วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 06:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 22:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1%20(510).gif
1%20(510).gif [ 67.65 KiB | เปิดดู 2142 ครั้ง ]
นั่งบ่น หรือ นั่งปรับทุกข์สติปัฏฐานสี่ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 27 ม.ค. 2010, 22:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 22:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 26


น่าจะเป้นทางเลือกที่ดีนะ? says:

วันนี้เดิน ก็ วันนี้เจอกิเลส แบบ หยุ่มหยิมหลายตัวเหมือนกัน แต่มันบางๆอะ ก็เลยตั้งใจ
จะมาเอาเดินพิจารณาวันนี้ พอดีว่าเรื่องที่คิดมันมีมากไป ก็เลยไม่รุ้จะพิจารณาตัวไหนก่อน
ก็เลยเดินไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ไม่ได้พิจารณา เปลี่ยนใจหันมาดูเท้าก่อน ให้สติมันตั้งตัวก่อน

แล้วจู่ๆมันก็เกิดเบื่อขึ้นมา จำคำที่พี่น้ำพูดได้ว่า กิเลสไม่มีทางกำจัดได้ มีแต่ทำให้เบาบางลงได้
ก็เลยเบื่อกิเลส คิดว่า ถ้ายังเป็นมนุษย์อยู่ก็คงไม่พ้นต้องมีกิเลส ก็เลยรู้สึกเบื่อ ไม่อยากเกิด
มีความรู้สึกว่าไม่อยากจะเกิดอีก ขึ้นมาครั้งหนึ่ง ตอนแรกก็แปลกใจเล็กน้อย ดูไป สักพักก็หายไป
แล้วก็รู้สึกใหม่ ทั้งหมด สอง ครั้ง จากนั้นก็พิจารณาไปเชื่อมกับพระพุทธเจ้า
คือ เราแปลกใจที่เรารุ่สึกไม่อยากเกิด ความรุ้สึกไม่อยากเกิดเนี่ย พระพุทธเจ้าเป็นผู้สอน
ไม่มีนักปราชญ์ใดเป็นผู้บอกแบบนี้ ก็เลยรุ้สึกนับถือแบบว่า มากๆ จากนั้นก็ เดินไปคิดไป ทำนองนี้

รูปแบบการเดินเปลี่ยน เหมือนเราเป็นสายน้ำ แล้วเดินไปแบบว่า ล่องลอย เหมือนตัวมันเบาขึ้น
สบายขึ้น เดินเร็วขึ้นหน่อย เหมือนสายน้ำ พอกำหนดลงดูเท้าไป มันกำหนดไม่ค่อยได้

แต่รุ้ว่าเดินอยู่ ก็เป็นผู้ดู บางทีพยายามกำหนดสติลงไปในเท้าแต่มันหลุด มันอึดอัด ก็เลยปล่อยไป
เราก็แปลกใจ ก็เลยคิดว่า บางทีนี้อาจเป็นสภาวะหลอก นะคะ แล้วเป็นสภาวะสายน้ำได้ครู่หนึ่ง

สุขที่แท้จริง says:

จิตเป็นสมาธิน่ะค่ะ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ

น่าจะเป้นทางเลือกที่ดีนะ? says:

คะ เดินมีสติขึ้นมานิดหนึง แล้วช่วงไหล่เหมือนมีอะไรออกไป เหมือนเวลาแบบของหนักมา
แล้ววางลงทำให้เบาขึ้น แล้วก็เดินแบบนั้นเหมือนปล่อยวางอะไรที่เราไม่รู้

มันสบายนะคะ รุ้สึกได้เลยว่ามีความสุข แต่ว่าเราไม่ติดสุข อาจจะเพราะหัวมึนๆมั้ง
แบบปวดช่วงคอ การเดินก็มีเท่านี้ เรื่องปรามาสก็ยังมีอยู่

นั่งก็รุ้สึกว่ามันนิ่งดี ไม่สนใจแล้วว่า จะนิ่งแบบไหน นิ่งแบบร่างกายหายหรือนิ่งแบบหลุดเข้าไปในใจ
แต่ก็ไม่ได้นิ่งแบบนั้น ก็รุ้ว่านิ่ง บางทีก็ลืมดูลม แต่ว่ายังดูตัวเองนั่งสมาธิอยู่ ก็มีแบบฟุ้งไป บ้าง หลุด
แล้วก็ สิ่งที่เราให้ความสำคัญที่สุด นั้นแหละ จุดอ่อนที่สุด ของเรา

สุขที่แท้จริง says:

ถึงต้องฝึกเจริญสติเพราะเหตุนี้
เพราะยิ่งสภาวะที่ละเอียดมากเท่าไหร่ ต้องใช้สติ สัมปชัญญะที่มากขึ้น
พี่ถึงไม่เน้นเรื่องสมาธิ เพราะถ้าสมาธิมากเกินไป ก็ทำให้ ไม่สามรถเห็นตามความเป็นจริงได้
เพราะมันไปกดข่มกิเลสเอาไว้ แต่เมื่อสติ มากขึ้นเท่าไหร่ สมาธิก็เกิดได้มากตามตัวภายหลังเอง


น่าจะเป้นทางเลือกที่ดีนะ? says:

แล้วสภาวะเรามันยังไงคะ เราก็รุ้ว่าบางช่วงยังไม่มีสติ นิสัยเก่าๆเราหายไปเกือบหมดแล้วพี่

สุขที่แท้จริง says:

จำไว้ว่า สร้างเหตุอย่างไร รับผลเช่นนั้น กิเลส ที่มากระทบเราก็คือคนที่มีวิบากร่วมกับเรา
มันเป็นทั้งการชดใช้และสร้างสติ ถ้ายังหวือหวาตามสิ่งที่มากระทบที่ถูกใจ
และไม่ถูกใจ มันเลยกลายเป็นการสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อมีสติมากขึ้น
แล้วต่อไปจะอยู่กับสิ่งต่างๆได้โดยไม่ต้องไปสุขหรือทุกข์กับมันอีก มันจะแค่รู้ และแค่ดูมากขึ้น
เรื่องการปรามาส สติมากขึ้น มันจะดีขึ้นเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ กิเลสจะเบาบางลงไปเอง
สภาวะมันจะสอนเราเอง มันจะเป็นไปตามสภาวะเองค่ะ


น่าจะเป้นทางเลือกที่ดีนะ? says:

ค้า... เราแบบว่า แต่ว่าเรื่องการเลิกว่าคนอื่นเนี่ย มันเป็นไปเอง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 23:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


บางคนอ่านเพื่อเอาความรู้

แต่บางคนอ่านเพื่อจับผิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2010, 23:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 27


นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องหาคำตอบสินะ says:
เดิน ได้ความรุ้ว่า ความดีใจเสียใจมันเหมือนสายน้ำ ไหลมาแล้วก็จากไป อย่าไปยึดติด
ถ้ายึดติดความสุขที่ไหลผ่านไปแล้ว มันทำให้คนบ้าได้ กับ ทำอะไร อย่าไปแคร์สายตาคนอื่นมาก

ต่อไปนี้ ถ้าจะพูดอะไรจะไม่มานั่งกังวลทีหลังแล้ว ก็คือ การพูดก็ต้องระวังให้ดี
แล้ว มันก็เห้น ความดีใจ กับ ความทุกข์ใจ ลอยมา พอรุ้ว่าควรจะจัดการไงกะมันดี
ก็เลย เอาความรุ้สึกเหล่านั้นออกไปนอกตัว

มันเหมือน เรารุ้ว่า ของพวกนี้มันไม่ติดใจเรา มันมามันก็ไป มันไม่ได้อยู่ในตัวเรา มันอยู่รอบนอก
แล้วช่วงนั้นที่เดิน มันรุ้สึกเหมือนว่า แม้แต่โลกทั้งโลกก็จะไม่สนใจ โลกที่อยู่ตรงนี้เป้นเรื่องนอกตัว
ตัวเราไม่มีอะไร มันเห็นแบบนั้น สักพักหนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนกลับไปเป็นฟุ้ง

จากนั้นก็นึกถึง คนที่เคยเล่าให้ฟังคะ ว่าเราอาฆาต
ที่ผ่านมาก็ลดความอาฆาตลงไปได้มากแล้ว ตอนนี้เหลือแค่เพียง สะใจนิดๆ
เป็นยังไงล่ะ อยากรีบตัดสินคนเอง ไม่ให้โอกาสคน
พอใจมันรุ้ว่า เพียงแค่คิดแบบนั้นเล้กน้อย มันก็คือความพยาบาท
ตอนแรกเราไม่คิดจะทำไรกับมันนะ

พอรุ้ว่าพยาบาท ก็เลยรุ้ว่าที่เคยๆท่องไปว่า ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้เจ้ากรรมนายเวร นั้น
มันยังอโหกรรมได้ไม่เต็มที่ มันยังคาในใจอยู่
แล้วเราก็ตั้งจิต ว่า ขออโหกรรมจริงๆ แบบว่า

ตอนนั้นเราก็ยืนนิ่ง แล้วนึกคนที่เรายังพยาบาทอยู่
เราก็ขออโหสิกรรมจริงๆและก็แผ่บุญไป ด้วยความเต็มใจ
พูดว่าตัวเราจะเป็นผู้ไม่มีเวรกับใครอีก

สุขที่แท้จริง says:

โมทนาค่ะ หมั่นทำบ่อยๆนะคะ ภพชาติจะได้สั้นลงค่ะ
ความพยาบาททุกๆครั้ง จะก่อให้เกิดภพชาติใหม่ทุกๆครั้ง


นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องหาคำตอบสินะ says:

คะ พี่ สาธุ
ต่อจากนั้น ก็ ไปปรามาสพระพุทธ แรงเหมือนกัน คำปรามาสมันมาเรื่อย
เราก็พยายาามคิดว่าพระพุทธคือผู้มีบุญคุณยิ่งของเรา ทำนองนี้ ก็นะมีเท่านี้คะ

วันนี้นั่ง 7 นาที นานกว่าเดิมนะ ดูท้องพองยุบ แล้วก็เข้าไปนิ่ง
ช่วงที่นิ่งก็รุ้ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ ตัวหายไป จับลมที่จมูก เห็นหายใจแผ่วๆ
มีเท่านี้คะ

สุขที่แท้จริง says:

โมทนาด้วยค่ะ

นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องหาคำตอบสินะ says:

คะพี่

สุขที่แท้จริง says:

อารมณ์น่ะค่ะ มันจะมีผลต่อการปฏิบัติ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2010, 23:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 28

ตัวเราเป็นผู้ไม่มีอะไร says:

วันนี้เดินก็ได้พิจารณา รุ้ว่า ที่เกิดมานะเพราะ ถ้าเอาไปลง มันเป็นกิเลสส่วนลึกว่า
อยากให้มีคนมาเทิดทูนบูชาตัวเอง อันนี้ไม่เคยรุ้มาก่อนจนมาเดินแล้วจึงรุ้

ช่วงกลางเป็นช่วงที่ เดินแล้วเงียบ นิ่ง แล้วมันอึนๆหัว แบบว่าเราคิดว่าสมาธิมันเยอะ
แต่ช่วงที่เดินนั้นความคิดมันทำงานตลอด เป็นแบบว่าคิดพิจารณาเป็นส่วนใหญ่ บางทีก็คิดเพลินฟุ้งไป แต่ว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่ การปรามาสมันมาน้อยเหมือนว่าสติข่มไว้คะ
ตอนเดินใกล้จบแล้วมันมีเรื่องให้พิจารณาต่อ แต่เพราะหมดเวลาเดินแล้ว

นั่งสมาธิวันนี้ ดูลมหายใจเป็นหลัก มีช่วงที่ขนลุกขนพองทั่วตัว แล้วช่วงท้ายของการนั่ง
เป็นการหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ นั่งทั้งหมด 5 นาทีคะวันนี้

สุขที่แท้จริง says:
มานะกิเลส ต้องพระอรหันต์เท่านั้นที่จะละได้
กิเลสแต่ละคนมากน้อยไม่เท่ากันค่ะ แล้วแต่ว่าจะสะสมอะไรกันมาบ้าง


ตัวเราเป็นผู้ไม่มีอะไร says:
ทำไงดีอะ ไม่อยากเป็นแบบนี้เลย

สุขที่แท้จริง says:


กิเลสมันจะมาทดสอบตลอดเวลา มาในรูปแบบคนที่มีวิบากกรรมกับเราเอง
เขาเราไม่แตกต่างกัน ทุกๆคนจะเจอเหมือนกันหมด สุดแต่ว่าสติใครจะทัน
ถ้าทันคือวิบากจบกับคนๆนั้น ถ้าไม่ทันดันไปต่อยอดกับเขาอีก ก็ยืดยาวออกไป

นี่แหละ ตรงนี้แหละที่เรียกว่าห้ามแทรกแซง คือ เรื่องจริงที่เกิดขึ้น เกี่ยวข้องกับบุคคล
กระทบแล้ว เกิดความพอใจก้ต้องกำหนดหรือรู้ลงไป ไม่พอใจก้ต้องกำหนดหรือรู้ลงไป
แต่ห้ามโต้ตอบอย่างเด็ดขาด ตรงนี้แหละยากสุดๆสำหรับคนมานะแรง


ตัวเราเป็นผู้ไม่มีอะไร says:

ความถูกต้องคือความยิ่งใหญ่!!

สุขที่แท้จริง says:

ถูกต้องในความคิดของเราเองไง แต่สำหรับคนอื่นอาจจะไม่ใช่

ตัวเราเป็นผู้ไม่มีอะไร says:

มีวิธีหายมะ

สุขที่แท้จริง says:

เจริญสติมีวิธีเดียวค่ะ เมื่อเห็นตามความเป็นจริงได้ มันจะค่อยๆเบาบางลงไปเอง
แต่ละคนไม่เหมือนกัน มันไม่เที่ยง ทุกคนล้วนมีอดีตที่ตัวเองไม่พอใจค่ะ
นั่นคือทำให้เราได้พบธรรมะ ถ้าเรายังสะดวกสบาย เราคงไม่มาสนใจมากมาย


ตัวเราเป็นผู้ไม่มีอะไร says:
เรานี่แย่จิง กิเลสแย่ๆ

สุขที่แท้จริง says:

ตอนนี้อาจจะว่ากิเลส แต่วันหน้าจะขอบคุณเขา

ตัวเราเป็นผู้ไม่มีอะไร says:

ไม่อะ ทำชีวิตเราแย่

สุขที่แท้จริง says:

ก็ใครเป็นคนลงมือกระทำล่ะคะ เราจึงต้องมาเจริญสติเพราะเหตุนี้แหละ
เราต้องเป็นขี้ข้ากิเลสมานานกี่กัปป์กี่กัลป์แล้วล่ะ


ตัวเราเป็นผู้ไม่มีอะไร says:

เราต้องหักล้างมันใช่ไหม

สุขที่แท้จริง says:

มันจะเป็นไปตามสภาวะเองแหละค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2010, 22:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 29


วันนี้มืดเร็วจังนะ... says:

เสร้จแล้วตะ วันนี้ ช่วงที่เดิน ช่วงแรกรุ้สึกว่า มันไม่ค่อยมีอะไร แบบว่าไม่รุ้จะเดินยังไงต่อดี
ก็นึกถึงเรื่องเมื่อวันนี้ ว่าเจออะไรมาบ้าง ก็ไปคิดเรื่อง ผู้นำ กับผู้ตาม

ถ้าเป็นผุ้นำ จะหัวแข็งๆหน่อยใช่มะ เราก็คิดว่า บางทีเราอาจจะเป็นแบบนั้น แต่เราไม่ใช่ผู้นำ
ถึงจะอยากเป็นก็เถอะ ถ้าไม่อยากขัดใจใครก็เป็นผู้ตาม แต่ว่า กลัวว่าถ้าเป็นผู้ตามจะสูญเสียจุดยืนไป
ก็คิดว่าเอายังไงดี จึงจะลงตัวได้พอเหมาะ

ความคิดที่ว่าจะไม่สนใจใคร บางทีก็สร้างตัวตนของตัวเองให้ใหญ่ขึ้น
แต่ว่าถ้าสนใจคนอื่น บางทีมันก็ทำให้ทุกข์เช่นกัน

ก็เลยคิดว่า เอาไงดี ตรงนี้ก็พิจารณายากอะ จนกระทั้งเราปล่อยไปพักหนึ่ง จู่ๆสติ มันก็มา
คือรุ้สึกเลยว่า เวลาจะทำอะไร พูดอะไร คิดอะไร ต้องมีสติก่อนทุกครั้ง

พอสติมา สักพักหนึ่ง เราเจอคำ ที่มันชอบว่าคนอื่น
เราก็คิดว่า บางคนมันไม่มีนี่นา แล้วเราจะเก็บไว้ทำไม ก็เลยกวาดมันออกไป
ตอนนั้นใจมันก็ว่างเลย

จากนั้น เรารู้สึกว่า เมื่อกิเลสน้อยลง สติกับสมาธิมันจะทำงานได้อย่างเต็มที่
ช่วงนั้นเรามองเห็น กาย กับ จิต ได้ ชัด กาย และจิต อยู่ใกล้กันนิดเดียว จิตอยู่ที่กลางอก
หลังจากนั้น เดินไป สักพัก ก็คิดว่า กาย มันไม่น่าสนใจ สนใจจิตดีกว่า ทำนองนี้

แล้วก็ไปคิดเรื่องพระสัฆราชที่ตั้งชื่อให้เรา แล้วก็นึกถึงพี่คนหนึ่ง อยากจะวัดจิตว่าใครดีกว่า ทำนองนี้
แล้วก็ เดินต่อไป เรื่อยๆ ช่วงท้ายๆก็อยากฟุ้งก็ฟุ้ง มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ จิตมันไปคิดกังวลว่า
คนมองจะมองเรายังไง ก็คือว่าเรากังวลตรงนี้ก่อนหน้านี้แล้ว ตอนเดินก็รุ้สึกกลับไปกังวลอีกที
แล้วเราก็รุ้สึกว่า มันผ่านไปแล้ว คนอื่นสนใจคิดยังไงช่างมัน
เพียงเท่านั้นความคิดที่ค้างอยู่มันดับเกือบสนิทเลย ก็ มีเท่านี้อะคะ

นั่ง 10 นาที ก็ นั่งแล้ว ดูลม ร่างกายหาย ฟุ้งบ้าง เด็ดสุดมีแค่ กาย หาย จากนั้นก็ เท่านี้อะคะ

สุขที่แท้จริง says:

ลมหายใจปกติดีมั๊ยคะ

วันนี้มืดเร็วจังนะ... says:

ดีคะ ไม่มีติดแล้ว

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ จะได้ไม่อึดอัด ดีแล้ว พยายามทำให้ได้ต่อเนื่องนะคะ
ทุกคนล้วนแต่มีความทุกข์ ทุกข์ของแต่ละคนนั้นมากน้อยตามกิเลสของแต่ละคน
ทุกข์มีทั้งภายนอกและภายใน ทุกข์ที่มองเห็นกับทุกข์ที่ซุกซ่อนไว้ในซอกลึกๆ
เมื่อเราเผชิญกับความทุกข์บ่อยๆ เผชิญแบบถูกบีบคั้น ทรมาณ ขมขื่น มันจะทำให้เราเข็ด
จนถึงจุดๆหนึ่ง เราจะเห็นอนิจจัง สุขก็ไม่เที่ยง ทุกข์ก็ไม่เที่ยง ทุกอย่างไม่มีอะไรเที่ยง
แต่ที่เรายังยึดมันอยู่ เพราะเรายังมีกิเลสอยู่


วันนี้มืดเร็วจังนะ... says:

เราก็เริ่มมองเห็นชัดแล้ว คะ จากวันนี้ แต่ว่า มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่มันรุ้สึกเครียดๆ
ไม่อยากจะเดินเลย เหมือนว่าไม่มีอะไรจะเดิน แต่ก็ยังเดินต่อไป

สุขที่แท้จริง says:

เพราะเราต้องทำไงคะ ตราบใดที่จิตเรายังมีการเพ่งโทษผู้อื่น คือ คิดว่าผู้อื่น ยังไม่พ้นหรอกค่ะ
การที่ใครจะไม่ว่าใครได้นี่ เจ้าตัวต้องเจอบทเรียนสะท้อนกลับ แล้วจะทำให้เข็ด แล้วจะระวังความคิด
จะไม่กล้าว่าใครๆอีกเด็ดขาด แม้แต่จะคิดก็ยังไม่กล้า เพราะกลัวผลตอบกลับ
เหมือนสภาวะที่หมูกำลังเจอในช่วงนี้ จะทำให้หมูเข็ดและกลัวการคิด
ไม่ว่าจะเรื่องปรามาสหรือคิดไม่ดีกับใครๆ คนที่เห็นกิเลสตัวเอง แล้วเริ่มยอมรับ แล้วทำให้ทุกข์น่ะ
มันไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆนะคะ ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ จะไม่คิดว่าใครๆอีกแล้ว
ภพชาติมันก็สั้นลงไป เพราะไม่ได้สร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นกับใครๆอีก

เพราะทั้งหมูและเราน่ะเจริญสติ มากกว่าทำสมถะ เลยเจอกิเลสไว พี่น่ะที่ไม่เจอเพราะสมถะกดเอาไว้
พอเจอก็สติครึ่งหนึ่ง สมาธิครึ่งหนึ่งรับเอาไว้ เลยไม่เห็นเต็มที่

พี่มาเห็นจะๆชัดๆตอนไม่มีสมาธิเลยนี่แหละ ถึงได้เข้าใจเรื่องสติ สัมปชัญญะ เดิมน่ะเข้าใจอยู่แล้ว
แต่ตอนหลังนี้เข้าใจชัดแจ้งเลย พี่ถึงกล้าพูดเรื่องสุขและทุกข์ว่ามันไม่เที่ยงได้เต็มปากกว่าเมื่อก่อน
เพราะเห็นมันชัดมากๆ


วันนี้มืดเร็วจังนะ... says:

คะพี่ ขอบคุณคะ ไม่รุ้สิ ช่วงนี้ก้อแบบว่า พวกเราเองก็เริ่มไม่กล้าปรามาสใครเนอะ

สุขที่แท้จริง says:

เหมือนการกำหนด หนอ น่ะ ถ้าไม่ขาดจริงๆ มันข่มเอาไว้ เพราะเวลากำหนดน่ะ สติก็เกิด สมาธิก็เกิด
ไอ้ที่กดๆเอาไว้น่ะ พอวันไหนเกิดไม่มีสมาธิแบบพี่นะ จะรู้สึกเลย มันพุ่งขึ้นมาหมดทุกอย่างเลย
ทุกข์มากๆ ทรมาณมากๆ


วันนี้มืดเร็วจังนะ... says:

แต่ของเรา มันไม่กดนี่เนอะ ของเรานี่ เราแบบว่า เผชิญหน้า แบบ ตายเป็นตายเลย

สุขที่แท้จริง says:

มันคนละอย่างกันน่ะ วันใดถ้าไม่มีสมาธิ สติมันยังช่วยเราได้ แต่คนที่เน้นสมาธินี่สิน่าสงสาร

วันนี้มืดเร็วจังนะ... says:

เราตัดได้เร้วคะ เพราะว่าเรารับความจริงได้มากกว่า

สุขที่แท้จริง says:

แล้วสภาวะจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆค่ะ แต่กิเลสนี่สิ มันจะผูกมัดเราไว้อีกไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ

แต่ก็ต้องฝืนทน... says:

คะพี่... เราเคยเจอไรหนักๆมา เรื่องพวกนี้เราก็เลยรับได้คะ
จริงๆแล้วเราไม่รุ้ด้วยซ้ำว่ามาตราฐานของคน มันอยู่ตรงไหน

สุขที่แท้จริง says:

เข้าใจความรู้สึกค่ะ เจออะไรหนักๆ ตรงนี้เข้าใจนะ ถึงแม้ว่าคำว่า หนัก
ของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกันก็ตาม เมื่อมันเจอแล้วมันจะเข็ด ไม่ยอมทำอีก


แต่ก็ต้องฝืนทน... says:

เป็นกิเลสที่เราเคยเจอด้วยอะ เรื่องเทียบเคียงพี่น้ำ เราเคยเป็นนะ
แล้วนานแล้วอะ ที่เลิกได้ ตอนที่เราพูดถ่อมตัวกะพี่น้ำคะ นั้นแหละ เลิกได้แล้ว

สุขที่แท้จริง says:

พี่ไม่ถือนะ เรื่องธรรมดาน่ะค่ะ

แต่ก็ต้องฝืนทน... says:

เราอาจจะ มี หลงตัวเอง หรือว่า ถือตัวตน เกิดขึ้น แต่เราจะผ่านมาให้ได้คะพี่
เรารุ้สึกสบายขึ้นเยอะเหมือนกัน เราดีใจที่ได้เจอพี่นะคะ

สุขที่แท้จริง says:

จ้าาา ... คิดว่าไม่ดีใจสะอีก

แต่ก็ต้องฝืนทน... says:

แหม ได้ไง พี่ให้ชีวิตเราเลยนะ ทำให้เราได้รุ้จักความสุข ทั้งหมดเนี่ย เราไม่มีทางทำได้เลยล่ะคะ

สุขที่แท้จริง says:

หืมมม ... ไม่เกี่ยวกับพี่เลยนี่นา ทุกอย่างอยู่ที่การกระทำ เราเป็นคนเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง
ถึงพี่จะบอก จะแนะนำ ถ้าไม่ทำ มันก็ไม่มีผลอะไรเลย นี่ตัดสินใจที่จะทำ พี่ถึงบอกว่า เราสามารถ
ลิขิตชะตาชีวิตเราได้ จำคำพี่ไว้อย่างนะ ความอยากสามารถทำลายเราได้ทุกเมื่อ
ถ้าเราปล่อยให้มันครอบงำเรา


เตรียมตัวให้พร้อมนะ says:

เราจะดำรงชีวิตของเราให้ดีที่สุดคะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.พ. 2010, 00:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 30

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:
ตอนเดินช่วงแรกนี้ ฟุ้งก่อน แล้วค่อยคิดว่า วันนี้ พิจารณาเรื่อง มานะ ดีกว่า
แต่ปัญหามีอยู่ว่า เราไม่ค่อยเข้าใจความหมายของมัน ก็เดินนึก ก็จำได้แค่ว่า แปลว่าความยึดถือยึดมั่น
แต่มันก็ไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี ตอนแรกเราไปแปลว่า ความถือตัว ก็เลยไป มองใจไป รุ้สึกว่าหาเจอยากจัง
แล้วจู่ๆมันก็รุ้ว่า ความถือตัวมันไปผสมกับโทสะ ก็งงๆว่าคิดถูกเป่า ก็ดูๆไป

แล้วก็เดินไปพิจารณาไป อะไรทำนองนี้ จนคิดว่า หันกลับมาดูเรื่องสติดีกว่า
ก็เปลี่ยนเป็นดูเท้า แต่ว่าจิตมันจะชอบคิดไปพิจารณาเรื่องอื่น เราก็กลับมาดูเท้าสลับกับคิด

แล้วจู่ๆ มันก็แบบว่า รุ้สึก เกลียดกายขึ้นมา มันแบบเหมือนอึดอัดอะ
เห็นกายเป็นก้อนดินเหนียวสีเหลือง บางทีก็เห้นแบบซากศพเปื่อยๆ เดินอยู่ เห็นจางๆ
แล้วมันเกิดความรุ้สึกว่า อยากจะเหวี่ยงร่างกายทิ้งออกไป อยากจะทำอะไรก็ได้ เอามันออกไป
แล้วก็ดูเหมือนว่า พอได้พิจารณา ก็ได้ว่า กายไม่ใช่ตัวเรา ความยึดถือยึดมั่นในกายเลยลดลง
แล้วจู่ๆมันก็รุ้ว่า เราสถิตอยู่ในกาย แค่นั้น

แล้วพอเดินไปสักพัก ก็ออกจากการพิจารณาเรื่องนี้ จริงๆแล้วเราอยากจะพิจารณาต่อนะ
แต่มันไม่มีอะไรจะให้พิจารณาแล้ว แล้วก็เดิน ดูเท้าไป

ก่อนหน้าพิจารณากายอะคะ เรารุ้สึกว่าตัวเองเป้นพวกแบบ ถ้ายึดมั่นในความรุ้สึก ก็จะสุดๆไปเลย
แต่อีกด้านตรงกันข้าม ก็คือ การไม่รุ้สึกอะไรทั้งสิ้น ไม่มีความรุ้สึก เราก็มองดู แล้วก็คิด
จากนั้นก็เลยเอาด้านที่ไม่มีความรุ้สึก มาซ้อนทับเรา อันนี้คือก่อนหน้านั้น

กลับมาที่ หลังจากพิจารณากายเสร้จ ก็เดินดูเท้าไป รุ้สึกว่ามีสติเพิ่มขึ้นมาก แบบว่าคำปรามาส
ไม่ค่อยมีคะ ถ้ามีก็แปปๆ ไม่ก็ มาแล้วก็ทิ้งช่วงได้ยาวหน่อย

ช่วงนั้นเหมือนมีสมาธิคอยหล่อหลอม ช่วงที่เดินอะคะ แบบว่า มันไม่คิดอะไรจนเหมือนลืมเวลาไปเลย
แบบว่า นั่งครั้งนี้ไม่ใช่ลืมตาแล้วพยายามนั่งต่อ แต่นั่งยาวไปเลย
นั่งแล้วมันรุ้สึกว่า เมื่อกี้พิจารณาเยอะ เลยอยากพักโดยการนั่งสมาธิ
มันมีฟุ้งอะไรบ้าง แต่โดยรวมคือ รุ้ลมหายใจคะ แล้วก็เข้าไปนิ่งแบบ สบาย สบายมากคะ
แต่รุ้สึกตัวรุ้ว่ากายเคลื่อนไหว รุ้ลมหายใจ คือไม่ฟุ้งไปเลย แต่มันจะมีแบบแอบฟุ้งอยู่
มันรุ้สึกสบายจนไม่อยากจะลืมตา สุดท้ายก็ได้ 8 นาทีนี่แหละคะ

สุขที่แท้จริง says:
ก็สมาธิ ดีตั้งแต่เดิน พอไปนั่งสมาธิเลยเกิดต่อเนื่องน่ะ

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:
อ่า เหรอคะ ไม่รุ้นะเนี่ย ทำไมรุ้สึกว่าตอนนี้เราเบลอแปลกๆอะ
เหมือนว่า จิตมันลอยๆ สงสัยเราไปพิจารณาผิดแน่เลย เรื่องการยึดถือยึดมั่นอะ

สุขที่แท้จริง says:
เปล่าหรอกค่ะ เวลาเกิดสมาธิ มันสามารถทำให้เรารู้สึกลอยๆ เนิบๆ ใช่อาการแบบนี้หรือป่ะคะ

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:
มันแบบว่า หยิบรีโมตมาแล้วมันทำตกอะ พิมพ์ก็เหมือนจะพิมพ์มั่วๆ

สุขที่แท้จริง says:
เอ่ .. อันนี้ขาดสตินี่คะ คิดอะไรอยู่ในใจหรือป่ะคะ

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:
อือ คิดว่าไปพิจารณาเรื่องการยึดถือยึดมั่นผิด

สุขที่แท้จริง says:
การยึดมั่นถือมั่นนี่ รู้มั๊ยหมายถึงอะไร

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:
การคิดว่าเรื่องมีตัวตน เราไปเอาความมีตัวตนออกมั้ง ก็เลยเบลอๆ

สุขที่แท้จริง says:
การยึดมั่นถือมั่น มันหมายถึงอุปทานในขันธ์ 5

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:
กำลังเรียกสติกลับมาอยู่

สุขที่แท้จริง says:
หายใจยาวๆช่วยสิคะ

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:
คะ ดีขึ้นแฮะ เมื่อกี้ใช้วิธี ทำนองว่าเพ่ง มั้ง

สุขที่แท้จริง says:
อ๋อ ... เพ่งค่ะ

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:
ตั้งแต่เดินมาครั้งนี้พิจารณาผิดครั้งแรกแหะ

สุขที่แท้จริง says:
ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่ผิดแล้วเราจะรู้มั๊ย

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:
ตกลงพี่รุ้อะเปล่าว่าเราเป็นอะไร ดูเหมือนจิตเราจะยังไม่ลงรอยเลย

สุขที่แท้จริง says:
คิดว่าอะไร " จิตมัวไปพะวงกับเรื่องมานะว่าพิจรณาถูกมั๊ง สติมันเลยไม่ทัน "
อันนี้จากเมื่อกี้นะคะ จากที่พี่อ่านที่พูดมานะ


ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:
เราไปเอาความมีตัวตนออก ก็เลยเบลอๆ อันนี้พี่เข้าใจเปล่า

สุขที่แท้จริง says:
คิดเองเออเองเลยนะคะนั่นน่ะ

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:
ม่ายอะ เราว่าเป็นแบบนั้น

สุขที่แท้จริง says:
การเอาตัวตนออก ไม่ใช่ไปพิจรณาแบบนั้น

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:
อือ ก้อเลยบอกว่าพิจารณาผิดไง

สุขที่แท้จริง says:
ค่ะ ผิด การพิจรณาตัวตน เราต้องพิจรณาในขันธ์ 5 อุปทานการยึดมั่นในสกลกายนี้ว่าเป็นของเรา

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:
เราต้องไปศึกษาสินะว่าแต่ละตัวแปลว่าอะไรบ้าง

สุขที่แท้จริง says:
กำลังคิด เพราะพี่เจอโดยสภาวะ ไม่ใช่พิจรณา
ถ้าให้พิจรณา พี่จะถามตัวเองว่า เวลาเกิดเวทนา มันเกิดขึ้นเพราะอะไร
เวลานั่งแล้วปวดขาหรือทุกขเวทนาทางกาย มันเกิดทุกข์ เพราะเราไปยึดมัน ..
โห .. คนพิจรณาได้นี่ เก่งมากๆเลยแฮะ เพราะมันต้องถอดออกมาทีละขั้น
กุศลพี่ดีนะ


ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:
บางทีเราน่าจะทำแบบพี่น้ำได้ด้วยนะ ไม่ต้องพิจารณาเงี้ย
เราจะเดินแบบไม่ต้องพิจารณาได้ไหม จะได้ไม่ต้องไปศึกษาว่ามีไรอีก

สุขที่แท้จริง says:
ได้สิ

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:
อิอิ... แบบนี้เรียกว่าขี้เกียจเป่าน่า..

สุขที่แท้จริง says:
สภาวะ เขาจะเลือกเองนะ พอเขาเบื่อตรงนี้ เขาไปตรงอื่น

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:
นั้นสินะ ถูกอยากที่พี่บอกเลย

สุขที่แท้จริง says:
แต่ละคนสภาวะเขาจะบีบให้เข้าทางเองค่ะ คือ มันจะเห็นเองน่ะ แล้วจะรู้ว่าเราต้องทำแบบนี้
ยิ่งเห็นกิเลสยิ่งดี ไม่ใช่ทำแล้วสงบสบาย อาจจะค้างอยู่นาน หรือไปไว แล้วแต่เหตุที่กระทำมา


ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:
เราไม่ได้ท่องอะไรมามากมาย พี่ก้อรุ้ เนอะ? เรารุ้แค่ โทสะ โมหะ โลภะ ราคะ
สงสัยถ้าเราจะพิจารณาละเอียดลงไปกว่านี้ เราจะสับสนไหมนี่

สุขที่แท้จริง says:
อื่มมม ... เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง เวลาสมาธิเขาทำงานพร้อมๆกับสติ จิตมันจะเกิดการพิจรณา
แค่ คิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมา มันจะได้คำตอบ พี่น้ำพิจรณาอะไรไม่เป็น
แต่เด๋วนี้ จิตเขาพิจรณาเองบ่อยมาก พี่แค่ดู แต่ก็ดี ทำให้เรายึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆน้อยลงไป
เพราะพอพิจรณาแล้วมันจะเห็นแต่อนิจจัง


ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:
ตกลงตัวมานะ เราจะเอาออกยังไงเหรอ

สุขที่แท้จริง says:
มีทุกคนแหละค่ะ ตัวกูน่ะ พี่น้ำเองก็ยังมีเลย แต่เบาบางลงไปเยอะ
ต้องพระอรหันต์เท่านั้นที่ละตัวนี้ได้หมด เจ้าตัวผู้รู้นี่มันก็คือกิเลสนี่แหละ กิเลสในตัวเรา ที่ว่า
เราคิดว่าเรารู้ ถ้า เข้าใจ ผู้ดู ผู้รู้ ตัวผู้รู้นะ เจ้าตัวมานะกิเลสนี่จะเบาบางลงมากๆ


ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:
ตอนนี้เราก้อยังเยอะอยู่เหรอ

สุขที่แท้จริง says:
เพราะเจ้าตัวผู้รู้หรือมานะนี่แหละ ก่อเหตุให้เกิดไม่รู้จบ
ถ้าถามตอนนี้นะ ไม่นะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 23:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 31


ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

ช่วงแรกก็พิจารณาไปตามเรื่องตามราว แล้วความรุ้สึกที่ว่ามันร้อนอึดอัดในอก
ก็เลยพิจารณากายไป จากนั้น ก็ฟุ้งไปวูบหนึ่ง
กลับมาอีกที สบายเลย แบบว่าไม่มีความรุ้สึกนั้นแล้ว เหมือนว่าเราไม่อยากมี
แบบสบาย เข้าใจที่พี่บอกเลยว่า ที่อึดอัดก็เพราะกิเลส

หลังจากนั้นก็ไม่อยากพิจารณา ก็เลยเดินธรมดา ฟุ้งบ่อยเหมือนกัน
แล้วบางทีมันก็ง่วง แต่ไม่ใช่ง่วงจะหลับ คือง่วงวูบหนึ่งแล้วก็หาย เป็นงี้สัก 4-5 รอบ

จากนั้นก็ลองพิจารณาดู แล้วช่วงจะ 10 นาทีสุดท้ายมันค่อยๆปวดท้อง
จนปวดมากเดินต่อไม่ไหวเลยไปเข้าห้องน้ำ ท้องเสียคะ นั่งอยู่นานเลย ทรมานด้วย

สุขที่แท้จริง says:

หยุดถ่ายยังคะ

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

หยุดแล้วคะ กลับมาเดินให้ครบอีก 10 นาที จริงๆแล้วมันรุ้สึกไม่อยากเดิน แต่รุ้ว่าเดินแล้วดี

สุขที่แท้จริง says:

เบื่อใช่ป่ะคะ

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

ตอนเดิน ก็เลยพยายามนึก มันได้รุ้เลยว่าทำไมคนมีความทุกข์พอปฏิบัติไปสักพักถึงเลิก
ไปใช้ชีวิตตามปกติต่อ

เป็นเพราะว่า เขาเดินแล้วไม่เห็นอะไรต่อ แล้วก็หายทุกข์แล้ว ทำนองนี้
ปรามาสพระน้อยลงเยอะมากคะ แต่ยังมีแอบอยู่ มีแค่นี้นะคะ

สุขที่แท้จริง says:

แล้วได้นั่งหรือป่ะคะ

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

นั่ง 1 นาที ไม่ต้องถามว่าเปงยังไงหรอกเนอะ

สุขที่แท้จริง says:

ไม่อ่ะ

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

หายใจ ดูลม นิ่ง แล้วก็ขี้เกียจ ก็ออก

สุขที่แท้จริง says:

นั่นสิ พี่ก็ว่างั้นแหละ

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

นั่งท่องบทแผ่เมตตา อย่างรวดเร้วมากๆ แล้วก็จบ ทั้งหมดใช้เวลาเพียง 3 นาที

สุขที่แท้จริง says:

สัมภเวสีกระเจิงเลย เวลาแค่ 3 นาที ตะครุบบุญไม่ทัน

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

อิอิ ไว้วันหลัง เพียงความคิดชั่ววูบก็แผ่ได้ไกลมหาศาล(?)แล้วค้า

สุขที่แท้จริง says:


อารมณ์ ความคิดมันก็แบบนี้แหละคะ ดีมั่ง ไม่ดีมั่ง พอวันไหนดี สังเกตุนะ สมาธิปรู๊ดปร๊าาดดด
วันใดหงุดหงิดเบื่อหน่าย สมาธิหดหาย เราจึงต้องพยายามรักษาจิตเอาไว้ให้ดี


ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

คะพี่ ไม่รุ้สิ เราว่าอาจจะเป็นเพราะสภาวะค้างก็ได้

สุขที่แท้จริง says:

สภาวะค้างไม่มีหรอกค่ะ มันเกิดแล้วก็ดับ

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

ง่า งั้นพิจารณาค้างอะ อิอิ

สุขที่แท้จริง says:

จนได้เลยนะ เลี้ยวไปได้เรื่อยเลย สมองนี่สุดยอดนะจ๊ะ

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

อิอิ ม่ายน้าาา ปกติจะตายย

สุขที่แท้จริง says:

แหมมมม ... ปกติมากมายเลยนะ นั่ง 1 นาที ฟังแล้วว ... บอกไม่ถูกเลย
หย่อนก้นลงแปะ หมดเวลาแล้ว


ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

หุหุ นานกว่าหย่อนก้นนะคะ แหมม

สุขที่แท้จริง says:

วันนี้อากาศมันร้อนนะ

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

ไม่รุ้จิ อยู่ห้องแอร์ ต่อไปสภาวะเราจะเจอไรอะ พิจาณากิเลสจนหมดแล้ว

สุขที่แท้จริง says:

กิเลสที่ไหนหมดคะ บานเบอะ

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

แหม ก็มันไม่โผล่มาให้พิจารณาอะ แบบว่ามันเป็นพวกละเอียดอะมั้ง

สุขที่แท้จริง says:

เราไม่คิด มันก็ไม่โผล่สิคะ คิดเมื่อไหร่มันก็โผล่ ทันมั๊ยล่ะ

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

ไม่รุ้สิ ทำไงดีอะ สงสัยจะเหลือ สติ

สุขที่แท้จริง says:

สตินี่แหละคือสิ่งสำคัญค่ะ

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

เราเดินธรรมดาไม่ค่อยได้อะ อย่างน้อยต้องได้พิจาณาด้วย

สุขที่แท้จริง says:

แต่ละคนไม่เหมือนกันหรอกค่ะ แล้วตอนนี้หายอาการที่ว่าร้อนแล้วหรือคะ

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

หายสนิทคะ

สุขที่แท้จริง says:
เจริญสติต่อไปค่ะ ส่วนสภาวะน่ะ เขาไปของเขาเอง เราไม่ต้องไปสงสัยหรือสนใจอะไร

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

ไม่รุ้ว่าถ้าเดินในคราวหน้า มันจะขี้เกียจอะเปล่า มันไม่มีไรให้พิจาณา

สุขที่แท้จริง says:

เดินไปเถอะค่ะ น่าจะลองหัดเดิน 6 จังหวะบ้าง จะได้ไม่เบื่อ ถ้าไม่เดินจงกรมก็แย่เลย

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

ง่า แย่ยังไง

สุขที่แท้จริง says:

สติไง แค่อริบทย่อย ยังไม่อยากจะทำเลย

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

หมายถึงเดินจงกลมใช่ไหม หรือว่าหมายถึง 6 จังหวะ

สุขที่แท้จริง says:

จ้ะ เดินจงกรม 6 จังหวะ จะใช้นับเป็นตัวเลขแทนก็ได้ เหมือนเรียนวิชาสันทนาการ
เวาลาเราเล่นกิจกรรมเข้าจังหวะ เดินจงกรมก็เหมือนกัน
แทนที่จะมาขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ กลับใช้ 123แทน จนถึง 6 ระยะหรือ
นับ1 ถึง 6 การเคลื่อนไหวของเท้า เหมือนคนเต้นรำเข้าจังหวะ 1234 จะได้ไม่เบื่อไง


ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

คะ ไม่ใช่ว่า ยกส้นนับ 1 ยกขานับ 2 ย่างเท้านับ 3 เหรอ

สุขที่แท้จริง says:

ก็ใช่ไง แต่เปรียบเทียบให้ฟังไง แต่มันมีทั้งหมด 6 ระยะ พี่เรียก 6 จังหวะ
ยกส้น 1 ยกขา 2 ย่างเท้า 3 วางเท้าลง 4 จะเอาแค่นี้ก่อนก็ได้ ก็แล้วแต่นะคะ
จะได้เพลินกับตัวเลข เวลาไม่มีความคิดเกิดหรือไม่รู้จะพิจรณาอะไร


ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

คะพี่ พี่ให้เรา 4 จังหวะก่อนใช่ไหมอะ

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ

ความรู้สึกที่ไม่สะเทือนใจ says:

ตกลงคะ ครั้งหน้าจะทำ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 01:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เจริญสติแบบง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก


เริ่มต้นง่ายๆ สละเวลา เดินจงกรม 5 นาที แล้วต่อด้วย นั่งอีก 5 นาที
เวลาเดิน เดินแบบปกติที่เราเดิน แต่ให้เราที่เท้ากระทบพื้น
ความคิดจะเกิด ก็ช่างความคิด ให้กลับมารู้อยู่กับเท้าที่กำลังเดินอยู่
จับเวลาดูว่า 5 นาที เดินกี่ก้าว จำเอาไว้

หลังจากเดินแล้ว มานั่งต่อ จะนั่งที่ไหนๆก็ได้ ไม่จำเป็นต้องนั่งท่าขัดสมาธิ
จะนั่งเหยียดแข้ง เหยียดขา หลังพิงข้างขวา นั่งบนเก้าอี้ ฯลฯ
คือ ทำตามสะดวก ทำตามสบาย ตามที่แต่ละคนนั้นถนัด
ไม่ต้องไปบังคับตัวเอง เพราะถ้าเราไปกดดันตัวเอง จะพาลเบื่อหน่ายไม่อยากทำ

มือจะวางบนหน้าตัก หรือจะวางยังไงก็ได้ ตามสบาย
ถ้านั่งไม่ได้ อาจจะเพราะอะไรก็ชั่ง ก็นอนได้ตามสบาย

พอนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ให้หลับตาลง
การที่ให้หลับตาลงนั้น เพื่อไม่ให้จิตไปซัดส่ายข้างนอก จิตจะได้รู้อยู่แต่ใน

สูดหายใจยาวๆลึกๆ 5 ครั้ง ปล่อยลมหายใจออกช้าๆ ไม่ต้องรีบ
แล้วหายใจปกติ แต่ให้หายใจยาว อย่าหายใจสั้น
คนหายใจสั้นจะเป็นคนขี้โมโห

รู้อยู่กับลมหายใจเข้าออก พอครบเวลา 5 นาที
อย่าเพิ่งลืมตา แบ่งผลบุญให้คนอื่นๆก่อน จะเดิน 5 นาที นั่ง 5 นาที นี่ถือว่าได้กุศลแล้วนะ
ให้หลับตา หายใจยาวๆ ตั้งใจแผ่เมตตา กรวดน้ำ เสร็จแล้วอธิษฐานจิต

ทำแบบนี้ ทำทุกๆวัน รับรอง ชีวิตดีขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ
จะสวดมนต์ก่อนหรือไม่สวดมนต์ก็ได้ ตามสะดวกค่ะ

ถ้ามีเวลามากพอ ก็ค่อยๆปรับเวลาเพิ่ม ทั้งการเดิน และนั่งได้ ตามแต่จะสะดวก
หรือจะทำแต่เพียงเท่านี้ก็ได้ค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2010, 22:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 32

จบสิ้นแล้ว says:

เราแบบรุ้สึกแย่สุดๆ พอทำใจได้ก็เดิน มันก็เจอความพยาบาท แล้วมันก็เจอตัวเรา
ตัวที่แบบคิดว่าตัวเองดี เราก็เลยโละมันทิ้ง

แล้วเราก็ได้รู้เลยว่า ถ้าเราต้องการอะไรอะ มันจะไม่ได้ ตอนเดิน ก็ ทำตามที่พี่น้ำบอกนะ สัก 2 - 3 รอบ
แต่อยากพิจารณามากกว่า ก็เลยเลิก ก็เข้าใจว่าความถ่อมตนมันเป็นยังไง แล้วเราไม่มี เพราะว่าเราไม่รุ้
เรายังคิดว่าเราเก่ง แต่ก็แสดงออกมาในขอบเขตที่ไม่ไปทำให้ใครไม่สบายใจ

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ ตราบใด ที่เรายังไม่รู้จักกิเลสที่แท้จริง เราย่อมตกอยู่ใต้อำนาจของมัน
จบสิ้นแล้ว says:

คะพี่ แต่ว่าเราทรมานมากเลยอะ มันแบบเหมือนโดนเอาไปทุกอย่างอะ

สุขที่แท้จริง says:

ก็เหมือนผู้คนอีกมากมาย ที่ต้องเวียนว่ายในวัฏะเพราะเหตุนี้ เพราะไม่รู้จักกิเลสที่แท้จริง

จบสิ้นแล้ว says:

แล้วมันมีความอาฆาตเข้ามาด้วยนะ แต่เราก็พยายามบอกว่า ไม่ๆๆๆ ขออโหสิกรรม
ตอนเดินช่วงสุดท้ายคะ

สุขที่แท้จริง says:

โทสะที่เกิดทุกๆครั้งจะแฝงความพยาบาทเอาไว้

จบสิ้นแล้ว says:

ตอนเดินช่วงสุดท้าย เราเกิดเบื่อขึ้นมา แต่แล้วก็ได้ความรู้ว่า นับถือพระพุทธไม่ควรเบื่อการทำกรรมฐาน
ก็เลยไม่เบื่อ ก็เดิน จนหมดเวลา

สุขที่แท้จริง says:

นั่งหรือเปล่าคะ

จบสิ้นแล้ว says:

นั่งคะ นั่ง 7 นาที แบบว่า นิมิตเห็นพระพุทธเจ้ามา แล้วเห็นตัวเองกำลังลงสีภูเขา แบบสวยงาม
แล้วเราก็รุ้สึกว่าอยากทำแบบนั้นได้บ้าง แล้วมันก็รุ้ขึ้นมาว่า อะไรที่เราอยากอะ เราจะไม่ได้
เราจะได้มา ก็ต่อเมื่อเราไม่อยากแล้วทุกอย่างอะ
แล้วมันเป็นเรื่องจริงนะ เพราะตอนนี้อะ ฝีมือการทำงานเราพัฒนาขึ้นมาก แบบเหมือนจู่ๆเวลอัพอะคะ

ตอนนั่งก็ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ไม่รุ้ว่าตัวเองเป็นอะไร แต่ก็ไม่สนใจ ทำนองว่ากายหายอะมั้ง
ความคิดก็ว้าวุ่นในใจเล็กน้อย แล้วก็โอเคคะ ตอนลงมา ทำเสร็จลงมา เพื่อนโทรมา คุยกัน
ก็ได้ความรุ้หลายอย่าง ที่เราจะต้องเรียนรุ้ แบบว่า เหมือนช่วยตอบคำถาม
ที่เราเสียใจในวันนี้ให้ทำนองนั้น

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ ดีแล้วค่ะ พอสติดีมากขึ้น จะเริ่มนั่งสมาธิได้มากขึ้น
ในการเจริญปัญญานั้น ถ้ามีทั้งสติบวกกับสมาธิ ปัญญาเราจะก้าวหน้ามากๆ

มันจะพิจรณาข้ออรรถข้อธรรมได้ชัดเจนมากๆ ทำให้เราสามารถปล่อยวางทุกๆสิ่งที่เราไปยึดติดอยู่นั้นได้มากขึ้นไปเรื่อยๆ สุดท้ายเราจะไม่ไปยึดหรือเอาใจเราเข้าไปข้องอีกต่อไป เราจะเหลือแค่รู้


จบสิ้นแล้ว says:

เรายังต้องพัฒนาตัวเองอยู่แหะ

สุขที่แท้จริง says:

ทำให้ต่อเนื่องค่ะ เราจะถูกทดสอบด้วยกิเลสตลอดเวลา และจะทำให้เราเข้มแข็งมากขึ้น
แล้วเราจะอยู่กับทุกๆสิ่งได้ โดยไม่ต้องไปทุกข์ใจอะไรมากมายกับสิ่งต่างๆอีกต่อไป
เราจะเป็นตัวของตัวเอง เราสามารถเลือกจะให้ชีวิตเราเป็นแบบไหนก็ได้


จบสิ้นแล้ว says:

คะพี่ เราจะพยายาม!!! เราจะเก่งขึ้นคะ

สุขที่แท้จริง says:

ค่ะ ทำต่อเนื่อง มันมีแค่นี้จริงๆ ทำแล้วเห็นกิเลสนี่ถูกแล้ว
ทำแล้วสบาย ไม่ใช่ทาง นั่นคือยังไม่เห็นกิเลส
ทีนี้ความพยองพองขนว่าข้านั้นรู้มาก มันเลยก่อวิบากกรรมไม่รู้จักจบจักสิ้น

จบสิ้นแล้ว says:

คะพี่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 00:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 33


จบสิ้นแล้ว says:

วันนี้ก็ ตอนเดินช่วงแรก ก้อรุ้นะว่ามันใจร้อน ช่วงที่เดินช่วงแรก พอทรงตัวได้ ก็เริ่มรุ้สึกร้อน
แบบ อยากจะเดินเร็วๆทำนองนี้ แล้วพอเดินช้ามันจะร้อน มันจะอึดอัด ก็พยายามให้ตัวเองใจเย็นลง
ทำนองนั้น แต่มันมีความกลัวว่าถ้าใจเย็นแล้วจะเป็นคนเฉื่อยๆ แต่ก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ค่อยๆขัดมันออกไป

แล้วใจมันก็ไปฟุ้งบ้าง แต่ฟุ้งในวันนี้คือแบบว่า ฟุ้งไปในเรื่องที่ทำให้เรามีความสุขอะ
แล้วพอรุ้สึกตัวอีกทีก็เรียกกลับมา พยายามเดินดูเท้า ช่วงที่ใจร้อนก็หยุดเดิน ภาวนาว่าคิดหนอๆๆ
บางทีมันเริ่มร้อนๆ ก็หยุดเดินแล้วหายใจยาวๆ แล้วก็เดินต่อ จากนั้นก็ ไปพิจารณาเรื่องของ ตัวตน

ทำไมต้องปกป้องสิทธิ์ของตัวเอง ถ้าไม่ปกป้อง เราก็เสียเปรียบแล้วก็คงจะดูไร้ตัวตน
ในสายตาของคนอื่นน่ะสิ?

ตอนแรกอยากถามพี่น้ำนะว่า ถ้าไม่ปกป้องสิทธิ์ของตัวเองแล้วพอมีคนมาแย่งความดีความชอบ
ของเราไปแล้วเราจะทำยังไง ยืนดูอยู่เฉยๆเหรอ แต่เดินไปเดินมาก็ตัดสินใจปล่อยวาง
แล้วพิจารณาเลยดีกว่า แล้วมันก็เจอคำว่า สิทธิ ตัวหนาๆเลย ลอยอยู่ข้างหน้า เราก็คิดวา
พอเราให้ตัวตนกับอะไรแล้วมันเป็นทุกข์เนอะ สิทธิ มันไม่มีตัวตน แต่ เราก็ไปให้ตัวตนกับมัน มันก็ทุกข์
ทีนี้เราก็เลย วางมัน แล้วสิทธิก็หายไป แต่จริงๆเราก็งงนะ ถ้าไม่ปกป้องสิทธิ์ของตัวเองจะทำยังไงล่ะ
แต่ว่าถ้าไปยึดมันก็ทุกข์นิ ทำนองนี้

สุขที่แท้จริง says:

นิสัยแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอกนะคะ

จบสิ้นแล้ว says:

ลำบากนะคะ เราไม่ชอบถูกคนเอาเปรียบอะ
แต่ว่า เราเดินแล้วเราเจอกิเลสของเราอะ อยากเป็นใหญ่ ตัวบะเอ้กเลย อยากเป็นใหญ่จริงๆ
ดังนั้น อย่ามาทำไรกะสิทธิ์ของเรานะ คุณต้องให้เกียรติ เรา ทำนองนี้

สุขที่แท้จริง says:

ถึงบอกไง แต่ละคนไม่เหมือนกัน

จบสิ้นแล้ว says:

เราก้อพึ่งรุ้ว่าตัวตนเราสูงน่ะ

สุขที่แท้จริง says:

พี่ไม่ชอบเรื่องการมาด่าหรือว่ากัน พี่เถียงใครไม่ทันหรอก
บางทีกว่าจะคิดออกว่าควรจะพูดยังไง เหตุการณ์มันผ่านไปแล้ว พี่ถึงไม่ชอบสังคมไงคะ


จบสิ้นแล้ว says:

คะพี่ แล้วยอมให้ถูกเสียเปรียบมันดีแล้วเหรอคะ กลุ่มเพื่อนเราไม่มีอย่างนี้น่ะ มีแต่คนดี
อยางเราเป็นพวกตรงไปตรงมา อาจจะทำกริยาที่ไม่งาม แต่ก็ไม่มีปัญหากะใคร

สุขที่แท้จริง says:


ยอมรับนะ บางครั้งคับแค้นใจ แต่พอมาคิดว่า ถ้าเราไม่ยอมก็ต้องมาถกเถียงกับเขา
สู้เรายอมดีกว่า เสียใจแค่นี้ไม่ตาย ดีกว่าให้ไปเถียงกับเขา


จบสิ้นแล้ว says:

อะนะ เถียงมันก้อรุ้สึกไม่ดีหรอก แต่ว่าเราสู้น่ะ ไม่รุ้สิ

สุขที่แท้จริง says:

อยากสู้เหมือนกันนะ แต่ พี่ไม่ถนัดแบบนั้นนะ พี่เลยชอบธรรมะเพราะแบบนี้
ไม่รู้นะ ยิ่งปฏิบัติ พี่ยิ่งมีความรู้สึกว่าพี่ปลอดภัย

ใครที่คิดร้าย ใครที่ไม่ดีกับเรา ไม่ต้องไปทำอะไร เด๋วเขาไปจากชีวิตเราเอง
เพียงแต่ระหว่างที่เราถูกเขาทำร้ายหรือถูกรังแก เราต้องอดทน

พี่เลยมาเข้าใจตอนหลังว่า อ้อ ... กรรมเขาจัดสรรเอง
เมื่อเราหมดวิบากกับคนๆนี้ มันก็จบเอง

แต่ละคนไม่เหมือนกัน คนที่หนักไปในทางพิจรณาอาจจะทุกข์ไม่นานก็ได้ค่ะ
แล้วกิเลสโทสะก็จะเบาบางลงไปด้วย


จบสิ้นแล้ว says:

เราเองก็ต้องยอมคนอื่น แล้วสินะคะ

สุขที่แท้จริง says:

ไม่ยอมก็ต้องยอม เพียงแต่การยอมครั้งนี้มันไม่เหมือนครั้งก่อนๆ เพราะยอมด้วยความเข้าใจ
ยอมเขา ชดใช้ไป ภพชาติเราก็สั้นลง


จบสิ้นแล้ว says:

แต่ว่าที่พี่บอกให้ไม่ตอบโต้ ยอม เพราะเข้าใจ น่ะ เรายังไม่เข้าใจเลย ไม่เห็นเหตุและผลอะ

สุขที่แท้จริง says:

ก็เพราะ ยังไม่เห็นมันไง แต่พี่เห็นแล้ว และหมูเขาก็เห็นแล้ว เขาเลยยอมได้ เขาเลยโดนหนักกว่า

จบสิ้นแล้ว says:

ง่ะ แสดงว่าพี่หมูรู้ก่อนเหรอนี่

สุขที่แท้จริง says:

บอกแล้วว่า คนละแบบ คนหนึ่งพิจรณาได้ คนหนึ่งพิจรณาไม่เป็น เขาเลยต้องยอม

จบสิ้นแล้ว says:

ทำยังไงเราจึงจะมองตรงนี้ออกอะ

สุขที่แท้จริง says:

จะพูดยังไงดีล่ะ มันต้องเห็นเองน่ะค่ะ กฏแห่งการกระทำ

จบสิ้นแล้ว says:

เรายังมะเห็นจิงๆ

สุขที่แท้จริง says:

สร้างเหตุยังไง ได้ผลเช่นนั้น กำลังคิดนะ จะถามว่าเชื่อกฏแห่งกรรมมั๊ย

จบสิ้นแล้ว says:

เชื่อนะ

สุขที่แท้จริง says:

อื่มมม .. จะคุยกับหมูมั๊ยล่ะ ว่าเขาเห็นได้ยังไง ทำไมเขาถึงยอม

จบสิ้นแล้ว says:

พี่เล่าดีกว่า

สุขที่แท้จริง says:

ถึงไม่ใช่งูพิษ แต่ก็ไม่คิดจะเป็นกระต่ายขนฟ says:

ก็มันจะทำไงได้ละคะ ก็ถ้าเราไม่ยอม มันก็ทุกขอยู่ดี
เพราะเขาก้อไม่ยอม แล้วก็ ไม่ยอมทุกข์กว่ายอมค่ะ


เขาเห็นทุกข์ไงคะ พี่เองก็เห็นทุกข์

จบสิ้นแล้ว says:

เราน่ะ อาจจะแบบว่า อยากให้เขาได้รุ้ความจริงด้วย ก็เลยพยายามพูด

สุขที่แท้จริง says:

ยิ่งพยายามพูด เลยดูเหมือนเราพยายามแก้ตัว บางคนยิ่งตะโกนเสียงดังใส่เรา

จบสิ้นแล้ว says:

เรารับไม่ได้อะ ถ้าจู่ๆมาบอกว่าเราผิด

สุขที่แท้จริง says:

ม่พูดไม่อธิบาย ก็ว่าเราก็ผิด พออธิบายก็ว่าเราอีก

จบสิ้นแล้ว says:

งืม.. แล้วเมื่อไรเราจะมองเห็นแบบนั้น ถ้าเราไม่ยอม แล้วเมื่อไรเราจะพิจารณาได้อะ
เราแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องยอมคน

สุขที่แท้จริง says:

พี่ไม่รู้ว่า พูดแล้ว จะเข้าใจได้แค่ไหนนะคะ วันนั้นพี่ถาม ว่า ถ้าเขาจะตีหัว เราน่ะ จะยอมมั๊ย
ก่อนเขาจะตีหัวเรามันต้องมีเหตุมาก่อนถูกมั๊ยคะ
เพราะ เราบอกว่าดับที่เหตุคือ เราไม่ตีหัวเขา เขาก็ไม่ตีหัวเรา

เรื่องที่คนอื่นมาว่าเราก็เหมือนกัน มันมีเหตุมาก่อน เพียงแต่เราอาจจะระลึกไม่ได้
ทั้งๆที่คนบางคนไม่เคยรู้จักกันเลย แต่เขากลับมาว่าเราให้เจ็บใจ


จบสิ้นแล้ว says:

แล้วเราจะรุ้ได้ไง ว่าเรื่องไหนที่เราควรยอม

สุขที่แท้จริง says:

ปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นตามความเป็นจริง แล้วเราจะเห็นอนิจจัง
เราจะเห็นทุกขัง อนัตตา คือ มันไม่เที่ยง สุดท้ายเราไม่ไปเกาะเกี่ยวหรือยึดต่อไปอีก


จบสิ้นแล้ว says:

งี้เราคงต้องทรมานจนแห้งตายอะดิ

สุขที่แท้จริง says:

เพิ่งเข้าใจแล้วใช่มั๊ยคะ เราเคยทำกับเขา เขาจึงทำกับเรา มันเป็นการชดใช้
เฝ้าดูน่ะก็คือ สติ รู้ลงไป น่ะคือ สัมปชัญญะ อยู่กับมันคืออยู่กับปัจจุบัน
อันนี้พี่ได้คำตอบจากการปฏิบัติน่ะ ไม่ใช่พระอาจารย์ท่านบอก

ที่ท่านไม่ให้แทรกแซงคือ สภาวะที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
เช่นเขามาว่าเรา ให้เราตั้งสติรู้อยู่ ไม่ไปแก้ไข ไม่ไปชอบหรือชัง ทั้งๆที่เราคิดว่าเราไม่ผิด
เพราะอะไรรู้มั๊ย เมื่อเราทำแบบนี้ได้บ่อยๆ จะทำให้สติ สัมปชัญญะเรามากขึ้น
และเป็นการชดใช้หนี้กรรมที่เราเคยกระทำกับคนอื่นๆในอดีต
ที่พี่น้ำเข้าใจมากๆเข้าใจสุดๆเพราะเจอกับตัวเองน่ะ คิดแก้ไข โดยแบบไม่ได้คิดร้ายอะไรเลย


จบสิ้นแล้ว says:

แบบนี้ คะพี่ เราจะพยายามนะ ต่อจากนี้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร