วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 21:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2008, 09:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


ในส่วนของ การใช้สติปัฏฐานรับมือกับความโกรธ-พยาบาท โดยตรง
ก็มีอยู่2หมวด คือ

1.จิตตานุปัสสนา
2.ธัมมานุปัสสนา นิวรณ์บรรพ


จิตตานุปัสสนา มีลักษณะโยนิโสมนสิการแบบรู้ตามจริง จะกล่าวถึง การรู้ชัดในอาการของจิตปัจจุบัน เช่น จิตโกรธก็ให้รู้ว่าโกรธ เป็นการรู้โดยลักษณะดูอย่างเดียว พิจารณาดูว่า จิต และอาการต่างๆของจิต ก็"สักแต่ว่า".... เปลี่ยนแปลงไปมา เอาแน่นอนไม่ได้ สักแต่ว่าเป็นสภาวะธรรมต่างๆเท่านั้น ไม่พึงยึดมั่นถือหมายในสิ่งต่างๆ


ส่วน ธัมมานุปัสสนา นิวรณ์บรรพ นั้น ให้พิจารณาโดย มีลักษณะโยนิโสมนสิการแบบสัมมัปปธานสี่เข้ามาผสมด้วย คือ

อีกอย่างหนึ่ง
เมื่อความพยาบาทมีอยู่ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่าความพยาบาทมีอยู่ภายในจิตของเรา หรือเมื่อความพยาบาทไม่มีอยู่ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่าความพยาบาทไม่มีอยู่ภายในจิตของเรา

อนึ่ง
ความพยาบาทที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
ความพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้วจะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
ความพยาบาทที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย


คือ มีลักษณะแห่งสัมมัปปธานสี่ ที่ว่า

1.เพียรระวัง หรือ เพียรปิดกั้น คือ เพียรระวังยับยั้งบาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้น (สังวรปธาน)
2.เพียรละ หรือเพียรกำจัด คือ เพียรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว (ปหานปธาน)
3.เพียรเจริญ หรือเพียรก่อให้เกิด คือ เพียรทำกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ให้เกิดมีขึ้น (ภาวนาปธาน)
4.เพียรรักษา คือ เพียรรักษากุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งมั่น และให้เจริญยิ่งขึ้นไปจนไพบูลย์ (อนุรักขนาปธาน)



ปล..

โกรธ เป็นอาการของจิตที่เกิดขึ้น...ถ้าเกิดแล้วดับไปโดยไม่ค้างคานาน

พยาบาท ก็พัฒนาต่อเนื่องมาจากโกรธ แต่ มันยาวนานกว่า เป็นลักษณะผูกเวร[/quote]


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2009, 07:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


การปฏิบัติต่อจิตนั้นก็มี ทั้ง ตั้ง(ยก)จิตขึ้น และ สงบ(ข่ม)จิตลง


พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสเอาไว้ ว่า

โพชฌงคสังยุตต์ - ๖. หมวด ที่ ๖ - อัคคิสูตร

ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด จิตหดหู่ สมัยนั้นเป็นกาลเพื่อเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญวิริยสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญปีติสัมโพชฌงค์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะจิตหดหู่ จิตที่หดหู่นั้น ให้ตั้งขึ้นได้ง่ายด้วยธรรมเหล่านั้น.

ๆลๆ

ภิกษุทั้งหลาย สมัยใด จิตฟุ้งซ่าน สมัยนั้นเป็นกาลเพื่อ เจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์ เป็นกาลเพื่อเจริญอุเบกขา สัมโพชฌงค์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะจิตฟุ้งซ่าน จิตที่ฟุ้งซ่านนั้น ให้สงบได้ง่ายด้วยธรรมเหล่านั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าว สติแลว่า มีประโยชน์ในที่ทั้งปวง



สังเกตุได้ว่า

1.แม้น จิตจะเป็นอนัตตา...แต่ พระพุทธองค์ก็ทรงสอนวิธีปฏิบัติต่อจิต ทั้งการฝึกจิต การปรับสมดุลย์แห่งจิต(เช่น หลักแห่งโพชฌงค์).ทั้งการฝึกจิต หรือ ปรับสมดุลย์แห่งจิต ไม่ใช่เป็นการเครียด ฝืน เป็นอกุศล แต่อย่างใด...หากแต่เป็น การประกอบเหตุอันสมควร เพื่อนำไปสู่ผลที่สมควร

2.สติ เป็นแกนหลักแห่งโพชฌงค์

เวลาจิตหดหู่(จิตแฟบ จิตท้อแท้ เหนื่อยหน่าย) องค์ธรรมในโพชฌงค์ ที่จะยังให้จิตสมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ได้แก่ สติ ธรรมวิจัย วิริยะ ปีติ

เวลาจิตฟุ้งซ่าน(โกรธ หงุดหงิด ย้ำคิดย้ำทำ) องค์ธรรมในโพชฌงค์ ที่จะยังให้จิตสงบเยือกเย็น ได่แก่ สติ ปัสสัทธิ(ความสงบกายใจ) สมาธิ(ความตั้งมั่นชอบ) อุเบกขา(จิตเป็นกลางวางเฉย)

ไม่ว่าจิตแฟบ หรือ จิตฟู...สติ เป็นสิ่งแรกที่จะต้องบังเกิด
คือต้อง "รู้สึกตัว"ทันที ว่าจิตเป็นลักษณะใด
แล้ว ใช้หลักแห่งโพชฌงค์ปรับสมดุลย์แห่งจิต(ที่ไม่ใช่ตัวตนของใครๆ) ...ไม่แฟบ ไม่ฟู...มีสภาวะ แห่ง รู้ ตื่น เบิกบาน

การแผ่เมตตา ก็ คือ สมาธิภาวนา(สมถะ) ..ที่ช่วยระงับนิวรณ์ ข้อพยาบาทนิวรณ์.
เมื่อจิตระงับจากนิวรณ์ ย่อม ตั้งมั่น นุ่มนวล ควรแก่การงาน และ เปิดช่องให้ปัญญาเข้าปฏิบัติการได้ง่าย



อยากเรียนว่า
ถ้าจะกล่าวว่า การแผ่เมตตายังคงเป็นการปรุงแต่ง(สังขตธรรม)อยู่ ก็ถูกต้องครับ...
แต่ ต้องไม่ลืมว่า อริยมรรคทั้งหมดก็ล้วนเป็นสังขตธรรมทั้งสิ้นเช่นกัน ครับ...
จะมีก็แต่ พระนิพพานเท่านั้น ที่เป็นอสังขตธรรม

จาก

http://larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/003868.htm


อริยมรรคนั้นเป็นสังขาร แต่เป็นยอดสังขาร

สมด้วยพระพุทธภาษิตที่ตรัสไว้ใน อัคคัปปสาทสูตรว่า

ยาวตา ภิกฺขเว ธมฺมา สังฺขตา
ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายเหล่าใดอันเป็นปัจจัยปรุงแต่ง
อริโย อฏฺฐงฺคิโก มคฺโค เตสํ อคฺคมกฺขายติ
อริยมรรคที่ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ เราตถาคตกล่าวว่า เป็นยอดของสัขตธรรมทั้งหลายเหล่านั้นดังนี้



การไม่ปรุงแต่งนั้น เป็นสิ่งพึงเจริญ และ นำไปสู่การพ้นทุกข์

แต่ถ้ากลายเป็น "ต้อง"ไม่ปรุงแต่งอย่างสิ้นเชิง ละก็จะลำบากมาก ....
เพราะ การกำหนดเงื่อนไขว่า "ต้อง"ไม่ปรุงแต่งอย่างสิ้นเชิง นั่นก็คือ การปรุงแต่ง ดีๆนั่นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 15:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 15:46
โพสต์: 3

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


smiley อ่าขอความกรุณาผู้รู้ด้วยนะขะรับ อยากทราบว่าเพราะเหตุใดครูบาอาจารย์ท่านจึงให้แผ่เมตตาก่อนการเจริญกรรมฐาน อะครับ :b10: Onion s002 s002 huh Kiss onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 17:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7513

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
...ข้าพเจ้าคิดเอาเองอย่างนี้ว่า...การที่ครูบาอาจารย์ท่านให้เราแผ่เมตตาก่อนเจริญกรรมฐาน...
...เพราะท่านต้องการให้เราส่งกระแสจิตความเมตตาสร้างเกราะป้องกันอันตรายจากสิ่งที่มองไม่เห็น...
...เช่นเจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขาและภูตผีวิญญาณต่างๆ...ไม่ให้ทำอันตรายหรือกลั่นแกล้งเรา...
...เพราะบางคนไปแกล้งคนอื่นไว้เยอะ...บางทีวิบากกรรมอันนั้นมันก็มาส่งผลตอนที่เราอยากทำดี...
...เพราะบางคนอาจต๊กใจเวลานั่งแล้วคลื่นไปตรงรับช่องเห็นผีได้...รึเปล่า...อันนี้ก็ไม่แน่...

:b13:
...ตอบแบบให้คิดเล่นๆ คือคิดเองคล้ายๆกับการที่เราฝึกหัดว่ายน้ำ...ครูฝึกก็จะให้ใส่ชูชีพไปก่อน...
...ตอบไม่ถูก...คงไม่ว่ากันนะเจ้าคะ...อ่านเล่นเย็นใจ...เพลินๆ...รอคำตอบที่เป็นทางการต่อไป...

:b16:
...ที่แน่ๆการแผ่เมตตาเป็นการสร้างความดี...
...โดยเฉพาะการเจริญบทเมตตาพรหมวิหารก่อนทำสมาธิ...
...ชื่อว่าได้ท่องบ่นสาธยายมนต์ให้ตนเองฟังเพื่อสอนตัวเองไปด้วย...
...ส่วนอื่นๆที่มองไม่เห็น...เขาจะได้ไม่รบกวนเราและอนุโมทนาบุญกุศลไปกับเราด้วย...
...ข้าพเจ้าคิดดีๆแบบนี้...จึงลองคิดดังๆให้ท่านผู้ชมคิดดูอีกทีค่ะ

:b27: :b27:
:b44: :b44: :b44: :b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 17:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 09:54
โพสต์: 12

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยุ้งข้าว เขียน:
smiley อ่าขอความกรุณาผู้รู้ด้วยนะขะรับ อยากทราบว่าเพราะเหตุใดครูบาอาจารย์ท่านจึงให้แผ่เมตตาก่อนการเจริญกรรมฐาน อะครับ :b10: Onion s002 s002 huh Kiss onion onion onion

เพื่อให้จิตอ่อนโยน จะได้เหมาะแก่การใช้งาน


การแผ่เมตตา...ขัดขวางการเจริญวิปัสสนาไหม?

.....ไม่

โลภ โกรธ หลง (กิเลส3ตัว)

โลภ กำจัดได้ด้วยการให้ ถ้าเราคิดแต่จะให้แล้วตัวโลภอยู่ไม่ได้

โกรธ กำจัดได้ด้วยพรหมวิหารสี่ ถ้าเรามีแต่เมตตา กรุณา แล้วเราจะโกรธเป็นไหม

หลง กำจัดได้ด้วยความจริง(วิปัสสนา) ถ้าเรารู้จริงแล้ว เรายังคิดจะหลงอีกไหม

การแผ่เมตตา...จึงไม่ได้ขัดขวางการเจริญวิปัสสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 22:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อยากทราบว่าเพราะเหตุใดครูบาอาจารย์ท่านจึงให้แผ่เมตตาก่อนการเจริญกรรมฐาน


เจริญวิปัสสนาอย่างเดียวมันก็ยากแท้ มีทั้ง อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัันตา โดยเฉพาะ ทุกข์ขัง มันทุกข์จิงน้อ
มันแห้งแล้ง บางที หรือหลายที หรือทุกที มันก็ต้อแต้ ถ้านึกไม่ออกว่าต้อแต้เป็นไง ก็ลองเดินซัก 1 ชม นั่งซัก 2-3 ชม วันละซัก 4 - 5 รอบ รับรอบรู้เลยว่าต้อแต้เป็นไง อ้าวแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเมตตาภาวนาละ ถ้าจิดเจอทุกข์มันรุมเร้าอยู่ตลอดเวลา บางคราสติก็ตก มันก็อยากจะกลับบ้านน้อ ไอ้กำแพงรั้ววัดมันก็น่าจะพอปีนหนีได้ แต่พอทำเมตตาภาวนาเข้าไปมันก็พอมีกำลังใจสู้ต่อไปน้อ ถ้าจะเปรียบอีกทีเมตตาภาวนาเปรียบเหมือนโอเอสิส กลางทะเลทราย มันก็สุขใจดี อีกทั้งมีคุณสมบัติทำให้จิตราบเรียบดี
นิวรณ์ก็บรรเทา อีกทั้งไปเพิ่มสมาธินทรีย์ องค์ประกอบเหล่านี้มันก็น่าจะดีต่อการจำเริญวิปัสสนาต่อไป
หรือในบางคราวหากเราไม่สบาย มีความทุกข์ทางกายหลาย หากยังพอทำสมาธิไหวเมตตาภาวนานี้ช่วยลดความรู้สึกทรมานทางกายดีนักแล

แล้วแต่วิจารณญาณ นะครับท่านทั้งหลาย

เฮ้อ.... จะโดนด่าอีกไหมเนี่ย
:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 00:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
เฮ้อ.... จะโดนด่าอีกไหมเนี่ย
:b12: :b12: :b12:


แน๊ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2010, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2010, 13:35
โพสต์: 355

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
การเจริญวิปัสสนาในแนวสุขวิปัสสโก สมาธิจะได้แค่ฌาน 1 อานุภาพแห่งการแผ่เมตตาจึงมีไม่มากอยู่แล้ว พอไปเจริญวิปัสสนาอีก จิตจะต้องไม่ส่งออก ดังนั้นสวรรค์ นรก เปรต เทวดา พรหม จิตของเขา
จะส่งออกนอกไปรับรู้ยิ่งทำไม่ได้ และไม่ควรทำ

เมื่อเขาเดินสายการเจริญวิปัสสนาในแนวสุขวิปัสสโก การแผ่เมตตาจึงน่าจะขัดขวางการเจริญวิปัสสนา มันต้องแลกกัน ถ้าคุณต้องการบรรลุอรหันต์เร็ว คุณต้องไม่เอานิมิตทั้งหมด จิตต้องไม่ส่งออกอย่างเดียว

แต่เมื่อเดินสายอื่นที่ไม่ใช่สายการเจริญวิปัสสนาในแนวสุขวิปัสสโก พวกเขาเหล่านั้นจะเข้าสู่ฌาน 2-4 อานุภาพแห่งการแผ่เมตตาจึงสูง สามารถนำเอาอานิสงค์แห่งฌาน ไปใช้ประโยชน์ต่อเพื่อมนุษย์และวิญญาณได้มากมาย และก็ดำเนินไปพร้อมกับการเจริญวิปัสสนาด้วย หลวงพ่อหลวงปู่ในอดีตของเมืองไทย มักดำเนินไปในสายนี้ สายนี้นำไปสู่การมีอภิญญา 6 ในขณะที่สายสุขวิปัสสโกมีอภิญญาอย่างเดียว คือ ได้ อาสวักขยาน ดับอาสวะกิเลสหมดสิ้นไป

ดังนั้น การเดินในสายอภิญญา 6 การแผ่เมตตาจึงไม่ขัดขวางการเจริญวิปัสสนา แต่ต้องกระทำไปควบคู่กันทั้งสมถะและวิปัสสนา ในขณะที่เจริญวิปัสสนาในแนวสุขวิปัสสโก การแผ่เมตตาเป็นตัวขัดขวางการเจริญวิปัสสนา และพระอรหันต์สุขวิปัสสโก ก็ไม่มีอภิญญามากพอจะแผ่เมตตาไปช่วยใครด้วย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 10:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




new61.gif
new61.gif [ 1.3 KiB | เปิดดู 2943 ครั้ง ]
คนดีที่โลกลืม เขียน:
พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
การเจริญวิปัสสนาในแนวสุขวิปัสสโก สมาธิจะได้แค่ฌาน 1
อานุภาพแห่งการแผ่เมตตาจึงมีไม่มากอยู่แล้ว พอไปเจริญวิปัสสนาอีก จิตจะต้องไม่ส่งออก
ดังนั้นสวรรค์ นรก เปรต เทวดา พรหม จิตของเขาจะส่งออกนอกไปรับรู้ยิ่งทำไม่ได้ และไม่ควรทำ

เมื่อเขาเดินสายการเจริญวิปัสสนาในแนวสุขวิปัสสโก การแผ่เมตตา
จึงน่าจะขัดขวางการเจริญวิปัสสนา
มันต้องแลกกัน ถ้าคุณต้องการบรรลุอรหันต์เร็ว
คุณต้องไม่เอานิมิตทั้งหมด จิตต้องไม่ส่งออกอย่างเดียว

แต่เมื่อเดินสายอื่นที่ไม่ใช่สายการเจริญวิปัสสนาในแนวสุขวิปัสสโก พวกเขาเหล่านั้น
จะเข้าสู่ฌาน 2-4 อานุภาพแห่งการแผ่เมตตาจึงสูง สามารถนำเอาอานิสงค์แห่งฌาน
ไปใช้ประโยชน์ต่อเพื่อมนุษย์และวิญญาณได้มากมาย และก็ดำเนินไปพร้อมกับการเจริญวิปัสสนาด้วย
หลวงพ่อหลวงปู่ในอดีตของเมืองไทย มักดำเนินไปในสายนี้ สายนี้นำไปสู่การมีอภิญญา 6
ในขณะที่สายสุขวิปัสสโกมีอภิญญาอย่างเดียว คือ ได้ อาสวักขยาน ดับอาสวะกิเลสหมดสิ้นไป

ดังนั้น การเดินในสายอภิญญา 6 การแผ่เมตตาจึงไม่ขัดขวางการเจริญวิปัสสนา
แต่ต้องกระทำไปควบคู่กันทั้งสมถะและวิปัสสนา
ในขณะที่เจริญวิปัสสนาในแนวสุขวิปัสสโก การแผ่เมตตาเป็นตัวขัดขวางการเจริญวิปัสสนา

และพระอรหันต์สุขวิปัสสโก ก็ไม่มีอภิญญามากพอจะแผ่เมตตาไปช่วยใครด้วย


การแผ่เมตตาจากผู้ที่มีสมาธิต่ำกว่าฌาณ 2 อานุภาพแห่งการแผ่เมตตาส่งไปไม่ถึงสรรพสัตว์ต่างๆ
ส่วนนี้เข้าใจแล้วค่ะ

ส่วนที่ยังไม่เข้าใจ คือ เจริญวิปัสสนาในแนวสุขวิปัสสโก การแผ่เมตตาเป็นตัวขัดขวาง
การเจริญวิปัสสนา ขัดขวางอย่างไรค่ะ และไม่ควรทำเพราะเหตุใดค่ะ ขออย่างละเอียดค่ะ

หากพลานุภาพส่งไม่ถึงผู้รับ ผู้ที่แผ่เมตตาออกไปได้รับแทนหรือไม่ค่ะ เพราะเกิดกุศลจิต


:b44: :b44: :b44: :b44:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"


แก้ไขล่าสุดโดย sirisuk เมื่อ 01 มี.ค. 2010, 10:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เกี่ยวกันค่ะ แผ่เมตตาไม่ใช่การข่มความโกรธแต่เป็นการให้ทานอย่างนึงค่ะ การวิปัสสนาเป็นการคิดพิจารณาในสมาธิ แต่คนมักใช้วิปัสสนาไม่ถูกต้องน่ะค่ะเพราะยังไม่ไดปัญญาธรรม การแยกและแจกแจงความคิดในวิปัสสนาก็มักจะพลาดค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร