วันเวลาปัจจุบัน 03 พ.ค. 2025, 23:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 52 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 00:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ม.ค. 2010, 23:37
โพสต์: 31

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมคิดอยู่พักหนึ่งว่าจะส่งข้อความนี้ดีหรือไม่ แต่เมื่อคิดแล้วว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านมากกว่าเป็นโทษ (ถึงแม้ผมอาจจะถูกมองว่าเสียสติก็ไม่เป็นไร ผู้อ่านจะใช้วิจารณญาณและสติปัญญาของเขาเอง)

เรื่องมีอยู่ว่า ปกติผมจะสวดมนต์ก่อนนอนตอนค่ำทุกวัน วันไหนนอนดึกก็ต้องสวดมนต์ประจำเป็นความเคยชิน เมื่อคืนวันที่28 ธันวาคม 2552 เวลาประมาณ 21.10 น.ผมได้ไหว้พระสวดมนต์ตามปกติจะสวดบทคาถาเงินล้าน 9 จบเป็นบทส่งท้าย ขณะที่สวดคาถาเงินล้านอยู่ยังไม่ทันครบ9จบ รู้สึกจิตของผมพุ่งไปข้างหน้าคล้ายมีแรงดึงขึ้นไปไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีความสว่างมากคล้ายมีแสงประกายสีเงินผสมทองในสถานที่แห่งนั้น รูสึกว่าไปปรากฎอยู่เบื้องหน้าพระใหญ่องค์หนึ่ง ท่านนั่งประทับสูงห้อยพระบาททั้งสองข้างประทับบนดอกบัวแก้ว พระวรกายสูงใหญ่มากทรงเครื่องแบบพระมหาจักรพรรดิ์แต่สว่างไสวมาก (จึงรู้ว่าเราได้เข้ามโนมยิทธิแบบไม่ทันตั้งตัว) สถานที่แห่งนี้มีพระประทับอยู่หลายองค์ทั้งพระใหญ่และพระอรหันต์ และมีหลวงพ่อฤาษีฯ(วัดท่าซุง)นั่งอยู่ใกล้พระบาทด้านขวาของพระองค์ใหญ่และหลวงปู่ปาน(วัดบางนมโค)นั่งอยู่ใกล้พระบาทเบื้องซ้ายของพระองค์ใหญ่ด้วย จิตของผมสัมผัสว่าหลวงพ่อฤาษีบอกว่า องค์สมเด็จฯท่านมีธุระสำคัญ จะรับสั่งให้เราช่วยเป็นอีกแรงหนึ่งทำงานสำคัญสนองพระองค์ท่าน (ในใจก็รู้สึกว่าคงไม่ใช่เราคนเดียวแน่ที่ถูกรับสั่งเรียกใช้) ตอนนั้นผมก็กราบนมัสการพระใหญ่ทุกองค์และพระอรหันต์ทุกองค์ในสถานที่แห่งนั้น
พระองค์ใหญ่ที่สุดที่ประทับเบื้องหน้าสุดได้มีรับสั่งตรัสทำนองว่า "ขอเธอจงแนะนำเตือนหรือบอกแก่ชาวโลกอย่าได้มีความประมาท ให้ทุกคนเร่งสร้างบุญกุศลประกอบแต่ความดีโดยการบริจาคทาน รักษาศีล(มีศีล5เป็นอย่างน้อย)และเจริญภาวนาอย่างสม่ำเสมอ (ในจิตของเรารู้สึกว่าถ้าคนที่ไม่เคยปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิมาก่อน น่าจะหมายถึงการทำสมาธิอย่างง่ายๆ คือ อานาปานสติ คือการรู้ลมหายใจเข้า-ออก และถ้าจะภาวนาคำว่า "พุท-โธ" กำกับลมหายใจเข้าออกไปด้วยก็เป็นการดีเพราะเป็นพุทธานุสติ) พระองค์ใหญ่ทรงตรัสต่อว่า บุคคลใดถึงมีวัตถุมงคลบูชา ห้อยคออยู่จะเป็นรูปพระพุทธเจ้าหรือรูปพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งก็ดี แต่ถ้าบุคคลนั้นไม่ได้เคารพพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ด้วยความจริงใจแล้วก็ไม่แน่นัก ไม่รับรองว่าจะรอดพ้นอันตรายจากภัยพิบัติต่างๆที่จะเกิดขึ้นในโลกมนุษย์ ซึ่งภัยพิบัติต่างๆได้เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ทว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 เป็นต้นไป ส่วนบุคคลใดที่มีวัตถุมงคลไว้บูชาเพื่อระลึกนึกคุณของพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ด้วยความจริงใจ ก็จักอยู่รอดปลอดภัยตามปกติหรือได้รับผลกระทบน้อย ทั้งนี้เว้นแต่ที่ผู้ที่มีอกุศลกรรมหนักเข้าแทรกหรือผู้ที่ถึงกาลอายุขัย จึงขอให้เธอช่วยนำความที่ตถาคตได้แนะนำนี้ไปแจ้งแก่ชาวโลกด้วย (ในใจตอนนั้นคิดว่าเราจะทำอย่างไรถึงจะบอกให้แก่ชาวโลกทั้งหลายเข้าใจหรือเชือถือปฏิบัติตาม ในความรู้สึกก็บอกว่าให้ใช้สื่ออินเตอร์เน็ตหรืออีเมล์นั่นเอง)

หลังพระองค์ใหญ่ตรัสจบ หลวงพ่อฤาษีฯท่านได้กำชับว่า "อะไรที่องค์สมเด็จฯท่านมีพุทธฎีการับสั่ง เอ็งก็พยายามปฏิบัติตามให้ได้นะลูก" จากนั้นผมก็กราบพระทุกๆองค์แล้วถอนออกจากสมาธิ จากนั้นจึงได้บันทึกไว้ในสมุดบันทึกส่วนตัว

พี่ๆเพื่อนๆและน้องๆ ทั้งหลาย ที่ผมเขียนมาข้างต้น มิได้ต้องการให้ท่านเชื่อหรืองมงายแต่อย่างใด เพียงแต่ท่านลองใช้วิจารณญาณและสติปัญญาของท่านพิจารณาเอาเอง หากท่านเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นก็ขอให้ forward ต่อ
แต่ถ้าท่านเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ต่อท่าน ก็แล้วแต่ท่าน หากข้อความที่ผมเขียนมาสร้างความขุ่นเคืองใจท่าน ผมก็ขออภัยรับผิดชอบในข้อความนั้นแต่เพียงผู้เดียว (แต่อย่าได้ปรามาสในพระรัตนตรัยเป็นอันขาดเพราะเป็นโทษหนักมาก)

ด้วยความจริงใจ

Chatpracha
081-1700838
ป.ล. ผมมีหลักธรรมที่เห็นว่าน่าสนใจอยากให้ทุกคนได้พึงระลึกไว้คือ
สังควัตถุ๔ - 1. ทาน คือ การให้ บุคคลที่ให้ย่อมเป็นที่รักของบุคคลผู้รับ
2. ปิยวาจา คือ พูดจาดี คนฟังย่อมมีความสุข
3. ช่วยเหลือการงานซึ่งกันและกัน ทำให้คนรักกัน
4. ไม่ถือตัวถือตน ยอมสร้างความรักสมานฉันท์ให้แก่กัน
พรหมวิหาร๔ - 1. เมตตา คือ เราจะรักคนและสัตว์ เหมือนกับที่เรารักตัวเราเอง
2. กรุณา คือ เราจะช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ตามแต่โอกาสจะพึงมี
3. มุทิตา คือ เราจะยินดีเมื่อคนอื่นได้ดี ไม่อิจฉาริษยากัน คือพลอยยินดีด้วย
4. อุเบกขา คือ ใครได้รับความทุกข์เคราะห์กรรมเราจะไม่ซ้ำเติม เหตุร้ายที่เกิดขึ้นเราก็ไม่ทุกข์ร้อนถือว่าเป็นกฏของกรรมและยอมรับความจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 01:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ..ครับ :b8:

ครูบาอาจารย์ผมก็สั่งให้เร่งเหมือนกัน...

ก็กำลังเตรียมทั้งทางโลก..และทางธรรม..ไม่รู้จะทันหรือเปล่า

ทางโลก...ก็ทำให้พึ่งตัวเองให้ได้อย่างเสรี...เห็นว่า..แนวเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงเรา..คือคำตอบ

ทางธรรม...ทาน..ศีล..ปฏิจจสมุปบาท..อริยะสัจ..มรรค8..ทำให้มากที่สุดที่ตัวเองจะทำได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 02:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนา สาธุครับ :b8:
กำลังเร่งอยู่เหมือนกันครับ :b1: :b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 14:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เลอะเทอะ

ถ้าเป็นจริงดังคุณว่า ก็เท่ากับนิพพานเป็นเรื่องโกหกน่ะสิ
อะไรกัน ตายแล้วไม่สูญ ตายแล้วไปอยู่ในที่แห่งหนึ่ง แ้ล้วมาเข้าฝันคน
พระพุทธเจ้าอะไรมานั่งเข้าฝันคน

พระพุทธเจ้าของจริงไม่ได้กิ๊กก๊อกอาศัยเผยแผ่พระธรรมด้วยการเข้าฝันเข้านิมิตอย่างนี้หรอก
พระพุทธเจ้าท่านอุบัติเป็นมนุษย์ขึ้นมาสอนทั้งนั้นแหละ
ไม่มาใช้วิธีอีแอบแบบนี้หรอกนะ

แล้วที่พูดๆสอนๆมาน่ะ ไม่ต้องมีนิมิตเขาก็มีสอนๆกันอยู่
สอนกันตรงๆด้วย ไม่ต้องอาศัยดาราตัวละคอนอะไรมาสอน
การจะบอกให้คนทำความดี พูดไปตรงๆก็ได้
ไม่จำเป็นต้องใช้เรื่องปรุงแต่งเลอะเทอะอะไรมาเป็นพาหนะ

ทำอย่างนี้มันเป็นการทำลายพระพุทธศาสนานะคุณ
แค่ทุกวันนี้ก้ต้องแก้ไขกันไม่หวาดไม่ไหว
กับพวกเหลือบไรที่อาศัยพระพทุธศาสนาบังหน้าหากินหาประโยชน์
เช่นพวกพ่อมด หมอดู ทรงเจ้าเข้าผี อะไรทั้งหลายเป็นต้น
เอาเนื้อหาพระพุทธศาสนาไปเล่นแร่แปรธาตุหาประโยชน์รับประทานกันเต้มบ้านเต็มเมือง

คนทุกวันนี้ ใครๆเข้าใจว่าพวกนี้เป้นศาสนาพุทธกันหมด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 16:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะจริงเท็จจประการใดไม่ทราบ
แต่ที่ให้เร่งสร้าง ความดี กุศล หากบอกแค่นี้ มันก่อให้เกิดการ รีบรน เสาะหา ที่จะทำเอา กลัวจะไม่ได้อะไร ต้องทำให้มากๆ เอาให้มากๆ มีมากๆไว้ แล้วการส่งเสริมกิเลสตัณหาอุปทานสัตว์ที่หลงกันอยู่แล้ว ชี้นำล่อเป้า ไม่การเป็นไปเพื่อลดละตัวตน การยึดติด จะไม่ตรงเนื้อหาขององค์พุทธะ อริยะสงฆ์ องค์พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ที่ชี้ให้ไม่ให้ยึดติด ไม่ควรถือเอา สละ ปลง วาง ที่มีแต่จะลดละอัตตาตัวตน คลายเหยื่อของโลก ที่หลงสมมุติว่าเป็นของเรา ตัวเรา ที่เรียกว่า ขันธ์ 5 นี้ หรือทรัพย์สมบัติทั้งหลาย จึงไม่ใช่เนื้อหาที่จะเร่ง ที่จะเอาอะไร แค่เข้าใจ ปลงใจ วางใจ สรรพสิ่งไม่ควรยึด ถือเอา มันก็หน้าจะเหมาะสมกับทุกยุค ทุกสถานการณ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 17:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


chatpracha เขียน:
ผมคิดอยู่พักหนึ่งว่าจะส่งข้อความนี้ดีหรือไม่ แต่เมื่อคิดแล้วว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านมากกว่าเป็นโทษ (ถึงแม้ผมอาจจะถูกมองว่าเสียสติก็ไม่เป็นไร ผู้อ่านจะใช้วิจารณญาณและสติปัญญาของเขาเอง)

:b8: :b8: :b8:

Chatpracha
081-1700838
ป.ล. ผมมีหลักธรรมที่เห็นว่าน่าสนใจอยากให้ทุกคนได้พึงระลึกไว้คือ

สังควัตถุ๔ -
1. ทาน คือ การให้ บุคคลที่ให้ย่อมเป็นที่รักของบุคคลผู้รับ
2. ปิยวาจา คือ พูดจาดี คนฟังย่อมมีความสุข
3. ช่วยเหลือการงานซึ่งกันและกัน ทำให้คนรักกัน
4. ไม่ถือตัวถือตน ยอมสร้างความรักสมานฉันท์ให้แก่กัน
พรหมวิหาร๔ -1. เมตตา คือ เราจะรักคนและสัตว์ เหมือนกับที่เรารักตัวเราเอง
2. กรุณา คือ เราจะช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ตามแต่โอกาสจะพึงมี
3. มุทิตา คือ เราจะยินดีเมื่อคนอื่นได้ดี ไม่อิจฉาริษยากัน คือพลอยยินดีด้วย
4. อุเบกขา คือ ใครได้รับความทุกข์เคราะห์กรรมเราจะไม่ซ้ำเติม เหตุร้ายที่เกิดขึ้นเราก็ไม่ทุกข์ร้อนถือว่าเป็นกฏของกรรมและยอมรับความจริง


ทุกข้อ อ่านแล้ว ล้วนเป็นกุศล...

บ่อยครั้ง ที่เราต้องเผชิญหน้ากับเรื่องประมาณ แบบนี้

(ถึงแม้ผมอาจจะถูกมองว่าเสียสติก็ไม่เป็นไร ผู้อ่านจะใช้วิจารณญาณและสติปัญญาของเขาเอง)

เราไม่เคยไปหยิบสิ่งที่เห็นนะ...ว่ามันจะเป็นเช่นไร...
แต่สิ่งที่เราให้ความสำคัญก็คือ สิ่งที่เห็นนั้น ชี้ประเด็นไปที่สิ่งใด
...
ซึ่งสิ่งที่คุณเห็น...ได้ชี้ประเด็นไปในทางให้เจริญกุศลกรรม...
และ ธรรมที่คุณยกมา...ก็เป็นธรรมที่ผู้ใดน้อมนำมาปฏิบัติ ย่อมพบกับความสันติ
...
:b8: :b8: :b8: :b8:
...
เจริญในธรรม...เจ้าค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 02:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ม.ค. 2010, 23:37
โพสต์: 31

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกคนที่ตอบกระทู้ทั้งที่อนุโมทนาด้วยและท่านที่ไม่เห็นด้วย อย่างที่ผมกล่าวแล้ว ทุกคนมีวิจารณญาณของตนเอง ผมขอเล่าเพิ่มเติมว่าหลังจากผมส่งข้อความนี้ทางอิเมล์ให้หลายคนและหลายคนก็ส่งต่อ และผมได้รับโทรศัพท์ติดต่อมา เพราะผมให้เบอร์โทรที่แท้จริงไปด้วย มีน้องคนหนึ่งเป็นนักศึกษาเรียนอยู่ที่อเมริกาโทรมาสนทนาธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมเบื้องต้น มีพี่ท่านหนึ่งจากนอรเวย์ส่งข้อความมาสนทนาเรื่องการปฏิบัติธรรมแลกเปลี่ยนกันได้ความรู้ดีมาก อีกท่านหนึ่งเป็นคุณป้าจากจ.นครพนม โทรมาสนทนาเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติฯที่ท่านตามแนวของพระเดชพระคุณหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ถ้าจำไม่ผิดในมงคล38ประการกล่าวว่า "สนทนาธรรมตามกาล พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็นมงมคอย่างหนึ่ง" และเท่าที่ทราบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้วางแนวทางปฏิบัติกรรมฐานไว้2หลักใหญ่ๆคือ กรรมฐาน40กอง และ มหาสติปัฏฐาน4
ในกรรมฐาน40กองแยกประเภทการปฏิบัติได้เป็น
1.แบบสุขวิปัสโก ไม่รู้ไม่เห็น แต่บรรลุธรรมสูงสุดได้
2. เตวิชโช หรือวิชชาสาม คือใช้กำลังจิตสูงขึ้นนิดหนึ่ง เห็นสวรรค์ นรก พรหมได้ แต่ไปไม่ได้ คุยกับภูมินั้นไม่ได้
3. ฉฬภิญโญ หรือ อภิญญา มีกำลังจิตเข้ม เห็นได้ ไปได้ พูดคุยได้ แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ได้
4. อภิสัมภิทัปปัตโต คือ มีความฉลาดมากครอบคลุมทั้งหมดทั้งสามอย่างข้างต้น แต่ไม่ใช่สัพพัญญูรู้ทุกอย่างแบบพระพุทธเจ้า
..ส่วนมโนมิยิทธิ คือ กรรมฐานที่ใช้กำลังจิตควบระหว่าง เตวิชโชกับฉฬภิญโญ(ส่วนเล็กน้อย)เป็นฤทธิ์ทางใจ ซึ่งปุถุชนคนธรรมดาสามารถปฏิบัติกันได้ถ้ามีกำลังใจเต็ม(บารมี) ส่วนหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน4 จะเป็นแนวสุขวิปัสสโก แต่เป็นทางสายเอกทางหนึ่งในการบรรลุมรรคผล
..ผู้บรรลุธรรมนั้น ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นการปฏิบัติแนวเดียวกันเสมอไป อันเนื่องจากวาสนา บารมี ความดีที่สั่งสมมาในอดีตต่างๆกัน แต่เมื่อจบกิจย่อมได้รับผลเช่นเดียวกันหมด
..ผมเอง ไม่กล้าอาจเอื้อมขัดคอองค์สมเด็จพระจอมไตร มิฉะนั้นจะเลยความดีไป คือ เลยไปอเวจี เพราะว่าอะไรที่เป็นความมุ่งหมายขององค์สมเด็จพระชินสีห์ที่ประสงค์ให้พุทธบริษัททั้งหลายปฏิบัติ ผมก็จะพยายามทำตามซึ่งมากน้อยขึ้นอยู่กับกำลังใจของผมและปัญญาของผมเอง แม้จะทรงความดีเล็กๆน้อยๆกระจุ๋มกระจิ๋มไม่เท่าขี้เล็บก็ตาม...
...หากท่านที่อ่านข้อความนี้ ประสงค์จะทราบว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมุ่งเน้นสอนให้พุทธบริษัทปฏิบัติความดีเพื่อเข้าถึงแก่นแท้พระพุทธศาสนาอย่างไร ลองไปศึกษาได้ในอุทุมพริกาสูตรดู หรือไม่ก็ปฏิบัติกรรมฐานแนวใดก็ได้ที่ชอบใจ แนะนำว่าจงอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์โดยตรงก่อนเพื่อให้ท่านได้ปฏิบัติได้ถูกส่วน และอธิษฐานว่าคุณธรรมความดีใดๆที่ข้าพเจ้าเคยได้ในอดีตขอให้มารวมตัวในชาตินี้และปฏิบัติได้ผลโดยฉับพลันปัจจุบันนี้..นึกอะไรให้ขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าก่อนเสมอ ผมว่าทุกท่านก็จะมีความคล่องตัวในการปฏิบัติยิ่งขึ้นไป ทั้งนี้ส่วนที่สำคัญที่สุดคือการรักษาศีล5ต้องรักษาอย่างเคร่งครัดจริงๆ...
ขออนุโมทนากับทุกท่านด้วย...สาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 12:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มีแต่อ้างคนนั้น อ้างคนนี้ กระทั่งสิ่งที่จะสอนยังต้องอ้างนิมิตมาสอน
ทั้งชีวิตก้มัวแต่อ้างอิงอยู่อย่างนี้ นิมิตัง สรณัง คัจฉามิ
ปฏิบัติกรรมฐานประสาอะไร บัญญัติปรมัตถ์แค่นี้แยกไม่ออก

ไม่ต้องอะไรมากหรอก เอาง่ายๆเลยนะ
พระพุทธเจ้านั่นแหละ ทรงถอดชุดเจ้าชายออก ทรงละทิ้งอนาคตพระเจ้าจักรพรรดิ์
แล้วนี่อะไร ทำไปทำมาพระพุทธเจ้านิพพานแล้วไปใส่ชุดเจ้าจักรพรรดิ์นั่งเทศน์ให้คุณฟัง
วิปลาส เลอะเทอะ

แรกๆก็แสร้งสอนเบญศีลเบญจธรรมในร่องในรอยพอให้คนวางใจ
อีกหน่อยก็จะคอยอ้างว่าพระพุทธในนิมิตสอนอย่างนั้นอย่างนี้
นานเข้าก็จะสอนเรื่องประหลาดๆ ที่พระพุทธเจ้าจริงๆไม่สอน

เห็นมาเยอะแล้วนะ พวกทำกรรมฐานแล้วบ้าน่ะ
บ้าเพราะนิมิตนี่แหละ

คุณเองนั่นแหละ ระวังให้ดี นิมิตมันจะพาทำอนันตริยกรรม
ตันหาอยากชั่วมันเห็นง่าย
ตันหาอยากดีนี่สำคัญ เห็นยาก โทษมาก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 12:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จุฬาภินันท์รู้จากปัญญาว่าคุณถึงมโนมยิทธิจริงๆ และสิ่งที่คุณเอามาเผยแพร่นั้น ส่วนใหย๋ก็ถูกต้องแล้วค่ะ

ปฏิบัติต่ิอไปนะคะ แต่อย่าท่องคาถาเงินล้านเลย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านมาเตือนน่ะค่ะ ว่าคุณสวดมนต์ทำสมาธิแบบมีกิเลส ทั้งที่คุณมีบุญมากพอจะได้ปัญญาธรรม

ตัดความอยากในการเจริญภาวนานะคะ แล้วปัญญาธรรมจะมาถึงคุณในวันนึง ชาตินี้แหละค่ะ อนาคตคุณจะเป็นคนนึงที่จะยังประโยชน์ให้สังคมและศาสนาอีกมากค่ะ

อนุโมทนานะคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 14:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 13:41
โพสต์: 57

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แค่ข้อคิดเล็กๆนะครับ...การทำความดีนั้นไม่เสียหายหรอกครับ หากการทำนั้นไม่ทำให้ผู้ใดต้องเดือดร้อนเป็นทุกข์
ท่านผู้นำนิกายเซ็น(น่าจะเป็นองค์ที่ 4 นะครับถ้าจำไม่ผิด) ได้กล่าวสอนลูกศิษย์ไว้ตอนหนึ่งว่า
"ถ้าผู้ใดได้พบพระพุทธเจ้ากลางทาง ก็ให้จงฆ่าเสีย"
เป็นคำสอนที่ค่อนข้างลึกซึ้งนะครับ สามารถนำมาเทียบเคียงกับกรณีนี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย
ผมไม่มีเจตตนาที่จะลบหลู่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ผมเคารพศรัทธาแต่ประการใด หวังว่าหลายท่านจะตีความหมายนี้ได้นะครับ
ด.ช.ฉันทะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 22:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2008, 23:37
โพสต์: 449

ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ ชาติสยาม ครับ ตอบกระทู้ใช้ถ้อยคำเพราะๆ หน่อยสิครับ อ่านแล้วดูก้าวร้าวไปนิดนึง

.....................................................
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 22:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


kokorado เขียน:
คุณ ชาติสยาม ครับ ตอบกระทู้ใช้ถ้อยคำเพราะๆ หน่อยสิครับ อ่านแล้วดูก้าวร้าวไปนิดนึง


เหมาะสมกับเจ้าของกระทู้แล้วครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 22:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
เลอะเทอะ

ถ้าเป็นจริงดังคุณว่า ก็เท่ากับนิพพานเป็นเรื่องโกหกน่ะสิ
อะไรกัน ตายแล้วไม่สูญ ตายแล้วไปอยู่ในที่แห่งหนึ่ง แ้ล้วมาเข้าฝันคน
พระพุทธเจ้าอะไรมานั่งเข้าฝันคน

พระพุทธเจ้าของจริงไม่ได้กิ๊กก๊อกอาศัยเผยแผ่พระธรรมด้วยการเข้าฝันเข้านิมิตอย่างนี้หรอก
พระพุทธเจ้าท่านอุบัติเป็นมนุษย์ขึ้นมาสอนทั้งนั้นแหละ
ไม่มาใช้วิธีอีแอบแบบนี้หรอกนะ

แล้วที่พูดๆสอนๆมาน่ะ ไม่ต้องมีนิมิตเขาก็มีสอนๆกันอยู่
สอนกันตรงๆด้วย ไม่ต้องอาศัยดาราตัวละคอนอะไรมาสอน
การจะบอกให้คนทำความดี พูดไปตรงๆก็ได้
ไม่จำเป็นต้องใช้เรื่องปรุงแต่งเลอะเทอะอะไรมาเป็นพาหนะ

ทำอย่างนี้มันเป็นการทำลายพระพุทธศาสนานะคุณ
แค่ทุกวันนี้ก้ต้องแก้ไขกันไม่หวาดไม่ไหว
กับพวกเหลือบไรที่อาศัยพระพทุธศาสนาบังหน้าหากินหาประโยชน์
เช่นพวกพ่อมด หมอดู ทรงเจ้าเข้าผี อะไรทั้งหลายเป็นต้น
เอาเนื้อหาพระพุทธศาสนาไปเล่นแร่แปรธาตุหาประโยชน์รับประทานกันเต้มบ้านเต็มเมือง

คนทุกวันนี้ ใครๆเข้าใจว่าพวกนี้เป้นศาสนาพุทธกันหมด



ท่านชาติสยามงับ ตายแล้วสูญเป็นมิจฉาทิฏฐินะงับ

ทำได้นะงับ ที่พระพุทธองค์จะมา อาศัยพุทธานุภาพ ที่อาศัยธรรมธาตุได้งับ

แต่รู้สึกคำที่สอนมัน แปลกๆนะงับ

เหมือน สังขารขันธ์ปรุงแต่งขึ้นมามากกว่างับ สำหรับกรณีนี้

ผมก็ไม่สนับสนุนทรงเจ้างับ

มันหลอกลวงมาก 55

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 22:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


chulapinan เขียน:
จุฬาภินันท์รู้จากปัญญาว่าคุณถึงมโนมยิทธิจริงๆ และสิ่งที่คุณเอามาเผยแพร่นั้น ส่วนใหย๋ก็ถูกต้องแล้วค่ะ

ปฏิบัติต่ิอไปนะคะ แต่อย่าท่องคาถาเงินล้านเลย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านมาเตือนน่ะค่ะ ว่าคุณสวดมนต์ทำสมาธิแบบมีกิเลส ทั้งที่คุณมีบุญมากพอจะได้ปัญญาธรรม

ตัดความอยากในการเจริญภาวนานะคะ แล้วปัญญาธรรมจะมาถึงคุณในวันนึง ชาตินี้แหละค่ะ อนาคตคุณจะเป็นคนนึงที่จะยังประโยชน์ให้สังคมและศาสนาอีกมากค่ะ

อนุโมทนานะคะ



ถ้าแบบนี้ มโนปยิทธินะงับ

ทรงเจ้าได้กันเต็มเลยงับ

ไม่ใช่เเค่นี้หรอกงับ

มโนปยิทธิ เป็น 1 ในวิชชา 8

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 22:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
มีแต่อ้างคนนั้น อ้างคนนี้ กระทั่งสิ่งที่จะสอนยังต้องอ้างนิมิตมาสอน
ทั้งชีวิตก้มัวแต่อ้างอิงอยู่อย่างนี้ นิมิตัง สรณัง คัจฉามิ
ปฏิบัติกรรมฐานประสาอะไร บัญญัติปรมัตถ์แค่นี้แยกไม่ออก

ไม่ต้องอะไรมากหรอก เอาง่ายๆเลยนะ
พระพุทธเจ้านั่นแหละ ทรงถอดชุดเจ้าชายออก ทรงละทิ้งอนาคตพระเจ้าจักรพรรดิ์
แล้วนี่อะไร ทำไปทำมาพระพุทธเจ้านิพพานแล้วไปใส่ชุดเจ้าจักรพรรดิ์นั่งเทศน์ให้คุณฟัง
วิปลาส เลอะเทอะ

แรกๆก็แสร้งสอนเบญศีลเบญจธรรมในร่องในรอยพอให้คนวางใจ
อีกหน่อยก็จะคอยอ้างว่าพระพุทธในนิมิตสอนอย่างนั้นอย่างนี้
นานเข้าก็จะสอนเรื่องประหลาดๆ ที่พระพุทธเจ้าจริงๆไม่สอน

เห็นมาเยอะแล้วนะ พวกทำกรรมฐานแล้วบ้าน่ะ
บ้าเพราะนิมิตนี่แหละ

คุณเองนั่นแหละ ระวังให้ดี นิมิตมันจะพาทำอนันตริยกรรม
ตันหาอยากชั่วมันเห็นง่าย
ตันหาอยากดีนี่สำคัญ เห็นยาก โทษมาก


อ้างคำพูด:
ไม่ต้องอะไรมากหรอก เอาง่ายๆเลยนะ
พระพุทธเจ้านั่นแหละ ทรงถอดชุดเจ้าชายออก ทรงละทิ้งอนาคตพระเจ้าจักรพรรดิ์
แล้วนี่อะไร ทำไปทำมาพระพุทธเจ้านิพพานแล้วไปใส่ชุดเจ้าจักรพรรดิ์นั่งเทศน์ให้คุณฟัง
วิปลาส เลอะเทอะ


อันนี้ช่วยแก้นะงับ

เคยได้ยินว่ามีพระพุทธรูปปางนี้นิงับ

ตอนพระพุทธเจ้าทรงโปรดท้าว อะไรไม่รุงิ จำไม่ได้แล้ว

55+

นอกนั้นถูกต้องแล้วงับ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 52 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร