วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 03:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 10:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในยามที่เราได้สร้างเหตุแห่งทุกข์เอาไว้
เมื่อเราต้องการจะพ้นจากมัน...
เราก็ต้องรับผลของมัน และเรียนรู้ที่จะไม่สร้างเหตุอันใหม่เพิ่มเติมนะ...
และก็พยายามสร้างแต่เหตุอันเป็นกุศล

คือ...ทำใจรับผลของมัน...หง่ะ...
ตอนเด็ก ๆ เคยเล่นไฟ พี่ชายชวนเล่น
พ่อจับทำไงรู้มั๊ย...นั่งเรียงหน้ากระดาน เอามือวางไว้บนโต๊ะ
และพ่อก็เงื้ออีโต้... พ่อก็ถามคำถามไล่ให้จนมุมไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะสำนึก
เวลาที่เราทำในสิ่งที่ไม่ควร ก็โดนเฆี่ยน...
พี่ชายคนโต เวลาถูกทำโทษจะนิ่ง โดนตีสามที ก็คือสามที
แต่พี่ชายคนรอง จะร้องพล่าน วิ่งซุกโน่นซุกนี่ ก็เลยโดนไม่รู้กี่ที จนยอมยืนนิ่ง ๆ ให้ตีสามที ก็จบ
ส่วนเรา คิวสุดท้าย... :b5: :b5: ไม่ต้องบอกว่าควรจะเลียนแบบใคร... :b32: :b32:

เมื่อเจ็บแล้ว ก็ต้องเรียนรู้ที่จะไม่ทำผิดเดิม ๆ
และเรียนรู้ให้กว้างขึ้นด้วย...ถึงความผิดอื่น ๆ ที่ต้องระวัง...
เพราะให้เข้าใจว่า พ่อ กับ แม่...เอาจริง...

....


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 18 ม.ค. 2010, 10:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 12:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4147

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


nemo เขียน:
ผมช่วงนี้งานก็โดนบีบ(จากสิ่งที่ทำลงไปเอง) จิตใจก็ไม่ค่อยดี เหมือนโดนทั้งสองด้านเลยครับ สติเลยหลุดเป็นส่วนใหญ่ ขณะนี้พอมีสติอยู่บ้างเลยมาขอปรึกษาเพิ่มเติมว่า

พอจะมีวิธีเจริญสติแบบง่ายๆ หรือขั้นเริ่มต้นแนะนำบ้างไหมครับ ส่วนเจริญสมาธินี่คงยังไกลจากความสามารถผมตอนนี้มากนักครับ

_/|_


:b43: :b43: :b43:

คุณ NEMO ลองเข้าไปศึกษาธรรมบรรยายของครูบาอาจารย์ท่านเหล่านี้...และลองฝึกปฏิบัติดูนะคะ :b4:

สติระลึกรู้อะไร : พระอาจารย์สุรศักดิ์ เขมรํสี :b8:
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13357

สำ คั ญ ที่ ส ติ : พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท) :b8:
viewtopic.php?f=2&t=19634

ม ห า ส ติ :b8:
viewtopic.php?f=2&t=22343


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 14:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


Nemo:

อ้างคำพูด:
ผมช่วงนี้งานก็โดนบีบ(จากสิ่งที่ทำลงไปเอง) จิตใจก็ไม่ค่อยดี เหมือนโดนทั้งสองด้านเลยครับ สติเลยหลุดเป็นส่วนใหญ่ ขณะนี้พอมีสติอยู่บ้างเลยมาขอปรึกษาเพิ่มเติมว่า

พอจะมีวิธีเจริญสติแบบง่ายๆ หรือขั้นเริ่มต้นแนะนำบ้างไหมครับ ส่วนเจริญสมาธินี่คงยังไกลจากความสามารถผมตอนนี้มากนักครับ


ขออนุโมทนาครับท่านกุหลาบสีชา :b8:

เข้าใจว่าคุณ Nemo เกิดความเดือดร้อนใจในสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่ทำไป หากผมเข้าใจผิดก็ขออภัยด้วยนะครับ...ตรงนี้จิตเป็นไปกับโทสะและฟุ้งซ่าน(อุทธัจจะ) ซึ่งเป็นไปกับบาปอกุศล เป็นบาปใหม่ที่ทำเรื่อยๆ มีโทษเพราะเป็นช่องทางนำร่องให้อกุศลวิบากอื่นๆมาส่งผล เช่นเกิดอาการเครียด เป็นเหตุแห่งโรคสารพัดทั้งทางกายและจิต..

สิ่งแรกที่พึงกระทำคือ"ยุติ"ความคิดฟุ้งซ่านไปถึงบาปอกุศลที่ทำไปแล้ว เพราะไม่มีประโยชน์อันใดแก่ตัวเอง..เลิกคิดวิตกหรือลงโทษตัวเองที่ทำผิดพลาดไป ให้อภัยตนเองเป็น ไม่เอามาย้ำคิดแล้วๆเล่าๆ เพราะในที่สุดจะหมดกำลังใจที่จะทำดี และนี่จะเป็นปัจจัยให้ตกไปอยู่ฝ่าย"มิจฉาทิฏฐิ" อย่างเต็มตัว เพราะจะเกิดความคิดเข้าข้างตนเองว่าชาติหน้าไม่มี กรรมไม่มีผล สู้ทำไปตามใจอยู่สบายไปอย่างนี้ดีกว่า เรื่องพระพุทธเจ้านั้นไม่มีจริง เขาแต่งขึ้นมาไว้หลอกคนโง่ คนฉลาดอย่างเราไม่ควรถูกเขาหลอกฯลฯ...ในที่สุดก็ตกไปจากลาภที่ควรจะได้คือการได้เป็นพุทธศาสนิกชน ที่ไม่"ธารณะ"แก่ชนทั้งปวง..เพราะคนที่จะนับถือพระพุทธศาสนานั้น มีได้เฉพาะผู้ที่เคยมี "ปุพเพกตปุญญตา"คือการได้เคยสั่งสมบุญมาในพุทธศาสนามาในกาลก่อนเท่านั้น...เมื่อตกไปจากพุทธศาสนาก็เที่ยงที่จะเวียนอยู่ในวัฏฏะสงสารจนหาทางออกไม่เจอ...เพราะนอกจากคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีคำสอนอื่นใดในโลกที่สามารถพาตนพ้นทุกข์ได้แท้จริง..

อย่าลืมความจริงว่าไม่มีใครในโลกที่ไม่เคยทำผิด และคนทำผิดไปแล้วภายหลังสำนึกได้และคิดแก้ไข พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญว่าเขาผู้นั้นย่อมจะเจริญได้ในพระธรรมวินัยของพระองค์ครับ

สิ่งต่อไปที่พึงกระทำคือตั้ง"อัตสัมมาปณิธิ"คือตั้งตนไว้ชอบด้วยการตั้งใจว่าตั้งแต่นี้ไปเจริญบุญทุกประการให้ถึงพร้อม มีการให้ทาน การประพฤติศีล และการศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้าให้ยิ่งขึ้นไปเพื่อเป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน

การตั้งตนไว้ชอบนี้เป็นมงคลชีวิตข้อที่๕ใน"มงคลสูตร"ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน..ส่วนการตั้งอธิษฐานเพื่อตั้งตนไว้ชอบนั้นเป็นสิ่งที่ควรทำบ่อยๆ..การอธิษฐานเช่นนี้ แม้พระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็"ต้อง"กระทำเพื่อการสั่งสมบารมีเพื่อการบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า...การอธิษฐานเป็นบารมีหนึ่งในทศบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์..การอธิษฐานเป็นเสมือนอุปกรณ์นำทางหรือเข็มทิศเพื่อการเดินทาง..แม้พระมหาสาวกทั้งหลายของพระพทธเจ้าก็ต้องอธิษฐานกันมาทั้งนั้น หาได้มีองค์ใดได้ตำแหน่งมาโดยบังเอิญไม่ หรือแม้ในทางโลกก็มีการอธิษฐานหรือตั้งใจไว้เพื่อบรรลุเป้าหมายต่างๆ เช่นเมื่อยังเด็กก็ตั้งใจว่าจะเรียนจบเช่นนั้นเช่นนี้ เมื่อทำงานก็ตั้งใจว่าจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ แม้ที่สุดพวกโจรก็ยังตั้งความปรารถนาหรืออธิษฐานว่าจะเป็นโจร เพราะใครๆไม่อาจทำสิ่งไรๆได้โดยปราศจากเจตนาคือการตั้งใจไว้ีแล้ว เพราะไม่ใช่ก้อนหินที่ไม่มีจิต ใครจะเตะหรือโยนไปทางใดก็ไปตามแรงของคนเตะหรือโยน ฯลฯเป็นต้น

ผู้ที่ไม่ตั้งเป้าหมายอะไรๆชีวิตก็ลอยไปมาเหมือนสวะในแม่น้ำ ไม่อาจกำหนดจุดหมายอะไรๆได้ ลอยไปตามยถากรรม นับว่าน่าสงสารน่าเสียดายที่ได้เกิดมาในอัตภาพที่เป็นคน มีปัญญารู้อะไรๆได้ การอธิษฐานจึงเป็นเครื่องช่วยในการกำหนดเป้าหมายของเรานั่นเอง...

หากคุณ Nemoได้อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ผมก็เข้าใจว่า แม้คุณเองก็คงได้อธิษฐานมาในกาลก่อน ว่าขอข้าพเจ้าอย่าเป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิ หากข้าพเจ้ากำลังทำชั่วอยู่ขอให้ระลึกรู้สึกตัวได้ และขอให้ได้พบพระธรรมที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้า ขอให้ได้พบกัลยาณมิตรแนะทางที่ถูกควรให้ เป็นต้น..เพราะเจตนาที่ตั้งแล้วแม้ลืมไปแล้ว แต่อำนาจจิตนั้นมหัศจรรย์ยิ่งนักเพราะเขาสามารถสั่งสมกรรม คือเจตนาอันตนทำไว้แล้วแม้เมื่อแสนโกฏิกัปป์ที่ผ่านมาได้ไม่ลืมเลือน..จึงขอแสดงความยินดีที่คุณ Nemo กำลังได้เสวยผลแห่งเจตนาอันประเสริฐนั้นด้วยครับ..

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


แก้ไขล่าสุดโดย -dd- เมื่อ 18 ม.ค. 2010, 14:40, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2010, 01:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 01:00
โพสต์: 10

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


-dd- เขียน:
เข้าใจว่าคุณ Nemo เกิดความเดือดร้อนใจในสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่ทำไป หากผมเข้าใจผิดก็ขออภัยด้วยนะครับ...ตรงนี้จิตเป็นไปกับโทสะและฟุ้งซ่าน(อุทธัจจะ) ซึ่งเป็นไปกับบาปอกุศล เป็นบาปใหม่ที่ทำเรื่อยๆ มีโทษเพราะเป็นช่องทางนำร่องให้อกุศลวิบากอื่นๆมาส่งผล เช่นเกิดอาการเครียด เป็นเหตุแห่งโรคสารพัดทั้งทางกายและจิต..

หากคุณ Nemoได้อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ผมก็เข้าใจว่า แม้คุณเองก็คงได้อธิษฐานมาในกาลก่อน ว่าขอข้าพเจ้าอย่าเป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิ หากข้าพเจ้ากำลังทำชั่วอยู่ขอให้ระลึกรู้สึกตัวได้ และขอให้ได้พบพระธรรมที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้า ขอให้ได้พบกัลยาณมิตรแนะทางที่ถูกควรให้ เป็นต้น..เพราะเจตนาที่ตั้งแล้วแม้ลืมไปแล้ว แต่อำนาจจิตนั้นมหัศจรรย์ยิ่งนักเพราะเขาสามารถสั่งสมกรรม คือเจตนาอันตนทำไว้แล้วแม้เมื่อแสนโกฏิกัปป์ที่ผ่านมาได้ไม่ลืมเลือน..จึงขอแสดงความยินดีที่คุณ Nemo กำลังได้เสวยผลแห่งเจตนาอันประเสริฐนั้นด้วยครับ..



คุณ -dd- เข้าใจถูกต้องไม่ผิดเพี้ยนเลยครับ ผมทำสิ่งไม่ถูกต้องไว้มากมาย เรียกว่ามีิมิจฉาทิฏฐิมาทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้ครับ ระลึกได้ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามในชีวิตแล้ว สองครั้งแล้วไม่แจ้งชัดเช่นนี้ อยากขอให้เป็นครั้งสุดท้ายจริงๆเสียที คงเป็นเพราะผมไม่เชื่อฟังพ่อแม่เลยถึงหลุดตั้งเจตนาตอนเด็กๆว่าอยากเป็นผู้ยิ่งใหญ่และนี่คงเป็นผลของเจตนาอกุศลนั้นจริงๆ

เจตนาผิดๆ อื่นจะถอนหรือตั้งเจตนาถูกทับเข้าไปได้ไหมครับ พอจะช่วยได้บ้างไหม

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2010, 03:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


Nemo :

อ้างคำพูด:
เจตนาผิดๆ อื่นจะถอนหรือตั้งเจตนาถูกทับเข้าไปได้ไหมครับ พอจะช่วยได้บ้างไหม


ช่วยได้ครับ..

การตั้งเจตนาที่ถูกต้องดีงามตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นส่วนแรกที่จำเป็นเพื่อรื้อถอนเจตนาผิดครับ เหมือนการตั้งโปรแกรมให้จิตใหม่ เพราะจิตมีสมรรถภาพในการจำข้อมูลทั้งหมด แม้เราคิดว่าเราลืมอะไรๆไปแล้ว..แต่แท้จริงแล้วจิตบันทึกรายละเอียดไว้อย่างน่าทึ่งจริงๆ คงเคยเห็นหรือทราบเรื่องการสะกดจิตนะครับ ในเวลานั้นคนที่ชำนาญการสะกดจิตสามารถกระตุ้นคนถูกสะกดให้เล่าถึงสิ่งต่างๆในอดีตที่ตนเคยทำหรือมีประสบการณ์มา ซึ่งปรกติตนเองคิดไม่ออกเลย..หรือในเวลาใกล้ตาย ที่เรียกว่ามรณาสันกาล บางคนระลึกได้ถึงรายละเอียดของสิ่งที่ตนทำไว้แล้ว ราวกับการกรอเทปvdo กลับมาฉายให้ดูนั่นเทียว ..หรือคนที่ระลึกชาติได้ก็เพราะจิตนั้นเองบันทึกข้อมูลไว้ และเพราะเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงทรงสามารถ "อ่าน"บุคคลที่มีโอกาสบรรลุธรรม ได้จากพื้นอุปนิสัย ตลอดจนการตั้งเจตนาของท่านเหล่านั้นในอดีตชาติ...ดังนั้นจึงควรยิ่งที่จะตั้งโปรแกรมใหม่ให้ตนเอง ยิ่งหากทำได้ทุกวันยิ่งดีครับ

การตั้งเจตนาที่ถูกต้องเปรียบเหมือนเราตั้งเข็มทิศเพื่อการเดินทาง แต่หากมีแต่เข็มทิศแล้วไม่เริ่มกิจแห่งการเดินทางมีการก้าวเท้า หรือขับรถไป ก็ไม่อาจบรรลุเป้าหมายที่ต้องการไปถึงได้..ฉันใด เมื่อตั้งเจตนาใหม่แล้ว ก็ต้องมีการประกอบกิจเพื่อการบรรลุเจตนารมณ์นั้นๆ นี้เป็นข้อจำเป็นในส่วนที่๒ ครับ

ในระยะแรก ๆ อาจต้องอาศัยการกระตุ้นทั้งจากตนเองหรือภายนอกเพื่อความมั่นคงในเจตนานั้น รวมทั้งการประพฤติตามเจตนาให้ดำเนินไปได้ด้วยดี แต่ในเวลาต่อมา ความคุ้นเคยและการได้รับผลเชิงประจักษ์ในแนวทางนี้จะเกิดขึ้น เป็นที่มาของศรัทธากล้าแข็งขึ้น ทำให้เราสามารถดำรงเจตนาไว้ได้เองโดยง่ายดาย ทั้งยังจะนำพาตนเองก้าวหน้าไปสู่เจตนารมณ์ที่ดีกว่าเดิมยิ่งๆขึ้นไปตามลำดับ...

จึงขอให้คุณ Nemo อย่าได้ลังเลรีรอที่จะต่อยอดบุญของตนในบัดนี้เลยครับ เพราะชีวิตเรานี้ไม่มาก .....ความตายอยู่ห่างจากเราแค่ช่วงเวลาที่เราหายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกเท่านั้น ควรเเล้วที่จะได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ตนอย่างยิ่งในอัตภาพที่ได้เป็นมนุษย์ด้วยการตั้งตนไว้ชอบโดยการมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งของตน..เจริญบุญกิริยาวัตถุ๑๐ให้ถึงพร้อม ประพฤติศีล๕ให้มั่นคง ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าอันเป็นปัจจัยแก่"ปัญญา"อันเป็นอาวุธที่จำเป็นในการทำลายสังสารวัฏอันไม่ปลอดภัยนี้..

อนึ่ง หากคุณ Nemo ทำได้ และควรทำยิ่ง ก็คือพึงหาโอกาสไปกราบขอขมาพ่อแม่ ที่เราได้ล่วงเกินท่านและทำให้ท่านเดือดร้อนเสียใจ การกระทำเช่นนี้ย่อมมีอุปการะอย่างสูงแก่ความเจริญไพบูลย์ของชีวิต และจะเป็นฐานอันมั่นคงเพื่อเจตนาที่ประเสริฐครับ

ขอเป็นกำลังใจและอนุโมทนาที่คุณ Nemo จะได้ก้าวหน้าไปในทางแห่งชีวิตใหม่ที่มีพระธรรมส่องนำทางไป หากมีข้อคับข้องใจ ขอเชิญคุณ Nemo เข้ามาระบายหรือสอบถามได้..ในที่นี้ มีกัลยาณมิตรที่ยินดีและเอื้อเฟื้อรับฟังตลอดจนให้คำตอบครับ......... :b44: :b48:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


แก้ไขล่าสุดโดย -dd- เมื่อ 19 ม.ค. 2010, 03:20, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 06:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 01:00
โพสต์: 10

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พี่ๆครับ รู้สีกว่ามันจะยิ่งเลวร้ายแบบหยุดไม่ได้เลยครับ
ไม่แค่สติก็ไม่ค่อยมีอยู่แล้ว ศีลก็เข้าใจไม่ชัดแจ้งด้วยครับ

ทุกวันที่ตื่นขึ้นมา ทำบุญได้บ้างเล็กน้อย แต่กลับทำบาปใหญ่ๆลงไปมากกว่าี
วันก่อนผมไปพูดจาเรื่องงาน ก็ไม่ได้รู้สีกอะไรตอนนั้น พอกลับมานั่งคิดวันนี้ คิดนานน่ะครับ
อ้าว เอาอีกแล้ว ผมได้พูดจาเอาดีใส่ตัวแต่ให้ร้ายผู้มีคุณไปนี่นา

บาปบุญคุณโทษง่ายๆ ผมต้องนั่งพิจารณาตั้งนานกว่าจะเข้าใจ
ถึงเวลามีสติก็ไม่แน่ว่าจะรักษาศีลไว้ไ้ด้เลย
ผมควรจะลาออกจากงานมาสงบสติอารมณ์ก่อนดีไหมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2010, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


Nemo:

อ้างคำพูด:
พี่ๆครับ รู้สีกว่ามันจะยิ่งเลวร้ายแบบหยุดไม่ได้เลยครับ
ไม่แค่สติก็ไม่ค่อยมีอยู่แล้ว ศีลก็เข้าใจไม่ชัดแจ้งด้วยครับ


นี่กลับเป็นสัญญานว่าคุณกำลัง"ดีขึ้น"ครับ ถ้ามันเลวลง คุณจะไม่รู้สึกเลยว่าได้ทำสิ่งผิดอะไรไป เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่รู้จักอุบายในการ"รักษาใจ" เมื่อพลาดท่าเสียทีเพราะกิเลส..

ตอนที่เขียนข้อความข้างบนนี้เรียกว่ามีสตินะครับ เพราะสามารถ"ระลึก"ได้ว่าอะไรเป็นอะไร..
และอาการนี้ก็ไม่แปลกหรอกครับ เพราะยังไม่ใช่พระอรหันต์ผู้มีสติบริบูรณ์ตลอดเวลา จึงเป็น"ผู้ตื่น"แล้ว..สติจะมีได้ด้วยการฝึก ไม่เกิดเพราะเดือดร้อนใจที่ขาดสติ พยายามรู้สึกตัวอยู่เสมอครับ..เมื่อเผลอไปก็รู้ว่าเผลอไปแล้ว ..

อ้างคำพูด:
ทุกวันที่ตื่นขึ้นมา ทำบุญได้บ้างเล็กน้อย แต่กลับทำบาปใหญ่ๆลงไปมากกว่าี
วันก่อนผมไปพูดจาเรื่องงาน ก็ไม่ได้รู้สีกอะไรตอนนั้น พอกลับมานั่งคิดวันนี้ คิดนานน่ะครับ
อ้าว เอาอีกแล้ว ผมได้พูดจาเอาดีใส่ตัวแต่ให้ร้ายผู้มีคุณไปนี่นา


บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป ทั้งสองส่วนนี้ไม่ปะปน แยกกันครับ ไม่เอามาหักลบกันได้เหมือนเลขคณิต..เขาให้ผลต่างวาระกัน โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าทำบุญน้อยแล้วจะไม่มีผล..แม้น้อย แต่ทำบ่อยผลก็มากได้..ส่วนบาปที่ทำไปนั้น เมื่อสำนึกได้ก็เยี่ยมแล้ว เลิกเสียใจ..แต่ตั้งใจว่าต่อไปจะไม่ทำเช่นนั้นอีก จะพูดแต่คำจริงมีประโยชน์และพูดในกาละเทศะที่สมควร หากต้องโกหกหรือใส่ร้ายใครก็จะนิ่งเสีย เพราะไม่ต้องการสร้างทางไปอบาย ตั้งใจเช่นนี้บ่อยๆ ต่อไปจะละชั่วได้ หรือบาปที่จะทำจะลดถอยลง..

หากเป็นไปได้ก็ควรไปทำความเข้าใจที่ถูกให้เกิดขึ้น.. แก้ไขให้ถูกต้องเช่นไปอธิบายว่าข้อมูลที่กล่าวไปไม่ถูกต้อง ที่ถูก-ความจริงคือเช่นนี้ๆ..นี้ก็เป็นงานของ"สติ"ที่ควรฝึกให้มีขึ้น ..ผู้รู้ย่อมสรรเสริญ เราเองก็จะสบายใจไม่ติดค้าง..เมื่อคราที่ผลของบาปมาส่งเราก็จะได้รับอุปถัมภ์จากบุญคือการกล่าวคำจริง ความเดือดร้อนก็น้อยลง..ตั้งใจใหม่นะครับ ลองดู

อ้างคำพูด:
บาปบุญคุณโทษง่ายๆ ผมต้องนั่งพิจารณาตั้งนานกว่าจะเข้าใจ
ถึงเวลามีสติก็ไม่แน่ว่าจะรักษาศีลไว้ไ้ด้เลย
ผมควรจะลาออกจากงานมาสงบสติอารมณ์ก่อนดีไหมครับ


เมื่อมีสติจะรักษาศีลได้แน่ ตรงข้ามหากขาดสติ..ศีลก็ไม่เกิดครับ..(ปล. คำว่า"สติ"ในที่นี้หมายเอาเฉพาะ"สัมมาสติ"เท่านั้น อย่างอื่นไม่ประสงค์ เดี๋ยวท่านผู้รู้จะมาค้านว่าคนทำชั่วก็มีสติ อย่างนั้นไม่ใช่สิ่งที่ต้องการสื่อในที่นี้ครับ)
การสงบสติมิได้เกิดที่สถานที่อื่นใดนอกจาก "ใจ"ของเรา การลาออกไปแล้วไม่มีรายได้ แทนที่จะสงบ อาจกลายเป็นการทำให้"เสีย" สติไปได้มากครับ ขอให้ใช้ที่ทำงานเป็นแหล่งฝึกสติ การมีเครื่องมือเช่นนี้จะเป็นการอยู่กับโลกและได้ฝึกกับ"ของจริง" แต่หากคุณมีฐานะดีไม่เดือดร้อนเรื่องรายได้ อาจเป็นเรื่องที่น่า"ทดลอง"ที่จะ"ปลีกวิเวก"ไปฝึกสติที่ใดที่หนึ่ง..โดยมีครูบาอาจารย์ดูแลแนะนำ แต่ลองคิดดูเถิดว่า แม้จะย้ายไปที่ใดๆ ใจที่ไม่เคยฝึกสติมา จู่ๆจะปิ๊งมีสติขึ้นทันทีทันใดย่อมไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ เพราะเหตุไม่มี ผลย่อมไม่เกิด ฉะนั้น พึงอยู่กับความจริงและเริ่มฝึกตามที่แนะไว้ข้างบน หรือกัลยาณมิตรอื่นๆอาจสงเคราะห์แนะทางเพิ่มเติมครับ.

ไม่ท้อครับ เกิดมาทั้งทีเอาดีให้ได้ครับ ทำไมคนอื่นทำได้ เราต่างจากเขาตรงใหน มี๒มือ๒เท้าเท่ากัน ไม่ต่างกันเลย..ในโลกนี้ สิ่งดีๆพิเศษมักมีจำนวนน้อย..คนร่ำรวยบนโลกมีน้อยกว่าคนจน..ผู้นำหรือกษตริย์มีเพียงไม่กี่คน.. คนเรียนเก่งมีน้อยกว่าคนเรียนไม่เก่ง.. แม้แต่ที่นั่งชั้นพิเศษที่เรียกว่า first class ในเครื่องบินหรือรถไฟก็มีน้อยกว่าชั้นธรรมดา.. คนดีก็มีน้อยกว่าคนไม่ดี แล้วเราต้องการอยู่ในกลุ่มน้อย หรือกลุ่มมาก เลือกได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ครับ..:b46: :b47: :b48: :b41:

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


แก้ไขล่าสุดโดย -dd- เมื่อ 22 ม.ค. 2010, 18:59, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 13:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ความเห็นผิด และ นิสัยพาล นั้น ส่วนใหญ่ ล้วนเกิดจากการที่บุคคลนั้นๆ ได้รับการขัดเกลาทางสังคม และสิ่งแวดล้อมมาอย่างนั้น การได้รับการขัดเกลาทางสังคม และสิ่งแวดล้อม ย่อมหมายรวมตั้งแต่ "กรรมพันธุ์" เป็นต้นมา
การที่บุคคลไม่ได้รับการขัดเกลาทางศีลธรรมอันดีงาม ก็ย่อมเป็นเหตุให้เกิดความคิด ความเห็น ความเข้าใจว่า สิ่งที่ตัวเขาประพฤติปฏิบัติอยู่นั้น ถูกต้อง และดีงาม
หนทางที่จะแก้ไขพอมีอยู่บ้าง แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับ อายุ สภาพจิตใจ สภาพแวดล้อม และความต้องการของตัวบุคคลนั้นๆ
ถ้าเขาพอใจในพฤติกรรม ,ความคิด ฯ ที่ตัวเขามีอยู่ ก็ไม่มีทางแก้
แต่ถ้าเขาต้องการที่จะแก้ไข ด้วยความรู้สึกตัว และระลึกได้ว่า พฤติกรรม ,การกระทำ ,ความคิด ของตัวเขานั้นไม่ถูกต้อง ก็ย่อมสามารถแก้ไขได้ ด้วย หลักศีล ๕ (ศีล ๕ ถ้าเป็นพุทธศาสนิกชน) และหลัก สัปปุริสธรรม อันได้แก่
"ธรรมของสัตบุรุษ, ธรรมของคนดี, ธรรมที่ทำให้เป็นสัตบุรุษ มี ๗ อย่างคือ ๑.ธัมมัญญุตา รู้หลักหรือรู้จักเหตุ ๒.อัตถัญญุตา รู้ความมุ่งหมายหรือรู้จักผล ๓.อัตตัญญุตา รู้จักตน ๔.มัตตัญญุตา รู้จักประมาณ ๕.กาลัญญุตา รู้จักกาล ๖.ปริสัญญุตา รู้จักชุมชน ๗.ปุคคลัญญุตา รู้จักบุคคล; อีกหมวดหนึ่งมี ๘ อย่างคือ ๑.ประกอบด้วย สัทธรรม ๗ ประการ ๒.ภักดีสัตบุรษ (คบหาผู้มีสัทธรรม ๗) ๓.คิดอย่างสัตบุรุษ ๔.ปรึกษาอย่างสัตบุรุษ ๕.พูดอย่างสัตบุรุษ ๖.ทำอย่างสัตบุรุษ (๓-๔-๕-๖ คือ คิดปรึกษา พูด ทำ มิใช่เพื่อเบียดเบียนตน และผู้อื่น) ๗.มีความเห็นอย่างสัตบุรุษ (คือเห็นชอบว่า ทำดีมีผลดี ทำชั่วมีผลชั่วเป็นต้น) ๘.ให้ทานอย่างสัตบุรุษ (คือให้โดยเคารพ เอื้อเฟื้อ แก่ของและผู้รับทาน เป็นต้น)" (คัดลอกจากพจนานุกรม พุทธศาสนา ฉบับพระธรรมปิฎก ป.อ.ปยุตฺโต)

อนึ่ง อาจมีหลายๆท่าน มีความสงสัยว่า ทำไม ข้าพเจ้ามักยกเอา สัปปุริสธรรมขึ้นมากล่าว อยู่บ่อยครั้ง ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะ ธรรมหมวดนี้ สามารถใช้ได้อย่างกว้างขววาง สามารถคิดพิจารณาให้เข้ากับพฤติกรรม หรือการกระทำได้ในหลายเรื่องหลายอย่าง หากรู้จักคิดพิจารณา ด้วยการใช้หลัก อนุมาน คือ คิดพิจารณา จากหัวข้อไปหารายละเอียด ก็จะสามารถเกิดความรู้ ความเข้าใจได้ อย่างถูกต้อง และถ่องแท้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 15:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกอานาปานสติ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2010, 05:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ม.ค. 2010, 04:16
โพสต์: 40

แนวปฏิบัติ: แนวนั่ง แนวนอน แนวดิ่ง แนวๆๆๆ
งานอดิเรก: อยู่ไม่เฉย
สิ่งที่ชื่นชอบ: การ์ตูน เรื่องจะเอาอะไรกับผม
ชื่อเล่น: อาร์ต
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มิจฉาทิฐฐิก็ไปแก้ด้วยปัญญา ปัญญาที่แก้มันไม่ใช่ปัญญาของคนอื่นเขา ปัญญาต้องให้มีที่ตนเอง
มีปัญญามันจะรู้จักแยกแยะถูกผิด ควรไม่ควร มันแยกแยะของมันเองได้

ลึกๆน่ะคนเรามันรู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดีอยู่แล้ว เพราะมันมีปัญญาอยู่ มันรู้สิ่งที่ถูกต้องที่สมควรอยู่
ขาดเพียงการมีสติให้รู้ในทุกขณะว่า นี่ทำอะไรอย่างไร นี่คิดอะไรอย่างไร นี่เห็นผิดนี่เห็นชอบ
ทำบ่อยๆปัญญามันก็พัฒนาขึ้นไปเอง แล้วจะเห็นว่ามันตรงของมันขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นว่าตรงแค่ไหนมันก็งอได้เหมือนกัน

มันจะเลิกตรง เลิกงอ มันจะเห็นว่ามันเป็นของมันอย่างนั้นเองแค่นั้นเอง แล้วมันจะไม่สร้างความเดือดร้อนทั้งกายใจ ทั้งกับตนเองและผู้อื่น

:b6: :b6: :b6: :b6: อ้าว แล้วผมมาบ่นอะไรอยู่นี่ เหอๆลืมตัว :b32: :b32: :b32: :b32: :b9: :b9:
:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 03:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ม.ค. 2010, 01:00
โพสต์: 10

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่มีนิยตมิจฉาทิฏฐิยังมีทางแก้ทางถอนเมื่อสำนึกรู้ตัวครั้งแรกบ้างไหมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 16:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เหมือนปมเชือก ต้องค่อยๆแก้ไปทีละเปลาะ

ก็สมัยพระพุทธเจ้า ก้มีนิตมิจฉาทิฐิเยอะนะ
เรียกว่าลำพังไปเถียงๆ พูดกันเฉยๆแล้วจะให้เขาเปลี่ยนความคิดนี่ ยากมาก

ก็พระพุทธเจ้าของเราได้แก้ไขมิจฉาทิฐิของคนเหล่านั้น
มีปรากฏอยู่หลายแห่งในพระไตรปิฏก ที่เบื้องต้นทรงใช้ฤทธิ์เดชกำหราบความโอหังมานะอัตตาของเขาลง
จนเขาสิโรราบยอมแพ้ ยอมให้พระองค์เหนือกว่า
เมื่อจิตใจของเขายอมอ่อนน้อมต่อธรรม ยอมรับความจริง
จึงทรงค่อยสอนธรรมอันเป็นสัมมาทิฐิ

เช่น กรณีองค์คุลีมาร ก้ทรงใช้อภินิหารทำให้องค์คุลีมารไล่กวดพระองค์ไม่ทัน
แต่เมื่อองค์คุลีมารยอมพระองค์แล้ว หมดคำว่า "ข้าแน่" ไปแล้ว
ยอมสิโรราบต่อพระสัทธรรม ก้ทำให้ได้ดวงตาเห้นธรรม ได้โสดาบัน

คนจะได้โสดาบัน ไม่ใช่ว่ากิ๊กก๊อกได้นะ
ถึงเขาเป็นโจร แต่เขามีต้นทุนดี บุญมาก เจอพระบรมครูของสามโลก
สั่งสอนรื้อนถอนความโง่จนเข้าถึงกระแสพระนิพพาน

คนฉลาดก้มีทุกข์แบบคนฉลาดนะ คือเชื่อมั่นตัวเองเกินไป
คนฉลาดมีจุดแข็งคือความมั่นใจ แล้วก็เป้นจุด่อนด้วยในเวลาเดียวกัน

คนฉลาดเชื่อถือแต่ตัวเอง คิดว่าตัวเองถูกต้อง เป้นความประมาท
คนที่เป็นนิตยมิจฉาทิฐินี่
ที่ผมเห็นนะ ส่วนมาก ถ้าไม่โง่มาก ก็ฉลาดมาก ถึงจะโดนนิตยมิจฉาทิฐิรับประทาน

ครึ่งๆกลางๆอย่างพวกเรา ไม่ค่อยเป็นหรอก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 17:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ธ.ค. 2009, 14:59
โพสต์: 31

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บัวสี่เหล่า
บัวสี่เหล่า คือ สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของคนที่เรียนรู้เรื่องต่างๆ เป็น 4 ระดับ คือ...

1.พวกมีสติปัญญา ฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือน ดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงพระอาทิตย์ก็จะเบ่งบานทันที (อุคฆฏิตัญญู)

2.พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจราณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม ก็จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาไม่ช้า เปรียบเสมือน ดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำ ซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปัจจิตัญญู)

3.พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่ เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธาปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือน ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆโผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ)

4.พวกที่ไร้สติปัญญาและยังเป็น มิจฉาทิฏฐิ แม้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียรเปรียบเสมือน ดอกบัวที่จมอยู่โคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลาอีกด้วย ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบานได้อีก (ปทปรมะ)

มิจฉาทิฏฐิ แบบนี้ไม่มีทางเยียวยา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 17:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ธ.ค. 2009, 14:59
โพสต์: 31

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ปทปรมะ)ที่เป็นคนฉลาดมากๆ ก็มีนะไม่ใช้มีแต่พวกไร้สติปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.พ. 2010, 17:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b6:
...ไม่มีคำว่าสายที่จะเริ่มต้นใหม่...แค่เปลี่ยนความคิด...ชีวิตก็เปลี่ยน...
...พูดให้น้อยลง...ขยันสวดมนต์ทุกวัน...ปลุกใจให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน...
...สวดมนต์เช้า-ก่อนนอน...หลังสวดมนต์นั่งสมาธิ 5 นาทีแล้วแผ่เมตตา...
...แผ่เมตตาตัวเองก่อน...คนไม่รักตัวเอง...โง่ที่สุดในโลก...แล้วแผ่เมตตาสรรพสัตว์...
:b13:
...สอนตัวเองให้คิดดี...พูดดี...ทำดี...คิดพิจารณาหาเหตุผลก่อนจะพูด...
...หัดยิ้มให้บ่อยๆคือพูดแล้วถ้ามันมีข้อเสียมากกว่าข้อดีก็เฉยเสียบ้างก็ดี...
...อะไรที่มันผ่านไปแล้วอย่าเก็บมาคิด...เพราะมันตอกย้ำความไม่ดีที่เคยทำไว้...
...ทำปัจจุบัน...อยู่กับปัจจุบันคือทำสติให้อยู่ขณะปัจจุบัน...ทำจิตใจให้ไม่คิดทำอกุศล...
:b21:
...ยิ้มแย้มแจ่มใส...ทักทายปราศรัยกับเพื่อนร่วมงานตามปกติ...ทำจิตอาสาเช่นช่วยถือของ...
...ถ้าเมื่อไหร่รู้สึกทุกข์มีความคิดที่ไม่ดี...ให้อดทนก่อนพูดไม่ดีออกไป...ให้ระลึกคำว่าพุทโธ...
...ก่อนออกจากบ้านและหลังกลับเข้าบ้าน...ก็ยกมือไหว้คุณพ่อคุณแม่แสดงออกแทนการพูดก็ได้...
...จากนั้นทบทวนว่าวันนี้เราได้ทำอะไรที่ไม่ดีบ้าง...ไม่มีใครทำให้เราถูกใจได้ทั้งหมดหรอกนะ...
:b1:
...ให้รู้จักการปล่อยวาง...พื้นฐานความคิดแต่ละคนไม่เหมือนกัน...อย่าไปคาดหวังว่าคนอื่น...
...แม้แต่สิ่งที่เราคาดหวังเอง...เรายังทำไม่ได้อย่างใจตนเองเลย...ให้รู้จักคิดปล่อยวางบ้าง...
...วัดจิตใจตนเอง...ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่น...เพราะโตแล้วมันสอนกันยาก...
...ถ้าอยากมีความสุข...ต้องไม่คิดวิตกกังวลคาดหวังล่วงหน้า...แล้วใจจะสบายขึ้น...
:b16:
...เวลาที่เราทุกข์ใจ...และวิตกกังวลมากๆจนนอนไม่หลับ...ร่างกายก็จะอ่อนเพลีย...
...การวิตกกังวลมาก...ก็คือเราทุกข์มาก...เผลอๆจะกลายเป็นโรคจิตโรคประสาทไป...
...มนุษย์ทุกคนมีโรคทางใจที่ต้องการการบำบัดรักษา...คุณทุกข์แต่ไม่ทราบว่าตัวเองทุกข์...
...การทุกข์ใจเป็นโรค...การรักษาโรคทางจิตใจต้องใช้การปฏิบัติธรรมะ...อันนี้ท่านต้องทำเอาเอง...
:b27:
...เพราะการงานที่คุณทำอยู่เป็นไปเพื่อทำให้ร่างกายสะดวกสบายมีเงินใช้ซื้อสิ่งที่ต้องการต่างๆ...
...จิตใจก็สำคัญมาก...คุณจึงควรฝึกปฏิบัติธรรมคือการเจริญกรรมฐานต้องฝึกทำจิตใจให้สงบลง...
...ลดความฟุ้งซ่านคิดวุ่นวาย...ร่างกายต้องการการพักผ่อน...จิตใจก็เช่นกันก็ต้องการการพักผ่อน...
...ตอนนี้ท่านฟุ้งซ่านคิดมาก...ทำให้มองไม่เห็นทางแก้...ต้องฝึกการทำจิตใจให้เป็นสมาธิก่อนนะ...
:b4: :b4:
:b12:
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร