วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 04:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 44 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 17:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เขาคงไม่มาแน่แล้วกลัวอกุศลว่างั้น จะเอาแต่กุศลเอาดีอย่างเดียว คงยากหน่อยนะครับ

เพราะการปฏิบัติกรรมฐานท่านให้กำหนดรู้ทั้งกุศลอกุศล ท่านมิให้เลือกที่รัก ผลักที่ชัง ขณะนั้นๆเป็นยังไงก็งั้น

กำหนดไปตามที่มันเป็น


เมื่อผ่านเรื่องหนักๆมาแล้ว แทรกเรื่องเบาๆบ้างต่อทีนี่แหละ ไม่ตั้งกระทู้ใหม่ล่ะ เพราะไหนๆ ท่านขงเบ้ง ฯ

ก็เข้ามาแย้มๆว่า มีของดีจะแนะนำ ของดีอะไร ?

น่าจะเป็นเรื่องพระธาตุ พระพุทธเจ้า ๖ พระองค์ เห็นว่า

อ้างคำพูด:
อิอิ

แล้วแต่องค์นะงับที่จะมา

ถ้าไม่มีบุพกรรมร่วมกันก็ไม่มางับ

อิอิ

ตอนนี้ผมเจอพระบรมธาตุ พระพุทธเจ้า 6 พระองค์แล้วแต่ไม่รู้จะเอาขึ้นมาได้อย่างไรงับ

กำลังหาวิธีอยู่

อิอิ

แม้ว่าพระองค์จะอนุญาติแล้วก็ตาม

อิอิ

ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์

viewtopic.php?f=1&t=27826



ว่าพบแล้ว แต่ยังหาวิธีเอาขึ้นไม่ได้

ถามว่า อยู่จังหวัดไหนงับ ?

เชิญท่านขงเบ้ง ฯ บอกด้วยงับ เราจะได้หาวิธีเอาขึ้นมากัน :b4:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 21 ธ.ค. 2009, 17:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 17:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12:

อ้างคำพูด:
เขาคงไม่มาแน่แล้วกลัวอกุศลว่างั้น จะเอาแต่กุศลเอาดีอย่างเดียว คงยากหน่อยนะครับ

เพราะการปฏิบัติกรรมฐานท่านให้กำหนดรู้ทั้งกุศลอกุศล ท่านมิให้เลือกที่รัก ผลักที่ชัง ขณะนั้นๆเป็นยังไงก็งั้น

กำหนดไปตามที่มันเป็น


เมื่อผ่านเรื่องหนักๆมาแล้ว แทรกเรื่องเบาๆบ้างต่อทีนี่แหละ ไม่ต้องตั้งกระทู้ใหม่ เพราะท่านขงเบ้ง ฯ

เข้ามาแย้มๆว่า มีของดีแนะนำ อะไรของดี


จานป้อ... งั๊น...(ปร)สิต ออกมาซนกับจานป้อ ได้แล้วใช่ป่าว... :b17: :b17: :b17:

:b17: :b17: :b17: :b17: :b17:


โพสต์ เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 17:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b4: เพื่อน(..)สิต ไวจังเยยย :b17:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสต์ เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 17:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




4228.gif
4228.gif [ 15.72 KiB | เปิดดู 3844 ครั้ง ]
viewtopic.php?f=1&t=27755&st=0&sk=t&sd=a&start=30

Blog:...(10) ลองดูใต้คอม้าดิ มีอะไรเกี่ยวกับ (...) สิต :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 21 ธ.ค. 2009, 17:43, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสต์ เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 17:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: :b12: :b16: :b12:

จานป้อ...jaarrr (อุ..อุ..ไม่ให้ jaarrr ทางตรง ก็ jaarrr ทางอ้อม) :b32: :b32: :b32:

:b32: :b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 744


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เขาคงไม่มาแน่แล้วกลัวอกุศลว่างั้น จะเอาแต่กุศลเอาดีอย่างเดียว คงยากหน่อยนะครับ

เพราะการปฏิบัติกรรมฐานท่านให้กำหนดรู้ทั้งกุศลอกุศล ท่านมิให้เลือกที่รัก ผลักที่ชัง ขณะนั้นๆเป็นยังไงก็งั้น

กำหนดไปตามที่มันเป็น


เมื่อผ่านเรื่องหนักๆมาแล้ว แทรกเรื่องเบาๆบ้างต่อทีนี่แหละ ไม่ตั้งกระทู้ใหม่ล่ะ เพราะไหนๆ ท่านขงเบ้ง ฯ

ก็เข้ามาแย้มๆว่า มีของดีจะแนะนำ ของดีอะไร ?

น่าจะเป็นเรื่องพระธาตุ พระพุทธเจ้า ๖ พระองค์ เห็นว่า

อ้างคำพูด:
อิอิ

แล้วแต่องค์นะงับที่จะมา

ถ้าไม่มีบุพกรรมร่วมกันก็ไม่มางับ

อิอิ

ตอนนี้ผมเจอพระบรมธาตุ พระพุทธเจ้า 6 พระองค์แล้วแต่ไม่รู้จะเอาขึ้นมาได้อย่างไรงับ

กำลังหาวิธีอยู่

อิอิ

แม้ว่าพระองค์จะอนุญาติแล้วก็ตาม

อิอิ

ขงเบ้งเทพแห่งกลยุทธ์

viewtopic.php?f=1&t=27826



ว่าพบแล้ว แต่ยังหาวิธีเอาขึ้นไม่ได้

ถามว่า อยู่จังหวัดไหนงับ ?

เชิญท่านขงเบ้ง ฯ บอกด้วยงับ เราจะได้หาวิธีเอาขึ้นมากัน :b4:


ตามดูจริงๆนะงับ อิอิ

ตอนนี้ที่ผมทราบว่าพระธาตุไม่ได้ถูกเผาทิ้งหลังจากพระพุทธศาสนาหายไปจากโลกนะงับ

วิธีเอาขึ้นผมกำลังรอคนที่ต้องการอยู่งับ

เจอแล้วทั้งหมดงับ รอแต่ฝึกฤทธิ์ให้ท่านเหล่านั้นงับ

แล้วจะได้เอาขึ้นมา

อยู่ภาคอีสานงับ ในบึงบาดาลงับ

แล้วก็สุทธาวาสภูมิ งับ

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสต์ เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 18:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปอ่านมาแล้วค่ะ... :b32: :b32:

จานป้อ ไม่ต้องห่วงนะคะ... :b16: :b16:

จะห่วงก็แต่ สิตเพื่อน เพราะ สิตเพื่อนยังมีนิสัยใจร้อนอยู่บ้าง
ก็ได้แต่หวังว่า สิตเพื่อน จะเข้าใจน้ำใจของ ไบกอน
และ ไบกอน ก็ปราถนาให้สิตเพื่อน ใจเย็น...
ใครบางคน ปราถนา และอยากเห็นสิตเพื่อนมีความสุขเสมอ...
และ ไบกอนก็รู้ว่า สิตเพื่อนรู้ ว่าคน ๆ นั้นคือใคร...(รู้กันเน๊อะ :b4: )

การที่เราจะเป็นนายตัวเองได้ ก็คือเราต้องเอาชนะตัวเราเอง ไม่ใช่เอาชนะใคร...นะจ๊ะ...

เราไม่ได้ศึกษาธรรมเพื่อเอาชนะผู้ใด แต่เราศึกษาธรรมเพื่อนเรียนรู้ที่จะเป็นอิสระจากความทุกข์....

.... :b4: :b4: :b4: :b4: :b4: .....


โพสต์ เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 19:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ตามดูจริงๆนะงับ อิอิ

ตอนนี้ที่ผมทราบว่าพระธาตุไม่ได้ถูกเผาทิ้งหลังจากพระพุทธศาสนาหายไปจากโลกนะงับ

วิธีเอาขึ้นผมกำลังรอคนที่ต้องการอยู่งับ

เจอแล้วทั้งหมดงับ รอแต่ฝึกฤทธิ์ให้ท่านเหล่านั้นงับ

แล้วจะได้เอาขึ้นมา

อยู่ภาคอีสานงับ ในบึงบาดาลงับ

แล้วก็สุทธาวาสภูมิ งับ



บึงบาดาลอยู่ภาคอีสาน จังหวัดอุดรป่าวงับ เราไปดูกันไหมงับ จะได้หาวิธีเอาขึ้นมา

แต่ที่อยู่ชั้นสุทธาวาสนี่ซี่ยังคิดไม่ออกว่าจะไปอิท่าไหน เห็นทีต้องไปฝึกมโน ฯ แถวๆ ซอยสายลม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 21 ธ.ค. 2009, 19:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ดูอีกตัวอย่างหนึ่ง นำมา (สั้นๆ)จากห้องบทความธรรมะ คือ ยุๆ ให้เขาทำไปๆ แต่ยังไม่เห็นแนวทางแก้

อารมณ์ที่ถูกธรรม ยุอย่างเดียวเหมือนกัน

คล้ายๆคลิปดังกล่าว “เร่งคำภาวนาเข้าๆๆๆๆๆ” คนทำดิ้นปัดๆๆ หรือทุกข์เวทนาปางตาย

อย่างมากก็ให้ขอขมาอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร นี่ก็สติปัฏฐานผสมไสยศาสตร์


อ้างคำพูด:
ตอนเดินรอบนี้ 40 นั่ง 20 ค่ะ ก็เดินแล้วมีแต่ทุกข์ค่ะ เจ็บๆ คันๆ
ปวด เจ็บจี๊ดๆ ที่แขนที่ขา
มันก็มีความไม่พอใจขึ้นมาตามความทุกข์ที่เจอค่ะ แต่ว่า ไม่ลงไปคลุกกะความไม่พอใจมาก
ก็มีทุกข์แต่ไม่ทุกข์แบบแนบแน่นน่ะค่ะ มาๆ หายๆ มาเรื่อยๆ แล้วก็มีจิตปรามาสขึ้นมาอีก
เป็นอาการสบถ ก็ขอขมา
แล้วก็มีจิตปฎิเสธไม่ยอมรับ มันรับไม่ได้ว่าเป็นแบบนี้ ก็ตอนแรก
จะไปเป็นมันค่ะ
แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าต้องยอมรับ ก็เลยไม่ต้านแล้ว ดูกายต่อค่ะ ก็หายไป พอมานั่ง ก้อมีรู้กายด้วย
มีหลงไป ไม่มีแรงเหมือนจะหลงไปหลับ แล้วก็จิตสะดุ้งออกมา ตกใจแต่ไม่แรงมาก
กลับมาที่กายต่อ แล้วไปอีก






สร้างเหตุอย่างไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น

อตฺตนาว กตํ ปาป อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ

อตฺตนา อกตํ ปาป อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ

สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย.

ทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง

ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตัว คนอื่นทำคนอื่นให้หมดจดหาได้ไม่


บาปเมื่อทำแล้ว ย่อมตกเป็นนมรดกแก่ผู้ทำนั่นเอง จะไปยื่นโยนโอนมอบให้แก่ผู้อื่นหาได้ไม่

หรือจะปัดเป่าชำระล้างโดยวิธีใดๆ ย่อมทำให้หมดไปไม่ได้เช่นเดียวกัน

เพราะบาปไม่ใช่มลทินของร่างกายหรือสิ่งโสโครก จะได้ชำระล้างให้หมดจดไปได้

เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ จิตฺตํ ราชรถถูปมํ

ยตฺถ พาลา วิสีทนฺติ นตฺถิ สงฺโค วิชานตํ

สูเจ้าทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้ อันตระการตาดุจราชรถที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องไม่


คำว่า " โลก " ในอรรถกถาหมายถึง อัตตภาพร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งขันธ์ ๕ คือ

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันวิจิตร งดงามด้วยเครื่องประดับมีผ้านุ่งห่มเป็นต้น

ส่วนพระมติของสมเด็จพระพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส หทรงอธิบายว่า โลก ในที่นี้

โดยตรงได้แก่แผ่นดินเป็นที่อาศัย โดยอ้อมได้แก่หมู่สัตว์ผู้อาศัย คนเขลาผู้ไม่รู้สัจธรรม

ย่อมหมกมุ่นอยู่กับโลก โดยหลงใหลว่า เป็นเรา เป็นของเรา เป็นต้น

ส่วนบัณฑิตผู้ฉลาดรู้เท่าทันในคติของธรรมดาแล้ว จึงไม่ข้องอยู่ในโลก

คลายความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนเสียได้


เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา.

ผู้ใดจักระวังจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร

อาการสำรวมจิตมี ๓ อย่าง


๑. สำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ มิให้ความยินดีครอบงำในเมื่อเห็นรูป

ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะอันน่าปรารถนา

๒. มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันทะ คือ ..

อสุภะ และกายคตาสติ หรืออันยังใจให้สลดคือ มรณสติ

๓. เจริญวิปัสสนา คือ พิจรณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์

สันนิษฐานให้เห็นเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

กิเลสกาม คือ เจตสิกอันเศร้าหมอง ชักให้ใคร่ ให้รัก ให้อยากได้ กล่าวคือ ตัณหา

ความทะยานอยาก ราคะ ความกำหนัด อรติ ความขึ้งเคียดเป็นอาทิ จัดว่าเป็นมาร

เพราะเป็นโทษล้างผลาญคุณความดีและทำให้เสียคน

วัตถุกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นของน่าชอบใจ จัดเป็นบ่วงแห่งมาร ..

เพราะเป็นอารมณ์เครื่องผูกใจให้ติดแห่งมาร

บ่วงแห่งมารนี้ ผู้ที่สำรวมระวังจิตด้วยวิธีทั้ง ๓ วิธีดังกล่าวแล้ว

จึงจะสามารถหลุดพ้นจากอำนาจของมันได้


คำว่า พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องไม่ นั้นมีลักษณะอาการ และคุณโทษต่างกันอย่างไร?

พวกคนเขลาไม่เพียรพยายามพิจรณาให้เห็นจริงโดยถ่องแท้ ย่อมเพลิดเพลินในสิ่งอันให้โทษ

ย่อมระเริงจนเกินพอดีในสิ่งอันอาจให้โทษ ย่อมติดอยู่ในสิ่งอันเป็นอุปการะทั้งภายใน ภายนอก

เช่นนี้ชื่อว่า หมกอยู่ในโลกมีโทษคือ ย่อมเสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้างตามสิ่งนั้นๆจะพึงอำนวย

เหมือนปลาที่หลงกินเหยื่อที่เกียวติดอยู่กับเบ็ด ย่อมหาอิสระมิได้

ฝ่ายผู้รู้พิจรณารู้เห็นตามความเป็นจริงแห่งสิ่งนั้นๆ ว่าฉันใดแล้ว

ไม่ข้องไม่พอใจหรือพัวพันในสิ่งอันล่อใจ อันใครๆและอะไรๆ

ไม่อาจยั่วให้ติดด้วยประการใดๆ มีคุณ คือ ย่อมมีอิสระแก่ตนเอง ย่อมได้สุขที่ประณีต

สุขภายในอันยั่งยืน ไม่ต้องทุกข์เพราะเหตุไรๆ


ใครเข้ามาอ่านแล้วจะมองเป็นเรื่องลวงโลก ใครจะมองเป็นเรื่องตลก
ใครจะมองอะไรยังไง นั่นคือ กิเลสของแต่ละคน
แล้วเขาก็จะได้รับผลตามที่เขามอง

ไม่ไปคิดแทนใครๆทั้งสิ้น มันคือ วิบากกรรมของแต่ละคนที่เคยกระทำร่วมกันมา
คนบางคนก็มีวิบากกรรมที่ยากจะไปช่วยอะไรเขาด้วย หากคนๆนั้นไม่รู้จักการเจริญสติ
สิ่งเหล่านี้ต้องเรียนรู้ด้วยการเจริญสติ

ไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริง เราไม่ควรจะไปว่าใครๆเขา
ผู้ที่มีสติ สัมปชัญญะ จะไม่มีไปว่าใคร
เพราะเขาเข้าใจถึงเหตุที่กระทำ และผลที่ได้รับ
ฉะนั้น ... เหตุอันเป็นก่อให้เกิดอกุศลเขาจึงไม่สร้างมันขึ้นมา

การที่เราว่าเขาเท่ากับเรานั้นว่าตัวเอง
การพูดจะเกิดได้จากการคิด
ถ้าไม่คิดจะพูดออกมาไม่ได้
ทุกอย่างมันมีเหตุ ผลมีรองรับ

นี่แหละผลของความไม่รู้ ความประมาท
อย่าประมาท 1 คำพูด ถ้าพูดผิดล้วนก่อให้เกิดวจีกรรมและกลายเป็นกรรมส่งผลให้ผู้กระทำ

ตราบใดที่ยังส่งจิตออกนอก วิ่งส่ายหาแต่กิเลสชาวบ้าน
ตราบนั้น ย่อมไม่มีวันจะเห็นกิเลสที่มีอยู่ในใจของตัวเอง
ภพชาติจึงเกิดไม่รู้จักจบสิ้น เพราะความไม่รู้ จึงทำให้ก่อเหตุใหม่ที่เป็นอกุศลจิตขึ้นไปเรื่อยๆ
อยู่ก็ร้อน นอนก็ทุกข์ ใครทำให้ล่ะ ล้วนเกิดจากเหตุที่กระทำไว้กันเองทั้งนั้น
ไม่มีใครทำให้เลยนะ ตัวเองทำกันเองทั้งนั้น

เวลาเกิดผลที่ต้องรับ โวยวายแล้ว ว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้
พิจรณาสิ เหตุเกิดขึ้นเพราะใครล่ะ
เราทุกรูปทุกนาม ล้วนเคยสร้างเหตุมาร่วมกัน ผลเลยเป็นเช่นนี้
ใครที่รู้แล้ว คนนั้นย่อมหยุดเหตุใหม่ที่จะก่อให้เกิดขึ้นมาได้
เขาจบแค่นั้น และเขาก็รับผลจากการกระทำของเขาแค่นั้น
แต่ผู้ที่ไม่รู้ ยังขยันสร้างก่อใหตุใหม่ไม่รู้จักจบสิ้น
ก็เวียนว่ายต่อไปนะ ..... กองกิเลส .....

สติปัฏฐาน 4 ทางสายเอกมีให้เดิน ใยจึงไม่รู้จักพิจรณา
ทำไมยิ่งปฏิบัติ จิตยิ่งตกต่ำ มีแต่คอยคิดละเมิดผู้อื่นเพราะเหตุใด
ทุกอย่างมันมีเหตุนะ ควรพิจรณา ไม่ใช่สักแต่ว่าบอกว่า เจริญสติ
แต่ขาดเมตตา เมตตาที่จะรู้จักให้อภัย ให้การอโหสิกรรมต่อผู้อื่นนั้นไม่มี
มีแต่โทสะ แฝงไปด้วยความพยาบาท ไม่รู้จักปล่อยวาง

พฤติกรรมทางจิตที่ถูกต้องคือ " สละออก " ซึ่งอาการเป็นมนุษย์
ส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคย เนื่องจากเคยชิน
ที่จะเอา " เข้าตัว " กันทั้งนั้น ซึ่งนั่นแหละ
คือการชำนิสัยหวงทุกข์ หวงยางเหนียว
ยึดติดกับปฏิกูลทางอารมณ์โดยแท้

ทำดี ดีส่ง ให้เห็นผล
ทำชั่ว ชั่วก็ดล ชั่วให้
ชั่ว ดี ดุจ บาป บุญ ตีบอก ไว้นา
ใครชั่ว ใครดีไซร้ สืบได้ ด้วยกรรม

มวลมนุษย์ ในโลกนี้ .....
เกิดมา ต่างมี ผลกรรม ประจำตน
ไพร่ผู้ดี มีหรือจน มนุษย์ปถุชน
ไม่อาจ หลุดพ้น ด้วยตัณหา

คอยเบียดเบียน ต่อกัน เรื่อยมา
ใช้เล่ห์ ต่างๆนาๆ ไม่นำพา ผลกรรมความดี

มนุษย์เอย .....
อย่าเห็นกงจักร เป็น ดอกบัว
กลัวเวรกรรม กันเถิดหนา
แผ่ความเมตตา ให้กัน ด้วยไมตรี

โปรดได้คิด ....
ชีวิตคน ไม่เห็นใคร จะพ้นหลีก
ไม่พ้น เป็นผี

ควรเร่งคิด สร้างสรรค์ สิ่งดี
เพิ่มบุญ เพิ่มบารมี
เพราะความดี เหมือนเงา ติดตามติดตัว

รอยโค รอยเกวียน ....
วงเวียน แห่งกรรม
ดี - ชั่ว ตัวเราทำ
เป็นกฏแห่งกรรม ของปถุชน


ใครเข้ามาอ่านแล้ว จะคิดอะไรยังไงหรืออย่างไร
นั่นคือความคิดของแต่ละคน ไม่ขอคิดแทนใครๆ
ความคิดก็คือเหตุ ย่อมส่งผลไปที่ตัวผู้คิด
ใครทำอะไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น

แต่เรายอมรับในสิ่งที่เรามี ยอมรับในสิ่งที่เราเป็น
ไม่ใช่แบบแอบๆซ่อนเร้น เลยไม่ยอมรับกิเลสที่มีในใจของตัวเอง
จะไปยอมรับได้ยังไงล่ะ เพราะยังมองไม่เห็น
มัวแต่ไปจ้องมองกิเลสของชาวบ้านเขา
แล้วลงไปเล่นกับกิเลสชาวบ้านเขา แค่นั้นเอง

เราเป็นพวกที่กล้ายอมรับความจริงในสิ่งที่ตัวเองกระทำ
ไม่ใช่คนที่ชอบแปลงร่างแล้วเล่นบทโน้นบทนี้
แต่ไม่ยอมรับตัวตนที่ตัวเองเป็นจริงๆ
หญิงไม่ใช่ชาย ชายไม่ใช่หญิง
จะเป็นอะไรก็ได้ ตามกิเลสของแต่ละคน
เป็นหญิง เป็นชาย สลับกันไปมา คนเดียวเล่นเป็นหลายคน
หลายบุคคลิก นั่นคือ กิเลสที่มีอยู่ในใจของแต่ละคน
เพียงแต่ว่า ใครล่ะ จะเห็นกิเลสในใจของตัวเองที่แท้จริงได้ก่อนกัน
คนไหนเห็นแล้ว เขาย่อมเห็นเหตุทีกำลังจะกระทำ และผลที่เขาจะต้องได้รับมัน


" ขี้นะคะ มันเหม็นค่ะ อย่าเอานิ้วมาจิ้มไปนะคะ เดี่ยวจะเหม็นติดนิ้ว "

กิเลส มันก็คือ ขี้ ที่ไม่มีใครอยากได้มัน
ทุกคนมองว่ามันเหม็น มันสกปรก มันไม่สะอาด
แต่ของสกปรกคนก็ต้องอยู่กับมัน ต้องคลุกเคล้าไปกับมัน

กิเลส ไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะ
กิเลสสามารถเข้าแทรกได้ทุกอณูทุกลมหายใจเข้าออก
แต่ทว่า ...
เราจะเห็นกันบ้างหรือเปล่าเท่านั้นเอง
บางคนเห็น แต่เหมือนไม่เห็น
บางคนเหมือนไม่เห็น แต่เห็น
บางคนเห็น แล้วเข้าใจมัน

ที่ทดสอบกิเลสดีที่สุด คือ วัด
บางคนมองว่า วัด คือ สถานที่เราไปสร้างกุศล
แต่อาจจะไม่เห็นว่า นี่แหละที่วัดกิเลส
วัดจิต วัดใจของตัวเอง ว่ากิเลสมีมากน้อยเท่าไร

เมื่อย่างเท้าเข้าสู่เขตวัด
เราจะพบผู้คนมากมาย หลากชั้นวรรณะ
หลากผิวพรรณ หลากหลายศาสนา
บ้างเปิดเผยในสิ่งที่ตัวเองเป็น
บ้างปิดบังซ่อนเร้นในสิ่งที่ตัวเองเป็น
แล้วตัวเราเองเคยสำรวจจิตตัวเองบ้างไหม
ว่าเป็นพวกปิดบังหรือเปิดเผย

ปิดบังคือ ปิดบังอะไร
เปิดเผยคือ เปิดเผยอะไร

จะมีอะไรล่ะ นอกจากใจของเราเอง
หากเรายังปิดบังใจตัวเอง
เราย่อมไม่สามารถยอมรับกิเลสที่มีซุกซ่อนอยู่ในใจ
แต่หากเราเปิดเผย ยอมรับกิเลสที่มีอยู่ตามที่เราเห็นมัน
เราย่อมเห็นตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้

นี่นะประโยชน์ของ " วัด "
ที่ไม่ใช่แค่ " วัด " แบบที่เราพูดๆกันมา

ติสฺโส อิมา ภิกฺขเว วิปตฺติโย, กตมา ติสฺโส กมฺมนฺตวิปตฺติ อาชีววิปตฺติ

ดูกรท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย วิบัติมีอยู่ ๓ ประการดังนี้คือ

๑. กมฺมนฺตวิปฺติ วิบัติเพราะการกระทำ

๒. อาชีววิปฺติ วิบัติเพราะอาชีพ

๓. ทิฏฺฐิวิปฺติ วิบัติเพราะทิฏฐิ

ส่วนดีของแต่ละคนมี เรามองส่วนดีของเขา
ส่วนที่เรามองว่าเขาไม่ดีนั้น เขาเป็นผู้รับผลนะคะไม่ใช่เราอย่าลืมข้อนี้
ไม่งั้นจะก่อวิบากกรรมกันไม่รู้จบสิ้น

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 21 ธ.ค. 2009, 19:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ส่วนดีของแต่ละคนมี เรามองส่วนดีของเขา
ส่วนที่เรามองว่าเขาไม่ดีนั้น เขาเป็นผู้รับผลนะคะไม่ใช่เราอย่าลืมข้อนี้
ไม่งั้นจะก่อวิบากกรรมกันไม่รู้จบสิ้น



ชัดเจนนี่การแนะนำวิธีปฏิบัติกรรมฐานให้เขาเป็นไปตามกรรม เขาจะเพี้ยนโดยไม่รู้ตัว

หากคิดอย่างว่านั้น ควรแนะนำให้เขาบำเพ็ญบุญอย่างอื่น เช่น สร้างโบสถ์ วิหาร ลานเจดีย์ ทอดกฐิน

ทอดผ้าป่า ปล่อยเต่า เป็นต้น จะไม่เกิดโทษทางใจแก่เขา นี่คือตัวอย่างคนอยากทำดีแต่ไม่รู้จักว่าดีคืออะไร

โทษคืออะไร ทำอะไรไม่รับผิดชอบ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 21 ธ.ค. 2009, 19:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 19:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
ส่วนดีของแต่ละคนมี เรามองส่วนดีของเขา
ส่วนที่เรามองว่าเขาไม่ดีนั้น เขาเป็นผู้รับผลนะคะไม่ใช่เราอย่าลืมข้อนี้
ไม่งั้นจะก่อวิบากกรรมกันไม่รู้จบสิ้น



ชัดเจนนี่การแนะนำวิธีปฏิบัติกรรมฐานให้เขาเป็นไปตามกรรม เขาจะเพี้ยนโดยไม่รู้ตัว

หากคิดอย่างว่านั้น ควรแนะนำให้เขาบำเพ็ญบุญอย่างอื่น เช่น สร้างโบสถ์ วิหาร ลานเจดีย์ ทอดกฐิน

ทอดผ้าป่า ปล่อยเต่า เป็นต้น จะไม่เกิดโทษทางใจแก่เขา นี่คือตัวอย่างคนอยากทำดีแต่ไม่รู้จักว่าดีคืออะไร

โทษคืออะไร ทำอะไรไม่รับผิดชอบ




ดูกรท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสารทั้งหลาย วิบัติมีอยู่ ๓ ประการดังนี้คือ

๑. กมฺมนฺตวิปฺติ วิบัติเพราะการกระทำ

๒. อาชีววิปฺติ วิบัติเพราะอาชีพ

๓. ทิฏฺฐิวิปฺติ วิบัติเพราะทิฏฐิ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วมันครงกับเรื่องที่เราพูดกันไหมน่าแม่คู้น :b1:

เข้าตำราอีกแล้ว ถามว่าไปไหนมา ดันตอบ สามวาสองศอก :b20:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 21 ธ.ค. 2009, 19:31, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 19:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1%20(510).gif
1%20(510).gif [ 67.65 KiB | เปิดดู 3778 ครั้ง ]
อยาก จะพูดอะไรตรงๆเหลือเกิน แต่อดสงสารไม่ได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสต์ เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 19:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สร้างเหตุอย่างไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้น

อตฺตนาว กตํ ปาป อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ

อตฺตนา อกตํ ปาป อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ

สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย.

ทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง

ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตัว คนอื่นทำคนอื่นให้หมดจดหาได้ไม่


บาปเมื่อทำแล้ว ย่อมตกเป็นนมรดกแก่ผู้ทำนั่นเอง จะไปยื่นโยนโอนมอบให้แก่ผู้อื่นหาได้ไม่

หรือจะปัดเป่าชำระล้างโดยวิธีใดๆ ย่อมทำให้หมดไปไม่ได้เช่นเดียวกัน

เพราะบาปไม่ใช่มลทินของร่างกายหรือสิ่งโสโครก จะได้ชำระล้างให้หมดจดไปได้

เอถ ปสฺสถิมํ โลกํ จิตฺตํ ราชรถถูปมํ

ยตฺถ พาลา วิสีทนฺติ นตฺถิ สงฺโค วิชานตํ

สูเจ้าทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้ อันตระการตาดุจราชรถที่พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องไม่


คำว่า " โลก " ในอรรถกถาหมายถึง อัตตภาพร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งขันธ์ ๕ คือ

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันวิจิตร งดงามด้วยเครื่องประดับมีผ้านุ่งห่มเป็นต้น

ส่วนพระมติของสมเด็จพระพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส หทรงอธิบายว่า โลก ในที่นี้

โดยตรงได้แก่แผ่นดินเป็นที่อาศัย โดยอ้อมได้แก่หมู่สัตว์ผู้อาศัย คนเขลาผู้ไม่รู้สัจธรรม

ย่อมหมกมุ่นอยู่กับโลก โดยหลงใหลว่า เป็นเรา เป็นของเรา เป็นต้น

ส่วนบัณฑิตผู้ฉลาดรู้เท่าทันในคติของธรรมดาแล้ว จึงไม่ข้องอยู่ในโลก

คลายความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนเสียได้


เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา.

ผู้ใดจักระวังจิต ผู้นั้นจักพ้นจากบ่วงแห่งมาร

อาการสำรวมจิตมี ๓ อย่าง


๑. สำรวมอินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ มิให้ความยินดีครอบงำในเมื่อเห็นรูป

ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะอันน่าปรารถนา

๒. มนสิการกัมมัฏฐานอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันทะ คือ ..

อสุภะ และกายคตาสติ หรืออันยังใจให้สลดคือ มรณสติ

๓. เจริญวิปัสสนา คือ พิจรณาสังขารแยกออกเป็นขันธ์

สันนิษฐานให้เห็นเป็นสภาพไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

กิเลสกาม คือ เจตสิกอันเศร้าหมอง ชักให้ใคร่ ให้รัก ให้อยากได้ กล่าวคือ ตัณหา

ความทะยานอยาก ราคะ ความกำหนัด อรติ ความขึ้งเคียดเป็นอาทิ จัดว่าเป็นมาร

เพราะเป็นโทษล้างผลาญคุณความดีและทำให้เสียคน

วัตถุกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นของน่าชอบใจ จัดเป็นบ่วงแห่งมาร ..

เพราะเป็นอารมณ์เครื่องผูกใจให้ติดแห่งมาร

บ่วงแห่งมารนี้ ผู้ที่สำรวมระวังจิตด้วยวิธีทั้ง ๓ วิธีดังกล่าวแล้ว

จึงจะสามารถหลุดพ้นจากอำนาจของมันได้


คำว่า พวกคนเขลาหมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องไม่ นั้นมีลักษณะอาการ และคุณโทษต่างกันอย่างไร?

พวกคนเขลาไม่เพียรพยายามพิจรณาให้เห็นจริงโดยถ่องแท้ ย่อมเพลิดเพลินในสิ่งอันให้โทษ

ย่อมระเริงจนเกินพอดีในสิ่งอันอาจให้โทษ ย่อมติดอยู่ในสิ่งอันเป็นอุปการะทั้งภายใน ภายนอก

เช่นนี้ชื่อว่า หมกอยู่ในโลกมีโทษคือ ย่อมเสวยสุขบ้าง ทุกข์บ้างตามสิ่งนั้นๆจะพึงอำนวย

เหมือนปลาที่หลงกินเหยื่อที่เกียวติดอยู่กับเบ็ด ย่อมหาอิสระมิได้

ฝ่ายผู้รู้พิจรณารู้เห็นตามความเป็นจริงแห่งสิ่งนั้นๆ ว่าฉันใดแล้ว

ไม่ข้องไม่พอใจหรือพัวพันในสิ่งอันล่อใจ อันใครๆและอะไรๆ

ไม่อาจยั่วให้ติดด้วยประการใดๆ มีคุณ คือ ย่อมมีอิสระแก่ตนเอง ย่อมได้สุขที่ประณีต

สุขภายในอันยั่งยืน ไม่ต้องทุกข์เพราะเหตุไรๆ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 19:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณวลัยพรเอ๋ว ที่คุณพิมพ์มาสะยืดยาวนั่น แก้อารมณ์ผู้ที่เขากำลังทำตามคุณแล้วเกิดอาการนั้นได้ไหม แก้

สภาวะอารมณ์เค้าขณะนั้นได้ไหม ประเด็นอยู่ตรงนี้ เขากำลังปวดหัว แต่จัดยาแก้ไอให้เขากิน :b5:

เวรกรรม

viewtopic.php?f=7&t=25996&start=45

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 21 ธ.ค. 2009, 20:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 44 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร