดแล้วก็คิดถึง ตาลอยเลยเรา เขาไม่ให้เราทำอะไรเลย ผ้าก็ซักให้ เขาบอกว่า เขาทำให้เราแล้วเขาได้บุญ ก็คุณยุพินไปเล่าให้เขาฟังว่า เราเป็นนักปฏิบัติธรรม แล้วนี่มารับธรรมะให้เพื่อช่วยแม่เขา แหม ... ตอนนั้นเราฟังแล้วรู้สึกว่า โห ... คนจีนนี่เขากตัญญูจริงๆเลย

ระหว่างที่พักบ้านเขา 9 วันนะ อยู่ทั้งหมด 9 วัน อาหารเป็นอาหารเจ ก็พักที่บ้าน ไปเรียนธรรมะที่สถานธรรม ฝั่งตรงข้ามกันเอง ก็เรียนทุกวัน เกี่ยวกับความยากลำบากของการไปช่วยเหลือคนน่ะ แต่เป็นเรื่องดีๆทั้งนั้นนะ การปฏิบัติไม่มีอะไร มีแต่ให้คนมาเล่ากฏแห่งกรรม เวลาทำสมาธิของเขาคือ ให้ยืนสำรม แค่ 5 นาทีเท่านั้น อิอิ ... สารภาพเลย เพิ่งมารู้ที่หลังว่า มันก้คือ การกำหนดยืนหนอน่ะแหละ แต่เมื่อก่อนยังไม่รู้ ที่นี่ไม่มีการนั่งสมาธิ มีแต่เรียนแล้วก็เรียน ที่บ้านพัก มีอาม่า น่ารักมากๆ อาม่าจะนั่งนับเม็ดมะขามทุกวัน สวดมนต์น่ะ พันจบนะ คิดดูก็แล้วกัน นำโมไต่ซือน่ะ สุดยอดเลย เราไปอยู่ที่นี่ จากตัวขาวอยู่แล้ว ขาวจั๊วเลยทีนี้ เพราะไม่เคยโดนแดดเลยสักนิดเดียว

อาจารย์ผู้เบิกธรรมชื่อ อาจารย์หวงลี่คุน อาจารย์ผู้แนะนำชื่อ จวง เหม่ย เอี้ยน อาจารย์ผู้รับรอง เจิ้น เสี่ยว มั่น ปี 43 นะนั่น เก็บใบไว้อย่างดีเลย ไม่เคยทิ้ง ทุกวันนี้ยังจำหน้าอาจารย์หวงได้นะ โห ... ตอนกินข้าวก่อนกลับ อาจารย์น่ะ นั่งติดเราเลย คอยคีบอาหารใส่ถ้วยให้กับเรา เราบอกว่า ไม่เป็นไรค่ะ อาจารย์ก็ไม่ยอม จะคีบให้อย่างเดียว เราเลยต้องยอม ส่วนที่บ้านที่เราไปพักด้วยนั้น ก่อนที่เราจะเป็นฝ่ายขอบคุณเขา ที่เขาดูแลบริการเราอย่างดี ไม่ให้ทำอะไรเลย ทั้งอาม่า ทั้งคนในบ้าน มารุมขอบคุณเรา เขาน่ะได้บุญมากๆที่เรามาปฏิบัติธรรม แล้วมาพักบ้านเขา โห ... ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย ผ้าทั้งๆที่เราใส่ก็ไม่ให้ซัก บ้านก็ไม่ให้กวาด ในห้องนี่ เช้ามาก็มาละ ทั้งกวาดทั้งถู ไม่ให้เราหยิบจับอะไรเลยจริงๆ




นี่คือสิ่งที่เราได้เจอมาจริงๆ ไม่ได้แต่งเติมเรื่องขึ้นมาแต่อย่างใด คุณอาจจะไปเจอพวกพี่เลี้ยง
ประมาณว่า พวกศรัทธาแรง แต่ยังขาดปัญญาในการพิจรณา เลยเที่ยวกล่าวหมิ่นประมาท
ในแนวทางการปฏิบัติอื่นๆ ก็เหมือนกับคนที่เราไปเจอในวัด หรือไปเจอในที่อื่นๆน่ะแหละ
เมื่อเขายังไม่เข้าใจ เขาก็ย่อมนำศรัทธาของเขาเป็นที่ตั้ง

แต่เราอาจจะสร้างเหตุทางด้านนี้มาดี เลยได้เจอแต่คนดีๆ ที่เข้าใจธรรมะแบบไม่มีการแบ่งแยก
ไม่มาขยั้นขยอหรือมาบังคับวุ่นวายใดๆ




คนเกือบหลงทาง เขียน:
ตอนนี้ถ้าจะให้เรียกว่าปฏิบัติก็ยังไม่ได้ ครั้นจะบอกว่าไม่มีเวลาทำก็ไม่ได้อีกนั่นแหละครับ
สำหรับเรื่องปฏิบัติก็อย่างที่บอกครับ พึ่งหลุดจากสถานธรรมแบบแน่ชัดเมื่อไม่นานมานี้นี่เอง
ตอนแรกก็ผสมผสานกันไป แต่ปกติแล้วหลังจากเลิกเรียนอย่างน้อยกระผมก็ขอไปสวดมนต์
เอาสติไปกำหนดรู้ในการสวดมนต์(ข้ออ้างหรือเปล่าไม่รู้นะครับ เวลาที่สวดมนต์ผิดจะหลุดปากมาว่าเผลอหนอ) ถ้ามีเวลามากก็นั่งสมาธิสักประมาณ ๓๐ นาที
ยกเว้นว่าจะเข้าแบบสมาธิไร้กำหนด คือ ไม่ต้องเอาเวลามาเป็นเครื่องบอก ดูจิตไปเรื่อยๆ
พูดไปแล้วก็เหมือนสมถะปนกับวิปัสสนานั่นแหละครับ ในการปฏิบัติตอนนี้คือ พูดตรงๆเลยว่าไม่ได้กำหนด แต่สภาวะตอนนี้คือ ในขณะที่เดินก็รู้ว่าเดิน ในขณะที่ใจคิดก็รู้ว่าใจคิด
ก็กำหนดออกมาบ้างไม่กำหนดบ้าง บางครั้งก็กำหนดต้นจิตได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เช่น ไปฟังคนสถานธรรม
เขาไม่เชื่อเรา ไม่ได้กำหนดยินหนอ(เผลอหนอ)แต่เมื่อใจเริ่มจะโกรธกำหนดว่า อยากโกรธหนอ
โกรธหนอ โกรธหนอ แต่ในอาการของกายไม่ได้กำหนดแต่ใช้จิตตามดูดูอาการไหว ตึง อะไรพวกนี้แหละครับ :b17:
มีครั้งในขณะที่นั่งดูจิตไปเรื่อยๆ พองหนอ ยุบหนอ ไป
ปรากฏว่าใจนี้ได้ยินเสียงจากข้างนอกเป็นเสียงรถ กำหนดยินหนอ
ทีนี้ก็เกิดพิสดารอะไรไม่ทราบครับ มีความรู้สึกในขณะที่ได้ยินเสียง ขออนุญาตแยกเป็นขั้นๆนะครับ
๑.เสียงผ่านหู เข้าไปที่จิต
๒.รู้ตัวว่าตัวเองได้ยินเสียง
๓.ความจำได้หมายรู้ระลึกว่านี่คือ เสียงรถ
๔.เสียงรถมันดังก็เลยปรุง เกิดโทสะจริต
๕.เกิดการปรุงแต่งว่า เอทำไมวันนี้เสียงรถมันดังจังหนอ
๖.สติกลับมาระลึกรู้ว่าคิดหนอ โกรธหนอ
ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากเท่าไร
หลังจากที่ออกจากกรรมฐาน ผมคิดว่าเออเนอะ
เมื่อเกิดเสียง เราเกิดการรับรู้ที่ใจโดยอาศัยทวารจากหู ความจำได้หมายรู้ไปกระทบ นี่เป็นเสียงของรถ
เสียงรถดัง จิตก็ปรุงเอาสังขารไปจับ เกิด โทสะ สังขารปรุงต่อเอาความจำได้หมายรู้ไปปรุงกับโทสะ
เกิดเป็น มโนกรรม คือ ความคิดขึ้น ผมก็อธิบายได้เท่านี้ถ้าเป็นไปได้ขอให้ท่านผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยครับ
ว่าผมเข้าใจถูกไหมครับ




ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยนี่คะ สิ่งที่คุณแยกออกมานั้น การทำงานของขันธ์ ๕ ก็มีเขียนอยู่ในหนังสือ
ซึ่งคุณอาจจะเคยอ่านเจอ แล้วนำมาใช้กับสภาวะของตัวเองที่เกิดขึ้น

อุบายวิธีในการปฏิบัตินั้น สุดแต่ว่าผู้ปฏิบัติจะเลือกวิธีการเอง ทุกๆสภาวะแปรเปลี่ยนตลอดเวลา
จากการกระทบ เปลี่ยนมากหรือน้อยก็อยู่ที่เราเอาจิตเข้าไปปรุงแต่งมันขึ้นมา
ทุกๆสภาวะ เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ไม่มีอะไรตายตัวหรือว่ามีกฏเกณฑ์ใดๆ

ในเรื่องของการกำหนด เมื่อเราเอาอารมณ์บัญญัติเข้ามาช่วย ควรสำทับด้วยรู้หนอๆๆๆ ทุกครั้ง
ไม่งั้นเราจะไปติดอยู่ในอารมณ์บัญญัติ สภาวะปรมัตถ์ยากที่จะเห็นได้

การตามสำทับด้วยรู้หนอ ทุกๆครั้ง จริงอยู่ รู้หนอก็ยังเป็นอารมณ์บัญญัติอยู่
แต่เมื่อสำทับลงไปบ่อยๆ จิตจะจดจำสภาวะมากขึ้น

เมื่อเกิดสภาวะเดิมๆซ้ำๆ เช่นเสียง ต่อไป ที่กำหนดว่า เสียงหนอ หรือ ยินหนอ มันจะหายไป
จะเหลือแต่รู้หนอ แล้วจากนั้น เมื่อสติ สัมปชัญญะมีมากขึ้น สมาธิย่อมเกิดมากขึ้นตาม
รู้หนอย่อมหายไป จะกลายเป็นความรู้สึกตัวขึ้นมาแทน เสียงที่ได้ยินจะกลายเป็นสักแต่ว่าเสียง
แต่ไม่ไปให้ค่าความหมายใดๆว่าเสียงอะไร เพราะเสียงก็คือเสียง แล้วมันจะดับไปเอง
นี่แหละคือ สภาวะปรมัตถ์ มันจะไม่มีการไปให้ค่าความหมายใดๆต่อสิ่งที่มากระทบ มันจะแค่รู้แล้วก็ดับ

ต่อมาทุกๆการกระทบ เมื่อจิตแม่นยำสภาวะมากขึ้น เมื่อเกิดการกระทบทุกๆครั้งของสภาวะนั้นๆ
สภาวะนั้นๆจะดับไวขึ้น แล้วสภาวะอื่นๆจะเกิดขึ้นมาแทน มันจะแปรเปลี่ยนอยู่อย่างนี้ไปตลอดเวลา
จนกว่าคุณจะเห็นไตรลักษณ์ มันจะแจ้งออกมาจากจิตเอง ไม่ใช่ไปเรียกว่า นี่คือ ไตรลักษณ์
มันจะแจ้งโดยสภาวะนั้นๆเอง เหตุจากตรงนี้ จะทำให้คุณเริ่มมองเห็นตามความเป็นจริงมากขึ้น
ตัวตนของคุณที่เคยนำเข้าไปข้องเกี่ยวการกระทบต่างๆที่เกิดขึ้น มันจะลดน้อยลงไปตามลำดับ
แล้วคุณจะเริ่มปล่อยวางลงไปมากขึ้น เพราะคุณเห็นและเข้าใจถึงเหตุที่กระทำ และผลที่ได้รับแล้วนี่

ทุกสรรพสิ่ง ล้วนแปรปรวนแปรเปลี่ยนตลอดเวลา มันมีของมันอยู่แบบนั้น มันเป็นของมันแบบนั้น
ไม่ว่าจะมีเราหรือไม่มีเราอยู่บนโลกใบนี้ก็ตาม วัฏสงสารก็ยังคงเป็นของมันเช่นนั้น
แล้วเราจะไปยึดอะไรไว้ได้ล่ะ ยึดไว้ไม่ได้เลย แป๊บๆ สภาวะเปลี่ยนไปอีกแล้ว
เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มันไม่มีอะไรเที่ยงแท้เลยแม้แต่สักอย่างเดียว



นี่แหละผลของการเจริญสติปัฏฐาน ๔



ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว หากทุกคนทำความเพียรต่อเนื่อง ก็จะเห็นเหมือนๆกันนี่แหละ
ไม่มีความแตกต่างกันเลย แม้แต่สักนิดเดียว เพราะมันเป็นเรื่องของ

กิเลส และ สติ สัมปชัญญะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 05 มี.ค. 2010, 19:57, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร