วันเวลาปัจจุบัน 02 พ.ค. 2025, 00:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2009, 10:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.ย. 2007, 17:49
โพสต์: 1720

ที่อยู่: สุโขทัยธานี

 ข้อมูลส่วนตัว




.ปราโมทย์001.jpg
.ปราโมทย์001.jpg [ 109.38 KiB | เปิดดู 8126 ครั้ง ]
ประวัติของหลวงพ่อ

(เป็นข้อความตั้งแต่สมัยที่หลวงพ่อปราโมทย์ ยังเป็นฆารวาสอยู่)
ผมเห็นพวกเราแนะนำตัวกันอย่างละเอียดเหมือนการแสดงความบริสุทธิ์ใจต่อกัน เพื่อพวกเราจะอยู่ในสังคมเดียวกันต่อไป จึงเห็นว่าสมควรแนะนำตัวบ้างครับ

ผมเกิดเมื่อปี 2495 เป็นชาวจังหวัดพระนครโดยกำเนิด บ้านเกิดอยู่ที่ถนนบริพัตร ริมคลองโอ่งอ่าง อำเภอป้อมปราบฯ ตั้งแต่อายุ 3 เดือนแม่ก็พาเข้าวัดฟังธรรมไม่ได้ขาด(ความจริงแม่เขาฟัง ส่วนผมฟังไม่รู้เรื่องหรอก) วัดที่ไปก็ได้แก่วัดพระพิเรนทร์(วัดเดิมของท่านเจ้าคุณประยุทธิ์) กับวัดโพธิ์ พออายุ 7 ขวบพ่อก็พาไปวัดอโศการามของท่านพ่อลี ได้รับคำสอนในเรื่องอานาปานสติ ก็นำกลับมาปฏิบัติเองที่บ้าน และเนื่องจากอยู่ห่างอาจารย์และยังไม่มีสัมมาทิฏฐิ การปฏิบัติตั้งแต่เด็กจึงเป็นเรื่องการส่งจิตออกนอกทั้งสิ้น คือพอสงบแล้วก็เที่ยวออกรู้เห็นภายนอก หาสาระแก่นสารอะไรไม่ได้เลย


เข้าเรียนประถมต้นที่โรงเรียนสุรวงศ์ แล้วไปต่อประถมปลายที่โรงเรียนวัดพลับพลาชัย ที่วัดพลับพลาชัยนี้เองเกิดความสลดสังเวชใจเกี่ยวกับพระศาสนาขึ้น เพราะมองวัดวาอารามและพระสงฆ์องค์เจ้าแล้วรู้สึกแปลกแยก รู้สึกตลอดเวลาว่านี้ไม่ใช่! พระพุทธศาสนาจริงๆอยู่ที่ไหน? ก็ได้แต่กำหนดลมหายใจเรื่อยมา โดยไม่ทราบว่าทำไปทำไม รู้แต่ว่าต้องทำเท่านั้น


จากนั้นไปเรียนมัธยมที่โรงเรียนโยธินบูรณะ จบแล้วเรียนตรี - โทที่คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ ในช่วงที่เรียนปริญญาตรีนั้นเข้าร่วมกิจกรรมกับศูนย์นิสิตโดยตลอด งานหลักไม่ใช่การเรียนหนังสือแต่ได้แก่งานล้มรัฐบาลในช่วง 14 ตุลาคม หลังจากนั้นก็ออกชนบทในฐานะผู้ประสานงานของศูนย์นิสิต จะว่าเป็นบุญก็คงได้ครับเพราะชนบทที่เลือกไปนั้นคือภาคอีสาน นับจากนั้นเป็นต้นมาก็คุ้นเคยกับภาคอีสาน แล้วเป็นโอกาสให้เข้าไปศึกษาธรรมตามวัดป่าในเวลาต่อมา


ต่อมาเกิดไปคลั่งลัทธิวัตถุนิยมเข้าอย่างแรงครับ ได้ศึกษาลัทธิมากซ์กับกรมการเมืองและกรรมการกลางพรรคบางคน แต่ไม่ว่าจะศึกษาอย่างไรใจก็ไม่เชื่อว่าจะเหมาะกับเมืองไทย


หลังจากนั้น ไปบวชที่วัดชลประทาน ได้ศึกษางานของท่านอาจารย์พุทธทาส แต่ขาดความรอบคอบจึงเกิดทิฏฐิวิปลาส เห็นว่าตายแล้วสูญ โอปปาติกะไม่มี


พอเรียนจบแล้วไปรับราชการ ทำหน้าที่ปราบลัทธิเพี้ยนๆอยู่ 17 ปี ช่วงนั้นได้พบและร่วมงานกับท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ท่านคงสมเพชก็เลยสอนปริยัติให้ แล้วผมก็พากเพียรอ่านพระไตรปิฎกจนจบ แต่ความรู้สึกก็บอกตนเองเสมอว่าการเรียนรู้นี้ยังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ยังมีอะไรที่เราไม่รู้อยู่อีกในพระพุทธศาสนา


ช่วงต้นปี 2525 ได้อ่านอริยสัจจ์แห่งจิตของหลวงปู่ดูลย์ แล้วรู้สึกดูดดื่มอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จึงขึ้นไปกราบท่านที่สุรินทร์เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2525 หลังจากนั้นก็ปฏิบัติเรื่อยมาในสายพระป่า นอกจากการดูจิตตามที่หลวงปู่สอนแล้ว ก็วนเวียนไปหาประสบการณ์ตามสำนักครูบาอาจารย์เป็นจำนวนมาก ซึ่งท่านก็เมตตาสั่งสอนให้ด้วยดีทุกครั้งเช่น หลวงพ่อพุธ เจ้าคุณอริยเวที หลวงปู่สาม หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่สิม หลวงปู่เหรียญ หลวงปู่บัวพา หลวงปู่หลุย หลวงปู่ชอบ หลวงตามหาบัว ท่านอาจารย์บุญจันทร์ นอกจากนั้นก็เที่ยวศึกษาแนวทางปฏิบัติของสำนักต่างๆเพิ่มเติมมาเรื่อยๆ กระทั่งสำนักปฏิบัติในฝ่ายอภิธรรมก็เข้าไปศึกษาจากหลายสำนักเหมือนกัน แต่เป็นการไปเรียนเพื่อรู้ เพราะการปฏิบัตินั้นถูกจริตกับการดูจิตเสียแล้ว


รับราชการจนได้ชั้นพิเศษแล้วเกิดเบื่อหน่ายในระบบราชการ ก็เลยลาออกมาเป็นผู้ใช้แรงงาน(ดีใจที่ได้หยุดงานวันแรงงานด้วย) ทำหน้าที่รับจ้างวิเคราะห์งานไปวันหนึ่งๆพอไม่ให้อดตาย


เริ่มรู้จัก Internet เมื่ออายุมากแล้ว ครั้งแรกเข้าไปที่ Pantip ไปเจอกลุ่มนักเขียนเข้าก่อน แล้วต่อมาเจอกระทู้ "พบพระพุทธเจ้าให้ฆ่าพระพุทธเจ้า" ของอาจารย์วันวิสาข์ ก็เลยอยู่ในกระทู้ธรรมะเรื่อยๆมา จึงเป็นบุญวาสนาที่ได้เจอกัลยาณมิตรมากมาย


อนาคตกะว่าถ้าหมดภาระต้องเลี้ยงพ่อแล้วจะพาภรรยาออกบวชครับ เพื่อพยายามทำธุระชิ้นสุดท้ายที่ตั้งใจไว้ให้เสร็จเสียที


จากคุณ : สันตินันท์ [ 19 ส.ค. 2542 / 14:27:49 น. ]

*************************************************************

:b8: กราบน้อมน้อมหลวงพ่อปราโมทย์ ผู้เสมือนเป็นครูบาอาจารย์ ที่ได้นำแนวทางธรรมะที่หลวงพ่อฯ แนะนำมาดำเนินชีวิตเรื่อยมา

:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ดุสิตธานี เมื่อ 13 ธ.ค. 2009, 10:46, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2009, 10:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.ย. 2007, 17:49
โพสต์: 1720

ที่อยู่: สุโขทัยธานี

 ข้อมูลส่วนตัว




047.jpg
047.jpg [ 117.02 KiB | เปิดดู 8091 ครั้ง ]
การครองเรือน กับ การปฏิบัติธรรม...สันตินันท์

ผมกับภรรยานั้น ถ้าว่าในทางโลกก็นับว่าพอใช้ได้ ทั้งการศึกษาและอาชีพการงาน
ในด้านชีวิตคู่นั้น ก็เป็นคู่หวานแหววที่คนบอกว่าอิจฉาอยู่เสมอๆ แต่น้อยคนที่จะทราบว่า สิ่งที่ดึงดูดเราไว้ด้วยกัน คือความปรารถนาดีต่อกันในทางธรรม

เรามีความสุขอันเกิดจากความสงบ
กิจกรรมยามว่างของผมคือการเขียนธรรมะ
ส่วนภรรยาจะถักไหมพรมเป็นหมวกถวายพระถวายชีไปเรื่อยๆ

บางทีก็ช่วยกันพิมพ์ธรรมะของครูบาอาจารย์ ถอดเทปธรรมะ หรือเตรียมของไปทำบุญ
ในแต่ละวัน จะแบ่งเวลาช่วงหัวค่ำไว้สำหรับการภาวนา
ซึ่งผมจะคอยดูแลให้เธอเดินจงกรม นั่งสมาธิ
เพราะเธอกลัวความเกิด และกลัวว่าหากจะต้องเกิดต่อไป จะไม่ได้พบกับผมอีกแล้ว
จนตั้งความปรารถนาว่า ชาติหน้าจะขอเกิดเป็นผู้ชาย
และขอให้ได้บวชตั้งแต่เด็กเลย
ส่วนผมเองก็รู้สึกว่า จะต้องพาเธอไปให้ได้
ตามปณิธานที่ตั้งร่วมกันมานานนักหนาแล้ว

ในช่วงวันหยุดยาวๆ หรือช่วงปลายปี
ก็จะพากันไปอยู่ตามวัดป่า แยกกันอยู่ ต่างคนต่างภาวนา
ถือว่าเป็นเวลาที่มีความสุขและมีคุณค่ามากในชีวิตสมรส
เพราะเป็นเวลาที่เรารู้ว่า คู่ของเรากำลังทำแก่นสารสาระให้กับตนเอง

ทีแรกผมก็เฉยๆ กับการบวชครับ เพราะเห็นว่าเป็นฆราวาสก็ปฏิบัติได้ แต่วันหนึ่งพาภรรยาไปนมัสการศิษย์พี่ของผม (ที่เล่าว่าท่านออกบวชทั้งคู่น่ะครับ) ท่านก็จวกผมเสียยับเยินต่อหน้าภรรยา ว่า สิ่งนั้นก็เห็นอยู่ตรงหน้าใกล้ๆ แค่เอื้อม เอาก็เอาได้ กลับไม่เอา จะรอถึงเมื่อใด แบบนี้เขาเรียกว่าคนประมาท
เมื่อไหร่จะออกบวช มาทำที่สุด แล้วช่วยกันสั่งสอนพระเณรต่อไป

พอออกจากที่อยู่ของท่าน ภรรยาของผมก็บอกผมว่า
พี่บวชเถอะ น้องไม่ต้องการถ่วงพี่ไว้ และน้องก็จะบวชด้วย
ผมก็พิจารณาดูว่า ถ้าไม่บวชก็คงเอาดีกว่านี้ยาก
ส่วนภรรยานั้น จิตเธอก็หวุดหวิดๆ มาหลายคราวแล้ว
หากบวชก็คงผ่านไปได้ไม่ยาก
ก็เลยกลับไปกราบเรียนหลวงพี่ว่า จะพากันออกบวช
เมื่อสิ้นภาระในการเลี้ยงดูพ่อแม่ของผมที่แก่มากอายุ 90 ปีแล้ว

ก็มีเท่านี้แหละครับ ทุกวันนี้ก็อยู่กันอย่างมีความสุขมาก
แต่ก็พร้อมแล้ว ที่จะพากันออกบวชเมื่อสถานการณ์อำนวย
ตอนนี้ก็ทะนุถนอมกันมาก เพราะรู้แล้วว่า
นี้เป็นคราวสุดท้ายแล้วที่จะได้อยู่ด้วยกัน


โดยคุณ : สันตินันท์ - [12 ก.พ. 2542 21:28:41]

**************************************************************


นำมาฝากคนที่มีครอบครัว และ หวังภาวนาเพื่อการหลุดพ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้

:b44: :b44: :b44:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2009, 10:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.ย. 2007, 17:49
โพสต์: 1720

ที่อยู่: สุโขทัยธานี

 ข้อมูลส่วนตัว




.ปราโมทย์002.jpg
.ปราโมทย์002.jpg [ 116.7 KiB | เปิดดู 7907 ครั้ง ]
.ปราโมทย์008.jpg
.ปราโมทย์008.jpg [ 178.12 KiB | เปิดดู 7764 ครั้ง ]
.ปราโมทย์012.jpg
.ปราโมทย์012.jpg [ 174.72 KiB | เปิดดู 7751 ครั้ง ]
.ปราโมทย์014.jpg
.ปราโมทย์014.jpg [ 153.3 KiB | เปิดดู 7749 ครั้ง ]
บันทึก(ไม่)ลับอุบาสกนิรนาม ...... สันตินันท์แห่งพันทิพย์
(ปัจจุบันคือ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช )


(ผู้เขียนได้ปรับปรุงจากต้นฉบับเรื่องประสบการณ์ภาวนาซึ่งเคยส่งไปลงพิมพ์ในหนังสือโลกทิพย์ ในนามสันตินันทอุบาสก)

ผมลังเลใจอยู่นานที่จะเล่าถึงการปฏิบัติธรรมของตนเองเพราะมันเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งถ้าใครตั้งใจปฏิบัติก็ทำกันได้ แต่ด้วยความเคารพในคำสั่งของครูบาอาจารย์รูปหนึ่ง คือหลวงพ่อพุธ ฐานิโย แห่งวัดป่าสาลวัน ที่ท่านสั่งให้เขียนเรื่องนี้ออกเผยแพร่ ผมจึงต้องปฏิบัติตาม โดยเขียนเรื่องนี้ให้ท่านอ่าน

ผมเป็นคนวาสนาน้อย ไม่เคยรู้เรื่องพระธุดงคกรรมฐานอย่างจริงจังมาก่อน จนแทบจะละทิ้งพระพุทธศาสนาไปแล้ว เพราะเกิดตื่นเต้นกับลัทธิวัตถุนิยม แต่แล้ววันหนึ่ง ผมได้พบข้อธรรมสั้นๆ บทหนึ่งของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์ มีสาระสำคัญว่า


"จิตส่งออกนอกคือสมุทัย มีผลเป็นทุกข์
จิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งเป็นมรรค มีผลเป็นนิโรธ


ผมเกิดความซาบซึ้งจับจิตจับใจ และเห็นจริงตามว่า ถ้าจิตไม่ออกไปรับความทุกข์แล้ว ใครกันล่ะที่จะเป็นผู้ทุกข์ จิตใจของผมมันยอมรับนับถือหลวงปู่ดูลย์เป็นครูบาอาจารย์ตั้งแต่นั้น

ต่อมาในต้นปี พ.ศ. 2525 ผมมีโอกาสด้นดั้นไปนมัสการหลวงปู่ดูลย์ที่จังหวัดสุรินทร์ เมื่อไปถึงวัดของท่านแล้ว เกิดความรู้สึกกลัวเกรงเป็นที่สุด เพราะท่านเป็นพระเถระผู้ใหญ่ และไม่เคยรู้จักอัธยาศัยของท่านมาก่อน ประกอบกับผมไม่คุ้นเคยที่จะพบปะพูดจากับพระผู้ใหญ่มาก่อนด้วย จึงรีรออยู่ห่างๆ นอกกุฏิของท่าน

ขณะที่รีรออยู่ครู่หนึ่งนั้น หลวงปู่ดูลย์เดินออกมาจากกุฏิของท่าน มาชะโงกมองดูผม ผมจึงรวบรวมความกล้าเข้าไปกราบท่านซึ่งถอยกลับไปนั่งเก้าอี้โยกที่หน้าประตูกุฏิ แล้วเรียนท่านว่า "ผมอยากภาวนาครับหลวงปู่"

หลวงปู่หลับตานิ่งเงียบไปเกือบครึ่งชั่วโมง พอลืมตาท่านก็แสดงธรรมทันทีว่า การภาวนานั้นไม่ยาก แต่มันก็ยากสำหรับผู้ไม่ภาวนา ขั้นแรกให้ภาวนา "พุทโธ" จนจิตวูบลงไป แล้วตามดูจิตผู้รู้ไป จะรู้อริยสัจจ์ 4 เอง (หลวงปู่ท่านสอนศิษย์แต่ละคนด้วยวิธีที่แตกต่างกันตามจริตนิสัย นับว่าท่านมีอนุสาสนีปาฏิหารย์อย่างสูง) แล้วท่านถามว่าเข้าใจไหม ก็กราบเรียนว่าเข้าใจ ท่านก็บอกให้กลับไปทำเอา


************************************************************


<<< มีต่อ >>> :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ดุสิตธานี เมื่อ 14 ธ.ค. 2009, 19:49, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2009, 10:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.ย. 2007, 17:49
โพสต์: 1720

ที่อยู่: สุโขทัยธานี

 ข้อมูลส่วนตัว




.ปราโมทย์010.jpg
.ปราโมทย์010.jpg [ 166.34 KiB | เปิดดู 7870 ครั้ง ]
.ปราโมทย์016.jpg
.ปราโมทย์016.jpg [ 161.37 KiB | เปิดดู 7733 ครั้ง ]
.ปราโมทย์017.jpg
.ปราโมทย์017.jpg [ 141.78 KiB | เปิดดู 7721 ครั้ง ]
.ปราโมทย์018.jpg
.ปราโมทย์018.jpg [ 162.54 KiB | เปิดดู 7715 ครั้ง ]
.ปราโมทย์019.jpg
.ปราโมทย์019.jpg [ 163.2 KiB | เปิดดู 7689 ครั้ง ]
( ต่อ )

พอขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพเกิดเฉลียวใจขึ้นว่า ท่านให้เราดูจิตนั้นจะดูอย่างไร จิตมันเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหนและจะเอาอะไรไปดู ตอนนั้นชักจะกลุ้มใจไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร ก็ภาวนาพุทโธไปเรื่อยๆจนจิตสงบลง แล้วพิจารณาว่าจิตจะต้องอยู่ในกายนี้แน่ หากแยกแยะเข้าไปในขันธ์ 5 ถึงอย่างไรก็ต้องเจอจิต จึงพิจารณาเข้าไปที่รูปว่าไม่ใช่จิต รูปก็แยกออกเป็นสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น หันมามองเวทนาแล้วแยกออกเป็นอีกส่วนหนึ่ง ตัวสัญญาก็แยกเป็นอีกส่วนหนึ่ง จากนั้นมาแยกตัวสังขารคือความคิดนึกปรุงแต่ง โดยนึกถึงบทสวดมนต์ เห็นความคิดบทสวดมนต์ผุดขึ้น และเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ถึงตอนนี้ก็เลยจับเอาตัวจิตผู้รู้ขึ้นมาได้

หลังจากนั้น ผมได้ตามดูจิตไปเรื่อยๆ จนสามารถรู้ว่า ขณะนั้นเกิดกิเลสขึ้นกับจิตหรือไม่ ถ้าเกิดขึ้นและรู้ทัน กิเลสมันก็ดับไปเอง เหลือแต่จิตผู้รู้ ซึ่งรู้ความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งไปเรื่อยๆอย่างเป็นอิสระจากกิเลส และอารมณ์ต่างๆ ต่อมาภายหลังผมได้หาหนังสือธรรมะมาอ่าน จึงรู้ว่าในทางปริยัติธรรมจัดเป็นการจำแนกรูปนาม จัดเป็นการเจริญวิปัสสนาแล้ว แต่ในเวลาปฏิบัตินั้น จิตไม่ได้กังวลสนใจว่าเป็นวิปัสสนาญาณขั้นใด

ปฏิบัติอยู่ 3 เดือน จึงไปรายงานผลกับหลวงปู่ดูลย์ว่า "ผมหาจิตเจอแล้ว จะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไป"

คราวนี้ปรากฏว่าท่านแสดงธรรมอันลึกซึ้งมากมาย เกี่ยวกับการถอดถอนทำลายอุปาทานในขันธ์ 5 ท่านสอนถึงกำเนิดและการทำงานของจิตวิญญาณ จนถึงการเจริญอริยมรรค จนมีญาณเห็นจิตเหมือนมีตาเห็นรูป

ท่านสอนอีกว่า เมื่อเราดูจิต คือตามรู้จิตเรื่อยๆ ไปนั้น สิ่งปรุงแต่งจะดับไปตามลำดับ จนถึงความว่าง

แต่ในความว่างนั้นยังไม่ว่างจริง มันมีสิ่งละเอียดเหลืออยู่คือวิญญาณ ให้ตามรู้จิตเรื่อยๆ ไป ความยึดในวิญญาณจะถูกทำลายออกไปอีก แล้วจิตจริงแท้หรือพุทธะ(หลวงปู่เทสก์เรียกว่าใจ) จึงปรากฎออกมา

คำสอนครั้งนี้ลึกซึ้งกว้างขวางเหมือนฝนตกทั่วฟ้า แต่ภูมิปัญญาของผมมีจำกัด จึงรองน้ำฝนไว้ได้เพียงถ้วยเดียว คือได้เรียนถามท่านว่า "ที่หลวงปู่สอนมาทั้งหมดนี้ หากผมจะปฏิบัติด้วยการดูจิตไปเรื่อยๆจะพอไหม"
หลวงปู่ดูลย์ตอบว่า "การปฏิบัติก็มีอยู่เท่านั้นแหละ แม้จะพิจารณากายหรือกำหนดนิมิตหมายใดๆ ก็เพื่อให้ถึงจิตถึงใจตนเองเท่านั้น นอกจากจิตแล้วไม่มีสิ่งใดอีก พระธรรม 84,000 พระธรรมขันธ์ก็รวมลงที่จิตตัวเดียวนี้เอง

หลังจากนั้นผมก็เพียรดูจิตเรื่อยๆ มา มีสติเมื่อใดดูเมื่อนั้น ขาดสติแล้วก็แล้วกันไป นึกขึ้นได้ก็ดูใหม่ เวลาทำงานก็ทำไป พอเหนื่อยหรือเครียดก็ย้อนดูจิต เลิกงานแล้วแม้มีเวลาเล็กน้อยก็ดูจิต ดูอยู่นั่นแหละ ไม่นานก็เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเองอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้

วันหนึ่งของอีก 4 เดือนต่อมา ขณะนั้นเป็นเวลาเย็นปลายเดือนกันยายน 2525 ได้เกิดพายุพัดหนัก ผมออกจากที่ทำงานเปียกฝนไปทั้งตัว และได้เข้าไปหลบฝนอยู่ในกุฏิพระหลังหนึ่งในวัดใกล้ๆ ที่ทำงาน ได้นั่งกอดเข่ากับพื้นห้องเพราะไม่กล้านั่งตามสบายเนื่องจากตัวเราเปียกมากกลัวกุฏิพระจะเลอะมาก พอนั่งลงก็เกิดเป็นห่วงร่างกายว่า ร่างกายเราไม่แข็งแรง คราวนี้คงไม่สบายแน่


สักครู่ก็ตัดใจว่า ถ้าจะป่วยมันก็ต้องป่วย นี่กายยังไม่ทันป่วยใจกลับป่วยเสียก่อนแล้วด้วยความกังวล พอรู้ตัวว่าจิตกังวลผมก็ดูจิตทันที เพราะเคยฝึกดูจนเป็นนิสัยแล้ว

ขณะนั้นนั่งกอดเข่าลืมตาอยู่แท้ๆ แต่ประสาทสัมผัสทางกายดับหายไปหมด โลกทั้งโลก เสียงฝน เสียงพายุหายไปหมด เหลือแต่สติที่ละเอียดอ่อนประคองรู้อยู่เท่านั้น (ไม่รู้ว่ารู้อะไรเพราะไม่มีสัญญา)

ต่อมามันมีสิ่งละเอียดๆ ผ่านมาสู่ความรับรู้ของจิตเป็นระยะๆแต่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร เพราะจิตไม่มีความสำคัญมั่นหมายใดๆ

ต่อมาจิตมีอาการไหวดับวูบลง สิ่งที่ผ่านมาให้รู้ดับไปหมดแล้ว แล้วก็รู้ชัดเหมือนตาเห็นว่า ความว่างที่เหลืออยู่นั้น ถูกแหวกพรวดอย่างรวดเร็วและนุ่มนวลออกไปอีก กลายเป็นความว่างที่บริสุทธิ์หมดจดอย่างแท้จริง

ในความว่างนั้น จิตซึ่งเป็นอิสระแล้วได้อุทานขึ้นว่า "เอ๊ะ จิต ไม่ใช่เรานี่"
จากนั้นจิตได้มีอาการปิติยินดี ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้น พร้อมๆ กับเกิดแสงสว่างโพลงขึ้นรอบทิศทาง จากนั้นจิตจึงรวมสงบลงอีกครั้งหนึ่งแล้วถอนออกจากสมาธิ เมื่อความรับรู้ต่างๆ กลับมาสู่ตัวแล้ว ถึงกับอุทานในใจ(จิตไม่ได้อุทานอย่างทีแรก)ว่า "อ้อ ธรรมะเป็นอย่างนี้เอง เมื่อจิตไม่ใช่ตัวเราเสียแล้ว สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่เป็นตัวเราอีกต่อไป"

เมื่อผมไปกราบหลวงปู่ดูลย์ และเล่าเรื่องนี้ให้ท่านทราบ พอเล่าว่าสติละเอียดเหมือนเคลิ้มๆ ไป ท่านก็อธิบายว่า จิตผ่านฌานทั้ง 8

ผมได้แย้งท่านตามประสาคนโง่ว่า ผมไม่ได้หัดเข้าฌาน และไม่ได้ตั้งใจจะเข้าฌานด้วย

หลวงปู่ดูลย์อธิบายว่า ถ้าตั้งใจก็ไม่ใช่ฌาน และขณะที่จิตผ่านฌานอย่างรวดเร็วนั้น จิตจะไม่มานั่งนับว่ากำลังผ่านฌานอะไรอยู่ การดูจิตนั้นจะได้ฌานโดยอัตโนมัติ (หลวงปู่ไม่ชอบสอนเรื่องฌาน เพราะเห็นเป็นของธรรมดาที่จะต้องผ่านไปเอง หากสอนเรื่องนี้ ศิษย์จะมัวสนใจฌานทำให้เสียเวลาปฏิบัติ)



**************************************************************



<<< มีต่อ >>>
:b8:


แก้ไขล่าสุดโดย ดุสิตธานี เมื่อ 14 ธ.ค. 2009, 19:52, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2009, 19:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.ย. 2007, 17:49
โพสต์: 1720

ที่อยู่: สุโขทัยธานี

 ข้อมูลส่วนตัว




.ปราโมทย์020.jpg
.ปราโมทย์020.jpg [ 167.95 KiB | เปิดดู 7675 ครั้ง ]
.ปราโมทย์021.jpg
.ปราโมทย์021.jpg [ 145.88 KiB | เปิดดู 7669 ครั้ง ]
.ปราโมทย์022.jpg
.ปราโมทย์022.jpg [ 177.49 KiB | เปิดดู 7653 ครั้ง ]
.ปราโมทย์023.jpg
.ปราโมทย์023.jpg [ 145.02 KiB | เปิดดู 7650 ครั้ง ]
.ปราโมทย์025.jpg
.ปราโมทย์025.jpg [ 149.82 KiB | เปิดดู 7639 ครั้ง ]
(( ต่อ ))

พอผมเล่าว่าจิตอุทานได้เอง หลวงปู่ก็บอกอาการต่างๆ ที่ผมยังเล่าไม่ถึงออกมาตรงกับที่ผมผ่านมาแล้วทุกอย่าง แล้วท่านก็สรุปยิ้มๆว่า จิตยิ้มแล้ว พึ่งตัวเองได้แล้ว ถึงพระรัตนตรัยแล้ว ต่อไปนี้ไม่จำเป็นต้องมาหาอาตมาอีก

แล้วท่านแสดงธรรมเรื่อง จิตเหนือเหตุ หรือ อเหตุกจิต ให้ฟังมีใจความว่า อเหตุกจิต มี 3 ประการคือ

1. ปัญจทวารวัชนจิต ได้แก่ความไหวตัวของจิตขึ้นรับรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย

2. มโนทวารวัชนจิต ได้แก่ความไหวตัวของใจขึ้นรับรู้อารมณ์ทางใจ

3. หสิตุปปาท หรือจิตยิ้ม เป็นการแสดงความเบิกบานของจิตที่ปราศจากอารมณ์ปรุงแต่ง เพื่อแสดงความมีอยู่ของจิตซึ่งไม่มีตัวตนให้ปรากฏออกมาสู่ความรับรู้

อเหตุกจิต 2 อย่างแรกเป็นของสาธารณะ มีทั้งในปุถุชนและพระอริยเจ้า แต่จิตยิ้มเป็นโลกุตรจิต เป็นจิตสูงสุด เกิดขึ้นเพียง 3 - 4 ครั้งก็ถึงที่สุดแห่งทุกข์

หลังจากนั้นผมก็ปฏิบัติด้วยการดูจิตเรื่อยมา และเห็นว่าเวลามีการกระทบทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย จะมีคลื่นวิ่งเข้าสู่ใจ หรือบางครั้งก็มีธรรมารมณ์เป็นคลื่นเข้าสู่ใจ

หากขณะนั้นขาดสติ จิตจะส่งกระแสไปยึดอารมณ์นั้น ตอนนั้นจิตยังไม่ละเอียดพอ ผมเข้าใจว่าจิตวิ่งไปยึดอารมณ์แล้วขยับๆ ตัวเสวยอารมณ์อยู่จึงไปเรียนให้หลวงปู่ดูลย์ทราบ

ท่านกลับตอบว่า จิตจริงแท้ไม่มีการไป ไม่มีการมา

ผมได้มาดูจิตต่ออีกสักครึ่งปีต่อมา วันหนึ่งจิตผ่านเข้าสู่อัปปนาสมาธิและเดินวิปัสสนา คือมีสิ่งให้รู้ผ่านมาสู่จิต แต่จิตไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าคือสิ่งใด จากนั้นเกิดอาการแยกความว่างขึ้นแบบเดียวกับเมื่อจิตยิ้ม คราวนี้จิตพูดขึ้นเบาๆว่า จิตไม่ใช่เรา แต่ต่อจากนั้นแทนที่จิตจะยิ้ม จิตกลับพลิกไปสู่ภูมิของสมถะ ปรากฏนิมิตเป็นเหมือนดวงอาทิตย์โผล่ผุดขึ้นจากสิ่งห่อหุ้ม แต่โผล่ไม่หมดดวง เป็นสิ่งแสดงให้รู้ว่ายังไม่ถึงที่สุดของการปฏิบัติ

ปรากฏการณ์นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า การดำเนินของจิตในขั้นวิปัสสนานั้นหากสติอ่อนลง จิตจะวกกลับมาสู่ภูมิของสมถะ และวิปัสสนูปกิเลสจะแทรกเข้ามาตรงนี้ถ้าไม่กำหนดรู้ให้ชัดเจนว่า วิปัสสนาพลิกกลับเป็นสมถะไปแล้ว นักปฏิบัติจึงต้องระวังให้มาก โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่เคยพบกับจิตยิ้ม(สำนวนของหลวงปู่ดูลย์) หรือใจ (สำนวนของหลวงปู่เทสก์) หรือจิตรวมใหญ่(สำนวนของท่านอาจารย์สิงห์)

เมื่อผมนำเรื่องนี้ไปรายงานหลวงปู่ดูลย์ ท่านก็ว่า ดีแล้ว ให้ดูจิตต่อไป

ผมก็ทำเรื่อยๆ มา ส่วนมากเป็นการดูจิตในชีวิตประจำวัน ไม่ค่อยได้นั่งสมาธิแบบเป็นพิธีการ ต่อมาอีก 1 เดือน วันหนึ่งขณะนั่งสนทนาธรรมอยู่กับน้องชาย จิตเกิดรวมวูบลงไป มีการแยกความว่างซึ่งมีขันธ์ละเอียด(วิญญาณขันธ์)ออกอีกทีหนึ่ง แล้วจิตก็หัวเราะออกมาเองโดยปราศจากอารมณ์ (ร่างกายไม่ได้หัวเราะ) มันเป็นการหัวเราะเยาะกิเลสว่า มันผูกมัดมานาน ต่อๆ ไป จิตจะเป็นอิสระยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ

เหตุการณ์นี้ทำให้ได้ความรู้ชัดว่า ทำไมเมื่อครั้งพุทธกาล จึงมีผู้รู้ธรรมในขณะฟังธรรมเกิดขึ้นได้เป็นจำนวนมาก

ผมนำเรื่องนี้ไปรายงานหลวงปู่ดูลย์ คราวนี้ท่านไม่ได้สอนอะไรอีกเพียงแต่ให้กำลังใจว่า ให้พยายามทำให้จบเสียแต่ในชาตินี้ หลังจากนั้นไม่นานท่านก็มรณภาพ

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์อีกรูปหนึ่ง เคยสั่งให้ผมเขียนเรื่องการปฏิบัติของตนเองออกเผยแพร่ เพราะอาจมีผู้ที่มีจริตคล้ายๆ กันได้ประโยชน์บ้าง ผมจึงเขียนเรื่องนี้ขึ้น เพื่อสนองคำสั่งครูบาอาจารย์ และเพื่อรำลึกถึงหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ผู้เปี่ยมด้วยอนุสาสนีปาฏิหารย์ รวมทั้งหวังว่าจะเป็นประโยชน์สักเล็กน้อย สำหรับท่านที่กำลังแสวงหาหนทางปฏิบัติอยู่


หนทางยังมีอยู่ ผู้เดินทางยังไม่ขาดสาย ลงมือเสียแต่วันนี้
ก่อนที่กระแสลมแห่งกาลเวลา จะพัดพารอยพระบาทของท่านหายไป
เพราะถึงเวลานั้น พวกเราก็จะต้องระหกระเหินไร้ทิศทาง ไปอีกนานแสน



*********************************************************


<<<จบ>>>


แก้ไขล่าสุดโดย ดุสิตธานี เมื่อ 14 ธ.ค. 2009, 19:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ธ.ค. 2009, 19:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.ย. 2007, 17:49
โพสต์: 1720

ที่อยู่: สุโขทัยธานี

 ข้อมูลส่วนตัว




.ปราโมทย์013.jpg
.ปราโมทย์013.jpg [ 164.21 KiB | เปิดดู 7644 ครั้ง ]
:b8:

เคยนำภาพนี้ของหลวงพ่อปราโมทย์ ไปขึ้นหน้าจอ หวังว่าเพื่อเตือนสติยามเผลอหลงลืมตน สุดท้ายกลายเป็นว่าหันมาเห็นหน้าจอทีไรเหมือนจะโดนสายตาหลวงพ่อฯตำหนิทุกที จนต้องเอาออก..

ทุกอย่างก็เกิดจากตาเราไปเห็นรูปแล้วนำมาปรุงแต่งให้เป็นต่างๆนาๆแหละเจ้าค่ะ

:b12: :b8:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.พ. 2008, 09:18
โพสต์: 635

อายุ: 0
ที่อยู่: กองทุกข์

 ข้อมูลส่วนตัว www


ว้าว!! ผมเป็นลุกสิดของพระอาจารย์เหมือนกันแต่มีหลายเรื่องเลยนะเนี่ยที่ยังไม่เคยรู้
ต้องขอขอบคุณมากๆเลยครับคุณดุสิตธานี :b8:


:b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53:

.....................................................
"ผู้ที่ฝึกจิต ย่อมนำความสุขมาให้"
คิดเท่าไหรก็ไม่รู้ หยุดคิดจึงจะรู้

http://www.luangta.com
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2010, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.ย. 2007, 17:49
โพสต์: 1720

ที่อยู่: สุโขทัยธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนหนึ่งในการแสดงธรรมของหลวงพ่อฯ

ในวันขึ้นปีใหม่ ศุกร์ที่ 1 มกราคม 2553
สรุปมาให้พี่ เพื่อนๆ เพื่อเป็นมงคลชีวิตในการดำเนินชีวิตค่ะ
เจริญในธรรมทุกท่านนะค่ะ....



..เมื่อคืนไป Count ดาว กันที่ไหนนะ?

หลวงพ่อก็ Count ดาวเหมือนกันนะเมื่อคืน เดินจงกรมหน้ากุฏิ

โอ้! พระจันทร์สว่าง สวย.............

ปีใหม่ เราก็มีความหวัง หวังว่าชีวิตจะดีขึ้น จะมีความสุข

ใครๆ ก็หวังนะ ให้มีกำลังใจ อย่าหวังเลย! เดี๋ยวมันคงไม่ดีขึ้น

เราชาวพุทธเราไม่ได้ขอพร แบบเรื่องรามเกียรติ

พวกยักษ์ จะขอพรต้องไปนั่งอดข้าว บำเพ็ญตบะ ท่องคาถา

บังคับให้พระพรหมบ้าง พระอิศวรบ้าง มาให้พร

อันนั้น..พรแบบขอคนอื่นเขา พอเขาให้พรตัวเองมานะ

เขาก็ต้องรีบไปให้พรคนอื่น ไว้ข่มกัน ไว้แก้กัน

นั้นในโลกเป็นของคู่ๆ

ให้คนนี้มีฤทธิ์เยอะ ก็ให้คนนี้มีไว้คอยปราบคนนี้

ไม่ได้ให้ฟรี !



พวกเราชาวพุทธ เราไม่เชื่อเรื่อง...การขอ

อย่ามาขอเลย “พร” เป็นไปไม่ได้

เราเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม ตัวนี้สำคัญมาก

ถ้าเราอยากมีความสุข อยากให้ชีวิตดีขึ้น

เราต้องทำกรรมที่สมควรแก่ผล

ทำเหตุให้สมควรแก่ผล

ถ้าทำเหตุที่จะมีความสุข เราก็มีความสุข

ทำเหตุให้มีความทุกข์ มันก็มีความทุกข์



ทำกรรมชั่วนะ แล้วมาขอพร ขอหลวงพ่อบ้าง พระพุทธรูปบ้าง

ขอคนโน้น คนนี้ ขอกระทั่งต้นไม้ อะไรอย่างเนี่ย ขอภูเขา ขอไปหมด

ปั้นรูปเทวดาขึ้นมา แล้วก็ไปขอ โธ่! เทวดานั้น เรายังปั้นขึ้นมาเองเลย



เราต้องเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม

อยากมีความสุข ก็ไม่ต้องไปขอใคร แต่ต้องทำเอาเอง

การทำคุณงามความดีทั้งหลายนั้น

กุศลนะ ทำดี สิ่งที่ตามคือ..ความสุข

อกุศลนั้น สิ่งที่ตามมาคือ...ความทุกข์

ถ้าทำอกุศล ยังไงก็ต้องมีความทุกข์รออยู่ข้างหน้า



ง่ายๆ นะแค่ เมื่อคืนกินเหล้ามากไปหน่อย

เช้าขึ้นมาก็ปวดหัว อย่างไรก็รับวิบาก

ใครเคยกินเหล้า มีมั้ย? ไหน? เคยกินจนเมามีมั้ย?

ไม่ว่าทำอกุศลใดใด เล็กๆน้อยๆ มันก็มีผล ในทางไม่ดีเกิดขึ้นเสมอแหละ

อย่างน้อยก็สะสมสันดานที่ไม่ดี

อย่างเด็กๆ มีหนังสติ๊ก ใครเคยเล่นหนังสติ๊ก มีมั้ย?

ทีแรกก็ยิงสัตว์ตัวเล็กๆ ก่อน ต่อไปก็ยิงตัวใหญ่ๆ ขึ้น

ทำอกุศลก็สะสม ความเคยชิน อย่างน้อยก็มีผลเป็น ความเคยชิน

ถ้าเดินหัวชนกำแพง ยังไงก็เจ็บ



เมื่อทำเหตุก็ต้องมีผล

เราอยากได้ความสุข ก็ทำเหตุให้ได้รับความสุข ทำกุศลไว้

ถ้ากุศลถึงพร้อม เราจะมีความสุขเยอะมากเลย มีความสุข



กุศล แปลว่า ฉลาด

ไม่ใช่แค่ทำดีเฉยๆ นะ ต้องทำด้วยความฉลาด

ทำด้วยสติ ทำด้วยปัญญา ถึงจะเป็นกุศลอันใหญ่

ถ้าทำบุญไม่ประกอบด้วยสติปัญญา ก็เป็นบุญเล็กน้อย

ถ้าประกอบด้วยสติปัญญาขึ้นมา เป็นบุญใหญ่

อย่างตื่นเช้าเราไปใส่บาตร ใจอยากทำบุญ

ถ้าไม่ประกอบด้วยสติปัญญา

ไม่เห็นว่า เราต้องต่อสู้กับกิเลสหลายตัว กว่าจะใส่บาตรได้

อันแรกเลย ขี้เกียจตื่น

ใส่บาตรไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนกรุงเทพฯ

คนกรุงเทพฯ นอนดึก ขึ้นทุกทีแล้ว

กลางคืนไม่นอน เอาเวลากลางคืนไปทำชั่วบ้าง กลุ้มใจบ้าง

เช้าตื่นไม่ไหว คนไหนใส่บาตรได้

โอ๋! แทบจะเป็นวีรสตรี ไม่พูดถึงวีรบุรุษหรอก ผู้ชายไม่ค่อยใส่หรอก

ส่วนมากคนใส่บาตรผู้หญิง ตื่นเช้าขึ้นมาคิดจะใส่บาตร

ถ้ามีปัญญาขึ้นมา เห็นความขี้เกียจของตัวเองนะ

นี่เจริญปัญญาตั้งแต่เช้า ….




******


แก้ไขล่าสุดโดย ดุสิตธานี เมื่อ 14 ม.ค. 2010, 20:12, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2010, 20:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.ย. 2007, 17:49
โพสต์: 1720

ที่อยู่: สุโขทัยธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อจากนั้นหลวงพ่อแจกแจงธรรมในเรื่องดังนี้

- การใส่บาตร ในสมัยพุทธกาล

- การสร้างคุณงามความดี ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

- การเจริญปัญญาอย่างเดียวไม่พอ เวลาข้ามภพข้ามชาติ บารมี ต้องเต็ม ครบทุกอย่าง

- การสร้างบารมีทั้ง 10 เพื่อส่งเสริมการลดอัตตาตัวตน

ละความยึดถือในอัตตาตัวตนจอมปลอม ซึ่งมันไม่มี

- ทานบารมี เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิต เพื่อธรรมะ

- ปัญญาบารมี ตัวเราไม่มี

- เนกขัมมบารมี กล้าสละความสุข ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เพื่อจะเอาธรรมะ

- ศีลบารมี มีโอกาสทำชั่ว แล้วไม่ทำ ศีลทำให้กาย วาจา เรียบร้อย

- เมตตาบารมี การทำสมาธิ โกรธขึ้นมาก็เจริญเมตตา การเจริญเมตตาก็คือ เมตตาบารมี

- อุเบกขาบารมี ก็คือ การทำสมาธิ

- รวมแล้วบารมีทั้งหมด ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

ความดีของ ศีล รักษา กาย วาจา ให้เรียบร้อย

ความดีของ สมาธิ จิตใจตั้งมั่น สงบ เป็นการรักษาจิตใจ

ความดีของ ปัญญา ละความเห็นผิด ทำลายความเห็นผิด

- ถ้าต้องการพ้นทุกข์จริงๆ ต้องทำลายความเห็นผิด

- ศัตรูของชาวพุทธ คือความไม่รู้ ความหลง ความโง่ อวิชชา

ความไม่รู้อริยสัจ ไม่รู้หน้าที่ต่อทุกข์ ต่อสมุทัย ต่อนิโรธ ต่อมรรค


*************************

บารมี ๑๐ ประการ

๑ ทานบารมี
๒ ศีลบารมี
๓ เนกขัมมะบารมี
๔ ปัญญาบารมี
๕ วิริยะบารมี
๖ ขันติบารมี
๗ สัจจะบารมี
๘ อธิษฐานบารมี
๙ เมตตาบารมี
๑๐ อุเบกขาบารมี



:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ม.ค. 2010, 20:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.ย. 2009, 14:32
โพสต์: 874

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ ขออนุโทนากับเนื้อหาดี ๆ ที่ส่งมาให้อ่านค่ะ
ขอให้ได้รับบุญกุศลนี้เทิด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2010, 01:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ก.ค. 2009, 08:36
โพสต์: 532

แนวปฏิบัติ: ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: กรรมทีปนี , วิมุตติรัตนมาลี , ภูมิวิลาสินี
ชื่อเล่น: เจ้านาง
อายุ: 0
ที่อยู่: อยู่ในธรรม

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ใจอิ่มบุญ...อนุโมทนาค่ะ :b8:

:b27: :b27: :b27: :b27: :b27:

:b41: :b44: :b41: :b44: :b41: :b44: :b41:

.....................................................
...รู้จักทำ รู้จักคิด รู้ด้วยจิต รู้ด้วยศรัทธา...
..................ศรัทธาธรรม..................


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร