วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 02:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 21:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 11:36
โพสต์: 5

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากสอบถามเกี่ยวกับ บุญ และ บาป หน่อยคะ ต้องกราบขออภัยด้วยคะ ที่เรื่องจะเขียนต่อไปนี้ค่อนข้างยาว

เรื่องมีอยู่ว่า ดิฉันทำงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งซึ่งมีสิทธิสวัสดิการเบิกค่ารักษาพยาบาลบิดามารดาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ถ้าท่านเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลรัฐบาลเท่านั้น ครอบครัวของดิฉันมีฐานะปานกลาง ไม่ยากจนและไม่ร่ำรวย มีอยู่วันหนึ่งดิฉันอยากเปลี่ยนงาน จึงได้ปรึกษาเรื่องนี้กับทุกคนในบ้าน ถ้าเกิดว่าดิฉันลาออกจากงานนี้ แล้วหันเหไปทำงานที่รักและชอบมากกว่า หลังจากนั้นดิฉันจะออกบวชชี เพราะเคยเข้าวัด ฝึกนั่งวิปัสสนา แล้วรู้สึกสงบ ร่มเย็น เลยอยากบวชตลอดเพื่อศึกษาธรรมะ พ่อแม่จะคิดอย่างไรบ้าง ดิฉันถามพ่อแม่ด้วยคำถามหนึ่ง จากความเป็นห่วงเพราะน้องสาวดิฉันทำงานภาคเอกชนว่า "ถ้ายามพ่อแม่แก่เฒ่า สมมติวันหนึ่งเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา จะพอมีเงินรักษาไหม" แน่นอนว่าดิฉันต้องเลี้ยงดูท่าน ให้พวกท่านสุขสบาย และไม่สร้างภาระหนักใจให้แก่ท่าน" ที่ดิฉันถามอย่างนี้เพราะเคยคุยกับพี่ที่สนิทสนมกัน ซึ่งดิฉันไม่ได้เล่าเรื่องจะเปลี่ยนงานใหม่บอกเพียงแต่ว่าจะไปบวชชี พี่คัดค้านเรื่องการลาออกของดิฉัน แล้วกล่าวว่าดิฉันเชิง "อกตัญญูไม่ทดแทนบุญคุณของบุพการีที่ท่านเลี้ยงดูเรามา" ซึ่งดิฉันได้แต่นิ่งอึ่งไป

ภายหลังที่คุยกับพ่อแม่ ซึ่งพวกท่านไม่คัดค้านดิฉัน แต่คุณแม่ท่านเอาแต่นิ่งเงียบไป ฝ่ายคุณพ่อนั้นท่านสนับสนุนเต็มที่ ท่านบอกว่า "ถ้าทางที่ดิฉันเลือกคิดว่าดีแล้ว พ่อก็ไม่ว่าอะไรลูก ขอให้ลูกเลี้ยงดูตัวเองได้ พ่อก็หมดห่วงแล้ว" แล้วยังพูดอีกว่า "ถ้าลูกคิดว่าไปทำงานตรงนั้นแล้วมีความสุขก็ไปเถอะ พ่อไม่ว่า" แต่แม่ของดิฉันกลับพูดประโยคหนึ่งขึ้นมา ซึ่งทำให้ดิฉันรู้สึกบาปในใจคะ "ลูกไม่ต้องห่วงแม่หรอก ถ้าแม่ไม่มีเงินรักษา แม่ก็ไปเข้าโรงพยาบาลอนาถาได้" แม้น้ำเสียงจะราบเรียบ จนไม่รู้ว่าท่านประชดหรือไม่ วินาทีนั้นดิฉันก็มีความรู้สึกเหมือนก้อนหินมาทับตัว ดิฉันไม่เคยคิดที่จะไม่เลี้ยงดูพวกท่าน เพียงแต่งานใหม่ของดิฉัน (ถ้าดิฉันได้ไปทำจริงๆ) เงินเดือนน้อยกว่า สิทธิสวัสดิการน้อยกว่า แล้วอาจเบิกค่ารักษาพ่อแม่ไม่ได้ แต่ได้ทำงานในสิ่งที่เป็นอุดมการณ์ความตั้งใจของตัวเอง

ดิฉันไม่มีครอบครัว โสด มีเพียงพ่อแม่เท่านั้นที่ต้องดูแล และที่บ้านมีโรงงานของตัวเอง เรื่องกำไรพออยู่ไปวันๆ ไม่ได้รวยอะไรคะ เพราะเหตุการณ์ปี 2540 ทำให้เราต้องชำระหนี้สินไปตลอด คุณพ่อจึงมีนโยบายไม่อยากให้คนในครอบครัวต้องเสี่ยงทำงานในโรงงานกันหมด ดิฉันจึงไปหางานข้างนอก น้องสาวก็เหมือนกัน แต่น้องสาวจะมาช่วยโรงงานนี้ทุกวันหยุด ดังนั้นน้องสาวจึงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการสานต่อกิจการของพ่อคะ เนื่องจากดิฉันเป็นคนไม่คล่องตัวเท่าน้องสาว จึงไม่ค่อยเป็นห่วงในเรื่องของทางโลกมากนักถ้าดิฉันจะบวชชีไม่สึกเลย

ถ้าการบวชชีของเราเป็นการสร้างบุญให้แก่บิดามารดา แล้วสามารถทดแทนความกตัญญูนี้ได้ แล้วการที่ดิฉันจะย้ายงานไป โดยที่อาจทำให้พ่อแม่ไม่ได้สิทธิ์ในการเบิกค่ารักษาพยาบาลดิฉันจะบาปไหมคะ...หรือดิฉันควรจะจำยอมอยู่ในสิ่งที่ไม่ชอบ เพียงเพื่อ "สิทธิสวัสดิการ" อย่างพี่ๆ ในองค์กรของดิฉันมักบอกให้ดิฉันกตัญญูทดแทนบุญคุณบุพการีด้วยการอยู่ที่นี้ ทำให้พวกท่านมีความสุข เลี้ยงดูพวกท่าน อย่าเห็นแก่ตัวไปบวชชี โดยทิ้งพ่อแม่ไว้ข้างหลัง พี่บางคนยอมรับกับดิฉันเองว่า "ที่ยังคงทำงานที่นี้ แม้เงินเดือนจะน้อย แต่เบิกค่ารักษาพยาบาลแม่ได้จึงต้องอยู่" ก็มีคะ

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนที่ได้อ่านถึงบรรทัดนี้จากใจค่ะ ขอบคุณคะ :b12:


โพสต์ เมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 23:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ธ.ค. 2008, 23:00
โพสต์: 48

ที่อยู่: บางแค

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าพ่อแม่ยินยอมด้วยความเต็มใจก็บวชเถอะครับ อนุโมทนาด้วยครับ

แต่ถ้าไม่ก็ ทำกิจในการดูแลท่านให้เรียบร้อยก่อนดีกว่าครับ ลางานไปปฏิบัติ7วันก็ได้ ยังไงเสียก็เนื้อนาบุญอยู่ใกล้ตัว^^

.....................................................
คำที่ข้าพเจ้าได้กล่าวอ้างมาทั้งหมดนี้ ส่วนมากเป็นของครูบาอาจารย์ ผู้เขียนหนังสือต่างๆ พ่อแม่ ญาติ ผู้มีคุณและเพื่อนๆของข้าพเจ้า สิ่งที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไปนั้น ถ้าผิดพลาดอย่างไรก็ขอความกรุณาชี้แนะด้วย และบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้แจกจ่ายธรรมทานนั้นขอให้ผลบุญนั้นส่งถึง บุคคลที่ได้กล่าวมา ขอให้ท่านทั้งหลายมีความสุข ข้าพเจ้าขอถวายเป็นพุทธบูชา


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 00:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว




dhamma01.jpg
dhamma01.jpg [ 31.68 KiB | เปิดดู 7815 ครั้ง ]
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:
cool

สวัสดีครับ คุณ pladox :b16: :b16: :b16:

ผมขอยกบทความมาให้พิจารณาครับ

ลักษณะของบุญ-บาป

ลักษณะของบุญ มี ๓ ประการคือ
๑. เหตุของบุญ คือการทำความดี ด้วยการให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา
๒. ผลของบุญ คือความสุข คนที่มีความสุขกาย สุขใจ ในชาตินี้และชาติต่อไป คือผลของบุญ ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่ากลัวบุญเลย คำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข”
๓. สภาพของจิต
ได้แก่จิตใจที่สะอาดผ่องใส การที่จิตใจของเราสะอาดผ่องใส ท่านเรียกว่าบุญ ดังคำจำกัดความภาษาบาลีว่า “อตฺตโน สนฺตานัง ปุนาติ วิโสเธตีติปุญฺญัง – สภาพใดที่ชำระสันดานของตนให้สะอาด คือให้บริสุทธิ์ สภาพนั้นชื่อว่าบุญ”

ดังนั้น เมื่อจิตใจผ่องใสขึ้น ถือว่าเป็นบุญแล้ว อย่างเช่นเราฟังธรรม ให้ทาน รักษาศีล สภาพจิตจะสูงขึ้น เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า “ผลของบุญก็คือทำใจให้ประเสริฐขึ้นในทันทีทันใด” ในด้านจิตใจแล้วผลของบุญบังเกิดขึ้นในทันทีทันใดที่เราได้ทำบุญ เหมือนการอาบน้ำ พออาบเสร็จร่างกายก็สะอาดทันที บุญตามหลักของพระพุทธศาสนาจึงมี ๓ อย่าง สรุปออกมาเป็นคำจำกัดความง่าย ๆ ว่า บุญก็คือการทำความดีที่ทำใจให้สะอาดผ่องใส แล้วส่งผลเป็นความสุขความเจริญ

ลักษณะของบาป มี ๓ ประการเช่นกันคือ
๑. เหตุของบาป ได้แก่การกระทำทุจริต ทั้งกาย วาจา ใจ
๒. ผลของบาป คือความทุกข์ ความเดือดร้อน ทั้งในชาตินี้และชาติต่อไป
๓. ตัวของบาป คือจิตใจที่สกปรก เศร้าหมอง ท่านจึงกล่าวว่า ข้อเสียของบาปคือทำให้ใจตกต่ำลง แล้วส่งผลเป็นความทุกข์ ความเดือดร้อน

บาปเราไม่ต้องการ เราต้องการบุญ เราจึงมาทำบุญเพื่อสางบาปออกไป อันจะส่งผลเป็นความสุข ความเจริญ คนที่สั่งสมบุญไว้มาก ๆ จึงเกิดเป็นบารมี ซึ่งบารมีนั้นสามารถให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่น่าปรารถนา พระพุทธเจ้าได้สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ และทรงบำเพ็ญสิ่งต่าง ๆ ได้มาก เพราะพระองค์มีบารมีมากล้น แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ก็ทรงสั่งสมบุญไว้มาก จึงเกิดเป็นพระบารมี พระองค์มีพระบารมีมาก จึงสามารถคุ้มครองพระองค์เอง พสกนิกร และประเทศชาติบ้านเมืองของเราให้สงบสุขได้ บุญที่เราได้สั่งสมไว้จะก่อผลให้แก่เราทั้งชาตินี้และชาติหน้าแน่นอน ไม่ว่าเราจะต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม เมื่อเราได้สั่งสมบุญ บุญก็ต้องเกิด ในพระสูตรที่ว่าด้วยการสั่งสมบุญที่กล่าวไว้ใน นิธิกัณฑสูตร แห่งคัมภีร์ขุททกนิกาย พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า


สุวณฺณตา สุสรตา สุสณฺฐานัง สุรูปตา
อธิปจฺจัง ปริวาโร สพฺพเมเตน ลพฺภติ

แปลว่า ความเป็นผู้ที่มีผิวพรรณผ่องใสก็ดี การเป็นผู้มีเสียงไพเราะน่าฟังก็ดี การเป็นผู้มีรูปทรงสมส่วนก็ดี การมีรูปงามก็ดี การเป็นใหญ่เป็นโตก็ดี การมีบริวารมากก็ดี สิ่งทั้งหมดนี้ คนจะได้ก็ด้วยอำนาจบุญ


หรือจะพูดโดยสรุปก็คือ สมบัติในมนุษย์ก็ดี สมบัติในสวรรค์ก็ดี สมบัติคือพระนิพพานก็ดี สิ่งทั้งหมดนี้คนจะรับได้ก็ด้วยอำนาจบุญ เมื่อเรามาสั่งสมบุญ ด้วยการละบาป บำเพ็ญบุญ ก็ถือว่าทำจิตใจให้สูงขึ้น จิตเป็นตัวเก็บบุญและบาปเอาไว้ การมาปฏิบัติธรรมนั้นย่อมทำจิตใจของเราให้สูงขึ้น เมื่อจิตสูงขึ้นเราก็จะต้องได้รับความสงบสุขและสิ่งน่าปรารถนา เพราะฉะนั้น ขอให้ตั้งใจที่จะขจัดความชั่วออกไป สั่งสมความดีให้เกิด อันเป็นหน้าที่ของเราผู้นับถือพระพุทธศาสนาทุกคน ถ้าทำได้ก็ถือว่าประเสริฐ ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา

(จากบางส่วนหนังสือ ชำระใจให้ไร้ทุกข์...พระธรรมวิสุทธิกวี)


หวังว่าบทความคงมีประโยชน์ คงช่วยให้ความกระจ่างเรื่องบุญ-บาป ไม่มากก็น้อย

:b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:

เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8: smiley

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล


แก้ไขล่าสุดโดย ningnong เมื่อ 02 มี.ค. 2010, 00:40, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 00:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


พ่อแม่ที่คิดว่ารักลูก...ทำเพื่อลูก
ทุกอย่างสรรหาแต่สิ่งที่ดีๆให้ลูก....แต่บางครั้งลืมนึกไปว่า
สิ่งที่ให้ลูกๆนั้น...เขาชอบหรือเราชอบ.... นี่ก็เป็น
ความรักอีกชนิดหนึ่งที่ปนด้วยความ "อยากให้เป็น"
ซึ่งทำให้คนที่เรารักเป็นทุกข์มากกว่าสุข :b14:

แทนที่จะมาคิดว่าต้องเตรียมเงิน...เตรียมสวัสดิการ
ไว้เผื่อไม่สบายยามแก่เฒ่า...เป้นการวางแผนการณ์
ระยะไกลเกินไป....ทำไมไม่คิดว่าเราจะมีโอกาสอยู่
จนถึงเวลนั้นไหม?.....หรือถ้ามีโอกาสได้อยู่
แทนทีจะเตรียมตัวเข้าโรงพยาบาล....แต่หันกลับมา
เอาใจใส่ตัวเอง....ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดี
ไม่ดีกว่าหรือ?...ทำไมถึงเอาอนาตตที่ยังมาไม่ถึง
มาเป็นจุดหลักในการตัดสินในปัจจุบัน...
ไม่เข้าใจจริงๆ (ความคิดเห็นส่วนตัวนะค่ะ) :b7:

ขออนุโมทนาความคิดที่อยากจะสละชิวิตทางโลก
เข้าสู่ทางธรรม....ตอนนี้ถ้ายังดำเนินชีวิตตามที่
ตั้งใจไว้ไม่ได้....ก็ทำหน้าทีลูกที่ดีไปก่อน
ขอให้มีความตั้งใจที่แน่วแน่....ในอนาคต
คุณคงได้บวชตามที่ใจปรารถนา..เอาใจช่วยนะค่ะ :b8:

เจริญในธรรม :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 01:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คิดดี..ทำดี..ย่อมได้ดี..ครับ

:b8: :b8: :b8:

ก็ในเมื่อ..ที่สุด..ก็ปรารถณาการบวช..ใยต้องเปลี่ยนงาน..ให้วุ่นวายละครับ

เมื่อ..อยากไปทางธรรม..ทางโลกก็บำรุงธาตุขันธ์เพียงแค่พอดี..พองาม..ก็พอ..ไม่ต้องถึงกับพอใจ..ก็ได้มั้งครับ??

:b12: :b12: :b12:


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 10:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7513

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
...สวัสดีค่ะ...คุณpladok...
...อะไรที่ทำแล้วเดือดร้อนใจภายหลังนั่นคือทุกข์...
...จงเลือกกระทำในสิ่งที่ตนเองไม่รู้สึกทุกข์ใจในภายหลัง...
...การทำให้ชีวิตนี้มีความสุขขึ้นกับการเลือกทำสิ่งที่ถูกและเหมาะกับตัวเอง...
...บุคคลที่เกี่ยวข้องคือบิดามารดาก็เป็นบุคคลที่ให้เลือดเนื้อและชีวิต...
...เราทำท่านก็ได้...อย่างงานรัฐวิสาหกิจก็เบิกค่ารักษาได้ถือเป็นบุญที่ทำมาแล้ว...
...ได้มาเสวยผลบุญนั้น...เงินมากๆไม่ได้แปลว่าจะทำให้ทุกข์ลดลงแล้วสุขเพิ่มมากขึ้น...
:b20:
...เพราะความโลภไม่มีเมืองพอ...การปฏิบัติธรรมจริงๆแล้วคือให้เราถึงคำว่าพอใจ...
...การพอใจในทางธรรมนั้น...คืมีไว้เพื่อรักษาร่างกายให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ไม่ลำบาก...
...และมีไว้เพื่อทำบุญสร้างบารมี...จำนวนเงินไม่ไช่จำนวนบุญ...บุญขึ้นกับจิตที่พร้อม...
...แม้จะลงแค่แรงกายก็ขึ้นชื่อว่าได้บุญเหมือนคนที่ทำบุญด้วยเงิน...
...ลองคิดดูว่า...เงินที่หามาได้มากๆ...แต่เมื่อต้องควักจ่ายไปกับการรักษาอาการเจ็บป่วย...
...หาเท่าไหร่ก็ไม่พอจ่ายหรอกค่ะ...มีแต่จะหมดกำลังใจเพราะใช้เวลาเก็บตั้งนาน...
:b27:
...ในการปฏิบัติธรรมนั้นใช้กายและใจของตนเองปฏิบัติ...
...ไม่เลือกกาล เวลา และสถานที่ การบวชชีเป็นการถือศีลมากกว่า 5 ข้อ...
...ถ้าคุณมีศีล 5 โดยปกติโดยไม่มีความทุกข์ใจในการรักษา...
...การรักษาศีลเพิ่มจำนวนข้อได้มากข้อก็นับว่าสร้างกุศลได้มาก...
...ถ้าศีล 5 ข้อยังรักษาไม่ค่อยได้...การไปรักษามากข้อกับจะทำให้บุญลดลงทุกข์เพิ่มขึ้น...
...สิ่งที่ควรทำคือการเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม...การบวชใจจึงสำคัญกว่าการบวชกาย...
Kiss
Lips Lips Lips


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 02 มี.ค. 2010, 10:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 12:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2007, 11:39
โพสต์: 85

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



จะตัดสินใจ ยังไง แบบไหน ผมมีข้อมูลมาประกอบการพิจารณาครับ


พระผู้มีพระภาค ตรัสไว้ในมาตาปิตุคุณสูตร

ในทุกนิบาต อังคุตตรนิกายว่า


"ภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวการทำตอบแทนว่าจะทำได้ง่าย แก่ท่านทั้ง ๒.

ท่านทั้ง ๒ เป็นไฉน ?



(ท่านทั้ง ๒) คือ มารดาและบิดา.

ถ้าบุตรพึงประคับประคองมารดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง, พึงประคับประคองบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง,

เขามีอายุ ๑๐๐ ปี เป็นอยู่ (มีชีวิต) ๑๐๐ ปี.

และเขาพึงทำการบำรุงมารดาบิดานั้นด้วยการอบกลิ่นการนวด การให้อาบน้ำ และการดัด,

และท่านทั้ง ๒ นั้น พึงถ่ายปัสสาวะและอุจจาระบนบ่าทั้ง ๒ นั้นนั่นแล


ภิกษุทั้งหลาย กิจอย่างนั้น

ยังไม่เป็นอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย.


ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง บุตรพึงสถาปนามารดาบิดาในราชสมบัติ

อันเป็นอิสราธิปัตย์แห่งแผ่นดินใหญ่นี้ อันมีรัตนะ ๗ ประการมากมาย,

ภิกษุทั้งหลาย กิจอย่างนั้นยังไม่เป็นอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย.


ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุอะไร ?

ภิกษุทั้งหลายเพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย.



ภิกษุทั้งหลาย ก็บุตรใดแล

ยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานดำรงตั้งอยู่ในสัทธาสัมปทา,

ยังมารดาบิดาผู้ทุศีล ให้สมาทานดำรงตั้งอยู่ในจาคสัมปทา,

ยังมารดาบิดาผู้ตระหนี่ ให้สมาทานดำรงตั้งอยู่ในสีลสัมปทา,

ยังมารดาบิดาผู้มีปัญญาทรามให้สมาทานดำรงตั้งอยู่ในปัญญาสัมปทา,


ภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล

กิจนั้น จึงชื่อว่าเป็นอันบุตรทำแล้ว ทำตอบแทนแล้ว และทำยิ่งแล้ว แก่มารดาบิดา


อนุโมทนาครับ

:b8: :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 13:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 10:36
โพสต์: 32

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การทำงานก็เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งไม่จำเป็นต้องบวชก็ได้ครับ ทำหน้าที่ของบุตรผู้มีความกตัญญูให้ดีที่สุดเท่าที่บุตรนั้นจะทำได้เถอะครับ เรื่องบุญเรื่องบาปวางไว้ก่อนครับ สิ่งที่ต้องทำคือทำหน้าที่ของบุตรที่ดีครับ.....ขอบคุณที่อ่านความคิดเห็นของผมครับ... :b12:


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ pladok เหมือนผมนะครับ
คืออยากจะออกบวชไปเลย ชีวิตนี้เอาเรื่องนี้เรื่องเดียวไปเลย
แต่ติดว่าต้องมีภาระอยู่

ผมอยากจะบอกอย่างนี้ครับ
ถ้าเราเข้าใจการเดินทางสายนี้จริงๆ เราจะสามารถปฏิบัติธรรมได้ทุกเงื่อนไข
ถ้าเราเข้าใจ เราบวชได้ทุกที่ ทุกเวลา
แม้แต่กระเทยทอม หรือคนพิการขยับตัวไม่ได้ ก็ไม่มีปัญหาเลย
ขอแค่เป้นมนุษย์ มีลมหายใจ มีสติสตังรู้เรื่องรู้ราว มีความเพียร กับความรู้ที่ถูกต้อง
ก็สามารถปฏิบัติธรรมให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้

หลายคนเอาตัวเองไปเทียบพระพุทธเจ้าว่า
ดูพระองค์สิ ท่านตัดครอบครัวหนีลูกเมียและพ่อไปบวช
เลยจะเอาอย่างมั่ง

ไม่คิดเลยว่าบารมีพระองค์กับเรานั้นผิดกันมหาศาล

มีคำอธิบายง่ายๆเรื่องบุญบารมี
เช่น มีคนจน กับเศรษฐี ขับรถชนจนเดือดร้อยเสียหาย
ถ้าเกิดขึ้นกับคนจน แค่เสียหายเพียงเล็กน้อยก็กลายเป้นปัญหาใหญ่
เดือดร้อนวุ่นวายใจ

แต่ถ้าเป้นคนรวย คนที่มีพร้อมทุกอย่าง ต่อให้ขับรถชนคนตาย
ก้ยังใช้เงินทองที่มีในการทำเนาความเสียหายของผู้คนให้เขาได้รับความพอใจได้

พระพุทธเจ้าท่านทิ้งพ่อ ถามว่าพ่อเดือดร้อนหรือ
พระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระราชา ท่านจะเดือดร้อนอะไรมาก
พระมเหสีก็ดี พระราหุลก็ดี ก็เกิดในวรรณะกษัตริย์ ไม่มีคำว่าตกทุกข์ได้ยาก
บ้านเมืองอุดมสมบูรณ์ สงบเรียบร้อย ถึงขนาดสร้างปราสาทสามฤดูได้

คนที่ไม่ได้สะสมมามากมาย มีหรือจะได้มาเป้นพระโอรสของประเทศที่สงบ
เกิดในครรภ์ของวรรณะกษัตริย์ พรุ่งพร้อมด้วยทรัพย์ทั้งหลาย
แต่เพราะพระพุทธเจ้าสะสมบารมีมาไม่รู้กี่ชาติ
บารมีทุกอย่างถึงได้เต็มทรรศเต็มที่เอาในพระชาติสุดท้าย
ร่ำรวยทั้งกายทั้งใจ ไร้ที่ติ เพราะบารมีมันเต็มที่จริงๆ

ใครคิดจะทิ้งภาระไปบวช ขอให้คิดให้ดี

ท่านพุทธทาสท่านว่า "หน้าที่" นั่นแหละ"ธรรมะ"
กล่าวได้ว่า ทิ้งหน้าที่คือทิ้งธรรมะ


ใครบอกว่าเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่แล้วปฏิบัติธรรมไม่ได้
ไม่ได้บวชแล้วไม่ถึงกระแสพระนิพพาน นี่ขอบอกว่าไม่จริง

ดูในพุทธประวัติเอาเถิด คนมากมายบรรลุโสดาบัน โดยไม่ต้องบวช
ขนาดโจรยังบรรลุโสดาบันได้ ไม่เห้นว่าจะต้องบวช
มีพระอีกจำนวนมากที่บวชหลังจากบรรลุธรรมแล้ว
แสดงว่าก่อนหน้านั้น ไม่ได้บวช แต่ท่านบรรลุธรรมได้

เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่นั่นแหละ บารมี
พ่อแม่ขี้บ่น พ่อแม่ดื้อ พ่อแม่เอาแต่ใจนั่นแหละ "นาบุญ"
ให้ได้ฝึกขันติบารมี ฝึกเก็บปากเก็บคำ ฝึกเก็บจิตเก้บใจ ฝึกศีลบารมี อุเบกขาบารมี
สารพัดบารมี ฝึกเอากับพ่อกับแม่
แล้วเป็นศีลเป็นธรรมที่ถึงอกถึงใจ กระแทกกิเลสได้ดี
เพราะธรรมดาถ้าคนอื่นมาพูดมาทำไม่ดีกับเรา เรายังรู้สึกลึกๆว่านี่คนอื่น ก้ยังวางเฉยได้ง่าย
แต่พอเป็นพ่อเป็นแม่นี่แหละ ใจมันยอมไม่ได้
ด้วยความจริงอันนี้แหละ ได้ฝึกบารมีอย่างถึงอกถึงใจก็เพราะเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่

และเพราะเราประพฤติธรรมในระหว่างเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่นี่แหละ
เมื่อกายเมื่อใจของเรามันแน่นแฟ้นแม้นมั่นในธรรม การจะคิด จะพูด จะทำอะไร
มันก็แตกออกมาจากใจที่ทรงด้วยศีลด้วยธรรม เป้นศีล เป้นธรรม ไปทั้งหมด
แสดงออกมาสู่ผู้คนรอบข้าง เช่นว่า พ่อแม่ ได้ลิ้มรสของผู้ประพฤติธรรม
ได้ลิ้มรสประโยชน์และความสุขในพระธรรมจากผู้ประพฤติธรรม

ผมยกย่องว่านี่แหละเป็นภิกษุ ใจที่บวชแล้วนี่แหละธรรมทายาท
เป้นผู้ประกาศความมีอยู่ เป้นจริง และได้ผล ของพระธรรมของพระพุทธเจ้า
ทำได้อย่างนี้ ทำไมจะไม่ใช่พระธรรมทายาท
เป้นพระธรรมทายาทได้โดยไม่ต้องเรียกร้องความเป็นหญิงชายชาติเชื้อเผ่าพันธุ์
คำเรียกขาน ชุดที่ใส่ สถานะในสังคม อะไรเลย
หรือกล่าวได่้ว่า เป้นธรรมทายาทได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงสมมุติบัญญัติอันใดเลย
พ้นจากสมมุตินี่แหละ ที่สุดแห่งธรรม

ถ้าเราบวช เราหนีหายไปตามทางของเรา
แล้วเราคิดว่าเราตอบแทนพ่อแม่แล้ว ขอให้ทราบว่าคิดผิด
ขอให้คิดใหม่ โดยลองดูพระพุทธเจ้าท่านพูดดังต่อไปนี้




อ้างคำพูด:
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 617&Z=1840
[๒๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวการกระทำตอบแทนไม่ได้ง่ายแก่ท่านทั้ง ๒

ท่านทั้ง ๒ คือใคร คือ
มารดา ๑
บิดา ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บุตรพึงประคับประคองมารดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง พึงประคับประคองบิดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง
เขามีอายุ มีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และเขาพึงปฏิบัติท่านทั้ง ๒ นั้นด้วยการอบกลิ่น
การนวด การให้อาบน้ำ และการดัด
และท่านทั้ง ๒ นั้น พึงถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะบนบ่าทั้งสองของเขานั่นแหละ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำอย่างนั้นยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย


- แม้ว่าคุณจะเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ไว้บนบ่าอย่างดีตลอดร้อยปี
ขี้เยี่ยวก็บนบ่า ดูแลไม่ให้ลำบากเลยตลอดร้ิอยปี
ก็ยังไม่ชื่อว่าตอบแทน

อ้างคำพูด:
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อนึ่ง บุตรพึงสถาปนามารดาบิดาในราชสมบัติ อันเป็นอิสราธิปัตย์
ในแผ่นดินใหญ่อันมีรตนะ ๗ ประการมากหลายนี้
การกระทำกิจอย่างนั้น ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้วหรือทำตอบแทนแล้วแก่มารดาบิดาเลย
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย

- แม้จะเก่งกล้าสามารถจนทำให้พ่อให้แม่เป็นได้ถึงพระเจ้าแผ่นดิน
ผู้ครองแคว้นอันอุดมย์สมบูรณ์ ก้ยังไม่ชื่อว่าตอบแทนพ่อแม่


อ้างคำพูด:
ส่วนบุตรคนใด
... ยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธา ให้สมาทานตั้งมั่นในศรัทธาสัมปทา
.... ยังมารดาบิดาผู้ทุศีล... ให้สมาทานตั้งมั่นในศีลสัมปทา
.... ยังมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ ให้สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา
.... ยังมารดาบิดาทรามปัญญา ให้สมาทานตั้งมั่นในปัญญาสัมปทา


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้แล การกระทำอย่างนั้น
ย่อมชื่อว่าอันบุตรนั้นทำแล้ว และทำตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดา


การทำให้พ่อแม่หันมามีทาน มีศีล มีธรรม นี่แหละ
พระพุทธเจ้าท่านรับรองว่าเป้นการตอบแทนพ่อแม่
ไม่มีตรงไหนเลยที่ท่านพูดว่า การบวชเป้นการตอบแทนพ่อแม่ ผมท้าให้ไปค้นดูได้


ขออุโมทนาครับ


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 14:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7513

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b6:
อ้างคำพูด:
ชาติสยาม / เขียน
คุณ pladok เหมือนผมนะครับ
คืออยากจะออกบวชไปเลย ชีวิตนี้เอาเรื่องนี้เรื่องเดียวไปเลย
แต่ติดว่าต้องมีภาระอยู่

:b8:
...ขอโมทนากุศลกับท่านชาติ...นะคะท่าน...
:b12:
...แต่ภาราทานังทุกขังโลเก..ภาระทางโลกหนักจริงๆหนอ....
:b27: :b32: :b13:
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 11:36
โพสต์: 5

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณทุกความคิดเห็นนะคะ ทำให้ดิฉันได้เห็นภาพที่กว้างขึ้นและได้เข้าใจในสิ่งที่ดิฉันอาจสับสนอยู่ในขณะนี้ ดิฉันตั้งใจจะบวชชีเมื่อหมดห่วง จริงแล้วดิฉันหมดห่วงในเรื่องของพ่อแม่แล้ว เพราะมีน้องสาวมาช่วยดูแลและสืบสานกิจการโรงงานของพ่อต่อ ส่วนพ่อนั้นก็มีประกันชีวิตแบบสุขภาพที่คุ้มครองถึงอายุ 90 ปี ยกเว้นเพียงแม่ที่ยังไม่มี เราทำประกันสะสมทรัพย์ไว้ส่วนหนึ่งให้พ่อแม่ เมื่อดิฉันบวชชีไป ก็จะมีเงินส่วนนี้ให้พวกท่านคะ ที่ดิฉันคิดในตอนนี้ก็มีเพียงนี้

ส่วนอีกข้อคือดิฉันเป็นกังวลเรื่องการเปลี่ยนงาน แล้วอาจเสียสิทธิในการเบิกค่ารักษาพยาบาลให้แก่บิดามารดาได้นั่นเอง ดิฉันอยากย้ายไปทำงานในสิ่งที่เป็นอุดมการณ์ของตัวเอง ซึ่งเงินเดือนน้อยกว่า แต่มีความรัก ชื่นชอบและไม่เสียใจที่จะเลือกไปทำงานนั้นเลยคะ :b16: นี่แหละคะเป็นประเด็นที่ดิฉันได้เขียนกระทู้นี้ออกมา

สุดท้ายนี้...ขอบคุณอีกครั้งจากใจจริงคะ smiley


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


จขกท. หาทางออกได้ดี :b1: :b1: :b1:


โพสต์ เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 21:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่บาปทั้งสองข้อนะคะ แต่ต้องแยกกันให้ถูก จุฬาภินันท์ว่าคุณกำลังหนีปัญหามากกว่า ปัญหาที่คุณปิดไม่ให้ใครรู้ การที่คุณจะไปบวชก็เพื่อหนีมัน

การจะเข้าอยู่ใต้ร่มชินบัญชรหาความสงบทางใจทำโดยไม่ต้องบวชก็ได้ค่ะ ทำสมาธิเองที่บ้านก็ได้ วันหยุดก็ไปวัดไปปฏิบัติก็ได้ จุฬาภินันท์ว่านั่นน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดนะคะ

ส่วนการจะหางานใหม่ที่ชอบ ไม่น่าจะมีปัญหาะไรนี่คะ พ่อแม่และน้องของคุณคงเข้าใจค่ะ


โพสต์ เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 02:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 11:36
โพสต์: 5

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้อ่านความคิดเห็นของคุณจุฬาภินันท์แล้ว ต้องขออนุญาตกลับมาตอบอีกครั้งคะ เรื่องการหนีปัญหา ยอมรับว่าอาจจะจริงหรือไม่เชิง เกิดจากความเบื่อหน่ายในชีวิตทางโลกมากกว่าคะ หรืออาจเป็นปัญหาด้านภายในจิตใจ เลยอยากเขียนออกมาเพื่อเล่าประสบการณ์สิ่งที่ดิฉันเองคิดอยู่ ดังนี้

ความสุขในโลกปุถุชนอยู่ไม่นานก็หายไป บางคนอาจต้องหาเงินซื้อมา เพื่อสิ่งที่เป็นความสุขเหล่านั้น แต่พอได้มาสุขไม่นานก็จางหายไป สุขที่แท้จริงคืออะไร ทำไมคนที่มีเงินมากน่าจะสร้างความสุขได้แต่กลับยังมีความทุกข์เช่นเดียวกับเราอยู่ ทำไมคนจึงต้องเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมในอดีต นี่คือคำถามที่ดิฉันมักตั้งไว้เสมอและเป็นประเด็นที่ทำไมถึงคิดอยากออกบวช เพราะอยากหาคำตอบในสิ่งเหล่านี้

ดิฉันเคยรู้สึกเบื่อ เบื่อในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเบื่อชีวิตนะคะ แต่เบื่อกิจวัตรที่ต้องทำในทุกวัน ตื่นเช้าเราต่างรีบวิ่งขึ้นรถเมล์เพื่อไปให้ทันที่ทำงาน ต้องทนสูดกลิ่นท่อไอเสีย เราต้องทำงานกองเอกสารที่เหมือนเดิมจำเจ เราต้องรีบกินข้าวเพื่อไปทำงานต่อ เราต้องมีสังคมเพื่อไม่ทำให้ตัวเองกลายเป็นคนโดดเดี่ยว เราต้องเข้าหาคนเพราะหน้าที่ที่ต้องกระทำ บางครั้งเมื่อเราเข้ากลุ่มก็ต้องมานั่งฟังเรื่องนินทากาเลระหว่างคน หรือบางครั้งต้องแย่งโอกาสที่ดีกว่า ทุกอย่างกลายเป็นวัฏจักรของชีวิตไปเสียแล้วในยุคปัจจุบัน จึงอยากหลีกหนีความวุ่นวายนี้ไปสู่ความเงียบสงบ พอเข้าวัดรู้สึกสบายใจ ไม่มีกังวล ไม่มีความเครียด ได้ตรึกตรองและพิจารณาตัวเองค้นหาสัจธรรมและชีวิตที่มีความสุขอย่างแท้จริง

สมัยก่อนดิฉันเป็นคนแคร์ความรู้สึกของเพื่อนมาก จนมีวันหนึ่งเพื่อนโกรธดิฉันถึงขั้นตัดขาดความเป็นเพื่อนกัน คราวนั้นดิฉันร้องไห้ไปวันหนึ่ง ภายหลังดิฉันได้คุยกับน้องที่รู้จักกัน น้องบอกว่า "ความรู้สึกของพี่ตอนนี้เหมือนหินก้อนหนึ่งกำลังกดทับตัวพี่อยู่ ทำไมเราถึงไม่ปลดหินก้อนนั้นโยนทิ้งไปละ" ดิฉันตอบไปว่า "แต่หินก้อนนี้สำคัญ จะทิ้งก็ทิ้งไม่ลง จะตัดก็ตัดไม่ขาด เพราะเป็นเพื่อนที่ครบกันมานาน" น้องจึงพูดต่อ "ให้พี่คิดว่าเพื่อนคือก้อนหิน ถ้าก้อนหินลงทับตัวพี่ พี่จะทนแบกเอาไว้เหรอ มันหนักนะ ถ้าเป็นผม ผมจะโยนวางหินนั้นลงพื้นทันที" เราถึงฉุกคิดได้ว่า "จริงอย่างน้องว่ามา ถ้าสมมติเพื่อนเป็นก้อนหินก้อนหนึ่ง ในเมื่อหินก้อนขณะนี้มันหนัก แล้วทำไมเราถึงไม่ปล่อยมันลงพื้นบ้างละ ทำไมจึงทนหนักเพื่อแบกหินก้อนนั้นด้วย" ดิฉันจึงนึกได้ว่า น้องกำลังจะบอก 'ให้รู้จักปล่อยวางบ้าง' นั่นเอง

สรุปดิฉันไม่อยากมีความวุ่นวาย ไม่ต้องการรีบเร่ง ไม่ต้องการแข่งขัน และไม่ต้องการแย่งชิงโอกาสหรือตำแหน่งกัน ดิฉันอยากอยู่อย่างพอเพียง อยู่อย่างสงบ อยู่อย่างที่หาความสุขแท้จริงให้กับชีวิตตัวเองได้เท่านั้นเองคะ... :b16:


โพสต์ เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 08:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 06:38
โพสต์: 59

อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมขอออกความเห็นนะครับ

การที่ไปบวชชีเป็นเรื่องที่ดีอยู่ครับน่าอนุโมทนา
แต่สรุป คือ ตอนนี้จะเปลี่ยนงานไปเป็นงานที่รัก
ประเด็นอยู่ที่ว่าเราต้องการอะไร
1.เราต้องการให้ตัวเรามีความสุขจากการทำงาน
หรือ 2.เราต้องการให้พ่อแม่เราไม่ทุกข์ยามท่านเจ็บป่วย

ในการเลือกครั้งนี้ก็ขึ้นครั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับใจของเราต้องการอะไร
ถ้าเราคิดว่า เราทำงานที่เราไม่ชอบเราหงุดหงิด ใจเรามัวหมอง มันทุกข์ ก็อย่าไปทำ
แต่งานนี้ก็พอถูไถพอทนไปได้ ถึงแม้งานเราจะไม่ชอบ แต่พ่อแม่เราสุขสบาย อันนี้ก็จัดเป็นจาคะ
เราเสียสละสิ่งที่เราชอบอดกลั้นไปทำสิ่งที่เราชอบน้อยกว่า

สรุปความก็ คือ
ถ้าคิดว่าใจเราสามารถสุขได้จากงานเดิม -----> ใจเราไม่เสีย
แถมยามพ่อแม่ป่วยก็ไม่ต้องวิตกกังวล -->
กุศลที่ได้ 1.เราได้ทำจาคะ 2.ครอบครัวเราคนในบ้านเราไม่ต้องทุกข์ร้อนเราก็ได้บุญกุศลอีก

อีกเรื่อง คือ เรื่องการบวชชี

การบวชชีนี้อย่างน้อย เราต้องระวัง ๑ อย่างก่อนบวช คือ ใจพ่อ ใจแม่ ของเรา
เขาทุกข์ หรือ เขาคิดไม่ดีเกี่ยวกับการบวชชีของเราหรือไม่
ถ้ามีแนะนำว่าให้ปรับวิสัยทัศน์ท่านก่อน เพราะการที่เคยดูหมิ่นคนที่จะบวชหรือพระแม้แต่ในใจ
วิบากกรรมนี้แม้แต่พระพุทธองค์ตอนที่จะบรรลุอนุตรสัมโพธิญาณก็เจอกับตัวท่านเอง
ทำให้ท่านต้องตั้งสัจจอธิษฐานถึงจะบรรลุมรรคผลได้
บางทีเราเป็นคนดีก็ไม่พอ เราต้องระวังให้คนอื่นไม่คิดไม่ดีจากการกระทำของเรา
เหมือนกับการขับรถ เราขับรถถูกกฏจราจรไม่พอเราก็ต้องระวังอุบัติเหตุจากคนอื่นเช่นกัน

ผิดพลาดประการใดต้องขออโหสิกรรม ณ ที่นี้ด้วยนะครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร