วันเวลาปัจจุบัน 06 พ.ค. 2025, 00:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 111 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 21:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:
:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 23:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


aswakos เขียน:
ต่อ ๆ

ทีฆายุกาปิ พฺรหฺมาโน อิทธิมนฺโต ชุตินฺธรา
ปตนฺติ ยถากฺกมํ เต จวนฺติ อปราปรํ

แม้พรหมทั้งหลายที่มีฤทธิ์มาก มีรัสมีรุ่งเรือง มีอายุยืนเหล่านี้
ก็ต้องค่อย ๆ ตายทั้งสิ้น ท่านเหล่านั้น ยังต้องตกอยู่ในเวียนว่ายตายเกิด
ตามยถากรรมของตน
(ถ้าตราบใดยังไม่บรรลุเป็นพระอริยเจ้า)

...

สาธุ สาธุ สาธุ สำหรับท่านที่ทนอ่านจนจบ[/center]


:b1: :b1: :b1:

...ขอบคุณ...ที่อุตสาห์ทนเขียนจนจบ...
...เชื่อแล้ว...ว่าท่านช่างเป็นไปได้...

:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2010, 00:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ท่าน aswakos ยกมาทั้งกระบิ .. เรื่องจิตก่อนตายนี่อย่าไปหวังนะครับ ต้องเป็นเรื่องประทับใจจริงๆ จิตจึงจะกระโดดไปคิดก่อนตายได้ เพราะคนเราสั่งตัวเองไม่ได้ สํญญา สังสาร (กองอวิชชา) มันสั่งเราอยู่ ถ้าเราสั่งตัวเองได้ เราก็เปลี่ยนบุคคลิคภาพของเราได้รายวัน


เอาละสิ่... ซวยล่ะสิ่... :b14: :b14:

ท่าน sup มาตอกย้ำความเป็นไปได้ให้กับความเพี้ยนของเอกอน...

ท่าน as เราต้องสนทนากันด่วนเลย...

เอกอนจำได้... ถ้าไม่รีบแก้ไข... เอกอนชัวร์ป๊าดเลย...ว่าจะไปไหน...

:b9: :b9: :b9: :b9:

ของมันร้อนนนนน......แฮะ......
ไม่รู้...อยากไปได้ยังไง.... :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2010, 07:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แล้วไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ทำไง

ก็เอาทิ้ง ...
ไตรสิกขาเป็นการเรียนการปฏิบัติของพระภิกษุ ไม่ใช่ของฆราวาส
อธิศีล = ศีลที่ยิ่งใหญ่ ศีลหลวง
อธิจิต = จิตที่ยิ่งใหญ่ คือ จิตที่พ้นจากการยึดมั่นถือมั่น สงัดจากกาม สงัดจากอกุศล มีผลเป็นสมาธิ
อธิปัญญา = ปัญญาที่ยิ่งใหญ่ คือ ปัญญาที่ดับทุกข์ได้

ฆราวาสให้เดินตามทางนี้
ทาน=ทานเพื่อมุ่งนิพพาน คือ ทานให้ตัวเอง
ศีล=ให้มีศีลด้วยปัญญา คือ ศึกษาให้รู้ดี รู้ชั่ว รู้ผิด รู้ถูก จะได้มีดำเนินชีวิตไปในทางที่ผิด
ภวนา=วิปัสสนาภวานา คือ สร้างความเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยงเกิดดับ

ประวัติพระพุทธศาสนาหน้าแรก พระพุทธองค์ไปรับศีลจากดาบสฤาษีพรามหมณ์สองตน มาบำเพ็ญพรตด้วยตะบะ ที่เรียกกันว่าถือศีลบริสุทธิ์ มานั่งสมาธิ ได้ฌาน ๗ ฌาน ๘ ทรงบอกทางทางนี้ไม่มีปัญญาดับทุกไม่ได้ เป็นเพียงการหลบทุกข์ชั่วคราว จึงลาอาจารย์ทั้งสองมาหาวิธีการดับทุกข์ด้วยตนเอง

พระพุทธองค์ยังนั่งสมาธิให้ดับทุกข์ไม่ได้ แล้วท่านคิดว่าไครจะทำได้?

ศีล สมาธิ ปัญญา มันเพี้ยนมาช่วงพันปีหลังพุทธกาล มันเป็นยุคตกต่ำที่สุดของศาสนาพุทธในอินเดีย ยุคที่มีวัดเถรวาทเหลือเพียง ๒ วัดในอินเดีย ลองมาศึกษาเรื่องราวของศาสนาพุทธช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดดีกว่านะท่าน :b38:

อริยศีลขันธ์ อริยสมาธิขันธ์ อริยปัญญาขันธ์ เกิดขึ้นในอริยบุคคล รวมๆ เรียกอริยทรัพย์ อันนี้ก็อย่าเอาไปปนกับ ศีล สมาธิ ปัญญา ของฤาษีพราหมณ์

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 28 ก.พ. 2010, 20:55, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2010, 09:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
กรัชกาย เขียน:
แล้วไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ทำไง

ก็เอาทิ้ง


แล้วสัมมาสมาธิ ซึ่งเป็นองค์มรรค ทำไง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 28 ก.พ. 2010, 10:00, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2010, 11:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนดี ฯ (พลศักดิ์) หายไปไหน คิดถึงนะ :b1:

กลับมาเถอะที่รัก

http://daraoke.gmember.com/idxplaymv.do ... 0500471001

อยากฟังคุณเล่าเกี่ยวกับผีนะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2010, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
แล้วสัมมาสมาธิ ซึ่งเป็นองค์มรรค ทำไง
ไม่ต้องทำอะไร มันมีของมันอยู่แล้ว

Quote Tipitaka:
[๒]ดูกรภิกษุทั้งหลาย อวิชชา (ความหลงใหญ่ ไม่เท่าทันความพอใจไม่พอใจที่มากระทบสัมผัส) เป็นหัวหน้าในการยังอกุศลธรรม ให้ถึงพร้อม (สภาวะความเลวร้าย) เกิดร่วม กับความไม่ละอายบาป ความไม่สะดุ้งกลัวบาป ความเห็นผิดย่อมเกิดมีแก่ผู้ไม่รู้แจ้ง (ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้การเกิดของทุกข์ ไม่รู้การดับของทุกข์ ไม่รู้วิธีการดับทุกข์) ประกอบ ด้วยอวิชชา ความดำริผิด (มิจฉาสังกัปปะ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้มีความเห็นผิด (มิจฉสทิฏฐิ) เจรจาผิด (มิจฉาวาจา) ย่อมเกิดมีแก่ผู้มีความดำริผิด การงานผิด (มิจฉากัมมันตะ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้เจรจาผิด การเลี้ยงชีพผิด (มิจฉาอาชีวะ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้ทำการงานผิด พยายามผิด (มิจฉาวายามะ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้เลี้ยงชีพผิด ระลึกผิด (มิจฉาสติ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้พยายามผิด ตั้งใจผิด (มิจฉาสมาธิ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้ระลึกผิด.

[๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนวิชชา (ความเท่าทันความพอใจไม่พอใจที่มากระทบสัมผัส) เป็นหัวหน้าในการยังกุศลธรรม (สภาวะความดี) ให้ถึงพร้อม เกิด ร่วมกับความละอายบาป ความสะดุ้งกลัวบาป ความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้รู้แจ้ง (รู้ทุกข์ รู้การเกิดของทุกข์ รู้การดับของทุกข์ รู้วิธีการดับทุกข์) ประกอบด้วยวิชชา ความดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้มีความเห็นชอบ (สัมมาทิฏฐิ) เจรจาชอบ (สัมมาวาจา) ย่อมเกิดมีแก่ผู้มีความดำริชอบ การงานชอบ (สัมมากัมมันตะ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้เจรจาชอบ การเลี้ยงชีพ (สัมมาอาชีวะ) ชอบย่อมเกิดมีแก่ผู้ทำการงานชอบ พยายามชอบ (สัมมาวายามะ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้เลี้ยงชีพชอบ ระลึกชอบ (สัมมาสติ) ย่อมเกิดมีแก่ผู้พยายามชอบ ตั้งใจชอบ (สัมมาสมาธิ) ย่อมเกิด มีแก่ผู้ระลึกชอบ แล.

อยู่สูตรแรกของพระสูตรเล่ม ๑๑

มรรค คือ การดำเนินชีวิตของคนเราปกติแน่แหละ สะสมอวิชชามาก ก็เกิดเป็นมิจฉามรรค สะสมวิชชามาก ก็เกิดเป็นสัมมามรรค อยู่ดีๆ เราจะสั่งให้สัมมาทิฏฐิเกิดไม่ได้ พวกผมพยายามกันหลายปีหลายเดือนกว่าจะได้สัมมาทิฏฐิ ต้องอาศัยการฝึกอย่างต่อเนื่องติดต่อกันยาวนานเท่านั้น เพื่อสั่งสมวิชชาให้มากพอ

มรรคถึงเรียกว่าทางสายกลาง เพราะไมได้ฝืนธรรมชาติการดำเนินชีวิตปกติของคนเราเลย

พวกที่พยายามแปลมรรคว่า มะม่วง ๘ ผล เด็ดเอาลูกใหนมาก่อนก็ได้ ขอให้ครบ ๘ ลูก พวกนี้เรียนไม่จบ ไม่เข้าใจเรื่องเหตุปัจจัย แปลเป็นภาษาชาวบ้านง่ายๆ ว่า มั่ว พวกที่แปลสัมมาสมาธิในองค์มรรคว่าต้องเป็นอัปนาสมาธิ พวกนี้หลง ไปได้ฟังคำของตันตระมา

สมาธิในองค์มรรค ก็เช่นเราเขียนหนังสือ ไม่มีสมาธิ หรือความตั้งใจ ก็เขียนไม่จบ ฯ การกระทำของคนเราทุกๆ อย่างต้องประกอบด้วยสมาธิเสมอ (หรือเอกคัตาเจตสิก) ถึงจะสามารถทำสำเร็จได้

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 28 ก.พ. 2010, 20:56, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2010, 20:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2010, 21:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ศีล สมาธิ ปัญญา มันเพี้ยนมาช่วงพันปีหลังพุทธกาล มันเป็นยุคตกต่ำที่สุดของศาสนาพุทธ
ในอินเดีย ยุคที่มีวัดเถรวาทเหลือเพียง ๒ วัดในอินเดีย ลองมาศึกษาเรื่องราวของศาสนาพุทธช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดดี
กว่านะท่าน

อริยศีลขันธ์ อริยสมาธิขันธ์ อริยปัญญาขันธ์ เกิดขึ้นในอริยบุคคล รวมๆ เรียกอริยทรัพย์ อันนี้ก็อย่าเอาไปปนกับ
ศีล สมาธิ ปัญญา ของฤาษีพราหมณ์



สงสัย :b10: ฤาษีกับพราหมณ์เนี่ยเป็นคนหรือว่าเป็นจำพวกเดียวกับมักกลีผล ซึ่งอยู่ในป่าหิมพานต์อ่ะน่ะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 28 ก.พ. 2010, 21:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2010, 21:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


s002 s002


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2010, 22:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สงสัย ฤาษีกับพราหมณ์เนี่ยเป็นคนหรือว่าเป็นจำพวกเดียวกับมักกลีผล ซึ่งอยู่ในป่าหิมพานต์อ่ะน่ะ
มักกลีผลมีอยู่จริงๆ ๑๒ ปีจะออกดอกออกผลที มีผลรูปร่างเหมือนผู้หญิงเปลือยกาย ผลมีความสูงราวๆ ๑๐ นิ้ว อยู่ในป่าลึกแถวๆ หิมาลัย ที่นี่มี ๒ ผล แห้งแล้ว อยากจะมาดูก็มาดูได้ จริงๆ มันก็เป็นไม้ยืนต้นธรรมดาเท่านั้นเอง

ฤาษีกับพราหมณ์ไม่ได้อยู่ในป่าหิมพานต์ อยู่ตามป่าตามเขานี่แหละ ระบาดมาในประเทศไทยราวๆ พ.ศ. ๑๐๐๐ หรือสมัยสุโขทัย เพราะพี่ไทยนี่แหละไปเชิญเขาเข้ามาเอง ยกตัวอย่างเช่น อาฬารดาบสกับอุทกดาบส เป็นฤาษี เป็นพราหมณ์ คือ พวกที่ศึกษายังไม่ถึงที่สุดของความจริง ผลการศึกษาและแนวปฏิบัติยังประกอบด้วยความเชื่อปนอยู่มาก เพราะยังมีความเชื่ออยู่ จึงพูดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่เหมือนกัน ถ้าเข้าถึงความจริงแล้ว ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกัน เช่น เกลือเค็ม ไฟร้อน เป็นต้น

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 28 ก.พ. 2010, 22:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2010, 22:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่มีอะไรต่อก็ขอจบละนะ ...

บุญ บาป เป็นตัวชี้วัดว่า แต่ละภพ เราจะไปเกิดที่ใหนใน ๓๑ ภพภูมินี้ ยกเว้นมนุษย์ สัตว์ที่เหลือล้วนแต่กินบุญเก่า ใช้กรรมเก่า ใช้บาปจนเหลือน้อยกว่าบุญ ก็จะได้ไปเกิดที่สุคติภูมิ ใช้บุญจนเหลือน้อยกว่าบาป ก็ลงอบายภูมิ

มนุษย์ นอกจากจะใช้บุญเก่ากรรมเก่าแล้ว ยังสามารถสร้างบุญใหม่กรรมใหม่ได้ บาปสูงสุดลงมหานรกอเวจี บุญสูงสุดถึงมรรคผลนิพพาน

การจุตติหรือการตาย มี ๒ สาเหตุ คือ สิ้นบุญสิ้นบาป กับสิ้นอายุขัย กรณีเทวดาทั้งหลาย ถ้าจุตติเพราะสิ้นบุญ ลงอบายภูมิสถานเดียว เพราะใช้บุญจนหมด ฌานก็เป็นบุญ พวกใช้ฌานหนีนรก ปกติไม่ค่อยทำบุญทำทานเท่าใหร่ พอหมดบุญหรือหมดกำลังของฌาน ส่วนมากลงอบายภูมิสถานเดียว (เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย สัตว์นรก)

พวกสิ้นอายุขัย เมื่อเทวดาจุตติจากสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่ง พวกเทวดาด้วยกันจะอวยพรว่า ขอให้ไปเกิดเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา กรณีนี้ก็อยู่ที่ว่าบุญจะเหลือมากน้อย

พระพุทธองค์ตรัสว่า พวกนี้ พอสิ้นสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้วจากภพนั้น ก็ต้องกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้อีก คือ มนุษย์ เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย สัตว์นรก มาใช้กรรมสร้างบุญนับหนึ่งกันใหม่ ไม่สิ้นสุด

ที่ผมได้ตั้งคำถามนี้ขึ้นมา เพื่อจะให้ทุกท่านได้ศึกษาว่า การปฏิบัติ ทำบุญทานเพื่อหวังเทวโลกนั้น ไม่ใช่ทางของพุทธ พุทธต้องปฏิบัติเพื่อไม่เกิดอีก ตั้งจิตอธิฐานว่า ขอกิน ขอดื่ม ขอมองผืนดินผืนฟ้าเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต พวกเดินทางผิดติดเนวสัญญาไปเป็นพรหมลอยไปลอยมา ก็รอแต่ว่าเมื่อใหร่ฉันจะหมดบุญเสียทีจะได้กลับมาเกิดเป็นคนอีก มานับหนึ่งใหม่ ถ้าอายุหลายพันหลายหมื่นหลายแสนปี เกิดอีกทีก็ไม่ได้พบพุทธศาสนา รอรถไฟขบวนใหม่ คือรอพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ เมื่อใหร่ก็ไม่รู้

ทุกคนต้องการนิพพาน หลักฐานที่แสดงว่าทุกคนต้องการนิพพานก็คือ ทุกคนกลัวตาย เจ้าชายสิทธถะก็กลัวตาย จึงไปหาวิธีว่า ทำอย่างไรถึงจะไม่ตาย จนพบทางสู่นิพพาน และนำมาสอนพวกมนุษย์เทวดามากมายให้พ้นทุกข์ เมื่อพระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว คำสอนของพระองค์จะยังคงอยู่ในโลก เป็นเวลา ๕๐๐๐ ปี และถือเป็นศาสดาของพวกเราแทนพระพุทธองค์

ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ได้เสียสละเวลาเพื่อตนเอง (จาคะ) เพื่อตามศึกษาเรื่องความจริงของโลกและชีวิต ขอบพระคุณเพื่อนๆ กัลยาณมิตรทุกท่านที่เข้ามาร่วมสนทนาปัญหาธรรม การเสียสละเวลาของท่านในครั้งนี้ นับเป็นบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ เพราะจะทำให้ท่านได้รู้ความเป็นจริงของโลกและชีวิตมากขึ้น รู้วิธีการดับทุกข์ ซึ่งเป็นทางสายเอกสายเดียวที่พระพุทธองค์สอนให้ผู้คนได้บรรลุธรรมได้เป็นจำนวนมาก คือ การพิจารณาขันธ์ ๕ อินทรีย์ ๖ ซึ่งเป็นเหตุของการตรัสรู้ ทำให้เกิดมรรค ๘ สติปัฏฐาน ๔ ฯลฯ โพชงค์ ๗

ผมจึงขอให้บุญกุศลในครั้งนี้ เป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้ท่านทั้งลายได้เกิดมีดวงตาเห็นธรรมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในทางโลก ขอให้บุญกุศลในครั้งนี้ทำให้ท่านทั้งหลายมีพลานามัยสมบูรณ์ ไม่มีโรคภัย มีทรัพย์เหลือกินเหลือใช้ กิจการงานใดๆ ก็ขอให้สมปรารถนาไม่ยาก ศัตรูก็ขอให้กลับมาเป็นมิตร พร้อมกันนี้ขอให้ตั้งจิตอธิฐานอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกชาติทุกภพ และอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับพ่อแม่พี่น้องญาติสนิทมิตรสหายทุกชาติทุกภพด้วยเทอญ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 00:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 12:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:

ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ได้เสียสละเวลาเพื่อตนเอง (จาคะ) เพื่อตามศึกษาเรื่องความจริงของโลกและชีวิต ขอบพระคุณเพื่อนๆ กัลยาณมิตรทุกท่านที่เข้ามาร่วมสนทนาปัญหาธรรม การเสียสละเวลาของท่านในครั้งนี้ นับเป็นบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ เพราะจะทำให้ท่านได้รู้ความเป็นจริงของโลกและชีวิตมากขึ้น รู้วิธีการดับทุกข์ ซึ่งเป็นทางสายเอกสายเดียวที่พระพุทธองค์สอนให้ผู้คนได้บรรลุธรรมได้เป็นจำนวนมาก คือ การพิจารณาขันธ์ ๕ อินทรีย์ ๖ ซึ่งเป็นเหตุของการตรัสรู้ ทำให้เกิดมรรค ๘ สติปัฏฐาน ๔ ฯลฯ โพชงค์ ๗

ผมจึงขอให้บุญกุศลในครั้งนี้ เป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้ท่านทั้งลายได้เกิดมีดวงตาเห็นธรรมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในทางโลก ขอให้บุญกุศลในครั้งนี้ทำให้ท่านทั้งหลายมีพลานามัยสมบูรณ์ ไม่มีโรคภัย มีทรัพย์เหลือกินเหลือใช้ กิจการงานใดๆ ก็ขอให้สมปรารถนาไม่ยาก ศัตรูก็ขอให้กลับมาเป็นมิตร พร้อมกันนี้ขอให้ตั้งจิตอธิฐานอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกชาติทุกภพ และอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับพ่อแม่พี่น้องญาติสนิทมิตรสหายทุกชาติทุกภพด้วยเทอญ


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 23:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2007, 11:39
โพสต์: 85

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
Supareak Mulpong เขียน:
ท่าน aswakos ยกมาทั้งกระบิ .. เรื่องจิตก่อนตายนี่อย่าไปหวังนะครับ ต้องเป็นเรื่องประทับใจจริงๆ จิตจึงจะกระโดดไปคิดก่อนตายได้ เพราะคนเราสั่งตัวเองไม่ได้ สํญญา สังสาร (กองอวิชชา) มันสั่งเราอยู่ ถ้าเราสั่งตัวเองได้ เราก็เปลี่ยนบุคคลิคภาพของเราได้รายวัน


เอาละสิ่... ซวยล่ะสิ่... :b14: :b14:

ท่าน sup มาตอกย้ำความเป็นไปได้ให้กับความเพี้ยนของเอกอน...

ท่าน as เราต้องสนทนากันด่วนเลย...

เอกอนจำได้... ถ้าไม่รีบแก้ไข... เอกอนชัวร์ป๊าดเลย...ว่าจะไปไหน...

:b9: :b9: :b9: :b9:

ของมันร้อนนนนน......แฮะ......
ไม่รู้...อยากไปได้ยังไง.... :b9: :b9:


ขอบคุณท่านเอรากอน

คือ ก็อ่านอยู่ พิจารณาอยู่ ว่าจะปล่อยให้เงียบไป ท่านก็มาเกา เลยคัน ต้องเกาตาม


คิดเองนะ ไม่ได้ว่าใคร แต่คิดดังไปหน่อย

บางครั้งเหมือนรู้สึกว่า การถก ธรรมะ การธรรมสากัจฉา เป็นสิ่งที่ดีงาม น่าสรรเสริญ

ยิ่งถ้าเป็นการธรรมสากัจฉา ที่มีระบบ ระบบยังไง


1.อ้างอิงที่มาอย่างชัดเจน ตามลำดับชั้น บาลี อรรถกถา ฏีกา อนุฏีกา
และ ปกรณ์พิเศษต่าง ๆ และนักปราชญ์ ที่เชื่อถือได้ แม้ไม่ถูกทั้งหมด แต่ความแน่นอนน่าจะมีมากกว่า
2.มีจุดประสงค์เพื่อการเกื้อกูลต่อการปฏิบัติ มุ่งหวังการพ้นทุกข์ อย่างแท้จริง


แต่ ถ้าบางครั้ง เพียงเพื่อเป็นอาหารสมอง บำรุงความคิด หรือเอาข้างเข้าถู เอามติตัวเองตัดสินใจ
มันก็ดี ดีตามเหตุตามปัจจัยมัน
พอดีเวลาน้อยอะคับ ตอบตรง ๆ เสียดายเวลา ๆ


ถามมาแล้ว ก็ต้องตอบ ที่ท่านตอบว่า
อ้างคำพูด:
เรื่องจิตก่อนตายนี่ อย่าไปหวังนะครับ

ที่จริงมันเรื่องง่าย ๆ เคยถามเด็กนักเรียน

ขออนุญาตนำมาถามท่าน Supareak กลับว่า

1. ถ้าคนเอาหินใส่ตะกร้าข้างหนึ่ง เอาใบไม้ใส่ตะกร้าข้างหนึ่ง
เมื่อยกหาบขึ้น โอกาศที่จะเอียงไปทางไหนมากกว่า

2. โคแก่ 1 ตัว โคหนุ่ม 10 ตัว เมื่ออยู่ในคอกเดียวกัน ปล่อยออกจากคอกทุกวัน
โคแก่ หรือ โคหนุ่มจะมีโอกาสออกก่อน โคแก่ จะยืนปากคอกทุกวัน ก็คงเป็นไปไม่ได้

3.เอากรวด 100 ก้อนใส่ไว้ในให ทาด้วยสีดำ 10 ก้อน ทาด้วยสีขาว 90 ก้อน เอามือล้วงจับขึ้นมา
โอกาสที่จะจับถูกสีขาว หรือ สีดำมากกว่ากัน


นี้ คืออุปมาของจิต ผู้ที่เป็นกามาวจร ที่กุศล และ อกุศล ก่อให้เปลี่ยนภพ
ทำดีมาก หรือทำชั่วมาก แนวโน้วจิตจะใหลเทไปทางไหนมากกว่า ยึดอารมณ์ไหนมากกว่า
ไม่อธิบายนะครับ


ส่วนอุปมาต่อไปนี้

4. ผู้ที่ว่ายน้ำจนชำนาญ เมื่อจับโยนลงน้ำ โอกาสจะจมน้ำตาย กับ ว่ายน้ำรอด สิ่งไหนมากกว่ากัน

5. ผู้ที่ดีดพิณจนชำนาญ สามารถเล่นได้ทันที เกือบทุกครั้งที่โอกาสพร้อม

6. ผู้ที่พิมพ์ดีดจนชำนาญ แม้ไม่มองแป้นพิมพ์ก็ พิมพ์ได้


เป็นอุปมาของผู้ที่ได้ฌานแต่ไม่บรรลุเป็นพระอริยเจ้า

จิต ปกติมักถูกครอบงำด้วยอุปกิเลศ แต่จิตสามารถฝึกฝนได้

สามารถควบคุมได้ ในผู้ที่ชำนาญ (ฌาน) แม้ไม่เป็นพระอริยเจ้า ท่านทำได้



ขอให้ศึกษา

เรื่องการเวียนว่ายของพระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์แล้วนะครับ

แล้วก็เรื่องการจุติและปฏิสนธิของผู้ที่ได้ฌาน

หรือ ศึกษาเรื่องปัจจุบัน ในพระลามะของธิเบตบางรูป



ขอบคุณครับ อนุโมทนาด้วย ถามตอบไปเรื่อย ๆ ครับ ขอเป็นผู้ชมตามโอกาสแล้วกันครับ

:b8: :b16: :b1: :b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 111 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร