วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 02:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2010, 16:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เท่าที่ผมไปศึกษามา

คำว่าอนุตรธรรมของเขา
ที่พยามจะบอกว่าเป็นต้นทางรากเหง้าของศาสนาทุกศาสนา
คล้ายๆว่าทุกศาสนาล้วนแตกออกจากอนุตรธรรมนี้

ซึ่งถ้าคุณรู้จักคำว่า "ปรมัตถธรรม"
ก็คงจะทราบว่าเป็นความหมายทำนองเดียวกันกับคำว่าอนุตรธรรม
กล้าวคือสิ่งที่จริงแท้ที่สุด

ปรมัตถธรรม ของพุืทธเถรวาทมี 4 อย่าง คือรูป เจตสิก จิต และนิพพาน
ถ้าเข้าใจคำว่าปรมัตถธรรม อย่าว่าแต่ลัทธิินุตรธรรมเลย
คุณจะทราบว่าที่จริงศาสนาพุทธก็ไม่มีอยู่จริง ไม่มีศาสนาอยู่จริง
และไม่มีศาสนาไหนที่จริง
ปรมัตถธรรมต่างหากที่จริง

ปรมัตถธรรมคือความจริงที่มีอยู่คู่โลก ไม่ว่าจะมีศาสนาหรือไม่มีศาสนา
มีพระพุทธเจ้าหรือไม่มีพระพุทธเจ้าก็ตาม ปรมัตถธรรมก็มีอยู่ เป็นอยู่

แล้วที่สำคัญ ไม่ต้องไปรับที่ไหน หรือไปดูของใคร
ยุงกัดก็เห็นปรมัตถธรรมแล้ว ยินเดินนั่งนอนก็เห็นปรมัตถธรรมแล้ว

ก็ความรู้สึกทั้งหลายของคุณนั่นแหละ เป็นปรมัตถธรรมชนิดหนึ่ง
จะเวทนาทางกายก็ดี เวทนาทางใจก็ดี เวทนาอันเกิดแต่ยุงกัดนั้นแหละปรมัตถธรรม

คุณไปดูยุงกัดคนอื่นอีกแสนปี ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีทางจะเห็นปรมัตถธรรม
ยุงกัดคนอื่น คนอื่นเขาก็เจ็บของเขา คันของเขา หงุดหงิดของเขา
ยุงกัดเรานี่ต่างหาก ที่ทำให้เรารู้ว่ายุงกัดคนอื่นเป็นยังไง


และเมื่อผมไปดูข้อมูลของอนุตรธรรม
ก็ตลกดีว่า อุตส่าห์ตั้งต้นความคิดได้ดีนะ โยนิโสมนสิการได้ดีแล้ว
ว่าคงจะมีปรมัตถธรรมในโลกนี้
แต่พอสอนกันออกมาแล้วตลกมาก สอนเรื่องศีล เรื่องทาน ธรรมดาๆนี่เอง
ไมไ่ด้ใกล้คำว่าปรมัตถธรรเลย
ตรงกันข้าม กลับติดบัญญัติสมมุติยิ่งกว่าชาวบ้าน

เคยเห็นนักเรียนที่ตีๆกัน เวลามันเขียนใส่กำแพงชาวบ้าน
คนแรกมันเขียนว่า "กู..สถาบันกอไก่ เป็นพ่อสถาบันขอไข่"
คนที่สองมันจะเอาสเปรมาลบของเดิม
แล้วเขียนทับว่า "กูสถาบันคอควาย.. เป็นพ่อทุกสถาบัน"

ผมไม่ได้ว่าชั่วนะ แต่ก็ดีได้แค่นั้น แค่ศีล กับทาน
ศาสนาอื่นสอนศีลกับทานดีกว่านี้มาก ไม่เห็นว่าเขาจะอ้างว่าเขาเป็นต้นกำเนิดของศาสนาอื่นๆ
ไม่เห้นเขาจะยกตนข่มท่านเลย

แล้วก็เอาเรื่องตายแล้วฟื้นมาพูด กลายเป็นลัทธิมีสวรรค์นรกในที่สุด
ทำนองว่ามีวิญญานอันถาวรอันหนึ่ง ได้ตายไปแล้วไปพบยมบาล

ยมบาลก็บ้าจี้ ถ้าไม่เข้ารีีตเสียก่อน ยมบาลจะไม่ยอมทำหน้าที่

ถ้าอนุตรธรรมเป็นสิ่งจริงแท้สูงสุดจริง
เป็นเบื้องบนที่อยากจะให้ทุกชีวิตได้มีความสุขจริงๆ มีเมตตาจริง

เขาก็คงจะเป็นเหล่าเบื้องบนที่โรคจิตเอามาก
เพราะเลือกที่รักมักที่ชัง
ใครไม่รับอนุตรธรรม ก็ไม่ใยดี
แล้วสัตว์อื่นๆที่เขาไม่มีโอกาสอยู่ในร่างมนุษย์ล่ะ ที่เขาไม่มีโอกาสประกอบพิธีกรรมล่ะ
เอาเขาไว้ที่ไหน

ดังนั้นถ้าอนุตรธรรมจะว่าตัวเองเป็นต้นธาตุของศาสนาอื่นๆ
ก็คงจะพูดหลอกตัวเองไปได้

ถ้าสิ่งสูงสุดที่เรียกว่าอนุตรธรรมดันมีความเลือกที่ัมักที่ชัง ยังมีทิฐิ ยังมีศีลพรตปรามาสแบบนี้
มันก็คือลัทธิหนึ่งที่มีสวรรค์นรกและผู้กำหนดชะตากรรมของสัตว์โลก
แล้วมันจะต่างจากศาสนาอื่นๆตรงไหน
แค่ไปเอาคำว่า"อนุตรธรรม" มาใส่เฉยๆ
อธิบายคำว่าอนุตรธรรมอย่างหนึ่ง แต่เวลาทำออกมาเป้นอีกอย่างหนึ่ง



พระพุทธเจ้าพูดถึงมิจฉาทิฐิคู่หนึ่งเอาไว้ คือ
1.พวกที่มีทิฐิว่า ตายแล้วสูญ
2.พวกที่มีทิฐิว่า ตายแล้วไม่สูญ
ทั้งสองอย่างนี้เป็นมิจฉาทิฐิ

เพราะไม่เข้าใจว่าจิตนั้นเกิดดับสืบเนื่องกันไปตามเหตุปัจจัย
กลับไปเข้าใจว่าจิตเป็นวิญญาน(แบบผี) ที่ถาวร เข้าร่างนี้ไปเกิดร่างนั้น
เวลาพูดว่าตายแล้วสูญจึงผิด
ถ้าพูดว่าตายแล้วไม่สูญก็ผิดอีก
ที่จริงเกิดแล้วตายทุกวันอยู่แล้ว วันละนับครั้งไม่ถ้วน


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 23 ม.ค. 2010, 16:27, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2010, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากจะเอาแค่ยึดเอาหนังสือเล่มหนึ่ง กับความคิดเห็นในแบบฉบับของตัวเอง ที่ยังไม่พ้นเรื่องผิด ถูก ละก็ไปให้ค่า ความหมาย มีแต่ สร้างปม เงื่อนไข ข้อแตกต่างนานๆ นำมาซึ่งความแตกแยก แบ่งพรรคพวก ที่สุดก็ย่อมเข้ากันไม่ได้ ว่าไปแล้วพระธรรมคำสอนก็มีอยู่ ว่า งดกรรมชั่ว ก่อกรรมีดี ทำใจผ่องแผ้วในส่วนย่อมมีไม่แตกต่างกัน หากสรุปว่าด้วยความ ไม่ติดยึด ก็แล้วเป็นเพียงเส้นทาง คำว่าเส้นทาง ก็คือทางผ่านเพื่อพ้นทุกข์ การรับหรือการเชิญ ไม่ขอเอ๋ยว่าเป็นอะไร แล้วเป็นการเริ่มต้น ศรัทธา บำเพ็ญ งดเว้นในสิ่งที่ควรงดเว้น มีครรลองให้เหมาะสม ก็เป็นการเริ่มต้นเหมือนเปิดน้ำที่กักไว้ในเขื่อน ทำลายกำแพงนี้ แล้วมีศรัทธาเป็นผู้บำเพ็ญ เปิดประตูหัวใจ เมื่อเปิดน้ำในเขื่อนได้แล้วนั้นน้ำย่อมไหลสู่มหาสมุทรเองฉันใด ผู้บำเพ็ญก็เช่นกันย่อมบำเพ็ญ สู่ความหลุดพ้น พระนิพพานเองฉันนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าเป็นห่วงแต่อย่างใด สำคัญที่ยังไม่ได้เริ่มสิ ยังสร้างกรรม ใช้ชีวิตแบบมั่วๆไปวันๆ สร้างกรรมทับถมตนอยู่ นี่สิ คงไม่โอกาสดีโชคดีเหมือนองค์คุลีมาร มาเจอองค์พุทธะ หากมองก็ขอให้มองถึงความไม่แตกต่าง ไม่นำข้อแตกต่างมาตอกย้ำ ให้แตกแยก ให้เลื่อมล้ำ โลกและสังคมจึงจะสันติสุข ร่มเย็น และเข้ากันได้ เป็นปรกติสุข โดยไม่ต้องกลัวใครจะมาเปลี่ยนแปลง มารวม ศาสนาของใคร เพราะมันอยู่ที่ใจของทุกท่านอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?


แก้ไขล่าสุดโดย yodchaw เมื่อ 23 ม.ค. 2010, 19:00, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 00:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 16:32
โพสต์: 323

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.onion.

ถ้าไป ก็เสียดาย ๆ

ให้งมงายถามสักคำ

"นั่งเบนซ์อยู่ดี ๆ มีคนชวนไปขี่เกวียนจะไปมั๊ย"

มีไปเยอะ เคยเห็นเยอะ เสียดายแทนเขา

อุตส่าห์ถือแผนที่ทางตรง ยังจะอ้อมไป

มีคนพาอ้อมเยอะ สงสัยสนุกกันใหญ่

ถือทองทั้งแท่งอยู่ดี จะไปถือก้อนแร่ไปถลุงใหม่ เหนื่อยใจแทน



รับธรรมที่ดีที่สุด

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ

ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ

สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

แล้วให้เห็นอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญา

จบภารกิจทั้งปวง


:b53:

โอมฺ มณีปทฺเม หุมฺ

หลวงจีนงมงาย

:b51: :b51: :b51:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 02:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณหลวงจีนครับ

ทุกวันนี้ ในคนสิบคน
เก้าคนครัึ่งไม่ทราบว่านังเบนซ์อยู่ เกิดมาก็เกิดคาเบนซ์

เพราะเหตุนี้มั๊ง เลยประมาท
คนเรามักมองข้ามของที่มี มองแต่แต่ของที่ฝัน
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 02:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้า..ธรรมะเกิดที่ใจ..ได้ง่าย ๆ สบาย ๆ ..ปานนั้น..

พระพุทธเจ้า..ท่านทำไปตั้งนานแล้ว..

ไม่ต้องมารอให้..สาวกใครก็ไม่รู้..ทำแทนหรอกนะครับ

หากใครทำได้..ให้จำใว้ว่า..เขาเหล่านั้นสาวกใครก็ไม่รู้?

เรา..เหล่าสาวกของสมณโคดม..ไม่หลง(ไปกะเขา)อยู่แล้ว..เน๊าะ
:b12: :b12: :b12:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 24 ม.ค. 2010, 02:34, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 18:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 พ.ย. 2008, 20:43
โพสต์: 42


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าไปเลยนะ เนิ่นช้า งมงาย สอนแต่กินเจ เคยรับมาแล้วนะจึงเขียน อูไทฝ่อมีเลอ จะทำให้เข้านิพานได้ไงถ้าไม่มีปัญญาเห็นโทษกิเลส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ม.ค. 2010, 19:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ธ.ค. 2009, 17:02
โพสต์: 10

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมมะอยู่ที่ใจเรา กีเลสก็อยู่ที่ใจเรา จะไปหาที่ไหนอีกละครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2010, 10:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7513

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
...ข้าพเจ้าเข้าไปอ่านอนุตรธรรมในเว็บที่คุณchulapinanแนะนำไว้แล้วล่ะ...
:b16:
...คุณธรรมที่ข้าพเจ้าปฏิบัติอยู่ตามแนวพุทธศาสนาในปัจจุบันก็ไม่ต่างจากอนุตรธรรม...
...ต่างนิดหน่อย...ตรงกินเจ...ข้าพเจ้าคงไม่เอาด้วย...ขอยึดแนวทางสายกลางเจ้าค่ะ...
...มีก็ฉัน...ไม่มีก็ฉันอย่างอื่น...จะบังคับให้ต้องเจเท่านั้น...ขอโนเค...เซ...บ๊ายบายอ่ะค่ะ...
:b9: :b32:
...เอาแบบไม่ตึงไป...ไม่หย่อนไป...เรื่องอาหารเป็นไปเพื่อยังอัตภาพให้ดำรงชีพรอดเท่านั้นค่ะ...
...ถ้าทุกคนเจตนาศีล5ทุกข้อให้บริสุทธิ์...ทำอะไรไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่นทั้งกาย วาจา ใจ...
...ละชั่ว...ทำดี...ทำจิตใจให้ผ่องใส...หมั่นทำบุญให้ทานและสวดมนต์ไหว้พระ..เท่านี้ก็สุดยอดแล้ว...
:b8: :b20: :b11: :b13:
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2010, 17:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 14:28
โพสต์: 9

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขอบคุณสำหรับทุกๆความคิดห็นที่ดีดี
เจตนาที่แท้จริงนั้นต้องการข้อมูลที่ชัดเจนกว่าที่รู้อยู่เท่านั้นเอง
ไม่ได้มีอะไรแอบแฝงแต่อย่างใด
สุดท้ายหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์สำหรับการตัดสินใจ หรือคลายความสงสัยของอีกหลายๆคนที่รับรู้ข้อมูลเรื่องเดียวกันนี้ (ที่เหลือจะต้องคิดและพิจารณาดูเอง) tongue


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2010, 18:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้เห็นคำปรารภเรื่องเดียวกับกระทู้นี้เอามาให้ดูกัน อาจได้ข้อคิดอะไรอีกบ้าง

ผมเพิ่งตั้งกระทู้เกี่ยวกับการรับธรรมไปไม่กี่วัน แต่วันนี้เจอกับตัวเองจริง ๆ แล้วรู้สึกสังเวชใจพยายามจะสลัดความคิดนี้ออกไปแต่ก็ทำไม่ได้ซักที
ช่วงสายของวันนี้ผมเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากพี่สาว (จริง ๆ แล้วเป็นน้าแต่เค้าแก่กว่าผมไม่กี่ปีผมก็เลยเรียกว่าพี่ครับ ) ซึ่งเราเจอกันครั้งสุดท้ายเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา เพราะเค้ามาบอกลาผมว่าจะไปทำงานที่อื่นเพราะเค้าทุกข์ใจมาก ( วิบากกรรมเค้ามากจริงๆ ครับคนใกล้ชิดรู้หมด )

ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเห็นว่าหากเค้าไปแล้วสบายใจเค้าก็ไปเถอะ ผมเลยแนะนำว่าก่อนที่จะเริ่มงานที่อื่นผมอยากให้เค้าไปปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานก่อน เพราะมันเป็นช่วงที่เค้าว่างจริง ๆ และเป็นสิ่งที่เค้าปรารถนามานาน
ผมบอกเค้าว่าให้ไปฝึกปฏิบัติกันหลวงพ่อจรัญที่วัดอัมพวัลก็ได้ หรือถ้ามีที่อื่นที่ปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐาน 4 ก็ให้เค้าเลือกไปกรรมจะได้เบาบางลงบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งเค้าก็ตกปากรับคำว่าจะไปให้ได้

แต่วันนี้เค้าโทรมาหาผมเค้าบอกว่า เค้าเป็นในสิ่งที่ผมตั้งใจให้เป็นแล้วนะแต่เค้าไม่ได้ไปหาหลวงจรัญหรอก
เค้าไปอยู่ที่สำนักธรรมที่ห่างจากบ้านของผมไปประมาณ 30 กม เค้าบอกว่าเค้ามาเจอในสิ่งที่ใช่แล้วตอนนี้เค้าโทรไปยกเลิกงานใหม่ที่กำลังจะทำ แล้วก็ไปอยู่สำนักธรรมอย่างถาวรไม่มีกำหนดกลับ หลังจากนั้นเค้าก็พยายามพูดจาชักชวนผมไปรับธรรมะให้ได้โดยบอกว่านี่กำลังเข้ายุคพระศรีอารย์แล้วนะ
ภัยพิบัติกำลังจะล้างคนชั่วในเวลาช้าสุดไม่เกิน 7 ปี เร็วสุดไม่เกิน 2 ปี

การรับธรรมเป็นทางเดียวที่จะนำไปสู่การหลุดพ้น เค้าบอกว่า พระแม่องค์ธรรมหรือองค์อนุตรธรรม คือ ผู้ที่ใหญ่สุดและเป็นคนออกกฎต่าง ๆ ของจักรวาล รองมาคือพระศรีอารย์ และพูดถึงเทพองค์นู่นองค์นี่ พูดถึงอาจารย์หลายคนที่มีหูทิพย์ตาทิพย์ บอกว่าเหล่าเทพมาร่วมพิธีกันมากมาย และอะไรที่วิจิตรพิสดารอีกหลายอย่าง
เท่านั้นแหละครับผมเลยแย้งไปว่าเป็นไปไม่ได้หรอกคับ เพราะมันขัดแย้งกับธรรมที่ผมศึกษาอยู่ ผมบอกว่าตัวผมเองยังศรัทธาและยึดมั่นถือมั่นในตัวพระพุทธเจ้า และหลักธรรมคำสอนอย่างเป็นที่สุดฉะนั้นผมไม่หวั่นไหวกับลัทธิใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะผมเตรียมพร้อมกับการตายเสมอ ( ตอนนี้ผมไม่กลัวตายจริง ๆ นะครับหลังจากผมใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้า )

คนเราหากจะหลุดพ้นเราต้องเป็นคนหยุดการเกิดด้วยตัวเราเอง แม้แต่พระพุทธเจ้าเองยังช่วยไม่ได้เราต้องปฏิบัติเอง พระองค์เป็นเพียงผู้ชี้แนะเท่านั้น
ผมไม่เห็นด้วยกับการท่องภาษาจีน 5 คำไว้ผ่านด่านสวรรค์หรอก คนเรากรรมเป็นตัวกำหนดความเป็นไป สุดท้ายผมก็เป็นเพียงผู้ฟังที่ดีที่เออออห่อหมกไปตามเค้า เพราะความศรัทธานี่มันมีพลังเยอะจริง ๆ เอาช้างไปฉุดก็ไม่อยู่หรอก
แต่ในใจผมนี่สิรู้สึกสังเวชเหลือเกิน สงสารเค้ามากต้องการที่พึ่งแต่ดันไปได้ที่พึ่งที่ผมคิดว่าไม่ถูก (ถูกหรือไม่ถูกจริงผมไม่รู้ เพราะผมเชื่อในพระพุทธเจ้าของผมเท่านั้นไม่อยากกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ )

พอนึกถึง 2 ปีที่ผ่านมามันสลดใจเพราะเราทำบุญ และนั่งสมาธิ ด้วยกันเสมอ ผมมีอะไรที่ธรรมะของ
พระพุทธเจ้าช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้าทางใจได้
ผมก็ช่วยเต็มที่ ให้กำลังใจเต็มที่ เพราะถึงเค้าไม่ใช่พี่สาวก็เหมือนพี่สาวแท้ ๆ ซึ่งเป็นคนดีมาก อย่างเค้าต้องหลงทางเพราะชีวิตเค้าทุกข์มามากแล้ว

จาก

http://www.pantip.com/cafe/religious/to ... 52543.html

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2010, 18:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญหาของมนุษย์ คือ ความทุกข์ เมื่อประสบกับทุกข์เข้าแล้วทุกผู้ทุกคนต้องการจะพ้นจากความทุกข์โทมนัส

ด้วยกันทั้งนั้น

แต่เรามักค้นหาต้นเหตุแห่งทุกข์ข้างนอก เขาจึงไม่พ้นจากความทุกข์ได้เลย เพราะขัดกับหลักอริยสัจจ์


ดูคำอธิบาย อริยสัจจ์ ๔ ข้อ ที่

viewtopic.php?f=2&t=22926&p=115501#p115501

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 06 ก.พ. 2010, 18:34, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 07:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 06:38
โพสต์: 59

อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


จะบอกว่าผมก็เป็นอีกคนหนึ่งทีี่่ไปรับธรรมะมา ก็ไปศึกษาอะไรๆในนั้น
ก่อนหน้านั้นผมได้ปฏิบัติกรรมฐานมา ตอนแรกก็คิดว่าสถานธรรมนี่การที่เขาให้มารับธรรมะนี่
เป็นกุศโลบายหรือเปล่า เลยไม่ติดใจอะไรเท่าไรนัก พอเข้าไปศึกษาก็ได้ฟังจากนักบรรยายธรรม
ว่าแท้ที่จริงแล้วก็คือ ศาสนาพุทธเพียงแต่เปลี่ยนจากยุคแดงไปเป็นยุคขาว หลังจากนั้นผมก็ได้ฟังว่า
ลัทธินี้ก็อธิบายเรื่องกฏแห่งกรรมเหมือนกัน และก็อธิบายเรื่องจิตดูผิวเผินคล้ายๆกัน หลังจากรับธรรมะ
มาบางครั้งรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นร่างทรงในบางครั้ง คือ เหมือนกับว่าบางทีมีคนมากระซิบข้างหู
ให้คนนู้นคนนี้ไปร่วมถวายผลไม้บ้าง หรือ บางทีก็ทำอะไรๆโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัว จนบางทีอดคิดไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้วร่างของเราจะมีคนอื่นมาใช้ร่วมหรือเปล่า หลังจากที่กลับไปบ้านก็กลับไปปฏิบัติกรรมฐานก็เลยไปถามว่าอันนี้มันคืออะไรกันแน่
หลวงพ่อท่านเตือนว่าให้อย่าไปยุ่ง หลวงพ่อท่านให้โอวาทประมาณว่า เป็นเพียงแคลัทธิที่สอนถูกบ้าง ผิดบ้าง แล้วท่านก็ถามกระผมว่า การที่เราบอกคำตอบของข้อสอบให้กับเพื่อนคิดว่ามีประโยชน์หรือไม่
กระผมก็ตอบไปว่ามีประโยชน์ในปัจจุบัน แต่ในอนาคตจะเกิดโทษ ท่านก็บอกว่าอันนี้ก็เหมือนกัน
สอนให้คนทำความดีแต่ถ้าจะให้เข้าถึงนิพพานมันเข้าถึงนิพพานไม่ได้ ผมก็เชื่อหลวงพ่อเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนกระทั่งไปเจออาจารย์บรรยายธรรมวิถีอนุตรธรรม ท่านบอกให้ผมละยุคแดง(พระพุทธเจ้าเรา)ไปยุคขาวเถอะ ท่านบอกว่ายุคแดงมีอายุแค่ 3000 ปี
ข้าพเจ้าเลยเถียงกลับไปว่ายุคพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีอายุถึง 5000 ปีไม่ใช่หรอ ท่านก็เงียบๆแล้วก็ไปคุยเรื่องอื่นแทน ข้าพเจ้าก็เลยถามว่าธรรมะ ไม่มียุคสมัยไม่ใช่หรอ ตามพระธรรมที่เราสวดมนต์กันนี่แหละ(ซึ่งนี้น่าจะเป็นอานิสงส์ของการสวดมนต์แปลทำให้ข้าพเจ้ามีความมั่นใจในพระพุทธศาสนา)
อะกาลิโก เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาล ท่านก็ตอบผมว่ายุคแดงจะหมดลงแล้วเห็นไหมพระทุกวันนี้วินัยเสื่อมถอย ท่านก็บอกต่อไปว่าเลยต้องตั้งธรรมะใหม่ หลังจากข้าพเจ้าไปถามหลวงปู่เทพโลกอุดรซึ่งผ่านร่างแม่ชีมณีจันทร์ ข้าพเจ้าก็ไปถามว่าสถานธรรมหรือวิถีอนุตรธรรมมันคืออะไรกันแน่
หลวงปู่ถามว่ามันคืออะไร? กระผมก็เลยให้คนที่สถานธรรมที่ข้าพเจ้าคะยั้นคะยอให้ตามมาด้วย
อธิบาย เขาก็ตอบหลวงปู่ไปว่า สายพระโพธิสัตว์
หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านก็บอกว่า สอนผิดๆมั่วๆ เอาความเชื่อที่ไม่ถูกต้องไปแทรกในหลักธรรม
แล้วท่านก็พูดต่อไปว่า มีอย่างที่ไหนให้คนไปลงชื่อรับธรรมะแล้วจะพ้นจากประตูนรก
พวกเรา(พวกปฏฺบัติวิปัสสนากรรมฐาน)กว่าจะบรรลุธรรมต้องเดินจงกรม นั่งสมาธิกันกี่รอบ
ถ้ามันทำได้ง่ายขนาดนั้น ทีหลังพวกเราก็ทำบ้างแถมยังได้ช่วยบรรพบุรุษด้วย(ยังไม่บอกท่านเลยว่ามันเป็นแบบไหน ท่านบอกได้อย่างไรแต่มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ)
ในขณะนั่งรถกลับมาที่หอพักที่มหาลัย กระผมก็บอกคนสถานธรรมที่ติดตามกระผมมา เห็นไหมเป็น
อย่างไร? เขาก็บอกว่าเขาจะยังคงยึดสถานธรรมต่อไป เพราะเขาบอกว่าอาจจะเป็นมารมาทดสอบก็ได้
กระผมก็เลยบอกกับเขาว่าฉันเป็นคนที่ยุติธรรมพอ ฉันพิจารณาหลายๆเสียงที่กระผมไปถาม
5 ต่อ 1 เสียง(ในแต่ละเสียงกระผมเอามาจากกลุ่มคน
1.แม่ชีอมรีรักษ์ 2.หลวงพ่อที่วัดเขาพุทธโคดม อ.ศรีราชา 3.หลวงปู่เทพโลกอุดร
4.พระวิปัสสนาจารย์ที่อาปฏิบัติอยู่ด้วย 5.อ.ตู๋ ที่เขียนหนังสือเรื่องกรรมบำบัด)
ในความคิดของข้าพเจ้าเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าพเจ้าเลยตริตรองว่า เทวดาบรรลุนิพพานหรือยัง
คนที่ไม่รู้จักนิพพานจะมาสอนนิพพานได้อย่างไร ในที่นี้กระผมขอเล่าประวัติของพระภิกษุณีรูปหนึ่งในสมัยพุทธกาล มีต่อนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 08:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 06:38
โพสต์: 59

อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


ในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า

ในพุทธุปบาทกาลนี้ พระราชธิดาทั้ง ๗ นั้นก็ได้มาเกิดเป็น พุทธสาวิกาคือ คือ พระนางสมณี ได้มาเกิดเป็นพระเขมาเถรี พระนางสมณคุตตา ได้มาเกิดเป็น พระอุบลวรรณาเถรี นางภิกขุนี ได้มาเกิดเป็น พระปฏาจาราเถรีนางภิกขุทาสิกา ได้มาเกิดเป็น พระกุณ ฑลเกสีเถรี นางธรรมา ได้มาเกิดเป็น พระกิสาโคตมีเถรี และนางสังฆทาสี ได้มาเกิดเป็นนางวิสาขามหาอุบาสิกา

ส่วนตัวท่านเองมาถือปฏิสนธิในสกุลเศรษฐีที่มั่งคั่งเจริญ มีทรัพย์มากในพระนครราชคฤห์ เมื่อเติบใหญ่ขึ้นก็ได้แต่งงานมีครอบครัวกับวิสาขเศรษฐี ในกรุงราชคฤห์นั้นเอง

ต่อมาเมื่อครั้งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเทศนาโปรดเหล่าชฏิลทั้งสามพร้อมทั้งบริวาร ที่อุรุเวลาเสนานิคมแล้ว ก็ทรงระลึกถึงปฏิญญาที่ได้ทรงให้ไว้กับพระเจ้าพิมพิสารเมื่อก่อนที่จะทรงตรัสรู้ว่า ถ้าตรัสรู้แล้วก็จะทรงมาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร จึงได้เสด็จดำเนินไปยังกรุงราชคฤห์กับหมู่ภิกษุขีณาสพชฏิลเก่า แล้วทรงแสดงธรรมถวายพระเจ้าพิมพิสารมหาราชซึ่งเสด็จดำเนินมาพร้อมกับบริษัทแสนสองหมื่นคนเพื่อเฝ้าพระพุทธเจ้า

ในชนแสนสองหมื่นคนที่มาพร้อมกับพระราชาในครั้งนั้น หนึ่งหมื่นคนประกาศตนเป็นอุบาสก อีกหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นคนพร้อมกับพระเจ้าพิมพิสาร ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล วิสาขอุบาสกนี้เป็นคนหนึ่งในจำนวนนั้นซึ่งเป็นผู้ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลในการเฝ้าครั้งแรกนั่นเอง

ในอีกวันหนึ่ง วิสาขอุบาสกก็ได้ฟังธรรมอีก ในครั้งนี้อุบาสกสำเร็จสกทาคามิผล แต่นั้นมาในภายหลังวันหนึ่ง เมื่อได้ฟังธรรมอีก จึงได้ดำรงอยู่ในอนาคามิผล ในวันที่วิสาขอุบาสกสำเร็จเป็นเป็นพระอนาคามีแล้ว เดินทางกลับบ้าน ก็ไม่ได้กลับมาเหมือนอย่างวันอื่น ที่เมื่อกลับมาก็มองนั่นดูนี่ หัวเราะยิ้มแย้มพลางเดินเข้ามา หากแต่กลายเป็นคนสงบกายสงบใจเดินเข้าบ้านไป
นางธรรมทินนาออกบวช

นางธรรมทินนาแง้มหน้าต่างพลางมองไปที่ถนนเห็นเหตุการณ์ในการมาของเขาแล้วก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านอุบาสก เมื่อนางออกมายืนที่หัวบันไดทำการต้อนรับเขาพลางก็เหยียดมือยื่นออกไปให้อุบาสกจับ อุบาสกกลับหดมือของตนเสีย

นางคิดว่าจะไปถามในเวลารับประทานอาหาร แต่ก่อนมาอุบาสกรับประทานพร้อมกันกับนาง แต่วันนั้นกลับไม่ยอมมองนาง ทำราวกะว่าเป็นโยคาวจรภิกษุ รับประทานคนเดียวเท่านั้น นางคิดว่าจะไปถามเวลานอน ในวันนั้นอุบาสกไม่ยอมเข้าห้องนอนนั้น กลับสั่งให้จัดห้องอื่นให้ตั้งเตียงน้อยที่สมควรแล้วนอน.

อุบาสิกาคิดว่าตนคงกระทำความผิดอันใดไว้ อุบาสกจึงไม่ยอมพูดด้วย ไม่นอนร่วมห้องด้วย ก็เกิดความเสียใจอย่างแรง จึงเข้าไปหาท่านอุบาสกแล้วถามว่า ตัวนางเองมีความผิดอะไรหรือ ท่านอุบาสกจึงไม่ยอมถูกเนื้อต้องตัว ไม่ยอมพูดด้วย และ ไม่ยอมนอนร่วมห้องด้วย

วิสาขอุบาสกได้ยินนางถามดังนั้นก็คิดว่า "ชื่อว่าโลกุตตรธรรมนี้เป็นภาระหนักไม่พึงเปิดเผย แต่ถ้าเราไม่บอก ธรรมทินนานี้จะพึงหัวใจแตกตายในที่นี้เอง"

เพื่อที่จะอนุเคราะห์นาง ท่านเศรษฐีจึงบอกว่า "ธรรมทินนา ฉันได้ฟังธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วได้บรรลุโลกุตตรธรรม ผู้ได้บรรลุโลกุตตรธรรมนั้นแล้ว ย่อมไม่กระทำแบบโลกๆ อย่างที่เคยทำมาแต่ก่อน ถ้าเธอต้องการ ทรัพย์ทั้งหมดของฉัน ก็จงรับไป แล้วจงอยู่ดำรงตำแหน่งแม่ หรือตำแหน่งน้องสาวของฉันก็ได้ ฉันจะขอเลี้ยงชีพด้วยเพียงก้อนข้าวที่เธอให้ หรือเธอเอาทรัพย์เหล่านี้ไปแล้วกลับไปอยู่กับตระกูลของก็ได้ หรือถ้าเธอต้องการมีสามีใหม่ ฉันก็จะตั้งเธอไว้ในตำแหน่งน้องสาว หรือตำแหน่งลูกสาวแล้วยกเธอให้กับชายนั้นแล้วเลี้ยงดู"

นางคิดว่า "ผู้ชายปกติ จะไม่มีใครพูดอย่างนี้ เขาคงแทงทะลุโลกุตตรธรรมเป็นแน่ ก็ผู้ชายเท่านั้นหรือที่พึงแทงทะลุธรรมนั้นได้ หรือแม้เป็นผู้หญิงก็สามารถแทงทะลุได้" จึงพูดกับวิสาขะว่า "ธรรมนั้นผู้ชายเท่านั้นหรือหนอที่พึงได้ หรือแม้เป็นผู้หญิงก็สามารถบรรลุได้ด้วย"

ท่านอุบาสกตอบว่า "พูดอะไร ธรรมทินนา ผู้ที่เป็นนักปฏิบัตินั้น ย่อมเป็นทายาทของธรรมนั้น ผู้ที่มีอุปนิสัยก็ย่อมได้รับธรรมนั้น"

นางธรรมทินนา "เมื่อเป็นอย่างนั้น ขอให้ท่านยินยอมให้ดิฉันบวชเถิด"

วิสาขอุบาสก "ดีแล้วที่รัก ฉันเองก็อยากจะแนะนำในทางนี้เหมือนกัน แต่ยังไม่รู้ใจเธอจึงไม่พูด"

แล้ววิสาขอุบาสกจึงให้นางธรรมทินนาอาบน้ำหอม ให้ประดับประดาด้วยเครื่องสำอางทุกอย่าง ให้นั่งบนวอทอง แวดล้อมด้วยหมู่ญาติ บูชาด้วยดอกไม้หอมเป็นต้น พาไปสู่สำนักภิกษุณีแล้วเรียนว่า "ขอให้นางธรรมทินนาบวชเถิด แม่เจ้า"

พวกภิกษุณีคิดว่าท่านเศรษฐีจะลงโทษภรรยาที่กระทำความผิดโดยการให้ออกบวชจึงพูดว่า" คฤหบดี กับความผิดอย่างหนึ่งหรือสองอย่าง ท่านก็ควรจะอดทนได้"

วิสาขะจึงเรียนว่า "ไม่มีความผิดอะไรหรอก แม่เจ้า เธอบวชด้วยศรัทธา"

ลำดับนั้น ภิกษุณีผู้สามารถรูปหนึ่ง จึงบอกกัมมัฏฐานหมวดห้าแห่งหนัง ให้โกนผมแล้วให้บวช

วิสาขะพูดว่า "แม่เจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระธรรมไว้ดีแล้ว ท่านจงยินดีเถิด" ไหว้แล้วหลีกไป.
นางธรรมทินนาบรรลุพระอรหัต

ตั้งแต่วันที่นางบวชแล้ว ลาภสักการะก็เกิดขึ้น เพราะเหตุนั้นนางจึงยุ่งจนหาโอกาสทำสมณธรรมไม่ได้ ทีนั้น พวกพระเถรีที่เป็นอาจารย์และอุปัชฌาย์จึงพานางไปบ้านนอก แล้วก็ให้เรียนกัมมัฏฐานตามชอบใจในอารมณ์สามสิบแปดอย่างเริ่มทำสมณธรรม สำหรับนางลำบากไม่นานเพราะเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอานุภาพแห่งความปรารถนาที่กระทำไว้เมื่อครั้งพระศาสดาทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ทรงอุบัติในโลก ด้วยอำนาจแห่งความปรารถนานั้น นางจึงไม่เหนื่อยมาก สองสามวันเท่านั้นเองก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว พระธัมมทินนาเถรีคิดว่าใจของเราหมดกิเลสแล้ว บัดนี้เราจักอยู่ทำอะไรในที่นี้ เราจักไปกรุงราชคฤห์ถวายบังคมพระศาสดา และพวกญาติของเราเป็นจำนวนมากจักกระทำบุญ พระเถรีจึงกลับมากรุงราชคฤห์กับภิกษุณีทั้งหลาย
วิสาขอุบาสกทดสอบพระเถรี

วิสาขะได้ฟังว่านางธรรมทินนากลับมาจึงคิดว่า นางบวชแล้วไปบ้านนอกยังไม่นานเลย ก็กลับมา นางคงจะยังยินดีอยู่ในโลกีย์วิสัยละมัง แล้วก็ได้ไปสำนักนางภิกษุณี ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง แล้วจึงคิดว่าจะ ถามถึงเรื่องที่ตนสงสัยก็เห็นจะไม่สมควร จึงถามปัญหาด้วยอำนาจปัญจขันธ์ เป็นต้น.

พระธรรมทินนาเถรีก็วิสัชนาปัญหาที่วิสาขอุบาสกถามแล้ว เหมือนเอาพระขรรค์ตัดก้านบัวฉะนั้น.

อุบาสกรู้ว่า พระธรรมทินนาเถรี มีญาณกล้า จึงถามปัญหาที่ละเอียดลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อย พระเถรีก็เฉลยปัญหาเหล่านั้นโดยลำดับ จนในที่สุด อุบาสกถามโดยอาการทุกอย่างในอนาคามีมรรคตามลำดับ ในฐานะที่ตนบรรลุแล้ว ทั้งยังถามปัญหาในอรหัตมรรค ซึ่งเป็นการถามตามที่ได้เล่าเรียนมา เพราะตนยังไม่บรรลุถึงขั้นนั้น

พระธรรมทินนาเถรีก็รู้ว่า อุบาสกมีวิสัยเพียงอนาคามิผล เท่านั้น คิดว่า บัดนี้ อุบาสกถามเกินวิสัยของตนไป จึงทำให้อุบาสกนั้นกลับโดยกล่าวว่า ท่านวิสาขะ ท่านยังไม่อาจกำหนดที่สุดแห่งปัญหาทั้งหลายได้ ท่านวิสาขะ ถ้าท่านยังจำนงหวังพรหมจรรย์ที่หยั่งลงสู่พระนิพพาน มีพระนิพพานเป็นเบื้องหน้า มีพระนิพพานเป็นที่สุด ท่านวิสาขะ ท่านจงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามความข้อนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์อย่างไร ก็พึงทรงจำไว้อย่างนั้น
ทรงแต่งตั้งเป็นเอตทัคคะผู้เป็นธรรมกถึก

วิสาขอุบาสกกราบทูลนัยแห่งคำถามและคำตอบทั้งหมดแด่พระศาสดา พระศาสดาทรงสรรเสริญพระเถรีนั้นด้วยพระพุทธพจน์ว่า วิสาขะ ภิกษุณีธัมมทินนาเป็นบัณฑิตเป็นต้น ทรงประกาศการพยากรณ์ปัญหาเทียบกับพระสัพพัญญุตญาณ ทรงทำจูฬเวทัลลสูตรนั้นแลให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง ทรงตั้งพระธัมมทินนาเถรีนั้นไว้ในตำแหน่งเลิศของภิกษุณีผู้เป็นธรรมกถึก
อ้างอิงจาก http://www.dharma-gateway.com/bhikunee/ ... -tinna.htm

จับใจความจะได้ว่าการเรียนปากต่อปากรู้ในธรรมของพระอรหันต์แม้เพียงจะมาถามก็ยากที่จะถามเพราะเลยภูมิ
ของตัวเองไปเสียแล้วก็เหมือนกับเทวดา รู้ธรรมะของพระอรหันต์แต่จะให้มาอาจเอื้อมสอนธรรมะระดับ
ของพระอรหันต์มันเป็นไปไม่ได้ ผมก็อธิบายเขาไปประมาณนี้เขาก็บอกว่า ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี
กระผมเลยบอกว่า ดีอะใช่ แต่ว่าคนที่พามารับธรรมะอะเป็นใคร เป็นคนที่นับถือสาสนาพุทธไม่ใช่หรอ
บางคนปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ก็ไปดึงเขามา เธอรู้ไหมเธอทำอะไรลงไป เขาบอกว่าไม่รู้
กระผมเลยบอกว่า มันไม่ใช่สังฆเภทระดับย่อมหรอกหรอ เป็นอนันตริยกรรมเชียวนะ หรืออย่างน้อยก็ยัง
เป็นบุพกรรม(ตามความคิดนะ บุพกรรม หมายถึง กรรมหนักที่ขัดขวางการบรรลุธรรม) เขาก็บอกกระผมว่าฉันก็เป็นชาวพุทธอยู่ ฉันรู้ว่าอะไรเป็นอะไร กระผมก็เลยถามไปว่า ชาวพุทธ
เป็นชาวพุทธแบบไหนไม่ทราบ? เขาก็ตอบว่าฉันก็ไปวัดไปวา ไปทำบุญตักบาตร กระผมก็เลยบอกว่า
นั่นหรอเรียกว่าชาวพุทธ ถ้าฉันเป็นเมื่อก่อนฉันตบปากแตกไปแล้ว พูดออกมาได้ยังไงว่านี่ชาวพุทธ
ในความคิดของข้าพเจ้าชาวพุทธที่แท้จริงนั้นจะต้อง ปฏิบัติและศึกษาธรรมตามที่ครรลองที่องค์พระบรม
ครูองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงไว้ หลังจากไปคุยกับคนรับธรรมะอีกคน เขาก็พูดเป็นนัยว่ากระผมว่าเจ้ากรรมนายเวรของผมมีมากเขากำลังขัดขวางทาง
กระผมเหนื่อยใจและท้อแท้ใจที่จะพูดกับคนเหล่านี้เหลือเกิน

วิเคราะห์
บางคนบอกว่าทั้งลัทธิอนุตรธรรมก็สอนให้เราเป็นคนดีเหมือนศาสนาพุทธ ทำไมต้องมาวุ่นวายเรื่องนี้
พวกนี้ด้วย?
กระผมมองสิ่งหนึ่งที่บางคนไม่ได้มอง คือ การที่เราจะนิพพานตามการบรรยายของคุณแม่ ดร.ศิริ กรินชัย
ที่อธิบายเกี่ยวกับ วิปัสสนาญาณ ๑๖ ในการที่จะบรรลุเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบัน
จะต้องเคลื่อนจาก ญาณที่ ๑๒ คือ อนุโลมญาณ ไปที่ ญาณที่ ๑๓ คือ โคตรภูญาณ การที่จิตจะเคลื่อนเข้าสู่โคตรภูญาณได้ ๑.ไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิ(พระโพธิสัตว์) ๒.โพธิปักขยธรรม 37
มีองค์พร้อม โพธิปักขยธรรม ๓๗ ประกอบด้วย ๗ หมวดใหญ่
๑. หมวดสติปัฏฐาน ๔ ได้แก่สติเจตสิก ๑ ดวงที่ควบคู่อยู่กับกายานุปัสสนา ๑ เวทนานุปัสสนา ๑ จิตตานุปัสสนา ๑ ธัมมานุปัสสนา ๑ อันเป็นที่ตั้งของสติ = ๔
๒. หมวดสัมมัปปธาน ๔ ได้แก่วิริยเจตสิก ๑ ดวงที่ควบคุมให้เกิดความเพียร และในหมวดนี้ได้บรรยายมาแล้วโดยพิสดาร เหตุนั้นก็ขอบรรยายโดยสังเขป คือ
ก. สังวรปธาน เพียรระวังมิให้บาป มิให้อกุศลเกิดขึ้น ในขันธสันดานของตน เพียรมิให้อกุศลใหม่เกิด อกุศลเก่าก็จะน้อยลงไปตามลำดับ
ข. ปหานปธาน เพียรละอกุศลที่เกิดแล้วให้หมดไป
ค. ภาวนาปธาน เพียรเพื่อให้กุศลเกิดขึ้น
ง. อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วมิให้เสื่อมไป = ๔
๓. หมวดอิทธิบาท ๔ คือธรรมเป็นเหตุของความสำเร็จ เป็นทางแห่งความสำเร็จซึ่งโลกุตตระ ได้แก่
ก. ฉันทะ ความพอใจในทางโลกุตตระ
ข. วิริยะ ความเพียรในทางโลกุตตระ
ค. จิตตะ ความเอาใจใส่ในทางโลกุตตระ
ง. วิมังสา ความใคร่ครวญรู้แจ้งในทางโลกุตตระ = ๔
๔. หมวดอินทรีย์ ๕ คือธรรมที่เป็นใหญ่ปกครองกุศลธรรมทั้งปวง คือ
ก. สัทธินทรีย์ ได้แก่ สัทธาเจตสิก เป็นอินทรีย์ที่เป็นใหญ่เป็นผู้ปกครอง ในความเชื่อความเลื่อมใสตัดสินใจเด็ดเดี่ยว ไปสู่แดนโลกุตตระคือพระนิพพาน เชื่อต่อทางวิปัสสนากรรมฐาน
ข. วิริยินทรีย์ ได้แก่ วิริยเจตสิก เพียรปฏิบัติวิปัสสนาด้วยความเป็นใหญ่ เป็นจอมวีระแกล้วกล้า เพื่อให้บรรลุโลกุตตระ
ค. สตินทรีย์ ได้แก่ สติเจตสิก ที่เป็นใหญ่ปกครองในความระลึกได้ และรู้ทันปัจจุบันธรรมของรูปนาม เพื่อจะนำกุศลอันเป็นมรรคาไปสู่โลกุตตรธรรม
ง. สมาธินทรีย์ ได้แก่ เอกัคคตาเจตสิก ที่ปกครองความเป็นใหญ่ อยู่ในการทำหน้าที่ให้รู้แต่อารมณ์เดียว โดยไม่เผลอจากปัจจุบันธรรม จนให้ถึงโลกุตตรธรรม
จ. ปัญญินทรีย์ ได้แก่ ปัญญาเจตสิกที่ทำหน้าที่ปกครองเป็นใหญ่อยู่ในความเห็นแจ้งรู้จริง ในไตรลักษณ์ของรูปธรรมนามธรรม ผ่านญาณ ๑๖ ได้พระนิพพานเป็นอารมณ์ พ้นโลกีย์ได้ด้วยวิโมกข์ ๓ อันใดอันหนึ่ง เพราะอาศัยศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นปัจจัย จึงเป็นอินทรีย์ที่เป็นใหญ่ปกครองสหชาตธรรมในโพธิปักขิยธรรมให้สมบูรณ์ ส่งให้แก่โลกุตตรธรรม ไกลจากทุกข์ทั้งปวงได = ๕
๕. หมวดพละ ๕ คือ กำลังธรรมที่เป็นกุศลฝ่ายโพธิปักขิยธรรม จะนำข้ามห้วงมหรรณพภพสงสาร หรือเป็นแม่ทัพที่จะรบกับข้าศึกคือกิเลสให้พินาศไป สิ้นสูญไปด้วยกำลัง ๕ ประการคือ
ก. สัทธาพละ กำลังคือศรัทธา เชื่อต่อปฏิปทาทางปฏิบัติทางไปพระนิพพาน ได้แก่เชื่อในทางพระวิปัสสนากรรมฐานนั่นเอง
ข. วิริยพละ กำลังคือความเพียรอันแกล้วกล้า ที่จะปฏิบัติทำสติให้ระลึกรู้ทันปัจจุบันธรรมรูปนาม สามารถปราบปรามข้าศึกคือกิเลสให้สิ้นสูญไป เพื่อรู้แจ้งแทงตลอดซึ่งโลกุตตรธรรม
ค. สติพละ กำลังคือสติ ระลึกรู้ทันปัจจุบันของรูปนาม เว้นโมหะตัวเผลอตัวหลงเสีย เพื่อเป็นปัจจัยแก่มรรคผลนิพพาน
ง. สมาธิพละ กำลังคือสมาธิ มีสติมั่นคงไม่เผลอ แน่วแน่ในปัจจุบันธรรมทุกขณะ เพื่อจะเป็นกำลังอันเยี่ยมที่จะก้าวไปสู่โลกุตตรธรรม
จ. ปัญญาพละ กำลังคือปัญญา ความรู้ในปัจจุบันธรรมอันเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา เห็นลักษณะของรูปนามเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ผ่านญาณ ๑๖ ได้พระนิพพานเป็นอารมณ์ พ้นจากโลกีย์ด้วยวิโมกข์ ๓ อันใดอันเหนึ่ง โดยมี ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นกำลังสนับสนุน = ๕
๖. หมวดโพชฌงค์ ๗ คือองค์แห่งความตรัสรู้ ได้แก่ เจตสิก ๗ ดวง อันเป็นองค์อริยมรรคปัญญา รู้แจ้งแทงตลอดในโลกุตตรธรรม คือ
ก. สติสัมโพชฌงค์ ได้แก่สติเจตสิก ที่ประกอบเป็นองค์แห่งความรู้รูปธรรมนามธรรม และโลกุตตรอารมณ์ ทุกขณะของความเป็นไปแห่งกุศลจิต
ข. ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ได้แก่ปัญญาเจตสิก ที่เป็นองค์แห่งความรู้รูปธรรมนามธรรม และโลกุตตรอารมณ์ ทุกขณะของความเป็นไปแห่งกุศลจิต
ค. วิริยสัมโพชฌงค์ ได้แก่วิริยเจตสิก เป็นองค์แห่งความเพียร คือรู้ในรูปธรรมนามธรรม เกิดดับเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ผ่านญาณ จนถึงมรรคญาณผลญาณ
ง. ปีติสัมโพชฌงค์ ได้แก่ปีติเจตสิก เป็นองค์ประกอบความรู้กับรูปธรรมนามธรรม และประกอบกับมรรคจิตผลจิต มีความอิ่มใจเหมาะใจ เป็นลักษณะ ได้พระนิพพานเป็นอารมณ์
จ. ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ได้แก่ปัสสัทธิเจตสิก ความสงบเป็นองค์ประกอบกับความรู้ในวิปัสสนาและโลกุตตรปัญญา ได้พระนิพพานเป็นอารมณ์
ฉ. สมาธิสัมโพชฌงค์ ได้แก่ เอกัคคตาเจตสิก อันประกอบกับองค์ความรู้รูปนามโดยไตรลักษณ์ และประกอบกับมรรคจิต โดยพระนิพพานเป็นอารมณ์อันเดียว เป็นสมาธิ
ช. อุเปกขาสัมโพชฌงค์ ได้แก่ ตัตรมัชฌัตตตาเจตสิก ความเป็นกลาง ประกอบกับความรู้รูปนาม มีญาณความรู้รูปนามแล้ววางเฉยต่อสหชาตธรรม ที่เกิดพร้อมกับวิปัสสนามีญาณะความรู้เป็นต้น จนผ่านญาณ ๑๖ ได้พระนิพพานเป็นอารมณ์ มีโลกุตตรจิตเข้าประกอบกับองค์ธรรมนั้นๆ สามารถที่จะให้ผู้ปฏิบัติบรรลุถึงซึ่งโลกุตตระ คือมรรคผลนิพพาน = ๗
๗. หมวดมรรค ๘ คือหนทางไปสู่พระนิพพาน ได้แก่เจตสิกธรรม ๘ ดวง รวมเรียกว่า อัฏฐังคิกมรรค หรือมรรคสามัคคี ความประชุมพร้อมองค์ธรรมทั้ง ๘ ประการนี้ ย่อมมีในโลกุตตรจิต เกิดขณะได้พระนิพพานเป็นอารมณ = ๘
รวมเป็น 37 ประการพอดี แล้วความเชื่อที่ผิดๆ เช่น การคิดว่าการทำบุญกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะได้กุศลใช้ทันที
แท้ที่จริงแล้วถ้าใครได้อ่านเรื่อง กฏแห่งกรรมจะเข้าใจว่า กรรมจะแบ่งประเภทเป็น ๔ หมวด ๑๒ อย่าง
ในที่นี้จะขอกล่าวถึง กรรมที่ให้้ผลตามกาล แบ่งได้เป็น 4 อย่าง
1.ทิฏฐเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติปัจจุบัน
2.อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมที่ส่งผลในชาติหน้า
3.อปราปรเวทนียกรรม กรรมที่ส่งผลให้ในชาติต่อๆไป
4.อโหสิกรรม กรรมที่ให้ผลเสร็จแล้วหรือกรรมไม่มีผล
ซึ่งข้อ 1-3 จะเกี่ยวข้องกับ ชวนจิต คือ ถ้ากรรมตกที่
ชวนจิตที่ ๑ กรรมนั้นจะให้ผลในปัจจุบัน = ข้อ 1
ชวนจิตดวงที่ ๒-๖ ให้ผลในชาติต่อๆไป = ข้อ 3
ชวนจิตดวงที่ ๗ ก็จะให้ผลในชาติหน้า = ข้อ 2
การที่ศรัทธาไม่สมบูรณ์ ศรัทธาในทางที่ผิดก็จะเห็นว่า โพธิปักขยธรรม นี้ก็จะไม่ครบองค์ 37
ก็จะเข้าสู่กระแสนิพพานไม่ได้ ซึ่งหมายความว่า ประโยชน์ในภายหน้ามีน้อยกว่าผู้ดำศรัทธา
ในพระพุทธศาสนานั่นเอง
กระผมก็มีความรู้อยู่เพียงเท่านี้

บางสิ่งบางอย่างที่อาจจะผิดไป ขอให้ผู้อ่านทุกท่านโปรดอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้าด้วย
ขอบคุณครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 16:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนเกือบหลงทาง เขียน:
....
แท้ที่จริงแล้วถ้าใครได้อ่านเรื่อง กฏแห่งกรรมจะเข้าใจว่า กรรมจะแบ่งประเภทเป็น ๔ หมวด ๑๒ อย่าง
ในที่นี้จะขอกล่าวถึง กรรมที่ให้้ผลตามกาล แบ่งได้เป็น 4 อย่าง
1.ทิฏฐเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติปัจจุบัน
2.อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมที่ส่งผลในชาติหน้า
3.อปราปรเวทนียกรรม กรรมที่ส่งผลให้ในชาติต่อๆไป
4.อโหสิกรรม กรรมที่ให้ผลเสร็จแล้วหรือกรรมไม่มีผล
ซึ่งข้อ 1-3 จะเกี่ยวข้องกับ ชวนจิต คือ ถ้ากรรมตกที่
ชวนจิตที่ ๑ กรรมนั้นจะให้ผลในปัจจุบัน = ข้อ 1
ชวนจิตดวงที่ ๒-๖ ให้ผลในชาติต่อๆไป = ข้อ 3
ชวนจิตดวงที่ ๗ ก็จะให้ผลในชาติหน้า = ข้อ 2
การที่ศรัทธาไม่สมบูรณ์ ศรัทธาในทางที่ผิดก็จะเห็นว่า โพธิปักขยธรรม นี้ก็จะไม่ครบองค์ 37
ก็จะเข้าสู่กระแสนิพพานไม่ได้ ซึ่งหมายความว่า ประโยชน์ในภายหน้ามีน้อยกว่าผู้ดำศรัทธา
ในพระพุทธศาสนานั่นเอง
กระผมก็มีความรู้อยู่เพียงเท่านี้

บางสิ่งบางอย่างที่อาจจะผิดไป ขอให้ผู้อ่านทุกท่านโปรดอโหสิกรรมให้ข้าพเจ้าด้วย
ขอบคุณครับ


:b8: :b8: :b16: :b16:

น่าสน...น่าสน...น่าคิด...น่าคิด...

:b1: :b1: ท่าน as อยู่ไหน๋...?
คุณคนเกือบหลงทาง ...กล่าวประเด็นน่าสนใจ...
ท่าน...ช่วยมาขยายความเพิ่มเติม...ได้ป่าว... (หมายถึง...ทั้งหมดนะ...ไม่ใช่แต่เฉพาะที่เอกอนตัดตอนมานะ.....)
:b15: :b15: ขอปั้นหน้าเจี๋ยมเจี้ยมเป็นเด็กดีก่อน...เดี๋ยวพี่ชายไม่ตามใจ... :b15: :b15:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 03 มี.ค. 2010, 16:43, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 19:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 06:38
โพสต์: 59

อายุ: 21

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกเรื่องที่อยากจะพูดนะครับ แล้วแต่ความคิดนะครับ

ครั้งหนึ่งตอนนั้นยังอยู่ ม.5 (ตอนนี้ปี 4)ก็ได้ไปสอบถามเพื่อนคนหนึ่งว่า
นี่เธอ ทำไมถึงยอมเปลี่ยนศาสนาไปเป็นศาสนาคริสต์หละ

เพื่อนกระผมก็บอกว่า "มีวันหนึ่งเขาหาของที่ห้องเรียนไม่เจอ เขาก็เลยอธิษฐานว่าหากเขาเจอของที่เขากำลังหาอยู่เขาจะเปลี่ยนศาสนาไปอยู่ศาสนาคริสต์"
พอเขาอธิษฐานเสร็จ เขาก็เจอของที่เขากำลังหาอยู่เขาเลยเปลี่ยนศาสนามาเป็นศาสนาคริสต์
เมื่อผมได้ไปถามกับหลวงพ่อที่วัดเขา หลวงพ่อท่านตอบประมาณว่า ศาสนาเขาก็มีเทวดารักษาศาสนานั้นอยู่เหมือนกัน
ผู้แสวงบุญทุกท่านเข้าใจไหมความหมายไหม ครับ
เทวดาก็มีเทวฤทธิ์ใช่ไหมครับ แม้แต่ในพระสุตตันตปิฎกก็ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่ง ซึ่งถ้ากระผมจำไม่ผิด
เป็นที่มาของพระปริต กรณียเมตตสูตร
เกี่ยวกับมีกลุ่มสาวกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไปบำเพ็ญเพียรในป่า
เหล่าเทพารักษ์ในป่าเนื่องจากพระเป็นผู้ที่มีศีลสูงกว่า เลยต้องพากันออกจากต้นไม้
เมื่อผ่านไปเป็นเดือน เทวดาเหล่านั้นทนไม่ได้ เทวดาเหล่านั้นบ้างก็เนรมิตรูปศพเดินได้บ้าง
บ้างก็เนรมิตกลิ่นเน่าเหม็นบ้าง บ้างก็เนรมิตเสียงโหยหวนบ้าง พระภิกษุเหล่านั้นก็เลยพากันออกจาก
ป่าแล้วไปหาพระตถาคต พระตถาคตเลยให้ กรณียเมตตสูตร ใครอยากรู้ละเอียดจริงๆก็ขอให้ไปอ่านดูได้ครับ
ที่กระผมต้องการอธิบายก็คือ เทวดาที่อยู่ในป่า(เทวดาที่น่าจะอยู่ในพื้นโลกได้น่าจะเป็นชั้นจาตุมหาราชิกา สวรรค์ชั้นที่ ๑)
ก็มีฤทธิ์ในการเนรมิตต่างๆได้บ้างแม้แต่เทวดาสวรรค์ชั้นที่ ๑
เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึง เทวดาก็ไม่ได้มีแต่เทวดาสัมมาทิฏฐินะ บางพวกก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ
ข้อยืนยันของเรื่องนี้ก็คือ ท่านอุทกดาบส และ ท่านอาฬารดาบส ตายก่อนที่พระพุทธองค์จะได้ไป
เผยแพร่ทำ อันนั้นก็ไปเกิดอยู่อรูปพรหม หรือ แม้แต่รูปพรหมบางองค์ก็ไม่ใช่สัมมาทิฏฐฺนะ
ดูได้ในบทสวดพาหุง หรือ บทสวดชัยมงคลคาถา เรื่่องที่ 8
ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
โดยเข้าใจง่ายๆก็ คือ ท้าวผกาพรหม สำคัญตนผิดว่าเป็นผู้มีฤทธิ์และรุ่งเรืองด้วยวิสุทธิคุณ
ด้วยเทศนาญาณท้าวผกาพรหมเลยคลายมิจฉาทิฏฐิลง
อีกข้อยืนยันหนึ่งก็คือ ในชั้นสวรรค์ชั้นที่ ๖ คือ ชั้นปรนิมมิตสวัสตี แบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่
กลุ่มที่ ๑ เป็นสัมมาทิฏฐิ ผู้ปกครอง คือ พระยารามาราชาธิราช
กลุ่มที่ ๒ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นผู้ที่จะคอยขัดขวางพระพุทธศาสนา ผู้ปกครอง คือ พระยามาราราชาธิราช
ดังนั้นการที่เกิดสิ่งเหนือธรรมชาติขึ้น บางอย่างก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อนำไปสู่ทำนองคลองธรรมทีเดียวเสียทั้งหมด
มีคนเล่าว่าคนที่ไปอยู่สถานธรรม เวลาตายไปแล้วศพจะนิ่ม เพราะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มารับตัวเขาไปวิญญาณ
เลยไม่ได้รับทุกข์ทรมาน ตัวเลยนิ่ม
กระผมขอกล่าวถึง ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล ผู้ทำให้งานพยาบาลมีความสำคัญต่อชาวมนุษย์
ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล ท่านเป็นคนที่เสียสละมากๆ ท่านก็ไม่ได้นับถืออนุตรธรรม
แต่ตามประวัติกล่าวว่า ท่านจากไปเมื่ออายุ 90 ปี อาการเหมือนคนนอนหลับ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า
อาการคนตัวนิ่มมาใช้กล่าวอ้างเกี่ยวกับอนุตรธรรมไม่ได้
http://th.wikipedia.org/wiki/ฟลอเรนซ์_ไนติงเกล
ถ้าอยากอ่านเกี่ยวกับ มิสฟลอเรนซ์ ไนติงเกล จริงๆ อ่านจากหนังสือ นานมีบุคส์ก็ได้ครับ ที่เป็นฉบับการ์ตูนอะครับ ในนั้นได้กล่าวถึง อาการท่านเสียชีวิตคล้ายคนนอนหลับ

เรื่องที่กระผมต้องการจะพูดกระผมก็ขอพูดเพิ่มแค่นี้แหละครับ
ผิดถูก ประการใด กระผมก็ขออโหสิกรรมด้วยนะครับ ขอบคุณครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร