วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 00:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 95 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




jjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjj.jpg
jjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjjj.jpg [ 8.78 KiB | เปิดดู 3883 ครั้ง ]



ถึงแม้ว่า ฮั่วหยวนเจี่ย จะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังฝีมือที่ไม่ธรรมดา แต่เขาก็ปฏิบัติ
ตามคำสั่งสอนของตระกูลอย่างเคร่งครัด จึงไม่แสดงฝีมือออกมาให้ใครเห็น
อย่างง่ายๆ ด้วยสายตาของคนภายนอก ฮั่วหยวนเจี่ยมีชื่อเสียงดังเกริกก้อง
ล้วนเนื่องจากที่เขามีพละกำลังอันจะหาผู้ใดมาเปรียบมิได้

ฤดูหนาวปี ค.ศ. 1895 ฮั่วหยวนเจี่ยหาบฟืนไปขายยังเทียนจิน ในเวลานั้น
เขาได้ตบแต่งภรรยาแล้ว บุตรชายคนรอง ฮั่วตงเก๋อก็ได้ถือกำเนิดในปีนี้ ทำ
ให้ต้องแบกภาระเพิ่มขึ้นอีก วันเวลาผ่านไปอย่างค่อนข้างลำบาก เขาจึงจำ
เป็นต้องขายฟืนเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ครอบครัว

คานหาบฟืนของฮั่วหยวนเจี่ยต่างกับของผู้อื่น มันสร้างมาจากไม้อวี๋ (ไม้เนื้อ
แข็งชื่อต้นอวี๋ หรือต้น elm) ท่อนหนึ่ง ทั้งหนัก ทั้งหนา ฟืนหาบหนึ่ง หาก
เต็มที่จะหนักถึงสามสี่ร้อยชั่ง (หนึ่งชั่งหนักเท่ากับ 0.6 กิโลกรัม) ยามเมื่อ
หาบอยู่บนหัวไหล่ ดูไปก็ยังรู้สึกเบาสบาย ยามเดินเหินก็ดุจเหินบิน ผู้คนที่
เดินทางผ่านไปมา เมื่อมองเห็นต่างก็ชมเชยมิได้ขาดปาก

อาศัยร่างกายที่มีพละกำลังอันมหาศาล ฮั่วหยวนเจี่ยได้ปราบพวกอันธพาล
ที่เรียกเก็บค่าคุ้มครองจากพ่อค้า ค่าผ่านทางจากคนชนบทได้อย่างรวดเร็ว
ทำให้เถ้าแก่เฟิง หัวหน้าของกลุ่มอันธพาลมองเห็นคุณค่าของเขา เถ้าแก่
เฟิงได้เชื้อเชิญฮั่วหยวนเจี่ยไปที่บ้าน จัดโต๊ะเลี้ยงรับรอง คิดเชื้อเชิญฮั่วหยวน
เจี่ยให้มารับช่วงกิจการขนถ่ายสินค้า มาช่วยคุ้มครองเขตอิทธิพลที่มีอยู่

ปีที่สอง ฮั่วหยวนเจี่ยถูกเศรษฐกิจที่รัดตัวบังคับ ตัวคนเดียวเดินทางไปยัง
เทียนจิน บากหน้าไปหาเถ้าแก่เฟิง ตั้งแต่อายุ 28 เป็นต้นไป ฮั่วหยวนเจี่ย
นับว่าห่างไกลจากบ้านเกิด ออกมาผจญโลกกว้างโดยลำพัง

หลังจากรับช่วง การดูแลกิจการขนถ่ายสินค้า ฮั่วหยวนเจี่ยก็ยกเลิกการขูด
รีดเก็บค่าคุ้มครองจากชาวนาและพ่อค้า เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่
เหล่าอันธพาลในกลุ่มของกรรมกรขนถ่ายสินค้า ฮั่วหยวนเจี่ยจึงบอกลาออก
จากกิจการขนถ่ายสินค้าที่มีเรื่องอันเลวร้ายนั้นเสีย จากนั้นจึงหันไปทำงาน
เป็นพนักงานขนของร้านขายยาไหวชิ่ง ซึ่งอยู่ที่ประตูเมืองด้านทิศเหนือของ
เมืองเทียนจิน

มีอยู่วันหนึ่ง มีเซิงตี้ (ตัวยาชนิดหนึ่ง มีฤทธิ์แก้ร้อนใน บำรุงธาตุหยิน) เที่ยว
ใหม่เข้ามายังร้านขายยาไหวชิ่ง เซิงตี้แต่ละมัดหนักมัดละห้าร้อยชั่ง มีชาย
ร่างใหญ่คนหนึ่งคิดประลองพลังกับฮั่วหยวนเจี่ย เขาแบกเซิงตี้หนึ่งมัดขึ้นบ่า
โดยเอาเข้าโกดังรวดเดียวสามเที่ยว จากนั้นจึงกล่าวกับฮั่วหยวนเจี่ยต่อหน้า
เหล่าพนักงานในร้านว่า "อาจารย์ฮั่ว ใครๆ ก็กล่าวกันว่าท่านมีพลังอันมหาศาล
ไม่มีใครสู้ได้ วันนี้ท่านไยไม่แสดงฝีมือออกมาสักครั้ง ให้พวกเราได้เปิดหู
เปิดตา"

ฮั่วหยวนเจี่ยเคยได้ยินมานานแล้ว ว่าชายคนนี้อยู่ในร้านขายยา เรียกตนเอง
ว่าเป็นจ้าวเป็นอ๋อง จึงคิดอาศัยโอกาสนี้ล้างความน่าเกรงขามนี้ไปเสีย จึงคว้า
คานหาบขนาดใหญ่ขึ้นมาอันหนึ่ง รวดเดียวหาบเซิงตี้ขึ้นมาพร้อมกันสองมัด
เดินเข้าไปในโกดังอย่างสบาย ไม่ร้อนรน พวกพนักงานในร้านขายยาเห็นเขา
มีพลังสามารถหาบได้ถึงพันชั่ง ก็มิได้ร่ำร้องโอ่อวดอันใด ส่วนชายร่างใหญ่
นั้นอับอายจนใบหน้าแดงก่ำ วันที่สองก็หนีหน้าหายไป

ต่อมาไม่นานก็เกิดเรื่องขึ้นอีก เช้าวันหนึ่ง พนักงานของร้านขายยาไหวชิ่ง
ออกไปเพื่อหาบน้ำ เห็นลูกกลิ้งหินใหญ่คู่หนึ่ง (ลูกกลิ้งใช้ในการบดพื้นให้
เรียบ หรือใช้บดข้าว) วางเอียงๆ อยู่บนบ่อน้ำ ลักษณะเช่นนี้ หากกระทบถูก
เพียงเล็กน้อย ลูกกลิ้งหินก็จะร่วงลงไปในบ่อน้ำ จะทำให้บ่อน้ำนี้ใช้การไม่
ได้อีกต่อไป พนักงานนั้นจนปัญญา ได้แต่กลับไปเชื้อเชิญฮั่วหยวนเจี่ย

ถึงตอนนี้ รอบบ่อน้ำรุมล้อมไปด้วยผู้คนจำนวนไม่น้อยที่มาชมดูความครึก
ครื้น ฮั่วหยวนเจี่ยมองดู แล้วกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า "คนคนนี้มีความสามารถ
จริงๆ ข้าพเจ้านับถือเขา นี่บีบบังคับให้ข้าพเจ้ามาอย่างชัดเจน"

กล่าวจบก็งอเอวลง สองมือจับลูกกลิ้งหิน ได้ยินเสียงร้อง "ไฮ้" ก็ผลักย้าย
ลูกกลิ้งหินทั้งคู่ออกพ้นจากปากบ่อน้ำได้พร้อมกัน หลังเหตุการณ์นี้ ผู้คนให้
ฉายาแก่เขาว่า "จอมพลังฮั่ว"

มีคนผู้หนึ่งที่ส่งผลกระทบทางด้านความคิดอย่างใหญ่หลวงต่อฮั่วหยวนเจี่ย
ในช่วงที่เขาเติบใหญ่ขึ้นมา คนผู้นี้คือเถ้าแก่ร้านขายยาไหวชิ่ง หนงจิ้งซุน
หนงจิ้งซุนเคยไปเรียนที่ประเทศญี่ปุ่น รอบรู้ไพศาล เนื่องจากราชสำนักฟอน
เฟะ ปฏิเสธที่จะรับราชการเป็นขุนนาง แต่ด้วยต้องดำรงชีวิตให้อยู่รอด จึง
เปิดร้านขายยาไหวชิ่งขึ้น เขาเล่าเหตุการณ์ทั้งในประเทศจีนและต่างประเทศ
ทั้งยุคโบราณและยุคปัจจุบ้นให้ฮั่วหยวนเจี่ยฟังอยู่เสมอ ชี้ให้เห็นเหตุที่
ประเทศจีนยากจนประชาชนอ่อนแอนั้น เนื่องมาจากราชนสำนักไร้ความ
สามารถ ถูกประเทศมหาอำนาจหยามหยัน ประชาชนเสียขวัญ หนงจิ้งซุน
บอกกับฮั่วหยวนเจี่ยว่า นักปฏิวัติที่มีจิตใจแน่วแน่และเด็ดเดี่ยวเช่น ดร.
ซุนยัดเซน ได้ยกธงเพื่อก่อการ เวลาที่ราชสำนักชิงจะพังทลายอยู่อีกไม่
นานแล้ว

ความสัมพันธ์ที่มีกับหนงจิ้งซุน ทำให้ฮั่วหยวนเจี่ยได้เปิดโลกทัศน์ให้กว้าง
ไกลขึ้น เข้าใจในเหตุผลต่างๆ ขึ้นอีกไม่น้อย ยิ่งปลุกเร้าให้ฮั่วหยวนเจี่ย
ปฏิเสธการเป็นทาสรับใช้ของชาวยุโรป เกิดความรักชาติและปกป้องชาติขึ้น

ฮั่วหยวนเจี่ยยังได้รับอิทธิพลจากหนงจิ้งซุน ในเรื่องการปลดปล่อยแนว
ความคิด ฮั่วหยวนเจี่ยได้พูดเกลี้ยกล่อมบิดา สิ่งแรกคือทำลายประเพณี
ดั้งเดิม รับศิษย์ต่างแซ่สองคนคือหลิวจิ้นเซิง และกวอเหลียง ภายหลังมี
เฉินเจินโผล่ออกมาทางภาพยนต์และละครทีวี นี่เป็นเรื่องที่ล้วนแต่งขึ้นมา
ทั้งสิ้น ฮั่วหยวนเจี่ยไม่เคยมีลูกศิษย์เช่นนี้

วันหนึ่งในปี ค.ศ. 1901 ศิษย์คนหนึ่งของฮั่วหยวนเจี่ย หลิวจิ้นเซิงถือใบ
ปลิวโฆษณาหลายแผ่นเข้ามา ที่พิมพ์บนใบปลิว เป็นเรื่องของการขายศิลปะ
ของจอมพลังชาวรัสเซียที่โรงละคร ซึ่งพิมพ์ไว้ว่า "ตะลุยสู้มาแล้วทั่วโลก
ไร้ผู้ต่อต้าน มาให้พวกขี้โรคแห่งเอเซียได้ดูเพื่อเปิดหูเปิดตา..." หลังอ่าน
ข้อความ ฮั่วหยวนเจี่ยตบโต๊ะร่ำร้องว่า "นี่มันข่มเหงคนเกินไปแล้ว" จากนั้น
ผลุนผลันออกไปหาหนงจิ้งซุน

จอมพลังชาวรัสเซียคนนี้มีชื่อว่า คาลอฟ ว่ากันว่ามีความสูงถึงแปดฟุต น้ำ
หนักสามร้อยกว่าชั่ง สามารถกินแพะตัวหนึ่งหมดภายในวันเดียว ทั่วทั้ง
ร่างกายมีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ที่หน้าอกมีขนดำปุกปุย เมื่อให้ชาวจีนที่เป็น
ชาวบ้านทั่วไปที่มีรูปร่างเตี้ยเล็กมาดู จะถูกรูปร่างอันใหญ่โตของคาลอฟ
ขู่ขวัญจนฝ่อ

คาลอฟมีความเชี่ยวชาญในการชกมวยสากล กล่าวกันว่าตั้งแต่เขาออกมา
จากประเทศรัสเซีย ไปยังประเทศโปแลนด์, ออสเตรีย, ฝรั่งเศส, ปรุสเซีย
(รัฐหนึ่งของเยอรมัน), ตุรกี, เปอร์เซีย, อินเดีย, พม่า ไม่เคยพบใครที่เป็น
คู่ต่อสู้อย่างเท้จริงได้ จนหลังจากที่ได้มาถึงประเทศจีน เห็นชาวจีนแต่ละ
คนมีรูปร่างผอม หน้าเหลือง พบเห็นชาวยุโรปราวกับหนูเจอแมว กลัวว่าจะ
หลบหนีภัยไม่ทัน

ในโฆษณา คาลอฟยังกล่าวไว้ว่า "หากมีประชาชนของประเทศขี้โรคแห่ง
เอเซียผู้ใดที่ไม่ยอมรับนับถือ ก็ขอเชิญขึ้นเวทีมาประลอง ผู้ที่สามารถรับ
หมัดของข้าได้หนึ่งหมัด จะได้เงินรางวัลเป็นเงินหนึ่งร้อยชั่ง"

หลายวันให้หลัง คาลอฟให้ปิดประกาศตามถนนทุกแห่งในเมืองเทียนจิน
บนใบประกาศเขียนไว้ว่า

"ข้าฯ คาลอฟ จอมพลังแห่งรัสเซีย ขณะนี้มาถึงเมืองเทียนจิน ประเทศจีน
เพื่อเปิดแสดงการประลองฝีมือ ให้ประชาชนของประเทศจีนได้รู้จักวิชามวย
ที่ยอดเยี่ยมของชาวตะวันตกเรา กับพลังมหัศจรรย์ในการม้วนงอเหล็กกล้า
ในระหว่างการแสดงวิชา หากชาวยุทธ์ของจีนผู้ใดมีความกล้าขึ้นเวทีมา
ประลองก็ยินดีต้อนรับอย่างยิ่ง หากสามารถยืนหยัดอยู่ได้ จะได้รับรางวัล
เป็นเงินสามร้อยตำลึง มีกำหนดสามวันนับจากที่ได้ปิดประกาศ สามวันให้
หลัง หากไม่มีใครกล้าขึ้นเวที แสดงแน่ชัดแล้วว่าประเทศจีนที่แท้คือประเทศ
คนขี้โรค..."
หลังจากปิดประกาศโฆษณาออกไป ก็ครึกโครมไปทั่วทั้งเมือง ชาวบ้านของ
ประเทศจีนรู้สึกโกรธแค้น แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

เมื่อฮั่วหยวนเจี่ยไปหาหนงจิ้งซุน หนงจิ้งซุน กล่าวว่า "ข้าพเจ้าให้คนที่สืบ
ข่าวมาแล้ว เจ้าปีศาจคาลอฟตัวนี้ ได้สร้างเวทีขึ้นในโรงละครจื่อจู๋หลินแล้ว
ได้ทำร้ายชาวจีนที่ขึ้นเวทีไปประลองติดต่อกันสามคน มีอยู่คนหนึ่งที่ถูกมัน
ซัดจนกระอักโลหิต"

ฮั่วหยวนเจี่ยกล่าวอย่างขึงขังว่า "ให้ข้าพเจ้าจัดการกับมันเถอะ!" ในเวลานั้น
หนงจิ้งซุนยังไม่เคยได้เห็นพลังฝีมือของฮั่วหยวนเจี่ยด้วยตาของตนเองมา
ก่อน จึงทำให้รู้สึกกังวลอย่างมาก แต่ก็ยังสนับสนุนให้เขาลงมือ ได้แต่กล่าว
เตือนให้ระมัดระวังให้มาก ฮั่วหยวนเจี่ยกล่าวว่า "เพื่อเป็นการระบายโทสะ
แก่ชาวจีนเรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าพเจ้าก็ต้องไปพบกับมัน" หนงจิ้งซุน
เรียกรถม้ามาคันหนึ่ง ฮั่วหยวนเจี่ยพาลูกศิษย์ไปด้วยสองคน คนทั้งสี่เดิน
ทางไปยังโรงละครจื่อจู๋หลินอย่างรวดเร็ว

ข่าวแพร่ไปจนถึงโรงละคร ชาวยุโรปที่อยู่ในโรงละครคุยโวจนเสียงดังอื้ออึง
เมื่อฮั่วหยวนเจี่ยและพวกมาถึงหน้าประตูโรงละคร คนเฝ้าประตูที่เป็นชาว
จีนสองคนจำฮั่วหยวนเจี่ยได้ จึงรีบเปิดทางให้

ฮั่วหยวนเจี่ยและหนงจิ้งซุนกับพวกทั้งสี่คนเข้าไปในโรงละคร ภายในโรง
ละครได้จัดโต๊ะสำหรับผู้มาประลองไว้แถวแรก ที่นั่งจัดอย่างดี ปูด้วยผ้ารอง
นั่งสีแดง แต่ไม่มีใครนั่งอยู่สักคน

คาลอฟเห็นว่ายังไม่มีใครขึ้นเวทีมาประลอง จึงขึ้นเวทีเองเพื่อแสดงพลัง
มหัศจรรย์ของเขา เขานอนหงายลงบนพื้น สองมือยกดัมเบลเหล็กที่มีขนาด
ใหญ่เท่าไหสุราข้างละอัน สองขายกลอย บนขาพาดไว้ด้วยไม้กระดานแผ่น
ใหญ่ บนไม้กระดานวางโต๊ะยาวหนึ่งตัวซ็อนด้วยเก้าอีกสี่ตัว ชายท่าทางดุ
ดันสี่คนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ ร่ำร้องอย่างโอหังว่า "คาลอฟไร้ผู้เทียมทาน"
คาลอฟถูกยกยอจนลืมตน ให้ภาษาจีนที่สำเนียงแปร่งหู ร่ำร้องว่า "ขึ้นมา
รับการทุบตี รีบขึ้นเวทีมา" วาจาโอหังเพิ่งกล่าวจบ ฮั่วหยวนเจี่ยก็เหินขึ้น
เวทีดุจลูกธนู

คาลอฟกับผู้ร่วมแสดงทั้งหมด ล้วนชะงักอยู่กับที่ เหลียวมองหาล่าม ล่าม
รีบถามว่า "ท่านต้องการทำอะไร" ฮั่วหยวนเจี่ยกล่าวว่า "บอกกับคาลอฟ
ว่า ข้าคือขี้โรคเอเซีย วันนี้ต้องการมาต่อสู้ให้รู้ผลแพ้ชนะกับผู้ที่อวดอ้างตน
เอง ว่าเป็นจอมพลังอันดับหนึ่ง หมัดมวยอาวุธ ตามแต่จะสะดวก เป็นตาย
ไม่เอาความ"

ล่ามนั้นไม่ทราบว่าพูดอะไรกับคาลอฟอยู่หลายคำ จากนั้นจึงถามว่า
"มิสเตอร์คาลอฟถามว่าท่านมีนามว่าอะไร เป็นวิทยายุทธ์อะไร ท่านไม่
กลัวตายหรือ"

"ข้าพเจ้าแซ่ฮั่ว ชื่อหยวนเจี่ย ไม่มีค่ายสำนัก และก็ไม่เป็นวิทยายุทธ์อะไร
ทั้งนั้น แต่ว่าข้าพเจ้าต้องการให้ท่านบอกกับเขาว่า ข้าพเจ้าเป็นคนจีนคน
หนึ่งที่ไม่ยอมให้คนยุโรปมาข่มเหง" คาลอฟหัวเราะเบาๆ ด้วยท่าทีเหยียด
หยาม ชี้ลงไปที่แผ่นเหล็กหนาแผ่นหนึ่งบนพื้นที่เพิ่งจะถูกเขาหักจนงอ
ลงไป

ล่ามที่แซ่หม่ากล่าวว่า "คาลอฟถามว่า กระดูกของท่านแข็งกว่าเหล็กกล้า
นี้หรือไม่"

ฮั่วหยวนเจี่ยเกียจคร้านที่จะพูดพล่ามกับเขา ยื่นมือลงไปคว้าเอาแผ่น
เหล็กที่ถูกม้วนพับนั้นขึ้นมา สองมือจับอยู่ที่หัวท้ายของแผ่นเหล็ก แผ่น
เหล็กที่ถูกม้วนงออยู่ก็ยืดออกมา ราวกับเส้นหมี่ที่ถูกดึง ไม่รอจนคาลอฟ
ที่ตกตะลึงงัดได้สติคืนมาก่อน ฮั่วหยวนเจี่ยเหวี่ยงแผ่นเหล็กทิ้งไป แล้ว
คว้าเอาโซ่เหล็กบนพื้นขึ้นมา ใช้พลังที่ดุจเทพยดาอีกครั้ง เพียงได้ยิน
เสียงร้องคำหนึ่ง โซ่เหล็กก็ถูกบิดขาดลงมาข้อหนึ่ง บิดครั้งหนึ่งก็ร้องออก
มาคำหนึ่ง จนโซ่เหล็กถูกบิดขาดลงมาทุกข้อ เศษห่วงเหล็กร่วงลงสู่พื้น
เสียงปรบมือด้านล่างของเวทีดังกึกก้องปานฟ้าถล่ม มีชาวจีนไม่น้อยที่
ตื้นตันจนน้ำตาร่วงริน

คาลอฟตระหนกจนตะลึงงัน ยืนเซ่ออยู่ตรงนั้นราวกับหมีควายตัวโต ฮั่ว
หยวนเจี่ยลงจากเวที หนงจิ้งซุนจับมือเขากุมไว้ไม่ยอมปล่อย

วันพรุ่งนี้เวลาเก้าโมงเช้า เป็นการนัดประลองกับคาลอฟอย่างเป็นทางการ

วันรุ่งขึ้น ฮั่วหยวนเจี่ยมารอคนอยู่ทางเข้าโรงละคร ตามเวลาที่ได้นัดหมาย
ไว้ เพียงเห็นแต่บนประตูบานใหญ่ ปิดไว้ด้วยใบประกาศใบหนึ่ง ที่เขียน
ไว้มีความหมายว่า เมื่อคืนจอมพลังคาลอฟได้รับพระราชโองการจากพระ
เจ้าซาร์ ให้เขารีบกลับไปร่วมงานประกวดชายงามภายในพระราชวัง นี่เป็น
ข้ออ้างอย่างชัดเจน คาลอฟถูกฮั่วหยวนเจี่ยขู่ขวัญจนหนีไปแล้ว

ข่าวแพร่สะพัดออกไป ชาวเมืองเทียนจินที่เป็นชาวจีนทั้งหมด ต่างภาคภูมิ
ใจที่ได้ลบล้างความอัปยศนี้ไปได้



(ยังมีต่อ)




แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 04 มี.ค. 2010, 11:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 11:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:

ขอบคุณ... อิ อิ ของโปรด... :b27: :b27: :b27:

:b17: :b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrcccccccccccccccccccc.jpg
rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrcccccccccccccccccccc.jpg [ 23.53 KiB | เปิดดู 3882 ครั้ง ]
cw_h11.jpg
cw_h11.jpg [ 24.75 KiB | เปิดดู 3881 ครั้ง ]
cw_his.jpg
cw_his.jpg [ 23.48 KiB | เปิดดู 3882 ครั้ง ]
ภาพถ่ายลูกศิษย์ของ ฮั่วหยวนเจี่ย

ประวัติจอมยุทธ์ ฮั่วหยวนเจี่ย (ตอน 4)
ประลองนักรบญี่ปุ่น

โดย อ.เซียวหลิบงั้ง (http://www.thaitajii.com)

(ตอนก่อน)

วันที่ 25 เดือน 7 ปีค.ศ. 1894 หนังสือพิมพ์ทุกฉบับในเทียนจิน พาดหัว
ข่าวว่า "เจี๋ยอู่แพ้ยับ กองทัพเรือของจีนพ่ายแพ้อย่างยับเยิน"

เนื้อข่าวมีว่า



วันที่ 25 เดือน 7 ปีค.ศ. 1894 ทหารเรือเป่ยหยางปะทะกับกองเรือญี่ปุ่น
ในน่านน้ำทะเลเหลือง ทหารเรือของจีนรบจนตัวตายเยี่ยงวีรบุรุษ ยอม
ตายไม่ยอมศิโรราบ เนื่องจากราชสำนักยังไม่มีความแน่นอนว่าจะรบหรือ
ไม่ อีกทั้งผู้บัญชาการไร้ความสามารถ จึงทำให้ขุนนางทหารของเรานับ
จำนวนไม่ถ้วนต้องฝังร่างใต้ท้องทะเล

หลายวันให้หลัง ฮั่วหยวนเจี่ยได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ที่ห้างสรรพสินค้า
โตยะของญี่ปุ่น สาขาเมืองเทียนจิน ให้คนส่งมา ในจดหมายมีใจความว่า
คุวาดะ ชิเครุ นักรบขององค์จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น ได้มาถึงเมืองเทียนจิน
เพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะในการรบทางทะเลของจีนและญี่ปุ่น จึงต้องการ
ท้าประลองกับฮั่วหยวนเจี่ย... เมื่อฮั่วหยวนเจี่ยอ่านถึงเนื้อความตรงนี้
ก็ร่ำร้องออกมาคำหนึ่ง จากนั้นโลหิตสดๆ ก็ฉีดพุ่งออกมาจากปาก หมด
สติล้มลงไป




ศิษย์ของฮั่วหยวนเจี่ยสามคน แต่งตัวดูแปลกๆ หน่อยครับ




สามวันต่อมา ฮั่วหยวนเจี่ยค่อยๆ ฟื้นฟูร่างกายขึ้นมา เขาต้องการให้ลูกศิษย์
ไปแจ้งคำตอบกลับกับชาวญี่ปุ่นว่า "จะประลองวันใด ตามแต่จะสะดวก
หยวนเจี่ยยินดีน้อมรับ" การรบทางทะเลของจีนแลญี่ปุ่นเพิ่งจะจบไป ชาว
ญี่ปุ่นเลือกเวลาเช่นนี้มาประลองยุทธ์ นี่มีเจตนาประกาศชัยชนะอย่างชัดเจน

หนงจิ้งซุนและเหล่าศิษย์ต่างก็เป็นห่วงในสุขภาพของฮั่วหยวนเจี่ย คิดรอ
ให้ร่างกายของเขาหายสนิทค่อยว่ากันใหม่ แต่ฮั่วหยวนเจี่ยยืนยันที่จะสู้
กล่าวว่า "การรบทางทะเลพ่ายอย่างยับเยิน ชาวจีนไม่สงบสุข ข้าพเจ้า
ไม่อาจให้โจรร้ายมาทำร้ายจิตใจของชาวจีนเราอีก ในเวลาเช่นนี้ ต่อให้
เป็นภูเขาดาบทะเลเพลิง ข้าพเจ้าก็ต้องขึ้นไป" สถานที่ประลองยุทธ์ระหว่าง
ฮั่วหยวนเจี่ยและคุวาดะ ชิเครุ คือที่สามแยกปากแม่น้ำเมืองเทียนจิน

ข่าวแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว ชาวเมืองเทียนจินต่างก็หลั่งไหลออก
มาชม ไปชุมนุมเนืองแน่นอยู่ตรงปากแม่น้ำ ตรงกลางแม่น้ำจอดไว้ด้วย
เรือเหล็กพื้นราบลำหนึ่ง ตัวเรือมีความยาวห้าวา กว้างสองวา ที่เสากระโดง
เรือแขวนป้ายไว้ บนป้ายมีอักษร "สถานที่ต่อสู่ของนักบู๊จีน ญี่ปุ่น" ที่กราบ
เรือติดผ้าสีแดงตามขวางเอาไว้ ใช้ภาษาจีนและญี่ปุ่นสองภาษาเขียนว่า
"เพื่อเฉลิมฉลองผลการรบทางทะเลในน่านน้ำทะเลเหลืองที่จบลงด้วย
ความกลมเกลียว และการแลกเปลี่ยนศิลปยุทธ์" นี่เป็นการจัดฉากของ
ชาวญี่ปุ่นอย่างชัดเจน

ที่ยิ่งน่าคับแค้นใจก็คือ ที่หัวเรือมีตัวอักษรสองตัว "เป่ยหยาง" มองเห็น
ได้อย่างชัดเจน นี่ย่อมต้องเป็นชาวญี่ปุ่นเขียนขึ้นมา ไม่ต้องพูดถึง นี่เป็น
เจตนารมณ์ของชาวญี่ปุ่น ที่เอาการแลกเปลี่ยนศิลปยุทธ์ของสองประเทศ
ให้เปลี่ยนเป็นการต่อสู้ขอสองชนชาติขึ้น

เก้าโมงเช้าในวันนั้น ฮั่วหยวนเจี่ย หนงจิ้งซุน และศิษย์อีกสองคนที่ร่วม
เดินทางด้วยกัน มาถึงชายฝั่งแม่น้ำซึ่งเป็นสถานที่ประลองยุทธ์ ฮั่วหยวน
เจี่ยสวมชุดเสื้อกางเกงรัดรูป สีขาวบริสุทธิ์ ที่เอวผูกผ้าแพรรัดเอวกว้าง
สามนิ้ว เหตุที่เขาเลือกเสื้อผ้าสีขาวทั้งชุด ประการแรกเพื่อเป็นการไว้ทุกข์
แก่การสูญเสียทหารเรือที่เป็นวีรบุรุษของประเทศ ประการที่สอง เป็นความ
หมายถึงการต่อสู้ครั้งนี้ ต้องตกตายไปข้างหนึ่ง ปิดโอกาสในการถอยหนี
ของตนเอง

ก่อนการประลอง จิตใจของฮั่วหยวนเจี่ยสงบเยือกเย็น เขารู้ว่าคุวาดะ
ชิเครุไม่ใช่ชนชั้นธรรมดา การที่กล้าหาเหตุมาต่อยตีถึงประตูบ้านในเวลา
เช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าเขามีความมั่นใจว่าต้องกำชัยชนะ ดังนั้นฮั่วหยวนเจี่ย
ก็ต้องเตรียมพร้อมให้เต็มที่

กราบซ้ายของเรือเหล็กเทียบกับเวทีที่ยกสูงแห่งหนึ่ง นี่เป็นที่นั่งชมการ
ต่อสู้ซึ่งมีชาวญี่ปุ่นนั่งอยู่หลายคน มีคนที่เป็นหัวหน้ารวมอยู่ในนั้น หนงจิ้งซุน
เห็นว่าได้เวลาแล้ว จึงกล่าวกับคนที่เป็นหัวหน้านั้นว่า "ขอเชิญคุวาดะ ชิเครุ
ขึ้นลานประลอง" วาจาเพิ่งกล่าวจบ ทางตะวันตกของเรือเหล็ก มีเสียงชัก
มู่ลี่ขึ้นดังเกรียวกราว คุวาดะ ชิเครุที่มีรูปร่างล่ำสัน คาดดาบยาวไว้ก็หมุน
ควงออกมา

ผู้ชมทางฝ่ายญี่ปุ่นต่างปรบมือกันเสียงสนั่น

คุวาดะ ชิเครุ เดินเข้าไปตรงหน้าฮั่วหยวนเจี่ย ถอดชุดยาวออกมา เผยให้
เห็นชุดนักบู๊สั้นรัดรูปที่อยู่ข้างใน จากนั้นก็ชักดาบยาวออกมาวาดเป็นวง
กลางอากาศอย่างว่องไว ปลายดาบเกิดเสียงอึงอลขึ้น เขาใช้ดาบที่อยู่ใน
มือชี้ไป กล่าวกับฮั่วหยวนเจี่ยด้วยภาษาจีนที่แปร่งหูว่า "ท่าน เลือกอาวุธ"

ฮั่วหยวนเจี่ยยิ้มเล็กน้อย "พวกเราชาวจีน ที่ผ่านมายามประลองยุทธ์ ไม่ใช้
อาวุธกัน แต่ท่านสามารถใช้ดาบ ข้าพเจ้าขอใช้มือเปล่าน้อมรับ" คุวาดะเข้า
ใจในความหมายของฮั่วหยวนเจี่ย ก้าวเท้าอย่างรวดเร็วไปยังข้างเรือ ออก
กำลังฟาดฟันดาบลงครั้งหนึ่ง ดาบยาวสี่ฟุตฟันเข้าไปในแผ่นเหล็กลึกฟุตกว่า
ราวฟันหยวก ตัวดาบต้องแสงอาทิตย์สะท้อนวาววับ ผู้ชมการประลองที่เป็น
ชาวจีน ไม่มีใครไม่หลั่งเหงื่อแทนฮั่วหยวนเจี่ย ความจริงนี่เป็นการใช้สงคราม
จิตวิทยาของนักบู๊ชาวญี่ปุ่น คิดสร้างความประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นในใจของคู่
ต่อสู้แต่แรก



(ยังมีต่อ)




แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 04 มี.ค. 2010, 11:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 11:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านว่า...ถ้าเราเอาเรื่อง...การทำสมาธิสายลมปราณมาแจม...

ท่านว่า...เราจะโดนใบแดงมั๊ย.... :b9: :b9: :b9:

:b17: :b17: แบบ...เค้าชอบ...หง่ะ...

แบบว่า...ทารกสีทองงงงง.... :b20: :b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 11:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




dong01.gif
dong01.gif [ 45.3 KiB | เปิดดู 3867 ครั้ง ]
zhu01.gif
zhu01.gif [ 39.33 KiB | เปิดดู 3867 ครั้ง ]
ท่วงท่าของวิชามวยสิ่งอี้ ล้วนทรงพลังอานุภาพอย่างยิ่ง


ฮั่วหยวนเจี่ย มีท่าทีที่ไม่สะทกสะท้าน มุมปากปรากฎรอยยิ้มอย่างเยือกเย็น
ขึ้น คุวาดะกล่าวว่า "ท่าน ขึ้นมาต่อยตีกับข้าพเจ้า" ฮั่วหยวนเจี่ยกล่าวอย่าง
เย็นชาว่า "ธรรมเนียมของชาวจีนให้เกียรติแก่ผู้เยือน ท่านลงมือก่อน"

คุว่าดะเห็นว่าคู่ต่อสู้ไม่ยอมใช้ดาบ อีกทั้งยังไม่ยอมลงมือก่อน จึงคำราม
ออกมาอย่างมีโทสะ แล้วโจมตีเข้าใส่ฮั่วหยวนเจี่ย ฮั่วหยวนเจี่ยรับมือด้วย
ความเยือกเย็น ปิดป้องส่วนบน ส่วนกลาง ส่วนล่างของร่างกายทั้งสามส่วน
อย่างรัดกุม คุวาดะกระโดดขึ้นหมุนตัวกลางอากาศ จากนั้นชกหมัดขวาไป
ยังกระหม่อมของฮั่วหยวนเจี่ยอย่างรวดเร็ว ฮั่วหยวนเจี่ยเบี่ยงกายหลบ ยืน
ด้วยควยามมั่นคงดุจขุนเขา

คุวาดะลงมือติดต่อกันสามกระบวนท่า ล้วนถูกฮั่วหยวนเจี่ยแก้ไขไปได้ แต่
ถ้ามองภาพรวมจะมองเห็นว่า คุวาดะเป็นฝ่ายจู่โจม ส่วนฮั่วหยวนเจี่ยได้แต่
หลบกระบวนท่าที่มา ตกอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบ ชาวจีนที่อยู่สองฟากฝั่งที่
ชมดูการประลองยุทธ์ ล้วนอกสั่นขวัญแขวน หายใจไม่ทั่วท้อง มีคนบางคน
ที่พอมีวิทยายุทธ์ติดตัวอยู่บ้างเล็กน้อย เห็นว่าฮั่วหยวนเจี่ยตกอยู่ในสถานะ
ที่เป็นเบี้ยล่าง เกือบถูกฟาดใส่ตลอดเวลา ชมดูจนรู้สึกร้อนใจอดยกมือเกา
ศีรษะไม่ได้

พริบตาผ่านไป คุวาดะและฮั่วหยวนเจี่ยต่อสู้ผ่านไปสามสิบกระบวนท่า ทุก
ย่างก้าวองคุวาดะส่งการคุกคาม ส่วนฮั่วหยวนเจี่ยก็ก้าวเท้าถอยติดต่อกัน
คุวาดะเห็นว่า ฮั่วหยวนเจี่ยถูกพลังลมหมัดของเขาปิดทางต่อสู้ไว้ ตนเอง
เป็นผู้กุมสถานะ ในใจรู้สึกยินดีอย่างใหญ่หลวง จึงคิดหาโอกาสใช้ท่าไม้
ตาย ฟาดฮั่วหยวนเจี่ยให้ตกลงแม่น้ำไป ดังนั้นจึงเร่งใช้กระบวนท่าที่อำมหิต
ขึ้น

หากมองออก จะเห็นว่าฮั่วหยวนเจี่ยมิได้มีเจตนาอ่อนข้อ ประการแรก เขา
ยังมิทราบว่าคู่ต่อสู้มีฝีมือลึกล้ำเพียงใด ต้องการใช้เวลาในการศึกษาแนว
ทางของคู่ต่อสู้ ประการที่สอง หมัดของคู่ต่อสู้ที่ออกมา มีความรวดเร็วอย่าง
ยิ่ง เขาได้แต่เลือกใช้การป้องกันเฉพาะหน้าจากการถูกจู่โจม รอสบโอกาส
เหมาะจึงค่อยโต้ตอบกลับคืน

สามสิบกระบวนท่าผ่านไป ฮั่วหยวนเจี่ยรู้ตื้นลึกหนาบางของคนยโสโอหัง
นี้แล้ว เขาใช้วิชาหมีจงเข้ารับมือกับคู่ต่อสู้ในครั้งแรก เนื่องจากมีเจตนาให้
คู่ต่อสู้ออกหมัดใช้กระบวนท่า เวลานี้เข้าใจในกระบวนท่าเหล่านั้นแล้ว
ทันใดนั้นจึงเปลี่ยนจากวิชาหมีจง เป็นมวยสิ่งอี้ที่ได้รับถ่ายทอดมาจาก
ดาบใหญ่หวังอู่








สถานการณ์บนลานประลองกลับพลิกผันอย่างรวดเร็ว คุวาดะเห็นฮั่วหยวน
เจี่ยเปลี่ยนวิชาหมัดมวยที่ใช้ ภายในใจรู้สึกตระหนก เขาเคยทำการศึกษา
ค้นคว้าวิชาหมีจง แต่กับมวยสิ่งอี้ กลับรู้มาน้อยมาก แต่ว่าในขณะนี้วิชา
มวยของฮั่วหยวนเจี่ย ยากที่จะกล่าวได้ว่าเป็นวิชามวยชนิดใด มีบาง
กระบวนท่า ที่ไม่รู้ต้นตอของวิชา แต่ใช้ออกมาตามใจปรารถนา แต่ทุก
กระบวนท่าที่ใช้ออกมาล้วนทรงอานุภาพ

คุวาดะรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา รีบปิดป้องจุดสำคัญจากทางมวยอันคาดคะเน
ไม่ออกของฮั่วหยวนเจี่ย มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แขน หมัด ฝ่ามือพัวพันอยู่
ด้วยกัน นี่บ่งบอกถึงระดับฝีมือที่ใกล้เคียงกัน ในเวลาที่ยอดฝีมือในยุทธจักร
เกิดการต่อสู้

ฮั่วหยวนเจี่ยบุกต่อเนื่องกันถึงสามสิบกระบวนท่า แต่คู่ต่อสู้ก็หลบหลีกได้
หมด ฮั่วหยวนเจี่ยทราบอย่างถ่องแท้ว่า หากไม่ใช้ท่าไม้ตายออกมา เกรง
ว่ายากที่จะสยบชาวญี่ปุ่นคนนี้ได้ ทั้งสองคนเข้าพันตูกันกว่ายี่สิบรอบของ
การเข้าต่อสู้และแยกออกจากกัน แต่กระนั้นก็ยังไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ

ในใจของฮั่วหยวนเจี่ยรู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง ตนเองเพิ่งอาเจียนเป็นโลหิต
เมื่อไม่นานมา หากต่อสู้เช่นนี้ต่อไป หากกล่าวถึงด้านพละกำลัง ตนเอง
เกรงว่าจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพื่อจบการต่อสู้ในครั้งนี้ คงต้องใช้วิธีจี้จุด
คิดถึงเหตุผลนี้ ฮั่วหยวนเจี่ยจึงแสร้งทำเป็นพละกำลังถดถอย ท่าเท้า
สับสนไม่มั่นคง จากฝ่ายรุกกลับกลายเป็นฝ่ายรับ ก้าวถอยหลังติดต่อกัน

คุวาดะไม่ทราบถึงกลอุบายนี้ จึงคุกคามกดดันทุกย่างก้าว ส่วนฮั่วหยวนเจี่ย
ก็รับพลางถอยพลาง ถอยจนกระทั่งเกือบถึงท้ายเรือ ซึ่งไม่มีทางให้ถอย
อีกแล้ว คุวาดะในใจรู้สึกยินดีจนคลุ้มคลั่ง กระโดดไปข้างหน้า พร้อมกับชก
สองหมัดออกไป ฮั่วหยวนเจี่ยไม่มีทางที่จะเบี่ยงหลบ ได้แต่หงายร่างไป
ด้านหลัง ล้มลงบนพื้นเรือ ส่วนศีรษะยื่นออกไปพ้นท้ายเรือ

นี่อันที่จริงเป็นท่าที่อันตราย ผู้ชมนับพันนับหมื่นที่อยู่สองฟากฝั่งตระหนัก
จนหน้าถอดสี ส่งเสียงฮือออกมาพร้อมกัน แต่ที่น่าหัวเราะก็คือ คุวาดะ
ถูกหลอกเสียแล้ว เขาเห็นฮั่วหยวนเจี่ยล้มหงายลงไป เข้าใจว่านี่เป็น
โอกาสอันดีงามที่จะจบการต่อสู้ในครั้งนี้ จึงกระโดดขึ้นในทันที งอเข่า
ทั้งคู่ พร้อมกับกู่ร้องเสียงดังยาว เป้าหมายคือหน้าอกของฮั่วหยวนเจี่ย

หากถูกเข่าทั้งคู่ของคุวาดะกระแทก ฮั่วหยวนเจี่ยคงไม่สามารถรักษา
ชีวิตเอาไว้ได้

ที่ฮั่วหยวนเจี่ยหงายล้มลงไป เป็นหลุมพรางที่เขากำหนดขึ้น ในเวลา
นี้พลังทั้งหมดของเขารวบรวมอยู่ที่สองนิ้วของมือขวา เขาต้องการใช้
วิชาจี้สกัดจุด ชาวญี่ปุ่นผู้คลุ้มคลั่งนี้กำลังเข้าสู่จุดอับ

ขณะที่เข่าทั้งคู่ของคุวาดะกำลังจะถึงหน้าอกของฮั่วหยวนเจี่ย ฮั่วหยวน
เจี่ยพลันยื่นมือซ้ายออก เข้าค้ำเข่าข้างขวาของคุวาดะไว้ คุวาดะคาด
ไม่ถึงว่า คู่ต่อสู้ที่ถูกฟาดล้มลงไปกับพื้น ยังสามารถใช้กระบวนท่านี้
ออกมา คิดเปลี่ยนแปลงกระบวนท่าก็ไม่ทันเสียแล้ว ร่างกายเสียหลัก
ฟาดล้มลงอยู่บนพื้นกระดาน

ฮั่วหยวนเจี่ยกระโดดทะยานขึ้นมาแล้ว ขณะที่คุวาดะเพิ่งยกลำตัวท่อน
บนขึ้นมา ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นมายืน นิ้วมือที่แข็งปานแท่งเหล็ก ก็จี้สกัด
เข้าที่จุดสำคัญบนหัวไหล่ของคุวาดะ

ร่างกายซีกหนึ่งของคุวาดะชาด้านไปในทันที มีความรู้สึกราวกับจะเป็น
อัมพาต

ไม่รอให้คุวาดะรู้สึกเคลื่อนไหวไม่ได้ ฮั่วหยวนเจี่ยเตะออกหนึ่งเท้า
คุวาดะถูกเตะจนลอยสูงถึงห้าฟุต บินออกไปยังกลางแม่น้ำที่มีคลื่น
ถาโถม ผู้ชมทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำโห่ร้องเป็นเสียงเดียวกันจนดังสนั่น

ฮั่วหยวนเจี่ยมีความสัมพันธ์อันไม่ธรรมดากับดาบใหญ่หวังอู่ หวังอู่มี
นามว่าจื่อปิน พื้นเพเป็นชาวกวนตง เติบโตที่เมืองจื๋อคัง ผู้ถ่ายทอด
วิทยายุทธ์ให้แก่เขาคือเพื่อนของบิดาเขา นามโจวเลี่ยง หวังจื่อปิน
มีความพากเพียรอุตสาหะในการฝึกวิชาอย่างสูง เช้าค่ำฝึกติดต่อกัน
ไม่เคยหยุดเป็นเวลาแปดปี ปกติเขาชมชอบใช้ตาขอคู่ ด้วยเหตุนี้
ชาวยุทธ์ล้วนเรียกเขาว่าตาขอคู่หวังอู่ หลังจากโจวเลี่ยงถึงแก่กรรม
หวังจื่อปินได้ตั้งสำนักประกันภัยของตนเองขึ้น ชื่อว่าสำนักประกันภัย
ฮุ่ยโหย่ว มีความหมายว่า "ใช้วิทยายุทธ์เพื่อคบหาสหาย" ต่อมาไม่
นาน มีขุนนางราชสำนักคนหนึ่ง นามอันเหวยจวิ้น ถวายฎีกากล่าวโทษ
หลี่หงจางต่อองค์ฮ่องเต้ หลี่หงจากถูกเนรเทศออกนอกด่าน หวังจื่อปิน
แสดงน้ำใจต่อสหาย ส่งหลี่หงจางไปถึงจุดหมายด้วยตนเอง หลังจาก
นั้นชื่อเสียงของหวังจื่อปินจึงโด่งดังไปทั่วยุทธจักร คนจำนวนมากคบ
หาหวังจื่อปินเนื่องจากรู้สึกเป็นเกียรติ ภายหลังหวังจื่อปินเรียนดาบ
เดี่ยวชุดหนึ่งจากผู้เฒ่าต่งที่เมืองซานซี จากนั้นจึงถูกขนานนามว่า
ดาบใหญ่หวังอู่

หวังจื่อปินมีอายุมากกว่าฮั่วหยวนเจี่ยอยู่ยี่สิบกว่าปี เขามักเดินทาง
มายังปักกิ่งและเทียนจิน หวังจื่อปินคบหากับฮั่วเอินตี้บิดาของฮั่ว
หยวนเจี่ยอย่างจริงใจ ทุกครั้งที่พบหน้ากันจะต้องศึกษาแลกเปลี่ยน
วิชาซึ่งกันและกัน ในเวลานั้นฮั่วหยวนเจี่ยยังมีอายุไม่ถึงสิบปี ได้เห็น
กับตาตนเองถึงเพลงดาบอันพิสดาร กับพลังฝีมืออันล้ำลึกของหวัง
จื่อปิน ในใจอดที่จะยกย่องชื่นชมอย่างเต็มหัวใจมิได้






แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 04 มี.ค. 2010, 22:20, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 11:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
ท่านว่า...ถ้าเราเอาเรื่อง...การทำสมาธิสายลมปราณมาแจม...

ท่านว่า...เราจะโดนใบแดงมั๊ย.... :b9: :b9: :b9:

:b17: :b17: แบบ...เค้าชอบ...หง่ะ...

แบบว่า...ทารกสีทองงงงง.... :b20: :b20:



มังกรน้อยไม่ได้ไปแก้พระไตรปิฏกนี่หว่า กลัวข้อหาสัทธรรมปฏิรูปหรือ?
:b32: :b6:

อ่านดีๆ จอมยุทธ์ทุกท่านที่ลอกมา คิดว่า ฌาณ จากการฝึก อานาปาน เขามีไหมล่ะ :b16:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 04 มี.ค. 2010, 11:50, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 11:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




fearless%20(49).jpg
fearless%20(49).jpg [ 25.01 KiB | เปิดดู 3858 ครั้ง ]
fearless0dx.jpg
fearless0dx.jpg [ 74.78 KiB | เปิดดู 3857 ครั้ง ]
ประวัติจอมยุทธ์ ฮั่วหยวนเจี่ย (ตอน 6)
หวังจื่อปิน (หวังอู่) ผู้ประสาทวิชามวยสิ่งอี้

โดย อ.เซียวหลิบงั้ง (http://www.thaitajii.com)

(ตอนก่อน)

ภายหลังจากที่ขับไล่คาลอฟ ฮั่วหยวนเจี่ยก็มุ่งหน้าไปยังปักกิ่ง มา
ถึงบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งสร้างเป็นอาคารล้อมรอบที่ทั้งสี่ด้าน ตรงกลาง
ปล่อยเป็นลานกว้าง บ้านหลังนี้อยู่ที่ถนนด้านตะวันออกของหอกลอง
(ในเมืองใหญ่ในยุคโบราณของจีน จะสร้างหอกลองและหอระฆังไว้
ตีบอกเหตุยามมีเหตุร้าย กลองและระฆังนี้จะมีขนาดใหญ่โตมโหฬาร
- เซียวหลิบงั้ง) การมาครั้งนี้เพื่อมาเยี่ยมเยือนหวังจื่อปิน

ในขณะนี้ หวังจื่อปิน มีอายุห้าสิบเศษ ร่างสูงหกฟุต หวังจื่อปินได้ข่าว
มาตั้งแต่แรกแล้วว่าฮั่วหยวนเจี่ยกระทำการเป็นที่เลื่องลืออยู่ที่เมือง
เทียนจิน ทั้งสองคนคบหากันด้วยมีจิตใจที่ตรงกันอย่างที่สุด หวังจื่อปิน
ถามฮั่วหยวนเจี่ยว่า ได้วางแผนอย่างไรกับวันข้างหน้า ฮั่วหยวนเจี่ยกล่าว
ว่า "ทุกวันนี้ประเทศจีนเรามีแต่ถดถอยลง ประชาชนชาวจีนถูกรุกราน
ข่มเหงจากชาวต่างชาติ ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมา สูบฝิ่น รับเอาวัฒนธรรม
ตะวันตก ร่างกายอ่อนแอ อุดมการณ์สูญสิ้น จึงถูกชาวตะวันตกเย้ยหยัน
ว่าเป็นคนขี้โรค น่าเศร้าใจจริงๆ ข้าพเจ้าคิดเปิดสำนักร่วมกับสหาย ถ่าย
ทอดวิทยายุทธ์ เพื่อสร้างให้ประชาชนชาวจีนเรา มีสุขภาพร่างกายที่
แข็งแรง ทำคนขี้ขลาดให้กล้าหาญเข้มแข็ง ลุกขึ้นยืนหยัด อุทิศตนรับ
ใช้ประเทศชาติได้ ยังหวังให้ท่านลุงช่วยสั่งสอน"

หวังจื่อปินกล่าวด้วยความยินดีว่า "ข้าก็มีความคิดอย่างนี้แต่แรก หยวน
เจี่ยมีอุดมการณ์ที่จะฟื้นฟูยุทธจักรขึ้นมาใหม่ น่ายินดี น่ายินดี จื่อปินขอ
ใช้กำลังที่มีอยู่น้อยนิดช่วยเหลืออย่างเต็มที่" ในการเยี่ยมเยือนครั้งนี้
หวังจื่อปินได้แนะนำฮั่วหยวนเจี่ยได้รู้จักกับหลิวเอ้อ ผู้แต่งเรื่อง "เฒ่า
พิการผจญภัย"

หลิวเอ้อ เชี่ยวชาญในวิชาคณิตศาสตร์ วิชาแพทย์ และการชลประทาน
ในปีที่หวังจื่อปินปิดสำนักคุ้มภัย ได้มาเปิดร้านอาหารแห่งหนึ่งเพื่อการ
ดำรงชีวิต อยู่หน้าหอกลอง หลิวเอ้อได้ให้ความช่วยเหลือด้วยน้ำใจอัน
อบอุ่น นอกจากช่วยจ่ายค่าเช่าร้าน ยังเขียนป้ายยี่ห้อไว้เหนือประตูว่า
"หยวนซิ่งกัง" หนึ่งปีก่อน ภรรยาของหวังจื่อปินได้ป่วยจนถึงแก่กรรม ก็
ได้หลิวเอ้อช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องงานศพให้

ในครั้งนี้ ฮั่วหยวนเจี่ยพักอยู่ที่บ้านของหวังจื่อปินได้เกือบหนึ่งเดือน ทั้ง
สามคนมักร่วมกันวิจารณ์ทั้งด้านบุ๋นและด้านบู๊กันเป็นประจำ รวมทั้งสภาพ
การเมืองในขณะนั้น หลายครั้งที่ฮั่วหยวนเจี่ยต้องการบอกลาเพื่อกลับ
เมืองเทียนจิน แต่หวังจื่อปินและหลิวเอ้อลัวนรั้งตัวเอาไว้ด้วยน้ำใจ ความ
จริงฮั่วหยวนเจี่ยเองก็ไม่คิดจะจากไป เขารู้ดีว่าหวังจื่อปินมีวิชาฝีมืออัน
ลึกล้ำติดตัว คิดขอเรียนวิชากับผู้อาวุโสท่านนี้

ที่จริงหวังจื่อปินก็รู้ถึงความต้องการของฮั่วหยวนเจี่ยอย่างดี เพียงแต่เขา
คิดที่จะทำความรู้จักชายหนุ่มผู้นี้ให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม หลังจากที่ได้พูด
คุยและรู้จักกันมากขึ้น หวังจื่อปินพบว่า ฮั่วหยวนเจี่ยมีความซื่อสัตย์จริง
ใจต่อผู้อื่น ถ่อมตนและมีสัมมาคารวะมากกว่าคนรุ่นเดียวกันทั่วไป พลัง
ฝีมือก็สำเร็จในขั้นสูง ดังนั้นจึงให้ความรักและความเมตตามากยิ่งขึ้น จึง
ได้ถ่ายทอดยอดวิชาที่ตนเองมีให้แก่ฮั่วหยวนเจี่ย

หวังจื่อปินกล่าวว่า "ในแวดวงยุทธจักร ผู้ที่รวมวิชาหมัดมวยของค่าย
ตระกูลต่างๆ เอาไว้ในคนคนเดียวอย่างเช่นเจ้า ความจริงมีอยู่น้อยมาก
หยวนเจี่ยเอย หวังว่าในวันข้างหน้า เผยแพร่เชิดชูวิทยายุทธ์ของประ
เทศจีนเราให้กว้างไกลออกไปได้อย่างแน่นอน กระทำกิจการอีกเรื่อง
ให้เกริกก้องเกรียงไกรออกไป ส่วนในด้านอื่นข้าก็ไม่มีอะไรที่จะสอน
เจ้าอีกแล้ว เพียงแต่มวยสิ่งอี้ของเจ้ายังไม่เชี่ยวชาญ ข้าจึงจะส่งเสริม
เจ้า"

ฮั่วหยวนเจี่ยเรียก "อาจารย์" แล้วคุกเข่าลงกราบกราน หลังจากเรียน
กับหวังจื่อปินอยู่หนึ่งเดือน ฮั่วหยวนเจี่ยก็สามารถยึดกุมเคล็ดสำคัญ
ของมวยสิ่งอี้ หลังจากที่ทั้งสองคนลาจากกัน หวังจื่อปินก็ตั้งสำนักคุ้ม
ภัยหยวนซุ่นขึ้นที่ปักกิ่ง

ในเวลานั้น ถานซื่อถงมีใจอันอาจหาญที่จะกระทำการเปลี่ยนแปลง
ระบบการปกครองของประเทศจีน ผลักการปฏิรูประบอบการปกครอง
อย่างกระตือรือร้นอยู่ที่ปักกิ่ง หวังจื่อปินมีอุดมการณ์ในเรื่องนี้เช่นกัน
จึงให้ความช่วยเหลือถานซื่อถง ดำเนินการเปลี่ยนแปลงระบอบการ
ปกครอง

ปีค.ศ. 1898 ถานซื่อถงก่อการล้มเหลว หวังจื่อปินต้องลี้ภัย ฮั่วหยวน
เจี่ยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตนเอง คุ้มครองหวังจื่อปินให้ปลอด
ภัย ปีค.ศ. 1900 กองทัพพันธมิตรแปดชาติเข้ายึดเมืองเทียนจิน (กอง
ทัพพันธมิตรแปดชาติประกอบด้วย อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เยอรมันนี
ฝรั่งเศส รัสเซีย ญี่ปุ่น อิตาลี และออสเตรีย - เซียวหลิบงั้ง) ปีศาจชาว
ตะวันตกเข้าเมือง ทหารของราชวงศ์ชิงหันกลับไปช่วยคนต่างชาติค้น
หาจับกุมพวกอี้เหอถวนที่หลงเหลืออยู่ ฮั่วหยวนเจี่ยก็มีชื่ออยู่ในรายชื่อ
ของผู้ที่ต้องถูกจับกุม ระหว่างที่หลบหนีการจับกุมกลับไปอยู่บ้านเดิมที่
ชนบท ฮั่วหยวนเจี่ยได้ข่าวว่าหวังจื่อปินถูกปืนไฟของปีศาจต่างชาติยิง
ถึงแก่ความตายที่ปักกิ่ง นอกจากนี้ศีรษะที่ถูกตัดได้นำใส่ในกรงไม้ นำ
ขึ้นแขวนประจานไว้บนหอของกำแพงเมือง เมื่อได้รับฟังข่าวนี้ ฮั่วหยวน
เจี่ยถึงกับกระอักโลหิตออกมา หลังจากได้รับคำอนุญาตจากบิดา ฮั่ว
หยวนเจี่ยตัดสินใจว่าจะเร่งรีบเดินทางตลอดคืนไปปักกิ่ง เพื่อนำศีรษะ
ของหวังจื่อปินกลับคืน

ฮั่วหยวนเจี่ยคนเดียวควบม้าเร็วบรรุถึงเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว หลังจาก
หาที่ค้างแรม เขาไปยังบ้านของหวังจื่อปินที่อยู่หอกลองก่อน นี่เป็นบ้าน
ที่เขามีความคุ้นเคยอย่างยิ่ง ในเวลานี้บนบานประตูใหญ่ถูกทางการปิด
คำสั่งห้ามเข้าออก มองผ่านร่องบานประตูเข้าไป สามารถมองเห็นภาย
ใน มีสภาพปราศจากผู้อาศัยมานาน บ้านของหลิวเอ้ออยู่ติดกัน ฮั่วหยวน
เจี่ยจึงรีบเข้าไปพบหลิวเอ้อ


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 04 มี.ค. 2010, 22:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 11:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




ประวัติจอมยุทธ์ ฮั่วหยวนเจี่ย (ตอน 7)
ท้าประลองทุกชาติ

โดย อ.เซียวหลิบงั้ง (www.thaitajii.com)

(ตอนก่อน)

จากคำบอกเล่าของ หลิวเอ้อ หลังจากที่กองทัพพันธมิตรแปดชาติบุกเข้า
ปักกิ่ง พวกทหารก็ทำการแย่งชิงปล้นสดมภ์ ฆ่าคนวางเพลิง ข่มขืนหญิง
สาว วันนั้นเป็นวันที่หนึ่งเดือนแปด ขณะที่หวังจื่อปินเดินผ่านปากตรอก
สายหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงหวีดร้องของหญิงสาวจากบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ลึกเข้า
ไปในตรอก จึงวิ่งตะบึงเข้าไปตามทิศทางของเสียงนั้น พบเห็นทหารปีศาจ
สิบกว่าคนกำลังข่มขืนหญิงสาวชาวจีนอยู่คนหนึ่ง ทารกคนหนึ่งถูกฟันตาย
อยู่ด้านข้าง หวังจื่อปินเกิดเพลิงโทสะลุกฮือ อาศัยมือเปล่าบุกเข้าไปฆ่า
ทหารปีศาจที่ถือดาบปลายปืนได้สามคน ในที่สุดเนื่องจากศัตรูมีจำนวนมาก
กว่า จึงถูกปืนยิง ได้รับบาดเจ็บและถูกจับตัวได้

หลังจากที่หวังจื่อปินถูกปีศาจฝรั่งจับไปยังค่ายทหาร เหล่าปีศาจฟังมาว่า
หวังจื่อปินเป็นครูมวยชื่อเกริกไกรของเมืองหลวง จึงให้ต่อสู้กับทหารปีศาจ
โดยใช้คำอันสวนหรูว่า "ประลองยุทธ์"

ในตอนนั้น หวังจื่อปินได้รับบาดเจ็บจากปืนไฟสองแห่ง แขนก็ถูกทหารปีศาจ
จับหัก ไหนเลยจะยังสามารถสู้รบได้อีก ในที่สุดจึงถูกปีศาจฝรั่งทรมานจน
ตาย หลังจากที่ตายแล้วก็ถูกตัดศีรษะออกมา ใส่ไว้ในกรงไม้ แล้วนำไป
แขวนไว้บนหอที่ประตูเมืองด้านหน้า เมื่อเล่าถึงตรงนี้ ทั้งฮั่วหยวนเจี่ยและ
หลิวเอ้อ ล้วนเงียบเสียง หลั่งน้ำตาออกมา ฮั่วหยวนเจี่ยกล่าวอย่างเศร้า
เสียใจว่า ขณะนี้ร่างและศีรษะของหวังจื่อปินแยกอยู่คนละที่ ตายอย่างไม่
สงบสุข เขาต้องไปยังประตูเมืองด้านหน้า เพื่อเอาศีรษะลงมา เพื่อนำไป
กลบฝังให้ดี

หลิวเอ้อทราบดีว่า การปฏิบัติการในครั้งนี้ ต้องเสี่ยงภัยอย่างใหญ่หลวง
ทหารข้าศึกเฝ้าระวังที่ประตูเมืองด้านหน้าอย่างเข้มงวด แต่ก็ยังคงสนับสนุน
ให้ฮั่วหยวนเจี่ยกระทำเช่นนี้ จากนั้น หลิวเอ้อได้ให้แผนที่ของประตูเมือง
ด้านหน้าและหอบนกำแพงเมืองแก่ฮั่วหยวนเจี่ยแผ่นหนึ่งเพื่อเป็นข้อมูล

เมื่อถึงเวลาดึกสงัด ไม่มีผู้คน ฮั่วหยวนเจี่ยได้มายังใต้หอของประตูเมืองด้าน
หน้า ทหารปีศาจที่เป็นเวรยามเพิ่งเดินจากไป เขาซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของ
เชิงเทิน แหงนหน้ามองขึ้นไป อาศัยแสงจากดวงดาว มองเห็นด้านบนของ
ประตูเมืองอย่างเลือนลาง ที่เชิงเทินมีของที่มีลักษณะสี่เหลี่ยมใบหนึ่งแขวน
อยู่ เขาทราบว่า นั่นคือกรงไม้ที่บรรจุศีรษะของหวังจื่อปินไว้

อดทนรอจนในหัวใจรู้สึกสุดจะทรมาน ฮั่วหยวนเจี่ยถอยออกไปหลายก้าว
ใช้ออกด้วยวิชาตัวเบา เท้าถีบ มือปีนป่าย เหินบินขึ้นไปบนกำแพงเมือง
จนกรงไม้ที่บรรจุศีรษะของหวังจื่อปินอยู่ในมือ จากนั้นจึงใช้ผ้าแพรสีดำผืน
หนึ่ง ที่เตรียมมาพันห่อศีรษะไว้อย่างดี จึงสะพายหลังเอาไว้ การกระทำที่
เทพยดาไม่ทราบ ปีศาจไม่รู้ก็สำเร็จุล่วงไป

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ฮั่วหยวนเจี่ยและหลิวเอ้อก็ร่วมกันกลบฝังศีรษะของหวังจื่อปิน
ทั้งสองคนร้องไห้ด้วยความรวดร้าวใจรอบหนึ่ง จากนั้นหลิวเอ้อดึงกระดาษ
เหลืองใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ปิดบนก้อนหินที่อยู่หน้าหลุมศพ บนกระดาษ
มีอักษรตัวใหญ่อยู่แถวหนึ่ง

สุสานของดาบใหญ่หวังจื่อปิน วีรบุรุษผู้รักชาติ

ความสัมพันธ์ระหว่างฮั่วหยวนเจี่ยและหวังจื่อปิน ถึงแม้จะไม่ได้เป็นเวลาอันยาว
นาน แต่ระหว่างเขาทั้งสองก็มีความผูกพันของความเป็นมิตรสหาย และความ
ผูกพันทางเชื้อชาติอย่างแน่นแฟ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตายของหวังจื่อปิน
ทำให้ฮั่วหยวนเจี่ยที่ยังมีความทุกข์ระทม ยิ่งเกิดความตื่นตัวในการมองเห็นความ
ทุกข์ยากของเพื่อนร่วมชาติ ขณะนี้และหลังจากนี้เขาควรจะทำอย่างไรดี

ปีค.ศ. 1909 หลังจากเทศกาลหยวนเซียว (วันที่ 15 เดือน 1 หลังตรุษจีน 14 วัน
- เซียวหลิบงั้ง) จากการผลักดันของหนงจิ้งซุนและพวก ฮั่วหยวนเจี่ยก็มายังเซี่ยง
ไฮ้

การมายังนครเซี่ยงไฮ้ครั้งนี้ มีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกคือในสมัย
นั้น ทางใต้ของประเทศจีน มีความคิดที่ก้าวหน้ากว่าทางเหนือ ท่าทีในการปฏิวัติ
กำลังลุกลามออกไป ในแต่ละเขตของนครเซี่ยงไฮ้ ไม่มีการก่อตั้งสำนักหมัดมวย
ขึ้นสักแห่ง คาดหวังให้ฮั่วหยวนเจี่ยมาดำเนินการสอน ประการที่สองคือมีจอมพลัง
ชาวอังกฤษมายังนครเซี่ยงไฮ้นามว่า อัลพริน ตั้งเวลาประลองขึ้นที่สวนจาง ใน
นครเซี่ยงไฮ้ กล่าววาจาสามหาว ดูถูกเหยียดหยามว่ายุทธจักรของจีนไร้ผู้คน อีก
ทั้งลงประกาศในหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในนครเซี่ยงไฮ้ว่า "คนจีนใดที่สามารถต่อ
สู้กับเขาได้สิบรอบเข้าออก เขาจะยอมรับความพ่ายแพ้ ทิ้งเวทีประลองไป แต่หาก
ไม่มีใครสามารถล้มเขาได้ ทุกเขตของนครเซี่ยงไฮ้ต้องช่วยกันออกค่าใช้จ่ายใน
การตั้งเวทีที่มีในแต่ละวันเป็นทองร้อยตำลึง เป็นเวลาสามเดือน"

ตามที่กล่าว ทุกเขตของนครเซี่ยงไฮ้ถูกแรงกดดันของชาวอังกฤษ บีบบังคับให้
ต้องยอมรับการออกค่าใช้จ่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ทุกเขตของนครเซี่ยงไฮ้ มีผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ได้ปรึกษากัน
แต่แรกให้รอฮั่วหยวนเจี่ยมาถึงก่อน จึงจัดตั้งเวทีประลองขึ้นหลังหนึ่ง ให้อยู่ตรง
ข้ามกับเวทีประลองของอัลพริน เพื่อเป็นเวทีหลักของชาวจีนในการประลองกับ
ชาวตะวันตกอย่างเปิดเผย

หลังจากที่ฮั่วหยวนเจี่ยถึงนครเซี่ยงไฮ้ได้สองวัน หนังสือพิมพ์ทุกฉบับของนคร
เซี่ยงไฮ้ได้ลงประกาศ เป็นที่สะดุดตาว่า "ฮั่วหยวนเจี่ยได้มานครเซี่ยงไฮ้ เพื่อ
ประลองยุทธ์กับจอมพลังชาวตะวันตก" โดยใช้ตัวพิมพ์ขนาดใหญ่ เพื่อแจ้งแก่
จอมพลังของทุกชาติว่าฮั่วหยวนเจี่ยมาขอประลอง ดังนี้

"ข้าพเจ้า ฮั่วหยวนเจี่ย ขณะนี้ได้ตั้งเวทีประลองขึ้นในนครเซี่ยงไฮ้ ทั่วโลกได้
เยาะเย้ยว่า ประเทศของข้าพเจ้าเป็นประเทศคนขี้โรค ข้าพเจ้าคือคนขี้โรคคน
หนึ่งของประเทศคนขี้โรค ต้องการประลองกับผู้แข็งแกร่งทั่วหล้าสักครั้ง...
มุ่งพิชิตจอมพลังของทุกชาติ หากมีผู้ที่มีหนังทองแดงกระดูกเหล็ก ก็จะทำ
ให้รู้สึกร้อนใจอยากประลองอย่างยิ่ง"





โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 12:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ประวัติจอมยุทธ์ ฮั่วหยวนเจี่ย (ตอน 8)
ชนะโดยไม่ต้องสู้

โดย อ.เซียวหลิบงั้ง (www.thaitajii.com)

(ตอนก่อน)

หลังจากที่คำประกาศได้ตีพิมพ์ออกไป ก็เป็นเรื่องครึกโครมไปทั่วนครเซี่ยงไฮ้
เวทีประลองใหม่ถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว มีลักษณะเป็นเวทีแปดเหลี่ยม บนด้าน
ทิศตะวันออกของสวนจาง ทั้งสี่ด้านของเวทีประลองแขวนไว้ด้วยโคมไฟหลากสี
ปากทางเข้าเวทีประลองแขวนป้ายขวางที่เป็นคำขวัญ เป็นตัวอักษรขนาดใหญ่สี่ตัว
เขียนไว้ว่า "ช่วงชิงเกียรติยศเพื่อประเทศชาติ" ที่เสาทั้งสองต้นแขวนตุ้ยเหลียน
(คำขวัญที่เป็นโคลงกลอน เขียนไว้เป็นคู่ - เซียวหลิบงั้ง) ไว้คู่หนึ่ง แผ่นแรกเขียน
ว่า "ฝ่ามือกวาดคนเถื่อนชาวตะวันตก" แผ่นที่สองเขียนว่า "เท้าเตะคนพาลทะเล
ตะวันออก" (หมายถึงชาวญี่ปุ่น -เซียวหลิบงั้ง) ที่ตรงกลางเวทีข้างบน แขวนคำ
ขวัญว่า "เพื่อชาติ เพื่อประชาชน" เป็นตัวอักษรขนาดใหญ่สี่ตัว

อัลพรินเห็นด้านตรงข้ามสร้างเวทีประลองขึ้นมาอีกหนึ่งหลัง ก็รู้สึกโกรธแค้นอย่าง
ยิ่ง หลังจากวันนั้น ก็ไม่มีชาวจีนคนใดมาขึ้นเวทีเพื่อประลองอีก เขาอยู่บนเวที
ประลองด้วยความรู้สึกหวั่นไหว เห็นว่าผิดท่าอย่างมากแล้ว ขณะนี้ด้านตรงข้ามมี
เวทีประลองขึ้นมาอีกหลังหนึ่ง ดึงดูดชาวจีนทั้งหมดที่ต้องการดูความครึกครื้นไป
ยังด้านนั้นแล้ว อัลพรินบันดาลโทสะแล้วบุกถึงด้านตรงข้าม ลงมือรื้อเวทีประลอง

ลูกศิษย์สองคนของฮั่วหยวนเจี่ยตรงเข้าห้ามปรามขัดขวาง ผลสุดท้ายก็เกิดการ
ต่อยตีขึ้น โชคดีที่ฮั่วหยวนเจี่ยมาถึง ลูกศิษย์ทั้งสองคนของฮั่วหยวนเจี่ยจึงนับได้
ว่าไม่ถึงกับเสียท่า ในที่สุด ผู้แทนของทั้งฝ่ายจีนและอังกฤษออกมาทำการไกล่เกลี่ย

ตัวแทนของฝ่ายอังกฤษ ชื่อพริสลีย์ สามารถพูดภาษาจีนได้ เขากล่าวว่า "พวกเรามี
เวทีประลองแล้ว พวกท่านยังสร้างขึ้นอีกหลัง นี่เพราะเหตุใด" ตัวแทนฝ่ายจีนคือ
หนงจิ้งซุน เขาตอบกลับไปว่า "เวทีประลองของพวกท่าน มุ่งเอาไว้ต่อยตีกับคนจีน
อย่างเดียว แต่เวทีของพวกเรา มุ่งเอาไว้ต่อยตีกับชาวต่างชาติ ทำไมเมื่ออยู่ในผืน
แผ่นดินของประเทศจีน ชาวต่างชาติสามารถสร้างขึ้นได้ แล้วทำไมพวกเราชาวจีน
จึงไม่สามารถสร้างขึ้นได้เล่า"

ผลสรุปของการเจรจาไกล่เกลี่ยคือ ฝ่ายอังกฤษเสนอให้ใช้เงินหนึ่งหมื่นตำลึง วาง
เป็นเดิมพัน หากฝ่ายจีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้จ่ายหนึ่งหมื่นตำลึงแก่ฝ่ายอังกฤษ หาก
ผลกลับกันก็กระทำเช่นเดียวกัน ฝ่ายจีนก็แสดงท่าทีที่เห็นด้วย ทางฝ่ายอังกฤษ
ต้องการให้ทำเรื่องการลงนามเป็นพยานเพื่อค้ำประกัน

ผู้ค้ำประกันฝ่ายจีนคือเจ้าของสวนจาง ผู้ค้ำประกันฝ่ายอังกฤษคือเจ้าของบริษัทที่
บริการโคมไฟฟ้าชื่อ พินซ์ วันประลองยุทธ์กำหนดไว้เป็นวันรุ่งขึ้น ตอนเช้าเวลา
เก้านาฬิกา

ข่าวการประลองยุทธ์ระหว่างฮั่วหยวนเจี่ยและอัลพริน แพร่ออกไปทั่วนครเซี่ยงไฮ้
อย่างรวดเร็ว

เช้าวันรุ่งขึ้น ในสวนจางเต็มไปด้วยคลื่นมนุษย์ และแล้วก็ถึงเวลาเก้านาฬิกาเช้า แต่
ไม่เห็นแม้แต่เงาของอัลพรินและพริสลีย์ซึ่งเป็นผู้แทนฝ่ายอังกฤษ ทางฝ่ายจีนได้ส่ง
คนไปหาที่ภัตตาคารลิ่วกั๋ว จึงทราบว่าอัลพรินหนีไปประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่กลางดึกเมื่อ
คืนนี้แล้ว ตามที่เล่ากัน ในวันที่อัลพรินบุกเข้าไปรื้อเวที ก็ได้ต่อสู้กับฮั่วหยวนเจี่ยไป
แล้ว ทราบว่าตนเองสู้ฮั่วหยวนเจี่ยไม่ได้ ดังนั้นจึงเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็วราวกับใต้
ฝ่าเท้าทาน้ำมันไว้

ชาวจีนรู้สึกบันดาลโทสะขึ้นมา กลุ่มคนเข้าล้อมพินซ์ผู้เป็นคนค้ำประกัน ถามว่าคำพูด
ของคนอังกฤษ ที่แท้เชื่อถือได้หรือไม่ เรียกตนเองว่าเป็นผู้มีอารยธรรมมาตลอดเวลา
แล้วที่พูดอย่างนี้ เรียกว่าพูดแบบมีอารยธรรมหรืออย่างไร ถึงคราวเคราะห์ของพินซ์
แล้ว เขาเองก็ไม่คิดที่จะยอมจ่ายเงินเดิมพันจำนวนหนึ่งหมื่นตำลึง จึงหันไปอธิบาย
ให้ฮั่วหยวนเจี่ยฟังว่า "ข้าพเจ้ารับเป็นผู้ค้ำประกันของฝ่ายอังกฤษ ข้าพเจ้ารับผิดชอบ
ในสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดออกไป แต่ว่า เงินจำนวนหนึ่งหมื่นตำลึงนี้ ตกลงกันไว้ว่าฝ่ายของ
ผู้แพ้เป็นผู้จ่ายเงินก้อนนี้ หลังจากปรากฏผลแพ้ชนะในการประลองยุทธ์ แต่การประลอง
ยุทธ์ยังไม่เกิดขึ้น เพียงแต่เป็นการผิดนัด ข้าพเจ้ายินดีชดเชยให้เป็นเงินหนึ่งพันตำลึง"

ฝ่ายจีนรีบกล่าวว่า เงินหนึ่งพันตำลึงก็พอแล้ว แตอัลพรินได้เคยกล่าวด้วยวาจาอันคลุ้ม
คลั่ง ทำให้ชาวจีนต้องอัปยศอดสู ฉะนั้นจึงต้องการให้พินซ์ลงประกาศในหนังสือพิมพ์
ยอมรับว่า ชาวจีนไม่ใช่คนขี้โรค เป็นบุคคลที่แข็งแกร่งและมีจิตใจตรงไปตรงมา เป็น
สุภาพบุรุษที่มีวาจาสัตย์ พินซ์รีบกล่าวว่า "วาจาที่อัลพรินกล่าวไว้ ข้าพเจ้าไม่รับผิดชอบ"

กลุ่มชาวบ้านจึงล้อมพินซ์เป็นชั้นๆ เอาไว้อย่างหนาแน่น บีบบังคับให้เขาเป็นตัวแทน
ของอัลพรินกล่าวคำขอโทษกับชาวจีน ในใจของพินซ์คิดออกไปจากสถานที่นี้ ในที่
สุดกล่าวอย่างหน้ามุ่ยว่า "ได้ ข้าพเจ้าเป็นตัวแทนไอ้ปีศาจน้อยอัลพริน ถอนคำพูดที่
คลุ้มคลั่งนั้น ชาวจีนคือผู้ที่มีอุดมการณ์อันเข้มแข็ง คุณฮั่วหยวนเจี่ยได้รับชัยชนะอย่าง
หมดจดโดยไม่ต้องประลองยุทธ์" การเปรียบมวยในครั้งนี้ ถึงแม้กล่าวได้ว่าทำให้ศักดิ์
ศรีของชาวจีนสง่างามขึ้นมา แต่ถึงที่สุดแล้วก็ไม่ได้มีการต่อสู้กันขึ้น

เดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1910 ฮั่วหยวนเจี่ยได้ไปนครเซี่ยงไฮ้พร้อมกับลูกศิษย์คือหลิว
เจิ้นเซิงเป็นครั้งที่สอง ได้ทำการติดต่ออยู่หลายครั้ง เพื่อนัดขึ้นเวทีประลองยุทธ์กับ
อัลพรินที่สวนจางอีกครั้ง โดยทำสัญญาด้วยการเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แต่อัลพรินเกรง
กลัวฝีมือยุทธ์อันสูงส่งของฮั่วหยวนเจี่ย สุดท้ายก็ยังคงผิดนัดไม่มาอีกเช่นเดิม





โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 12:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว








ของจริง A Hero of China- Huo Yuan Jia


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2010, 12:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 19:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว





แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 05 มี.ค. 2010, 20:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มี.ค. 2010, 20:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 05 มี.ค. 2010, 20:40, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มี.ค. 2010, 23:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 พ.ค. 2007, 08:24
โพสต์: 56


 ข้อมูลส่วนตัว


...


แก้ไขล่าสุดโดย ช้างชูธง เมื่อ 10 มี.ค. 2010, 13:28, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 08:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




5316-12.jpg
5316-12.jpg [ 68.08 KiB | เปิดดู 3813 ครั้ง ]
บ้านของ หว่อง เฟ ห่ง หรือ หวง เฟยหง พร้อมหุ่นจำลอง หวงเฟยหง คนไข้ และ เมียคนที่4 :b13:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 10 มี.ค. 2010, 08:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 95 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร