วันเวลาปัจจุบัน 14 มิ.ย. 2025, 22:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 02:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 31
กระโดดลงรถไฟ

บ่ายวันเสาร์ไม่ต้องเรียนหนังสือ ผมกับพ่อจึงนั่งรถจักรไอน้ำเตรียมตัวไปขอทานที่ตลาดโต้รุ่งโต้วลิ่ว

นี่เป็นการนั่งรถไฟครั้งที่ 3 ของผม ผมจึงแทบจะระงับความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ เฝ้าแต่สังเกตมองรถไฟที่เข้าออกชานชาลาอย่างละเอียดทุกขั้นตอน - - เสียงดังก้องของหวูดรถไฟ ใต้เสียงฉึกฉัก ๆ ของล้อรถไฟมีเสียงถอนใจ “อี๊ด – อ๊าด” ดังยาว ควันไฟพุ่งออกมา ผมมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างไปตลอดทาง แล้วก็คอยจดจำชื่อสถานีแต่ละสถานีรถไฟแล่นผ่าน

เวลาผ่านไปสักหนึ่งชั่วโมง เราก็มาถึงตลาดโต้รุ่งโต้วลิ่ว พอเลือกทำเลได้แล้ว ผมก็ปูเสื่อออก วางขันเล็ก ๆ ไว้เบื้องหน้า ให้พ่อนั่งคุกเข่าดีดพิณร้องเพลงอยู่บนเสื่อ ทั้งเพลง “เฉวี่ยนซื่อเกอ” และ “ซือเสียงฉวี่” ที่ล้วนเป็นเพลงหากินของพ่อทั้งนั้น ผมคุกเข่านั่งลงข้าง ๆ ท่าน แล้วหยิบสมุดการบ้านออกมาเริ่มลงมือทำแบบฝึกหัด

ตอนนี้ดวงอาทิตย์เพิ่งจะเริ่มตกดิน ฟ้ายังไม่ทันจะมืดเลย ผมก็เผอิญเหลือบไปเห็นตำรวจสองคนเดินมาแต่ไกล ผมตกใจแทบแย่ รีบบอกพ่อเป็น “ภาษาขอทาน” ว่า “ไพ่ – ซี (พ่อ) เก้ย – เปย – เต่า (ตำรวจมาแล้ว)” พูดจบผมก็รีบคว้าสมุดการบ้านลุกหนีไปทันที แต่เพราะตื่นเต้นเกินไปจึงทำให้สมุดการบ้านหล่นลงกับพื้น ผมรีบเอี้ยวตัวลงไปเก็บ แล้วหลบเข้าไปยืนซ่อนตัว แอบมองดูพ่อหลังเสาใต้ชายคาร้านขายของชำแห่งหนึ่ง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ ตำรวจสองคนนั้นตั้งใจเข้ามาจับเราจริง ๆ พวกเขาคุมตัวพ่อไปโรงพัก พ่อเดินไปก็ตะโกนด่าทอตำรวจด้วยความโมโหไปตลอดทางว่า ตำรวจรังแกคนจน ตำรวจรังแกประชาชน ผมได้แต่มองตามภาพนั้นไปด้วยความสลดใจ ต้องให้พ่อโดนจับทุกทีสิน่า แต่ผมไม่มีแรงมากพอที่จะแบกพ่อวิ่งหนี จะให้โดนจับไปด้วยกันก็ไม่ได้อีก ไอ้พวกตำรวจชั่วเอ๊ย! ผมกำหมัดต่อยเสาเข้าเต็มแรง

ผมเดินไปที่สถานีรถไฟโดยไม่มีเงินติดตัวเลยแม้แต่เหมาเดียว ทีแรกกะว่าจะไปขอทานหาค่ารถกลับบ้านเอาแถวนั้น แต่ดันมีตำรวจยืนเฝ้าอยู่ที่สถานีถึงสองคน อย่างนี้หมดหวังแน่ ผมจึงมองซ้ายมองขวาแล้วปีนรั้วข้ามเข้าไปในชานชาลาโดยไม่ต้องซื้อตั๋วเสียเลย พอเข้ามาที่ชานชาลา ผมก็งงทำอะไรไม่ถูก เพราะผมไม่รู้เลยว่ารถขบวนไหนไปไถจงได้บ้าง จึงเข้าไปถามชายคนหนึ่งที่ยืนรอ รถอยู่ข้าง ๆ เขาขอดูตั๋วรถไฟ จะได้รู้ว่าผมจะไปรถขนวนไหน รถด่วนหรือรถธรรมดา ผมชักจะใจฝ่อ ตอบไปว่า “เอ่อ ตั๋วรถไฟอยู่กับแม่ทางโน้นน่ะฮะ แต่แม่ให้ผมลองมาถามดู อ้อ! แต่ผมรู้ว่าเรานั่งรถขบวนที่แล่นช้าที่สุดฮะ” ชายคนนั้นชี้ทางพร้อมทั้งสอนวิธีนั่งรถไฟให้ผมอย่างดี ผมรีบขอบคุณแล้วแวบหนีหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวเขาจะรู้ว่าผมไม่มีตั๋ว

ผมต้องรออยู่นานกว่ารถไฟจะมา พอรถจอดเทียบชานชาลาเท่านั้น ผมก็รีบกระโดดขึ้นไปด้วยใจเต้นระส่ำ คิดแต่ว่าเร็วสิ เร็ว ๆ เข้า รถไฟรีบออกเร็ว ๆ ทีเถอะ เดี๋ยวตำรวจก็ตามมาหรอก พอเสียงหวูดรถไฟดังขึ้น ตัวรถก็เริ่มขยับ ผมจึงเริ่มสบายใจขึ้นมาหน่อยนึง

แต่พอรถแล่นผ่านไปได้เพียงสองสถานีเท่านั้น ประตูในตู้รถก็ถูกเปิดออก เจ้าหน้าที่ประจำรถไฟก้าวเข้ามาตรวจตั๋ว แล้วผมจะทำอย่างไรดีนี่ มือตีนชักจะอ่อนไปหมด ยังดีที่ที่นั่งผมอยู่ค่อนไปทางท้ายตู้ จึงยังมีเวลาเหลือนิดหน่อยพอให้แวบหายตัวได้บ้าง แต่ถ้าจะเดินเร็ว ๆ หรือวิ่งก็คงจะเป็นที่ผิดสังเกตของคนอื่นแน่ ผมจึงแกล้งทำเป็นค่อย ๆ ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ พยายามระงับอาการขาสั่นทำทีว่าเดินไปห้องน้ำที่ด้านหลังอย่างปกติที่สุด

เดินผ่านมาสองตู้แล้วยังหาห้องน้ำว่างไม่ได้เลย มีคนกำลังใช้ห้องน้ำกันทั้งนั้น ผมเดินต่อไปที่ตู้ข้างหน้าอีก แต่ไม่ทันระวังจึงชนกับคนในรถเข้า โอ๊ย! ขอโทษครับ ขอทางหน่อยครับ ขอทางผมหน่อย ผมจะชักช้าไม่ได้แล้ว เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วกำลังยืนอยู่ข้างหลังนี่แล้ว ผมเหงื่อแตกซิบ มือเย็นชื้นชุ่มเหงื่อ ผมจะโดนจับไม่ได้นะ คนที่บ้านยังจำเป็นต้องมีผมกลับไปดูแล โธ่! แล้วผมควรจะทำอย่างไรดีนี่ หรือว่าจะกระโดดลงรถไฟให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีนะ

พอเดินออกมาถึงตรงช่วงต่อของตู้รถไฟ เสียงลมพัดดังวิ้ว ๆ ผมมองลงไปเห็นใบหญ้าใต้ท้องรถที่กำลังถูกพัดสะบัดไปตามความเร็วของรถแล้วก็ใจหาย ไม่กล้ากระโดดลงไปจริง ๆ โอย...จะทำอย่างไรดี ผมลนลานไปหมดแล้ว เลยต้องเดินต่อไปที่ตู้ข้างหน้า ตายละวา นี่มันตู้สุดท้ายแล้วนะ ตาย! เสร็จกัน จบกันก็คราวนี้แหละ ผมยกมืออันสั่นเทาขึ้นเคาะประตูห้องน้ำ นี่คือความหวังสุดท้ายที่ผมมีอยู่

ก๊อก ๆ ! - - เงียบ
ก๊อก ๆ ! - - ก็ยังไม่มีเสียงตอบ

ห้องน้ำไม่มีคนจริง ๆ ด้วย ผมดีใจจนแทบคลั่ง รีบเข้าไปล็อกประตูซ่อนตัวอยู่ข้างใน แล้วคอยเงี่ยหูฟังเหตุการณ์ภายนอกอย่างเงียบ ๆ

ผมเข้าไปหลบในห้องน้ำยังไม่ทันจะถึงสองนาทีดีก็มีคนมาเคาะประตูเรียก ผมกลัวว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วจึงไม่กล้าขานรับ คนข้างนอกเคาะประตูอีกสองสามทีก่อนจะลองทั้งผลักทั้งดึงประตูดู พอเห็นว่าประตูล็อก เขาก็เคาะแล้วเคาะอีก ผมคิดว่าถ้าไม่ขานก็คงจะไม่ดี ถ้าพวกคนข้างนอกเข้าใจว่าประตูเสียแล้วเกิดไปเรียกคนมาช่วยพังประตู ทีนี้จะทำอย่างไรล่ะ ผมจึงเคาะประตูตอบกลับไปเบา ๆ สองทีด้วยความหวาดระแวง แล้วด้านนอกก็เงียบเสียงลง

อีกไม่ถึงหนึ่งนาที เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีก ผมก็เคาะประตูตอบกลับไปอีกสองที แต่ไม่ทันไรคนข้างนอกก็เคาะประตูเร่งมาอีก คราวนี้เคาะดุดันกว่าเดิมมาก ผมคิดว่าเขาคงจะทนไม่ไหวแล้ว จะเคาะกลับไปอีกก็คงไม่ใช่ที่ พอดีประจวบเหมาะรถไฟกำลังจะจอดที่สถานีหยวนหลิน ผมจึงจำใจค่อย ๆ เปิดประตูออกมา

เฮ้อ! - - ค่อยยังชั่ว ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว ผู้ชายคนนั้นถลึงตาใส่ผมจนลูกตาแทบจะถลนออกนอกเบ้า ผมไม่กล้าสบตาเขา เอาแต่ก้มหน้าก้มตารีบเดินหนีไป เดินผ่านมาได้สักสองตู้ รถไฟก็เริ่มออกตัว เท่านั้นผมก็รีบตัดสินใจทันที ผมไม่มีเวลาคิดแล้ว ผมต้องกระโดดแล้ว

ผมตกลงมานอนแอ้งแม้งอยู่บนชานชาลา มองดูรถไฟที่กำลังเคลื่อนออกไปอย่างช้า ๆ พอลุกขึ้นยืนถึงได้รู้ตัวว่าข้อเท้าแพลงเสียแล้ว ก้าวเดินแต่ละก้าวก็เจ็บแสนเจ็บ แต่ต้องอดทนวิ่งกะโผลกกะเผลก ปีนข้ามกำแพงออกมาจากชานชาลาอย่างยากเย็น ผมคุ้นเคยกับหยวนหลินดีอยู่แล้ว จึงสามารถกลับอูรื่อได้อย่างสบาย ๆ

แต่กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็ดึกมากแล้ว เท่าที่แพลงระบมบวมขึ้นเพราะเดินมากเกินไป พอสำรวจดูเห็นว่าทุกคนในบ้านอยู่กันเรียบร้อยดี ผมก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างสบายใจ คืนนี้ต้องลองคิดดูดี ๆ ว่า พรุ่งนี้จะหาใครไปช่วยประกันพ่อออกมาได้บ้าง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 02:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 32
ชีวิตวิบาก

ตอนกลางวันผมต้องไปโรงเรียนเรียนหนังสือ เลิกเรียนก็ต้องรีบออกไปขอทานจนดึกดื่น สองยามสามยามกว่าจะได้กลับบ้าน พอกลับถึงบ้านก็ยังต้องหุงหาอาหารให้พ่อมีอะไรรองท้อง เสร็จภารกิจต่าง ๆ แล้วจึงนอนได้ ซึ่งก็เพียงวันละ 2 – 3 ชั่วโมงเท่านั้น สำหรับเด็กคนหนึ่งที่ต้องใช้ชีวิตเช่นนี้ทุกวัน ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก ถ้าไม่ใช่เพราะผมเคยเร่ร่อนมาก่อนเป็นสิบปี ผมว่าผมต้อง “กลับบ้านเก่า” ไปตั้งนานแล้ว

ผมไม่เคยมีเวลาได้ทำการบ้าน อ่านหนังสืออย่างจริงจังเลยสักครั้งเดียว จึงต้องพยายามใช้เวลาทุกวินาทีให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมจะรีบหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านทุกครั้งที่พอจะมีเวลาให้อ่านได้ เมื่อพาพ่อออกไปขอทานตอนกลางคืน บางครั้งได้ทำเลไม่ดี นั่งคุกเข่าอยู่เป็นชั่วโมง ๆ ก็ไม่มีใครให้ทาน พ่อจะใช้ให้ผมลุกออกไปเดินขอทานตามบ้านคนเดียว ถ้าคุกเข่าขอทานอยู่กับที่ก็ยังพอจะทำการบ้าน อ่านหนังสือได้บ้าง แต่ถ้าต้องเดินออกไปตระเวนขอทานตามบ้านแล้วละก็ จะทำอย่างไรล่ะ ในเมื่อไม่มีทางเลือก ผมจึงหยิบเอาหนังสือติดมือไปขอทานด้วนเสียเลย

สมัยก่อนบ้านเรือนไม่แออัดเหมือนสมัยนี้ ระหว่างบ้านแต่ละหลังจะมีทางเล็ก ๆ คั่นกลางอยู่ ผมก็ถือหนังสือเดินท่องไปตามทางด้วย พอเดินมาถึงหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง เห็นเจ้าของร้านกำลังจะเทกับข้าวที่แขกกินเหลือลงในถังเศษอาหารพอดี น่าเสียดายเหลือเกิน ถ้าได้เศษอาหารเหล่านั้นกลับไปกินกันที่บ้านคงเป็นอาหารมื้อหรูของเราเชียวละ ผมรีบวางหนังสือลง แล้วรี่เข้าไปขอเศษอาหารเหล่านั้นกับเจ้าของร้าน แต่เขากลับตะเพิดไล่ผมออกไปด้วยความโมโห “อย่ามาอยู่แถวนี้! คนจะทำมาหากิน กับข้าวพวกนี้จะเทให้หมูกิน ไม่ให้แกหรอก รีบไปให้พ้นซะ ไป๊!”

พอถูกตอกหน้าหงายกลับมา ผมก็ขอโทษแล้วรีบถอย หยิบหนังสือเปิดขึ้นมาอ่านต่อ เดินไปก็ท่องหนังสือไปด้วย เมื่อมาถึงร้านขายบะหมี่อีกร้านหนึ่ง มีลูกค้ากำลังนั่งกินบะหมี่กันอยู่สองสามโต๊ะ ผมเอาหนังสือหนีบไว้ใต้รักแร้แล้วเข้าไปขอทานกับลูกค้าที่กำลังกินบะหมี่ว่า “พี่ครับ โปรดเมตตาทำบุญทำทานผมสักหยวนเถอะครับ ผมจะเอาไปเรียนหนังสือ ดูแลพ่อแม่...” ลูกค้ายังไม่ทันจะล้วงกระเป๋าเลย เมียเจ้าของร้านก็รีบพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “โอ๊ย! ไอ้เด็กขอทานแถวนี้พูดแบบนี้กันทุกคนแหละ อย่าไปให้มันเชียว ไอ้พวกเด็กต้มตุ๋นนี่!” ผมได้ยินแล้วก็เดินถอยออกมาด้วยความเสียใจ ไม่ให้เงินก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ทำไมต้องดูถูกกันด้วยเล่า ดีที่ผมยังมีโลกส่วนตัวของผม โลกแห่งหนังสือ เพียงแค่เปิดหนังสือขึ้นอ่านเท่านั้น ความเจ็บปวดก็โบยบินไปเสียกว่าครึ่ง

แม้จะขอทานไม่ได้เลยสักเหมาเดียว แต่ก็มีหลายคนที่เฝ้ามองผมด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นตลอดทาง พวกเขาคงจะสงสัยว่าเด็กที่ไหนกัน ทำไมจึงขอทานไปด้วยท่องหนังสือไปด้วย แถมยังตั้งหน้าตั้งตาท่องอย่างเอาจริงเอาจังเสียอีก พวกเขาคงคิดกันว่า ถ้าผมไม่ใช่คนบ้า ก็ต้องเป็นพวกนักต้มตุ๋นแน่ หรืออาจเป็นเพราะว่าตอนนี้ผมตัวสูงขึ้นกว่าเดิมมาก ไม่ใช่เด็กขอทานตัวกระจ้อยร่อยที่น่าสงสารอีกต่อไป จึงไม่มีใครอยากให้ทานผมแล้ว ในที่สุดผมก็ต้องกลับมานั่งคุกเข่าขอทานด้วยกันกับพ่อต่อ

เหตุการณ์ผ่านไปเช่นนี้ทุกวัน นานเข้าร่างกายก็ชักจะทนไม่ค่อยไหว ถึงร่างกายผมจะแข็งแกร่งราวเหล็กไหล แต่ผมก็เหนื่อยล้าอ่อนเพลียเป็นเหมือนกัน หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาแล้วทั้งวัน พอถึงเวลาเดินกลับบ้านตอนเที่ยงคืน ผมก็มักจะเดินหลับในไปตามทาง จากเขตชุมชนเดินตัดถนนใหญ่เข้าหมู่บ้านเป็นระยะทางประมาณสิบกิโลเมตรได้ สองข้างทางถ้าไม่ใช่คลองก็เป็นนาข้าว ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ผมสัปหงกจนพาพ่อตกลงไปในนาข้าว ปีนขึ้นมาแต่ละที ขี้ตมก็เละดำไปหมดทั้งตัว

บางครั้งผมเดินชนเสาไฟฟ้าจนหัวปูดบวมก็มี มีครั้งที่อันตรายที่สุดอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นผมเดินไปหลับไปจนเริ่มเดินโซเซ ผมกำลังจูงพ่อเดินข้ามถนนอยู่พอดี ก็ได้ยินเสียงแตรรถดังสนั่น ตามมาด้วยเสียงเบรกเอี๊ยดในระยะกระชั้นชิด ผมสะดุ้งตื่น พอได้สติก็พบว่าตัวเองยืนอยู่กลางถนนเสียแล้ว ผมตกใจจนเหงื่อแตกพลั่ก ดีที่ตอนนี้ดึกมากแล้ว รถไม่เยอะ ไม่เช่นนั้นผมก็ไม่อยากนึกเลยว่าสภาพเราจะเป็นอย่างไรบ้าง

วันต่อมา ผมเดินหลับในอีกแล้ว เดินอยู่จู่ ๆ ก็ลื่นไถลล้มลง พาทั้งพ่อทั้งตัวเองตกลงไปในคลองใหญ่ ผมสำลักน้ำไปหลายอึกทีเดียวกว่าจะพยายามทรงตัวให้ลุกขึ้นได้ น้ำในคลองนั้นลึกขนาดเอวพ่อ หรือประมาณคอผมได้ แต่กระแสน้ำที่เชี่ยวกรากทำให้พ่อกับผมหลุดแยกออกจากกัน พ่อมองไม่เห็นสภาพการณ์ว่าตอนนี้ผมล้มไปอยู่ตรงไหนแล้ว จึงตะโกนเรียกชื่อผมไม่หยุด

ผมก็ตกใจมาก ตะโกนเรียกแต่พ่อ พ่อ ให้พ่อรู้ว่าตอนนี้ผมอยู่ไหน ใต้คลองนั้นลื่นมากจนแทบจะยืนไม่อยู่ พอลุกขึ้นมาแล้วก็ล้มลงไป ลุกขึ้นอีกก็ล้มลงอีก อ้าปากจะเรียกพ่อแต่ละทีก็ต้องกลืนน้ำเข้าไปเสียหลายอึก

ผมพยายามลุกขึ้นก้าวไปข้างหน้า ตะเกียกตะกายเดินทวนกระแสน้ำเข้าไปหาพ่อ กว่าจะคว้าไม้เท้าพ่อไว้แล้วพาพ่อปีนขึ้นฝั่งได้ ผมก็แทบแย่

ขาพ่อได้รับบาดเจ็บ เลือดไหลซิบ ๆ เป็นทางลงมาเลยจากข้อเท้า ลมยามดึกพัดเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มทำเอาเราสองคนหนาวจนสั่น ผมรู้สึกว่าตัวเองผิดเหลือเกิน ปากที่สั่นระริกเอ่ยคำขอโทษพ่อไปตลอดทาง เสียงที่เปล่งออกมาถูกลมหนาวพัดจนแตกพร่า “ขอ...ขอ...โทษ...พ่อ...ขอโทษ..อาจิ้น...ไม่ดีเอง...อา...อาจิ้น...ห่วง...ห่วง...แต่...นอน วันหลังผมไม่กล้าอีกแล้ว ผมจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว”

พอกลับถึงบ้าน พ่อเอามือคลำดูที่กระเป๋า ปรากฏว่าเงินที่ขอทานด้วยความเหนื่อยยากมาทั้งวันได้ตกน้ำไปหมดแล้ว ไม่เหลือเลยแม้แต่เหมาเดียว พ่อโมโหขึ้นมาแล้วคราวนี้ คว้าไม้เท้าฟาดผมนับไม่ถ้วน ผมไม่กล้าร้องไห้มีเสียงยอมก้มหน้ารับความเจ็บแต่โดยดี ผมรู้ตัวว่าผิด เงินที่อุตส่าห์ตรากตรำมาทั้งคืนสลายหายวับไปหมด

แล้วพรุ่งนี้อีกสามมื้อจะทำอย่างไรเล่า ตอนนี้น้อง ๆ ตื่นขึ้นมากันหมดแล้ว แต่ละคนลุกขึ้นมานั่งตัวสั่นเทาอยู่ที่ปลายเตียง ไม่มีใครกล้าช่วยพูดกับพ่อให้ผม

พ่อตีผมจนตัวเองเริ่มเหนื่อย จึงสั่งให้ผมคุกเข่าลง จากนั้นก็หาเชือกมามัดนิ้วหัวแม่มือของผมทั้งสองข้างติดกันไว้จนแน่น แล้วดึงปลายเชือกข้างหนึ่งขึ้นแขวนไว้กับขื่อคอกหมู พอพ่อออกแรงดึงทีหนึ่ง ตัวผมก็ลอยสูงขึ้นจากพื้นทั้งแขนทั้งขา ผมถูกห้องโตงเตงแขวนอยู่กลางอากาศ ในที่สุดผมต้องร้องออกมา “พ่อ ปล่อยผมลงเถอะ โอย...มือผมจะหลุดแล้ว เจ็บจังเลย พ่อ ปล่อยผมลงเถอะ ผมไม่กล้าหลับอีกแล้วละ ไม่กล้าอีกแล้ว ผมจะเป็นเด็กดี ผมจะเชื่อฟังพ่อ”

น้อง ๆ เห็นสภาพผมถูกแขวนอย่างน่าอเนจอนาถอยู่กลางบ้าน ก็อดสงสารจนร้องไห้ออกมาไม่ได้ แต่พ่อไม่เห็นใจสักนิด ไม่ว่าพวกเราจะอ้อนวอนอย่างไรก็ไม่เป็นผล จะวิงวอนอย่างไรพ่อก็ยังใจแข็งเป็นหินอยู่อย่างเดิม

เสียงร้องไห้ของผมเริ่มเบาลงตามความหวังที่ดูเลือนรางไปทุกที ๆ ผมรู้ดีว่าอย่างไรวันนี้พ่อก็ไม่เปลี่ยนใจแน่ ด้วยความกลัวผสมกับความตกใจ ทำให้ผมถึงกับกลั้นฉี่ไว้ไม่อยู่ ฉี่ราดไหลออกมาตามขากางเกงหยดลงที่พื้น ไม่รู้ว่าถูกแขวนอยู่นานเท่าไร รู้แต่ว่ากลัวจนฉี่ราดออกมาอยู่หลายหน จนกระทั่งรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะสลบนั่นแหละ พ่อจึงเริ่มหายโกรธ กว่าพ่อจะยอมปล่อยให้ผมลงมาได้ ตอนนั้นผมก็แทบจะไม่รู้สึกตัวแล้ว

ผมนอนลืมตาค้างอยู่บนเตียง บอกกับตัวเองในใจว่า “ผมต้องพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ง่วงนอน ถึงจะเหนื่อยยังไงก็ต้องมีสติบังคับตัวเองไม่ให้หลับให้ได้ ห้ามหลับ ห้ามหลับ ห้ามเดินหลับในอีกเป็นอันขาด…”

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 03:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 33
ฆ่าตัวตาย

ทั้งสิบชีวิตของสมาชิกในครอบครัวล้วนแบกไว้บนบ่าผม ช่างเป็นภาระอันหนักหน่วงเกินไป ไหนจะต้องดูแลคนในครอบครัว ไหนจะต้องออกไปขอทาน แถมยังไม่ค่อยได้นอนเต็มที่เป็นเวลานาน มันเป็นภาระที่เด็กคนหนึ่งแทบจะรับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

เด็กวัย 13 ขวบอย่างผม วัยที่เพิ่งจะเริ่มรู้จักการคิดพิจารณา เพิ่งจะรู้จักแสวงหาความหมายและรสชาติของชีวิต ในขณะที่คนอื่นเงยหน้าขึ้นมองเห็นฟ้ากว้างเมฆขาว แต่ผมกลับต้องเผชิญกับพายุร้ายที่ไล่เท่าไรก็ไม่ยอมจากไป ผมแทบจะมองไม่เห็นเลยว่าอนาคตจะไปในทางใด หนทางข้างหน้าที่จะก้าวไปนั้นช่างเต็มไปด้วยอุปสรรคยากเย็นนัก เวลาอยู่ที่โรงเรียนก็พอจะสบายใจอยู่บ้าง แต่เมื่อกลับถึงบ้านเห็นคนในครอบครัวทีไร นึกถึงว่าต้องออกไปแสวงหาอาหารมายังชีพสำหรับชีวิตในวันพรุ่งนี้อีกสามมื้อแล้ว ผมรู้สึกว่าบ้านตัวเองคือนรกชัด ๆ มีแต่จะลากให้ผมตกต่ำลงไป ตกต่ำดำดิ่งลงสู่เหวลึก ลึกจนไม่มีที่สิ้นสุด

ใช่ว่าผมจะไม่เคียดแค้นหรือไม่ชิงชัง เวลาที่ผมเกิดทนไม่ได้ขึ้นมา ผมก็จะกำหมัดขึ้นต่อยกำแพงหนัก ๆ เพื่อระบายความคับแค้นจุกอก แต่ก็ช่วยให้มึนชาได้แค่เพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น ไม่นานพอผมรู้สึกตัวขึ้นมาก็จะยิ่งเจ็บช้ำไปเสียยิ่งกว่าเดิม หลายครั้งที่ผมถึงกับอยากจะฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียเลย

ผมเคยถือมีดออกจากเล้าหมูมากรีดข้อมือตัวเอง แต่กรีดอย่างไรก็ไม่เข้า เพราะมีดของเราเก่าคร่ำคร่าจนสนิมกินหมดแล้ว ผมเคยคิดจะผูกคอตาย อุตส่าห์ไปหาเชือกมาผูกที่ขื่อ เตรียมจะแขวนคออยู่แล้ว แต่อาไฉน้องชายปัญญาอ่อนของผมก็ดันวิ่งเข้ามาดึงเชือกไปเล่นเสียก่อน พอผมเห็นหน้าตาซื่อ ๆ เซ่อ ๆ ของน้องชายแล้วก็ใจอ่อน ผมถึงกับเคยคิดจะฆ่าทั้งครอบครัวให้ตายเสียหมดเลยทีเดียว จะได้จบเรื่องจบราวกันไปเสียที ไม่ต้องมีใครมารับเวรรับกรรมอันแสนจะขมขื่นทรมานนี้ต่อไป

เมื่อตัดสินใจแล้ว ผมก็แอบขโมยเศษเหรียญที่ไปขอทานกับพ่อ ต้องใช้เวลาอยู่หลายวันทีเดียวกว่าจะรวบรวมได้เงินมาจำนวนหนึ่ง ระหว่างทางกลับบ้านหลังเลิกเรียน ผมหาร้านขายยาปราบศัตรูพืชเจอร้านหนึ่ง ตั้งใจว่าจะใช้ยาฆ่าแมลงสักขวดมาปลดปล่อยชีวิตอันยากแค้นแสนเข็ญของพวกเรา

ผมยืนอยู่ที่มุมถนน มองเข้าไปในร้านอย่างลังเล ควรเข้าไปหรือไม่ควรเข้าไปดีนะ จะเข้าไปหรือไม่เข้าไปดีนะ ในใจคิดวนเวียนอย่างนี้อยู่นับร้อยนับพันครั้ง เงินที่กำไว้ในมือนั้นชุ่มเหงื่อจนเปียกชื้น แต่ก็ก้าวขาไปข้างหน้าไม่ออกเลยจริง ๆ ผมกัดริมฝีปากแรง ๆ ก็ไม่ใช่คิดเป็นร้อย ๆ ครั้งแล้วหรือ เกิดมาทุกข์ยากเสียขนาดนี้ แล้วยังจะอยู่ต่อไปทำไมเล่า หรือยังอยากจะมีชีวิตอยู่ให้คนอื่นเขาถากถางดูถูก ด่าทอ และทุบตีต่อไปอย่างนั้นหรือ ผมตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เดินตรงดิ่งเข้าไปในร้าน

ผมชักจะใจฝ่อ ก้าวขาเข้าไปในร้านอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เหมือนพวกโจรกระจอก เสียงหัวใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำ ภายในร้านดูมืดทึบไปหมด

“จะเอาอะไร” จู่ ๆ เจ้าของร้านก็โผล่หน้าออกมาจากเคาน์เตอร์สูงตรงหน้า ทำเอาผมตกใจแทบแย่

“ผม...เอ่อ...ที่นี่...ที่นี่มียาฆ่าแมลงขายไหมครับ” ผมพยายามบังคับตัวเองไม่ให้สั่น

เจ้าของร้านมองผมอย่างพินิจพิจารณา เขาคงไม่เคยเห็นเด็กที่ไหนมาซื้อยาฆ่าแมลงมาก่อนกระมัง ผมกลัวเขาจะสงสัยจึงรีบอธิบายต่อว่า พ่อใช้ให้ผมมาซื้อไปฆ่าแมลงที่บ้าน เจ้าของร้านจึงเข้าไปหยิบมาให้ แล้วยังกำชับผมด้วยว่า ยานี้คนกินไม่ได้นะ ถ้ากินเข้าไปละก็ตายแหงแก๋เลยรู้หรือเปล่า ผมพยักหน้ารับ แล้วหยิบเศษเหรียญออกจากกระเป๋ามาเทกระจายบนเคาน์เตอร์ ถามเขาว่าเท่านี้พอหรือเปล่า เจ้าของร้านพยักหน้ารับอย่างจำใจ และบอกว่าเงินเท่านี้ซื้อได้ขวดเดียว ผมคิดในใจว่าขวดเดียวก็พอแล้วจึงถือกลับบ้านมา

พอเข้ามาบ้าน ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทุกอย่างยังคงเป็นเช่นเดิมเหมือนทุกวัน พ่อนั่งสีซออยู่ตรงนั้น แม่กับน้อง ๆ นั่งเล่นดินทรายกันอยู่ที่พื้น เสื้อผ้าข้าวของกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ยังสกปรกเลอะเทอะเหมือนเดิม เก่าแก่ซอมซ่อเหมือนเดิม อะไร ๆ ก็ยังเหมือนเดิม ทันใดนั้น ผมก็เหลือบไปเห็นเศษกระดาษชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ปลิวว่อนกระจายอยู่ที่มุมบ้าน พอเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ให้ตายเหอะ! นี่มันสมุดการบ้านของผมนี่นา การบ้านที่ผมจะต้องส่งวันจันทร์หน้า ขาดยับเยินเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปหมดแล้ว...

ผมคิดว่าตัวเองคงจะต้องโมโหน้อง ๆ แน่ แต่กลับไม่รู้สึก

ทุกอย่างกำลังจะจบลงแล้ว ทุกอย่างกำลังจะจบลงแล้ว ทุกอย่างกำลังจะจบลงแล้ว ผมพร่ำบอกกับตัวเอง

ผมหยิบยาฆ่าแมลงออกมาจากกระเป๋านักเรียน เดินอย่างสงบเข้าไปที่ถังข้าวสาร ข้าวในถังคงเหลือพอหุงได้อีกสักสองวัน ก็ดีเหมือนกัน วันนี้จะหุงให้หมดไปเลย ทุกคนจะได้กินให้อิ่ม ๆ พออิ่มแล้ว...จะได้ไปกันสบาย ๆ หน่อย

แล้วน้ำตาก็เริ่มไหลออกมาทีละหยด ๆ ผมคิดว่าเดี๋ยวพอข้าวสุกแล้วก็ค่อยเทยาลงไปผสมกับข้าว อย่างนี้ทุกคนจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกันอีกต่อไป ข้าวในหม้อเริ่มเดือดปุด ๆ ฝาหม้อเริ่มขยับตามจังหวะของไอน้ำในหม้อราวกับจะเตือนผมว่าถึงเวลาแล้ว

คิดได้ดังนี้ น้ำตาก็ทะลักพรั่งพรูออกมา แต่ผมจะร้องไห้มีเสียงไม่ได้เป็นอันขาด เพราะถ้ามีเสียงร้องไห้ พ่อก็จะต้องรู้ถึงความผิดปกติแน่นอน แต่ก็เจ็บปวดเกินจะทนแล้ว ลืมกระทั่งความร้อนของหม้อ ผมใช้สองมือกำหูหม้อทั้งสองข้างไว้แน่น หยุดเสียที อย่าร้องอีกเลย ขืนยังส่งเสียงดังอย่างนี้ต่อไปผมคงทนไม่ไหวแน่...ลาก่อนครับพ่อ ลาก่อนครับแม่ แล้วยังจะน้อง ๆ อีก ขอโทษนะ ขอโทษ ขอโทษ

จนกระทั่งข้าวสุกดีแล้ว ผมแข็งใจจะเทยาฆ่าแมลงลงไป กำลังหมุนเกลียวฝาขวดออก พลันก็เห็นภาพของพี่สาวปรากฏขึ้นมาตรงหน้า เห็นเธอถูกพวกแมงดาลากกลับไปด้วยน้ำตานองหน้า เห็นเธอถูกพวกแมงดารุมทุบตีด้วยไม้ เห็นเธอรับแขกอยู่คนแล้วคนเล่า แม้วันนั้นของเดือนก็ไม่มีทางได้หยุดพัก...แล้วก็ยังเห็นเธอร้องไห้สะอื้นพูดกับผมว่า “ไม่เป็นไรหรอกอาจิ้น พี่เต็มใจเอง”

ผมทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ตะโกนออกมาว่า “โอย!…โอย!” พี่สาวยังไม่เคยคิดเสียดายชีวิตตัวเองเลย ขอแต่ให้คนทั้งบ้านมีชีวิตอยู่กันต่อไปเท่านั้น พี่เคยบอกว่าชีวิตอยู่ได้ด้วยความหวัง แต่นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่ ทำไมผมถึงได้ใจดำอำมหิตเพียงนี้ ผมทำลงไปได้อย่างไรกัน ถ้าเทียบกับพี่สาวแล้ว อย่างไรผมก็ยังมีพ่อแม่อยู่ใกล้ ๆ ยังได้อยู่บ้านของตัวเอง แล้วพี่ล่ะ ทั้งถูกทารุณถูกเหยียดหยามย่ำยีสารพัด จะไปไหนมาไหนก็ขาดอิสระ ถูกแม่เล้าดุด่า โดนพวกแมงดาทุบตี

พอคิดอย่างนี้แล้ว มือทั้งสองของผมก็สั่นไปหมด ผมจะใจดำใช้ยาพิษฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าน้อง ๆ ได้ลงคอเชียวหรือ...อา! ผมกำหมัดชกลงที่อกของตัวเอง ตื่น ๆ ๆ อาจิ้น ตื่นเสียที!

ผมยกมือขึ้นปัดฝาหม้อออก ผลุนผลันวิ่งออกไปข้างนอก ผมได้ยินเสียงเรียกของพ่อเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เอาแต่หลับหูหลับตาวิ่ง วิ่ง และวิ่ง วิ่งไปก็ตะโกนสุดเสียงไปตลอดทาง แล้วจะทำอย่างไรดี แล้วจะทำอย่างไรดี แล้วอาจิ้นควรจะทำอย่างไรดี

วิ่งเสียจนอ่อนแรง ขาทั้งสองข้างอ่อนทรุดลงกับพื้นนาข้าวที่เพิ่งจะเก็บเกี่ยวเสร็จใหม่ ๆ จะหันมองไปทางใดก็ดูอ้างว้างยาวไกลสุดลูกหูลูกตา เสียงลมยามเย็นพัดผ่านดังแว่วที่ข้างหูอยู่ตลอดเวลา ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นโอบกอดตัวเองไว้ แล้วร้องไห้โฮออกมาอย่างสุดกลั้น

ค่ำลงผมก็ลากขากลับบ้านอย่างเหนื่อยอ่อน โชคดีที่พ่อไม่อยู่บ้าน ผมรีบถือโอกาสแอบเอายาฆ่าแมลงที่ยังไม่ได้ใช้นี้ซ่อนไว้ใต้เตียง แล้วตัวเองก็ปีนขึ้นเตียงไปพักผ่อน

แต่พอวันต่อมา ผมก็ต้องนึกเสียใจ เรียนแทบไม่รู้เรื่องเลย ใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ตลอดทั้งวัน ผมนี่ช่างเลินเล่อเสียจริง ไม่รู้ทำไมเอายาฆ่าแมลงไปซ่อนไว้ใต้เตียง ถ้าหากว่าแม่หรือน้องเกิดไปเปิดเล่นเข้า แล้วเผลอกินเข้าไปละก็ จะทำอย่างไร ครูกำลังสอนอะไรอยู่ ผมฟังไม่รู้เรื่อง ในสมองมีแต่ภาพน่าอนาถต่าง ๆ วนไปเวียนมาไม่หยุด

เหมือนจะเห็นภาพแม่กับน้อง ๆ กินยาฆ่าแมลง แล้วก็ลงไปนอนชักแหง็ก ๆ อยู่กับพื้น แต่พ่อของผมมองไม่เห็น ย่อมไม่รู้ว่าพวกเขากินยาฆ่าแมลงลงไป แล้วพ่อจะส่งพวกเขาไปโรงพยาบาลได้ไหมนะ แต่ถ้าไม่มีใครอยู่บ้านเลยไม่ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่หรือ ไม่รู้ว่าแม่ต้องทนทรมานไปนานสักเท่าไรถึงจะมีคนมาพบเข้า ยิ่งคิดก็ยิ่งกังวล แต่จะบอกครูก็ไม่ได้ เพราะผมไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องยาฆ่าแมลงที่ลูกทรพีอย่างผมได้ซื้อมาเตรียมไว้ฆ่าคนทั้งบ้านให้ครูฟังว่าอย่างไรดี

เลิกเรียนปุ๊บ ผมก็รีบวิ่งหน้าตั้งกลับบ้านทันที ตลอดทางที่วิ่งกลับบ้าน ผมก็เฝ้าภาวนาอยู่ในใจว่า แม่ อาไฉ อย่าตายนะ พอเข้ามาถึงประตูบ้าน เฮ้อ! โล่งอก แม่กับอาไฉยังอยู่ดีทั้งคู่ ผมกระโดดเข้าไปกอดพวกเขาไว้แน่น แล้วก็ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจที่พวกเขาไม่ได้กินยาฆ่าแมลง ผมกลัวพ่อจะเจอยาฆ่าแมลงที่ผมซ่อนเอาไว้ใต้เตียง จึงรีบเอาออกไปโยนทิ้งที่แม่น้ำหลังบ้าน ผมนั่งคุกเข่าลงข้างแม่น้ำ มองตามขวดยาฆ่าแมลงที่ลอยขึ้น ๆ ลง ๆ ไปตามกระแสน้ำที่พัดพาไปจนลับตา ปวดใจเหลือเกิน

ถ้าคนในบ้านตาย ผมคงทนไม่ได้ แต่หากผมตัดช่องน้อยแต่พอตัวฆ่าตัวตายไปคนเดียวแล้วละก็ ใครเล่าจะมาช่วยดูแลพวกเขา ผมถูกภาระอันหนักอึ้งกดดันจนแทบจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล แล้วผมควรจะเดินอย่างไรต่อไปดี ผมไม่ต้องการให้ใครชมว่าแข็งแกร่ง ไม่ต้องการให้ใครชมว่ากล้าหาญ คำสรรเสริญหรือจะช่วยเหลืออะไรผมได้ ผมเพียงต้องการไหล่ของใครบางคนที่พอจะให้ผมได้พักพิง แอบอิง พักผ่อนบ้างจะมีใครมาช่วยเติมกำลังให้กับอาจิ้นได้บ้างไหมหนอ จะมีใครช่วยชี้นำทางสว่างให้กับอาจิ้นได้บ้างว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 03:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 34
เขียนพู่กัน

วันหนึ่ง ตอนเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 2 ผมเห็นบอร์ดที่ข้างระเบียงติดประกาศผลงานการประกวดความสามารถด้านศิลปะแขนงต่าง ๆ ของนักเรียนในภาคเรียนนี้ ประกาศทั้งชื่อและชั้นเรียนของผู้ชนะการประกวดวาดภาพและเขียนพู่กัน อันดับที่ 1 – 3 แล้วยังแปะผลงานที่ได้รับรางวัลขึ้นโชว์ไว้ที่บอร์ดอีกด้วย ผมรู้สึกชื่นชมเหลือเกิน แอบคิดอยู่ในใจว่าหากผลงานของตัวเองมีโอกาสได้แปะขึ้นไว้ที่นี่เหมือนพวกรุ่นพี่บ้างก็คงจะดีไม่น้อย

ขณะที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความคำนึงนั้น ก็พลันมีลูกบอลลูกหนึ่งกระดอนเข้ามาโดนที่ขาผมเข้า พอก้มตัวลงไปเก็บลูกบอล ก็ได้ยินเสียงเพื่อน ๆ ตะโกนเรียกแว่วมาแต่ไกลว่า “ทางนี้ ๆ อาจิ้น มาเตะบอลกันเถอะ เร็วเข้า เรากำลังขาดคนนึงอยู่พอดีเลย” ผมถือลูกบอลไว้ มีเด็กที่ไหนจะไม่ห่วงเล่นบ้าง ยิ่งผมเคยผ่าน “การฝึกฝนร่างกายระยะยาว แรงก็เยอะ กำลังก็มาก” แน่นอน ใจผมอยากจะวัดแรงกับเพื่อน ๆ เป็นธรรมดา แต่พรุ่งนี้ก็จะมีสอบ แถมคืนนี้ยังต้องออกไปขอทานกับพ่ออีก ยังต้องหุงข้าว ต้องซักผ้า ถ้าไม่รีบใช้เวลาอ่านหนังสือตอนนี้ แล้วจะสอบได้คะแนนดี ๆ ได้อย่างไร พอคิดถึงตรงนี้ผมก็ส่ายหน้าปฏิเสธ พร้อมกับส่งลูกบอลคืนเพื่อน ๆ ไป แล้วเดินกลับเข้าไปทำการบ้านในห้องเรียนที่ว่างเปล่าเพียงลำพัง

ผมยังไม่ลืมเรื่องการประกวดความสามารถทางศิลปะเลยจนกระทั่งสอบเสร็จ เพื่อน ๆ ต่างระริกระรี้เป็นปลากระดี่ได้น้ำ เฮโลกันลงสนามไปเล่นบอลบ้าง กระโดดเชือกบ้าง เตะลูกขนไก่บ้าง แต่ผมกลับตัดใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะต้องเตรียมฝึกหัดเขียนพู่กันให้สวยเอาไว้ เผื่อว่าพอขึ้นชั้นประถมปีที่ 3 แล้ว จะได้ลงแข่งประกวดเขียนพู่กันบ้าง

ที่บ้านผมไม่มีใครรู้หนังสือเลย จึงไม่มีใครคอยสอนผมว่าต้องเขียนอย่างไรลากเส้นแบบไหน จับพู่กันท่าไหนจึงจะเขียนตัวหนังสือได้สวย นอกจากนี้ที่บ้านผมก็ไม่มีเงินเหลือพอที่จะเจียดให้ผมเอาไปซื้อกระดาษและพู่กันมาฝึกเขียนได้ แต่ผมเชื่อว่า ขอแต่ให้มีความมุ่งมั่นและอดทน ถึงจะฝึกเองก็ต้องดีกว่าเดิมขึ้นมาบ้าง ดังนั้นผมจึงลงไปที่สนาม เก็บกิ่งไม้ที่มีขนาดพอเหมาะมาใช้แทนพู่กัน ใช้พื้นดินทรายเป็นกระดาษที่ไม่ต้องลงทุนหาซื้อ แล้วลงมือเขียนกับพื้น พอเขียนเสร็จก็ลบออกด้วยมือและเท้า แล้วเขียนใหม่อีก

ตอนเริ่มฝึกเขียนใหม่ ๆ ผมมักจะรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ติดขัดไม่ถูกต้อง ตอนหลังผมแอบไปดูพวกรุ่นพี่หัดเขียนกันในห้องเรียน จึงได้รู้ว่าที่แท้วิธีจับพู่กันของพวกเขาไม่เหมือนกับการจับดินสอโดยทั่วไปนั่นเอง พอรู้เทคนิคข้อนี้แล้ว ผมก็ดีใจเหมือนลิงได้แก้ว

วันต่อมาผมก็แอบใช้เวลาระหว่างที่ไปขอทาน แวบเข้าไปหาข้อมูลในร้านขายหนังสือ หาดูพวกหนังสือประเภทสำหรับผู้ที่เริ่มฝึกเขียนพู่กัน ในหนังสือจะบอกวิธีจับพู่กันอย่างไรให้ถูกต้อง จะต้องเริ่มลงเส้นอย่างไร ลากเส้นอย่างไร เก็บปลายพู่กันอย่างไร และมีข้อสำคัญควรระวังอย่างไรบ้าง เมื่อไม่มีเงินซื้อหนังสือ ผมจึงต้องเข้าไปยืนเปิดหนังสืออ่านในร้าน และท่องจำทีละข้อ ๆ แล้วมาฝึกต่อเอาเองที่โรงเรียน

แต่กิ่งไม้ก็ไม่ใช่พู่กันอยู่ดี มันให้ความรู้สึกไม่เหมือนกันเลยสักนิด ไม่เป็นไร วันนี้เขียนร้อยตัว พรุ่งนี้ก็เพิ่มเป็นสองร้อยตัว ถ้ายังไม่สวยก็เขียนเพิ่มอีกร้อยตัว ขอเพียงแต่ให้ขยันฝึกฝน จะท้อถอยหรือขี้เกียจไม่ได้เป็นอันขาด วันหนึ่ง ผมจะต้องเขียนตัวหนังสือได้สวยเหมือนในหนังสือแบบเขียนพู่กันให้ได้

ผมฝึกหนักอย่างนี้มาปีกว่า พอขึ้นชั้นประถมปีที่ 3 คุณครูก็ส่งผมเข้าประกวดเขียนพู่กันจริง ๆ ด้วย ผมดีใจจนนอนไม่หลับเลยทั้งคืน ก็มันเป็นการประกวดครั้งแรกของผมเลยนี่นา พอมาถึงห้องสอบ ผมเห็นนักเรียนคนอื่นล้วนแต่มีกล่องอุปกรณ์ที่สวย ๆ กันทั้งนั้น ข้างในกล่องมีอุปกรณ์การเขียนพู่กันหลากชนิด ดูเหมือนจะมีแต่คนมีฝีมือเยี่ยมยอดกันทั้งนั้น

พอก้มลงดูของตัวเองถือมาบ้าง ช่างอนาถาเสียเหลือเกิน พู่กันของผมเป็นพู่กันชนิดที่ราคาถูกที่สุดในร้าน จานฝนหมึกก็เป็นชนิดที่ราคาถูกที่สุดเหมือนกัน แค่อุปกรณ์ของผมก็เทียบคนอื่นไม่ติดแล้ว คงต้องอาศัยความสามารถเท่าที่ตัวเองมีเท่านั้นจึงจะสู้เขาได้

แต่เจ้าพู่กันของผมท้อแท้ก่อนผมเสียอีก เขียนไปขนก็หลุดไป เวลาเขียนใบเสร็จแต่ละตัวก็ต้องคอยหยุดดึงขนที่หลุดออกมาทีละเส้นสองเส้น กว่าจะเขียนเสร็จ มือข้างซ้ายของผมดำปี๋ไปเสียทุกนิ้ว

ไม่นึกเลยว่า แม้จะตกอยู่ในสภาวะที่เป็นรองเช่นนี้ แต่ผมกลับเอาชนะนักเรียนรุ่นพี่ทุกคนในการแข่งขันครั้งนี้ได้ และได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดเขียนพู่กันระดับโรงเรียนด้วย

เมื่อเดินผ่านบอร์ดประกาศของโรงเรียนอีกครั้ง ผมเห็นผลงานของตัวเองได้ปิดประกาศขึ้นที่บอร์ดบ้าง ผมคิดในใจว่า ในที่สุดความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จก็อยู่ที่นั่นจริง ๆ จะมีคนสอนหรือไม่ก็ตาม ขอแต่ให้มีความเพียร ที่สุดแล้วก็จะต้องได้รับผลตอบแทนแน่นอน หลังจากได้รับรางวัลแล้ว ผมก็ไม่ได้ลำพองใจ ยังคงฝึกเขียนบนพื้นดินต่อไป จนถึงชั้นประถมปีที่ 6 ผมก็ยังได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดเขียนพู่กันตลอดมา

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 03:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 35
มือเท้าเป็นระวิง

ช่วงปี 1960 ในหมู่บ้านตามชนบทที่มีประชากรเพียงไม่กี่ร้อยหลังคาเรือนนั้น หมู่บ้านหนึ่งมีสักสามสี่บ้านเท่านั้นที่มีโทรทัศน์ แถมยังเป็นโทรทัศน์ขาวดำอีกด้วย

“โทรทัศน์” สำหรับเด็กนักเรียนประถมอย่างผมแล้ว มันเป็นเหมือนกับกล่องมายากล กล่องสี่เหลี่ยมธรรมดาเหมือนกับตู้ใหญ่ใบหนึ่ง ถึงเวลา ประตูก็จะเลื่อนจากตรงกลางเข้าไปที่ด้านข้างทั้งสอง พอกดสวิตช์ปุ๊บ ก็จะมีคนปรากฏตัวขึ้นมาร้องเพลงที่หน้าจอ พอกดสวิตช์อีกทีภาพก็เปลี่ยนไป กลายเป็นตัวการ์ตูนเจ้ากระต่ายน้อยปรากฏขึ้นมาบ้าง มันเหมือนกับก้าวเข้าไปสู่โลกแห่งความเพ้อฝัน คนที่แต่งตัวสวยงามกำลังเต้นรำกันอยู่ข้างใน การจ้องดูฟลูออเรสเซนต์นี้เหมือนจะช่วยก่อให้รู้สึกถึงความสุขสดใสเช่นนี้ตลอดไป

อาจเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็น หรืออาจเป็นเพราะภาพสดสวยและเสียงสดใสที่ดึงดูดใจ พอผมรู้ว่าเพื่อนละแวกบ้านคนหนึ่งของเราซื้อโทรทัศน์มาใหม่ จากนั้นทุกวันไม่ว่าจะไปโรงเรียนตอนเช้า เลิกเรียนกลับบ้านตอนเย็นหรือจะออกไปขอทาน ผมเป็นต้องหาเรื่องเดินผ่านบ้านหลังนี้ให้ได้ แล้วคอยเหลือบตาดูว่าเจ้ากล่องมายากลนั้นเปิดอยู่หรือเปล่า

เย็นวันหนึ่ง พ่อใช้ให้ผมออกไปซื้อของในหมู่บ้าน ตอนผมเดินผ่าน บ้านนี้ก็กำลังเปิดโทรทัศน์ดูการ์ตูนเรื่องที่ผมชอบดูอยู่พอดี ผมห้ามใจไม่อยู่จึงปีนดูผ่านช่องหน้าต่าง ดูเพลินจนแทบจะลืมกะพริบตา ดูเพลินจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ผมลืมไปเสียสนิทเลยว่าผมออกมาทำอะไร

จนน้องชายคนเล็กวิ่งตรงเข้ามาจิ้มปลายจมูกผม บอกว่า “เสร็จละแก ตายแน่คราวนี้” ผมถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา จะห้ามน้องไว้ก็ไม่ทัน เพราะเจ้าน้องชายวิ่งหายกลับบ้านไปเสียแล้ว ผมเดินคอตกตามหลังกลับบ้านไป คิดในใจว่าตายแน่ ๆ ไอ้เจ้าน้องชาย “ปากสว่าง” ของผมต้องวิ่งแจ้นกลับไปรายงานเรื่องนี้กับพ่อหมดแล้วแน่เลย

ผมยืนลังเลอยู่หน้าเล้าหมูว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ อิด ๆ เอื้อน ๆ อยู่นาน สุดท้ายก็ฝืนใจเดินเข้าบ้าน แล้วทุกอย่างก็เป็นจริงดับที่คาดไว้ พอก้าวพ้นประตูพ่อก็ให้ผมคุกเข่าลง แล้วยกไม้เท้าฟาดลงมาบนตัวผม ซ้ายทีขวาที แต่ละทีก็เจ็บร้าวจนถึงกระดูก แต่ผมรู้ว่าตัวเองทำผิด จึงทนข่มความเจ็บไว้ไม่ยอมร้องออกมา พ่อตีเสร็จ ก็ทิ้งคำพูดสุดท้ายฝากไว้ในใจผมว่า

“บ้านเรายากจนกันขนาดไหน อุตส่าห์ส่งให้แกได้เล่าเรียนหนังสือหนังหาแล้วไม่ตั้งใจเรียนอย่างนี้ แกไม่ละอายใจต่อพ่อแม่บ้างเลยหรือ”

พอได้ยินพ่อพูดอย่างนี้ ผมก็รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบคั้นอย่างแรง จากที่นิ่งกลั้นมาตลอด น้ำตาก็ไหลลงมาอาบสองแก้ม

หลังจากเรื่องนี้ผ่านไป ผมไม่เคยแอบไปดูโทรทัศน์ที่บ้านเพื่อนบ้านอีกเลย

ทุกวันพอโรงเรียนเลิก ผมก็จะรีบกลับมาหุงหาข้าวปลาอาหารให้กับคนในครอบครัว เตาในบ้านเราก็เป็นฝีมือของผม ทำโดยการเก็บเอาก้อนอิฐมากองเรียงกันเข้า แล้วใช้ดินเหนียวมาปะตามรูไว้ให้แน่น เท่านี้ก็เป็นเตาได้แล้ว ถ้าพอมีเวลาว่าง ผมก็จะออกไปหาเก็บฟางข้าว ฟืน กิ่งไม้มาตุนไว้สำหรับเป็นเชื้อเพลิง

การก่อเตาทำอาหารไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าฟืนไม่แห้ง ไฟก็ไม่ยอมติดเสียที ผมต้องนอนพังพาบลงกับพื้นแล้วใช้ปากเป่าลมโหมไฟในเตา ลมจากปากไม่แรงพอ ก็เลยใช้ฝาหม้อพัด บางครั้งลมพัดผิดทางก็ต้องหรี่ตาเป่าเตา ไม่เช่นนั้นขี้เถ้าจะปลิวเข้าตาจนน้ำตาไหล หลายครั้งที่กว่าไฟจะติด ผมก็ถูกเขม่าควันรมเสียดำปี๋ไปหมดทั้งตัว พอลุกขึ้นมา น้อง ๆ ก็หัวเราะชอบอกชอบใจกันใหญ่ ต่างวิ่งเข้ามารุมล้อมร้องล้อเลียนผมเสียงดังว่า “ดาร์กี้ ดาร์กี้ ไอ้นิโกรตัวดำปิ๊ดปี๋”

เตานี้มีไว้สำหรับหุงข้าว อีกเตาหนึ่งมีไว้สำหรับต้มน้ำให้คนในบ้านอาบ ผมต้องอาศัยเวลาช่วงที่ข้าวยังไม่สุก วิ่งด่วนจี๋ไปตักน้ำที่บ่อหลังมาต้ม ถังน้ำของเราก็ใบเล็กนิดเดียว ผมต้องวิ่งกลับไปกลับมาอยู่หลายหนทีเดียวกว่าจะได้น้ำพออาบกัน เมื่อน้ำเดือดแล้ว ผมต้องช่วยอาบน้ำให้น้อง ๆ ก่อน มือเท้าต้องว่องไว ฟ้าจะมืดอยู่แล้ว เดี๋ยวยังต้องออกไปขอทานอีก

พออาบน้ำเสร็จ ผมลองเปิดฝาหม้อข้าวดู อืม! ข้าวยังไม่ทันสุก ยังมีเวลาเหลือพอซักเสื้อผ้าได้อีกสักสองสามตัว พอกำลังเริ่มขยี้ผ้าเท่านั้น น้องชายสองคนก็ก่อคดีวิวาทกันขึ้น ผมต้องรีบเข้าไปห้ามศึกทันที แล้วเป็นอะไรไม่รู้ จู่ ๆ น้องสาวคนเล็กก็ร้องไห้ขึ้นมาอีก เอาละ เอาละ พอแล้ว! เงียบ! เอ๋ กลิ่นอะไรน่ะ

“ข้าวไหม้แล้ว อาจิ้น!” เสียงพ่อตะโกน

ตายแล้ว! ข้าวไหม้จริง ๆ ด้วย! เย็นนี้คงต้องกินข้าวตังกันแน่เลย ผัดผักอีกสักอย่างก็แล้วกัน มีดหั่นผักที่บ้านเราเก่าคร่ำคร่าจนสนิมกินตั้งนานแล้ว แม้แต่จะหั่นผักก็แทบหั่นไม่เข้าอยู่แล้ว ต้องออกแรงอีกนิด ฮึด - - โอ๊ย! เจ็บจัง! หั่นโดนนิ้วตัวเองเข้าแล้วไหมล่ะ เลือดไหลออกมาเปื้อนผักจนแดงเถือก แต่คนในบ้านจะต้องอดข้าวเพราะนิ้วผมเจ็บก็คงเป็นไปไม่ได้ ต้องหาเศษผ้ามาพันนิ้วแล้วใช้หนังยางรัดสองสามรอบเอาไว้ให้แน่นเสียก่อน แล้วค่อยหั่นผักต่อ

ผมต้องทำงานซักผ้าหุงข้าวด้วยมือเดียวติดต่อกันอยู่หลายวัน มือขวาทำงานไป มือซ้ายก็เจ็บเสียวแปลบขึ้นมาเป็นระยะ ๆ แต่ถึงจะร้องไห้ก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะอย่างไรงานก็ต้องทำอยู่ดี

เพราะว่าไม่มีเงิน เราจึงต้องกินข้าวต้มกันแทบทุกมื้อ บางครั้งเราแทบจะไม่มีข้าวสารกรอกหม้อเลยด้วยซ้ำไป เวลาต้มข้าวแต่ละทีต้องเติมน้ำแล้วเติมน้ำอีก จนเป็นข้าว “ต้ม” สมชื่อจริง ๆ บางครั้งหาเม็ดข้าวในหม้อก็แทบจะไม่เจอ ตักสักกี่ครั้งก็ได้แต่น้ำข้าวเท่านั้น ซดเข้าไปสักกี่ชามก็ยังไม่หายหิว คิดแล้วก็อยากจะร้องไห้ แต่ก็ร้องไม่ออกจริง ๆ

“ไชโป๊วปลาเค็ม” นับเป็นกับข้าวชั้นยอดแล้วสำหรับเรา จะทอดปลาเค็มแค่สักชิ้นก็ยังเสียดาย ต้องเอามาหั่นแบ่งออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตีใส่ไข่ พอเจียวเสร็จแล้วจึงแบ่งออกเป็นสิบกว่าส่วนให้ทุกคนได้กินกันคนละชิ้น แม้จะเป็นเพียงชิ้นเล็ก ๆ แต่กลิ่นและรสของมันก็เด็ดพอที่จะทำให้คิดถึงแล้วน้ำลายสอขึ้นมาเชียวละ

ผมจะต้องมือเท้าเป็นระวิงอยู่อย่างนี้ทุกวัน มีครั้งหนึ่งผมรีบไปโรงเรียนจนลืมไปว่ากำลังต้มน้ำตั้งไว้ที่เตา ที่บ้านก็ไม่มีใครสังเกตเห็น น้ำเดือดไปจนกาแห้งสนิทแล้วระเบิดขึ้น!

แน่นอนครับ ผมทำเรื่องอันตรายใหญ่หลวงเสียขนาดนี้ ย่อมต้องถูกลงโทษเป็นธรรมดา คืนนั้นพ่อสั่งให้ผมคุกเข่าอยู่นอกห้องจนฟ้าสาง ห้ามเข้าไปนอนในห้องเด็ดขาด

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 03:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 36
รสชาติของชีวิต

ยุคของการเกษตรยังไม่มีมลพิษ น้ำในคลองใสสะอาด กุ้งหอยปูปลาที่อาศัยอยู่เต็มแม่น้ำลำคลองนับเป็นอาหารเสริมที่ช่วยให้เราอยู่รอดมาได้จนถึงปัจจุบันนี้

ตอนที่ผมอายุประมาณสัก 12 ขวบได้ วันหนึ่ง พ่อให้ผมจูงท่านไปที่ริมคลองแห่งหนึ่ง ผมเห็นพ่อใช้ไม้เท้าหยั่งลงไปวัดความลึกของน้ำ จึงถามพ่ออย่างอยากรู้อยากเห็นว่าพ่อจะทำอะไรหรือ พ่อตอบว่า “ไอ้เด็กโง่เอ๊ย ก็ลงน้ำจับหอยสิวะ!” ผมหน้าชื่นขึ้นมาทันตา ยู้ฮู!- -

ได้ยินเพียงเท่านี้ ผมก็แทบจะกระโดดลงน้ำไปก่อนพ่อเสียอีก พ่อรีบคว้ามือผมไว้ “จะใจร้อนไปไหนกัน” พูดไปก็คลำดึงเอาเชือกเส้นหนึ่งออกมาจากตัว ปลายข้างหนึ่งผูกไว้ที่เอวตัวเอง ปลายอีกข้างหนึ่งผูกไว้ที่ผม เราวางไม้เท้าของพ่อและขันคู่ชีพไว้ที่ริมฝั่งก่อน จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินลงน้ำไปด้วยกันอย่างช้า ๆ พ่อสอนให้ผมก้มเอวลงต่ำ แล้วใช้มือควานลงไปในน้ำ น้ำคลองในฤดูร้อนช่างฉ่ำเย็นเสียเหลือเกิน

พอเท้าเหยียบลงไปกลางกระแสน้ำที่ไหลเย็นก็ก่อให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายสบายยิ่ง แต่ครู่เดียวก็ได้ผล ผมควานได้หอยนาตัวหนึ่งดีใจเสียแทบแย่ รีบส่งให้พ่อคลำดูว่าใช่หอยนาจริง ๆ หรือเปล่า อืม! หอยนาจริง ๆ ด้วย และเสือยิ้มยากอย่างพ่อก็ยิ้มออกมาได้ในที่สุด

พ่อนั้นเชี่ยวชาญยิ่งนัก แค่ใช้มือควานลงไปในน้ำเพียงครู่เดียวก็ได้หอยมาตั้งหลายตัว ทุกครั้งที่โยนหอยลงไปในขัน จะเกิดเสียงดังน่าฟังนัก “แกร็ง!” เสียง “แกร็ง” แต่ละครั้งสร้างความฮึกเหิมแก่คนฟังเหลือเกิน ผมดีอกดีใจจึงตะโกนเสียงดังออกมาอย่างลืมตัว แต่คราวนี้พ่อกลับไม่ได้ดุผม อารมณ์ของท่านดีขึ้นตามจำนวนหอยที่เพิ่มขึ้น จนแทบจะกลายเป็นผ่อนคลายลงในที่สุด

ตั้งแต่ผมเติบโตมา ครั้งนี้นับเป็นครั้งเดียวที่ผมได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับพ่อขนาดนี้ มันไม่เหมือนกับการทำงาน แต่เหมือนกับว่าเรากำลังเล่นเกมอะไรด้วยกันมากกว่า ถึงแม้วันนี้จะผ่านมาเป็นเวลานานนับ 30 ปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่ผมได้เห็นพ่อกับลูกเล่นบาสเกตบอล หรือเล่นโยนห่วงยางด้วยกันในละครโทรทัศน์ ผมก็อดที่จะนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้

ผมยังจำได้อีกว่า ตอนนั้นผมไม่ทันระวังเหยียบโดนตัวอะไรลื่น ๆ เข้าก็ตกใจ คิดว่าคงจะเป็นงูน้ำ แต่พอดูดี ๆ แล้วที่ไหนได้ ปลาไหลนั่นเอง แล้วผมก็ลืมไปว่าเราสองพ่อลูกถูกมัดติดกันไว้ จึงรีบกระโจนลงไปคว้าปลา พ่อเลยถูกลากลงไปด้วย ปลาไหลน่ะจับไม่ได้หรอก แต่เราเสียหลักล้มลงไปในน้ำ เปียกมะลอกมะแลกเป็นลูกหมาตกน้ำเลยทีเดียว แต่ถึงจะเปียกอย่างไร ผมก็ไม่เคยมีความสุขสนุกสนานเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต

ตอนจับหอยในน้ำนั้นสนุกมากจนผมแทบจะลืมอะไรทุกอย่างไปเสียสิ้น เมื่อขึ้นจากน้ำแล้ว จึงรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้น พอก้มลงมอง ก็เห็นปลิงดูดเลือดเกาะแน่นอยู่เต็มขาของเราสองคน พวกมันแต่ละตัวดูดเลือดเราเสียจนพุงป่อง

ผมตกใจมาก รีบใช้มือแกะพวกมันออก แต่ก็ยากเย็นเหลือเกิน เพราะพวกมันยิ่งดูดก็ยิ่งเกาะแน่น ต้องเอาหินมาทุบตัวพวกมันให้ขาดจากกัน แม้จะทุบโดนขาตัวเองจนเจ็บก็ต้องทน แล้วก็นึกถึงที่แต่ก่อนเคยได้ยินคนเขาพูดกันว่า ถ้าตัวปลิงขาดออกจากกันแล้ว มันก็จะยิ่งแบ่งตัวขึ้นมาอีก ยิ่งขาดออกมาเป็นหลายส่วนก็จะยิ่งเกิดเป็นหลายตัว นึกแล้วก็ยิ่งเครียดไปกันใหญ่

พอกลับถึงบ้าน พ่อก็เอาหอยมาล้างน้ำจนสะอาด จากนั้นจัดการทำ “หอยเค็ม” มากินกับข้าว ทั้งอร่อยทั้งเจริญอาหารดีแท้ สำหรับเราแล้วเห็นจะต้องบอกว่า นี่เป็นของขวัญที่หล่นลงมาจากฟากฟ้าเลยก็ว่าได้

ยังมีอาหารอีกอย่างที่สวรรค์ประทานมาให้แก่เรา - - นั่นคือ - - กบ

ความสามารถในการจับกบเป็นวิชาที่ผมขโมยเรียนมาจากพวกเด็ก ๆ ข้างบ้าน อันดับแรกเราจะต้องเตรียมเหยื่อล่อ จากนั้นนำมาแขวนใส่เบ็ดที่เราทำขึ้นมาเอง พอตอนเย็นตะวันใกล้ตกดิน เราก็จะเอาเบ็ดหลาย ๆ คันไปแขวนไว้ที่ข้างคันนา แล้วก็เดินกลับไปนอนฮัมเพลงรอที่บ้านอย่างสบายอารมณ์ วันต่อมาจึงค่อยรีบไปที่คันนาแต่เช้าตรู่ รับรองได้ว่าจะมีกบมาติดที่เบ็ดทุกคัน คันละตัว ๆ กบพวกนี้พอผ่านการปรุงอาหารแล้ว บอกได้เลยว่ารสชาติยอดเยี่ยมเด็ดขาดจริง ๆ

หรือหากว่าใจร้อนจนทนรอทั้งคืนไม่ไหวแล้วละก็ ยังมีวิธีจับกบอีกวิธีหนึ่งคือ ให้เราใส่เหยื่อล่อไว้ที่เบ็ดคันยาว ๆ แล้วหย่อนลงไปที่ข้างคันนาเหมือนเดิม ค่อย ๆ หย่อนลงไปแล้วก็ดึงขึ้น หย่อนลงแล้วดึงขึ้น หย่อนลงแล้วดึงขึ้นทำอย่างนี้อยู่เรื่อย ๆ ล่อให้กบกินเหยื่อให้ได้ พอกบติดกับแล้วก็ออกแรงดึงขึ้นมาทันที เท่านี้เป็นอันว่าเรียบร้อย

ถ้าจับกบหลังฤดูเกี่ยวข้าวก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ แค่เอาฟางที่กองสะเปะสะปะอยู่ตามพื้นดินออกไป ก็จะเห็นว่าข้างใต้มีรูที่กบซ่อนอยู่เยอะแยะ ถ้าถูกจังหวะก็อาจจับได้ครั้งละตัวเลยทีเดียว แต่ถ้าจังหวะไม่ดี ก็ต้องออกแรงวิ่งจับกบรอบนากันหน่อย พอถึงฤดูนี้ทีไร เราจึงมักจะเห็นเด็ก ๆ วิ่งหยอกล้อจับกบกันสนุกสนานเต็มท้องนา

บางครั้งเมื่อไม่ได้กินข้าวติดกันหลายมื้อเข้า เราก็ต้องหาผักหญ้าตามข้างทาง มะเขือป่าบ้าง ใบหม่อนบ้าง มากินกันแก้หิวไปก่อน โดยส่วนใหญ่ผมพอจะแยกแยะได้ว่าเป็นผักอะไร หรือหากพบผักหรือผลไม้บางชนิดที่ไม่รู้จัก ผมก็จะเด็ดมาลองกินเองก่อน เมื่อแน่ใจว่ารสชาติไม่เลวและไม่มีพิษแล้ว จึงค่อยเด็ดให้คนอื่นในบ้านกิน

ผมมักคิดว่า เด็กสมัยก่อนไม่ได้มีของเล่นหลากหลายเหมือนกับสมัยนี้ที่มีของล่อตาล่อใจมากมายเหลือเกิน และแม้ว่าคนจนก็อยู่ตามประสาจน แต่มันก็เป็นชีวิตที่มีรสชาตินัก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 03:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 37
นักเรียนตัวอย่างกับน้องชายปัญญาอ่อน

เมื่อผมเลื่อนขึ้นชั้นสูง ไล่เคอจิ้น น้องชายคนโตก็เริ่มเข้ามาเรียนชั้นประถมปีที่ 1 ที่โรงเรียนเดียวกันกับผม ในใบวินิจฉัยโรคของน้องชายคนโตนั้น หมอได้บันทึกไว้ดังนี้ “เป็นผู้ที่มีสติปัญญาไม่สมประกอบ ไอคิวต่ำกว่า 47” ต่ำกว่าไอคิวแม่เสียอีก

สมัยก่อนที่โรงเรียนยังไม่มีการแยกเรียนของนักเรียนพิเศษและนักเรียนปกติ น้องจึงต้องเรียนร่วมชั้นกับนักเรียนทั่วไป ตอนเช้าผมต้องพาน้องไปโรงเรียนด้วยกันทุกวัน พอส่งน้องเข้าห้องเรียนเรียบร้อยแล้ว จึงค่อยวางใจไปที่ห้องเรียนของตัวเองได้ แต่พอมานั่งเรียนก็ยังไม่สบายใจอยู่ดีนั่นแหละ เพราะน้องชายปัญญาอ่อนของผมมักจะก่อเรื่องขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน บางครั้งก็เอาไม้ไล่ตีหัวเพื่อน ทำเอาโกลาหลอลหม่านกันไปหมด บางครั้งก็วิ่งไล่เพื่อน ๆ จนต้องวนหนีกันอ้อมสนาม พวกเด็กผู้หญิงตกใจกลัวกันจนร้องไห้ไม่หยุด

และแน่นอนว่าบางครั้งน้องชายจอมเซ่อซ่าของผมก็ย่อมจะต้องโดนเพื่อน ๆ รุมแกล้งเป็นธรรมดา ดังนั้นพอเลิกเรียนทีไร ผมต้องวิ่งแจ้นจนแทบจะเหาะไปดูน้องที่ห้องเรียนชั้นประถมปีที่ 1 ทันที อย่างน้อยถ้าน้องอยู่ใกล้ ๆ ผม เขาคงจะรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย แล้วจะได้ไม่ก่อเรื่องขึ้นอีก

ที่โรงเรียนไม่มีใครไม่รู้จักผมกับน้อง คนหนึ่งนั้นสอบได้ที่ 1 ติดต่อกันถึงหกปี และยังได้เป็นหัวหน้าห้องที่เป็นนักเรียนตัวอย่างด้วย ส่วนอีกคนหนึ่งคือ “ไอ้ทึ่ม” ที่รักษาตำแหน่ง “บ๊วย” ของตนเองไว้ได้อย่างสม่ำเสมอทุกปี แต่เพราะน้องนี่แหละที่ทำให้ผมรู้สึกว่า แท้ที่จริงแล้วคนที่ฉลาดที่สุดก็คือคนที่โง่ที่สุดนั่นเอง

เพราะผมนั้นรู้และเข้าใจไปหมด จึงต้องทำอะไร ๆ ไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ต้องเป็นผมที่คอยกลุ้มอกกลุ้มใจและแก้ปัญหาอยู่เรื่อย แต่น้องชายผมกลับไม่เป็นอย่างนั้น แม้จะได้กินแต่ไข่ต้ม ต้องถือศูนย์คะแนนกลับบ้านทุกครั้ง ก็ยังยิ้มร่าดีอกดีใจ ไม่มีใครดุด่าเขาเลยสักคน แต่ดุไปก็คงไม่มีประโยชน์เพราะอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจอยู่ดี

ต่อมาผมตั้งใจว่าจะสอนน้องให้อ่านหนังสือให้ได้ จึงพยายามพาเขาอ่านหนังสือทุกวัน วันละประโยค และคอยจับมือให้เขาหัดเขียนหนังสือ ตอนแรกสมองกับมือของน้องไม่ไปด้วยกันเอาเสียเลย จะบังคับอย่างไรก็ไม่ฟัง ลากเส้นเพียงขีดเดียวก็ยังบิด ๆ เบี้ยว ๆ แล้วเจ้าตัวก็ไม่ยอมใส่ใจ บางครั้งผมก็โกรธจนอยากจะเขกหัวน้องแรง ๆ สักที แต่พอคิดว่า แค่เขาเกิดมาปัญญาอ่อนก็น่าสงสารอยู่แล้ว ผมก็เลยเขกหัวเขาไม่ลง

แต่หลายปีต่อมา ในที่สุดน้องก็เริ่มเขียนหนังสือบางตัวได้ เช่น “o” “x” “1” “23” กับคำว่า “ไล่เคอจิ้น” ซึ่งเป็นชื่อของตัวเอง ทั้งหมดรวมกันเป็นแปดตัวพอดี แถมตัวหนังสือของแกก็ยังบูด ๆ เบี้ยว ๆ มือที่จับปากกาก็ดูคล้ายกับท่ากำหมัดเสียมากกว่า ผมหาข้อสอบเก่า ๆ มาสอนน้อง ให้เขาดูตำแหน่งที่ต้องเขียนคำตอบลงไป ให้เขาลองทำดูหลาย ๆ ครั้ง ผิดก็แก้ใหม่ ถูกก็ทำซ้ำไปเรื่อย ๆ เช่นนี้อยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า

แล้วสวรรค์ก็เริ่มเห็นใจในความพยายามของผม ผลสุดท้ายในการสอบครั้งหนึ่งตอนชั้นประถมปีที่ 4 เทอมปลาย น้องฟลุคเดาคำตอบถูกอยู่หลายข้อทีเดียว นับเป็นครั้งแรกที่เขาสามารถตีไข่แตกได้ และยังสามารถเอาชนะเพื่อนนักเรียนชั้นเดียวกันได้อีกคนหนึ่งด้วย เป็นผลให้น้องสอบได้ที่ 2 นับจากอันดับสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียว

ความก้าวหน้าครั้งนี้ได้รับความชื่นชมจากครูใหญ่เป็นอย่างมาก ถึงขนาดออกปากชมน้องกลางหอประชุม พร้อมทั้งมอบรางวัลพัฒนาการดีเด่นให้น้อง ดูมาดเขาเดินขึ้นไปรับรางวัลบนเวทีท่ามกลามเสียงปรบมือเกรียวกราวที่ดังขึ้นในครั้งนี้ เมื่อเทียบกันแล้ว ยังดังกึกก้องกว่าเสียงปรบมือตอนที่ผมขึ้นไปรับรางวัลสอบได้ที่ 1 ติดต่อกันตลอดหกปีเสียอีก

พอได้เห็นเช่นนี้ ผมก็ชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี แต่แล้วน้ำตาผมก็ไหลออกมา มันเป็นน้ำตาแห่งความอิ่มเอมใจที่ความเหนื่อยยากของผมไม่ได้สูญเปล่าเลย

พอกลับถึงบ้าน ผมก็เล่าเรื่องที่น้องชายคนโตได้ขึ้นไปรับรางวัลให้พ่อฟัง พ่อฟังแล้วก็ยิ้มออกมา ซึ่งน้อยครั้งนักที่จะได้เห็น ท่านยิ้มน้อย ๆ พลางมองน้องชายคนโต ผมยอมรับว่าตอนนั้นผมชักจะแอบอิจฉาขึ้นมาหน่อย ๆ รางวัลของผมติดอยู่ทั่วผนังห้อง อย่าว่าแต่คำชมเลย แค่จะยิ้มสักทีพ่อก็ยังไม่เคย ผมอยากได้รอยยิ้มอย่างนั้นจากพ่อสักครั้งบ้างจัง คิดแล้วก็ยิ่งน้อยใจจริง ๆ

แต่ความเหนื่อยยากที่มีมาหลายปีก็แลกมาได้แค่เสียงปรบมือช่วงสั้น ๆ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพราะหลังจากได้รับรางวัลเพียงสองวัน น้องก็ลืมทุกอย่างที่ผมสอนไปหมด เขายังไล่ตีเพื่อน ไล่แกล้งเด็กนักเรียนหญิง เวลาเรียนหนังสือก็โวยวาย เลิกเรียนก็เกเร วิ่งวุ่นไล่คนโน้นคนนี้ไปรอบสนามอยู่เหมือนเดิมทุกอย่าง

มีครั้งหนึ่งที่ผมไปดูน้อง ก็พอดีเห็นเขากำลังถือไม้เท้าตามหลังครูใหญ่ แถมยังทำเดินส่ายอาด ๆ วางมาดเหมือนกำลังจับสังเกตครูใหญ่ที่กำลังเดินตรวจตราโรงเรียนอยู่อย่างนั้นแหละ ผมใจหายวาบขึ้นมาทันที นั่นครูใหญ่เชียวนะ ผมชะงักงันไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ถ้าจะวิ่งเข้าไปห้ามน้อง ครูใหญ่เดินอยู่ข้างหน้าก็ต้องเห็นแน่ แต่ถ้าไม่ห้าม เกิดน้องใช้ไม้ฟาดลงที่หัวครูใหญ่ล่ะ จะไม่ยิ่งแย่ไปกันใหญ่หรือ โอย...ร้อนใจจะแย่แล้ว

ดีที่ครูใหญ่เลี่ยวเต๋อหวาเป็นนักการศึกษาที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ท่านจึงไม่ได้แสดงความโกรธเคืองแต่อย่างใด เพียงหันมาพูดยิ้ม ๆ กับผมอย่างใจดีว่าให้ผมพาน้องกลับไปที่ห้องเรียน

ตอนหลังผมได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยเทคนิคประจำจังหวัด มีอาจารย์ท่านหนึ่งชื่ออาจารย์จวงเซินซาน ท่านกรุณาต่อผมมาก บ้านของอาจารย์เลี้ยงเป็ดเล้าหนึ่งมีเป็ดเป็นหมื่นตัว จึงต้องหาคนไปช่วยทำงานอยู่เสมอ อาจารย์จวงทราบดีถึงฐานะทางบ้านผม จึงให้โอกาสผมไปช่วยทำงานชั่วคราวที่เล้าเป็ดในช่วงวันหยุด โดยมีหน้าที่ช่วยเก็บไข่บ้าง ทำความสะอาดเล้า แล้วก็จ่ายค่าแรงให้ผมเล็กน้อยพอให้มีเงินไว้ใช้

ตอนนั้นผมคิดว่า ถ้าขืนยังปล่อยให้น้องชายคนโตช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อยู่อย่างนี้เรื่อยไปคงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก ควรจะหาทางให้น้องมีความสามารถในการดำรงชีวิตด้วยตัวเองบ้าง ผมจึงขออนุญาตอาจารย์ให้ผมพาอาไฉไปฝึกงานในวันหยุดนี้ด้วย

ก่อนออกจากบ้าน ผมคอยกำชับอาไฉอยู่ตลอดเวลา สอนน้องว่าเมื่อไปถึงเล้าเป็ดแล้วต้องคอยระมัดระวังเรื่องอะไรบ้าง น้องก็พยักหน้าหงึกหงัก ทำท่าว่านอนสอนง่ายเข้าอกเขาใจเป็นอย่างดี แต่พอมาถึงที่เล้าเป็ด เห็นเป็ดน้อยใหญ่ที่กระโดดโลดเต้นไปมาเป็นหมื่นเป็นพันตัวเท่านั้น สีหน้าของอาไฉก็ปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันที แล้วเขาก็กางแขนออกทั้งสองข้าง วิ่งฝ่าเข้าไปกลางฝูงเป็ดหยิบเอาหินและไม้ที่พื้นขึ้นมาไล่ฝูงเป็ดอย่างเอาเป็นเอาตาย

ว้าก ๆ ๆ - - ว้าก ๆ ๆ - - น้องชายคนโตร้องลั่นอย่างสนุกสนานเต็มที่

แต่เจ้าเป็ดพวกนั้นสิ โธ่เอ๋ย น่าสงสารเหลือเกิน พวกมันพากันวิ่งหนีแตกตื่นกระเจิดกระเจิงไปตัวละทิศละทาง หนีลงน้ำบ้าง วิ่งเข้าพงหญ้าบ้าง บางตัวบินไปเกาะบนหลังคาเล้า ตีปีกพั่บ ๆ จนขนหลุดออกมาเป็นกระจุก เป็ดตัวเมียตกใจจนตกไข่ออกมาทั้งที่ไข่ยังไม่เป็นฟอง เป็ดตัวผู้ตกใจจนกระทืบไข่แตก

ผมรีบวิ่งตามหลังอาไฉไปติด ๆ แต่เล้าเป็ดมีขนาดใหญ่มาก กว่าจะตามไปจนสุดเล้าได้ ทั้งเป็ด ผม และอาไฉก็เหนื่อยหอบตัวโยนจนหายใจหายคอแทบไม่ทันจะให้วิ่งอีกก็วิ่งไม่ไหวแล้ว และเล้าเป็ดก็อยู่ในสภาพแห่งความหายนะหลังมหันตภัยอย่างไรอย่างนั้นเลย

พอผมเงยหน้าขึ้น ก็เห็นอาจารย์จวงยืนหน้าเขียวอยู่ ผมคิดว่าท่านคงโกรธแน่เลย จึงรีบเข้าไปขอโทษอาจารย์ แล้วพาน้องทำงานอย่างขะมักเขม้น

ผมเริ่มสอนงาน “เก็บไข่” ที่แสนจะง่ายดายให้น้องก่อน โดยให้น้องเก็บไข่จากพื้นทีละใบขึ้นมาจัดเรียงใส่ตะกร้าไว้ ผมคิดว่างานนี้ไม่ยากเลย ขอแต่ให้ระวัง วางให้เบามือหน่อยเท่านั้น ทีแรกน้องทำได้ไม่เลว ผมเริ่มตั้งแต่จับมือสอนเขาทำ แล้วค่อยยืนกำกับดูเขาทำเอง จากนั้นจึงค่อย ๆ ถอยห่างออกไป ให้เขาทำไปคนเดียว อืม...ชักเริ่มจะมีพัฒนาการแล้ว ไข่เป็ดถูกทยอยจัดเรียงออกมาเต็มตะกร้าใบแล้วใบเล่า ผมเดินออกมาอย่างไว้วางใจ ปล่อยให้เขาทำงานของเขาเอง

หลังจากผ่านไปห้านาที ผมก็เดินกลับมาที่เดิมเพื่อดูน้องเก็บไข่เป็ด อยากรู้ว่าเขาเก็บไปถึงไหนแล้ว

โอ...พระเจ้าช่วย! น้องชายคนโตยกตะกร้าไข่เป็ดขึ้น กำลังจะวางทับลงไปบนตะกร้าอีกใบหนึ่งที่มีไข่เป็ดบรรจุอยู่เต็ม เหมือนกับภาพสโลว์โมชั่นที่ฉายในภาพยนตร์อย่างไรอย่างนั้น ผมรีบกางแขนทั้งสองข้างนอก วิ่งไปข้างหน้าพลางตะโกนโดยหวังว่าจะหยุดยั้งอาไฉไว้ได้ทัน

“อาไฉ! - - อย่า!”
ยังไม่ช้าเกินการณ์ อาไฉหันกลับมามองผมด้วยใบหน้าที่แช่มชื่นเปี่ยมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนเคย แล้วเขาก็วางตะกร้าไข่เป็ดที่ถืออยู่ทับลงบนตะกร้าที่บรรจุไข่เป็ดอยู่เต็มอีกใบหนึ่งอย่างแรงต่อหน้าต่อตาผม กร๊วบ! - - ไข่เป็ดถูกทับแตกยับเยินไปในชั่วพริบตา ทั้งไข่ขาวไข่แดงไหลย้อยเยิ้มลงสู่พื้น ผมยกสองมือขึ้นปิดหน้า แทบไม่กล้ามองภาพสุดสยองนั่นอีกเลย คิดถึงอาจารย์จวงผู้บริสุทธิ์แล้วก็มั่นใจว่าสีหน้าของอาจารย์คงเปลี่ยนจากเขียวเป็นม่วงแน่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 03:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 38
เอาอย่างอาจิ้น

วันที่ผมเรียนจบชั้นประถมศึกษา ผมหอบทั้งรางวัลและเกียรติบัตรต่าง ๆ กลับบ้านด้วยความตื่นเต้นดีใจ แถมยังมีดอกไม้สีแดงที่ทางโรงเรียนจัดเตรียมไว้ให้แก่นักเรียนที่จบการศึกษาในปีการศึกษานี้ติดเด่นหราอยู่ที่หน้าอกด้วย ผมเดินกลับบ้านด้วยความปลาบปลื้มปีติอย่างเหลือล้น

คงไม่มีเรื่องใดที่จะน่าภาคภูมิใจไปกว่านี้อีกแล้ว เกียรติยศที่ผมได้รับมาในช่วงเช้าวันนี้ได้สร้างความปลาบปลื้มใจให้แก่ผมไปตลอดชีวิต ขณะที่เดินไปตามทางเล็ก ๆ ข้างคันนา ทั้งจิตใจและวิญญาณของผมเหมือนหลุดลอยละล่องหวนกลับไปยังพิธีรับมอบรางวัลที่เพิ่มผ่านมาสด ๆ ร้อน ๆ ผมได้รับรางวัลทั้งหมดสี่รางวัล สี่ครั้งที่ได้ยินเสียงครูใหญ่ประกาศชื่อผม สี่ครั้งที่ผมยืดอกเดินขึ้นไปรับรางวัลบนเวทีอย่างสง่าผ่าเผย ผมยืนอยู่บนเวทีมองลงมาเห็นสายตาทุกคู่ที่ส่งกำลังใจมาให้ผม ผมก็อดนึกถึงวันแรกที่เข้ามาเรียนที่นี่ไม่ได้ ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าหดหู่เสียนี่กระไร

ตอนนั้น แค่เดินออกจากบ้านที่อยู่นอกเมืองมาถึงถนนในเมือง ผมก็จะรีบก้มหน้างุดลงทันที ผมกลัวว่าจะมองเห็นคนอื่น และยิ่งกลัวว่าคนอื่นจะมองเห็นผมเข้า เสียงหัวเราะเยาะ คำพูดดูถูกเหยียดหยามเหล่านั้นเคยทำให้ผมอยากจะหนีเตลิดเปิดเปิงไปให้ไกล อยากจะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง คิดแม้แต่จะละทิ้งชีวิตของตัวเองไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ช่างเป็นวันเวลาแห่งความสิ้นหวัง

นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รับรางวัลสอบได้ที่ 1 เป็นต้นมา ผมก็เริ่มรู้สึกเหมือนเห็นแสงสว่างส่องรำไรท่ามกลางความมืด ที่แท้ความขยันหมั่นเพียร ตั้งใจเรียนหนังสือก็นำมาซึ่งเกียรติยศ ที่แท้ “ชื่อเสียงเหม็นโฉ่” ของการเป็นขอทานนานกว่า 30 ปีของพ่อกับแม่ ถูกลบล้างได้ด้วยเกียรติบัตรบาง ๆ แผ่นแล้วแผ่นเล่า เด็กขอทานคนหนึ่งที่ถูกหัวเราะเยาะมาเป็นสิบปีพลันเกิดมีความมั่นใจในตัวเองขึ้นมา มีศักดิ์ศรีน่าเคารพขึ้นมาทันควัน เหมือนดอกไม้สวยสดงดงามโผล่พ้นโคลนตม ผมตั้งปณิธานไว้ในใจอย่างแน่วแน่ว่าสักวันผมจะต้องสลัดคราบขอทานตัวเหม็น และความอับโชคให้หมดไปจากครอบครัวเราให้จงได้ และจะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกพวกเราได้อีก

ถ้าเริ่มนับตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 1 จนถึงจบชั้นประถมปีที่ 6 เกียรติบัตรที่ผมเคยได้รับรวมกันทั้งหมดแล้วก็ประมาณ 80 กว่าใบได้ ทั้งรางวัลสอบใหญ่สอบย่อย รางวัลนักเรียนตัวอย่าง รางวัลประกวดเขียนพู่กัน รางวัลงานวาดภาพศิลปะ ตลอดจนรางวัลกีฬาแทบทุกประเภท ผมก็ชนะคนอื่นแทบทั้งนั้น

ในที่สุดความมุมานะของผมก็เป็นที่ร่ำลือกันไปทั่วละแวกบ้าน ใคร ๆ ก็รู่ว่า ลูกของ “งูซื่อ” เรียนหนังสือเก่งเป็นที่ 1 เวลาสอนลูกหลานก็มักจะบอกว่า ดู “ไอ้ลูกขอทาน” คนนั้นสิ พ่อแม่เขาพิการ ทั้งไม่รู้หนังสือ แถมยังเป็นขอทานอีก ออกลูกมาทั้งขยันทั้งกตัญญูอย่างนี้ เราต้องรู้จักเอาอย่างอาจิ้นนะ

แต่ก่อนพ่อไปไหนมาไหนก็มีแต่คนรังเกียจ แต่เดี๋ยวนี้เดินไปที่ไหน ใคร ๆ ก็รู้จัก ไม่ว่าจะเป็นคนขายผัก เถ้าแก่ร้านของชำ อาซิ้มข้างบ้านต่างก็พากันยกนิ้วหัวแม่มือชูขึ้นให้พ่อมาแต่ไกล ตะโกนปาว ๆ ว่า “งูซื่อเอ๊ย ลูกแกนี่ยอดไปเลยที่หนึ่งเชียวนะนี่” พวกรุ่นพี่ที่เคยกลั่นแกล้งหัวเราะเยาะผมก็เริ่มเปลี่ยนท่าทีเป็นละอายต่อผมขึ้นมาบ้าง พอเห็นผม เขาก็จะเพียงแต่ยิ้มน้อย ๆ ให้ แล้วก้มหน้าเดินผ่านไป เพื่อนบางคนถึงกับคำนับผมก่อน

ที่หมู่บ้านเฉียนจู๋ พวกเราพากันย้ายบ้านอยู่หลายต่อหลายครั้ง ย้ายเล้าหมู ย้าย “กระต๊อบ” กันไม่รู้กี่ครั้งกี่หน แต่ทุกครั้งที่ย้ายบ้าน ผมก็จะต้องย้ายเอาเกียรติบัตรติดตัวไปด้วยเสมอ พอมาถึงบ้านใหม่ ผมก็จะเอาข้าวสุกมาใช้แทนกาว ทาหลังใบเกียรติบัตร แล้วแปะติดขึ้นที่ข้างกำแพงทุกใบไป ต่อมาเกียรติบัตรก็ยิ่งมากขึ้นทุกที ๆ ผมทยอยติดจนเต็มผนังห้องไปหมด เกียรติบัตรของผมเยอะจนกระทั่งว่า อีกสิบปีต่อมาเมื่อเราย้ายมาอยู่บ้านเช่าสองชั้น ผมต้องใช้พื้นที่ติดเกียรติบัตรยาวเป็นเทือกลงมาตั้งแต่ชั้นบนจนถึงชั้นล่างเลย

ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าผมจะ “คลั่ง” อะไรนักหนาหรอกนะครับ แต่คุณลองคิดดูสิครับว่าคนคนหนึ่งที่อยู่บนโลกนี้อย่างเดียวดายไร้ที่พักพิง ต้องแบมือขอข้าวประทังชีวิตตัวเองตั้งแต่อายุสามสี่ขวบ โดนด่าตะเพิดไล่ไม่มีดี เกียรติบัตรเหล่านี้จึงสำคัญต่อผมมาก เพราะมันเป็นหลักฐานยืนยันคุณค่าของชีวิตผม เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจผม เป็นพลังให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างเข้มแข็งกล้าหาญ

ย้อนกลับมาถึงวันที่ผมจบชั้นประถมศึกษา วันนั้นผมกอดเกียรติบัตรและของรางวัลกลับบ้านด้วยความร่าเริงดีใจ พอเห็นพ่อนั่งนิ่งอยู่ที่ปลายเตียง ผมก็รีบโผเข้าไปตรงหน้าพ่อ พูดด้วยความเบิกบานว่า

“พ่อ วันนี้ผมได้ใบประกาศมาตั้งสี่รางวัลแน่ะ พ่ออยากจะจับดูหน่อยไหม”

พ่อไม่ขยับเขยื้อน ยังคงนิ่งเงียบ ผมไม่ทันรู้สึกถึงคลื่นน้ำลึกใต้ท้องทะเลยังพูดต่อไปอีกว่า

“สี่ใบเชียวนะพ่อ พ่อรู้ไหมว่าผมเป็นคนที่ได้รับใบประกาศมากที่สุดในโรงเรียนเชียวนะ พ่อลองจับดูสิ แล้วก็ยังมีของรางวัลอีกนะ”

ผมรอฟัง

“อาจิ้น เรียนหนังสือถึงแค่นี้ก็พอแล้วละนะ ทางบ้านคงไม่มีเงินส่งให้แกเรียนต่อแล้วละ”

ไม่ได้เรียนต่อแล้วอย่างนั้นรึ ผมนิ่งอึ้งตะลึงงง ยังทำใจรับความจริงไม่ได้ เมื่อเช้าครูใหญ่เพิ่งจะชมว่า ไล่ตงจิ้นเป็นนักเรียนที่ยอดเยี่ยมที่สุด หวังว่าพอขึ้นชั้นมัธยมแล้วจะยังคงขยันและพากเพียรเช่นนี้ต่อไปนะ แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ผมก้มลงมองเกียรติบัตรในมือ มันก็เขียนโทนโท่อยู่ทุกใบไม่ใช่หรือว่า ผมได้ที่หนึ่ง แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ ผมร้องออกมาได้คำเดียวว่า “พ่อ - -”

“ไม่ต้องพูดแล้ว บ้านเราไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียนให้แก ก็ใช่ว่าแกจะไม่รู้” พ่อชิงตัดบทก่อนที่ผมจะพูดอะไรต่อไป

ผมยังไม่ทันจะได้ร้องไห้เลย พ่อก็ถือไม้เท้าเดินพ้นประตูออกไปเสียก่อนแล้ว

ผมรู้สึกเหมือนเทวดาตกจากสวรรค์ที่โรงเรียนลงมาสู่เหวนรกอย่างไรบ้างนั้น เกียรติบัตรที่ถือไว้ในมือ ที่แปะไว้ข้างฝา จู่ ๆ มันก็กลายเป็นเศษกระดาษไร้ค่าลงไปในพริบตา ความพากเพียรอ่านหนังสือตามข้างถนนตลอดระยะเวลากี่ค่ำต่อกี่คืน จู่ ๆ ก็มลายเป็นเศษผงธุลีไปเสียสิ้น ที่ผมต้องตรากตรำทุกอย่างนอนเพียงวันละสามชั่วโมงตลอดมานี้เพื่ออะไร ที่ผมขยันออกไปขอทานอยู่ทุกวี่ทุกวันก็เพื่ออะไร ผลการเรียนที่ดีเยี่ยมพวกนั้น เกียรติบัตรเหล่านั้น แท้จริงแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ไม่มีคำสรรเสริญ ไม่มีคำให้กำลังใจ มีแต่จะให้ผมรีบออกไปทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวอย่างนั้นใช่ไหม

ผมเป็นขอทานมานานถึงสิบห้าปีหวังเหลือเกินว่าสักวันหนึ่งจะได้มีหน้าตาอย่างคนอื่นเขาบ้าง ไม่ต้องคอยขอข้าวที่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของใครเขากิน ทำไมไม่มีใครมองเห็นคุณค่าของใบประกาศที่นำมาซึ่งเกียรติยศให้แก่เราบ้าง ถ้าไม่ให้ผมเรียนหนังสือ แล้วจะให้ผมเป็นขอทานไปตลอดชีวิตอย่างนั้นละหรือ

ผมกำหมัดแน่น น้ำตาไหลนองหน้า ตะโกนก้องในใจว่า ให้ผมเรียน ให้ผมเรียน ให้ผมเรียนเถอะ!

จากเสียงตะโกนก้องก็เริ่มแปรเป็นเสียงครวญครางอย่างหมดหวัง ความจริงก็คือความจริง ความเพียรพยายามและความมุมานะของผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงได้ น้ำตาที่ไหลออกมาจากความโกรธแค้นและโศกเศร้าของผมก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงได้ เพียงเพราะผมเป็นลูกชายคนโต ลูกชายคนโตมีหน้าที่ต้องเลี้ยงครอบครัว

ผมทำงานในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนด้วยความขยันขันแข็ง แรงกำลังที่ใช้ออกไปช่วยทำให้ผมพอจะลืมความโศกเศร้าเรื่องไม่ได้เรียนต่อไปได้บ้าง แต่ก็เพียงชั่วครู่ชั่วยาม พอเลิกงานแล้ว ผมก็ใช้น้ำตาล้างหน้าทุกคืน

สองเดือนต่อมา ผมเอาเงินเดือนที่ได้จากการทำงานทั้งหมดยื่นให้พ่อ พ่อถือปึกเงินที่อยู่ในมือพลิกไปพลิกมา ใจผมเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ แอบคิดว่า ผมหาเงินมาได้น้อยเกินไปหรือเปล่า หรือว่าจำนวนเงินไม่ถูกต้อง แล้วพ่อก็พูดขึ้นว่า

“โรงเรียนมัธยมของแกเปิดลงทะเบียนวันที่เท่าไหร่นะ อย่าลืมไปจ่ายค่าเล่าเรียนด้วยล่ะ”

ผมร้องไห้ออกมา น้ำตาที่ไหลคราวนี้มันเป็นน้ำตาที่ไหลออกมาจากความปีติยินดีอย่างสุดซึ้ง”

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 03:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 39
ริษยา

พอขึ้นชั้นมัธยม เด็กผู้ชายก็เริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ร่างกายก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่โรงเรียน ผมไม่เพียงแต่จะมีผลการเรียนที่ดีเยี่ยมเท่านั้น เรื่องของการกรีฑาทั้งประเภทลู่และลานของผมก็โดดเด่นไม่เป็นรองใครเหมือนกัน

การลงแข่งในงานกีฬาโรงเรียนครั้งแรกของผม ผมลงชื่อลงแข่งขันในรายการวิ่งแข่ง พอสิ้นเสียงสัญญาณปืนเท่านั้น ผมก็ออกตัววิ่งไปข้างหน้าอย่างสุดกำลัง ใจคิดแต่ว่าผมต้องชนะ ผมต้องเหนือกว่าคนอื่นให้ได้ ผมรู้สึกถึงแต่เพียงลมที่ปะทะผ่านมาที่ข้างหูแล้วผ่านเลยไป ไม่ได้ยินเสียงของกองเชียร์ผ่านเข้ามาในหูเลยแม้แต่น้อย มัวแต่มุ่งมั่นที่จะวิ่ง วิ่ง และวิ่งเท่านั้น

ผมวิ่งจนไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติรอบตัว จนเกือบถึงเส้นชัยแล้ว ตอนนั้นผมถึงได้รู้สึกเสียงเชียร์รอบสนามนั้นเงียบงัน ยังไม่ทันจะได้ฉุกคิดว่าเกิดอะไรขึ้น ตัวผมก็พุ่งเข้าไปถึงเส้นชัยเสียก่อน เทปที่กำหนดจุดเส้นชัยพันอยู่รอบตัวผม เสียงปรบมือกึกก้องไปทั่วทั้งสนาม! พอหันกลับไปมอง ผมเห็นบรรดาครูบาอาจารย์ที่เดิมนั่งอยู่บนอัฒจันทร์นั้น ตอนนี้พากันลุกขึ้นยืนกันหมด ทั้งปรบมือ ทั้งผิวปากกันอย่างตื่นเต้นคึกคัก

ผมเพิ่งรู้ตอนนี้เองว่านักกีฬาคนอื่นเพิ่งจะวิ่งได้แค่ครึ่งสนามเท่านั้นเอง แต่ผมกลับคึกวิ่งเร็วราวกับม้าศึกนำลิ่วมาถึงเส้นชัย ทำเอาผู้คนงงเป็นไก่ตาแตก ถามกันใหญ่ว่า พระเจ้า ใครกันนะ นั่นน่ะ ทำไมถึงวิ่งได้เร็วขนาดนั้น

สิ่งที่คนอื่นไม่รู้ก็คือว่า ช่วงสิบปีที่เร่ร่อนอยู่นั้น ผมต้องอุ้มน้อง ๆ เดินทางเป็นระยะไกล ๆ เป็นสิบ ๆ กิโลเมตรแทบทุกวัน เวลาไปขอทานตามตลาดโต้รุ่ง ตามสถานีขนส่งก็ต้องคอยวิ่งหนีตำรวจอย่างไม่คิดชีวิต ตามป่าละเมาะก็ต้องวิ่งหนีหมาป่าที่วิ่งไล่ ต้องคอยหาบน้ำจากคลองมาใช้วันละเป็นสิบ ๆ เที่ยว

“การฝึกสมรรถภาพร่างกาย” เป็นระยะยาวเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยฝึกให้ผมมีกำลังแขนและกำลังขาที่ดีเยี่ยมจนน่าตกตะลึงเท่านั้น ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งว่องไวและอดทนให้กับร่างกายผม จนเปี่ยมพลังพร้อมสำหรับการแข่งขันกีฬาอีกด้วย

การแข่งวิ่งครั้งนี้ ทำให้ชื่อเสียงของผมดังกระฉ่อนไปทั่วโรงเรียน ทั้งครูบาอาจารย์และนักเรียนกว่าครึ่งโรงเรียนล้วนแต่รู้จักชื่อผม ส่วนคนที่ไม่รู้จักชื่อผมนั้นก็จะรู้จักผมในนาม “ก็คนที่วิ่งเร็วที่สุดในโรงเรียนคนนั้นไงล่ะ”

หลังจากครั้งนั้น ผมก็กลับมาไว้ลายฝีมือการเขียนพู่กันบนพื้นดินอันเป็นปณิธานอันแน่วแน่ตั้งแต่สมัยประถมของผมอีกครั้ง หากมีเวลาว่างผมก็จะรีบลงไปซ้อมวิ่งที่ทุ่งนา ฝึกขว้างก้อนหินที่เก็บมาจากเตาเผาร้าง ถ้าก้อนไหนเบาหน่อยก็จะใช้แทนลูกซอฟต์บอล ถ้าก้อนไหนหนักหน่อยก็ใช้แทนจานทุ่มน้ำหนักในกีฬาขว้างจาน โดยตั้งใจว่าจะต้องฝึกให้พัฒนาขึ้นไปในทุก ๆ วัน ต้องวิ่งให้เร็วขึ้น ขว้างให้ไกลขึ้น กระโดดให้สูงขึ้น กระโดดให้ไกลขึ้น

ในช่วงเวลานั้นไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันกีฬาภายในโรงเรียน เป็นตัวแทนนักกีฬาลงแข่งกีฬาจังหวัด หรือเป็นตัวแทนนักกีฬาลงแข่งกีฬาเขตก็ตาม ผมก็จะต้องได้เกียรติบัตรมาทุกครั้งไป รวมแล้วผมได้เกียรติบัตรมาทั้งหมดประมาณห้าสิบกว่าใบ ทุกใบคือรางวัลชนะเลิศล้วน ๆ

ถ้าจะบอกว่า เรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ล้วนมีทั้งที่เป็นด้านบวกและด้านลบแล้วละก็ อย่างนั้นการมีชีวิตอันแสนลำเค็ญเพราะเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนเช่นนี้ ก็คงจะเป็นด้านลบที่ส่งผลในด้านบวกให้กับผม นั่นเป็นเพราะว่ามันทำให้ผมมีความตั้งใจที่จะเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างไปในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนหรือด้านการกีฬา แล้วเกียรติยศอันได้มาจากใบประกาศเกียรติคุณและผลงานต่าง ๆ ที่เป็นด้านบวก ก็เกิดผลด้านลบเช่นกัน ผมจึงกลายเป็นที่อิจฉาตาร้อนของบรรดาเพื่อนฝูงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผมเคยต้องประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ถึงสองครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางกลับบ้านในสมัยเรียนอยู่ชั้นประถม อีกครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในเวลาพักกลางวัน ตอนนั้นผมกำลังฟุบหลับนอนกลางวันอยู่ที่โต๊ะ จู่ ๆ ก็มีคนมาเขย่าตัวให้ตื่น พอลืมตาขึ้นก็เห็นรุ่นพี่สี่ห้าคนยืนเรียงกันอยู่ตรงหน้าผม พวกเขาพับแขนเสื้อขึ้น เดินลอยชายเข้ามาหรี่ตามองผมอย่างไม่ประสงค์ดี

ผมกำลังคิดว่าจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ รุ่นพี่คนหนึ่งก็ยื่นมือมากดบ่าผมอย่างแรง ผมถึงกับเซกลับลงไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม

“นั่งลง” เขาสั่ง

ผมเห็นเหตุการณ์ไม่ค่อยดี ก็รู้แก่ใจว่าพวกนี้ต้องมาหาเรื่องแน่ จึงเงยหน้าขึ้นมองหน้าสบตากับหัวโจกในกลุ่มนั้นอย่างไม่พรั่นพรึง

“มองหาอะไรวะ! อยากเจอดีหรือไง หา! แน่นักหรือวะมึง คิดว่าตัวเองเป็นหัวหน้าห้อง สอบได้ที่หนึ่งแล้วแน่มากหรือไงวะ กูขอบอกเอาไว้ก่อนเลยนะว่า พวกกูมีวิธีจัดการให้มึงอยู่ที่โรงเรียนนี้ไม่ได้อีกต่อไปก็แล้วกัน!” เขาจ้องผมตาถลนแล้วก็เอื้อมมือไปหยิบดินสอที่อยู่บนโต๊ะผมขึ้นมาหักออกเป็นสองท่อนดัง “แป๊ก!” ด้วยกำลังนิ้วเพียงไม่กี่นิ้ว แล้วก็ปาลงมาใส่หน้าผม

เงียบไปไม่กี่วินาที แล้วเขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปว่า “พูดให้มันรู้เรื่องหน่อย เป็นหัวหน้าห้องก็ไม่ต้องทำเป็นเคร่งครัดระเบียบให้มันจัดนักก็ได้ แล้วที่หนึ่งน่ะก็ไม่ใช่ว่าจะจองเป็นของตัวเองคนเดียวอยู่ได้ เข้าใจไหม ถุย! ทำเป็นซ่า!”

ผมเงียบ

ก่อนที่พวกเขาจะเดินออกจากห้องไปกันหมด พวกสองสามคนสุดท้ายก็ยังอุตส่าห์หันกลับมาใช้มือจิ้มที่ปลายจมูกผม บอกให้ผมระวังตัวเอาไว้ให้ดี ๆ

เวลาผ่านไปได้สักพัก สองมือผมยังวางอยู่บนโต๊ะ ก้มหน้าลงอย่างเดิมนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่มีการขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่ว่าเพราะผมกลัวหรอกครับ แต่เป็นเพราะผมปวดร้าวต่างหาก จริงอยู่ว่าถ้าเทียบกับโลกแห่งการแก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่นของผู้ใหญ่ที่มีแต่การต้มตุ๋นหลอกลวงกัน เรื่องแค่นี้ก็คงเป็นเรื่องเล็กน้อยจนไม่น่าจะเก็บมาเป็นสาระ

แต่สำหรับเด็กวัยประถมอย่างผมแล้วก็คงต้องบอกว่าผมไม่เข้าใจจริง ๆ ผมพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งเกียรติยศและศักดิ์ศรี ทั้งหมดนี้ก็เพียงเพราะผมต้องการการยอมรับเท่านั้นเอง แล้วผมทำอย่างนี้มันผิดด้วยหรือครับ ผมดิ้นรนกระเสือกกระสนทุกอย่างก็เพียงเพื่อให้คนในครอบครัวได้หลุดออกจากวงจรชีวิต “ขอทาน” เสียที หลุดออกจากชีวิตที่มีแต่คนดูถูกเหยียดหยามเยาะเย้ยอยู่ตลอดเวลา ผมทำอย่างนี้แล้วมันเดือดร้อนใครด้วยหรือ

และที่แสนจะเจ็บปวดที่สุดก็คือ นักเรียนตัวอย่างที่ได้รางวัลดีเด่นตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมัธยมเป็นระยะยาวติดกันถึงเจ็ดปีอย่างผมนี้ จะตอบโต้ด้วยวาจาหรือลงมือชกต่อยกับใครก็ไม่ได้ ผมใช้เกียรติบัตรเป็นใบเบิกทาง แล้วผมจะให้อารมณ์ฉุนเฉียวเพียงชั่ววูบมาก่อเป็นรอยด่างพร้อยที่จะ “ประทับตรา” ติดตัวผมตลอดไปไม่ได้

ผมต้อง “อดทน”

ตอนหลังไม่รู้ว่าอาจารย์ไปได้ยินข่าวอะไรจากไหนมาหรือเปล่า อยู่มาวันหนึ่ง ท่านก็เรียกผมเข้าไปพบที่ห้องพักครู แล้วบอกว่า “หัวหน้าห้อง ครูรู้นะว่าเธอเก่งมากเลย แต่ว่าการแข่งขันของโรงเรียนคราวนี้ เธอจะไม่ลงแข่งจะได้ไหม ยอมออมมือสักครั้งนะ ลองให้เพื่อนคนอื่นเขามีโอกาสได้ลิ้มรสชาติของการเป็นที่หนึ่งบ้าง ดีไหม” ลองอาจารย์ยังลงทุนออกปากว่าอย่างนี้ ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ได้แต่พยักหน้ารับ

พอเดินพ้นออกมาจากห้องพักครู ผมยืนนิ่งอยู่ที่ระเบียง รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจนเจ็บแปลบไปหมด มองออกไปทางใด ก็เห็นแต่ระเบียงที่ไร้ร้างผู้คน ได้ยินแต่สรรพเสียงสรวลเสเฮฮาของเพื่อนนักเรียนที่ดังแว่วมาแต่ไกล ๆ ที่ริมระเบียงด้านหนึ่งนั้นเป็นทางกลับไปห้องเรียน ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นทางไปสนามกีฬา ผมยืนนิ่งเซ่ออย่างนั้นอยู่นาน สับสนมึนงงไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปทางไหนดี

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 03:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 40
รักครั้งแรก

ไม่รู้ว่าหนวดเคราของผมมันเริ่มงอกออกมาตั้งแต่เมื่อไร บริเวณเหนือริมฝีปากและใต้คางมีขนเล็ก ๆ งอกขึ้นเต็มไปหมด เวลาเดินผ่านห้องเปลี่ยนชุดกีฬาที่โรงเรียน ก็อดไม่ได้ที่จะแอบมองตัวเองในกระจก ผมสำรวจดูตัวเองที่เริ่มจะเป็น “หนุ่ม” มากขึ้นทุกที เวลาเดินผ่านกลุ่มนักเรียนหญิงทีไร จิตใต้สำนึกก็จะคอยเตือนให้ตัวเองยืดอกผึ่งผายขึ้นทุกครั้งไป

เวลาที่อยู่ในโรงเรียนนั้น ผมเป็นหัวหน้าชั้นของนักเรียนห้องคิงส์ เป็นนักเรียนตัวอย่าง เป็นลูกกตัญญูตัวอย่าง เป็นนักกรีฑาทั้งประเภทลู่และลาน เป็นนักกีฬาแฮนด์บอล เวลาซ้อมวิ่งที่สนามทีไร ก็มักจะมีพวกนักเรียนหญิงแกล้งเกี่ยวแขนกันมาเดินโฉบผ่านไปมาใกล้ ๆ ผม ถ้าทำเป็นไม่สนใจ พวกหล่อนก็จะเดินเล่นช้า ๆ อยู่แถวนั้น แต่ถ้าชำเลืองมองนิดนึง พวกหล่อนก็จะยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะกันคิกคักก่อนจะวิ่งหนีไป แม้ว่าการหยอกแซวเด็กผู้หญิงจะเป็นเรื่องสนุก แต่ตอนที่ผมอายุเท่านั้น แค่คิดว่ามีผู้หญิงสวย ๆ มองผมอยู่ หัวใจผมก็เต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอกอยู่แล้ว

ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือแค่เรื่องโอ้อวดกันในหมู่เพื่อนหมู่ชายกันแน่ ผมได้ยินมาว่าเพื่อนบางคนนั้นเริ่มคบหาเพื่อนหญิงกันบ้างแล้ว พอถึงเวลาพักซ้อมทีไร ทุกคนก็มักจะล้อมกันเข้ามาหาพวกเพื่อนที่มีแฟนแล้ว จากนั้นก็จะอ้อนวอนแกมบังคับให้เขาเล่า “รายละเอียด” การออกเดตให้ฟัง แล้วก็ตามมาด้วยเสียง “จริงเหรอ” “จริงเหรอ” เพื่อให้เขาเล่าให้ละเอียดขึ้น ให้เล่าให้มากขึ้น ยังดีที่สวรรค์ประทานใบหน้าอันเคร่งขรึมมาให้แก่ผม ไม่ว่าเพื่อน ๆ จะเอะอะเฮฮากันขนาดไหนก็ตาม ขอแค่มีคนตะโกนขึ้นว่า “เงียบ ๆ หน่อย! หัวหน้าห้องมาแล้ว” เท่านี้เสียงก็จะเงียบสนิทลงไปทั้งห้องในทันที และแม้ว่าในตอนนี้เพื่อน ๆ จะยั่วเย้ากันสนุกสนานแค่ไหน ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาล้อเล่นกับผม

พวกเราในตอนนั้นต่างก็มีความสนอกสนใจต่อเพศตรงข้าง ทั้งยังเฝ้าใฝ่ฝันเรื่องนี้กันขนาดนี้ แต่ผมนั้นตระหนักถึงภาระในครอบครัวอยู่เสมอ ทุกครั้งที่ต้องประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้จึงมักจะตั้งใจหลีกเลี่ยงเสียทุกครั้งไป ผมออกแรงวิ่งอย่างเต็มที่เต็มแรงเพื่อเผาผลาญพลังงานและหักหาญกำลังฮึกเหิมของวัยหนุ่มให้หมดสิ้นไป

วันหนึ่งในช่วงที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 2 จู่ ๆ ก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งยืนกวักมือเรียกผมอยู่ข้าง ๆ ลู่ที่ผมกำลังซ้อมวิ่ง ผมชั่งใจอยู่ว่าเธอเรียกผมหรือเปล่า ผมจึงเหลียวมองไปรอบ ๆ ตัว แต่ก็ไม่พบใครเลยนอกจากผมคนเดียว เพื่อนคนอื่นต่างก็กลับบ้านกันหมดแล้ว ดังนั้นผมจึงยกแขนขึ้นซับเหงื่อที่หน้าผากก่อนจะแอบกลั้นใจเดินเข้าไปหาเธอ

เด็กผู้หญิงคนนั้นหน้าแดง ก่อนจะหยิบเอาจดหมายมาส่งให้แก่ผม ให้ผมจริง ๆ น่ะหรือ ผมยังลังเลไม่กล้ายื่นมือออกไปรับจดหมายฉบับนั้น เด็กผู้หญิงคนนั้นชักกระวนกระวาย แล้วพูดขึ้นว่า “ให้เธอนั่นแหละ อีตาบ้า ฉันช่วยส่งจดหมายให้คนอื่นเขาหรอกย่ะ” พอยื่นจดหมายให้ผมแล้ว เธอก็หันมากะพริบตาให้ผมสองทีก่อนจะวิ่งจากไป วิ่งไปได้สักระยะหนึ่ง เธอก็หันกลับมาตะโกนใส่ผมว่า “อีตาบ้า!”

ผมถือจดหมายยืนนิ่งอยู่ที่สนาม ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ทั้ง ๆ ที่ถูกคนด่าว่าอีตาบ้าแท้ ๆ แต่กลับรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอย่างไรชอบกล

จดหมายฉบับนั้นเป็นสีฟ้าอ่อนๆ มีนกน้อยสองสามตัวบินอยู่บนมุมด้านซ้ายของจดหมาย พอยกขึ้นมาใกล้ ๆ จมูกก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยออกมาจากจดหมาย แม้จะอยากรู้เนื้อหาภายในจดหมายใจแทบขาด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพร้อมกันนี้ผมก็รู้สึกถึงความเครียดที่กดดันอยู่ภายในใจด้วย ผมเก็บจดหมายที่ยังปิดผนึกสนิทนั้นลงไว้ในกระเป๋าหนังสือ

พอกลับถึงบ้าน ก็เริ่มหุงข้าวเหมือนเดิมตามปกติทุกอย่าง ก่อไฟ ซาวข้าว ผมยืนอยู่หน้าเตาไฟ อดจะใจลอยไปถึงรอยยิ้มของเด็กผู้หญิงคนนั้น กับเสียง “อีตาบ้า!” หวาน ๆ ของเธอไม่ได้ เธอช่วยส่งจดหมายให้คนอื่นจริง ๆ หรือ หรือว่าเจ้าของจดหมายฉบับนั้น ที่จริงก็คือเธอเองนั่นแหละ

“อาจิ้น! ข้าวไหม้แล้ว แกไม่ได้กลิ่นหรือไง ไอ้เซ่อเอ๊ย” พ่อตะโกนโวยวาย

ผมตื่นจากฝัน รีบเปิดฝาหม้อออก ช้าไปเสียแล้ว กลิ่นข้าวไหม้อบอวลไปทั่วเล้าหมูของเรา

ตอนกลางคืนต้องออกไปขอทานกับพ่อ ผมกลัวว่าน้อง ๆ ที่กำลังซุกซนจะไปรื้อเอาจดหมายออกมาเล่นกัน จึงหยิบจดหมายใส่กระเป๋าหนังสือถือติดตัวไปด้วย เดินไปก็เฝ้าพะวง คอยแต่เอามือล้วงลงไปในกระเป๋า คลำหาดูว่าจดหมายยังอยู่หรือเปล่า พอล้วงเข้าล้วงออกบ่อย ๆ ก็ชักจะกังวลว่าจดหมายอาจจะตกหายไประหว่างทางได้ ผมจึงแอบหยิบออกมาดูอีก แล้วก็วางมันลงที่เดิมอย่างระมัดระวัง ดีนะที่ตาพ่อมองไม่เห็น

ตกดึก ในที่สุดผมก็อดใจไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ผมอาศัยจังหวะที่คนอื่นกำลังนอนหลับสนิท แอบย่องออกไปนอกบ้าน พิงเสาไฟฟ้าไว้ แล้วบรรจงแกะซองจดหมายออกอ่าน โดยอาศัยไฟตามเสาข้างทาง

ในจดหมายบอกว่า เธอไม่เคยเขียนจดหมายหาผู้ชายคนไหนมาก่อนเลย แต่เธอเห็นผมที่โรงเรียนแล้วก็รู้สึกชื่นชมผมมากจริง ๆ และอยากจะคบหาเป็นเพื่อนกับผม เท่านี้จบ แล้วก็ลงชื่อกับชั้นที่เธอเรียน พร้อมกับบอกวิธีติดต่อกันไว้ให้

หัวใจผมแทบจะวิ่งออกมาจากอก ก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมาสารภาพว่าเธอแอบชอบคุณ อยากจะคบกับคุณน่ะ ผมถือจดหมายไว้ในมือ ทำอะไรไม่ถูกเดินหน้าไปไม่กี่ก้าว แล้วก็ถอยหลังกลับมาอีกสองสามก้าว มีคนแอบชอบคุณอยู่ มีคนแอบชอบคุณแต่ไม่กล้าบอกคุณ โอ! สวรรค์ “ชอบ” “ชื่นชม” คำง่าย ๆ เพียงไม่กี่คำ ทำไมถึงทำให้รู้สึกชื่นใจได้มากมายขนาดนี้หนอ ทนไม่ไหวแล้ว ผมกอดเสาไฟฟ้าไว้ แล้วแอบอมยิ้มอยู่คนเดียว

แล้วผมก็ตอบจดหมายกลับไป

ไม่รู้ว่าการคบกันอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นแฟนกันได้หรือเปล่า ทุกวัน เวลาที่ผมซ้อมกีฬา เธอก็จะมานั่งรอผมที่ใต้ต้นไม้อีกฟากหนึ่งของโรงเรียน แม้ระยะห่างของเราจะค่อนข้างไกล แต่เธอก็มักจะนั่งตรงที่ที่สามารถมองเห็นกันได้ตลอดเวลา รอจนผมซ้อมกีฬาเสร็จ แล้วเราจึงค่อยเดินกลับบ้านพร้อมกัน ใส่ชุดนักเรียนแบกกระเป๋าหนังสือกลับบ้านไปด้วยกัน แม้จะเดินไปด้วยกันก็จริง แต่ก็ห่างกันเป็นวา บางครั้งตลอดทางที่เดินมาด้วยกัน พูดกันก็แค่ประโยคเดียวว่า “ลาก่อน”

เหตุการณ์เป็นเช่นนี้อยู่สักระยะหนึ่ง แล้วจู่ ๆ เธอก็ไม่สนใจผมอีกเลย ไม่มารอผมที่สนามเหมือนเคย ไม่ตอบจดหมายผมอีก ผมคิดวิตกไปสารพัด ไม่รู้ว่าตัวเองไปทำผิดอะไรเข้า เธอถึงได้ไม่ยอมคบหากับผมอีกต่อไป ต่อมาผมจึงได้รู้จากปากของเพื่อน ๆ เรื่องก็คือเธอไปได้ยินมาว่าผมเป็นลูกขอทาน มีแม่และน้องชายปัญญาอ่อน แม้แต่ตอนนี้ก็ยังอาศัยอยู่ในเล้าหมู เธอตกใจจนไม่กล้าจะคบกับผมอีกต่อไป ความรู้สึกที่เคยชื่นชอบและชื่นชมต่าง ๆ ก็พลอยมลายหายไปสิ้นพร้อมกันด้วย

ผมอกหักซึมกะทือไปอยู่พักใหญ่เลยทีเดียว เวลาซ้อมทีไรก็อดที่จะหันไปมองใต้ต้นไม้ตรงที่ที่เธอเคยนั่งอยู่ไม่ได้สักที ผมหวังว่าจะได้พบเธออีกสักครั้งก็ยังดี แต่ก็ต้องผิดหวังในที่สุด โชคดีที่ผมมีเลือดนักสู้เดือดพล่านอยู่ในตัว พอผมเริ่มคุมสติกลับคืนมาได้ ผมก็เริ่มเข้าร้านหนังสือ ไปเสาะหาอ่านหนังสือประเภท “ร้อยแปดวิธีเติมความหวานในจดหมายรัก” จนถึงหนังสือวิชาการประเภท “รักกันอย่างไรให้เข้าท่า” ศึกษาวิเคราะห์ให้ละเอียดทั้งเคล็ดลับและแนวทางต่าง ๆ ทุกขั้นตอน จุดไหนไม่ถูกต้องไม่ดีพอก็แก้ไขจุดนั้นเสียใหม่ ผมไม่เชื่อว่าผมจะลุกขึ้นยืนใหม่อีกครั้งไม่ได้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 03:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 41
ฝันสลาย

ผมรักการวิ่ง ผมชอบความรู้สึกถึงความเร็วแบบนั้น ผมชอบเวลาที่วิ่งแข่ง เสียงลมพัดกรีดก้องที่ข้างหู ภาพทิวทัศน์ที่เปลี่ยนแปรไปในแต่ละฉากด้วยความรวดเร็ว แล้วยังความรู้สึกเวลาที่เหงื่อท่วมตัวอีก และที่สำคัญที่สุดก็คือ การวิ่งทำให้ผมหลุดเข้าสู่สภาวะแห่งความสงบในอีกรูปแบบหนึ่ง เพียงแต่ให้เหงื่อชุ่มหลังเท่านั้น ผมก็สามารถจะลืมความจริงในชีวิตที่ต้องเผชิญอยู่ทุกวี่วันไปได้ชั่วคราวทันที

ตั้งแต่ขึ้นชั้นมัธยมหนึ่งเริ่มการเป็นนักกรีฑาเป็นต้นมา ผมก็จะทุ่มเทเวลาให้กับการวิ่งทุกวัน เอาใจใส่เสียยิ่งกว่าการเรียนหนังสือเป็นไหน ๆ โดยหวังว่าสักวันหนึ่งผมจะต้องเป็นตัวแทนของประเทศไปแข่งระดับชาติและจะต้องนำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติให้ได้ โรงเรียนตามชนบทส่วนมากก็มีแต่โรงเรียนที่ยากจนไม่มีสนามกีฬามาตรฐาน จึงพลอยไม่มีลู่วิ่งไปด้วย เวลาจะซ้อมวิ่งแต่ละที ถ้าไม่ไปยืมสนามของโรงเรียน ก็ต้องซ้อมกันตามถนนข้าง ๆ โรงเรียน

คราวนี้ผมได้รับเลือกเป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งกีฬาภายในจังหวัด หลังโรงเรียนเลิกผมจึงยังอยู่ต่อเพื่อซ้อมวิ่ง เพื่อน ๆ ต่างก็กลับบ้านกันหมดแล้วบนถนนลาดยางมะตอยจึงไม่มีใครอื่นเลยนอกจากผมเพียงคนเดียววิ่งทะยานไปจนสุดสาย ผมวิ่งกลับไปกลับมาอย่างนี้อยู่รอบแล้วรอบเล่า แม้ผมจะเคยได้ยินใคร ๆ พูดกันหลายต่อหลายครั้งว่า ถนนลาดยางมะตอยมันไม่มีความยืดหยุ่น เวลาวิ่งต้องระมัดระวังให้มากเพราะมันอาจจะทำให้กล้ามเนื้อเคล็ดได้ แต่ตอนนั้นใจผมคิดแต่จะเอาชนะ สำหรับเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างนี้ ผมจึงไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด

ผมซุ่มซ้อมวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย วิ่งให้เร็วขึ้น ๆ และเร็วขึ้น นึกไม่ถึงว่าแค่ไม่ทันระวังหน่อยเดียวเอง เท้าทั้งสองข้างของผมก็เกิดอาการเคล็ดขึ้นมาจริง ๆ ด้วย ผมรู้สึกปวดมาก จนต้องรีบลงไปแช่ขาในแม่น้ำข้างทาง ความเจ็บปวดบรรเทาลงจึงค่อยเดินกะเผลกกลับบ้าน

พอถึงแค่ประตูบ้านเท่านั้น ผมก็มองเห็นแขกไม่ได้รับเชิญสองคนกำลังอยู่ในบ้าน คนหนึ่งนั้นเป็นหญิงวัยกลางคนแต่งตัวเปรี้ยวฉูดฉาด กับเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่มีรอยสักรูปหงส์และมังกรอยู่ที่แขน ผมคิดในใจว่า ตายละ! เกิดเรื่องแน่แล้ว

ไม่ผิดไปจากที่คิดเลยสักนิด สองคนนี้มาจากซ่อง คนหนึ่งเป็นแม่เล้าอีกคนย่อมเป็นแมงดา เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อคืนนี้พี่สาวหลบหนีหายออกไปจากซ่อง พวกแมงดาพากันออกตามหากันให้วุ่น แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงา

“ที่ฉันมานี่ก็เพื่อจะมาเตือนพวกแกเอาไว้ว่า ถ้าหากอาเจียวมันกลับมาที่นี่ละก็ แกจงบอกให้มันคลานกลับไปหาฉันเสียดี ๆ หรือไม่งั้นพวกแกก็เอาเงินคืนฉันมาซะ พร้อมดอกเบี้ยด้วยนะยะ บอกให้ลูกสาวแกลองคิดดูให้ดี ๆ ล่ะ จะกลับไปทำงานหรือว่าจะจ่ายเงินคืน หรือถ้าไม่ทั้งสองอย่างละก็...” แม่เล้าพูดเสียงเหี้ยมเกรียมค้างไว้เพียงเท่านี้ก็หยุด แล้วชายตาไปที่แมงดานิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อไปว่า “พวกแกคอยดูก็แล้วกัน”

“ข้ารู้ ข้ารู้ ถ้าอาเจียวกลับมาละก็ ข้าจะต้องส่งมันกลับไปคืนแน่” พ่อพูดอย่างเจียมตัว

ผมเห็นหยดน้ำตาคลอเบ้าของพ่อ ผมไม่รู้ว่านั่นคือน้ำตาจากความหวาดกลัวหรือน้ำตาจากความเสียใจกันแน่ แต่ใจผมนั้นมันสับสนเหลือประมาณ

พี่สาวหนีไปแล้ว ถ้าคิดในแง่ดีก็ต้องดีใจว่า เธอรอดพ้นจากเหวนรกนั่นแล้ว ต่อไปก็จะได้เป็นอิสระเสียที แต่ถ้าคิดในแง่ร้าย ก็อาจคิดได้ว่าพี่สาวคงได้รับความทุกข์ทรมานทั้งกายและใจอย่างแสนสาหัส จนถึงกับต้องหนีออกไปโดยไม่คิดถึงอะไรอื่นอีกต่อไป

ถ้าพี่สาวไม่กลับไป แล้วพ่อจะหาเงินที่ไหนไปคืนที่ซ่องได้ล่ะ หรือถ้าพี่สาวกลับไป ก็ไม่รู้ว่าแม่เล้ากับพวกแมงดาจะจัดการกับพี่อย่างไรบ้าง ผมไม่กล้าจะคิดต่อไปเลยจริง ๆ แต่ผมรู้ดีว่า พี่สาวทำงานที่ซ่องนั้นไม่มีเงินติดตัวเลยสักเหมาเดียว แล้วพี่จะหนีไปไหนได้นะ แล้วพี่จะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร พี่หนีไปคนเดียวหรือเปล่า มีใครช่วยพาพี่หนีออกไปมั้ย แล้วถ้าหากว่าพี่สาวเกิดคิดไม่ตก แล้วฆ่าตัวตาย ทีนี้จะทำอย่างไรล่ะ

คิดเพียงเท่านี้ ใจผมก็ร้อนเร่าเหมือนถูกไฟเผา เหมือนจะมอดไหม้ไปหมดทั้งหัวใจ

คืนนี้ทั้งพ่อและผมต่างก็ไม่มีกะจิตกะใจออกไปขอทานอีกแล้ว ผมนั้นร้อนใจจนกินข้าวไม่ลง จนเกือบสองสามทุ่ม ผมถึงได้จูงพ่อออกไปตามตรอกซอกซอยที่เราคุ้นเคย ตระเวนถามข่าวคราวของพี่สาวจากพวกเพื่อนบ้าน ตามร้านของชำ และแผงขายผัก มีใครเห็นพี่สาวผ่านมาทางนี้บ้างหรือเปล่า แม้เราจะเดินหากันอยู่ทั้งคืน แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ เลย

พอกลับมาถึงบ้าน ขาทั้งสองข้างของผมก็บวมเป่งจนแทบจะเดินไม่ได้ ต้องคอยใช้น้ำร้อนประคบไว้ตลอดเวลา แต่จะว่าไปแล้ว ที่จริงความเร่าร้อนภายในใจผมนั้นกลับรุนแรงเสียยิ่งกว่าความเจ็บปวดทางกายมากมายนัก ผมนอนแผ่อยู่บนเตียงตลอดทั้งคืนโดยไม่อาจข่มตาให้หลับได้เลย ในสมองมีแต่ภาพความสนิทสนมผูกพันกันในวันเก่า ๆ ของผมและพี่สาววนเวียนไปมาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งคิดก็ยิ่งกังวล

ตลอดระยะเวลาแปดปีของการเรียนของผมนี้ก็แลกมาด้วยการเสียสละความสุขทั้งชีวิตของเธอ ก็เพราะพี่สาวคนนี้แหละ ผมจึงมีแรงกล้ำกลืนฝืนทน ข่มใจกับความเจ็บปวดโดยไม่ฆ่าตัวตายไปเสียก่อน เพราะแม้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่เคียงข้างผม แต่อย่างน้อยผมก็รู้ว่าเธอยังมีอยู่อีกมุมหนึ่งที่ห่างออกไป เธอยังจะคอยให้กำลังใจผม เอาใจช่วยผม แต่ทว่าวันนี้ไม่รู้เธอไปอยู่แห่งหนใด แล้วผมจะหันหน้าไปหาแหล่งพักพิงใจจากไหนได้เล่า ผมคิดอย่างหมดหวังว่า ถ้าพี่สาวตาย ผมก็คงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แน่

ช่วงนั้นนับเป็นช่วงที่ทรมานที่สุดตั้งแต่เข้าเรียนมา พอถึงวันหยุดทีไรพ่อกับผมก็ต้องออกไปตระเวนตามหาข่าวคราวของพี่สาวทุกครั้งไป พร้อมกันนี้วันแข่งกีฬาก็ยิ่งใกล้เข้ามาทุกที แต่อาการเจ็บขาก็ยังไม่ดีขึ้นเลย แต่ด้วยความที่ไม่อยากจะละทิ้งการแข่งขัน ผมจึงต้องปิดบังความจริงไว้ไม่ให้โค้ชทราบ

ผมยังฝืนออกไปฝึกซ้อมอยู่ทุกวันตามปกติ เวลาวิ่งไปแต่ละก้าวนั้นก็ต้องกัดฟันแน่นทนความเจ็บปวดเอาไว้ แต่สิ่งที่ปรากฏชัดเจนก็คือ ความเร็วในการวิ่งของผมนั้นลดลงทุกที

ต่อมาวันหนึ่ง ในที่สุดโค้ชก็อดรนทนไม่ได้ ถึงกับต้องเรียกผมออกมาจากลู่วิ่งทันที แล้วถามผมว่า

“ไล่ตงจิ้น พักหลังนี่เธอเป็นอะไร ทำไมถึงได้เหมือนคนใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดเวลาเลย”

“ผมเปล่าครับ โค้ช”

“จริงรึ” โค้ชพูดพลางก้มลงมองที่ขาผม “ขาเราน่ะ เป็นอะไรหรือเปล่าทำไมเวลาวิ่งมันดูขัด ๆ ยังไงชอบกล”

“โค้ชครับ ผม...ผม...ไม่เป็นไรนี่ครับ ผมสบายดีครับโค้ชครับ”

พอถึงตอนนี้ก็เริ่มมีฝนตกปรอยลงมา โค้ชเงยหน้าดูฝนกำลังตั้งเค้าและเมฆที่ทะมึนมาแต่ไกลก่อนจะพูดกับผมต่อว่า “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แต่ต้องตั้งใจฝึกซ้อมให้มากกว่านี้ ต้องวิ่งให้ได้สถิติเดิม เข้าใจไหม”

“เข้าใจครับ โค้ช วางใจได้ครับ”

“เอาละ วันนี้ซ้อมเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน เอ้า ฝนตกแล้ว นายรีบกลับบ้านเถอะ” โค้ชพูดจบ ก็หันไปตะโกนบอกกับนักเรียนคนอื่นว่า “เอาละ เอาละ ฝนตกแล้วพวกเรา วันนี้ทุกคนกลับบ้านไปพักผ่อนกันได้แล้ว แล้วพรุ่งนี้เช้าให้ทุกคนมารวมตัวให้เร็วกว่าปกติครึ่งชั่วโมง เลิกแถว!”

ผมรอโค้ชพูดจนจบ แล้วแกล้งเก็บข้าวของใส่กระเป๋าทำทีเหมือนเตรียมตัวจะกลับบ้าน แต่ตั้งใจเก็บให้ช้า ๆ กะไว้ในใจว่าเดี๋ยวรอให้เพื่อน ๆ กลับไปกันหมดแล้วตัวเองจะอยู่ซ้อมต่อก่อน เมื่อตะกี้เกือบจะพลาดถูกโค้ชจับได้เรื่องขาเจ็บอยู่เชียว แล้วนี่ถ้าผมวิ่งไม่ได้สถิติเดิม มีหวังถูกถอนชื่อออกจากการแข่งขันแน่ ไม่ได้! ไม่ได้! ฝนจะตกก็ตกไป วันนี้ยังไงผมก็ต้องอยู่ซ้อมต่ออีกสักชั่วโมงก่อน

ดังนั้นผมจึงซ้อมวิ่งต่ออยู่ท่ามกลางสายฝนจนเปียกปอนไปทั้งตัว ผมวิ่งจนฝนตกหนักและแทบจะมองไม่เห็นทางข้างหน้าแล้ว ผมจึงพอใจยอมกลับบ้าน

ตลอดทางที่กลับบ้าน ผมมัวแต่กังวลอยู่ว่าพรุ่งนี้ทำอย่างไรดีโค้ชจึงจะได้ไม่สงสัย เพราะความจริงขาผมมันระบมจนวิ่งต่อไปไม่ไหวแล้ว แต่นึกไม่ถึงเลยว่า ความอวดดีตลอดทั้งบ่ายวันนี้จะทำให้ผมต้องล้มลงทันทีที่กลับถึงบ้าน ฝนที่ตกหนักทำให้ผมเปียกไปทั้งตัวจนเป็นไข้หวัดใหญ่ ทั้งยังมีอาการโพรงจมูกอักเสบแทรกซ้อนด้วย จมูกผมแทบจะรับกลิ่นอะไรไม่ได้เลย หัวก็ยังหนักทั้งปวด แต่บ้านเราก็ไม่มีเงินพอที่จะให้ผมไปหาหมอได้ จึงได้แต่สะลึมละลือนอนหลับใหลไม่รู้เรื่องอยู่ที่เตียงเท่านั้นเอง

ด้วยเหตุนี้ผมจึงหมดโอกาสลงแข่งขันไปโดยปริยาย พี่สาวก็หายตัวไป ขาก็เจ็บ แถมยังมาโพรงจมูกอักเสบอีก ความผิดหวังที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ จู่โจมผมจนเสียผู้เสียคนทีเดียว ก็เพื่อการกรีฑา ผมจึงละเลยการเรียนไป แต่สิ่งที่ตอนแทบความพากเพียรความตรากตรำฝึกซ้อมอย่างทรหดอดทนของผมทั้งหมดกลับกลายเป็นหยาดน้ำตา ผมกู่ตะโกนก้องอยู่ในใจว่า พี่ครับพี่! แต่ตอนนี้เธอจะอยู่แห่งหนไหน เป็นตายร้ายดีอย่างไรผมก็ไม่รู้เลย

คราวนี้ ผมไม่เหลือปณิธานอะไรให้เอาชนะอีกต่อไปแล้ว ใจผมมันท้อแท้อย่างบอกไม่ถูก ชีวิตผมถูกกำหนดมาให้เป็นเช่นนี้น่ะหรือ มันจะต้องบัดซบอย่างนี้ใช่ไหม

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 03:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 42
ไม่มีข้ออ้าง

ตกกลางคืน ผมกับพ่อก็ออกไปขอทานตามปกติเช่นทุกวัน ทิ้งแต่น้องสาววัยเจ็ดขวบไว้ให้คอยดูแลคนในบ้าน

ตอนดึกผมจูงพ่อกลับบ้านมา พอเดินมาถึงประตูก็ได้ยินเสียงสะอื้นเบา ๆ ของน้องสาวลอยมา ทีแรกก็เข้าใจว่าน้องคงจะไม่สบาย แต่ที่ไหนได้ พอน้องสาวแกเห็นหน้าผมเท่านั้นแหละ ก็โผเข้ามาร้องไห้ซุกลงในอ้อมอกผม คราวนี้แกร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่เป็นเสียงเลย

น้องเล่าว่า พอพวกเราออกไปได้ไม่นาน ก็มีชายแปลกหน้าสองคนผลักประตูเข้ามาในบ้าน บ้านเล้าหมูของเรามีแค่ประตูไม้จะพังมิพังแหล่บังลมอยู่แค่บานเดียวเท่านั้น กลอนไม่มี ปิดไว้ก็ไม่สนิท เพียงแค่ผลักประตูเท่านั้น ชายแปลกหน้าก็ทะลวงเข้ามาข้างในได้อย่างง่ายดาย ชายสองคนนั้นเมาทำท่าจะเข้ามาโอบกอดลวนลามน้อง น้องตกใจกลัวจนร้องไห้ แกกระเสือกกระสนดึงดันหนีออกจากเงื้อมมือของชายโฉดสองคนนั้น แล้วคุกเข่าร้องไห้คำนับลงกับพื้น ขอร้องให้พวกเขาปล่อยแกไป

ชายชั่วสองคนนั่นมีหรือจะยอมปล่อย มันรีบกระโจนจะเข้าไปกอดน้องแต่ดันพลาดไปชนกับโต๊ะเข้าจนเกิดเสียงดังลั่น ทำให้แม่และน้องชายคนโตตกใจตื่นขึ้นมา แล้วแม่กับน้องชายคนโตสองคนนี้เหมือนคนอื่นเขาที่ไหน แกสองคนก็เหมือนกับเด็กเล็ก ๆ ที่พอตกใจตื่นขึ้นมาแล้วก็จะร้องไห้อาละวาดไม่ฟังเสียง

พอสองคนนี้ร้องไห้ น้องชายอีกสองคนที่ยังแบเบาะก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาบ้าง พวกแกก็พลอยร้องไห้กันกระจองอแง ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะเสียงร้องไห้ของคนบ้านนี้มันน่าตกใจนัก หรือว่าเป็นเพราะหน้าตาท่าทีปัญญาอ่อนของแม่ที่ทำให้พวกผู้ร้ายเกิดความเห็นอกเห็นใจขึ้นมา แต่ชายสองคนนี้ก็สร่างเมาได้สติ แล้วก็รีบหนีจากไปโดยไม่คิดที่จะรังแกน้องอีก

น้องสาวเล่าถึงตอนนี้แกก็ยังไม่หายหวาดกลัว ส่วนผมนั้นรู้สึกคับแค้นขัดใจเหลือกำลัง เลือดขึ้นหน้า อยากจะชกหน้าไอ้สารเลวสองตัวนั่นจริง ๆ แต่ชายสองคนนี้ก็สร่างเมาได้สติ แล้วก็รีบหนีจากไปโดยไม่คิดที่จะรังแกน้องอีก

น้องสาวเล่าถึงตอนนี้แกก็ยังไม่หายหวาดกลัว ส่วนผมนั้นรู้สึกคับแค้นขัดใจเหลือกำลัง เลือดขึ้นหน้า อยากจะชกหน้าไอ้สารเลวสองตัวนั่นจริง ๆ แต่พวกมันก็หนีไปไกลเสียแล้ว ประกอบกับความตกใจกลัว จึงทำให้น้องสาวไม่สามารถจดจำรูปร่างหน้าตาของชายชั่วทั้งสองได้ชัดเจนนัก ความโกรธแค้นไม่มีที่ระบายออก จึงได้แต่เก็บมันอัดอั้นไว้ในใจผม

วันต่อมา ผมไปโรงเรียน พอกลับถึงบ้านก็เห็นลูกหมาอยู่ตัวหนึ่ง ไม่รู้ว่าพ่อไปอุ้มมาจากไหน พ่อบอกว่า จะได้ให้มันคอยช่วยเฝ้าบ้าน เวลาที่เราออกไปขอทานจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนตอนกลางวันมันก็จะได้ช่วยเห่าให้พ่อได้รู้ว่าคนที่เดินเข้ามานั้นใช่คนแปลกหน้าหรือไม่

นับแต่นั้นเป็นต้นมา เจ้าหมาน้อยตัวนี้จึงกลายเป็นสมาชิกใหม่ในบ้านของเรา พวกเรากินอะไรมันก็กินด้วย มันไม่เคยรังเกียจว่าเจ้าของมันจะยากจนสักแค่ไหน มันไม่เคยรังเกียจว่าที่อยู่จะเหม็นเพียงใด ยังคงจงรักภักดีอยู่เป็นเพื่อนเราตลอดมา

เมื่อไม่กี่ปีมานี้ น้องสาวผมคนหนึ่งต้องตายไปตั้งแต่ยังเล็ก น้องสาวอีกสองคนก็ถูกยกให้คนอื่นไป เหลือแต่น้องสาวคนเล็กคนนี้เป็นน้องสาวคนเดียวของผม เราไม่เพียงแต่รักกัน ทั้งยังสนิทสนมกันมากด้วย เพราะตั้งแต่เล็ก ๆ เจ้าน้องสาวคนนี้ก็ชอบมานัวเนียอยู่ข้าง ๆ ผม คอยพี่จ๊ะพี่จ๋าอยู่ตลอดเวลา พอเกิดเรื่องนี้ขึ้น ก็เลยทำให้จิตใจที่ไม่กระเตื้องเซื่องซึมมานานของผมตื่นตัวขึ้นเต็มที่

ผมคิดว่าผมไม่ควรจะเอาเรื่องที่พี่สาวหายตัวไป โพรงจมูกอักเสบ และขาเจ็บมาเป็นเหตุให้หดหู่กังวลอีกต่อไป ผมยังมีคนอื่น ๆ ในครอบครัวอีกไม่ใช่หรือ พวกเขายังต้องการผม ยังต้องพึ่งพาผม ถ้าหากว่าผมเกิดล้มลงไป แล้วบ้านนี้ก็คงจะต้องขาดเสาหลักไปอย่างแน่นอน

ช่วงก่อนหน้านี้ ผมมักจะซึมกะทือหมกมุ่นอยู่แต่ในความคิดกังวลใจของตัวเอง แรงกำลังใจทั้งหลายที่เคยได้มาจากความมั่นใจ พอวันหนึ่งความมั่นใจเกิดทลายลง แรงกำลังใจต่าง ๆ ก็พลอยสลายหายไปด้วย วิ่งก็ไม่ได้ เรียนหนังสือก็ไม่ใส่ใจ ครูมักจะตำหนิว่าผม “หาข้ออ้าง” จะอะไรก็ตาม แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะช่วยให้ผมเกิดแรงฮึดขึ้นมาได้เลย ผมปล่อยให้ตัวเองใช้ชีวิตอยู่ในความมืดวันแล้ววันเล่า

ผมจะปล่อยให้ตัวเองเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ความมั่นใจนั้นถ้าหากว่าต้องคอยอาศัยแต่จากเสียงปรบมือของคนอื่นหรือจากเกียรติบัตรรางวัลต่าง ๆ แล้วละก็ อย่างนั้นก็ไม่สมควรจะเรียกว่าเป็นความมั่นใจได้อย่างแท้จริงหรอก ลองคิดทบทวนดูสิว่าตลอดเวลาเก้าปีที่เรียนหนังสือมานั้น ผมไม่เคยทำผิดต่อฟ้าดินเลย ผมกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ตลอดมา แต่ก่อนเคยลำบากกว่านี้ตั้งเยอะผมก็ยังเอาชนะผ่านมาได้ แล้วตอนนี้กับแค่เรื่องขี้ปะติ๋วเท่านี้จะสักเท่าไรกันเชียว

แม้พี่สาวจะหายตัวไป แต่ผมก็เชื่อว่าเธอต้องยังอยู่มุมใดมุมหนึ่งบนโลกใบนี้ ภาวนาให้ผมอยู่เงียบ ๆ แน่ พี่คงหวังว่าจะให้ผมช่วยดูแลคนในบ้านเราให้ดีให้ผมตั้งใจเรียนหนังสือ ถึงแม้ผมจะไม่นึกถึงตัวเอง แต่จะทรยศต่อความหวังของพี่ได้อย่างไรกันเล่า

ผมต้องเลิกหาข้ออ้างเสียที ผมต้องเดินฝ่าความมืดออกมาเปิดประตูต้อนรับแสงสว่างรุ่งโรจน์จากอนาคตได้แล้ว ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมเพิ่งจะอ่านหนังสือเรื่อง “เรือน้อยในทะเลแห่งความรุ่งโรจน์” ของเจิ้งเฟิงสี่จบพอดี มันช่างจับใจเหลือเกิน เจิ้งเฟิงสี่เป็นคนพิการ ยังหาญกล้าที่จะแสวงหาความสำเร็จของตัวเอง แล้วนี่ผม ผมผู้มีอวัยวะร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ ก็ต้องถือว่ายังโชคดีกว่าเขามาก แล้วผมจะยอมแพ้เขาได้อย่างไร

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 03:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 43
รากมนุษย์

ใกล้สอบเข้ามาทุกที ผมก็มีเรื่องให้ต้องว้าวุ่นอีกครั้ง

ตอนนั้นผมเรียนอยู่ในห้องเรียนดีที่สุดของโรงเรียน นักเรียนทุกคนในชั้นถือการ “จบชั้นมัธยมปลาย ต่อชั้นมหาวิทยาลัย” เป็นเป้าหมายแรกในชีวิต ผมเองก็หวังอยากจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเหมือนกับคนอื่นเขาเช่นกัน แต่ถ้าหากผมเดินไปบนเส้นทางตามถนนสายนี้ นั่นก็หมายความว่า พ่อในวัยหกสิบของผมก็จะต้องเป็นขอทานต่อไปอีกเจ็ดปี จึงจะส่งผมเรียนจบได้ แล้วตอนนี้น้อง ๆ ก็เริ่มโตขึ้นทุกที แต่ละปากจะต้องกินต้องใช้ ยื่นมือมาขอค่าเทอม แล้วพ่อคนเดียวจะรับภาระทั้งหมดนี้ได้อย่างไร

ผมคิดไปคิดมา คิดแล้วคิดอีก ในที่สุดจึงตัดสินใจเลือกเรียนในโรงเรียนสายอาชีวะ เรียนด้านวิชาชีพให้ถนัดไปเลยสักด้านดีกว่า จะได้ไม่ต้องมีแรงกดดันเรื่องการเรียนต่อไปอีกด้วย กลางคืนจะได้หางานพิเศษทำได้ ต่อจากนั้นอีกสามปี พอเรียนจบแล้วก็จะช่วยพ่อแบ่งเบาภาระได้บ้าง แม้ใจผมนั้นเข้าใจลึกซึ้งถึงฐานะของทางบ้าน แต่ถึงกระนั้น ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน พอผมรู้ว่าเพื่อน ๆ กว่าครึ่งห้องสามารถสอบเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่ 1 และที่ 2 ประจำจังหวัดได้ ก็ยังรู้สึกอิจฉาจนแทบจะนอนไม่หลับไปตลอดทั้งคืน

พอเข้ามาเรียนในโรงเรียนอาชีวะประจำจังหวัดแล้ว ผมก็เริ่มต้นชีวิตแบบใหม่ด้วยการเรียนด้วยทำงานไปด้วย ทุกวันหลังเลิกเรียน ผมก็จะปั่นจักรยานที่คุณครูเฉินเมี่ยวและคุณครูหวางซู่เอ๋อมอบให้เป็นของขวัญตอนเรียนจบชั้นประถม จากอำเภออูรื่อ ผ่านหมู่บ้านอู้เฟิ้ง จนมาถึงต้าหลี่ รวมแล้วก็ประมาณสามสิบกิโลเมตรได้ ถ้าเป็นหน้าร้อนก็ปั่นกันจนเหงื่อท่วมหลังทีเดียว ถ้าเป็นหน้าหนาวก็หนาวจนสั่นชาไปทั้งตัว

จากโรงเรียนก็ตรงมาที่โรงงานเพื่อเข้างานกะดึก กว่าจะเลิกงานกลับถึงบ้านก็ห้าหกทุ่มเข้าไปแล้ว จากนั้นผมจึงจะมีเวลาทำการบ้านอ่านหนังสือบ้าง พอถึงวันหยุด ผมก็ไม่ได้หยุด ทุกวันอาทิตย์ผมก็จะไปทำงานที่เล้าเป็ดตามคำแนะนำของอาจารย์จวงเซินหลิน วันหนึ่งก็ได้ค่าแรงประมาณแปดร้อยหยวน บวกกับค่าแรงกะกลางคืนที่โรงงานอีกสามพันกว่าเหรียญก็พอจะช่วยเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัวเราได้บ้าง

แม้ผมจะต้องทำงานหนักเหมือนวัวเหมือนควาย แต่เพื่อความประหยัด ตลอดสามปีที่เรียนอาชีวะ ผมจึงต้องพยายามเรียนให้ได้คะแนนดีที่สุดเพื่อให้ได้รับทุนการศึกษาทุกปี ถึงจะไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่ผมก็จะไม่ยอมละทิ้งนิสัยรักการเรียน ขวนขวายหาความรู้ใส่ตัวเป็นอันขาด

แม้บ้านเราจะยากจน แต่การใช้แรงงานของตนแลกเงินทองมาเลี้ยงดูครอบครัว ก็ทำให้ผมเกิดความรู้สึกดีใจมิใช่น้อยเลย เพราะผมจะได้ไม่ต้องเป็นขอทานอีกต่อไป จะได้ไม่ต้องทนให้ใครเขามาดูถูกเหยียดหยามอีกแล้ว

ตอนเรียนอาชีวะปีหนึ่ง ผมทำงานพิเศษอยู่โรงงานใบยาสูบที่เมืองต้าหลี่ เขตไถจง ต้องใส่หน้ากากปิดจมูกปาก สวมผ้ากันเปื้อนเข้าไปในโกดังเหมือนคนงานคนอื่น งานก็คือการใช้รถเข็นลากใบยาสูบให้มันแยกออกจากกัน แล้วกองทับ ๆ กันใหม่ไว้เป็นชั้น ๆ ไป หลังจากสามชั่วโมงผ่านไป พอเดินออกมาอีกที เราทุกคนก็เปื้อนฝุ่นสีขาวไปหมดทั้งตัวทั้งผม เสียแต่ว่าการเก็บทำใบยาสูบนั้นต้องทำกันเป็นฤดู พอหมดฤดูแล้ว ผมจึงต้องย้ายไปทำงานที่โรงงานไฟฟ้าจื้อเฉิง ซึ่งก็อยู่ในเมืองต้าหลี่เช่นเดิม

งานที่โรงงานไฟฟ้านี้เป็นงานที่ต้องใช้แรงกายมาก และที่แย่ที่สุดก็คือกลิ่นของสารเคมีที่โรงงานนั้นฉุนจัด ฉุนขนาดที่ว่าแม้จะสวมหน้ากากถึงสองชั้นก็ยังรู้สึกมึนหัวอยู่ดี จนกลับถึงบ้านแล้วจมูกก็ยังไม่หายจากอาการชา จะดมอะไรก็ไม่ได้กลิ่น พอขึ้นปีสาม ผมก็ได้เข้ามาทำงานที่บริษัทจงเหม่ยป้องกันอัคคีภัย

จงเหม่ยเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัย แม้จะได้ชื่อว่าเป็น “บริษัท” แต่ในความเป็นจริง นอกจากอาจารย์ท่านหนึ่ง (ซึ่งก็คือ เถ้าแก่หวาง) ก็มีแต่ผม ลูกจ้างชั่วคราวที่เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยเท่านั้นเอง ตอนเช้าจะมีอาจารย์อยู่ทำงานเป็นหลัก กลางคืนก็เป็นหน้าที่ผมทำงานเบ็ดเตล็ดทั่วไป นอกจากนี้ก็มีคุณเฉาและคุณหลิว ที่ช่วยทำงานด้านกลยุทธ์การตลาดและการวางแผน

บริษัททั้งบริษัทของเรามีเนื้อที่เพียงสามตารางเมตรเท่านั้น มีเก้าอี้อยู่สามตัว โต๊ะสามตัว มุมที่เหลืออยู่นิดหน่อยก็ใช้เป็นที่เก็บของชั่วคราว พวกเราต่างทำงานด้วยความมุมานะกันทุกคน และเป็นเพราะกำลังคนของเราน้อย ดังนั้นผมจึงต้องทำงานแทบทุกอย่าง ตั้งแต่งานนักการไปจนถึงงานด้านเทคนิคชั้นสูง ผมต้องรู้ทุกเรื่อง และในขณะที่ผมกำลังเติบโตขึ้นนี้ ผมก็มองดูจงเหม่ยที่กำลังขยายตัวขึ้นเช่นกัน เริ่มตั้งแต่คนแค่สองคน

พอปีที่สองเราก็เริ่มรับพนักงานเพิ่มมาอีกสามคน ปีที่ห้าเราก็ย้ายออกไปเช่าที่ทำการบริษัทแห่งใหม่ พนักงานก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น กิจการก็ยิ่งนับวันยิ่งดีขึ้น พอถึงปีที่สิบนั้นเรามีพนักงานทั้งหมดยี่สิบกว่าคนได้ และในที่สุดเราก็สามารถซื้อที่ทำการบริษัท “จงเหม่ย” ที่เป็นของเราอย่างแท้จริง

เราเริ่มต้นมาจากศูนย์มาด้วยกัน ผมกับเถ้าแก่ช่วยกันฟันฝ่ามาจนถึงวันนี้ เราต้องจัดการเองทั้งหมดทั้งกิจการภายนอกและภายใน เคยมีคนถามว่าปรัชญาในการทำงานของผมคืออะไร ผมว่าผมไม่มีปรัชญาอะไรหรอก นอกจากคำว่า “มุ่งมั่น” สองพยางค์นี้เท่านั้น การร่อนเร่พเนจรสอนให้ผมเข้าใจลึกซึ่งว่าบนโลกใบนี้ไม่มีคำว่าโชคดีหรอก ไม่มีอะไรที่เราจะได้มาง่าย ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตล้วนมาจากความมานะพยายามของตนเองทั้งสิ้น การฝ่าฟันอุปสรรคแต่ละครั้งก็เปรียบเสมือนการวางอิฐแต่ละก้อนลงบนรากฐานแห่งชีวิตของเรา ชีวิตคนก็แบบนี้แหละ การทำงานก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน

ในระหว่างนี้ผมก็มีความรักอยู่หลายครั้งหลายหน แม้ว่าเหตุผลที่เลิกรากันไปจะไม่ใช่แต่เรื่องฐานะทางครอบครัว แต่ใจผมนั้นก็ยังอยากจะเจอผู้หญิงสักคนที่ฉลาดเรียบร้อย รู้จักรับผิดชอบต่อครอบครัว มีใจมั่นคง ผมนึกถึงตอนที่ตัวเองสักสิบขวบได้ ตอนนั้นผมมองดูเด็ก ๆ ในหมู่บ้านเล่นลูกข่างกัน ผมคิดว่าความรักมันก็เหมือนกับการเล่นลูกข่างนั่นแหละ ถ้าคนกับลูกข่างกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ลูกข่างก็จะหมุนได้ดีและนาน แต่ถ้ามีความไม่สมดุลเกิดขึ้นแล้วละก็ มันก็จะเหมือนดอกไม้ไฟที่เปล่งรัศมีสวยงามได้อยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น แล้วก็จะหายวับไปในชั่วพริบตา

ความรักของผมมันก็เกิด ๆ ดับ ๆ อยู่อย่างนี้ ผมล่องลอยไปเรื่อย ๆ กับเรื่องความรัก บางทีก็เหงาบ้างนิด ๆ ว้าเหว่บ้างหน่อย ๆ จนกระทั่งผมได้มาพบกับลี่เสีย

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 03:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 44
ดอกฟ้ากับยาจก

รอมาชั่วโมงกว่าแล้ว ลี่เสียก็ยังไม่มา

ผมยืนรออยู่ที่หน้าประตูสวนสาธารณะ ก้มลงมองดูนาฬิกาข้อมือเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ สำหรับการนัดครั้งนี้ ผมตื่นนอนเช้าเป็นพิเศษ ลุกขึ้นมาขัดสีฉวีวรรณเจ้าเวสป้ากลางเก่ากลางใหม่ของผม แล้วเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวกลีบโง้งเรียบกริบ วางแผนการเที่ยวรอบเมือง เตรียมแม้กระทั่งบทสนทนาที่กะไว้ว่าจะพูดกับเธอหลังจากที่ได้พบกันในอีกสักครู่

ผมซ้อมพูดไว้ในใจซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายสิบหน “ลี่เสีย กระโปรงของคุณตัวนี้สวยจังเลย” ไม่ดี ไม่ดี! อะแฮ่ม “ลี่เสีย คุณผูกผมหางม้าแบบนี้ดูน่ารักดีนะครับ” เอ๊ะ! ก็ไม่ค่อยดีแฮะ เอาใหม่ เอาใหม่! “ผมดีใจมากเลยนะครับ ที่คุณยอมตอบตกลงออกมาเที่ยวกับผม” โอ! พระเจ้า “อาเสีย คือว่า ผม...”

ความกระวนกระวายที่เกิดขึ้นในใจผม ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ๆ ตามเวลาที่ผ่านไปทุกวินาที จนชักจะกลายเป็นความกังวลใจขึ้นมาแทน สถานที่และเวลาที่นัดกับลี่เสียไว้ก็ไม่น่าจะผิดพลาดนี่นา ปกติเธอไม่เคยสาย หรือว่าอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างทาง หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่บ้านเธอ

ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนใจ ปีนี้ผมอายุยี่สิบห้า ได้รู้จักกับลี่เสียโดยการแนะนำของเถ้าแก่เนี้ยร้านน้ำแข็งใสในหมู่บ้าน เถ้าแก่เนี้ยกระตือรือร้นกับการแนะนำครั้งนี้นัก เพราะเธอเห็นว่าผมเป็นคนขยันรักความก้าวหน้า จึงพยายามจะหาแฟนให้ผมให้ได้ เธอบอกว่าฝ่ายหญิงน่ะปีนี้อายุยี่สิบสอง ทั้งสวยทั้งขยัน ให้เธอเป็นแม่สื่อก็แล้วกันนะ ตอนนั้นผมก็ไม่ได้คบกับใคร จึงรีบตอบรับด้วยความยินดี กะว่าจะลองพบหน้ากันดูก่อน ดูซิว่าจะต้องชะตากันไหม แต่นึกไม่ถึงว่านัดไปนัดมาเกือบครึ่งปีได้ กว่าลี่เสียจะยอมตกลงออกมาพบกับผม

พอเห็นหน้ากันครั้งแรก ลี่เสียก็จำผมได้ทันที เพราะที่จริงผมกับเธอเคยเรียนมัธยมต้นที่โรงเรียนเดียวกัน ตอนสมัยมัธยมต้น ผมเป็นคนค่อนข้างเด่นในโรงเรียน จึงแทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักผม ไม่เว้นแม้แต่ลี่เสีย เธอไม่เพียงแต่จำผมได้เท่านั้น แถมยังพูดออกมาอย่างกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่อีกว่า

“ไล่ตงจิ้น ทำไมคุณถึงไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยสักนิดเดียว หน้าตาท่าทางก็ยังเหมือน “ผู้คงแก่เรียน” อยู่อย่างเดิมเลยนะ ทุกคนเขาแอบเรียกคุณลับหลังว่า “ตาหัวเผือก” ยังไง จนสิบปีมาแล้ว คุณก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น” ลี่เสียบอก

“ยังเหมือนหัวเผือกอยู่หรือ” ผมยิ้มเขิน ๆ

“อืม” ลี่เสียพยักหน้ารับ “ว่าแต่ว่า ทำไมคุณถึงไม่มีแฟนล่ะ ฉันไม่เชื่อหรอก ฉันยังจำได้เลยว่าตอน ม.ต้น น่ะ คุณออกจะป๊อปจะตายไปนี่นา นักเรียนหญิงห้องฉันเองก็ตั้งหลายคนที่พากันคลั่งไคล้คุณ พากันออกมายืนที่ระเบียงแอบดูคุณซ้อมวิ่งไงล่ะ

ลี่เสียพูดไปแล้วก็ยิ้มเขิน ๆ ผมก็ยิ้มขื่น ๆ ไม่รู้จะบอกเธอได้อย่างไรว่าเด็กผู้หญิงที่พากันแอบชอบผมทั้งหลายแหล่พวกนั้นน่ะ พอเจ้าหล่อนได้รู้สภาพครอบครัวของผมแล้ว ก็พากันเปิดแน่บ จะความรักความหลงอะไรก็พากันจูงมือหายเข้ากลีบเมฆไปหมด

วันนั้นเราก็คุยกันถึงเรื่องสัพเพเหระอย่างนี้ คุยกันเยอะแยะไปหมด จากนั้นมา หัวใจผมก็ไม่เคยได้สงบอีก รอยยิ้มหวาน ๆ ของลี่เสียค่อย ๆ เข้ามาครอบครองพื้นที่ทั้งหมดในหัวใจผม ไม่ว่าจะเวลาทำงาน เดินเหิน กินข้าว หรือแม้แต่ก่อนจะข่มตานอน ในสมองและหัวใจก็ล้วนแต่มีเงาของเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น

ผมจะต้องหาทางเจอเธออีกให้ได้ ผมบอกกับตัวเองอย่างมุ่งมั่น

จากนั้นเป็นต้นมาเราก็มีโอกาสได้นัดเจอกันอีกหลายหน ผมยิ่งได้รู้จักก็ยิ่งรักเธอมากขึ้นทุกที ยิ่งรักเธอผมก็ยิ่งหวั่นไหว ไม่รู้ว่าลี่เสียได้รู้ความจริงว่าครอบครัวผมเป็นอย่างไรบ้าง แล้วเธอจะจากผมไปหรือเปล่า แล้วถ้าถึงตอนนั้นผมจะแบกหัวใจอันบอบช้ำของผมไปหาผู้หญิงดี ๆ อย่างนี้ได้ที่ไหนอีก แต่ในทางกลับกัน ผมก็กลัวเหมือนกันว่าผมจะทำให้เธอเสียเวลากับผมไปเปล่า ๆ จึงตัดสินใจว่าจะเล่าความจริงให้เธอรู้

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเชิญเธอไปรับประทานอาหารที่ร้านอาหารฝรั่งร้านหนึ่งระหว่างนั่งที่โต๊ะอาหาร ผมก็เล่าชีวประวัติของตัวเอง ตลอดจนการเร่ร่อนขอทานในวัยเด็กให้เธอฟังอย่างละเอียด ทั้งตอนที่ถูกคนหัวเราะดูถูกเหยียดหยาม ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองหน้าเธอ ผมกลัวว่าตัวเองจะเห็นแววตาที่บ่งบอกถึงความผิดหวังของเธอ แต่ก็สุดจะหักห้ามความเสียใจของตัวเองไว้ได้ ในที่สุดผมก็ต้องหลั่งน้ำตาร้องไห้ออกมาต่อหน้าผู้หญิงที่ผมรัก

ต่อมาตอนหลังลี่เสียมักจะชอบพูดเล่นว่า เธอถูกน้ำตาผมหลอกเข้าให้ แต่ผมกลับจำวันนั้นได้ไม่ลืม ลี่เสียเดินข้ามโต๊ะมาหาผม สองมือเธอกุมมือผมไว้เป็นมือคู่ที่แสนอบอุ่นและมั่นคง

ผมพอจะจำที่ตั้งบ้านของลี่เสียได้เลา ๆ เพราะเคยส่งเธอกลับบ้านตั้งหลายหน แม้ว่าเธอจะให้ผมส่งแค่ที่ปากซอย แต่เธอก็เคยชี้ให้ผมดูว่าบ้านหลังไหน ไม่น่าผิดหรอก ผมเดินวนเวียนกลับไปกลับมาอยู่หน้าประตูบ้านเธอ ไม่รู้ว่าการมาหาเธอถึงบ้านอย่างนี้มันจะดูพรวดพราดเกินไปหรือเปล่า แต่ที่จริงผมก็คบกับลี่เสียมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว วันนี้ผมก็แต่งตัวดูเรียบร้อยดี เอาน่า! เป็นไงเป็นกันสิ รวบรวมกำลังใจขึ้นมากดออดเลยละกัน!

“ใครนะ” เสียงดังมาจากด้านใน ฟังดูแล้วน่าจะเป็นเสียงพ่อเธอ

“ผมแซ่ไล่ครับ ผมมาหาลี่เสียครับ” ที่จริงก็ออกจะประหม่าอยู่เหมือนกันเพราะผมรู้ว่าลี่เสียเป็นลูกสาวคนเดียวของบ้าน พ่อแม่ทั้งรักทั้งหวงยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจ ผมจึงต้องทำตัวให้พวกเขาเกิดความประทับใจเอาไว้ก่อน

แต่พอหลังจากที่ผมตอบกลับไปแล้ว ฝ่ายข้างในก็เงียบหายไปอีกเป็นนาน ไม่มีใครออกมาเปิดประตูเลยสักคน ขณะที่ผมกำลังกระสับกระส่าย คิดว่าจะกดออดอีกครั้งดีหรือเปล่า แล้วจู่ ๆ ประตูก็ถูกเปิดผางออกมา คนที่เปิดออกมาคือพ่อของลี่เสียจริง ๆ ด้วย

“คุณลุงครับ...” คุณลุงหลินมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำเอาผมประหม่าเสียจนจะพูดก็ยังพูดไม่ออก

“ไม่ต้องพูดมาก ตระกูลหลินของเราไม่มีวันจะไปเกี่ยวดองเป็นพี่น้องกับพวกขอทานหรอก ไสหัวไปซะ” พูดจบก็ทำท่าจะปิดประตู

“คุณลุงครับ คือว่า ผม...” ผมรีบยกมือขึ้นดันประตูไว้ด้วยความร้อนใจยังอยากจะอธิบาย

“ยังไม่ไสหัวไปอีก หรือจะให้ข้าไปเอาตะพดออกมาตีหัวแก หา!”

ผมลดมือลง แล้วพูดอย่างนอบน้อมว่า “คุณลุงครับ ผมผิดเอง ขอโทษที่รบกวนครับ” เสียงประตูปิดดังปังลงตรงหน้าผม ผมยืนเซ่อที่ด้านนอกอยู่เป็นครู่ไม่รู้ว่าควรจำทำอย่างไรดี แม้จะรู้สึกเจ็บปวดสักเพียงใดก็ตาม แต่ที่หนักใจที่สุดคงไม่มีอะไรเกินไปกว่าความกังวลใจว่าตอนนี้ลี่เสียจะเป็นอย่างไรบ้าง ยังสบายดีอยู่หรือเปล่า โดนดุบ้างหรือเปล่า เธอคงจะไม่ถึงกับต้องผิดใจกับคนในครอบครัวด้วยเรื่องของผมหรอกนะ เธอต้องทะเลาะกับพวกเขาบ้างหรือเปล่า ถูกกักบริเวณไว้ในบ้านใช่ไหม ภายในใจผมมีแต่เครื่องหมายคำถามเป็นพันตัว แต่เมื่อไม่ได้พบกับลี่เสีย แล้วใครจะตอบคำถามให้กับผมได้เล่า

ผมกลับถึงบ้านพร้อมกับหัวใจที่บอบช้ำ พ่อได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ของผมก็เดินออกมาถามผมว่า “อ้าว! ไม่ใช่ไปเที่ยวกับอาเสียเหรอ ทำไมถึงได้กลับเร็วนักล่ะ” ผมมองพ่อ คงเพิ่งจะมีแต่ตอนนี้แหละที่ผมรู้สึกดีใจว่าพ่อตาบอด เพราะพ่อจะได้ไม่ต้องมองเห็นความผิดหวังที่ปรากฏบนสีหน้าผม ผมกลัวว่าหากพ่อรู้เรื่องเข้าแล้วจะต้องเสียใจ จึงแต่งเรื่องขึ้นมาว่าบ้านของลี่เสียต้องเกี่ยวข้าว เราก็เลยออกไปเที่ยวกันไม่ได้ พอพูดจบผมก็รีบกลับเข้าไปในห้องไปนั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะคนเดียว

ต้องมีเงินเท่านั้นใช่ไหมจึงจะมีคนมองเห็นหัวบ้าง จึงจะได้ไม่ต้องโดนดูถูก ในโลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเงินอีกแล้วใช่ไหม เงินซื้อความสุขความสบายตรงหน้าได้ก็จริง แต่ว่าต่อไปข้างหน้าเล่า ถ้าไม่มีความรักแล้วจะอยู่กันไปได้อย่างไรเล่า ยิ่งคิดถึงความจริงใจที่ลี่เสียมีต่อผม หลังจากที่ผมเล่าเรื่องสภาพครอบครัวของผมให้เธอฟัง เธอไม่เพียงไม่ถอยหลังเท่านั้น แต่กลับยังก้าวเข้ามาบอกผมอีกว่า “อาจิ้น ผู้ชายที่ฉันต้องการคือคนที่มีความรับผิดชอบและรักความก้าวหน้า ต่อให้ครอบครัวคุณยากจนเสียยิ่งไปกว่านี้ ขอเพียงแต่คุณมีใจจะต่อสู้ฝ่าฟัน ฉันก็พร้อมและยินดีจะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับคุณด้วย”

คิดถึงคำพูดประโยคนี้ของเธอแล้ว ผมก็ยิ่งเสียวแปลบขึ้นมาที่ใจ กลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวแล้ว รักกันแต่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ ยังจะมีอะไรที่น่าทุกข์ระทมขมขื่นยิ่งกว่านี้มีอีกไหม

ต่อมาวันที่สอง วันที่สาม ผมก็ไม่ได้ข่าวคราวของลี่เสียเลย เธอไม่ได้ไปทำงาน คนที่บริษัทบอกว่าคนที่บ้านเธอโทรศัพท์มาลาให้ แต่ถ้าผมจะโทรศัพท์ไปหาเธอที่บ้านก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่ เพราะกลัวว่าเธอจะโดนดุ โธ่ ช่างทรมานใจอะไรอย่างนี้หนอ

คืนวันที่สาม จู่ ๆ ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นกลางดึก ผมรีบสวมเสื้อคลุมออกไปรับโทรศัพท์ทันที

“ฮัลโหล” อาเสีย ใช่อาเสียจริง ๆ ด้วย น้ำเสียงที่แสนจะคุ้นเคย ใช่เสียงของอาเสียจริง ๆ ด้วย

“คุณสบายดีหรือ คุณสบายดีหรือ คุณสบายดีใช่ไหม” ผมพูดประโยคเดิม ๆ ซ้ำกันอยู่หลายหน แค่ได้ยินเสียงเธอ ผมก็ดีใจจนแทบจะเรียงลำดับประโยคไม่ถูกอยู่แล้ว

อาเสียเล่าให้ฟังว่า วันนั้นที่ผมไปหาที่บ้าน ตัวเธอเองอยู่บนชั้นสอง แต่พ่อไม่ยอมให้ลงมา ตอนที่เธอมองลงมาจากหน้าต่างบานเล็กชั้นบน เห็นแผ่นหลังของผมเคลื่อนจากไป หัวใจก็แทบจะแตกสลาย เธอยังบอกอีกว่า พ่อไม่อนุญาตให้เราพบกันอีกแล้ว แล้วยังให้น้องชายทั้งสองคนของเธอคอยจับตาดูเธอไว้ตลอดเวลา

เธอต้องรอจนทุกคนในบ้านหลับไปแล้ว จึงได้แอบหนีออกมา ต้องเดินออกมาไกลพอสมควร กว่าจะถึงร้านของชำเล็ก ๆ ในหมู่บ้านเพื่อโทรศัพท์ถึงผม เธอบอกว่าถนนนั้นแสนจะเปลี่ยว ไม่มีคนเลย มืดก็มืด น่ากลัวก็น่ากลัว แต่เธอรู้ว่าผมต้องเป็นห่วงเธออยู่แน่ ๆ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเธอก็จะต้องแอบออกมาโทรศัพท์ถึงผมให้ได้ เธอออกมาโทรศัพท์นี้ก็เพื่อจะบอกผมว่า “เราต้องสู้ต่อไปนะ”

ผมได้ยินเธอพูดอย่างนี้แล้วก็น้ำตาไหลอาบหน้า อาเสีย อาเสีย เธอช่างดีเหลือเกิน เธอช่างโง่จริง ๆ

ผมอยากจะพูดกับเธอให้มากกว่านี้ แต่ก็เป็นห่วงความปลอดภัยของเธอเพราะตอนนี้เธออยู่นอกบ้าน จึงตอบไปว่า “อาเสีย คุณเชื่อใจผมนะ ขอให้มั่นใจในความรักของเรา ผมจะพยายามหาเงินให้ได้มาก ๆ ให้พ่อคุณเปลี่ยนใจให้ได้”

ระหว่างปลายสายโทรศัพท์สายยาว ๆ เส้นนั้น มีหัวใจสองดวงกำลังร้องไห้อย่างร้าวราน

ก็ว่าจะวางหูโทรศัพท์ลง แต่ก็กลับวางไม่ลง เพราะเราทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าหลังจากคุยโทรศัพท์ครั้งนี้ไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไรจึงจะมีโอกาสได้คุยกันอีก ไม่รู้ว่าจะต้องรอไปอีกนานสักแค่ไหน ใครเล่าจะอดใจรอไหว เราคุยกันจนกระทั่งเงินเหรียญสุดท้ายหล่นลงดัง “ติ๊ง” จนเสียง “ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด” ดังมาจากกระบอกโทรศัพท์ ผมก็ยังกำหูโทรศัพท์ไว้แน่นอยู่เป็นนาน ไม่อาจหักใจให้วางหูลงได้ หัวใจดวงหนึ่งเหมือนถูกจับแขวนไว้กลางอากาศ ไหวสะท้านไปอยู่ในความเงียบเหงาของราตรีกาล ไร้ซึ่งแหล่งพักพิง ไร้ซึ่งหนทางไป

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 03:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



ตอนที่ 45
ภวังค์รัก

หลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้น ผมกับลี่เสียก็แทบจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกเลย

พ่อกับแม่ของลี่เสียคำนวณเวลาเลิกงานของเธอเอาไว้เรียบร้อย พอถึงเวลาเลิกงานก็ให้รีบตรงกลับบ้านทันที หลายครั้งที่ลี่เสียโทรศัพท์มาร้องห่มร้องไห้กับผมกลางดึก พอเธอร้องไห้ ใจผมก็พลอยร้อนรนไปด้วย ลี่เสียเอาความสุขทั้งชีวิตของเธอมาวางไว้ในกำมือผม แล้วผมเล่า นอกจากความรักแล้ว ผมจะมีอะไรไปสัญญิงสัญญากับเธอได้

คืนหนึ่ง จนเลยเวลาที่นัดกันไว้แล้ว ลี่เสียก็ยังไม่โทรศัพท์มา ผมก็ชักจะร้อนใจเดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง คิดปลอบใจตัวเองว่า บางทีลี่เสียอาจจะเผลอนอนหรือบางทีเธออาจจะถูกพ่อจับได้ เมื่อไม่ได้คำตอบ ผมก็นอนไม่หลับ ตัดสินใจขี่รถมอเตอร์ไซค์ตรงไปบ้านเธอเสียเลย

ผมกลัวว่าเสียงมอเตอร์ไซค์จะไปปลุกให้พ่อกับแม่ของลี่เสียตื่นขึ้นมาจึงรีบดับเครื่องตั้งแต่ปากซอย แล้วจูงรถไปหยุดที่หน้าบ้านเลย มองไปในบ้านเห็นไฟปิดมืดหมดแล้ว ผมคิดว่าพวกเขาคงจะนอนหลับกันหมด แล้วลี่เสียล่ะผมมองขึ้นไปชั้นสองที่หน้าต่างเธอ อยากจะลองเรียกเธอดู แต่ก็กลัวว่าความมุทะลุของผมจะทำให้พ่อแม่ของเธอยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ ผมเดินจากปากซอยถึงท้ายซอย จากท้ายซอยกลับมาปากซอย กลับไปกลับมา ปากก็อดจะขมุบขมิบเรียกชื่อลี่เสียออกมาเบา ๆ ไม่ได้ เรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนี้

แต่ละครั้งที่เรียกชื่อเธอ ผมก็เจ็บแปลบขึ้นที่หัวใจ แต่ละครั้งเรียกชื่อเธอนั้น ผมรู้สึกราวกับว่าความสุขกำลังห่างไกลออกไป ความรักช่างทรมานหัวใจผมเหลือเกิน จนกระทั่งฟ้าใกล้สาง ผมจึงยอมกลับบ้านไปด้วยความวังเวงใจ

วันต่อมา ลี่เสียโทรศัพท์มาหาผมที่บริษัท ผมจึงได้รู้ความจริงว่า เหตุเกิดกลางดึกเมื่อคืนขณะที่ลี่เสียกำลังเตรียมตัวจะออกมาโทรศัพท์ เธอไม่กล้าเปิดไฟ ย่องมะงุมมะงาหราคลำทางลงมาชั้นล่าง แต่ยังไม่ทันจะได้ไปถึงไหนเลยก็เดินชนกับพ่อเธอเข้าเสียก่อน พ่อถามด้วยน้ำเสียงเรียบสีหน้าสงบว่า “ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังจะไปไหนอีก” ลี่เสียรีบแก้ตัวว่า “หนูจะไปห้องน้ำ” “ห้องน้ำเหรอ ห้องน้ำข้างบนก็มี ทำไมไม่เข้า แล้วทำไมแกจะต้องแต่งตัวซะเต็มยศขนาดนี้ด้วย”

เจอคำถามอย่างนี้เข้า ลี่เสียก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน ไม่รู้จะทำอย่างไรดีก็เลยบอกว่าตัวเองเดินผิดเอง แล้วก็รีบกลับขึ้นมาเข้าห้องชั้นบน พ่อของลี่เสียนั้นแต่ไหนแต่ไรมาก็เข้มงวดกวดขันคนในบ้านมาก แค่ทำหน้าเคร่งขึ้นมาหน่อยก็ทำเอาคนเห็นตกใจจนแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว ยิ่งกรณีนี้ถือว่าเป็นการขัดคำสั่งอย่างรุนแรงก็ยิ่งไปต้องพูดถึงเลย

เสียงลี่เสียสะอึกสะอื้นมาตามสายโทรศัพท์ พอคิดถึงสภาพเธอในตอนนี้แล้ว ผมก็รู้สึกเจ็บยิ่งกว่าเธออีกเป็นหมื่น ๆ เท่า มิหนำซ้ำจากนี้ไป เราก็จะไม่สามารถติดต่อกันทางโทรศัพท์ได้อีกแล้ว ดังนั้นผมจึงรีบลางานสองชั่วโมง เพื่อไปดักรอที่บริษัทของเธอก่อนเวลาเลิกงาน พอลี่เสียเห็นหน้าผมเท่านั้น ขอบตาก็แดงเรื่อขึ้นมาทันที เธอบอกว่าพ่อกับแม่เธอกำลังจัดการนัดให้เธอไปดูตัวฝ่ายชายในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ ได้ยินมาว่าครอบครัวของฝ่ายชายนั้นไม่เลว แล้วก็รวยมากด้วย ผมได้ยินอย่างนี้แล้วก็รู้สึกว่าหัวใจร้อนรุ่มขึ้นมากะทันหัน ก็ผมรักของผมซะขนาดนี้แล้วจะให้เราจบกันไปง่าย ๆ อย่างนั้นน่ะหรือ

ลี่เสียรีบปลอบผมว่า เธอไม่ต้องการเงินทองใด ๆ เธอพร้อมจะละทิ้งความสุขสบายทางด้านวัตถุทั้งปวง ทั้งยินดีจะร่วมฟันฝ่าอุปสรรคไปกับผม ผมกุมมือเธอไว้แน่นด้วยความซาบซึ้งใจ บอกกับเธอว่า “ลี่เสีย ขอให้คุณเชื่อใจผม ผมจะต้องสร้างอนาคตที่ดีเพื่อคุณแน่นอน” เราต่างปลอบใจให้กำลังใจกันและกันไปตลอดทาง เสียดายนัก ระยะทางที่ส่งเธอกลับบ้านนั้นช่างสั้นเหลือเกิน เพียงครู่เดียวก็มาถึงแล้ว ผมไม่กล้าเข้าใกล้บ้านเธอเกินไป เพราะกลัวว่าพ่อหรือแม่ของเธอจะเห็นเข้า จึงจำเป็นต้องเอ่ยลาเธอทั้งที่ยังอยู่ห่างบ้านตั้งไกล

ต่อจากนั้นอีกครึ่งปี พ่อกับแม่ของลี่เสียก็พยายามจะจัดการให้เธอไปดูตัวอีกหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะเป็นการดูตัวครั้งไหน ๆ ลี่เสียก็คอยแต่จะปฏิเสธว่าไม่ชอบหรือไม่ต้องชะตาอยู่เรื่อยไป

พ่อของลี่เสียโกรธมากจนถึงขั้นขึ้นเสียงกับเธอว่า “แกจงตัดใจซะ เลือกเอาใครก็ได้ซักคนหนึ่ง ยังไงมันก็ดีกว่าไอ้ลูกขอทานนั่นแน่” ลี่เสียก็เถียงกลับด้วยเสียงที่แข็งพอ ๆ กันว่า “หนูชอบเขา ที่เขาเป็นคนกตัญญู รักความก้าวหน้า” คุณลุงหลินโกรธจัดยิ่งกว่าเดิม “แต่งงานกับขอทาน นี่แกคิดจะทำลายชื่อเสียงตระกูลหลินของเราให้ย่อยยับหรือไง”

ท่านโกรธจนไม่ยอมพูดกับลี่เสียอีก แม่ของลี่เสียก็ยิ่งร้อนใจ ได้แต่อ้อนวอนขอร้องให้เธอตัดใจเสียที โลกนี้มีผู้ชายอีกเยอะแยะไป ใช่ว่าจะมีแต่ “อาจิ้น” คนเดียวเสียเมื่อไร ทำไมจะต้องเอาเขามาเป็นเหตุให้ต้องผิดใจกับคนในครอบครัวด้วยเล่า ลี่เสียส่ายหน้าทั้งน้ำตา ปวดร้าวที่พวกเขาไม่เข้าใจ ความรักความผูกพันและความเข้าใจแบบนี้มีหรือที่เงินทองจะเข้ามาทดแทนได้ หลังจากนั้นพวกเขาก็ยิ่งจัดให้มีการดูตัวบ่อยขึ้นอีก ลี่เสียยิ่งถูกควบคุมตัวเข้มงวดขึ้นกว่าเดิม

เมื่อก่อนนี้ในช่วงวันหยุด ลี่เสียยังพอจะแอบออกมาพบปะกับผมได้บ้าง โดยอ้างว่าไปช็อปปิ้งกับสาว ๆ เพื่อนร่วมงาน แต่ตอนนี้ข้ออ้างเช่นนี้ก็ใช้ไม่ได้แล้ว น้องชายสองคนของลี่เสีย คนหนึ่งคอยเฝ้าอยู่ที่ประตูหน้า อีกคนคอยเฝ้าอยู่ที่ประตูหลัง เราแทบจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกเลย

ในขณะเดียวกัน ผมเองนั้นนอกจากจะทำงานในตอนกลางวันตามปกติแล้ว กลางคืนก็ยังทำงานพิเศษเพิ่มขึ้นด้วย วันหนึ่งผมทำงานสักยี่สิบชั่วโมงได้ เอางานขึ้นบังหน้า แล้วเก็บความชอกช้ำไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ ผมบอกกับตัวเองว่า ผมต้องขยันให้มากกว่าคนอื่น มุมานะยิ่งกว่าคนอื่น เพื่อให้พ่อแม่ของลี่เสียยอมรับในความมุ่งมั่นของผมให้ได้

ความจริงในใจผมก็สับสนไม่น้อย บางครั้งคิดอยากจะเลิกกับลี่เสีย แล้วปล่อยให้เธอได้ไปพบกับอนาคตที่ดีกว่า แต่แล้วก็ทำใจไม่ได้สักที คนเราเกิดมาก็ใช่ว่าจะหาคนที่รักเราเข้าใจเราได้ง่ายนัก ผมหวังเหลือเกินว่าจะได้อยู่เคียงข้างเธอ ได้รักเธอ ได้ดูแลเธอ ได้ทำอะไรเพื่อเธอตลอดไป บนถนนความรักนี้หนอ ดูคนอื่นเขาช่างเดินผ่านไปมาอย่างรื่นรมย์นัก แต่ครั้นถึงคราวผมบ้าง ทำไมช่างมีอุปสรรคขวางกั้นมากมายนักนะ ลำพังแค่ช่วงเวลาที่ผมเติบโตมานั้น ยังชอกช้ำไม่สาแก่ใจอีกหรือ ทำไมแม้แต่ในเรื่องของความรักก็ยังต้องมาซ้ำเติมให้ผมต้องเจ็บปวดทรมานด้วยเล่า

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 50 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร