วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 00:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ม.ค. 2010, 20:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


สืบเนื่องจาก มีเพื่อนสมาชิก ผู้ใช้ชื่อว่า ภยังค์ มีความสงสัย ใน"โมกษะ" และได้ถามลองภูมิข้าพเจ้าด้วยความอยากรู้ ดังนั้น ณ.บัดนี้ข้าพเจ้าจะเปิดเผยความลับเกี่ยวกับศาสนาให้ได้รู้กันไว้ว่า ทำไม ข้าพเจ้าประกาศตัวว่าคือ "ศรีอริยเมตไตรย" แต่กลับปฏิเสธว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่ พระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าได้นำเอาข้อความที่ได้แสดงความคิดเห็น ในกระทู้ของผู้ใช้ชื่อว่า "ธรรมบุตร"มาแสดงไว้ และมีคำถามของเพื่อนสมาชิกผู้ใช้ชื่อว่า "ภยังค์" ถามมา ดังต่อไปนี้

Buddha เขียน:
ต้องขออภัยต่อเจ้าของกระทู้ไว้ และขอทำความเข้าใจไว้ว่า ที่ข้าพเจ้าแสดงความคิดเห็นนี้ ไม่ใช่การคัดค้าน แต่เป็นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับท่านผู้ใช้ชื่อว่า "ธรรมบุตร" อย่าได้หลงผิด คิดล้างครูเป็นอันขาด

"ศาสนาที่ดีที่สุดในโลก คือ ศาสนา พราหมณ์ ฮินดู "

ในพระไตรปิฎกนั้น ส่วนใหญ่ หรือจะกล่าวว่า ท้ังหมดเลยก็ได้ เป็นเพียงการสอนให้พระภิกษุ ในอันที่จะหลุดพ้น ซึ่งก็คือ หลัก โมกษะ นั่นเอง

ภยังค์..... ถามว่า
สมาชิก ระดับ 1
โมกษะดั้งเดิมเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมีหลักว่้าอย่างไร

คำตอบ จากข้าพเจ้า Buddha มีดังนี้
โมกษะ หรือหลักธรรมเพื่อการหลุดพ้นดั้งเดิมนั้น มีรากฐาน มีการค้นคว้า วิจัย จากเทพเจ้าทั้งหลายทางศาสนาพราหมณ์ฮินดู อันได้แก่ "พระศิวะ" และ "พระพรหม" เป็นหลัก และยังหมายรวมถึง พระนารายณ์ ,พระพิฆเณศ ซึ่งล้วนเป็นเผ่าพันธุ์แห่ง พระศิวะและพระพรหม ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงเทพเจ้าให้มากนักเป็นเพียงให้ได้รู้ที่มาของ โมกษะ หรือหลักธรรมอันเป็นหนทางหลุดพ้น เท่านั้น
อีกทั้งจะไม่กล่าวถึง หลักศาสนาพราหมณ์ฮินดู เพราะแม้จะเกี่ยวข้องกัน แต่หลักโมกษะดั้งเดิมนั้น ที่ข้าพเจ้าจะเผยแพร่ ไม่มีปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร และยังมีหลักธรรมที่เป็นหนทางหลุดพ้น หรือ โมกษะในศาสนาพราหมณ์ อยู่อีก ๓ หมวด ในที่นี้ก็จะไม่กล่าวถึง แต่จะกล่าวถึง ที่คุณผู้ใช้ชื่อว่า "ภยังค์" ถามมาว่า โมกษะ ดั้งเดิมนั้น มีหลักว่าอย่างไร
หลักโมกษะ ดั้งเดิม เมื่อก่อนพุทธกาล เมื่อ ห้าพันกว่าปีมาแล้ว ไม่ใช่ สองพันห้าร้อยกว่าปีที่พวกคุณเข้าใจกันมีดังนี้.-

๑. การครองเรือน (ถ้าต้องการรู้ว่าครองเรือนอย่างไร ก็ให้เข้าไปอ่านหรือศึกษา ในศาสนาพราหมณ์ฮินดู และ วรรณะต่างในสมัยนั้น)ฯลฯ
๒. ทาน คือ การให้ ตามการครองเรือนนั้นๆฯลฯ
๓. การกตัญญู คือ การ รู้คุณในสรรพสิ่งทั้งหลาย นับตังแต่ตัวเราเป็นต้นไปฯลฯ
๔. การเจรจา ติดต่อสื่อสาร (ดั้งเดิมมีแต่การเจรจา เพียงอย่างเดียว)ฯลฯ
๕. สรรพอาชีพ คือ การประกอบอาชีพ หรือการทำงานต่างๆ ตามลักษณะงานนั้นๆฯลฯ
๖. ประพฤติ คือ การกระทำ หรือพฤติกรรม ตามอาชีพนั้นๆ ฯลฯ
๗. ระลึก คือ การนึกถึง ความนึกขึ้นได้ หรือจำได้ ฯลฯ
๘. ดำริ คือ ความคิด หรือ การคิด ฯลฯ
ทั้ง แปด ข้อนี้ คือ อาวุธ แห่งพระพรหม และ พระศิวะ ผสมรวมกัน และเป็นแนวคิดหรือแนวทางการพิจารณา เพื่อให้บุคคลถึงซึ่งความหลุดพ้น หรือ โมกษะ
จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์ ผู้เขียน
๒๐ มกราคม ๒๕๕๓


แก้ไขล่าสุดโดย จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ เมื่อ 18 ม.ค. 2010, 20:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2010, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไมเหมือนกับหลักธรรม 4 คู่ 8 ข้อ ที่ท่านBuddha เคยประกาศว่าเป็นหลักธรรมแห่งท่านล่ะครับ :b10: :b10:

..... :b13: :b13: ....

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ม.ค. 2010, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


Buddha เขียน:
สืบเนื่องจาก มีเพื่อนสมาชิก ผู้ใช้ชื่อว่า ภยังค์ มีความสงสัย ใน"โมกษะ" และได้ถามลองภูมิข้าพเจ้าด้วยความอยากรู้ ดังนั้น ณ.บัดนี้ข้าพเจ้าจะเปิดเผยความลับเกี่ยวกับศาสนาให้ได้รู้กันไว้ว่า ทำไม ข้าพเจ้าประกาศตัวว่าคือ "ศรีอริยเมตไตรย" แต่กลับปฏิเสธว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่ พระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าได้นำเอาข้อความที่ได้แสดงความคิดเห็น ในกระทู้ของผู้ใช้ชื่อว่า "ธรรมบุตร"มาแสดงไว้ และมีคำถามของเพื่อนสมาชิกผู้ใช้ชื่อว่า "ภยังค์" ถามมา ดังต่อไปนี้

Buddha เขียน:
ต้องขออภัยต่อเจ้าของกระทู้ไว้ และขอทำความเข้าใจไว้ว่า ที่ข้าพเจ้าแสดงความคิดเห็นนี้ ไม่ใช่การคัดค้าน แต่เป็นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับท่านผู้ใช้ชื่อว่า "ธรรมบุตร" อย่าได้หลงผิด คิดล้างครูเป็นอันขาด

"ศาสนาที่ดีที่สุดในโลก คือ ศาสนา พราหมณ์ ฮินดู "

ในพระไตรปิฎกนั้น ส่วนใหญ่ หรือจะกล่าวว่า ท้ังหมดเลยก็ได้ เป็นเพียงการสอนให้พระภิกษุ ในอันที่จะหลุดพ้น ซึ่งก็คือ หลัก โมกษะ นั่นเอง

ภยังค์..... ถามว่า
สมาชิก ระดับ 1
โมกษะดั้งเดิมเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมีหลักว่้าอย่างไร

คำตอบ จากข้าพเจ้า Buddha มีดังนี้
โมกษะ หรือหลักธรรมเพื่อการหลุดพ้นดั้งเดิมนั้น มีรากฐาน มีการค้นคว้า วิจัย จากเทพเจ้าทั้งหลายทางศาสนาพราหมณ์ฮินดู อันได้แก่ "พระศิวะ" และ "พระพรหม" เป็นหลัก และยังหมายรวมถึง พระนารายณ์ ,พระพิฆเณศ ซึ่งล้วนเป็นเผ่าพันธุ์แห่ง พระศิวะและพระพรหม ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงเทพเจ้าให้มากนักเป็นเพียงให้ได้รู้ที่มาของ โมกษะ หรือหลักธรรมอันเป็นหนทางหลุดพ้น เท่านั้น
อีกทั้งจะไม่กล่าวถึง หลักศาสนาพราหมณ์ฮินดู เพราะแม้จะเกี่ยวข้องกัน แต่หลักโมกษะดั้งเดิมนั้น ที่ข้าพเจ้าจะเผยแพร่ ไม่มีปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร และยังมีหลักธรรมที่เป็นหนทางหลุดพ้น หรือ โมกษะในศาสนาพราหมณ์ อยู่อีก ๓ หมวด ในที่นี้ก็จะไม่กล่าวถึง แต่จะกล่าวถึง ที่คุณผู้ใช้ชื่อว่า "ภยังค์" ถามมาว่า โมกษะ ดั้งเดิมนั้น มีหลักว่าอย่างไร
หลักโมกษะ ดั้งเดิม เมื่อก่อนพุทธกาล เมื่อ ห้าพันกว่าปีมาแล้ว ไม่ใช่ สองพันห้าร้อยกว่าปีที่พวกคุณเข้าใจกันมีดังนี้.-

๑. การครองเรือน (ถ้าต้องการรู้ว่าครองเรือนอย่างไร ก็ให้เข้าไปอ่านหรือศึกษา ในศาสนาพราหมณ์ฮินดู และ วรรณะต่างในสมัยนั้น)ฯลฯ
๒. ทาน คือ การให้ ตามการครองเรือนนั้นๆฯลฯ
๓. การกตัญญู คือ การ รู้คุณในสรรพสิ่งทั้งหลาย นับตังแต่ตัวเราเป็นต้นไปฯลฯ
๔. การเจรจา ติดต่อสื่อสาร (ดั้งเดิมมีแต่การเจรจา เพียงอย่างเดียว)ฯลฯ
๕. สรรพอาชีพ คือ การประกอบอาชีพ หรือการทำงานต่างๆ ตามลักษณะงานนั้นๆฯลฯ
๖. ประพฤติ คือ การกระทำ หรือพฤติกรรม ตามอาชีพนั้นๆ ฯลฯ
๗. ระลึก คือ การนึกถึง ความนึกขึ้นได้ หรือจำได้ ฯลฯ
๘. ดำริ คือ ความคิด หรือ การคิด ฯลฯ
ทั้ง แปด ข้อนี้ คือ อาวุธ แห่งพระพรหม และ พระศิวะ ผสมรวมกัน และเป็นแนวคิดหรือแนวทางการพิจารณา เพื่อให้บุคคลถึงซึ่งความหลุดพ้น หรือ โมกษะ
จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์ ผู้เขียน
๒๐ มกราคม ๒๕๕๓



หลักธรรมโมกษะดั้งเดิม เมื่อหลายพันปีก่อนพุทธกาลที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้น เหล่าผู้ศรัทธาในศาสนาพราหมณ์ฮินดู ก็มิได้รู้ในหลักธรรม เหล่านั้น
เมื่อ พระพุทธเจ้า สมณโคดม ละการบำเพ็ญเพียร ทุกขกิริยา จึงได้เกิดความรู้ ความเข้าใจในหลักธรรมเหล่านั้น สำเร็จ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยการอนุมาน และอุปมาน ตามความรู้ในหลักการทางศาสนาพรหมณ์ ฮินดู และตามหรือจากประสบการ ที่พระพุทธองค์ได้พบเห็นมา กลายเป็นหลักธรรมแห่งโมกษะ หรือการหลุดพ้น หรือจะเรียกว่า " โลกกุตรธรรม" หรือ "อัพยากตะธรรม" ทั้ง ๔ คู่ ๘ ข้อ
ซึ่ง หลักธรรมเหล่านี้ เป็น เครื่องดิ้นรนแห่งสรรพสิ่ง อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ล้วนมีองค์ ๘
อันเป็นแก่นแท้ แห่ง ศาสนาพุทธโดย เฉพาะ
แต่ก็เป็นเพียง ส่วนหนึ่ง ของอาวุธแห่งเทพเจ้าทาง ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู

๑๙ มกราคม ๒๕๕๓


แก้ไขล่าสุดโดย จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ เมื่อ 19 ม.ค. 2010, 20:13, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ม.ค. 2010, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


Buddha เขียน:
Buddha เขียน:
สืบเนื่องจาก มีเพื่อนสมาชิก ผู้ใช้ชื่อว่า ภยังค์ มีความสงสัย ใน"โมกษะ" และได้ถามลองภูมิข้าพเจ้าด้วยความอยากรู้ ดังนั้น ณ.บัดนี้ข้าพเจ้าจะเปิดเผยความลับเกี่ยวกับศาสนาให้ได้รู้กันไว้ว่า ทำไม ข้าพเจ้าประกาศตัวว่าคือ "ศรีอริยเมตไตรย" แต่กลับปฏิเสธว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่ พระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าได้นำเอาข้อความที่ได้แสดงความคิดเห็น ในกระทู้ของผู้ใช้ชื่อว่า "ธรรมบุตร"มาแสดงไว้ และมีคำถามของเพื่อนสมาชิกผู้ใช้ชื่อว่า "ภยังค์" ถามมา ดังต่อไปนี้

Buddha เขียน:
ต้องขออภัยต่อเจ้าของกระทู้ไว้ และขอทำความเข้าใจไว้ว่า ที่ข้าพเจ้าแสดงความคิดเห็นนี้ ไม่ใช่การคัดค้าน แต่เป็นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับท่านผู้ใช้ชื่อว่า "ธรรมบุตร" อย่าได้หลงผิด คิดล้างครูเป็นอันขาด

"ศาสนาที่ดีที่สุดในโลก คือ ศาสนา พราหมณ์ ฮินดู "

ในพระไตรปิฎกนั้น ส่วนใหญ่ หรือจะกล่าวว่า ท้ังหมดเลยก็ได้ เป็นเพียงการสอนให้พระภิกษุ ในอันที่จะหลุดพ้น ซึ่งก็คือ หลัก โมกษะ นั่นเอง

ภยังค์..... ถามว่า
สมาชิก ระดับ 1
โมกษะดั้งเดิมเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมีหลักว่้าอย่างไร

คำตอบ จากข้าพเจ้า Buddha มีดังนี้
โมกษะ หรือหลักธรรมเพื่อการหลุดพ้นดั้งเดิมนั้น มีรากฐาน มีการค้นคว้า วิจัย จากเทพเจ้าทั้งหลายทางศาสนาพราหมณ์ฮินดู อันได้แก่ "พระศิวะ" และ "พระพรหม" เป็นหลัก และยังหมายรวมถึง พระนารายณ์ ,พระพิฆเณศ ซึ่งล้วนเป็นเผ่าพันธุ์แห่ง พระศิวะและพระพรหม ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงเทพเจ้าให้มากนักเป็นเพียงให้ได้รู้ที่มาของ โมกษะ หรือหลักธรรมอันเป็นหนทางหลุดพ้น เท่านั้น
อีกทั้งจะไม่กล่าวถึง หลักศาสนาพราหมณ์ฮินดู เพราะแม้จะเกี่ยวข้องกัน แต่หลักโมกษะดั้งเดิมนั้น ที่ข้าพเจ้าจะเผยแพร่ ไม่มีปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร และยังมีหลักธรรมที่เป็นหนทางหลุดพ้น หรือ โมกษะในศาสนาพราหมณ์ อยู่อีก ๓ หมวด ในที่นี้ก็จะไม่กล่าวถึง แต่จะกล่าวถึง ที่คุณผู้ใช้ชื่อว่า "ภยังค์" ถามมาว่า โมกษะ ดั้งเดิมนั้น มีหลักว่าอย่างไร
หลักโมกษะ ดั้งเดิม เมื่อก่อนพุทธกาล เมื่อ ห้าพันกว่าปีมาแล้ว ไม่ใช่ สองพันห้าร้อยกว่าปีที่พวกคุณเข้าใจกันมีดังนี้.-

๑. การครองเรือน (ถ้าต้องการรู้ว่าครองเรือนอย่างไร ก็ให้เข้าไปอ่านหรือศึกษา ในศาสนาพราหมณ์ฮินดู และ วรรณะต่างในสมัยนั้น)ฯลฯ
๒. ทาน คือ การให้ ตามการครองเรือนนั้นๆฯลฯ
๓. การกตัญญู คือ การ รู้คุณในสรรพสิ่งทั้งหลาย นับตังแต่ตัวเราเป็นต้นไปฯลฯ
๔. การเจรจา ติดต่อสื่อสาร (ดั้งเดิมมีแต่การเจรจา เพียงอย่างเดียว)ฯลฯ
๕. สรรพอาชีพ คือ การประกอบอาชีพ หรือการทำงานต่างๆ ตามลักษณะงานนั้นๆฯลฯ
๖. ประพฤติ คือ การกระทำ หรือพฤติกรรม ตามอาชีพนั้นๆ ฯลฯ
๗. ระลึก คือ การนึกถึง ความนึกขึ้นได้ หรือจำได้ ฯลฯ
๘. ดำริ คือ ความคิด หรือ การคิด ฯลฯ
ทั้ง แปด ข้อนี้ คือ อาวุธ แห่งพระพรหม และ พระศิวะ ผสมรวมกัน และเป็นแนวคิดหรือแนวทางการพิจารณา เพื่อให้บุคคลถึงซึ่งความหลุดพ้น หรือ โมกษะ
จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์ ผู้เขียน
๒๐ มกราคม ๒๕๕๓



หลักธรรมโมกษะดั้งเดิม เมื่อหลายพันปีก่อนพุทธกาลที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้น เหล่าผู้ศรัทธาในศาสนาพราหมณ์ฮินดู ก็มิได้รู้ในหลักธรรม เหล่านั้น
เมื่อ พระพุทธเจ้า สมณโคดม ละการบำเพ็ญเพียร ทุกขกิริยา จึงได้เกิดความรู้ ความเข้าใจในหลักธรรมเหล่านั้น สำเร็จ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยการอนุมาน และอุปมาน ตามความรู้ในหลักการทางศาสนาพรหมณ์ ฮินดู และตามหรือจากประสบการ ที่พระพุทธองค์ได้พบเห็นมา กลายเป็นหลักธรรมแห่งโมกษะ หรือการหลุดพ้น หรือจะเรียกว่า " โลกกุตรธรรม" หรือ "อัพยากตะธรรม" ทั้ง ๔ คู่ ๘ ข้อ
ซึ่ง หลักธรรมเหล่านี้ เป็น เครื่องดิ้นรนแห่งสรรพสิ่ง อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ล้วนมีองค์ ๘
อันเป็นแก่นแท้ แห่ง ศาสนาพุทธโดย เฉพาะ
แต่ก็เป็นเพียง ส่วนหนึ่ง ของอาวุธแห่งเทพเจ้าทาง ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู

๑๙ มกราคม ๒๕๕๓


การกล่าวเช่นนี้ เป็นการแสดงมหาอวิชชา

ออกมา

พระพุทธเจ้าเป็นสัมมาสัมพุทธะไม่มีการอนุมานด้วยความคิดความเห็นที่มีมาที่เรียนรู้มา

พระพุทธเจ้าทรงรู้เอง

พรามณ์ ฮินดู ไม่ว่าจะสมัยไหนก็พยายามรวมเอาศาสนาต่างๆมาหาตน

ถ้าการหลุดพ้นของพวกเดรถีร์มีจริง ไปนิพพานหมดแล้วละ

มีแต่คนโง่ที่คิดๆได้แค่นี้ ด้วยมหาอวิชชาในหัวใจ


อ้างคำพูด:
. การครองเรือน (ถ้าต้องการรู้ว่าครองเรือนอย่างไร ก็ให้เข้าไปอ่านหรือศึกษา ในศาสนาพราหมณ์ฮินดู และ วรรณะต่างในสมัยนั้น)ฯลฯ
๒. ทาน คือ การให้ ตามการครองเรือนนั้นๆฯลฯ
๓. การกตัญญู คือ การ รู้คุณในสรรพสิ่งทั้งหลาย นับตังแต่ตัวเราเป็นต้นไปฯลฯ
๔. การเจรจา ติดต่อสื่อสาร (ดั้งเดิมมีแต่การเจรจา เพียงอย่างเดียว)ฯลฯ
๕. สรรพอาชีพ คือ การประกอบอาชีพ หรือการทำงานต่างๆ ตามลักษณะงานนั้นๆฯลฯ
๖. ประพฤติ คือ การกระทำ หรือพฤติกรรม ตามอาชีพนั้นๆ ฯลฯ
๗. ระลึก คือ การนึกถึง ความนึกขึ้นได้ หรือจำได้ ฯลฯ
๘. ดำริ คือ ความคิด หรือ การคิด ฯลฯ
ทั้ง แปด ข้อนี้ คือ อาวุธ แห่งพระพรหม และ พระศิวะ ผสมรวมกัน และเป็นแนวคิดหรือแนวทางการพิจารณา เพื่อให้บุคคลถึงซึ่งความหลุดพ้น หรือ โมกษะ



ที่กล่าวมานี้ยังได้แค่ธรรมที่มีธรรมดาในโลกไปสู่ความหลุดพ้นอะไรไม่มีเลย

พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึง อริยมรรคมีองค์ 8 และความจริงใน ธาตุ ขันธ์ อายตนะ ปฏิจจสมุปบาท อริยสัจ 4

ศาสนาเดรถีร์เหล่านี้ไม่มีหลักความหลุดพ้นเลยได้แต่คิดเอาลอยๆ เป็น จินตนาการอันยิ่งใหญ่

คุยกับพวกนี้แล้วไร้สาระมาก

คุณก็ระวังให้ดีกับการบิดเบือนธรรม และ พระสัทธรรม

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2010, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์" ผู้เขลาเบาปัญญาเอ๋ย ตัวเจ้านั้น ถ้าเป็นในสมัยพุทธกาล ก็คงจะเรียกว่า เทือกเหล่ากอ ของ พระเทวทัตแล้ว
เจ้ายังมีปัญญาเพียงแค่หางอึ่ง เจ้ากลับไปอ่านกระทู้ทั้งหมดให้ดี
แล้วสิ่งที่เจ้าเอามาอ้างนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์มีอยู่หรือ
พวกเจ้าทั้งหลาย ที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา จงอ่านและจดจำไว้ว่า
ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเคยบอกให้บรรจุหลักธรรมทั้ง ๔ คู่ ๘ ข้อ เข้าไว้ในพระไตรปิฎก แต่พวกเจ้าเพิกเฉย แล้วอะไรจะเกิดกันละ

เจ้าผู้เป็นเทีอกเหล่ากอ ของ เทวทัตเอ๋ย เจ้าไปคิดพิจารณาให้ดีเถิด แล้วเจ้าจะรู้ว่า
ทำไม ข้าพเจ้าจึงสอน ให้รู้ว่า อะไร คือ
"โลกุตตรธรรม"
อย่าทำเป็นอวดฉลาดอยู่เลย ระดับเจ้ามันเป็นเพียงแค่ เศษสวะ เท่านั้น (ขออภัยนะ ไม่ได้ด่า แต่เตือนสติ)
หรือเจ้าสงสัยในตัวข้าฯ จะมาพิสูจน์ก็ได้นะ


แก้ไขล่าสุดโดย จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ เมื่อ 22 ม.ค. 2010, 21:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2010, 14:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


Buddha เขียน:
Buddha เขียน:
สืบเนื่องจาก มีเพื่อนสมาชิก ผู้ใช้ชื่อว่า ภยังค์ มีความสงสัย ใน"โมกษะ" และได้ถามลองภูมิข้าพเจ้าด้วยความอยากรู้ ดังนั้น ณ.บัดนี้ข้าพเจ้าจะเปิดเผยความลับเกี่ยวกับศาสนาให้ได้รู้กันไว้ว่า ทำไม ข้าพเจ้าประกาศตัวว่าคือ "ศรีอริยเมตไตรย" แต่กลับปฏิเสธว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่ พระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าได้นำเอาข้อความที่ได้แสดงความคิดเห็น ในกระทู้ของผู้ใช้ชื่อว่า "ธรรมบุตร"มาแสดงไว้ และมีคำถามของเพื่อนสมาชิกผู้ใช้ชื่อว่า "ภยังค์" ถามมา ดังต่อไปนี้

Buddha เขียน:
ต้องขออภัยต่อเจ้าของกระทู้ไว้ และขอทำความเข้าใจไว้ว่า ที่ข้าพเจ้าแสดงความคิดเห็นนี้ ไม่ใช่การคัดค้าน แต่เป็นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับท่านผู้ใช้ชื่อว่า "ธรรมบุตร" อย่าได้หลงผิด คิดล้างครูเป็นอันขาด

"ศาสนาที่ดีที่สุดในโลก คือ ศาสนา พราหมณ์ ฮินดู "

ในพระไตรปิฎกนั้น ส่วนใหญ่ หรือจะกล่าวว่า ท้ังหมดเลยก็ได้ เป็นเพียงการสอนให้พระภิกษุ ในอันที่จะหลุดพ้น ซึ่งก็คือ หลัก โมกษะ นั่นเอง

ภยังค์..... ถามว่า
สมาชิก ระดับ 1
โมกษะดั้งเดิมเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมีหลักว่้าอย่างไร

คำตอบ จากข้าพเจ้า Buddha มีดังนี้
โมกษะ หรือหลักธรรมเพื่อการหลุดพ้นดั้งเดิมนั้น มีรากฐาน มีการค้นคว้า วิจัย จากเทพเจ้าทั้งหลายทางศาสนาพราหมณ์ฮินดู อันได้แก่ "พระศิวะ" และ "พระพรหม" เป็นหลัก และยังหมายรวมถึง พระนารายณ์ ,พระพิฆเณศ ซึ่งล้วนเป็นเผ่าพันธุ์แห่ง พระศิวะและพระพรหม ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงเทพเจ้าให้มากนักเป็นเพียงให้ได้รู้ที่มาของ โมกษะ หรือหลักธรรมอันเป็นหนทางหลุดพ้น เท่านั้น
อีกทั้งจะไม่กล่าวถึง หลักศาสนาพราหมณ์ฮินดู เพราะแม้จะเกี่ยวข้องกัน แต่หลักโมกษะดั้งเดิมนั้น ที่ข้าพเจ้าจะเผยแพร่ ไม่มีปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร และยังมีหลักธรรมที่เป็นหนทางหลุดพ้น หรือ โมกษะในศาสนาพราหมณ์ อยู่อีก ๓ หมวด ในที่นี้ก็จะไม่กล่าวถึง แต่จะกล่าวถึง ที่คุณผู้ใช้ชื่อว่า "ภยังค์" ถามมาว่า โมกษะ ดั้งเดิมนั้น มีหลักว่าอย่างไร
หลักโมกษะ ดั้งเดิม เมื่อก่อนพุทธกาล เมื่อ ห้าพันกว่าปีมาแล้ว ไม่ใช่ สองพันห้าร้อยกว่าปีที่พวกคุณเข้าใจกันมีดังนี้.-

๑. การครองเรือน (ถ้าต้องการรู้ว่าครองเรือนอย่างไร ก็ให้เข้าไปอ่านหรือศึกษา ในศาสนาพราหมณ์ฮินดู และ วรรณะต่างในสมัยนั้น)ฯลฯ
๒. ทาน คือ การให้ ตามการครองเรือนนั้นๆฯลฯ
๓. การกตัญญู คือ การ รู้คุณในสรรพสิ่งทั้งหลาย นับตังแต่ตัวเราเป็นต้นไปฯลฯ
๔. การเจรจา ติดต่อสื่อสาร (ดั้งเดิมมีแต่การเจรจา เพียงอย่างเดียว)ฯลฯ
๕. สรรพอาชีพ คือ การประกอบอาชีพ หรือการทำงานต่างๆ ตามลักษณะงานนั้นๆฯลฯ
๖. ประพฤติ คือ การกระทำ หรือพฤติกรรม ตามอาชีพนั้นๆ ฯลฯ
๗. ระลึก คือ การนึกถึง ความนึกขึ้นได้ หรือจำได้ ฯลฯ
๘. ดำริ คือ ความคิด หรือ การคิด ฯลฯ
ทั้ง แปด ข้อนี้ คือ อาวุธ แห่งพระพรหม และ พระศิวะ ผสมรวมกัน และเป็นแนวคิดหรือแนวทางการพิจารณา เพื่อให้บุคคลถึงซึ่งความหลุดพ้น หรือ โมกษะ
จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์ ผู้เขียน
๒๐ มกราคม ๒๕๕๓



หลักธรรมโมกษะดั้งเดิม เมื่อหลายพันปีก่อนพุทธกาลที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้น เหล่าผู้ศรัทธาในศาสนาพราหมณ์ฮินดู ก็มิได้รู้ในหลักธรรม เหล่านั้น
เมื่อ พระพุทธเจ้า สมณโคดม ละการบำเพ็ญเพียร ทุกขกิริยา จึงได้เกิดความรู้ ความเข้าใจในหลักธรรมเหล่านั้น สำเร็จ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยการอนุมาน และอุปมาน ตามความรู้ในหลักการทางศาสนาพรหมณ์ ฮินดู และตามหรือจากประสบการ ที่พระพุทธองค์ได้พบเห็นมา กลายเป็นหลักธรรมแห่งโมกษะ หรือการหลุดพ้น หรือจะเรียกว่า " โลกกุตรธรรม" หรือ "อัพยากตะธรรม" ทั้ง ๔ คู่ ๘ ข้อ
ซึ่ง หลักธรรมเหล่านี้ เป็น เครื่องดิ้นรนแห่งสรรพสิ่ง อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ล้วนมีองค์ ๘
อันเป็นแก่นแท้ แห่ง ศาสนาพุทธโดย เฉพาะ
แต่ก็เป็นเพียง ส่วนหนึ่ง ของอาวุธแห่งเทพเจ้าทาง ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู

๑๙ มกราคม ๒๕๕๓


อนึ่ง หากมีผู้หนึ่ง ผู้ใด ที่มีความคิด หรือความรู้ อันน้อยนิด ไม่รู้จักคำว่า "อนุมาน" และ "อุปมาน" กลับกล่าวว่า "พระพุทธสมณโคดม ไม่ได้ "อนุมาน และ อุปมาน" ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงจะอธิบาย คำว่า "อนุมาน และ อุปมาน" ตามความหมาย ทางพจนานุกรม หลายฉบับ ที่มีความหมาย ดังต่อไปนี้

อนุมาน หมายถึง การคาดหมาย หรือการคาดคะแน โดยวิธีการใช้กฎเกณฑ์ อธิบายโดยเป็นไปตามหลักความจริง หรือข้อเท็จจริง หรือ เป็นการ อธิบาย หรือทำความเข้าใจ หรือสอน จากกฎเกณฑ์ ไปสู่ส่วนย่อยหรือส่วนรายละเอียด หรือส่วนที่จำเพาะเจาะจงโดยเฉพาะ ในเรื่องนั้นๆ

อุปมาน หมายถึง การเปรียบเทียบสิ่งที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันหลายๆสิ่ง หรือ การศึกษา จากหลักความจริง หรือข้อเท็จจริงที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน หรือเหมือนกัน หลายๆอย่าง แล้วตั้งเป็น กฎเกณฑ์ขึ้น

หากจะอธิบายให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายขึ้น
อนุมาน ย่อมหมายถึง การศึกษา หรือการทำความเข้าใจ หรือการสอนจากหัวข้อของกฎเกณฑ์ ไปสู่รายละเอียด ตามข้อเท็จจริง หรือหลักความจริง ตามธรรมชาติ
อุปมาน ย่อมหมายถึง การศึกษา หรือการทำความเข้าใจ หรือการสอน จากการรวบรวมรายละเอียด ตามข้อเท็จจริงหรือหลักความจริง ตามธรรมติ ไปสู่ หัวข้อของกฎเกณฑ์ หรือ ตั้งเป็น หัวข้อ กฎเกณฑ์ใหม่ขึ้นมา
อีกประการหนึ่ง
หลักธรรม หรือ หลัก โลกุตตรธรรม ทั้ง ๔ คู่ ๘ ข้อ ที่ได้สอนไผปข้างต้นนั้น ไม่ใช่เป็นการ ตั้งศาสนาใหม่ หรือเขียนเอาเองจากการนึกคิด ดังที่มีผู้กล่าวหา
หลักธรรม หรือ หลักโลกกุตตรธรรม เหล่านั้น ได้ผ่านการวิจัย ฝึกฝน และปฏิบัติ จนได้ผลดีแล้ว สามารถพิสูจน์ ได้ด้วยตัวของท่านทั้งหลาย และสามารถพิสูจน์ได้จากตัวข้าพเจ้าผู้เขียน
ถ้าหากไม่เข้าใจว่าทำไมหลักธรรมเหล่านั้น จึงเป็นหลักโลตรรธรรม ก็ให้สอบถามข้าพเจ้าได้ โดยต้องมาพบข้าพเจ้าเป็นการส่วนตัว
ไม่เสียเงิน ไม่เรียกร้องเอาทรัยพ์สินใดใด แต่ต้องเตรียมบัตรประชาชนมาด้วย และต้องเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น เพราะหลักธรรมหรือหลักโลกกุตตรธรรม เป็นทางศาสนาพุทธโดยเฉพาะ
ความจริงแล้ว ข้าพจ้าต้องการที่จะให้กับเหล่าคณะสงฆ์ของไทย แต่เสียดายที่พวกเขาไม่สนใจ รวมไปถึง เหล่าผู้เกี่ยวข้องทางพุทธศาสนา ในกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ทำเป็นเพิกเฉย คิดว่าข้าพเจ้าบ้า และไม่ยอมบรรจุเข้าไว้ในพระไตรปิฏก เวลามีจำกัด นะขอรับ จากที่เคยบอกให้บรรจุลงในพระไตรปิฏก ผ่านไป เกือบสองปี คงเหลือเวลา อีกประมาณไม่เกินสองปี จึงบอกให้รู้ไว้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2010, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


Buddha เขียน:
ไม่เสียเงิน ไม่เรียกร้องเอาทรัยพ์สินใดใด แต่ต้องเตรียมบัตรประชาชนมาด้วย และต้องเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น เพราะหลักธรรมหรือหลักโลกกุตตรธรรม เป็นทางศาสนาพุทธโดยเฉพาะ
ความจริงแล้ว ข้าพจ้าต้องการที่จะให้กับเหล่าคณะสงฆ์ของไทย แต่เสียดายที่พวกเขาไม่สนใจ รวมไปถึง เหล่าผู้เกี่ยวข้องทางพุทธศาสนา ในกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ทำเป็นเพิกเฉย คิดว่าข้าพเจ้าบ้า และไม่ยอมบรรจุเข้าไว้ในพระไตรปิฏก เวลามีจำกัด นะขอรับ จากที่เคยบอกให้บรรจุลงในพระไตรปิฏก ผ่านไป เกือบสองปี คงเหลือเวลา อีกประมาณไม่เกินสองปี จึงบอกให้รู้ไว้


ท่านจะโปรดเฉพาะบุคคลผู้มีสัญชาติเท่านั้นหรอกหรือครับ :b10:

แล้วที่ว่าเหลือเวลาอีกประมาณ 2 ปี หมายถึงว่าท่านจะตายภายใน 2 ปีหรือครับ :b10:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


แก้ไขล่าสุดโดย natdanai เมื่อ 25 ม.ค. 2010, 17:34, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2010, 19:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


natdanai เขียน:
Buddha เขียน:
ไม่เสียเงิน ไม่เรียกร้องเอาทรัยพ์สินใดใด แต่ต้องเตรียมบัตรประชาชนมาด้วย และต้องเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น เพราะหลักธรรมหรือหลักโลกกุตตรธรรม เป็นทางศาสนาพุทธโดยเฉพาะ
ความจริงแล้ว ข้าพจ้าต้องการที่จะให้กับเหล่าคณะสงฆ์ของไทย แต่เสียดายที่พวกเขาไม่สนใจ รวมไปถึง เหล่าผู้เกี่ยวข้องทางพุทธศาสนา ในกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ทำเป็นเพิกเฉย คิดว่าข้าพเจ้าบ้า และไม่ยอมบรรจุเข้าไว้ในพระไตรปิฏก เวลามีจำกัด นะขอรับ จากที่เคยบอกให้บรรจุลงในพระไตรปิฏก ผ่านไป เกือบสองปี คงเหลือเวลา อีกประมาณไม่เกินสองปี จึงบอกให้รู้ไว้


ท่านจะโปรดเฉพาะบุคคลผู้มีสัญชาติเท่านั้นหรอกหรือครับ :b10:

แล้วที่ว่าเหลือเวลาอีกประมาณ 2 ปี หมายถึงว่าท่านจะตายภายใน 2 ปีหรือครับ :b10:

ผู้น้อยก็อยากทราบเหมือนกันครับ :b1: :b8: ท่าน Buddha รีบมาชี้แจงไวๆ ด้วยครับ

ท่าน natdanai ใช้คำว่า ตาย ดูจะไม่ค่อยดีนะครับ เดี๋ยวท่าน Buddha อาจจะคิดว่าแช่ง ท่านได้
ผู้น้อยคิดว่า ใช้คำว่า ละกายสังขาร น่าจะเหมาะกว่านะครับ :b1: :b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2010, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ฮ่า ฮ่า ฮ่า ข้าพเจ้าเขียนไม่ชัดเจนเอง
ไม่ใช่อย่างที่พวกคุณเข้าใจดอกขอรับ

อีกสองปี ไม่ใช่ข้าพเจ้าตาย และไม่ใช่ข้าพเจ้าละสังขารดอกขอรับ

แต่อีกสองปี จะครบกำหนด การผ่อนผัน ไม่ให้เกิดกลียุคกับมนุษย์
ภายในสองปีต่อจากนี้ไป ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศศาสนา
ศาสนาที่มีอยู่เดิมก็ต้องรับเอา หลักธรรมคำสอนของข้าพเจ้า เพื่อแก้ไขพัฒนาศาสนา

ขอให้ท่านทั้งหลายที่ได้อ่าน โปรดใช้วิจารณญาณให้ดีนะขอรับ เพราะข้าพเจ้าเป็นเพียงบอกให้ได้รู้ ถึงแม้ว่า จะเป็นความลับ ข้าพเจ้าก็บอกให้รู้ล่วงหน้าเอาไว้ จะเท็จจริงอย่างไรก็ต้องรอดูกันต่อไปขอรับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ม.ค. 2010, 23:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


Buddha เขียน:
เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์" ผู้เขลาเบาปัญญาเอ๋ย ตัวเจ้านั้น ถ้าเป็นในสมัยพุทธกาล ก็คงจะเรียกว่า เทือกเหล่ากอ ของ พระเทวทัตแล้ว
เจ้ายังมีปัญญาเพียงแค่หางอึ่ง เจ้ากลับไปอ่านกระทู้ทั้งหมดให้ดี
แล้วสิ่งที่เจ้าเอามาอ้างนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์มีอยู่หรือ
พวกเจ้าทั้งหลาย ที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา จงอ่านและจดจำไว้ว่า
ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเคยบอกให้บรรจุหลักธรรมทั้ง ๔ คู่ ๘ ข้อ เข้าไว้ในพระไตรปิฎก แต่พวกเจ้าเพิกเฉย แล้วอะไรจะเกิดกันละ

เจ้าผู้เป็นเทีอกเหล่ากอ ของ เทวทัตเอ๋ย เจ้าไปคิดพิจารณาให้ดีเถิด แล้วเจ้าจะรู้ว่า
ทำไม ข้าพเจ้าจึงสอน ให้รู้ว่า อะไร คือ
"โลกุตตรธรรม"
อย่าทำเป็นอวดฉลาดอยู่เลย ระดับเจ้ามันเป็นเพียงแค่ เศษสวะ เท่านั้น (ขออภัยนะ ไม่ได้ด่า แต่เตือนสติ)
หรือเจ้าสงสัยในตัวข้าฯ จะมาพิสูจน์ก็ได้นะ



อนึ่ง หากมีผู้หนึ่ง ผู้ใด ที่มีความคิด หรือความรู้ อันน้อยนิด ไม่รู้จักคำว่า "อนุมาน" และ "อุปมาน" กลับกล่าวว่า "พระพุทธสมณโคดม ไม่ได้ "อนุมาน และ อุปมาน" ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงจะอธิบาย คำว่า "อนุมาน และ อุปมาน" ตามความหมาย ทางพจนานุกรม หลายฉบับ ที่มีความหมาย ดังต่อไปนี้

อนุมาน หมายถึง การคาดหมาย หรือการคาดคะแน โดยวิธีการใช้กฎเกณฑ์ อธิบายโดยเป็นไปตามหลักความจริง หรือข้อเท็จจริง หรือ เป็นการ อธิบาย หรือทำความเข้าใจ หรือสอน จากกฎเกณฑ์ ไปสู่ส่วนย่อยหรือส่วนรายละเอียด หรือส่วนที่จำเพาะเจาะจงโดยเฉพาะ ในเรื่องนั้นๆ

อุปมาน หมายถึง การเปรียบเทียบสิ่งที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันหลายๆสิ่ง หรือ การศึกษา จากหลักความจริง หรือข้อเท็จจริงที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน หรือเหมือนกัน หลายๆอย่าง แล้วตั้งเป็น กฎเกณฑ์ขึ้น

หากจะอธิบายให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายขึ้น
อนุมาน ย่อมหมายถึง การศึกษา หรือการทำความเข้าใจ หรือการสอนจากหัวข้อของกฎเกณฑ์ ไปสู่รายละเอียด ตามข้อเท็จจริง หรือหลักความจริง ตามธรรมชาติ
อุปมาน ย่อมหมายถึง การศึกษา หรือการทำความเข้าใจ หรือการสอน จากการรวบรวมรายละเอียด ตามข้อเท็จจริงหรือหลักความจริง ตามธรรมติ ไปสู่ หัวข้อของกฎเกณฑ์ หรือ ตั้งเป็น หัวข้อ กฎเกณฑ์ใหม่ขึ้นมา
อีกประการหนึ่ง
หลักธรรม หรือ หลัก โลกุตตรธรรม ทั้ง ๔ คู่ ๘ ข้อ ที่ได้สอนไผปข้างต้นนั้น ไม่ใช่เป็นการ ตั้งศาสนาใหม่ หรือเขียนเอาเองจากการนึกคิด ดังที่มีผู้กล่าวหา
หลักธรรม หรือ หลักโลกกุตตรธรรม เหล่านั้น ได้ผ่านการวิจัย ฝึกฝน และปฏิบัติ จนได้ผลดีแล้ว สามารถพิสูจน์ ได้ด้วยตัวของท่านทั้งหลาย และสามารถพิสูจน์ได้จากตัวข้าพเจ้าผู้เขียน
ถ้าหากไม่เข้าใจว่าทำไมหลักธรรมเหล่านั้น จึงเป็นหลักโลตรรธรรม ก็ให้สอบถามข้าพเจ้าได้ โดยต้องมาพบข้าพเจ้าเป็นการส่วนตัว
ไม่เสียเงิน ไม่เรียกร้องเอาทรัยพ์สินใดใด แต่ต้องเตรียมบัตรประชาชนมาด้วย และต้องเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น เพราะหลักธรรมหรือหลักโลกกุตตรธรรม เป็นทางศาสนาพุทธโดยเฉพาะ
ความจริงแล้ว ข้าพจ้าต้องการที่จะให้กับเหล่าคณะสงฆ์ของไทย แต่เสียดายที่พวกเขาไม่สนใจ รวมไปถึง เหล่าผู้เกี่ยวข้องทางพุทธศาสนา ในกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ทำเป็นเพิกเฉย คิดว่าข้าพเจ้าบ้า และไม่ยอมบรรจุเข้าไว้ในพระไตรปิฏก เวลามีจำกัด นะขอรับ จากที่เคยบอกให้บรรจุลงในพระไตรปิฏก ผ่านไป เกือบสองปี คงเหลือเวลา อีกประมาณไม่เกินสองปี จึงบอกให้รู้ไว้
Buddha เขียน:
Buddha เขียน:
สืบเนื่องจาก มีเพื่อนสมาชิก ผู้ใช้ชื่อว่า ภยังค์ มีความสงสัย ใน"โมกษะ" และได้ถามลองภูมิข้าพเจ้าด้วยความอยากรู้ ดังนั้น ณ.บัดนี้ข้าพเจ้าจะเปิดเผยความลับเกี่ยวกับศาสนาให้ได้รู้กันไว้ว่า ทำไม ข้าพเจ้าประกาศตัวว่าคือ "ศรีอริยเมตไตรย" แต่กลับปฏิเสธว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่ พระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าได้นำเอาข้อความที่ได้แสดงความคิดเห็น ในกระทู้ของผู้ใช้ชื่อว่า "ธรรมบุตร"มาแสดงไว้ และมีคำถามของเพื่อนสมาชิกผู้ใช้ชื่อว่า "ภยังค์" ถามมา ดังต่อไปนี้

Buddha เขียน:
ต้องขออภัยต่อเจ้าของกระทู้ไว้ และขอทำความเข้าใจไว้ว่า ที่ข้าพเจ้าแสดงความคิดเห็นนี้ ไม่ใช่การคัดค้าน แต่เป็นการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับท่านผู้ใช้ชื่อว่า "ธรรมบุตร" อย่าได้หลงผิด คิดล้างครูเป็นอันขาด

"ศาสนาที่ดีที่สุดในโลก คือ ศาสนา พราหมณ์ ฮินดู "

ในพระไตรปิฎกนั้น ส่วนใหญ่ หรือจะกล่าวว่า ท้ังหมดเลยก็ได้ เป็นเพียงการสอนให้พระภิกษุ ในอันที่จะหลุดพ้น ซึ่งก็คือ หลัก โมกษะ นั่นเอง

ภยังค์..... ถามว่า
สมาชิก ระดับ 1
โมกษะดั้งเดิมเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมีหลักว่้าอย่างไร

คำตอบ จากข้าพเจ้า Buddha มีดังนี้
โมกษะ หรือหลักธรรมเพื่อการหลุดพ้นดั้งเดิมนั้น มีรากฐาน มีการค้นคว้า วิจัย จากเทพเจ้าทั้งหลายทางศาสนาพราหมณ์ฮินดู อันได้แก่ "พระศิวะ" และ "พระพรหม" เป็นหลัก และยังหมายรวมถึง พระนารายณ์ ,พระพิฆเณศ ซึ่งล้วนเป็นเผ่าพันธุ์แห่ง พระศิวะและพระพรหม ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงเทพเจ้าให้มากนักเป็นเพียงให้ได้รู้ที่มาของ โมกษะ หรือหลักธรรมอันเป็นหนทางหลุดพ้น เท่านั้น
อีกทั้งจะไม่กล่าวถึง หลักศาสนาพราหมณ์ฮินดู เพราะแม้จะเกี่ยวข้องกัน แต่หลักโมกษะดั้งเดิมนั้น ที่ข้าพเจ้าจะเผยแพร่ ไม่มีปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษร และยังมีหลักธรรมที่เป็นหนทางหลุดพ้น หรือ โมกษะในศาสนาพราหมณ์ อยู่อีก ๓ หมวด ในที่นี้ก็จะไม่กล่าวถึง แต่จะกล่าวถึง ที่คุณผู้ใช้ชื่อว่า "ภยังค์" ถามมาว่า โมกษะ ดั้งเดิมนั้น มีหลักว่าอย่างไร
หลักโมกษะ ดั้งเดิม เมื่อก่อนพุทธกาล เมื่อ ห้าพันกว่าปีมาแล้ว ไม่ใช่ สองพันห้าร้อยกว่าปีที่พวกคุณเข้าใจกันมีดังนี้.-

๑. การครองเรือน (ถ้าต้องการรู้ว่าครองเรือนอย่างไร ก็ให้เข้าไปอ่านหรือศึกษา ในศาสนาพราหมณ์ฮินดู และ วรรณะต่างในสมัยนั้น)ฯลฯ
๒. ทาน คือ การให้ ตามการครองเรือนนั้นๆฯลฯ
๓. การกตัญญู คือ การ รู้คุณในสรรพสิ่งทั้งหลาย นับตังแต่ตัวเราเป็นต้นไปฯลฯ
๔. การเจรจา ติดต่อสื่อสาร (ดั้งเดิมมีแต่การเจรจา เพียงอย่างเดียว)ฯลฯ
๕. สรรพอาชีพ คือ การประกอบอาชีพ หรือการทำงานต่างๆ ตามลักษณะงานนั้นๆฯลฯ
๖. ประพฤติ คือ การกระทำ หรือพฤติกรรม ตามอาชีพนั้นๆ ฯลฯ
๗. ระลึก คือ การนึกถึง ความนึกขึ้นได้ หรือจำได้ ฯลฯ
๘. ดำริ คือ ความคิด หรือ การคิด ฯลฯ
ทั้ง แปด ข้อนี้ คือ อาวุธ แห่งพระพรหม และ พระศิวะ ผสมรวมกัน และเป็นแนวคิดหรือแนวทางการพิจารณา เพื่อให้บุคคลถึงซึ่งความหลุดพ้น หรือ โมกษะ
จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์ ผู้เขียน
๒๐ มกราคม ๒๕๕๓



หลักธรรมโมกษะดั้งเดิม เมื่อหลายพันปีก่อนพุทธกาลที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้น เหล่าผู้ศรัทธาในศาสนาพราหมณ์ฮินดู ก็มิได้รู้ในหลักธรรม เหล่านั้น
เมื่อ พระพุทธเจ้า สมณโคดม ละการบำเพ็ญเพียร ทุกขกิริยา จึงได้เกิดความรู้ ความเข้าใจในหลักธรรมเหล่านั้น สำเร็จ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยการอนุมาน และอุปมาน ตามความรู้ในหลักการทางศาสนาพรหมณ์ ฮินดู และตามหรือจากประสบการ ที่พระพุทธองค์ได้พบเห็นมา กลายเป็นหลักธรรมแห่งโมกษะ หรือการหลุดพ้น หรือจะเรียกว่า " โลกกุตรธรรม" หรือ "อัพยากตะธรรม" ทั้ง ๔ คู่ ๘ ข้อ
ซึ่ง หลักธรรมเหล่านี้ เป็น เครื่องดิ้นรนแห่งสรรพสิ่ง อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ล้วนมีองค์ ๘
อันเป็นแก่นแท้ แห่ง ศาสนาพุทธโดย เฉพาะ
แต่ก็เป็นเพียง ส่วนหนึ่ง ของอาวุธแห่งเทพเจ้าทาง ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู

๑๙ มกราคม ๒๕๕๓


อ้างคำพูด:
อนึ่ง หากมีผู้หนึ่ง ผู้ใด ที่มีความคิด หรือความรู้ อันน้อยนิด ไม่รู้จักคำว่า "อนุมาน" และ "อุปมาน" กลับกล่าวว่า "พระพุทธสมณโคดม ไม่ได้ "อนุมาน และ อุปมาน" ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงจะอธิบาย คำว่า "อนุมาน และ อุปมาน" ตามความหมาย ทางพจนานุกรม หลายฉบับ ที่มีความหมาย ดังต่อไปนี้

อนุมาน หมายถึง การคาดหมาย หรือการคาดคะแน โดยวิธีการใช้กฎเกณฑ์ อธิบายโดยเป็นไปตามหลักความจริง หรือข้อเท็จจริง หรือ เป็นการ อธิบาย หรือทำความเข้าใจ หรือสอน จากกฎเกณฑ์ ไปสู่ส่วนย่อยหรือส่วนรายละเอียด หรือส่วนที่จำเพาะเจาะจงโดยเฉพาะ ในเรื่องนั้นๆ

อุปมาน หมายถึง การเปรียบเทียบสิ่งที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันหลายๆสิ่ง หรือ การศึกษา จากหลักความจริง หรือข้อเท็จจริงที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน หรือเหมือนกัน หลายๆอย่าง แล้วตั้งเป็น กฎเกณฑ์ขึ้น

หากจะอธิบายให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายขึ้น
อนุมาน ย่อมหมายถึง การศึกษา หรือการทำความเข้าใจ หรือการสอนจากหัวข้อของกฎเกณฑ์ ไปสู่รายละเอียด ตามข้อเท็จจริง หรือหลักความจริง ตามธรรมชาติ
อุปมาน ย่อมหมายถึง การศึกษา หรือการทำความเข้าใจ หรือการสอน จากการรวบรวมรายละเอียด ตามข้อเท็จจริงหรือหลักความจริง ตามธรรมติ ไปสู่ หัวข้อของกฎเกณฑ์ หรือ ตั้งเป็น หัวข้อ กฎเกณฑ์ใหม่ขึ้นมา
อีกประการหนึ่ง
หลักธรรม หรือ หลัก โลกุตตรธรรม ทั้ง ๔ คู่ ๘ ข้อ ที่ได้สอนไผปข้างต้นนั้น ไม่ใช่เป็นการ ตั้งศาสนาใหม่ หรือเขียนเอาเองจากการนึกคิด ดังที่มีผู้กล่าวหา
หลักธรรม หรือ หลักโลกกุตตรธรรม เหล่านั้น ได้ผ่านการวิจัย ฝึกฝน และปฏิบัติ จนได้ผลดีแล้ว สามารถพิสูจน์ ได้ด้วยตัวของท่านทั้งหลาย และสามารถพิสูจน์ได้จากตัวข้าพเจ้าผู้เขียน
ถ้าหากไม่เข้าใจว่าทำไมหลักธรรมเหล่านั้น จึงเป็นหลักโลตรรธรรม ก็ให้สอบถามข้าพเจ้าได้ โดยต้องมาพบข้าพเจ้าเป็นการส่วนตัว
ไม่เสียเงิน ไม่เรียกร้องเอาทรัยพ์สินใดใด แต่ต้องเตรียมบัตรประชาชนมาด้วย และต้องเป็นผู้นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น เพราะหลักธรรมหรือหลักโลกกุตตรธรรม เป็นทางศาสนาพุทธโดยเฉพาะ
ความจริงแล้ว ข้าพจ้าต้องการที่จะให้กับเหล่าคณะสงฆ์ของไทย แต่เสียดายที่พวกเขาไม่สนใจ รวมไปถึง เหล่าผู้เกี่ยวข้องทางพุทธศาสนา ในกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ทำเป็นเพิกเฉย คิดว่าข้าพเจ้าบ้า และไม่ยอมบรรจุเข้าไว้ในพระไตรปิฏก เวลามีจำกัด นะขอรับ จากที่เคยบอกให้บรรจุลงในพระไตรปิฏก ผ่านไป เกือบสองปี คงเหลือเวลา อีกประมาณไม่เกินสองปี จึงบอกให้รู้ไว้


อิอิ

ได้ฉายาใหม่แล้วงับ

อ้างคำพูด:
ผู้เขลาเบาปัญญาเอ๋ย ตัวเจ้านั้น ถ้าเป็นในสมัยพุทธกาล ก็คงจะเรียกว่า เทือกเหล่ากอ ของ พระเทวทัตแล้ว


อิอิ ถ้าพระศาสดายังอยู่แล้วผมได้มีโอกาสไปกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์คงตรัสว่า ดีละภิกษุ ดีละภิกษุ ดีละภิกษุ เธอทำเช่นนี้เป็นการกล่าวสิ่งที่ถูกต้อง เมื่อเดรถีร์กล่าวจ้วงจาบธรรมวินัย และ พระศาสดา เธอแก้ได้ถูกแล้วละ

อิอิ เทวทัตคือผู้คิดจะแทนพระศาสดา มักใหญ่ใฝ่สูง คิดเสมอพระพุทธเจ้า รู้สึกว่าการกระทำของท่านไม่ต่างอันใดกลับพระเทวทัตเลย ในการตั้งหลักล้มล้างธรรมวินัย 8 ประการ ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเป็นสมณะเลย

[color=#FF0000]กลับกล่าวว่าพระพุทธเจ้าคิดเอาเองและรู้แค่อาวุท (เน่าๆ) ของพวกฮินดู จะมาเทียบพระสัทธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้
[/color]
อ้างคำพูด:
เจ้ายังมีปัญญาเพียงแค่หางอึ่ง เจ้ากลับไปอ่านกระทู้ทั้งหมดให้ดี
แล้วสิ่งที่เจ้าเอามาอ้างนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์มีอยู่หรือ
พวกเจ้าทั้งหลาย ที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา จงอ่านและจดจำไว้ว่า
ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเคยบอกให้บรรจุหลักธรรมทั้ง ๔ คู่ ๘ ข้อ เข้าไว้ในพระไตรปิฎก แต่พวกเจ้าเพิกเฉย แล้วอะไรจะเกิดกันละ

เจ้าผู้เป็นเทีอกเหล่ากอ ของ เทวทัตเอ๋ย เจ้าไปคิดพิจารณาให้ดีเถิด แล้วเจ้าจะรู้ว่า
ทำไม ข้าพเจ้าจึงสอน ให้รู้ว่า อะไร คือ
"โลกุตตรธรรม"
อย่าทำเป็นอวดฉลาดอยู่เลย ระดับเจ้ามันเป็นเพียงแค่ เศษสวะ เท่านั้น (ขออภัยนะ ไม่ได้ด่า แต่เตือนสติ)
หรือเจ้าสงสัยในตัวข้าฯ จะมาพิสูจน์ก็ได้นะ


ถ้ามนุษย์มีโลกุตรธรรมในตัวแล้ว อวิชชาก็ไม่มี แล้วก็ไม่มาเกิดหมดแล้ว แค่นี้ยังไม่รู้
เลย กลับกล่าวว่าอริยสาวกผู้ประพฤติตามพระศาสดาเป็นผู้ไม่รู้เรื่อง

แล้วจะรู้ว่า เศษสวะ ที่คิดจะแปดเปือนธรรมวินัยโดยเอามหาอวิชชา เทวทัตมหามารในจิตอันร้ายกาจมาทำลายพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ยังมีอีกเยอะ มารไม่มีวันทำสำเร็จหรอก

ถ้าท่านกล่าวอ้างว่าธรรมวินัยของท่านดีจริง ต้องมาแอบอ้างพระพุทธเจ้าทำไม ยืนยันของมาเลย ไม่ต้องมาแอบแฝงหรอก

แล้วอีกอย่างการกระทำอันชั่วช้า โมฆะบุรุษ มันฟ้องตัวเองอยู่แล้วว่า จะคิดล้มล้างธรรมวินัยของพระศาสดาจารย์เจ้า

พ่อแม่ครูอาจารย์ผู้รู้ท่านก็ไม่สอนแบบนี้หรอก ไม่ลวงโลก

คนลวงโลกจะลวงยังไงผู้มีปัญญาก็รู้อยู่แล้ว จะไปบรรจุในพระไตรปิฏก ต้องเอาบัตรประชาชนมา เอามาทำไม ไม่ใช่เพราะราคะ ตัญหา อุปาทาน หรือ มันไม่ได้แสดงว่าคือความจริง พระศรีอาริยะเมตไตยโยมหาโพธิสัตว์เจ้า ก็ยังอยู่ อยู่บนสวรรค์ ไม่เป็นคนธรรมดา เสียสติ

ทำตัวเหมือนเทวทัตหรอก คอยด่าชาวบ้าน ธรรมะ พระพุทธเจ้ามันสงบเย็น นิโรธะ ไม่ใช่ราคะ โทสะ โมหะ

มันเป็นไปเพื่อความมักมาก ไม่ได้มักน้อยสันโดษ ไม่ดิ้นรน แต่นี้ไม่ได้เป็นเช่นธรรมะพระพุทธเจ้า แล้วยังประกาศตัวโอ้อวดว่าตัวเอง เก่ง เป็นพระศรีอาริยะเมตตไตยโย โอ้อวดเห็นๆอยู่ ทำอะไรก็ไม่งามเลย พระศรีอาริยะเมตตไตย ท่านงามของท่านอยู่แล้ว

ไม่มีใครโอ้อวด ด่าผู้ประพฤติธรรมหรอก

ท่านบอกว่ามาพิสูจน์ได้ ถ้าเป็นจริงก็แก้ออกมา ต้องการพิสูจน์เหมือนกัน

คนโอ้อวดขาดหิริโอตัปปะเทวธรรมง่ายๆ ยังไม่รู้ตัวเลย ไร้สาระ สิ้นดี

โลกุตรธรรม 9 ของพระพุทธเจ้า

โสดาปติมรรค

โสดาปติผล

สกทาคามีมรรค

สกทาคามีผล

อนาคามีมรรค

อนาคามีผล

อรหันตมรรค

อรหันตผล

พระนิพพาน

ถ้าบอกว่ารู้ก็อธิบายมาสิ ไม่ต้องมาทำเป็นเก่งหรอก เข้าใจไม่เข้าใจ จิตหลุดพ้นหรือไม่ มันจะชึ้เอง

[size=200]ถ้าแน่จริง

ไปกราบหลวงตามหาบัวที่บ้านตาดสิ ว่าท่านเห็นดีเห็นงามกับหลักโลกุตรธรรมของท่านมั้ย
จะได้รู้กัน

ว่าจริงหรือ ปลอม หลอกหรือไม่[/size]

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 13:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "ขงเบ้งฯ" ผู้เขลาเบาปัญญาเอ๋ย แล้วที่เอ็งเขียนพล่ามเพ้อเจ้อพรรณามานั้น เจ้าไม่ได้ด่าข้าพเจ้าใช้ไหม เจ้า "เทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต"
ข้าพเจ้าเจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบาย ชั้นแห่งพระอริยะบุคคล เพราะได้อธิบายไปหลายครั้งแล้ว แต่
ข้าพเจ้าขอถามเจ้าสักหน่อย และต้องการคำตอบจากเจ้า ด้วยว่า

สิ่งที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อนั้น เจ้าปฏิบ้ติดี ปฏิบัติชอบ และได้ผลดีแล้วหรือ
สิ่งที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อนั้น เจ้าปฏิบัติ จนได้บรรลุ โสดาบัน แล้วหรือไม่ มีอะไร เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เจ้าปฏิบัติ ได้ผลบรรลุโสดาบันแล้ว
หรือว่า สิ่งที่เจ้าพล่ามเพ้อเจ้อมานั้น เป็นเพียงเจ้าอวดอตุริฯ อยากแสดงความฉลาด โดยไม่ได้รู้เลยว่า ปฏิบัติได้ผลจริงหรือไม่


เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "ขงเบ้งฯ" ผู้เป็นเทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต เอ๋ย เจ้าใส่ความข้าฯเกินไป นะขอรับ
ข้าพเจ้าไม่เคยบอกหรือ ไม่เคยสอนเลยว่า หลักธรรม แห่งข้าพเจ้านั้น เป็นธรรมวินัย ของพระสงฆ์

แต่ข้าพเจ้าบอก และสอนว่า หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า นั้น คือ "โลกุตตรธรรม " หรือ "อัพยากตธรรม" และเป็นหลักธรรม สำหรับ "พุทธศาสนา" เพราะในพระไตรปิฎก ไม่ได้มีกล่าวไว้ คือไม่ได้เขียนไว้ เพราะ เขาใช้หลักดั้งเดิม คือ "การบอกต่อ" ไม่มีการเขียน
ข้าพเจ้าเห็นว่า ถ้าไม่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ ก็จะสูญหายอีก จึงให้บรรลุไว้ในพระไตรปิฎก
หลักธรรมแห่งข้าพเจ้าไม่ได้มีเฉพาะของ ศาสนาพุทธเพียง ศาสนาเดียว แต่หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า มีหลักธรรมของศาสนาทุกศาสนา และหากจะพ่วงเอา ลัทธิ ต่างๆเข้าไปด้วยก็ยังได้ เพราะไม่ว่าศาสนาใดใด หรือลัทธิใดใด ก็ย่อมหนีไม่พ้น หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า
อนึ่ง เจ้า ผู้แอบอ้าง เอาชื่อของ "ขงเบ้งฯ"มาใช้ เจ้าจงรุ้เอาไว้ว่า สิ่ที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อถามข้าพเจ้านั้น ไม่ใช่ หลัก "โลกกุตตรธรรม"
แต่ด้วยเหตุที่เจ้ามันเขลาเบาปัญญา และยังอวดฉลาด เลยไม่รู้ว่า สิ่งที่เจ้าเอามาเขียนนั้น มันคืออะไร เจ้าไปถามอาจารย์เจ้าเถอะนะว่า สิ่งที่เจ้า อยากให้ข้าพเจ้าตอบนั้น มันคืออะไร มีลักษณะอย่างไรบ้าง เพราะเจ้าอวดทำตัวเป็น เทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต
ถ้าเจ้าหาคำตอบไม่ได้ ก็มาพิสูจน์ได้ที่ตัวข้าพเจ้า ถึงลักษณะต่างๆ เหล่านั้น สักหลายๆวัน จะได้รู้ทุกลักษณะ


แก้ไขล่าสุดโดย จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ เมื่อ 27 ม.ค. 2010, 14:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 14:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


Buddha เขียน:
ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "ขงเบ้งฯ" ผู้เขลาเบาปัญญาเอ๋ย แล้วที่เอ็งเขียนพล่ามเพ้อเจ้อพรรณามานั้น เจ้าไม่ได้ด่าข้าพเจ้าใช้ไหม เจ้า "เทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต"
ข้าพเจ้าเจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบาย ชั้นแห่งพระอริยะบุคคล เพราะได้อธิบายไปหลายครั้งแล้ว แต่
ข้าพเจ้าขอถามเจ้าสักหน่อย และต้องการคำตอบจากเจ้า ด้วยว่า

สิ่งที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อนั้น เจ้าปฏิบ้ติดี ปฏิบัติชอบ และได้ผลดีแล้วหรือ
สิ่งที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อนั้น เจ้าปฏิบัติ จนได้บรรลุ โสดาบัน แล้วหรือไม่ มีอะไร เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เจ้าปฏิบัติ ได้ผลบรรลุโสดาบันแล้ว
หรือว่า สิ่งที่เจ้าพล่ามเพ้อเจ้อมานั้น เป็นเพียงเจ้าอวดอตุริฯ อยากแสดงความฉลาด โดยไม่ได้รู้เลยว่า ปฏิบัติได้ผลจริงหรือไม่


เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "ขงเบ้งฯ" ผู้เป็นเทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต เอ๋ย เจ้าใส่ความข้าฯเกินไป นะขอรับ
ข้าพเจ้าไม่เคยบอกหรือ ไม่เคยสอนเลยว่า หลักธรรม แห่งข้าพเจ้านั้น เป็นธรรมวินัย ของพระสงฆ์

แต่ข้าพเจ้าบอก และสอนว่า หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า นั้น คือ "โลกุตตรธรรม " หรือ "อัพยากตธรรม" และเป็นหลักธรรม สำหรับ "พุทธศาสนา" เพราะในพระไตรปิฎก ไม่ได้มีกล่าวไว้ คือไม่ได้เขียนไว้ เพราะ เขาใช้หลักดั้งเดิม คือ "การบอกต่อ" ไม่มีการเขียน
ข้าพเจ้าเห็นว่า ถ้าไม่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ ก็จะสูญหายอีก จึงให้บรรลุไว้ในพระไตรปิฎก
หลักธรรมแห่งข้าพเจ้าไม่ได้มีเฉพาะของ ศาสนาพุทธเพียง ศาสนาเดียว แต่หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า มีหลักธรรมของศาสนาทุกศาสนา และหากจะพ่วงเอา ลัทธิ ต่างๆเข้าไปด้วยก็ยังได้ เพราะไม่ว่าศาสนาใดใด หรือลัทธิใดใด ก็ย่อมหนีไม่พ้น หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า
อนึ่ง เจ้า ผู้แอบอ้าง เอาชื่อของ "ขงเบ้งฯ"มาใช้ เจ้าจงรุ้เอาไว้ว่า สิ่ที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อถามข้าพเจ้านั้น ไม่ใช่ หลัก "โลกกุตตรธรรม"
แต่ด้วยเหตุที่เจ้ามันเขลาเบาปัญญา และยังอวดฉลาด เลยไม่รู้ว่า สิ่งที่เจ้าเอามาเขียนนั้น มันคืออะไร เจ้าไปถามอาจารย์เจ้าเถอะนะว่า สิ่งที่เจ้า อยากให้ข้าพเจ้าตอบนั้น มันคืออะไร มีลักษณะอย่างไรบ้าง เพราะเจ้าอวดทำตัวเป็น เทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต
ถ้าเจ้าหาคำตอบไม่ได้ ก็มาพิสูจน์ได้ที่ตัวข้าพเจ้า ถึงลักษณะต่างๆ เหล่านั้น สักหลายๆวัน จะได้รู้ทุกลักษณะ



อ้างคำพูด:
ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "ขงเบ้งฯ" ผู้เขลาเบาปัญญาเอ๋ย แล้วที่เอ็งเขียนพล่ามเพ้อเจ้อพรรณามานั้น เจ้าไม่ได้ด่าข้าพเจ้าใช้ไหม เจ้า "เทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต"
ข้าพเจ้าเจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบาย ชั้นแห่งพระอริยะบุคคล เพราะได้อธิบายไปหลายครั้งแล้ว แต่
ข้าพเจ้าขอถามเจ้าสักหน่อย และต้องการคำตอบจากเจ้า ด้วยว่า


ถ้ารู้ก็อธิบายมาสิ ชั้นแห่งพระอริยบุคคล ไม่กล้าอธิบายละสิ อธิบายจิตที่หลุดพ้นมาสิ แล้วลักษณาการแห่งการหลุดพ้น

ผิดหรือถูกเดี่ยวก็รู้เอง อิอิ ในเป็น เทวทัตคิดล้มล้างพระศาสดาเดี่ยวก็รู้เอง

อ้างคำพูด:
สิ่งที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อนั้น เจ้าปฏิบ้ติดี ปฏิบัติชอบ และได้ผลดีแล้วหรือ
สิ่งที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อนั้น เจ้าปฏิบัติ จนได้บรรลุ โสดาบัน แล้วหรือไม่ มีอะไร เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เจ้าปฏิบัติ ได้ผลบรรลุโสดาบันแล้ว
หรือว่า สิ่งที่เจ้าพล่ามเพ้อเจ้อมานั้น เป็นเพียงเจ้าอวดอตุริฯ อยากแสดงความฉลาด โดยไม่ได้รู้เลยว่า ปฏิบัติได้ผลจริงหรือไม่


โสดาบันเป็นสมมุติใช้เรียกขาน จิตที่พ้นแล้วไม่จำเป็นต้องใช้ แต่เราจะบรรลุหรือไม่มันไม่เกี่ยวกับท่าน

ใครจะปฏิบัติได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัว ปัจจัตตัง

แล้วไม่มีใครแสดงความฉลาด แต่คนโง่คิดล้มพระศาสดาองค์เองมันก็พยายามกวนอยู่นอก ไม่ยอมเข้าตัวมันสักที เพราะมันไม่มีแก่นสารแต่แรก

อ้างคำพูด:
b]แต่ข้าพเจ้าบอก และสอนว่า หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า นั้น คือ "โลกุตตรธรรม " หรือ "อัพยากตธรรม" และเป็นหลักธรรม สำหรับ "พุทธศาสนา" เพราะในพระไตรปิฎก ไม่ได้มีกล่าวไว้ คือไม่ได้เขียนไว้ เพราะ เขาใช้หลักดั้งเดิม คือ "การบอกต่อ" ไม่มีการเขียน [/b]
ข้าพเจ้าเห็นว่า ถ้าไม่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ ก็จะสูญหายอีก จึงให้บรรลุไว้ในพระไตรปิฎก
หลักธรรมแห่งข้าพเจ้าไม่ได้มีเฉพาะของ ศาสนาพุทธเพียง ศาสนาเดียว แต่หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า มีหลักธรรมของศาสนาทุกศาสนา และหากจะพ่วงเอา ลัทธิ ต่างๆเข้าไปด้วยก็ยังได้ เพราะไม่ว่าศาสนาใดใด หรือลัทธิใดใด ก็ย่อมหนีไม่พ้น หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า
อนึ่ง เจ้า ผู้แอบอ้าง เอาชื่อของ "ขงเบ้งฯ"มาใช้ เจ้าจงรุ้เอาไว้ว่า สิ่ที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อถามข้าพเจ้านั้น ไม่ใช่ หลัก "โลกกุตตรธรรม"
แต่ด้วยเหตุที่เจ้ามันเขลาเบาปัญญา และยังอวดฉลาด เลยไม่รู้ว่า สิ่งที่เจ้าเอามาเขียนนั้น มันคืออะไร เจ้าไปถามอาจารย์เจ้าเถอะนะว่า สิ่งที่เจ้า อยากให้ข้าพเจ้าตอบนั้น มันคืออะไร มีลักษณะอย่างไรบ้าง เพราะเจ้าอวดทำตัวเป็น เทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต
ถ้าเจ้าหาคำตอบไม่ได้ ก็มาพิสูจน์ได้ที่ตัวข้าพเจ้า ถึงลักษณะต่างๆ เหล่านั้น สักหลายๆวัน จะได้รู้ทุกลักษณะ


หลักดั้งเดิมมันเขียนลงแล้ว ไม่บอกต่อให้พวกมารอวิชชาหรอก ให้แก่ผู้รู้แจ้งเห็นจริง ในสมัยปัจจุบันก็ได้แก่พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่มั่นเป็นต้น

ไม่ได้เอาไว้ให้พวกเพ้อลอยลมโอ้อวดหรอ

อ้างคำพูด:
แต่ด้วยเหตุที่เจ้ามันเขลาเบาปัญญา และยังอวดฉลาด เลยไม่รู้ว่า สิ่งที่เจ้าเอามาเขียนนั้น มันคืออะไร เจ้าไปถามอาจารย์เจ้าเถอะนะว่า สิ่งที่เจ้า อยากให้ข้าพเจ้าตอบนั้น มันคืออะไร มีลักษณะอย่างไรบ้าง เพราะเจ้าอวดทำตัวเป็น เทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต
ถ้าเจ้าหาคำตอบไม่ได้ ก็มาพิสูจน์ได้ที่ตัวข้าพเจ้า ถึงลักษณะต่างๆ เหล่านั้น สักหลายๆวัน จะได้รู้ทุกลักษณะ


คนเขลาย่อมอ้างตนไม่เขลา ใครปฏิบัติตามพุทธพจน์ชื่อว่ามีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นครู จะให้ถามครูของเรา

หากท่านมีพระชนน์อยู่ก็จะบอกว่า ดูกร ภิกษุ เธออย่าไปสนใจกับถ้อยคำของเดรถีร์เลย จงประพฤติพรหมจรรย์อันเรากล่าวไว้ดีแล้ว

ของมันไร้แก่นสารแต่แรกจะมาอ้างเป็นกฏจักรวาลมันก็มั่วอยู่แล้ว


อ้างคำพูด:
ข้าพเจ้าเห็นว่า ถ้าไม่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ ก็จะสูญหายอีก จึงให้บรรลุไว้ในพระไตรปิฎก
หลักธรรมแห่งข้าพเจ้าไม่ได้มีเฉพาะของ ศาสนาพุทธเพียง ศาสนาเดียว แต่หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า มีหลักธรรมของศาสนาทุกศาสนา และหากจะพ่วงเอา ลัทธิ ต่างๆเข้าไปด้วยก็ยังได้ เพราะไม่ว่าศาสนาใดใด หรือลัทธิใดใด ก็ย่อมหนีไม่พ้น หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า
อนึ่ง เจ้า ผู้แอบอ้าง เอาชื่อของ "ขงเบ้งฯ"มาใช้ เจ้าจงรุ้เอาไว้ว่า สิ่ที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อถามข้าพเจ้านั้น ไม่ใช่ หลัก "โลกกุตตรธรรม"


คนโง่อวดอ้างตนมีหลักแก่นสารพระอริยเจ้า จะไปอ้างหลักของตนดีที่สุด โลกุตรธรรม 9 อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว ชื่อว่าเป็นแก่นสาร แห่ง มรรค ผล พระนิพพาน

แก่นสารเพ้อเจ้อของเดรถีร์ไร้สาระ เสียประโยชน์จะเจรจาด้วยมันเพ้อเจ้อ ไม่เป็นสัมมาวาจา ไม่มีแก่นสาร โมฆะบุรุษ

อ้างคำพูด:
เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "ขงเบ้งฯ" ผู้เป็นเทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต เอ๋ย เจ้าใส่ความข้าฯเกินไป นะขอรับ
ข้าพเจ้าไม่เคยบอกหรือ ไม่เคยสอนเลยว่า หลักธรรม แห่งข้าพเจ้านั้น เป็นธรรมวินัย ของพระสงฆ์


ข้าพเจ้าก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันหลักธรรมวินัยยังไง ใครใส่ความมันก็น่าจะรู้ คนพูดความจริงเห็นจริงก็บอกตามที่ผู้ ทำเล่นลิ้น จะมาลากคนไปอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ก็เชิญเถิด

คนรู้เค้าไม่คิดจะล้มล้างธรรมวินัย ของพระผู้มีพระภาค ใครจะล้มใครจะสอนอย่างไร เป็นอลัชชี ยังไง

เป็นผู้ลามกยังไง เป็นผู้ไร้ความละอายยังไง มันก็เห็นๆอยู่แล้ว อลัชชี ไม่มียางอาย

จะลากใครไปนรกก็เชิญ เราไม่ไปด้วยแน่นอน อลัชชี ผู้คิดล้มล้างธรรมวินัย ของ พระผู้มีพระภาคเจ้า



ผมยกฉายาอันสมควรแก่การกระทำของท่าน ให้ท่านนะงับ ท่าน Buddha ว่าท่านเป็น อลัชชี ผู้คิดล้มล้างธรรมวินัย ของ พระผู้มีพระภาคเจ้า

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อนั้น เจ้าปฏิบัติ จนได้บรรลุ โสดาบัน แล้วหรือไม่ มีอะไร เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เจ้าปฏิบัติ ได้ผลบร
ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
Buddha เขียน:
ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "ขงเบ้งฯ" ผู้เขลาเบาปัญญาเอ๋ย แล้วที่เอ็งเขียนพล่ามเพ้อเจ้อพรรณามานั้น เจ้าไม่ได้ด่าข้าพเจ้าใช้ไหม เจ้า "เทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต"
ข้าพเจ้าเจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบาย ชั้นแห่งพระอริยะบุคคล เพราะได้อธิบายไปหลายครั้งแล้ว แต่
ข้าพเจ้าขอถามเจ้าสักหน่อย และต้องการคำตอบจากเจ้า ด้วยว่า

สิ่งที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อนั้น เจ้าปฏิบ้ติดี ปฏิบัติชอบ และได้ผลดีแล้วหรือ
สิ่งที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อนั้น เจ้าปฏิบัติ จนได้บรรลุ โสดาบัน แล้วหรือไม่ มีอะไร เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เจ้าปฏิบัติ ได้ผลบรรลุโสดาบันแล้ว
หรือว่า สิ่งที่เจ้าพล่ามเพ้อเจ้อมานั้น เป็นเพียงเจ้าอวดอตุริฯ อยากแสดงความฉลาด โดยไม่ได้รู้เลยว่า ปฏิบัติได้ผลจริงหรือไม่


เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "ขงเบ้งฯ" ผู้เป็นเทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต เอ๋ย เจ้าใส่ความข้าฯเกินไป นะขอรับ
ข้าพเจ้าไม่เคยบอกหรือ ไม่เคยสอนเลยว่า หลักธรรม แห่งข้าพเจ้านั้น เป็นธรรมวินัย ของพระสงฆ์

แต่ข้าพเจ้าบอก และสอนว่า หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า นั้น คือ "โลกุตตรธรรม " หรือ "อัพยากตธรรม" และเป็นหลักธรรม สำหรับ "พุทธศาสนา" เพราะในพระไตรปิฎก ไม่ได้มีกล่าวไว้ คือไม่ได้เขียนไว้ เพราะ เขาใช้หลักดั้งเดิม คือ "การบอกต่อ" ไม่มีการเขียน
ข้าพเจ้าเห็นว่า ถ้าไม่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ ก็จะสูญหายอีก จึงให้บรรลุไว้ในพระไตรปิฎก
หลักธรรมแห่งข้าพเจ้าไม่ได้มีเฉพาะของ ศาสนาพุทธเพียง ศาสนาเดียว แต่หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า มีหลักธรรมของศาสนาทุกศาสนา และหากจะพ่วงเอา ลัทธิ ต่างๆเข้าไปด้วยก็ยังได้ เพราะไม่ว่าศาสนาใดใด หรือลัทธิใดใด ก็ย่อมหนีไม่พ้น หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า
อนึ่ง เจ้า ผู้แอบอ้าง เอาชื่อของ "ขงเบ้งฯ"มาใช้ เจ้าจงรุ้เอาไว้ว่า สิ่ที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อถามข้าพเจ้านั้น ไม่ใช่ หลัก "โลกกุตตรธรรม"
แต่ด้วยเหตุที่เจ้ามันเขลาเบาปัญญา และยังอวดฉลาด เลยไม่รู้ว่า สิ่งที่เจ้าเอามาเขียนนั้น มันคืออะไร เจ้าไปถามอาจารย์เจ้าเถอะนะว่า สิ่งที่เจ้า อยากให้ข้าพเจ้าตอบนั้น มันคืออะไร มีลักษณะอย่างไรบ้าง เพราะเจ้าอวดทำตัวเป็น เทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต
ถ้าเจ้าหาคำตอบไม่ได้ ก็มาพิสูจน์ได้ที่ตัวข้าพเจ้า ถึงลักษณะต่างๆ เหล่านั้น สักหลายๆวัน จะได้รู้ทุกลักษณะ



อ้างคำพูด:
ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "ขงเบ้งฯ" ผู้เขลาเบาปัญญาเอ๋ย แล้วที่เอ็งเขียนพล่ามเพ้อเจ้อพรรณามานั้น เจ้าไม่ได้ด่าข้าพเจ้าใช้ไหม เจ้า "เทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต"
ข้าพเจ้าเจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบาย ชั้นแห่งพระอริยะบุคคล เพราะได้อธิบายไปหลายครั้งแล้ว แต่
ข้าพเจ้าขอถามเจ้าสักหน่อย และต้องการคำตอบจากเจ้า ด้วยว่า


ถ้ารู้ก็อธิบายมาสิ ชั้นแห่งพระอริยบุคคล ไม่กล้าอธิบายละสิ อธิบายจิตที่หลุดพ้นมาสิ แล้วลักษณาการแห่งการหลุดพ้น

ผิดหรือถูกเดี่ยวก็รู้เอง อิอิ ในเป็น เทวทัตคิดล้มล้างพระศาสดาเดี่ยวก็รู้เอง


อ้างคำพูด:
สิ่งที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อนั้น เจ้าปฏิบ้ติดี ปฏิบัติชอบ และได้ผลดีแล้วหรือ
รลุโสดาบันแล้ว
หรือว่า สิ่งที่เจ้าพล่ามเพ้อเจ้อมานั้น เป็นเพียงเจ้าอวดอตุริฯ อยากแสดงความฉลาด โดยไม่ได้รู้เลยว่า ปฏิบัติได้ผลจริงหรือไม่


โสดาบันเป็นสมมุติใช้เรียกขาน จิตที่พ้นแล้วไม่จำเป็นต้องใช้ แต่เราจะบรรลุหรือไม่มันไม่เกี่ยวกับท่าน

ใครจะปฏิบัติได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัว ปัจจัตตัง

แล้วไม่มีใครแสดงความฉลาด แต่คนโง่คิดล้มพระศาสดาองค์เองมันก็พยายามกวนอยู่นอก ไม่ยอมเข้าตัวมันสักที เพราะมันไม่มีแก่นสารแต่แรก

Buddha ตอบ...
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ยังมีหน้าทำตัวเป็นเดียรถี อลัชชี ลวงโลกอีกหรือ เจ้าผู้แอบอ้างตัวใช้ชื่อของ "ขงเบ้ง" เจ้าคงคิดว่า คนจอื่น เขามีสมองสติปัญญาโง่เหมือนเจ้ารนะซิ ฮ่า ฮ่า รู้ได้เฉพาะตัว เขลาแล้วยังอวดฉลาด ไม่ได้กระดิกอะไรเลย ลวงโลกหากินไปวันๆละซิ ถึงได้มีความเข้่าใจอย่างนั้น โสดาบัน เป็นสิ่งที่ใช้กำหนดขั้นแห่งการฝึกตน จะเป็นนามสมมุติหรือไม่สมมุติ ก้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ จิตที่พ้นแล้วเป็นอย่างไรละ อย่างเอ็งนะหรือ บรรลุแล้ว ถ้าเอ็งไไม่บรรลุ แล้วม มาทำโอ้อวด อย่างเจ้าผู้แอบอ้างใช้ชื่อ "ขงเบ้ง" เขาเรียกว่า พวกทำลายศานา ล่อลวงหากิน ลวงโลก ทำเป็นอวดรู้ถามมา แต่ตัวเจ้าาตอบสิ่งที่ตัวเจ้าถามมาไดมได้ ยังมีหน้าทำตัวอวดฉลาด สันดาน คนพาล บาปช้าละซิ

อ้างคำพูด:
b]แต่ข้าพเจ้าบอก และสอนว่า หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า นั้น คือ "โลกุตตรธรรม " หรือ "อัพยากตธรรม" และเป็นหลักธรรม สำหรับ "พุทธศาสนา" เพราะในพระไตรปิฎก ไม่ได้มีกล่าวไว้ คือไม่ได้เขียนไว้ เพราะ เขาใช้หลักดั้งเดิม คือ "การบอกต่อ" ไม่มีการเขียน [/b]
ข้าพเจ้าเห็นว่า ถ้าไม่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ ก็จะสูญหายอีก จึงให้บรรลุไว้ในพระไตรปิฎก
หลักธรรมแห่งข้าพเจ้าไม่ได้มีเฉพาะของ ศาสนาพุทธเพียง ศาสนาเดียว แต่หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า มีหลักธรรมของศาสนาทุกศาสนา และหากจะพ่วงเอา ลัทธิ ต่างๆเข้าไปด้วยก็ยังได้ เพราะไม่ว่าศาสนาใดใด หรือลัทธิใดใด ก็ย่อมหนีไม่พ้น หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า
อนึ่ง เจ้า ผู้แอบอ้าง เอาชื่อของ "ขงเบ้งฯ"มาใช้ เจ้าจงรุ้เอาไว้ว่า สิ่ที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อถามข้าพเจ้านั้น ไม่ใช่ หลัก "โลกกุตตรธรรม"
แต่ด้วยเหตุที่เจ้ามันเขลาเบาปัญญา และยังอวดฉลาด เลยไม่รู้ว่า สิ่งที่เจ้าเอามาเขียนนั้น มันคืออะไร เจ้าไปถามอาจารย์เจ้าเถอะนะว่า สิ่งที่เจ้า อยากให้ข้าพเจ้าตอบนั้น มันคืออะไร มีลักษณะอย่างไรบ้าง เพราะเจ้าอวดทำตัวเป็น เทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต
ถ้าเจ้าหาคำตอบไม่ได้ ก็มาพิสูจน์ได้ที่ตัวข้าพเจ้า ถึงลักษณะต่างๆ เหล่านั้น สักหลายๆวัน จะได้รู้ทุกลักษณะ


เจ้าผู้แอบอ้างชื่อเป็นขงเบ้งฯ....เขียนว่า
หลักดั้งเดิมมันเขียนลงแล้ว ไม่บอกต่อให้พวกมารอวิชชาหรอก ให้แก่ผู้รู้แจ้งเห็นจริง ในสมัยปัจจุบันก็ได้แก่พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่มั่นเป็นต้น

ไม่ได้เอาไว้ให้พวกเพ้อลอยลมโอ้อวดหรอ

อ้างคำพูด:
แต่ด้วยเหตุที่เจ้ามันเขลาเบาปัญญา และยังอวดฉลาด เลยไม่รู้ว่า สิ่งที่เจ้าเอามาเขียนนั้น มันคืออะไร เจ้าไปถามอาจารย์เจ้าเถอะนะว่า สิ่งที่เจ้า อยากให้ข้าพเจ้าตอบนั้น มันคืออะไร มีลักษณะอย่างไรบ้าง เพราะเจ้าอวดทำตัวเป็น เทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต
ถ้าเจ้าหาคำตอบไม่ได้ ก็มาพิสูจน์ได้ที่ตัวข้าพเจ้า ถึงลักษณะต่างๆ เหล่านั้น สักหลายๆวัน จะได้รู้ทุกลักษณะ


คนเขลาย่อมอ้างตนไม่เขลา ใครปฏิบัติตามพุทธพจน์ชื่อว่ามีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นครู จะให้ถามครูของเรา

หากท่านมีพระชนน์อยู่ก็จะบอกว่า ดูกร ภิกษุ เธออย่าไปสนใจกับถ้อยคำของเดรถีร์เลย จงประพฤติพรหมจรรย์อันเรากล่าวไว้ดีแล้ว

ของมันไร้แก่นสารแต่แรกจะมาอ้างเป็นกฏจักรวาลมันก็มั่วอยู่แล้ว

Buddha.....ตอบว่า
ฮ่า อ่า ฮ่า เจ้ามันเขลาแล้วอวดฉลาดจริงไ ตัวเจ้าเองก็เขียน หรือ อ่าน ภาษาไทยแท้ๆเจ้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เขาใช้สอนใคร ถามเจ้า เจ้าก็ตอบไม่ได้ ดีแต่เถียงข้างๆคูคู ทำเป็นอวดรู้ ถึง กฏจักรวาลทุเรศ ความคิดจริงๆ


อ้างคำพูด:
ข้าพเจ้าเห็นว่า ถ้าไม่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ ก็จะสูญหายอีก จึงให้บรรลุไว้ในพระไตรปิฎก
หลักธรรมแห่งข้าพเจ้าไม่ได้มีเฉพาะของ ศาสนาพุทธเพียง ศาสนาเดียว แต่หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า มีหลักธรรมของศาสนาทุกศาสนา และหากจะพ่วงเอา ลัทธิ ต่างๆเข้าไปด้วยก็ยังได้ เพราะไม่ว่าศาสนาใดใด หรือลัทธิใดใด ก็ย่อมหนีไม่พ้น หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า
อนึ่ง เจ้า ผู้แอบอ้าง เอาชื่อของ "ขงเบ้งฯ"มาใช้ เจ้าจงรุ้เอาไว้ว่า สิ่ที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อถามข้าพเจ้านั้น ไม่ใช่ หลัก "โลกกุตตรธรรม"


เจ้าผู้แอบอ้างชื่อ ของ "ขงเบ้งฯ" เขียนว่า
คนโง่อวดอ้างตนมีหลักแก่นสารพระอริยเจ้า จะไปอ้างหลักของตนดีที่สุด โลกุตรธรรม 9 อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว ชื่อว่าเป็นแก่นสาร แห่ง มรรค ผล พระนิพพาน

แก่นสารเพ้อเจ้อของเดรถีร์ไร้สาระ เสียประโยชน์จะเจรจาด้วยมันเพ้อเจ้อ ไม่เป็นสัมมาวาจา ไม่มีแก่นสาร โมฆะบุรุษ


Buddha ...ตอบว่า
แล้วสิ่งที่เจ้าคิดว่า เป็น โลกกุตรธรรม นั้น มันมีวิธีปฏิบัติ อย่างไรกันละ เจ้าปฏิบัติ ได้ผลดีแล้วหรือ บรรลุธรรมชั้นโสดาบันแล้วหรือ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้ามันอลัชชี เดียรถีย์ ไม่รู้จักคำว่า โลกกุตรธรรม ยังมีหน้าอวดรู้ อวดฉลาด ลวงโลกไม่วันๆละซิ แค่เจ้าเขียนตอบโต้มาก็รู้แล้วว่า เจ้ามักก็แค่พวกวกนอกรีต ทำเป้นอวดรู้ ถ้าแน่จริง ลองตอบมาซิว่า เจ้าปฏิบัติ ตาม โลกกุตรธรรมที่เจ้าว่านัน ได้ผลดีแล้วหรือ ข้าพเจ้าจะไปพิสูจน์ ถ้าไม่จริง ข้าพเจ้าจะแจ้งความเอาตำรวจจับ ฐาน หลอกลวงโดยการโฆษณา ให้ผู้อื่นหลงเชื่อ และทำลายพุทธศาสนา

อ้างคำพูด:
เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "ขงเบ้งฯ" ผู้เป็นเทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต เอ๋ย เจ้าใส่ความข้าฯเกินไป นะขอรับ
ข้าพเจ้าไม่เคยบอกหรือ ไม่เคยสอนเลยว่า หลักธรรม แห่งข้าพเจ้านั้น เป็นธรรมวินัย ของพระสงฆ์


เจ้าผู้แอบอ้างชื่อ "ขงเบ้งฯ" ...เขียนว่า
ข้าพเจ้าก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันหลักธรรมวินัยยังไง ใครใส่ความมันก็น่าจะรู้ คนพูดความจริงเห็นจริงก็บอกตามที่ผู้ ทำเล่นลิ้น จะมาลากคนไปอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ก็เชิญเถิด

คนรู้เค้าไม่คิดจะล้มล้างธรรมวินัย ของพระผู้มีพระภาค ใครจะล้มใครจะสอนอย่างไร เป็นอลัชชี ยังไง

เป็นผู้ลามกยังไง เป็นผู้ไร้ความละอายยังไง มันก็เห็นๆอยู่แล้ว อลัชชี ไม่มียางอาย

จะลากใครไปนรกก็เชิญ เราไม่ไปด้วยแน่นอน อลัชชี ผู้คิดล้มล้างธรรมวินัย ของ พระผู้มีพระภาคเจ้า



ผมยกฉายาอันสมควรแก่การกระทำของท่าน ให้ท่านนะงับ ท่าน Buddha ว่าท่านเป็น อลัชชี ผู้คิดล้มล้างธรรมวินัย ของ พระผู้มีพระภาคเจ้า[/qa

Buddha....ตอบว่า

ฮ่าฮ่า แสดงถึงความคิด สันดานบาปหยาบช้า มีความคิดเป็นพวกคนพาล เที่ยวใส่ร้ายใส่ความผู้อื่น โดยที่มันไม่ได้อ่านให้ดีดีว่า เขาเขียนอย่างไร เลวทรามจริงๆ แสดงว่า ที่เจ้าผู้แอบอ้างใช้ชื่อ "ขงเบ้ง ฯ" เจ้าไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยที่ข้าพเจ้าเขียนไปทั้งหมด เจ้ากลับไปอ่านใหม่ให้ดีซิ เจ้า ....ตุ๊ดด๐๐๐๐๐ (เขียนไม่ได้ เป็นคำไม่สุภาพ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า )


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 23:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


Buddha เขียน:
สิ่งที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อนั้น เจ้าปฏิบัติ จนได้บรรลุ โสดาบัน แล้วหรือไม่ มีอะไร เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เจ้าปฏิบัติ ได้ผลบร
ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์ เขียน:
Buddha เขียน:
ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "ขงเบ้งฯ" ผู้เขลาเบาปัญญาเอ๋ย แล้วที่เอ็งเขียนพล่ามเพ้อเจ้อพรรณามานั้น เจ้าไม่ได้ด่าข้าพเจ้าใช้ไหม เจ้า "เทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต"
ข้าพเจ้าเจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบาย ชั้นแห่งพระอริยะบุคคล เพราะได้อธิบายไปหลายครั้งแล้ว แต่
ข้าพเจ้าขอถามเจ้าสักหน่อย และต้องการคำตอบจากเจ้า ด้วยว่า

สิ่งที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อนั้น เจ้าปฏิบ้ติดี ปฏิบัติชอบ และได้ผลดีแล้วหรือ
สิ่งที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อนั้น เจ้าปฏิบัติ จนได้บรรลุ โสดาบัน แล้วหรือไม่ มีอะไร เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เจ้าปฏิบัติ ได้ผลบรรลุโสดาบันแล้ว
หรือว่า สิ่งที่เจ้าพล่ามเพ้อเจ้อมานั้น เป็นเพียงเจ้าอวดอตุริฯ อยากแสดงความฉลาด โดยไม่ได้รู้เลยว่า ปฏิบัติได้ผลจริงหรือไม่


เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "ขงเบ้งฯ" ผู้เป็นเทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต เอ๋ย เจ้าใส่ความข้าฯเกินไป นะขอรับ
ข้าพเจ้าไม่เคยบอกหรือ ไม่เคยสอนเลยว่า หลักธรรม แห่งข้าพเจ้านั้น เป็นธรรมวินัย ของพระสงฆ์

แต่ข้าพเจ้าบอก และสอนว่า หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า นั้น คือ "โลกุตตรธรรม " หรือ "อัพยากตธรรม" และเป็นหลักธรรม สำหรับ "พุทธศาสนา" เพราะในพระไตรปิฎก ไม่ได้มีกล่าวไว้ คือไม่ได้เขียนไว้ เพราะ เขาใช้หลักดั้งเดิม คือ "การบอกต่อ" ไม่มีการเขียน
ข้าพเจ้าเห็นว่า ถ้าไม่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ ก็จะสูญหายอีก จึงให้บรรลุไว้ในพระไตรปิฎก
หลักธรรมแห่งข้าพเจ้าไม่ได้มีเฉพาะของ ศาสนาพุทธเพียง ศาสนาเดียว แต่หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า มีหลักธรรมของศาสนาทุกศาสนา และหากจะพ่วงเอา ลัทธิ ต่างๆเข้าไปด้วยก็ยังได้ เพราะไม่ว่าศาสนาใดใด หรือลัทธิใดใด ก็ย่อมหนีไม่พ้น หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า
อนึ่ง เจ้า ผู้แอบอ้าง เอาชื่อของ "ขงเบ้งฯ"มาใช้ เจ้าจงรุ้เอาไว้ว่า สิ่ที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อถามข้าพเจ้านั้น ไม่ใช่ หลัก "โลกกุตตรธรรม"
แต่ด้วยเหตุที่เจ้ามันเขลาเบาปัญญา และยังอวดฉลาด เลยไม่รู้ว่า สิ่งที่เจ้าเอามาเขียนนั้น มันคืออะไร เจ้าไปถามอาจารย์เจ้าเถอะนะว่า สิ่งที่เจ้า อยากให้ข้าพเจ้าตอบนั้น มันคืออะไร มีลักษณะอย่างไรบ้าง เพราะเจ้าอวดทำตัวเป็น เทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต
ถ้าเจ้าหาคำตอบไม่ได้ ก็มาพิสูจน์ได้ที่ตัวข้าพเจ้า ถึงลักษณะต่างๆ เหล่านั้น สักหลายๆวัน จะได้รู้ทุกลักษณะ



อ้างคำพูด:
ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "ขงเบ้งฯ" ผู้เขลาเบาปัญญาเอ๋ย แล้วที่เอ็งเขียนพล่ามเพ้อเจ้อพรรณามานั้น เจ้าไม่ได้ด่าข้าพเจ้าใช้ไหม เจ้า "เทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต"
ข้าพเจ้าเจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบาย ชั้นแห่งพระอริยะบุคคล เพราะได้อธิบายไปหลายครั้งแล้ว แต่
ข้าพเจ้าขอถามเจ้าสักหน่อย และต้องการคำตอบจากเจ้า ด้วยว่า


ถ้ารู้ก็อธิบายมาสิ ชั้นแห่งพระอริยบุคคล ไม่กล้าอธิบายละสิ อธิบายจิตที่หลุดพ้นมาสิ แล้วลักษณาการแห่งการหลุดพ้น

ผิดหรือถูกเดี่ยวก็รู้เอง อิอิ ในเป็น เทวทัตคิดล้มล้างพระศาสดาเดี่ยวก็รู้เอง


อ้างคำพูด:
สิ่งที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อนั้น เจ้าปฏิบ้ติดี ปฏิบัติชอบ และได้ผลดีแล้วหรือ
รลุโสดาบันแล้ว
หรือว่า สิ่งที่เจ้าพล่ามเพ้อเจ้อมานั้น เป็นเพียงเจ้าอวดอตุริฯ อยากแสดงความฉลาด โดยไม่ได้รู้เลยว่า ปฏิบัติได้ผลจริงหรือไม่


โสดาบันเป็นสมมุติใช้เรียกขาน จิตที่พ้นแล้วไม่จำเป็นต้องใช้ แต่เราจะบรรลุหรือไม่มันไม่เกี่ยวกับท่าน

ใครจะปฏิบัติได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องเฉพาะตัว ปัจจัตตัง

แล้วไม่มีใครแสดงความฉลาด แต่คนโง่คิดล้มพระศาสดาองค์เองมันก็พยายามกวนอยู่นอก ไม่ยอมเข้าตัวมันสักที เพราะมันไม่มีแก่นสารแต่แรก

Buddha ตอบ...
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ยังมีหน้าทำตัวเป็นเดียรถี อลัชชี ลวงโลกอีกหรือ เจ้าผู้แอบอ้างตัวใช้ชื่อของ "ขงเบ้ง" เจ้าคงคิดว่า คนจอื่น เขามีสมองสติปัญญาโง่เหมือนเจ้ารนะซิ ฮ่า ฮ่า รู้ได้เฉพาะตัว เขลาแล้วยังอวดฉลาด ไม่ได้กระดิกอะไรเลย ลวงโลกหากินไปวันๆละซิ ถึงได้มีความเข้่าใจอย่างนั้น โสดาบัน เป็นสิ่งที่ใช้กำหนดขั้นแห่งการฝึกตน จะเป็นนามสมมุติหรือไม่สมมุติ ก้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ จิตที่พ้นแล้วเป็นอย่างไรละ อย่างเอ็งนะหรือ บรรลุแล้ว ถ้าเอ็งไไม่บรรลุ แล้วม มาทำโอ้อวด อย่างเจ้าผู้แอบอ้างใช้ชื่อ "ขงเบ้ง" เขาเรียกว่า พวกทำลายศานา ล่อลวงหากิน ลวงโลก ทำเป็นอวดรู้ถามมา แต่ตัวเจ้าาตอบสิ่งที่ตัวเจ้าถามมาไดมได้ ยังมีหน้าทำตัวอวดฉลาด สันดาน คนพาล บาปช้าละซิ

อ้างคำพูด:
b]แต่ข้าพเจ้าบอก และสอนว่า หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า นั้น คือ "โลกุตตรธรรม " หรือ "อัพยากตธรรม" และเป็นหลักธรรม สำหรับ "พุทธศาสนา" เพราะในพระไตรปิฎก ไม่ได้มีกล่าวไว้ คือไม่ได้เขียนไว้ เพราะ เขาใช้หลักดั้งเดิม คือ "การบอกต่อ" ไม่มีการเขียน [/b]
ข้าพเจ้าเห็นว่า ถ้าไม่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ ก็จะสูญหายอีก จึงให้บรรลุไว้ในพระไตรปิฎก
หลักธรรมแห่งข้าพเจ้าไม่ได้มีเฉพาะของ ศาสนาพุทธเพียง ศาสนาเดียว แต่หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า มีหลักธรรมของศาสนาทุกศาสนา และหากจะพ่วงเอา ลัทธิ ต่างๆเข้าไปด้วยก็ยังได้ เพราะไม่ว่าศาสนาใดใด หรือลัทธิใดใด ก็ย่อมหนีไม่พ้น หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า
อนึ่ง เจ้า ผู้แอบอ้าง เอาชื่อของ "ขงเบ้งฯ"มาใช้ เจ้าจงรุ้เอาไว้ว่า สิ่ที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อถามข้าพเจ้านั้น ไม่ใช่ หลัก "โลกกุตตรธรรม"
แต่ด้วยเหตุที่เจ้ามันเขลาเบาปัญญา และยังอวดฉลาด เลยไม่รู้ว่า สิ่งที่เจ้าเอามาเขียนนั้น มันคืออะไร เจ้าไปถามอาจารย์เจ้าเถอะนะว่า สิ่งที่เจ้า อยากให้ข้าพเจ้าตอบนั้น มันคืออะไร มีลักษณะอย่างไรบ้าง เพราะเจ้าอวดทำตัวเป็น เทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต
ถ้าเจ้าหาคำตอบไม่ได้ ก็มาพิสูจน์ได้ที่ตัวข้าพเจ้า ถึงลักษณะต่างๆ เหล่านั้น สักหลายๆวัน จะได้รู้ทุกลักษณะ


เจ้าผู้แอบอ้างชื่อเป็นขงเบ้งฯ....เขียนว่า
หลักดั้งเดิมมันเขียนลงแล้ว ไม่บอกต่อให้พวกมารอวิชชาหรอก ให้แก่ผู้รู้แจ้งเห็นจริง ในสมัยปัจจุบันก็ได้แก่พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่มั่นเป็นต้น

ไม่ได้เอาไว้ให้พวกเพ้อลอยลมโอ้อวดหรอ

อ้างคำพูด:
แต่ด้วยเหตุที่เจ้ามันเขลาเบาปัญญา และยังอวดฉลาด เลยไม่รู้ว่า สิ่งที่เจ้าเอามาเขียนนั้น มันคืออะไร เจ้าไปถามอาจารย์เจ้าเถอะนะว่า สิ่งที่เจ้า อยากให้ข้าพเจ้าตอบนั้น มันคืออะไร มีลักษณะอย่างไรบ้าง เพราะเจ้าอวดทำตัวเป็น เทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต
ถ้าเจ้าหาคำตอบไม่ได้ ก็มาพิสูจน์ได้ที่ตัวข้าพเจ้า ถึงลักษณะต่างๆ เหล่านั้น สักหลายๆวัน จะได้รู้ทุกลักษณะ


คนเขลาย่อมอ้างตนไม่เขลา ใครปฏิบัติตามพุทธพจน์ชื่อว่ามีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นครู จะให้ถามครูของเรา

หากท่านมีพระชนน์อยู่ก็จะบอกว่า ดูกร ภิกษุ เธออย่าไปสนใจกับถ้อยคำของเดรถีร์เลย จงประพฤติพรหมจรรย์อันเรากล่าวไว้ดีแล้ว

ของมันไร้แก่นสารแต่แรกจะมาอ้างเป็นกฏจักรวาลมันก็มั่วอยู่แล้ว

Buddha.....ตอบว่า
ฮ่า อ่า ฮ่า เจ้ามันเขลาแล้วอวดฉลาดจริงไ ตัวเจ้าเองก็เขียน หรือ อ่าน ภาษาไทยแท้ๆเจ้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เขาใช้สอนใคร ถามเจ้า เจ้าก็ตอบไม่ได้ ดีแต่เถียงข้างๆคูคู ทำเป็นอวดรู้ ถึง กฏจักรวาลทุเรศ ความคิดจริงๆ


อ้างคำพูด:
ข้าพเจ้าเห็นว่า ถ้าไม่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ ก็จะสูญหายอีก จึงให้บรรลุไว้ในพระไตรปิฎก
หลักธรรมแห่งข้าพเจ้าไม่ได้มีเฉพาะของ ศาสนาพุทธเพียง ศาสนาเดียว แต่หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า มีหลักธรรมของศาสนาทุกศาสนา และหากจะพ่วงเอา ลัทธิ ต่างๆเข้าไปด้วยก็ยังได้ เพราะไม่ว่าศาสนาใดใด หรือลัทธิใดใด ก็ย่อมหนีไม่พ้น หลักธรรมแห่งข้าพเจ้า
อนึ่ง เจ้า ผู้แอบอ้าง เอาชื่อของ "ขงเบ้งฯ"มาใช้ เจ้าจงรุ้เอาไว้ว่า สิ่ที่เจ้านำมาพล่ามเพ้อเจ้อถามข้าพเจ้านั้น ไม่ใช่ หลัก "โลกกุตตรธรรม"


เจ้าผู้แอบอ้างชื่อ ของ "ขงเบ้งฯ" เขียนว่า
คนโง่อวดอ้างตนมีหลักแก่นสารพระอริยเจ้า จะไปอ้างหลักของตนดีที่สุด โลกุตรธรรม 9 อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว ชื่อว่าเป็นแก่นสาร แห่ง มรรค ผล พระนิพพาน

แก่นสารเพ้อเจ้อของเดรถีร์ไร้สาระ เสียประโยชน์จะเจรจาด้วยมันเพ้อเจ้อ ไม่เป็นสัมมาวาจา ไม่มีแก่นสาร โมฆะบุรุษ


Buddha ...ตอบว่า
แล้วสิ่งที่เจ้าคิดว่า เป็น โลกกุตรธรรม นั้น มันมีวิธีปฏิบัติ อย่างไรกันละ เจ้าปฏิบัติ ได้ผลดีแล้วหรือ บรรลุธรรมชั้นโสดาบันแล้วหรือ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้ามันอลัชชี เดียรถีย์ ไม่รู้จักคำว่า โลกกุตรธรรม ยังมีหน้าอวดรู้ อวดฉลาด ลวงโลกไม่วันๆละซิ แค่เจ้าเขียนตอบโต้มาก็รู้แล้วว่า เจ้ามักก็แค่พวกวกนอกรีต ทำเป้นอวดรู้ ถ้าแน่จริง ลองตอบมาซิว่า เจ้าปฏิบัติ ตาม โลกกุตรธรรมที่เจ้าว่านัน ได้ผลดีแล้วหรือ ข้าพเจ้าจะไปพิสูจน์ ถ้าไม่จริง ข้าพเจ้าจะแจ้งความเอาตำรวจจับ ฐาน หลอกลวงโดยการโฆษณา ให้ผู้อื่นหลงเชื่อ และทำลายพุทธศาสนา

อ้างคำพูด:
เจ้าผู้ใช้ชื่อว่า "ขงเบ้งฯ" ผู้เป็นเทือกเถาว์เหล่ากอ พระเทวทัต เอ๋ย เจ้าใส่ความข้าฯเกินไป นะขอรับ
ข้าพเจ้าไม่เคยบอกหรือ ไม่เคยสอนเลยว่า หลักธรรม แห่งข้าพเจ้านั้น เป็นธรรมวินัย ของพระสงฆ์


เจ้าผู้แอบอ้างชื่อ "ขงเบ้งฯ" ...เขียนว่า
ข้าพเจ้าก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันหลักธรรมวินัยยังไง ใครใส่ความมันก็น่าจะรู้ คนพูดความจริงเห็นจริงก็บอกตามที่ผู้ ทำเล่นลิ้น จะมาลากคนไปอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ก็เชิญเถิด

คนรู้เค้าไม่คิดจะล้มล้างธรรมวินัย ของพระผู้มีพระภาค ใครจะล้มใครจะสอนอย่างไร เป็นอลัชชี ยังไง

เป็นผู้ลามกยังไง เป็นผู้ไร้ความละอายยังไง มันก็เห็นๆอยู่แล้ว อลัชชี ไม่มียางอาย

จะลากใครไปนรกก็เชิญ เราไม่ไปด้วยแน่นอน อลัชชี ผู้คิดล้มล้างธรรมวินัย ของ พระผู้มีพระภาคเจ้า



ผมยกฉายาอันสมควรแก่การกระทำของท่าน ให้ท่านนะงับ ท่าน Buddha ว่าท่านเป็น อลัชชี ผู้คิดล้มล้างธรรมวินัย ของ พระผู้มีพระภาคเจ้า[/qa

Buddha....ตอบว่า

ฮ่าฮ่า แสดงถึงความคิด สันดานบาปหยาบช้า มีความคิดเป็นพวกคนพาล เที่ยวใส่ร้ายใส่ความผู้อื่น โดยที่มันไม่ได้อ่านให้ดีดีว่า เขาเขียนอย่างไร เลวทรามจริงๆ แสดงว่า ที่เจ้าผู้แอบอ้างใช้ชื่อ "ขงเบ้ง ฯ" เจ้าไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยที่ข้าพเจ้าเขียนไปทั้งหมด เจ้ากลับไปอ่านใหม่ให้ดีซิ เจ้า ....ตุ๊ดด๐๐๐๐๐ (เขียนไม่ได้ เป็นคำไม่สุภาพ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า )


อ่านแล้วก็ได้ผลสรุปเดิมๆว่า ท่าน Buddha คิดล้มล้างธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า

ท่านเหมาะสมมากกับ ฉายาว่าท่านเป็น อลัชชี ผู้คิดล้มล้างธรรมวินัย ของ พระผู้มีพระภาคเจ้า

ผมไม่ได้หลอกให้ใครไปสอนใครให้มาเชื่อ

มีแต่ท่านคิดจะแอบอ้างเอาความรู้ไม่จริงของตนไปใส่พระไตรปิฏก คิดจะสอนคนโน่นคนนี่ คิดลวงโลก เอาศาสนาหากิน

แล้วมาบอกคนอื่นเอาศาสนาหากิน ท่านสิเอาศาสนาหากิน จะสอนได้หมด เอาบัตรประชาชนมานะ แบบนี้ ท่านสิหลอกลวงประชาชนเอาศาสนาหากิน กินจะมาแอบแฝงพระสัทธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า การกระทำท่านมันฟ้องอยู่แล้วจะไปหลอกใครมันเห็นอยู่แล้ว ยังบอกคนอื่นใส่ร้าย

มันไร้สาระ

หลักไม่มีแก่นสารมันไม่จริงแต่ทีแรกอยู๋แล้ว ถึงไม่กล้าแสดงออกมาให้เห็น เพราะว่ามันไม่ตรงกับพระพุทธเจ้านั้นเอง ใช่มั้ย ท่านอลัชชี

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 23:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เจ้าผู้แอบอ้างชื่อ ของ "ขงเบ้งฯ" เขียนว่า
คนโง่อวดอ้างตนมีหลักแก่นสารพระอริยเจ้า จะไปอ้างหลักของตนดีที่สุด โลกุตรธรรม 9 อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว ชื่อว่าเป็นแก่นสาร แห่ง มรรค ผล พระนิพพาน

แก่นสารเพ้อเจ้อของเดรถีร์ไร้สาระ เสียประโยชน์จะเจรจาด้วยมันเพ้อเจ้อ ไม่เป็นสัมมาวาจา ไม่มีแก่นสาร โมฆะบุรุษ


Buddha ...ตอบว่า
แล้วสิ่งที่เจ้าคิดว่า เป็น โลกกุตรธรรม นั้น มันมีวิธีปฏิบัติ อย่างไรกันละ เจ้าปฏิบัติ ได้ผลดีแล้วหรือ บรรลุธรรมชั้นโสดาบันแล้วหรือ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้ามันอลัชชี เดียรถีย์ ไม่รู้จักคำว่า โลกกุตรธรรม ยังมีหน้าอวดรู้ อวดฉลาด ลวงโลกไม่วันๆละซิ แค่เจ้าเขียนตอบโต้มาก็รู้แล้วว่า เจ้ามักก็แค่พวกวกนอกรีต ทำเป้นอวดรู้ ถ้าแน่จริง ลองตอบมาซิว่า เจ้าปฏิบัติ ตาม โลกกุตรธรรมที่เจ้าว่านัน ได้ผลดีแล้วหรือ ข้าพเจ้าจะไปพิสูจน์ ถ้าไม่จริง ข้าพเจ้าจะแจ้งความเอาตำรวจจับ ฐาน หลอกลวงโดยการโฆษณา ให้ผู้อื่นหลงเชื่อ และทำลายพุทธศาสนา


โลกตรธรรมที่ข้าพเจ้าว่า ไม่ดีอย่างไร พ่อแม่ครูอาจารย์ สายกรรมฐาน อันมี หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ปฏิบัติได้ผลมาแล้ว ปัจจุบันก็มีหลวงตามหาบัว

ไปแจ้งจับสิจะได้ฟ้องท่านกลับด้วย ว่าคิดทำลายพระพุทธศาสนา และ แจ้งความเท็จ และหลอกลวงโดยการโฆษณาชวนเชื่อ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron