วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 00:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2009, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูผู้ปฏิปทาถึงที่สุดแล้ว ว่ามีจริยาวัตรอย่างไร ต่อชีวิตและสภาพแวดล้อม

“ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมไม่กล่าวเข้าข้างกับใคร ไม่กล่าวทุ่มเถียงกับใคร อันใดเขาพูดกันอยู่ในโลก

ก็กล่าวไปตามนั้น ไม่ยึดติด”

(ม.ม.13/273/268)

“ภิกษุผู้เป็นอรหันตขีณาสพ...จะพึงกล่าวว่า ฉันพูดดังนี้ก็ดี เขาพูดกับฉันดังนี้ก็ดี เธอเป็นผู้ฉลาด

รู้ถ้อยคำที่เขาพูดกันในโลก ก็พึงกล่าวไปตามโวหารเท่านั้น”

(สํ.ส.15/65/21)

“ภิกษุทั้งหลาย เราไม่ขัดแย้งกับโลกดอก โลกต่างหากย่อมขัดแย้งกับเรา

ธรรมวาที (ผู้พูดตามธรรม) ย่อมไม่ขัดแย้งกับใครในโลก

สิ่งใดบัณฑิตในโลกสมมุติกันว่าไม่มี เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่าไม่มี

สิ่งใดบัณฑิตในโลกสมมุติกันว่ามี เราก็กล่าวสิ่งนั้นว่ามี “

(สํ.ข.17/239/169)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 31 ธ.ค. 2009, 19:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2009, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูพุทธจริยาว่า เดิมพระองค์เคารพใคร สุดท้ายทรงเคารพอะไร ใคร

“ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ทรงธรรม เป็นธรรมราชา ทรงอาศัยธรรมนั่นเอง สักการะ

เคารพ นอบน้อมธรรม มีธรรมเป็นธงชัย มีธรรมเป็นตราชู เป็นธรรมาธิปไตย จัดการรักษา คุ้มครอง

ป้องกันอันชอบธรรม แก่ภิกษุ...ภิกษุณี...อุบาสก...อุบาสิกาทั้งหลาย โดยนัยว่า กายกรรม...

วจีกรรม...มโนกรรม...อาชีวะ..คามนิคม อย่างนี้ควรเสพ อย่างนี้ไม่ควรเสพ”

(องฺ.ปญฺจก.22/133/168 ฯลฯ)

“เราสักการะ เคารพ อาศัยธรรมที่เราได้ตรัสรู้นั่นเองเป็นอยู่ และเมื่อใดสงฆ์

ประกอบด้วยความเติบใหญ่ เมื่อนั้นเราย่อมมีความเคารพแม้ในสงฆ์”



(องฺ.จตุกฺก.21/21/27)


เมื่อมีภิกษุจำนวนมากขึ้น เจริญด้วยความรู้และประสบการณ์ คณะสงฆ์แพร่หลายขยายกว้างออกไป

พระพุทธเจ้า จึงได้ทรงบัญญัติสังฆกรรมประเภทต่างๆขึ้น และทรงมอบอำนาจให้ที่ประชุมสงฆ์เป็นใหญ่

ในสังฆกรรมเหล่านั้น เริ่มแต่ทรงหยุดการให้อุปสมบทโดยพระองค์เองและโดยพระสาวกรายบุคคล

เปลี่ยนเป็นการให้อุปสมบทโดยสงฆ์ เป็นต้น

(ดู วินย.4/85/103)


ความเคารพในสงฆ์ มีความหมายเนื่องอยู่ด้วยกันกับความเคารพในธรรมและความเคารพในวินัย

หรือ ความเคารพธรรมวินัย เพราะการรับผิดชอบต่อสงฆ์และปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขแห่งสงฆ์

ก็คือการปฏิบัติที่ชอบด้วยธรรม และเป็นไปตามวินัย

การมีความรับผิดชอบต่อสงฆ์และประโยชน์สุขของสงฆ์ มีความหมายเนื่องอยู่ด้วยกันกับ

การปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขของพหูชน เพราะสงฆ์หมายถึงส่วนรวมและสงฆ์ได้มีขึ้นก็เพื่อประโยชน์สุข

ของพหูชน


ดังนั้น เมื่อพระนางมหาปชาบดีโคตรมี นำคู่ผ้าชุดใหม่ที่ทรงตัดเย็บเอง เข้ามาถวายแด่พระพุทธเจ้า

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “ดูกรพระนางโคตรมี โปรดทรงถวายแก่สงฆ์เถิด เมื่อท่านถวายแก่สงฆ์

ทั้งเราทั้งสงฆ์จักเป็นอันได้รับการบูชา”

(ม.อุ.14/707/457)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 31 ธ.ค. 2009, 19:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2009, 19:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




DSC01694.jpg
DSC01694.jpg [ 44.92 KiB | เปิดดู 3538 ครั้ง ]
อ้างคำพูด:
เทคนิคการสอนแบบกระชากใจ คนชาวพุทธ มันจะตื่นและหาเรียนรู้ ศึกษาคำสอนว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรกันแน่ไงหละ ไม่น่า โซ่ ..เลย ท่านอาจารย์กรัชกาย


สำหรับกรัชกายมองในมุมกลับน่ะขอรับ ว่าเป็นพฤติกรรมยึดมั่นเห็นว่าวัตถุนั้นเป็นตัวตน เป็นบุคคล

เป็นความเบาปัญญารูปแบบใหม่ :b1: :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 31 ธ.ค. 2009, 19:49, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ธ.ค. 2009, 23:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ธ.ค. 2009, 15:33
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเชิญชาวพุทธ ศึกษาพระพุทธศาสนา ตามศาสนบัญญัติ ในหนังสือพระไตรปิฎก ได้ที่ลิงค์นี้เพื่อการนับถือพระศาสนาตามความเป็นจริง และตามหลักพระธรรมวินัย อย่างถูกต้อง

http://www.samyaek.com/board2/index.php?topic=1326.0

ข้อมูลนี้นำมาให้อ่านเพื่อการพิจารณาอย่างมีหลักฐาน หลักการ และมีเหตุผล ไม่ได้คิดคำนวณคาดคะเนด้วยความรู้สึกของจิตใจตัวเองเป็นใหญ่ เป็นที่ตั้ง เพราะในคำพูดมันขัดกันอยู่ในตัวอยู่แล้วว่า
ยึดติดคืออะไร
ไม่ยึดติดคืออะไร แต่ผลประโยชน์อันมหาศาลต่างหาก ที่มันปิดปากกันอยู่
เมื่อผู้คนชาวพุทธได้เรียนรู้ ปัญญาของเขาจะคิดได้เองว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร บ้าง

อ้างคำพูด:
สำหรับกรัชกายมองในมุมกลับน่ะขอรับ ว่าเป็นพฤติกรรมยึดมั่นเห็นว่าวัตถุนั้นเป็นตัวตน เป็นบุคคล เป็นความเบาปัญญารูปแบบใหม่



เมื่อได้ศึกษาและพิจารณาด้วยสติปัญญาแห่งเหตุผล (โดยไม่เอนเข้าหาความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบส่วนตัว)
ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้นำมาไว้ให้พุทธศาสนิกชนศึกษาและพิจารณาตามกระทู้ต่างๆในเว็บนี้
ก็จะได้คำตอบที่แน่ชัดให้ตัวเองว่า

- พระพุทธรูปไม่ใช่ตัวแทนพระพุทธเจ้า
- พระพุทธรูปไม่ใช่สัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา
- พระพุทธรูปไม่ใช่สิ่งที่เกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธเจ้า
- พระพุทธรูปไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนให้สักการะ - เคารพเมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว

แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าประกาศไว้ให้พุทธศาสนิกชนสักการะ เคารพ และใช้ระลึกถึงพระองค์คือ

- ธาตเจดีย์ (คือ พระธาตุของพระองค์)
- บริโภคเจดีย์ (คือ สิ่งที่พระองค์เคยใช้สอยเมื่อคราวที่ยังทรงพระชนม์อยู่)
- อุทเทสิกเจดีย์ (คือ พระธรรมวินัยทั้งหมดที่พระองค์ประกาศไว้)


แต่ก็มีผู้คัดค้านว่า พระพุทธรูปทองเหลือง ทองแดง ฯลฯ ที่สร้างกันขึ้นมาภายหลังนั้น
ก็อยู่คู่กับพระพุทธศาสนามานานนับพันปีแล้ว และพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ก็ให้การยอมรับนับถือและมีมติว่า
นี้เป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าในพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง (แม้จะขัดแย้งกับคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ตาม)

สำหรับพระพุทธรูปที่พุทธศาสนิกชนจะกราบไหว้และยอมรับนับถือกันมากมายเท่าไหร่ก็ตาม
แต่เมื่อการสร้างพระพุทธรูปนั้นขัดกับคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเสียแล้ว
พระพุทธรูปก็คือสิ่งปนเปื้อนและแปลกปลอมในพระพุทธศาสนาเท่านั้นเอง
แม้จะมีมานมนานเท่าไหร่ก็ตาม นี่ก็คือสิ่งแปลกปลอมในคำสอนของพระพุทธเจ้าตลอดอนันตกาล

เพราะพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ท่านผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน สั่งสอนไว้
และพระพุทธศาสนาก็ไม่ใช่ศาสนาที่มีลักษณะแบบอัตตาธิปไตย (ถือความเห็นตนเป็นใหญ่)
ไม่ใช่ศาสนาที่มีลักษณะแบบประชาธิปไตย (ถือความเห็นของคนส่วนใหญ่เป็นใหญ่)
ไม่ใช่ศาสนาที่มีลักษณะแบบเอกาธิปไตย (ถือความเห็นของผู้ใดผู้หนึ่งเป็นใหญ่)

แต่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีลักษณะแบบธัมมาธิปไตย (ถือธรรมที่ถูกต้องเป็นใหญ่)
ซึ่งศาสนาที่มีลักษณะเช่นนี้จะมีเพียงศาสนาเดียวเท่านั้นในโลกธาตุดินแดนทั้งหลาย
ผู้ใดปฏิบัติได้ถูกต้องตามธรรมที่พระพุทธเจ้าได้สั่งสอนไว้ ผู้นั้นก็ชื่อว่าผู้ถูกต้องในพุทธศาสนา
แม้จะมีเพียงหนึ่งคนก็ตาม หนึ่งคนนั้นก็คือผู้ที่ถูกต้อง

เมื่อพระพุทธรูปเป็นสิ่งแปลกปลอมและปนเปื้อน ก็ต้องเป็นสิ่งที่มีโทษตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
เรื่องนี้ที่เห็นได้ชัดคือความรู้สึกที่เจ็บปวดและทุรนทุรายของผู้ที่เสพติดในสิ่งแปลกปลอมและปนเปื้อนนี้
ทั้งผู้ที่ติดเพราะไม่ได้ศึกษาในคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ทั่วถึงก็เลยทำให้เข้าใจผิดคิดว่าพระพุทธรูปนี้
เป็นตัวแทน เป็นสิ่งที่เนื่องด้วยพระพุทธเจ้า หรือติดเพราะมีผลประโยชน์เชิงพาณิชย์แอบแฝง
อันจะนำมาซึ่งความสุขสบายที่ตั้งอยู่บนความงมงายของผู้อื่นและนำมาซึ่งศาลาหลังใหญ่ๆก็ตาม

ความเจ็บปวดได้เกิดขึ้นเมื่อมีผู้ต้องการจะชี้นำให้เห็นกันชัดๆว่า
พระพุทธรูปนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกี่ยวเนื่องในพระพุทธศาสนาเลย
ซึ่งก็ต้องการจะชี้นำด้วยความปรารถนาดีอย่างที่สุด ต่อจิตใจของบรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
ที่ควรจะลด ละ เลิก ความงมงายและลุ่มหลงกับพระพุทธรูปที่มีอยู่เยอะแยะและนับวันก็จะยิ่ง
เยอะแยะมากขึ้น แล้วหันมาใส่ใจกับพุทธธรรมอันทรงคุณค่าหาประมาณมิได้
ที่นับวันจะจางหายไปจากจิตใจของชาวพุทธ

เพราะพุทธศาสนานี้เป็นศาสนาแห่งเหตุผล
คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดเต็มไปด้วยเหตุผลที่ควรนำมาครุ่นคิดพิจารณา
และประพฤติปฏิบัติไปตามกำลังสติปัญญาของแต่ละคน
นี้จึงเป็นสิ่งที่ควรจะกระทำของผู้ที่ประกาศตนว่า "นับถือพระพุทธเจ้า"

เมื่อมีผู้ไม่ต้องการเหตุผลที่ถูกต้องตามความเป็นจริงที่ยังมีอยู่ ที่ยังค้นคว้าได้อยู่
แต่กลับถือเอาความชอบใจของตัวเองในธรรมเนียมประเพณีที่ผิดๆเป็นใหญ่
บุคคลเช่นนี้ไม่ใช่ศาสนิกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรอก

เรื่องตัวอย่างของผู้ที่ไม่ต้องการเหตุผล เล่มที่ 59 หน้า 599 ความว่า
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ได้เกิดในตระกูลมีโภคะมาก ในบ้านตำบลหนึ่งในมคธรัฐ ครั้นเจริญวัยแล้ว
ได้ละกามออกบวชเป็นฤาษี ทำฌานและอภิญญาให้เกิดแล้ว อยู่ในหิมวันตประเทศเป็นเวลานาน
เมื่อต้องการจะเสพรสเค็ม รสเปรี้ยว จึงได้ไปพระนครราชคฤห์ สร้างบรรณศาลาอยู่ที่ซอกเขาแห่งหนึ่ง.

ครั้งนั้น พวกคนเลี้ยงแพะ ปล่อยฝูงแพะเที่ยวอยู่โดยทำนองที่กล่าวแล้ว
วันหนึ่งเสือเหลืองได้เห็นแม่แพะตัวหนึ่งออกทีหลัง จึงคิดว่า เราจักกินแม่แพะนั้น จึงยืนขวางประตูอยู่.
แม่แพะเห็นดังนั้น คิดว่า วันนี้เราจักไม่รอดชีวิต เราจักปราศรัยด้วยวาจาอ่อนหวานกับเสือเหลืองนี้
ด้วยอุบายอย่างหนึ่ง ทำหัวใจเสือเหลืองให้อ่อนโยน (แล้ว) รักษาชีวิตไว้ คิดดังนี้แล้ว
จึงกระทำปฏิสันถาร (การต้อนรับ) กับเสือเหลืองนั้นมาแต่ไกล เมื่อมาถึง
จึงกล่าวคาถา (คำพูด) ที่ ๑ ความว่า :-

คุณลุงครับ ท่านพออดทนได้หรือ พอจะเยียวยาอัตภาพให้เป็นไปได้อยู่หรือ
ท่านมีความสุขดีหรือ มารดาของฉันได้ถามความสุขของท่าน
เราทั้งหลายปรารถนาความสุขแก่ท่านเหมือนกัน.

เสือเหลืองได้ฟังดังนั้น คิดว่า แม่แพะฉ้อโกงตัวนี้ ประสงค์จะล่อลวงเรา ด้วยคิดว่า ลุง
ไม่รู้ว่าเราเป็นผู้ร้ายกาจ ดังนี้ แล้วกล่าวคาถาที่ ๒ ความว่า :-

แน่ะแม่แพะ เจ้ามารังแกเหยียบหางของเราได้ วันนี้เจ้าสำคัญว่า
จะพึงพ้นความตาย ด้วยวาทะว่า ลุง หรือ ?

คาถา (คำพูด) นั้น มีความหมายว่า แน่ะแม่แพะ. เจ้ามาแกล้งรังแกเหยียบหางเรา
วันนี้ เจ้าคงจะเข้าใจว่า จะพ้นจากความตาย ด้วยเสแสร้งแกล้งกล่าวคำว่า ลุง
เจ้าอย่าได้มั่นหมายอย่างนี้เลย.

แม่แพะได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านลุง ขอท่านอย่าได้ทำอย่างนี้เลย
แล้วกล่าวคาถาที่ ๓ ความว่า :-

ท่านนั่งผินหน้าตรงทิศบูรพา ฉันก็ได้มานั่งอยู่ตรงหน้าท่าน
ไฉนฉันจะเข้าไปเหยียบหางของท่าน ซึ่งอยู่เบื้องหลังได้เล่า.

ลำดับนั้น เสือเหลืองกล่าวกะแม่แพะว่า แน่ะแม่แพะ เจ้าพูดอะไร
ที่ที่จะพ้นจากหางของเราไปไม่มี. ดังนี้แล้ว กล่าวคาถาที่ ๔ ความว่า :-

ทวีปทั้ง ๔ ทั้งมหาสมุทรและภูเขามีประมาณเท่าใด
เราเอาหางของเราวงที่มีประมาณเท่านั้นไว้หมด เจ้าจะงดเว้นที่ที่เราเอาหางวงไว้นั้นได้อย่างไร ?

แม่แพะได้ฟังดังนั้น คิดว่า เสือเหลืองนี้ลามก หาติดอยู่ในถ้อยคำที่ไพเราะไม่
กลับเป็นศัตรูกล่าวเสียดแทงเรา ดังนี้แล้ว กล่าวคาถาที่ ๕ ความว่า :-

ในกาลก่อน มารดาบิดาก็ดี พี่น้องทั้งหลายก็ดี
ได้บอกความเรื่องนี้แก่ฉันแล้วว่าหางของท่านผู้ประทุษร้ายยาว ฉันจึงมาทางอากาศ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อกฺขึสุ ความว่า เมื่อก่อนมารดาบิดาก็ดี
ญาติพี่น้องทั้งหลายก็ดี ได้บอกความเรื่องนี้ไว้แก่เราแล้ว
บทว่า สมฺหิ ความว่า เรานั้นทราบความจากสำนักมารดาบิดา ญาติพี่น้องว่า
หางของท่านผู้ประทุษร้ายยาว เพื่อรักษาหางของท่าน (ฉัน) จึงมาทางอากาศ.

ลำดับนั้น. เสือเหลืองกล่าวว่า เรารู้ว่าเจ้ามาทางอากาศ
แต่เมื่อมา เจ้าได้มาทำภักษาหารของเราให้พินาศ ดังนี้แล้ว กล่าวคาถาที่ ๖ ความว่า :-

แน่ะแม่แพะ ก็เพราะว่า ฝูงเนื้อเห็นเจ้ามาในอากาศ
จึงพากันหนีไปเสีย ภักษาหารของเรา เจ้าทำให้พินาศหมดแล้ว.

แม่แพะได้ฟังดังนั้น ก็กลัวมรณภัย เมื่อไม่อาจหาอุบายอย่างอื่นมาแก้ไขได้ จึงร้องวิงวอนว่า

ข้าแต่ลุง ท่านอย่าได้ทำกรรมหยาบช้าอย่างนั้นเลย จงให้ชีวิตแก่ข้าพเจ้าเถิด.
เสือเหลืองได้ตะครุบแม่แพะซึ่งกำลังร้องวิงวอนอยู่ ฆ่ากินแล้ว.

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสอภิสัมพุทธคาถา ๒ คาถาความว่า :-

เมื่อแม่แพะวิงวอนอยู่อย่างนี้ เสือเหลืองผู้มีเลือดเป็นภักษาหารก็ขม้ำคอ
วาจาสุภาษิต (ถ้อยคำที่กล่าวไว้ดีแล้ว) มิได้มีในหมู่บุคคลผู้ประทุษร้าย.

เหตุผล สภาพธรรม วาจาสุภาษิตมิได้มีในบุคคลผู้ประทุษร้ายเลย
บุคคลพึงพยายามหลีกไปให้พ้นบุคคลผู้ประทุษร้าย
ก็บุคคลผู้ประทุษร้ายนั้น ย่อมไม่ยินดีคำสุภาษิตของสัตบุรุษทั้งหลาย.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รุหํฆโส ได้แก่ เสือเหลืองผู้มีโลหิตเป็นภิกษา คือผู้ดื่มกินซึ่งโลหิต.

บทว่า คลกํ อนฺธาวมทฺที ความว่า เสือเหลืองขม้ำคอ ฉีกเนื้อ ดื่มเลือดกิน.

บทว่า สุภาสิตํ ได้แก่ ถ้อยคำที่กล่าวดีแล้ว.
อธิบายว่า คำอันเป็นสุภาษิตทั้งหมดนั้นย่อมไม่มีในบุคคลผู้ประทุษร้าย.

บทว่า นิกฺกมฺเม ทุฏฺเฐ ยุญฺเชถ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
บุคคลพึงทำความเพียรก้าวให้พ้นคนใจร้าย.

บทว่า โส จ สพฺภิ น รชฺชติ ความว่า ก็เพราะบุคคลใจร้ายนั้น
ย่อมไม่ยินดี คือไม่สนใจคำสุภาษิตอันสุนทรของสัตบุรุษทั้งหลาย....

ขออภัยไม่ได้เข้ามาเพื่อจะโต้วาทะกับใคร แต่ถ้าสิ่งใดไม่ถูกต้องตามหลักพระธรรมวินัย ก็ย่อมจะต้องมาบอกกล่าวกันบ้าง เพื่อความถูกต้องแต่ไม่ถูกใจ ผู้คนเท่านั้นเอง อย่าขัดใจกัน เมื่อได้รับรู้อย่างนี้ควรเร่งรีบเรียนพุทธพจน์ให้ได้มากที่สุดเพื่อความปลอดภัย ของชีวิตตัวเอง เพราะเวลาไม่คอยใครนะท่านชาวพุทธ เพราะการนับถือพระศาสนาด้วยความเชื่ออย่างไร้เหตุผล ไร้หลักฐานอ้างอิง เดินตามพระพุทธเจ้าดีกว่า เพราะแผนที่มีอยู่แล้วคือ "หนังสือพระไตรปิฎก" ให้เปรียบเทียบเอาว่าการนำเงินไปสร้าง รูปต่าง ๆ กับเอาเงินไปซื้อพระไตรปิฎกมาไว้อ่าน ประโยชน์อันไหน จะได้มหาศาลต่อกัน ขอรับท่านชาวพุทธ "ปัญญานั้น จะแหลมกว่าปลายหอกที่คมกริบ" ....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2010, 09:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ยึดติดคืออะไร
ไม่ยึดติดคืออะไร แต่ผลประโยชน์อันมหาศาลต่างหาก ที่มันปิดปากกันอยู่
เมื่อผู้คนชาวพุทธได้เรียนรู้ ปัญญาของเขาจะคิดได้เองว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร บ้าง


อาการที่แสดงออกหรือพฤติกรรมดังกล่าวข้างต้น เช่น ขึ้นเหยียบพุทธปฏิมา ตบหัว ฯลฯ แสดงวาจาดูหมิ่นดู

แคลนอย่างนั้น คือ คนที่ยึดมั่นถือมั่นอย่างรุนแรง กล่าวคือตนคิดนึกเห็นสิ่งนั้นเป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา

เป็นนั่นเป็นนี่

ก็ในเมื่อตนเองยังยึดติดถือมั่นอย่างนั้น แล้วจะไปสอนให้ชาวบ้านญาติโยมไม่ยึดมั่น :b32: ดูๆมันพิกล

พิการอยู่หนาท่าน :b1: :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ม.ค. 2010, 09:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิธีอื่นมีมากกมายมีถมเถไป โดยไม่ต้องแสดงอหังการมมังการอย่างนั้น

เมื่อจะบอกให้เขาวางสิ่งหนึ่งไปจับอีกสิ่งหนึ่ง ตนเองหรือผู้สอนเอง ต้องมั่นใจว่าเมื่อให้เขา

ปล่อยไปจับสิ่งที่ตนบอกว่าปลอดภัยจริง :b1:

แต่พฤติกรรมแบบนั้น ไม่ใช่ผู้หลุดพ้นจากอุปาทาน หรือ ความยึดมั่นแต่อย่างใด :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 01 ม.ค. 2010, 09:27, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2010, 22:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ธ.ค. 2009, 15:33
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 313
๒. ปุปผสูตร
ว่าด้วยพระพุทธองค์ไม่ขัดแย้งกับโลก

[๒๓๙] กรุงสาวัตถี.ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า

ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคต

ไม่กล่าวขัดแย้งกับโลก แต่ชาวโลกกล่าวขัดแย้งกับเราตถาคต.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้กล่าวเป็นธรรม จะไม่กล่าวขัดแย้งกับใคร ๆ

ในโลก. สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกสมมติว่าไม่มี แม้เราตถาคตก็กล่าวสิ่งนั้น

ว่าไม่มี. สิ่งใดที่บัณฑิตในโลกสมมติว่ามี แม้เราตถาคตก็กล่าวว่ามี.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่บัณฑิตในโลกสมมติว่าไม่มี ซึ่งเราก็กล่าวว่า

ไม่มี นั้นคืออะไร ? คือรูปที่เที่ยงยั่งยืน สืบต่อกันไป มีความไม่

แปรปรวนเป็นธรรมดา บัณฑิตในโลกสมมติว่าไม่มี แม้เราตถาคตก็

กล่าวรูปนั้นว่าไม่มี เวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณ เที่ยง ยั่งยืน

สืบต่อกันไป มีความไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา ที่บัณฑิตทั้งหลายใน

โลกสมมติว่าไม่มี แม้เราตถาคตก็กล่าววิญญาณนั้นว่า ไม่มี. ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือสิ่งที่บัณฑิตในโลกสมมติว่าไม่มี ซึ่งเราตถาคต

ก็กล่าวว่า ไม่มี. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่บัณฑิตในโลกสมมติว่า มี

ซึ่งเราตถาคตกล่าวว่ามี คืออะไร ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คือ รูปไม่เที่ยง

เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ที่บัณฑิตทั้งหลายใน

โลกสมมติว่ามี แม้เราตถาคตก็กล่าวรูปนั้นว่ามี เวทนา... สัญญา...

สังขาร... วิญญาณไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา

ที่บัณฑิตทั้งหลายในโลกสมมติว่ามี แม้เราตถาคตก็กล่าววิญญาณนั้นว่า

มี. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือสิ่งที่บัณฑิตทั้งหลายในโลกสมมติว่ามี

ซึ่งเราตถาคตกล่าวว่ามี.

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 314

[๒๔๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในโลก มีโลกธรรม พระตถาคต

ย่อมตรัสรู้ ย่อมบรรลุ ครั้นแล้วก็บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย

กระทำให้ตื้น. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โลกธรรมในโลกคืออะไร ?

พระตถาคตเจ้า ตรัสรู้ บรรลุธรรมนั้น ครั้นแล้ว ก็บอก แสดง บัญญัติ

แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โลกธรรมใน

โลกคือรูป พระตถาคตเจ้า ตรัสรู้ ทรงบรรลุ รูปนั้น ครั้นแล้วก็ทรงบอก

แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

เมื่อพระตถาคตเจ้าบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำ

ให้ตื้นอยู่อย่างนี้ ผู้ใดไม่รู้ ไม่เห็น เราตถาคตจะทำอะไรเขา ผู้ซึ่งเป็น

คนพาล เป็นปุถุชน เป็นคนบอด ไม่มีจักษุ ไม่รู้ไม่เห็นอยู่. ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลาย โลกธรรมในโลก คือ เวทนา... สัญญา... สังขาร...

วิญญาณ พระตถาคตเจ้า ตรัสรู้ ทรงบรรลุวิญญาณนั้น ครั้นแล้ว

ก็ทรงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อตถาคต บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย

กระทำให้ตื้นอยู่อย่างนี้ ผู้ใดไม่รู้ไม่เห็น เราจะไปว่าอะไรเขา ผู้เป็น

คนโง่ เป็นปุถุชน เป็นคนบอด ไม่มีจักษุ ไม่รู้ไม่เห็นอยู่.

[๒๔๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ดอกอุบลก็ดี ดอกปทุมก็ดี

ดอกบุณฑริกก็ดี เกิดขึ้นแล้วในน้ำ ขึ้นพ้นน้ำ ตั้งอยู่ แต่ไม่แปดเปื้อน

ด้วยน้ำ แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคต ก็เช่นนั้นเหมือนกันแล

เกิดแล้วในโลก เจริญแล้วในโลก ครอบงำโลกอยู่ แต่โลกไม่แปดเปื้อน

เราได้.

จบ ปุปผสูตรที่ ๒

พระธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้า เปิดเผยจึงรุ่งเรือง นะท่านกรัชกาย กรุณายกมาให้เต็มพระสูตร และก็อ่านให้เข้าใจด้วย ...เพื่อพระศาสนาจะมีความรุ่งเรืองอย่างถูกต้องตามธรรม ไม่งั้นพระศาสนาจะไม่มีคนรู้จักเร็วเกินไป เพราะจะเปลี่ยนพระศาสนา เป็นศาสนาพระพุทธรูป ท่านกรัชกายเป็นผู้นำธรรมของพระพุทธเจ้าสมณโคดมมาสอน ก็อย่าพยายามให้เพี้ยนไปตามความคิดเห็นของตนเองเป็นใหญ่ กรุณาอ้างอิง เปรียบเทียบ ตรวจสอบได้ด้วยพุทธพจน์ที่ถูกต้อง ตามพระธรรมวินัย จึงถูกต้อง และอย่าใช้ อาจาริยวาท หรืออัตโนมติให้มาก พุทธพจน์จะเสียใจความ และพระธรรมวินัย จะร่วงโรยเร็วนัก

และขอให้ท่านผู้เข้ามาอ่าน ได้อ่านทุกคำตอบของทุกคน รวมทั้งเวปลิงค์ http://www.samyaek.com/board2/index.php ... 5#msg10565
ด้วยนะ ศึกษาให้เข้าใจว่า สิ่งที่พวกเราชาวพุทธได้นับถือพระศาสนามาเกือบตลอดชีวิตนั้น ถูกหรือผิด จากคำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้รับสิ่งที่ปิดบัง หรือสิ่งที่เปิดเผย รูป...มันปิดบังตาพวกเราชาวพุทธมาตลอดเวลา แต่หนังสือพระไตรปิฎก ถูกปิด ไม่ให้นำมาอ่าน จนชาวพุทธทั้งหลาย เป็นผู้ที่ขี้เกียจอ่าน ศึกษาเรื่องศาสนาที่ตัวเองนับถือ ถูกความทุกข์บีบคั้นมากมาย ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้มีใจบุญ ชอบทำบุญ แต่ชีวิตไม่เคยดีขึ้นเลยจนต้องหาที่พึ่ง แต่ก็ไม่เคยรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองนับถือศาสนาอยู่นั้นพึ่งได้อย่างไร ก็เพียงแต่ไปอ้อนวอนต่อ สิ่งที่คนฉลาดเขานำมาหลอกขายว่าเป็นที่พึ่ง ซื้อมาพึ่งจนเต็มบ้านเต็มห้อง ก็พึ่งไม่ได้ ไม่บังเกิดผลอะไรมีแต่แย่ลง ๆ จริงหรือเปล่าท่านทั้งหลาย ถ้าอยากสร้างเอาไว้พึ่ง ก็สร้างกันเสียเถิด และก็อ่านตัวแดงในพระสูตรข้างบนก็แล้วกัน ..พิจารณากันเอาเองนะชาวพุทธ


แก้ไขล่าสุดโดย keaksim เมื่อ 02 ม.ค. 2010, 22:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ม.ค. 2010, 22:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



จะมากี่ชื่อๆ ก็สำนวนซ้ำๆ เป๊ะๆเลย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 09:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ธ.ค. 2009, 15:33
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
จะมากี่ชื่อๆ ก็สำนวนซ้ำๆ เป๊ะๆเลย


คุณwalaiporn กลับไปเครียร์กับท่านกรัชกายก่อนเถอะ

viewtopic.php?f=1&t=27846&start=30

และก็นั่งดูตัวเองจิตตัวเองให้ดี ๆ อย่าแส่ส่ายออกมาโต้ตอบกับคนอื่นเขาซิ

อ้างคำพูด:
วันนี้คุณเจริญสติแล้วหรือยัง
เอาคำนี้มาใช้ทำไม ?

รับรองว่า ไม่ได้ละเมิด "พระธรรมวินัย" แต่ต้องการเปิดเผยพระธรรมวินัยให้รุ่งเรืองต่างหาก
คำว่า"พระ" ของคุณ walaiporn เราไม่ได้ละเมิดของคุณ แต่เราประนาม พวกพระทุศีล ที่มีเต็มไปหมดต่างหากให้เขาเหล่านั้นเกรงใจพระพุทธเจ้าบ้างเท่านั้นเอง เพราะผู้ที่ทำลายศาสนา พระพุทธเจ้าบอกไว้เลยว่า
"ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา" เห็นหรือเปล่าว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้สมจริงในเรื่องปัจจุบัน หรือมัวแต่นั่งเทียนเดาอะไรอยู่ จึงไม่รู้บ้างพระศาสนากำลังเสื่อมโทรมเพราะการกระทำของพวก พระทุศีล โกหกแหกตา ปิดบังพระธรรมวินัยอยู่ ไม่นำพระธรรมวินัยมาเปิดเผยสอนให้ชาวพุทธฉลาด มีแต่สอนให้งมงายหลงไปกับวัตถุ ที่สร้างขึ้นมาให้เป็นที่พึ่ง และขอบอกว่าจะเป็นใครมันไม่สำคัญ มันสำคัญอยู่ที่ว่า นับถือพระศาสนาของพระพุทธองค์แล้วจริงใจต่อพระพุทธเจ้าแค่ไหน ? และถูกต้องหรือไม่เท่านั้นเอง เพราะพระพุทธเจ้าสอนเรื่องปัญญา ไม่ได้สอนเรื่องวัตถุ และอะไรหละที่ทำให้เกิดปัญญา จากการศึกษา อ่าน ฟัง พิจารณา คิดอย่างรอบคอบแยบคาย จริงหรือเปล่าคุณwalaiporn หรือพากันนั่งหลับตาอย่างเดียวจะเกิดปัญญาได้...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 09:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




f54802676.gif
f54802676.gif [ 16.55 KiB | เปิดดู 3454 ครั้ง ]
อ้างคำพูด:
คุณ walaiporn กลับไปเครียร์กับท่านกรัชกายก่อนเถอะ


เคลียกันแร้วววขอรับ กรัชกายขึ้นเขา คุณ walaiporn ไปเกาะสีชัง

ที่เหลือคุณผู้ใช้นาม ว่า keaksim เคลียกับคุณwalaiporn เองแล้วกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


keaksim เขียน:
อ้างคำพูด:
จะมากี่ชื่อๆ ก็สำนวนซ้ำๆ เป๊ะๆเลย


คุณwalaiporn กลับไปเครียร์กับท่านกรัชกายก่อนเถอะ

viewtopic.php?f=1&t=27846&start=30

และก็นั่งดูตัวเองจิตตัวเองให้ดี ๆ อย่าแส่ส่ายออกมาโต้ตอบกับคนอื่นเขาซิ

อ้างคำพูด:
วันนี้คุณเจริญสติแล้วหรือยัง
เอาคำนี้มาใช้ทำไม ?

รับรองว่า ไม่ได้ละเมิด "พระธรรมวินัย" แต่ต้องการเปิดเผยพระธรรมวินัยให้รุ่งเรืองต่างหาก
คำว่า"พระ" ของคุณ walaiporn เราไม่ได้ละเมิดของคุณ แต่เราประนาม พวกพระทุศีล ที่มีเต็มไปหมดต่างหากให้เขาเหล่านั้นเกรงใจพระพุทธเจ้าบ้างเท่านั้นเอง เพราะผู้ที่ทำลายศาสนา พระพุทธเจ้าบอกไว้เลยว่า
"ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา" เห็นหรือเปล่าว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้สมจริงในเรื่องปัจจุบัน หรือมัวแต่นั่งเทียนเดาอะไรอยู่ จึงไม่รู้บ้างพระศาสนากำลังเสื่อมโทรมเพราะการกระทำของพวก พระทุศีล โกหกแหกตา ปิดบังพระธรรมวินัยอยู่ ไม่นำพระธรรมวินัยมาเปิดเผยสอนให้ชาวพุทธฉลาด มีแต่สอนให้งมงายหลงไปกับวัตถุ ที่สร้างขึ้นมาให้เป็นที่พึ่ง และขอบอกว่าจะเป็นใครมันไม่สำคัญ มันสำคัญอยู่ที่ว่า นับถือพระศาสนาของพระพุทธองค์แล้วจริงใจต่อพระพุทธเจ้าแค่ไหน ? และถูกต้องหรือไม่เท่านั้นเอง เพราะพระพุทธเจ้าสอนเรื่องปัญญา ไม่ได้สอนเรื่องวัตถุ และอะไรหละที่ทำให้เกิดปัญญา จากการศึกษา อ่าน ฟัง พิจารณา คิดอย่างรอบคอบแยบคาย จริงหรือเปล่าคุณwalaiporn หรือพากันนั่งหลับตาอย่างเดียวจะเกิดปัญญาได้...




อื่มมม .....
แบบว่า เข้าใจในความรู้สึกที่ถ่ายทอดผ่านมาทางตัวหนังสือนะ
คุณเองก็คงเคยสร้างเหตุไว้กับคนๆนั้นก่อนที่จะเป็นพระ ผลมันเลยเป็นเช่นนี้

คนเราน่ะ ล้วนแต่กระทำสิ่งต่างๆไปเพราะด้วยความไม่รู้กันทั้งนั้นน่ะแหละ
ลองถามแต่ละคนดูสิ มีใครบ้างที่เขาอยากเป็นคนชั่ว มีแต่คนอยากเป็นคนดีทั้งนั้นแหละ

เพียงแต่ว่าเราทุกคนที่ยังมีกิเลสกันอยู่ จะมากจะน้อยก้คือยังมีกิเลส
เมื่อยังไม่สามารถเห็นตามความเป็นเจริงได้ คนเราย่อมคิดเข้าข้างตัวเองว่า
สิ่งที่เขากำลังกระทำอยู่นี่ มันถูกต้องแล้ว ถูกยังไงหรือ
ถูกในความคิดของตัวเอง แต่อาจจะไม่ใช่ถูกต้องตามความเป็นจริง

เรื่องของความศรัทธา เป็นเรื่องของสติ สัมปชัญญะของแต่ละคน
เราจะไปโทษใครๆนอกตัวไม่ได้หรอกว่า ทำไมถึงสอนให้งมงายกัน ทุกอย่างมันมีเหตุนะ
เราเองก็กล้าพูดตามตรงนะ ว่าเราก็เคยเป็นเหมือนกับที่เขาเคยเป็นกันมาก่อน
มีศรัทธา แต่ขาดปัญญา มันจึงกลายเป็นเรื่องงมงายไป
เมื่อเราเข้าใจตัวเราเองแล้ว เวลาเรามองคนอื่นๆ เราเลยเข้าใจเขา
ว่าทำไมคนเหล่านั้น เขาทำแบบนั้นเพราะอะไร

คุณกำลังสร้างเหตุใหม่ที่เป็นการเบียดเบียนตัวเองไม่รู้จบ
อย่าลืมสิ คนเราถ้ารู้ เขาจะทำกันแบบนั้นไหม?

เคยสังเกตุตัวเองมั่งมั๊ย :b1:
ไม่ว่าคุณจะใช้ชื่ออะไรเข้ามาก็ตาม ทำไมเราถึงรู้ว่าเป็นคุณ
เพราะคุณเห็นเราไม่ได้ คุณจะลองต๊ะแล่บแปร๊บใส่เราทันที
จิตของคุณมีอคติกับเรา มันเลยเกิดปฏิกิริยาตรงนั้น

ส่วนเราน่ะขอบคุณ คุณนะ นี่พูดจริงๆไม่ได้เสแสร้าง
สิ่งที่คุณกระทำกับเรานั้น มันคือกิเลสของคุณที่คุณใส่มันลงมา
เมื่อเราสติไม่ทัน ย่อมลงไปปรุงแต่งตามกิเลสนั้นๆ
ยิ่งเราถูกกระทบมากเท่าไหร่ นับวันเราแค่มองมันมากขึ้น

ใหม่ๆน่ะทนไม่ได้หรอก ที่จะมาปล่อยให้ใครมาว่าปาวๆด้วยถ้อยคำหยาบคาย
แต่เพราะเราเชื่อในเรื่องของเหตุที่กระทำและผลที่จะต้องได้รับ
ว่าใครทำอย่างไร ย่อมรับผลเช่นนั้น เราเองกำลังรับผลที่เคยกระทำไว้ในอดีต
ที่เราไม่สามารถระลึกได้หมดเลยว่าเคยกระทำไว้กับใครๆบ้าง ก็มันกี่ภพกี่ชาติมาแล้วล่ะ
ที่ผลัดกันกระทำหมุนเวียนกระทำกันอยู่อย่างนี้ เพราะอวิชชาครอบงำไว้
ไม่ว่าจะเกิดกับคนที่เรารู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม ทุกอย่างล้วนมีเหตุมาก่อน



keaksim เขียน:

และก็นั่งดูตัวเองจิตตัวเองให้ดี ๆ อย่าแส่ส่ายออกมาโต้ตอบกับคนอื่นเขาซิ




เป็นห่วงคนอื่นๆน่ะ เลยออกมาสกัดไว้ก่อน :b12:



keaksim เขียน:

อ้างคำพูด:
วันนี้คุณเจริญสติแล้วหรือยัง
เอาคำนี้มาใช้ทำไม ?



ทำไมหรือก็แค่ถามว่า วันนี้คุณเจริญสติหรือยัง มันผิดตรงไหนหรือ?
ก็ถามแบบนี้กับทุกคน ถือหรือคะกับคำๆนี้ ถ้าถือต้องขออภัยด้วย
เพราะตัวเองไม่ถือ มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะทักทายด้วยคำพูดนี้
เพราะชอบสนุบสนุนให้ทุกๆคนเจริญสติ เพราะการเจริญสติเป็นสิ่งที่ดี

เอานะ ถ้าคำพูดใดๆ ที่พูดไปแล้ว ส่งผลกระทบ ทำให้ขุ่นเคืองใจ ขออภัยด้วยจ้ะ :b8:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 09:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ธ.ค. 2009, 15:33
โพสต์: 98

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เคลียกันแร้วววขอรับ กรัชกายขึ้นเขา คุณ walaiporn ไปเกาะสีชัง


อันนี้เข้าใจมานานแล้วเพราะติดตามอ่านกระุทู้มาตลอด

อ้างคำพูด:
ที่เหลือคุณผู้ใช้นาม ว่า keaksim เคลียกับคุณwalaiporn เองแล้วกัน


ก็ไม่รู้ว่าจะจบเหมือนท่านกรัชกายหรือเปล่า เพราะเหมือนว่า เจ๊ แกมักจะเดาเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่บ่น ๆ เพ้อ ๆ ยังไงไม่รู้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตามสบายจ้ะ :b32:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร