วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 05:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2009, 15:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2009, 16:25
โพสต์: 56

แนวปฏิบัติ: การเจริญสติ
งานอดิเรก: จิตอาสา
สิ่งที่ชื่นชอบ: ธรรมะ
ชื่อเล่น: น้องอ้อ
อายุ: 40
ที่อยู่: พิษณุโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue ขออนุญาติสอบถามเกี่ยวกับการเจริญสติ ที่ถูกต้องค่ะ
ขอบคุณค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2009, 16:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


prawa เขียน:
ขออนุญาติสอบถามเกี่ยวกับการเจริญสติ ที่ถูกต้องค่ะ[/color]


อนุโมทนา กับความใฝ่ใจในธรรม
สวัสดีครับ คุณprawa

สติ เป็นเครื่องระลึก มีความไม่ประมาทเป็นลักษณะ
มีสัมมาทิฏฐิ และปัญญา เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิด

สติ เป็นองค์ธรรมอันเกิดร่วมเกิดพร้อมกับ จิตอันเป็นกุศลทั้งหลายครับ

ดังนั้น การที่จะเจริญสติ อันเป็นเครื่องกั้นกิเลสตัณหา จึงต้องเป็นผู้รู้จักสัมมาทิฏฐิ เพื่อให้ได้ปัญญาอันทำให้เกิดสติ

จิตที่มีสติ สมาธิจึงจะตั้งมั่นได้ครับ

การที่จะให้ได้ซึ่งสัมมาทิฏฐิ ก็ด้วยการศึกษา

ศีกษาจากครูอาจารย์ผู้เป็นกัลยาณมิตร
ศึกษาจากพระไตรปิฏก คือพุทธวจนะที่ทรงตรัสเป็นแนวทางการปฏิบัติอันถูกต้อง
ศึกษา จากการน้อมนำมาสู่ใจ เพื่อให้เกิดปัญญาในธรรม

สัมมาสติ จึงจะมีได้ครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2009, 16:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมให้ชื่อ"หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี" วัดมเหยงค์
ลองหาเทศน์หรือหนังสือของท่านมาศึกษานะ

หรือลอง "หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช" ก็ได้
หาเทศน์ท่านมาฟัง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2009, 10:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ย. 2009, 13:38
โพสต์: 376

ชื่อเล่น: ต้น
อายุ: 0
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


การเจริญสติ เป็นการละลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2009, 14:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจริญสติ สติต้องเจริญหรือไม่ ที่มีอยู่มันไม่เพียงพอหรืออย่างไร เป็นข้อสงสัยซักถามแนวทางการบำเพ็ญกันมากเลยทีเดียว โดยธรรมชาติแล้วสรรพสัตว์ด้วยมีกันอยู่แล้ว อย่างหมา มันก็มีสติอยู่แล้ว หากตัวไหนมันมีมากเกิน คือจ้องจับจดรู้เฉพาะสิ่ง จำเพาะอย่าง นั้นมันมักจะถูกรถชนตายเอาได้ง่ายในท้องถนน ส่วนตัวไหน ที่ไม่จับจดรู้เฉพาะอย่าง หูไวตาไว ก็รู้จักหลบรถได้ ถ้ามัวเจริญสิ่งที่เรียกว่าสติ ระวังจะเหมือนที่จดจ้องรู้จำกัดที่นะขอรับ ดูหมามันบ้าง สาระสำคัญอยู่ที่ความทั่วพร้อม ความเบิกบานของจิต การที่ไม่ฟิกไม่เน้นรู้เน้นเห็น หรือคอยขับเคี่ยวธาตุรู้เกินไป จนกลายเป็นว่าสติ มีเรา เรามีสติ สติมีตัวตนเป็นต้น ทำไปมันยิ่งตึง ขาดความคล่องแคล่ว
ขอเชิญศึกธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อโพธิ์สุริยะ เขมรโต วัดร่มโพธิธรรม ตามกระทู้ที่ตั้งไว้นะรับขออนุโมทนา


แก้ไขล่าสุดโดย yodchaw เมื่อ 16 ธ.ค. 2009, 16:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2009, 14:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


yodchaw เขียน:
เจริญสติ สติต้องเจริญหรือไม่ ที่มีอยู่มันไม่เพียงพอหรืออย่างไร เป็นข้อสงสัยซักถามแนวทางการบำเพ็ญกันมากเลยทีเดียว โดยธรรมชาติแล้วสรรพสัตว์ด้วยมีกันอยู่แล้ว อย่างหมา มันก็มีสติอยู่แล้ว หากตัวไหนมันมีมากเกิน คือจ้องจับจดรู้เฉพาะสิ่ง จำเพาะอย่าง นั้นมันมักจะถูกรถชนตายเอาได้ง่ายในท้องถนน ส่วนตัวไหน ที่ไม่จับจดรู้เฉพาะอย่าง หูไวตาไว ก็รู้จักหลบรถได้ ถ้ามั่วเจริญสิ่งที่เรียกว่าสติ ระวังจะเหมือนที่จดจ้องรู้จำกัดที่นะขอรับ ดูหมามันบ้าง สาระสำคัญอยู่ที่ความทั่วพร้อม ความเบิกบานของจิต การที่ไม่ฟิค ไม่เน้นรู้เน้นเห็น หรือคอยขับเคี่ยวธาตุรู้เกินไป จนกลายเป็นว่าสติ มีเรา เรามีสติ สติมีตัวตนเป็นต้น ทำไปมันยิ่งตึง ขาดความคล่องแคล่ว
ขอเชิญศึกธรรมปฏิบัติของหลวงพ่อโพธิ์สุริยะ เขมรโต วัดร่มโพธิธรรม ตามกระทู้ที่ตั้งไว้นะรับขออนุโมทนา


หลวงพ่อท่านท่านสอนอย่างนี้ หรือครับ "อย่างหมา มันก็มีสติอยู่แล้ว " Onion_L

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2009, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


yodchaw เขียน:
โดยธรรมชาติแล้วสรรพสัตว์ด้วยมีกันอยู่แล้ว อย่างหมา มันก็มีสติอยู่แล้ว หากตัวไหนมันมีมากเกิน คือจ้องจับจดรู้เฉพาะสิ่ง จำเพาะอย่าง นั้นมันมักจะถูกรถชนตายเอาได้ง่ายในท้องถนน ส่วนตัวไหน ที่ไม่จับจดรู้เฉพาะอย่าง หูไวตาไว ก็รู้จักหลบรถได้ ถ้ามั่วเจริญสิ่งที่เรียกว่าสติ ระวังจะเหมือนที่จดจ้องรู้จำกัดที่นะขอรับ ดูหมามันบ้าง สาระสำคัญอยู่ที่ความทั่วพร้อม ความเบิกบานของจิต การที่ไม่ฟิค ไม่เน้นรู้เน้นเห็น หรือคอยขับเคี่ยวธาตุรู้เกินไป จนกลายเป็นว่าสติ มีเรา เรามีสติ สติมีตัวตนเป็นต้น ทำไปมันยิ่งตึง ขาดความคล่องแคล่ว


อนุโมทนาสาธุการครับ
ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณ yodchaw จะสื่อให้เข้าใจนะครับ
สติก็ควรที่จะเจริญอยู่ เพียงให้อยู่ในทางสายกลาง ไม่ปฏิบัติจนตึง คร่ำเคร่งเกินไป
แต่ก็ไม่ควรหย่อนเกินไปจนทำให้เรามีสติไม่ต่างกับสุนัขซึ่งเป็นสติที่ไม่ก่อให้เกิดปัญญา

แต่วิธีการเจริญสติมีหลายวิธีแตกต่างๆกันไป
แล้วแต่จริตของใครจะเหมาะกับการเจริญแบบไหนมากกว่า
เพื่อให้เป็นไปในทางสายกลางน่ะครับ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2009, 15:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สุนัข มีสัมมาทิฏฐิ ได้ไม้ครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2009, 16:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
...สวัสดีค่ะ... :b1:
...การเจริญสติที่ถูกต้องทางธรรมคือการกำหนดสติตนเองให้รู้เท่าทันกิเลสที่เกิดขึ้น...
...โดยปกติกิเลสในจิตใจคนเราเกิดขึ้นพร้อมกันมากมาย...จิตตามไม่ทันอารมณ์...
...และความรู้สึกนึกคิด...เช่นพอได้ยินเสียงเพลงก็จะปรุงแต่งไปว่าไพเราะแล้วก็ร้องตาม...
...ทำท่าทางประกอบเพราะปรุงแต่งในทางที่ชอบใจ...ถ้าฟังแล้วไม่ชอบก็หมุนเปลี่ยนสถานี...
...มีหลักสูตรของสำนักพุทธศาสนาที่อบรม 8วัน(ค้างคืน7คืน)เน้นฝึกให้รู้เท่าทันกิเลส...
...ฝึกวิปัสสนากรรมฐานค่ะ...หลักสูตรสำนักพุทธศาสนาลองสมัครไปเรียนรู้วิธีการปฏิบัติดู...
...นำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้...ข้าพเจ้าเคยไปที่โคราช(บ้านกรินชัยโทร.044-242-559)
...แต่มีอยู่หลายที่นะ...ในกรุงเทพแห่งหนึ่ง...ที่ลำปางแห่งหนึ่ง...
...เลือกเองค่ะอยากไปศึกษาที่ไหน...ก็จะขออนุโมทนาด้วยเจ้าค่ะ...

:b55:
...ส่วนข้อความข้างล่างนี้ข้าพเจ้าเคยตอบไว้ในหัวข้อวิเคราะห์ธรรม...น่าจะเกี่ยวกับการเจริญสติ...
:b48:
...สัมมาสติ...เกิดขึ้นด้วยความมีการระลึกรู้สึกตัวทั่วพร้อม...คือมีสติ-สัมปชัญญะ...
...สติคือความระลึกได้...สัมปชัญญะคือความรู้ตัวทั่วพร้อม...สัมปชัญญะทำให้สติสมบูรณ์...
...เป็นธรรมควบคู่กัน...เพื่อทำให้จิตไม่หลงหรือถูกครอบงำด้วยความโลภ...โกรธ...หลง...
...ความรู้ตัวทำให้ความไม่รู้ตัวหายไปเกิดปัญญามาแทน...กล่าวคือสัมปชัญญะทำให้เกิดปัญญา...
...งานที่ทำในที่นี้เป็นงานพิจารณากายกับจิตทางธรรมเพื่อฆ่ากิเลส...กำจัดอวิชชาให้เกิดวิชชา...
...สรุปการปฏิบัติที่ดีงามของสัมมาสติ...ต้องครบถ้วนตามอริยมรรค8...พระสงฆ์น่าจะมีครบ...

:b48:
...สัมมาสติเป็นสติที่นำให้การดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม...การปฏิบัติสัมมาสติ...
...ใช้หลักมัชฌิมาปฏิปทาคือทางสายกลาง...ไม่ตึงไปด้วยการทรมาณตนเอง(อัตตกิลมถานุโยค)...
...ไม่หย่อนเกินไปในกาม(กามสุขัลลิกานุโยค)...ตลอดจนมีความเห็นชอบ...ตามความเป็นจริง...
...ไม่ใช่สถานการณ์เข้าข้างตนเอง...ทำกรรมดี...อาชีพสุจริต...ขยันหมั่นเพียร...พูดจาไพเราะ...
...รักษาคำพูด...มีจิตใจเข้มแข็งตั้งมั่นตลอดจนมีความคิดดำริชอบ...ไม่เห็นผิดว่าชีวิตเป็นอัตตา...

:b48:
...การใช้สติ-สัมปชัญญะในการทำงานโดยทั่วไป...ไม่ใช่สัมมาสติ...เพราะยังมีอวิชชา...
...งานทางโลกโอทีมากๆจะได้เงินมากๆ...ยังมีกิเลสครอบงำ...เป็นมิจฉาสติไม่รู้เท่าทันกิเลส...
...ในงานที่ทำ...ถ้าใจจดจ่อกับงานไม่คิดวุ่นวายเรื่องอื่นก็สติมีสมาธิทำงาน...ถ้าสติไม่อยู่กับตัว...
...เช่นคิดวุ่นวายเรื่องทะเลาะกับสามีมา...คิดวุ่นวายไม่มีใจ+อารมณ์ทำงาน...คือไม่มีสมาธิทำงาน...
...คนทั่วไปมีสติ-สัมปชัญญะดี...เรียกว่าสติดีก็ทำงานให้สำเร็จเหมือนกันแต่ยังไม่เป็นสัมมาสติ...
...สัมมาสติสติตรงข้ามกับมิจฉาสติ...เป็น1ใน8ของมิจฉัตตะซึ่งเป็นทางตรงข้ามกับอริยมรรค 8...
...มิจฉาสติเช่นโจรมีสติสัมปชัญญะวางแผนปล้นธนาคาร...อยากรวยทางลัดไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา...

:b48:
...การมีสติในทางธรรมเป็นการดับอวิชชาให้เกิดวิชชา...ค่อยละกิเลสโลภ...โกรธ...หลง..ออกจากใจ
...เป็นการกำหนดระลึกรู้สึกตัวทั่วพร้อมในอิริยาบทยืนเดินนั่งนอน...มีหรือไม่มีสมาธิแต่เกิดสมาธิได้...
...การกำหนดสติสัมปชัญญะเช่น...ในการฝึกเดินจงกรมให้ฝึกช้าๆก่อน...เพื่อให้รู้เท่าทันอารมณ์...
...ซ้ายย่างหนอ...ขวาย่างหนอ...ใจที่มีกิเลสจะแสดงออกทางกายและอารมณ์หลายอย่างพร้อมกัน...
...กิเลสปรุงแต่งอารมณ์ดีใจก็ยิ้มแย้มแจ่มใสตบไม้ตบมือ...อารมณ์เสียใจหน้าบูดบึ้งร้องไห้ตีอกชกตัว...
...การฝึกทำช้าๆเพื่อให้จิตสั่งร่างกายทำงาน...แสดงออกในกิริยาเดียว...จึงจะรู้เท่าทันกิเลสที่เกิด...
:b48:
...สูตรสำเร็จในการสร้างสัมมาสติ...ใช้หลักสติปัฏฐานสี่...ผูกสติลงที่กายกับจิตตนเอง...
...ระลึกรู้ตัวทั่วพร้อมด้วยเวทนาและอารมณ์...คือความรู้สึกและธรรมที่เกิดในตนเอง...

:b48:

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=26240

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41:
เคล็ดวิธีกำหนดสติในการทำสมาธิตามหลักสติปัฏฐานสี่
(พระครูพิศาลวิริยคุณ วัดป่าดงไร่ ต.บ้านเชียง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี)
:b4:
เราสามารถทำได้ทุกอิริยาบถ โดยกำหนดออกเสียงหรือกำหนดในใจดังนี้
:b20:
...(ยืน,เดิน,นั่ง,นอน)...อยู่นี่คือกาย
...สุขทุกข์คือเวทนา...
...ความรู้สึกนึกคิดคือจิต...
...สิ่งที่กำหนดรู้คือสติ...
(...กิเลสที่เกิดคือ...อกุศลธรรมและนิวรณ์ธรรม...)
...สิ่งที่พิจารณาเห็นอยู่คือปัญญา...
...ตัวเราของเราไม่มี...

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


แก้ไขล่าสุดโดย Rosarin เมื่อ 16 ธ.ค. 2009, 16:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2009, 16:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cool
:b27: ...ขอแนะนำเพิ่มเติมว่า... :b17:
...ที่บ้านกรินชัยเลี้ยงอาหารครบ 3 มื้อเป็นมังสวิรัติ...อาหารอร่อย :b13:
...ต้องเตรียมชุดขาวให้ครบ8วัน...ใครนั่งพื้นไม่ได้ก็นั่งเก้าอี้ได้จ้า...
...เหมาะกับการพาผู้อาวุโสไปด้วยมากๆเจ้าค่ะ...ที่พักสะดวก...
...อยู่ในเมืองค่ะ...เขาปิดวาจา...ห้ามคุยกันตลอด7คืน...คุยได้วันที่8...
...สงสัยอะไร...ถามได้ให้ยกมือ...ครูฝึกจะเดินมาหาเอง...ห้ามคุยกัน... :b4:
...ลองสมัครไปดู...จ่ายค่าอาหาร120บาทต่อวัน...ถ้าไม่มีก็ไปคุยขอได้เจ้าค่ะ...
:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2009, 20:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2007, 09:55
โพสต์: 1632


 ข้อมูลส่วนตัว


prawa เขียน:
tongue ขออนุญาตสอบถามเกี่ยวกับการเจริญสติ ที่ถูกต้องค่ะ
ขอบคุณค่ะ


คำถามที่คุณถามมา ถึงแม้จะสั้น แต่หากจะตอบ ก็ต้องตอบกันยาว เพราะ
การเจริญสติ ในทางพุทธศาสนานั้น มีปัจจัยหลายสิ่ง หลายอย่าง อีกทั้ง คำว่า "เจริญสติ" ยังมีความหมายได้ในหลายสถานด้วยกัน เช่น
การเจริญสติ หมายถึง การปฏิบัติสมาธิ คือ การทำให้ใจสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน มีความวางเฉย เพียงอารมณ์เดียว
การเจริญสติ หมายถึง การพิจารณาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ในหลายๆด้าน เช่น พิจารณาตัวเองในด้าน ร่างกาย ทั้งภายใน และภายนอก, พิจารณาตัวเองในด้านความรู้สึก เมื่อได้รับการสัมผัสทางอายตนะทั้งภายในภายนอก , พิจารณาตัวเอง ในด้านการรับรู้อารมณ์ หรือพิจารณา อารมณ์ ทั้งภายใน และภายนอก , พิจารณา เจตสิก หรือธรรมที่ประกอบอยู่กับจิต ทั้งภายในภายนอก อย่างนี้เป็นต้น

ปัจจัยของการเจริญสติ หมายถึง สิ่งที่เป็นผล หรือเป็นเครื่องช่วยที่จะทำให้การเจริญสติ ได้ผลดี ประกอบไปด้วย
การบริโภคอาหาร
การออกกำลังกาย
การรู้จักควบคุมอารมณ์ให้แจ่มใส ไม่ฟุ้งซ่าน
การรู้จักอยู่ในที่ที่มีอากาศที่ดี มีมลพิษน้อยที่สุด
และที่สำคัญ ต้องมีการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ต่อความต้องการของร่างกาย
การเจริญสติ ในแง่ ของการ ปฏิบัติสมาธิ คือ การทำให้ให้สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน มีความวางเฉย เพียงอารมณ์เดียว คงไม่ใช่เรื่องยากนัก
แต่การเจริญสติ ด้วยการพิจารณาตัวเอง อยู่ตลอดเวลาในด้านต่างๆ ดังที่ได้กล่าวไป คงค่อนข้างจะยากสักหน่อย เพราะเป็นความจำเป็นของมนุษย์ทั้งหลายในการดำรงชีวิตประจำวัน แต่คงจะไม่ยากมากจนพิจารณาไม่ได้
หลักการพิจารณาตัวเองอยู่คลอดเวลาในด้านต่างๆ หากจะกล่าวในอีกรูปแบบหนึ่ง ก็คือ การมีสติสัมปชัญญะ คือมีความรู้สึกตัวและระลึกได้อยู่เสมอ คิดและพิจารณาก่อนที่จะ พูด จะทำ ฯลฯ สนใจในอารมณ์ ความรู้สึก การรับรู้ในสิ่งต่างๆที่ได้ประสบ ว่าทำให้เกิดสภาพสภาวะจิตใจอย่างไร กับตัวเอง แล้วจดจำไว้ นำไปพิจารณา แก้ไข หาวิธี ขัดเกลา หรือขจัด การรับรู้ในสิ่งต่างๆที่ได้ประสบ แล้วทำให้เกิดอารมณ์ ความรู้สึก และย่อมเป็นสิ่งแน่นอน ที่ต้องอาศัยธรรมะต่างๆ มาเป็นเครื่องขจัดขัดเกลา
อนึ่ง คำว่า "เจริญสติ" นั้น หมายถึง "การที่บุคคลฝึกฝน ปฏิบัติ เพื่อให้มีการระลึกนึกถึง ความหวนระลึก ไม่หลงลืม มีความจำดี ยิ่งยิ่งขึ้นไป หรือ อยู่เสมอ "

จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ ทูลพันธ์
เขียนเมื่อ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๒


แก้ไขล่าสุดโดย จ่าสิบตรี เทวฤทธิ์ เมื่อ 16 ธ.ค. 2009, 20:26, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ธ.ค. 2009, 22:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ

จิตเป็นกุศลเมื่อใด สติย่อมเกิดขึ้นเมื่อนั้นครับ
ขณะให้ทาน สติย่อมมีได้
ขณะรักษาศีล สติย่อมมีได้
ขณะบรรลุรูปฌาน 4 สติย่อมมีได้
ขณะบรรลุ อรูปฌาน 4 สติย่อมมีได้
ขณะบรรลุโสดาปัตติมัคค สติย่อมมีได้
ขณะบรรลุโสดาปัตติผล สติย่อมมีได้
ขณะบรรลุสกทาคามีมัคค สติย่อมมีได้
ขณะบรรลุสกทาคามีผล สติย่อมมีได้
ขณะบรรลุอนาคามีมัคค สติย่อมมีได้
ขณะบรรลุอนาคามีผล สติย่อมมีได้
ขณะบรรลุอรหัตตมัคค สติย่อมมีได้
ขณะบรรลุอรหัตตผล สติย่อมมีได้


ความโศกทั้งหลาย
ย่อมไม่มีแก่ผู้มีจิตมั่นคง ไม่ประมาท
เป็นมุนีผู้ศึกษาในทางแห่งมโนปฏิบัติ ผู้คงที่
สงบระงับแล้วมีสติในกาลทุกเมื่อ



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 15:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2009, 16:25
โพสต์: 56

แนวปฏิบัติ: การเจริญสติ
งานอดิเรก: จิตอาสา
สิ่งที่ชื่นชอบ: ธรรมะ
ชื่อเล่น: น้องอ้อ
อายุ: 40
ที่อยู่: พิษณุโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b17: พี่ๆ ทุกท่าน เก่งกันทุกท่านเลยค่ะ

ขอน้อมนำไปปฎิบัตินะค่ะ
บังเอิญยังด้อยในความรู้ และ ความเข้าใจค่ะ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร