วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 20:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 09 ธ.ค. 2009, 11:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

นิทานเรื่องเชี่ยงเมี่ยงเป็นภาษาบ้านนอก อาจมีบางคำไม่สุภาพ ต้องขออภัยด้วยครับ

นิทานเรื่องเชี่ยงเมี่ยง เป็นนิทานที่เล่าถึงความเล่ห์แสนกล ของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งเฉลียวฉลาดจนผู้ใหญ่ก็ตามไม่ทัน ทำให้เชี่ยงเมี่ยงได้ใจ เรื่องพูดเท็จหลอกผู้ใหญ่อยู่เสมอ นิทานเรื่องเชี่ยงเมี่ยงนี้ ได้แพร่ขยายเข้าไปในภาคเหนือ ด้วยโครงนี้เรื่องก็คล้ายๆ กับศรีธนนชัย นิทานชาวบ้านของภาคกลาง โดยจบลงด้วยคติ บทเดียวกันว่า คนเรานั้นจะฉลาดอย่างไร ถ้าแสนกล ก่อทุกข์ให้คนอื่นและสนุกกับเล่ห์เพทุบาย ในที่สุดก็จะต้องชดใช้กรรมอันนั้น

นานมาแล้ว นานเสียจนไม่รู้ว่าเมื่อไร มีเด็กชายกำพร้าพ่อแม่คนหนึ่ง ชื่อ เชี่ยงเมี่ยง เป็นเด็กที่พ่อแม่ตายตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ ทั้งยังไม่มีญาติพี่น้องเลย ชาวบ้านจึงนำตัวเด็กน้อย ไปมอบให้สมภารองค์หนึ่ง ช่วยเลี้ยงดูตั้งแต่เชี่ยงเมี่ยงยังเล็กมาก

เชี่ยงเมี่ยงจึงเติบโตในวัด อาศัยอยู่กับหลวงพ่อกินข้าวก้นบาตรพระ และคอยปฏิบัติหลวงพ่อทุกอย่าง เด็กลูกศิษย์วัดมีหลายคนด้วยกัน ต่างก็มีงานที่ต้องช่วยกันทำแบบทั้งวัน เช่น ทำความสะอาดลานวัด ตัดต้นไม้ ดายหญ้า รดน้ำ ทำความสะอาดกุฏิ ฯลฯ แต่พระต่างก็สังเกตเห็นว่า เด็กชายเชี่ยงเมี่ยงจะพยายามทำงานน้อย และเบากว่าเพื่อนๆ ทุกทีไป เมื่อไต่ถามเพื่อจะดุ หลวงพ่อก็จับไม่ได้ไล่ไม่ทันเชี่ยงเมี่ยงสักที แม้จะเป็นคนเลี่ยงงานและกินแรงเพื่อนฝูง แต่ก็ประจบและปฏิบัติหลวงพ่อเป็นที่ถูกใจ และทันอกทันใจกว่าลูกศิษย์คนอื่น ด้วยเหตุนี้เชี่ยงเมี่ยงจึงได้เป็นเด็กก้นกุฏิของหลวงพ่อ

เชี่ยงเมี่ยงมักจะก่อเรื่องให้กับหลวงพ่อเสมอๆ วันหนึ่งหลวงพ่อให้เชี่ยงเมี่ยงไปเก็บพริก แล้วสั่งให้รีบไปรีบมา เชี่ยงเมี่ยงก็ย้อนถามหลวงพ่อว่า
"ทำไมหลวงพ่อไม่ใช้คนอื่นบ้างละครับ"
หลวงพ่อได้ยินจึงโกรธ ย้ำสั่งว่า
"อ้ายขี้เกียจ เอ็งเก็บพริกไม่หมดต้น ไม่ต้องมาให้กูเห็นหน้าเทียวนา"

เชี่ยงเมี่ยงจึงรีบไปเก็บพริกตามหลวงพ่อสั่ง ออกจากกุฏิไปแต่เช้า จนตะวันตกดินเชี่ยงเมี่ยงก็ยังไม่กลับวัด หลวงพ่อเป็นห่วงจึงใช้ให้เพื่อนไปตาม ปรากฏว่าเชี่ยงเมี่ยงใช้ผ้าขาวม้าปูนอน อยู่ใต้ต้นพริก และข้างๆ ตัว มีพริกสุกวางไว้ 5-6 เม็ด

เมื่อกลับมาถึงวัดหลวงพ่อโกรธมาก เตรียมไม้เรียวจะทำโทษ แต่ก็ต้องไต่สวนเสียก่อน เชี่ยงเมี่ยงก็แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ ว่า"ก็หลวงพ่อให้ผมไปเก็บพริกให้หมดต้น เมื่อผมไปถึงมีพริกสุกอยู่แค่ 5-6 เม็ด เท่านั้น นอกนั้นมีแต่พริกอ่อน ผมจึงต้องนอนคอยที่จะเก็บให้หมดต้น ผมจึงไม่กล้ากลับวัด"

เชี่ยงเมี่ยงจึงรอดตัวไปอีกครั้งหนึ่ง สมภารไม่อาจจะลงโทษได้ จึงสั่งว่า "พรุ่งนี้เอ็งจะต้องอยู่เฝ้ากุฏิ อย่าให้ไก่ขึ้นมาขี้ได้โดยเด็ดขาด ถ้ามีขี้ไก่ให้ข้าเห็นละก็ ข้าจะให้เอ็งเลียเสียจนเกลี้ยงทีเดียว"

รุ่งเช้าสมภารก็ออกจากวัดไปตามนิมนต์ เชี่ยงเมี่ยงก็นั่งเล่นนอนเล่นคอยไล่ไก่ ไม่ให้ขึ้นมาขี้ใส่บนกุฏิ รู้สึกเคืองสมภารอยู่ในใจ ที่จะลงไปเล่นกับเพื่อนก็ไม่ได้ ก็คิดกลวิธีจะแกล้งหลวงพ่อ โดยเอาน้ำตาลอ้อยไปเคี่ยวจนมีสี และลักษณะเหมือนขี้ไก่ คือ อุจจาระไก่ท้องเสีย แล้วก็เอาน้ำตาลเคี่ยวนั้น มาหยดไว้เรียงรายเต็มกุฏิไปหมด

พอหลวงพ่อกลับมาจากสวดมนต์ เห็นขี้ไก่เต็มกุฏิก็โมโห
"เอ็งต้องเลียขี้ไก่ให้หมดนา ไม่ยังงั้นข้าจะเฆี่ยนเอ็งให้หลังขาดทีเดียว" ว่าแล้วหลวงพ่อ ก็ฉวยไม้เรียวมายืนคุม

ฝ่ายเชี่ยงเมี่ยงไม่ได้รอช้า จัดแจงเลียขี้ไก่ปลอมจนเกือบหมด เหลือไม่กี่กองด้วยความเอร็ดอร่อย หลวงพ่อจึงเกิดความสงสัยยิ่งนัก จึงถามเชี่ยงเมี่ยงว่า
"เอ็งทำไม่กินขี้ไก่หน้าตาเฉย" เชี่ยงเมี่ยงตอบว่า "หลวงพ่อไม่รู้อะไร ขี้ไก่โม่นี้อร่อยหวานมันที่สุด ไม่เชื่อหลวงพ่อลองชิมดูซิ" เมื่อหลวงพ่อลองชิมดู ก็เห็นว่าเป็นจริงอย่างที่เชี่ยงเมี่ยงบอก จึงกินขี้ไก่ที่เหลือจนหมด และสั่งเชี่ยงเมี่ยงว่า

"พรุ่งนี้ข้าจะไม่อยู่ เอ็งไม่ต้องเฝ้ากุฏินะ ปล่อยให้มันขึ้นมาขี้ แล้วอย่ามากินขี้ไก่ของข้าเสียด้วย"

เช้าวันรุ่งขึ้นหลวงพ่อก็ออกจากวัด เชี่ยงเมี่ยงก็ได้เล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆ ปล่อยให้ไก่ขึ้นมาขี้บนกุฏิเต็มไปหมด ครั้นตกเย็นเมื่อหลวงพ่อกลับมา เห็นขี้ไก่เต็มกุฏิก็ดีใจ นึกชมเชี่ยงเมี่ยงในใจว่าทำตามคำสั่งดี รีบไล่เชี่ยงเมี่ยงให้ไปวิ่งเล่น เพื่อจะได้จัดการกินขี้ไก่

แล้วสมภารก็รู้ว่าขี้ไก่วันหลังกับวันแรกนั้นไม่เหมือนกันเลย วันหลังเหม็นและไม่มีรส ทำให้อาเจียนและหมดแรง และอาพาธไปหลายวัน

ครั้นหายจากอาพาธแล้ว สมภารก็ออกบิณฑบาตรตามปกติ สั่งให้เชี่ยงเมี่ยงถือปิ่นโตตามหลัง มีหญิงคนหนึ่งนำเอาตับย่างมาใส่บาตร หลวงพ่อก็ให้เชี่ยงเมี่ยง หยิบชิ้นตับออกจากบาตรมาใส่ปิ่นโตไว้ ครั้นเดินรับบาตรจนสาย หลวงพ่อจึงบ่ายหน้ากลับวัด ขณะที่เดินไปตามคันนา หลวงพ่อหันกลับมาดูเชี่ยงเมี่ยง กลัวจะเดินตามไม่ทันเพราะยังเด็กอยู่ ก็เห็นเชี่ยงเมี่ยงเคี้ยวอะไรหมุบหมับอยู่ในปาก จึงถามว่า
"นั่นเอ็งเคี้ยวอะไรอยู่ในปากของเอ็งวะ ไม่มีอะไรหรอกขโมยตับควายของข้ากินน่ะ เอ็งไม่ต้องกินอีกแล้ว เอ็งนี่ตะกละแท้ๆ"

เชี่ยงเมี่ยงจึงตอบสมภารว่า "ผมก็เลิกกินแล้วละครับ ตับอะไรก็ไม่รู้ ไม่อร่อยเลย คนทำไม่เข้าใจทำ ทำไม่เป็น"
สมภารได้ยินดังนั้นก็นึกขำ จึงพูดว่า
"อ้ายสู่รู้ แล้วเอ็งน่ะทำเป็นหรือ"
"หลวงพ่อครับ จะกินตับย่างให้อร่อย จะต้องล้วงออกมาจากท้องควายสิครับ ล้วงไปทางก้นมันนั่นแหละ ถึงจะอร่อย" หลวงพ่อฟังแล้วก็เฉยเสีย

บังเอิญชาวบ้านเอาควายมาปล่อย ให้กินหญ้าแถวนั้นตัวหนึ่ง ควายกำลังอุจจาระอยู่พอดี เชี่ยงเมี่ยงจึงบอกสมภาร

"ได้การละครับ จะกินตับย่างให้อร่อย ต้องล้วงทวารควาย ตอนมันขี้นี่แหละ"
สมภารก็เชื่อ วางบาตรเดินตรงไปที่ควาย แล้วเอามือล้วงเข้าไปในทวารควาย เกือบจะถึงข้อศอก เพื่อจะล้วงเอาตับ

ฝ่ายควายเมื่อมีคนล้วงก็ตกใจ จึงวิ่งเตลิดสุดแรง หลวงตาเอามือออกไม่ได้ ถูกควายดึงถูลู่ถูกัง เหนื่อยจนขาดใจถึงแก่มรณภาพ

ส่วนเชี่ยงเมี่ยง แทนที่จะหาทางช่วยเหลือหลวงพ่อของตน หรือตกใจ หลับยืนหัวเราะด้วยความขบขัน ที่ตนสามารถแกล้งหลวงพ่อได้ แก้แค้นที่ถูกขัดคอ ตอนขโมยตับควายย่างกิน หัวเราะหลวงพ่อซึ่งนอนมรณภาพ เสียจนขากรรไกรค้าง หุบปากไม่ได้ ต้องเสียชีวิตตามหลวงพ่อไปอีกคน

มีอีกหลายตอนครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสต์ เมื่อ: 09 ธ.ค. 2009, 11:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

กำเนิดเชียงเมี่ยง เป็นภาษาอิสานครับ
ยังมีเมืองใหญ่กว้าง เฮียกซื่อ “ ทวาลี ” มีพญาทวาละ นั่งเมืองเป็นเจ้า มีมเหสีบ่ทันเฒ่า นามว่า สุวรรณบุปผา เพิ่นปกครองเมืองมา จนอยู่เย็นทั้งภายพื้น ซื่นซื่นพร้อม ชาวประชา หัวม่วน มวลชนสุขลื่นล้น ย่อนบุญเจ้าหน่อพญา ซั่นแหลว ...
กะจั่งว่านั่นล่ะน้อ...แล้วกะในเมืองทวาลีเอง กะมีผู้ชายผู้นึง ชื่อว่า หมื่นดั้น กับผู้ญิงผู้นึง ชื่อว่า นางปลี แต่งงานอยู่กินนำกันมา กะหลายปีเติบล่ะหวา...กะยังบ่ทันมีลูก (น่าน น่าน เว้าแบบนี้ แสดงว่าใกล้สิมีลูกแล้วเด้หนิ..)

อยู่มามื้อนึง ยามกลางคืน นางปลี (ฮู้ย..เอิ้นบ่แซบ...เอิ้นเลาว่า แม่ใหญ่ปลีซะเนาะ จั่งถนัดปาก.... เอ๋า เลาบ่ทันได้เฒ่าสิไปเอิ้นเลาว่าแม่ใหญ่จั่งได๋เนาะ เดี๋ยวเลาสิเคียดเด้ ....บ้อ บ่เอิ้นกะได้ขั่นน่ะ) นางปลี กะนอนหลับ ฝันว่า
เจ้าของ หิวข้าว ย่างไปหาเก็บกินขี้หลักเหยี่ย จนว่าอิ่มท้องแป้แล้ (เว้าปานเป็นปลวก เป็นมอด เป็นแบคทีเรีย เด้เดียวหนิ)
ตื่นขึ้น กะประหลาดใจบักอย่างขนาด เลยไปหาพราหมโณเฒ่า (พ่อพราหมณ์นั่นล่ะ) แถว ๆ นั้น เว้าความฝันให้ฟังว่า
“ มื้อคืนนี้ ฝันเป็นปะหลาดต่าง ฝันว่า ข้าน้อยย่าง เลาะเก็บกิน หยากไย่ ขี้หลักเหยี่ย นั่น จนอิ่มเต็ม ท้องข้อย ซั่นแหลว …. ฝันจั่งซี้ มันสิเป็นจั่งได๋น้อ พ่อหมอ ”

พ่อพราหมณ์กะทำนาย ทายนำ ไปว่า
“ ลูกชายเจ้า ผู้บุญหลาย สิมาเกิด มีปัญญาเลิศล้ำ กว่าชาวบ้านทั่วแผ่นดิน ดอกเด้อ....เจ้าสิมีลูกชาย แล้วกะลูกชายเจ้า สิเป็นคนฉลาดหลักแหลม เด้อ ”

แล้วกะจากนั้น อีกบ่ดน นางปลีกะท้องไค่อ่องล่อง ครบกำหนด กะออกลูกมาเป็นผู้ชาย ตามคำทำนาย อีหลี ตั้วล่ะ (โฮ้ ทำนาย ทายนำ แม่นคักน้อ หมอพราหมณ์กะดาย )

ย่อนว่านางปลีฝันว่ากินขี้หลักเหยี่ย..
คันสิตั้งชื่อลูกชาย ว่า บักขี้หลักเหยี่ย มันกะบ่เป็นมงคลเนาะ กะเลยคึดชื่อที่มีความหมายคล้าย ๆ กัน
เมี่ยง มันกะคล้าย ๆ ขี้หลักเหยี่ย เนาะ (เอาอั่นนั่น อั่นนี้ มารวมกัน ปนกัน เป็นเมี่ยง) เมี่ยง คนมักหย่ำ มักกินพร้อม เป็นมงคลดีกว่า กะเลยตั้งชื่อลูกชายว่า เมี่ยง

นี่ล่ะคือ กำเนิด ของผู้ชายผู้นึง ที่มีชื่อเสียงขจรไกล ในเวลาต่อมา กะยังว้า กะยังว่า

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสต์ เมื่อ: 09 ธ.ค. 2009, 11:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ตอนที่ ๒ ล้างไส้เอาขี้ไก่ออก

เมี่ยง หอยน้ำ ไหบ่หย่ำ คำแพงเอ้ย พ่อแม่เฝ้าฟูมฟัก ฮักเอ็นดูปานตาแท้ ดูแลเจ้า หย่ำข้าวหมก ป้อนจนใหญ่ จนบักเมี่ยงย่างได้ เว้าจ้อย ๆ ย่อนค่อยสอน แท้เด้ ....
นั่นล่ะ หลังจากบักเมี่ยงเกิดแล้ว พ่อแม่เลี้ยง ดูแลเป็นอย่างดี ว่าซั่นเถาะ จนอายุประมาณ เจ็ดขวบ เนาะ นางปลี เลากะมีลูกอีก ออกลูกมา เป็นผู้ชายคือกัน กะยังว้า กะยังว่า
ยามพ่อแม่ ไปเฮ็ดนา บักเมี่ยง ต้องเป็นคนเบิ่งน้อง คอยไกวน้อง เด้ บักเมี่ยง กะเฮ็ดหน้าที่ของเลาดีพอได้อยู่เด้ล่ะ

มื้อนึง พ่อกับแม่ไปนา ให้บักเมี่ยงเลี้ยงน้องคือเก่านั่นล่ะ น้องกะกำลังย่างได้เนาะ พากันเล่นดินเล่นขี้ฝุ่น เกียกขี้ดิน ขี้ไก่ ขี้หมา จนโตดำปี้* สกปรกมอมแมม บักอย่างขนาด เล่นแล้วแล้ว น้องกะเมื่อยล้า เลยหลับทั้งทั้งที่บ่ได้อาบน้ำนั่นล่ะ
“ บ่อาบน้ำให้มันเหล่ว ขี้คร้าน... อยู่เล่นเป็นหมู่มันกะดีปาหยัง ” บักเมี่ยงคึด
น้องกะนอนหลับของน้องไป บักเมี่ยงกะหาอาบน้ำสำบายคิงเสย... อาบแล้วแล้ว จั่งค่อยมานอนหลับ...

พอฮอดยามมื้อแลง พ่อกับแม่กลับจากนา มาเห็นน้องเปื้อนขี้เปื้อนเยี่ยว กะเลยเอิ้นบักเมี่ยงมาสั่งสอนว่า
“ เมี่ยงเอ้ย...มึงเบิ่งน้องจั่งได๋เดียวหนิ จั่งให้น้องสกปรกเลอะเทอะจั่งซี้... เป็นหยังบ่อาบน้ำให้น้องแหน่... มื้อลุน คันน้องเลอะจั่งซี้ ต้องอาบ ต้องล้างน้องให้สะอาด ให้เกลี้ยง ทุกซอกทุกมุมเด้อ ”
“ เอ้อ..เอ้อ . ” ว่าซั่น บักเมี่ยงรับปาก
มื้อลุนมา พ่อกับแม่กะไปนาคือเก่านั่นล่ะ บักเมี่ยงกะเลี้ยงน้อง ดูแลน้องคือเก่านั่นล่ะ แล้วกะเล่นกับน้อง จนน้องสกปรก เลอะเทอะ คือเก่านั่นล่ะ แถม น้องยัง หยิบขี้ไก่โป่ กิน อีกเด้ อีตาเนียะ
บักเมี่ยง รับปากพ่อแม่แล้ว ว่าคันน้องสกปรก ต้องล้างให้สะอาดเกลี้ยง มันกะเลยเอาน้องไปอาบน้ำ ถูทางนอกจนขี้ไคล ขี้ดิน ขี้หมา ขี้ไก่ ออกเหมิดแล้ว เกี้ยงดีสะอาดแล้ว
ย่อนว่าน้อง กินขี้ไก่เข้าไปในท้อง บักเมี่ยง กะเลยเอามีดมาปาดท้อง แบ๋ไส้น้องออกมา ปิ้นล้าง (ปานล้างไส้ไก่เด้เดียวหนิ) สิล้างเอาขี้ไก่ออกจากไส้น้องนั่นล่ะ
จัดการเรียบร้อย กะยัดไส้น้องเข้าไว้ในท้องคือเก่า แล้วกะเอาน้องมานอนไว้ในอู่ กวยอู่ โหล่นโต่น
โหล่นโต่น..
น้องกะตายแหล่วเนาะ เฮ็ดปานนี้ ไผสิทนไหว....

ตอนที่ ๓ บวชเณร

พ่อกับแม่ กลับจากนา เห็นน้องนอนอยู่ในอู่ คึดว่าแมนนอนหลับ เลยบ่ทันได้เอะใจอีหยัง.... จนดนเติบ สงสัยว่า เป็นหยังนอนหลับดนแท้ กะเลยไปเปิดผ้าห่มออก เห็นท้องมีฮอยขาด
ลูกหล่าเลา ตายแล้ว !!!
เลากะเสียใจบักอย่างใหญ่ เอิ้นบักเมี่ยงมาด่า บักเมี่ยงกะแก้โตว่า ต้องการล้างขี้ไก่ออกจากไส้น้องให้มันสะอาด ตามที่รับปากไว้ บ่คึดว่าน้องสิตาย...พะนะ
พ่อกับแม่อดรนทนบ่ไหว เห็นบัก เมี่ยง เป็นบัก ขี้หลักเหยี่ย บ่ต้องการให้ขี้หลักเหยี่ยอยู่ในบ้าน กะเลยไล่บักเมี่ยงออกจากบ้าน ไปตั้งแต่มื้อนั่น วันนั่น ซั่นแหล่ว..
บักเมี่ยงท้าว ถืกขับไล่ออกจากบ้าน ย่างซมซาน หาหม่องเพิ่ง เลาะตามเฮือนญาติพี่น้อง หาหม่องสิอยู่เซา ญาติเลานั่น ฮู้เรื่องเลาจนเหมิด เลยบ่มีผู้ได๋ รับอาศัยไว้ในบ้าน ซมซานดั้นเดินดินด้นต่อ บุญเลายัง จั่งมาพ้อ สมภารเฒ่า อยู่วัดหลวง นั่นเด้อ...
บักเมี่ยงย่างเข้าวัด ขอพักอาศัยอยู่นำหลวงพ่อ เป็นสังคะลี (เด็กวัด) กินข้าวก้นบาตร ซ่อยเฮ็ดงานวัด ปัดกวาดกุฏิ ลานวัด รับบาตร ล้างบาตร ล้างถ้วยซาม เด้ หลวงพ่อเห็นว่า อายุกะพอบวชแล้ว กะเลยจัดการบวชเณรให้
บักเมี่ยง กะเลยกลายเป็น เณรเมี่ยง ซั่นแหล่ว
บวชเณรแล้วกะร่ำเรียนเขียนอ่านภาษาบาลี โตหนังสือธรรม โตหนังสือไทยน้อย เลาเป็นคนฉลาดเนาะ กะเรียนรู้ได้เร็วเด้

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสต์ เมื่อ: 09 ธ.ค. 2009, 11:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ตอนที่ ๔ เล่นทวยกัน

มื้อนึง ชาวบ้าน มาซ่อยกันเฮ็ดงานอยู่วัด เฮ็ดงานไปคุยกันไป แล้วกะชวนกันเล่นทวยกัน
พ่อเฒ่านึง ถามว่า
“ แม่มันฮ้องอี้อี้ ลูกมันพี่ ลั่นตั้น ลั่นตั่น … แม่นหยัง? ”
พ่อเฒ่านึง ตอบว่า
“ หมูกินฮำ ” ....
" บ่แมน ” ...... บ่มีไผตอบได้...ทวยแก้ว่า
“ อี่น้อย ๆ แก่ไส้ลอดขอน...แมนหยัง? ”
“ มดขนไส้ขี้กะปอม ” พะนะ พอใหญ่นึงเลาตอบ...
.. บ่แมน ..ตอบบ่ได้..กะเฉลย
“ อี่น้อย ๆ แก่ไส้ลอดขอน กะคือ กระสวยต่ำหูก นั่นตั้ว ”
“ แม่มันฮ้องอี้อี้ ลูกมันพี่ ลั่นตั้น ลั่นตั่น กะคือ ไนปั่นด้าย นั่นเด้ ”
ทวยแก้กัน ได้คำตอบเรียบร้อยแล้วกะเริ่มคำทวยใหม่ว่า
“ ผู้ญิงไปได้หลาย ผู้ชายไปได้หน่อย เด็กน้อยไป บ่ได้จักเม็ด แมนหยัง? ”
บ่มีไผตอบได้จักคน กะยังว้า กะยังว่า แล้วกะบ่มีไผมีคำทวยแก้ซั่มแหม ทุกคนยอมแล้ว สิให้พ่อเฒ่านั่นเฉลย เลากะบ่เฉลย
พอดีเณรเมี่ยง ย่างมา ฟังคำทวยเรียบร้อยกะเลยตอบว่า
“ บักหญ้าฝืด (หญ้าเจ้าชู้) แมนบ่ ”…. (ผู้ญิงนุ่งซิ่นล่าม ๆ บักหญ้ามันปักหลาย, ผู้ชายนุ่งซ่งบักหญ้ามันปักหน่อย, เด็กน้อยมันบ่นุ่งอี่หยัง บักหญ้าเลยบ่มีบ่อนสิปัก)
“ แมน ” ....พ่อเฒ่านั่นเลยทวยต่อว่า
“ อยู่โคกสร้างถ้วย อยู่ห้วยสร้างมอง อยู่หนองกองก้น แมนหยัง ”
เณรเมี่ยงกะตอบว่า
“ อยู่โคกสร้างถ้วยกะคือ มดลิ้นเฮ็ดขวย ,อยู่ห้วยสร้างมอง กะคือ แมงย่างซิ้นเฮ็ดฮัง (แมงมุมชนิดหนึ่ง), อยู่หนองกองก้น กะคือ หอย แมนบ่ ”
“ แมน ” ....พ่อเฒ่านั่น กะทวยต่อว่า
“ นอนเว็น ขี้ค่ำ นอนต่ำขี้สูง แมนหยัง ”
เณรเมี่ยงกะตอบว่า
“ นอนเว็นขี้ค่ำ กะคือ กะต่าย , นอนต่ำขี้สูง กะคือ ขี้ไก่เดียน แมนบ่ ”
“ แมน ” ....พ่อเฒ่านั่น กะทวยต่อว่า
“ สี่ขายั้งธรณีแอะแอ่น อ้าปากขึ้นเทิงฟ้า คาบงา แมนหยัง ”
เณรเมี่ยงกะตอบว่า
“ ข้องใส่ปลา แมนบ่ ”
“ แมน ” ....พ่อเฒ่านั่น กะทวยต่อว่า
“ เฒ่าสองเฒ่า บังเล้า บ่เห็นกัน แมนหยัง ”
เณรเมี่ยงกะตอบว่า
“ หูสองข้าง แมนบ่ ”
“ แมน ” ....พ่อเฒ่านั่น กะทวยต่อว่า
“ นั่งสูงกว่ายืน แมนหยัง ”
เณรเมี่ยงกะตอบว่า
“ หมากะแมน แมวกะแมน ถืกบ่ ”
“ ถืก ” ....พ่อเฒ่านั่น กะทวยต่อว่า
“ หางอยู่ใต้ฮูดาก แมนหยัง ”
เณรเมี่ยงกะตอบว่า
“ หางกะเตี่ยว แมนบ่ ”
“ แมน ” ....พ่อเฒ่านั่น เริ่มอุกอั่งคิงฮ้อนแล้วเด้ ถามหยังกะตอบได้เหมิดเว่ย “ คำทวยนี้ล่ะต้องอยู่หมัดแน่ ๆ เลย ” กะทวยต่อว่า
“ กาบินไป กาฮ้อง กาบินมา กาหลง แมนหยัง ”
เณรเมี่ยงกะตอบว่า
“ กาหลง กะ กงหลา ท่อนั่นตั้ว ถืกบ่ ”
“ ถืกยุ ” ....พ่อเฒ่านั่น กะทวยต่อว่า
“ นั่งค่อม่อ มีแข้ว ล่ะ แมนหยัง ”
เณรเมี่ยงกะตอบว่า
“ นั่งค่อม่อ มีแข้ว.....กะต้องเป็น แมวขี้ แมนบ่ ”
“ แมน ” ....พ่อเฒ่านั่น เลาสิเหมิดคำทวยแล้ว กะเลยว่า
“ เอ้า มีแต่พ่อใหญ่ทวยฝ่ายเดียว เณรเมี่ยงลองทวยมาเบิ่งกะดู๊ ” ว่าซั่น
เณรเมี่ยงเลากะได้เรียนธรรมเรียนบาลีเนาะ กะเลยถามว่า
“ สัพพี สัพพัง ดังวา คุชลามิคา แมนหยังเอ๋า ”
พ่อเฒ่านั่น กะว่า
“ สัพพี กะคำพระสวดให้พรนั่นแหล่ว ”
“ บ่แมน มันบ่ง่ายปานนั่นดอก พ่อใหญ่เอ้ย..คึดเบิ่งใหม่ ”
พ่อเฒ่านั่น คึดแล้วคึดอีก กะคึดบ่ออก ตอบแล้วตอบอีก กะตอบบ่ถืก สิทวยแก้ เพื่อที่สิให้เณรเมี่ยงเฉลย เณรเมี่ยงกะตอบได้เหมิดเอาโลด
“ กลิ้งขู่หลู่ เห็นขี้หยุดจ่ะ แมนหยัง ”
“ กวักอักไหม หาขี้ไหม (พอเห็นขี้ไหมกะหยุดแล้วกะเอาขี้ไหมออก) ”
“ บ่กิน บ่ขี้ มีแต่ปี้ท่าเดียว แมนหยัง ”
“ บี้ (ฝักหลอกที่เอาไว้ทำพันธุ์แล้วมันเป็นแมงบี้นั่นหนา) ”
“ บักน้อย ๆ แก่ผ้าแดงลอดขอน แมนหยัง ”
“ แย้ (ท้องแย้ลายแดง ๆ คือผ้า) ”
“ เหล็กแดง แทงดิน แมนหยัง ”
“ มันแกวแดง ”
“ ดำคือหมี แฮ่งตี แฮ่งกัด ดำคือหมัด แฮ่งกัด แฮ่งตี แมนหยัง ”
“ ดำคือหมี แฮ่งตี แฮ่งกัด กะคือ สิ่ว ดำคือหมัด แฮ่งกัด แฮ่งตี กะคือ ค้อนตอกสิ่ว ”
“ โก่งโค้งโน่ง ข้วมท่ง สามแสน ผู้ได๋ทายแม่น ให้แหวนวงนึง ”
“ ฮุ้งกินน้ำ ”
“ ต้นท่อเข็ม ใบเต็มน้ำ แมนหยัง ”
“ ผักแว่น ”
“ อ่อล่อ ท่อโป้มือ พือไปทั่วท่ง แมนหยัง ”
“ หน่วยตา ”
“ บักหัวโล้น โตนน้ำแต่เดิ่ก แมนหยัง ”
“ กะบวยตักน้ำ ”
“ บักน้อย ๆ โตนตั่งคอหัก หมาโตนสัก แมงวันแตก พืง แมนหยัง ”
“ ขี้ ”
“ สัตว์สี่ขา หน้าสั้น ฮ้องสนั่น เสียงไกล แมนหยัง ”
“ อึ่ง ”
“ ต้วยก้น บ่ให้ว่าต้นก้วย แมนหยัง ”
“ เช็ดขี้มูก ”
……….
ในที่สุด กะเลยบ่ฮู้คำเฉลย
เณรเมี่ยงกะบอกว่า คันอยากฮู้คำเฉลย กะให้หาแนวกินแซบ ๆ เฮ็ดลาบเทาแซบ ๆ มาถวาย เด้อ จั่งค่อยสิบอก พะนะ
นั่นล่ะ ชื่อเสียงของเณรเมี่ยง กะเลยเริ่มขจรขจายไกล ซั่นตี้ล่ะ

เรื่องของเณรเมี่ยงยังไม่จบครับ แต่วรานนท์มีธุระ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสต์ เมื่อ: 09 ธ.ค. 2009, 12:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภาษาบ้านผมเรียก เซียงเมี่ยงอ่า

:b32:


โพสต์ เมื่อ: 09 ธ.ค. 2009, 13:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ตอนที่ ๕ หลวงพ่อกินขี้หมา

มื้อหนึ่ง ยามเช้า หลังจากฉันจังหันเรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อไปธุระในเมือง ให้เณรเมี่ยงอยู่เฝ้าวัด พร้อมทั้งสั่งให้เณรเมี่ยงเฝ้ากุฏิดีดี อย่าให้หมูหมากาไก่ มาขี้ใส่กุฏิ เด้
หว่างมื้อเช้านี้ พ่อออก แม่ออกเอาข้าวต้มข้าวหนม พร้อมทั้งถั่ว งา มาถวายหลายเติบยุ เณรเมี่ยงอยากกินข้าวหนม ดนดน กะเลยเอาข้าวหนมพวกนั้น มาตำคลุกรวมกัน แล้วกะปั้นเป็นก้อนยาว ๆ คือขนมหนังต่องแอก นั่นแหม เลาก๋าว่าสิเฮ็ดข้าวหนมแดกงา นั่นล่ะหวา
เฮ็ดแล้วแล้ว กะเอาไปตากย่ายไว้สาด สาดนั่นกะเป็นสาดตากข้าวแห้งเด้ ตากแล้วเรียบร้อย กะไปนอนเล่นพักผ่อน สบายอารมณ์เสย
ขนมแดกงา ที่เณรเมี่ยงเอาตากไว้ เบิ่งจั่งนึง มันผัดคล้าย ๆ กับกองขี้หมา เด้บ่ะได๋

หลวงพ่อกลับจากธุระ เห็นข้าวหนมเณรเมี่ยงตากย่ายอยู่สาด กะเข้าใจว่าขี้หมา กะเลยเอิ่นเณรเมี่ยงมา ว่า เป็นหยังจั่งค่อยให้หมาขึ้นมาขี้ใส่ข้าวแห้ง แล้วกะสั่งให้เณรเมี่ยงกินขี้หมาซุมนั่น เป็นการทำโทษ
เณรเมี่ยงกะทำเป็นอิดออด บ่กล้ากิน แต่ในที่สุดกะกิน แล้วกะกินเอา กินเอา อย่างเป็นตาแซบ

“ ป้าด แซบ ๆ ๆ ….”

หลวงพ่อเห็นเณรเมี่ยงกินเป็นตาแซบ กะเลยถามว่า
“ มันแซบอีหลีติเมี่ยง มันบ่เหม็นติ ”
“ แซบอีหลีครับหลวงพ่อ ลองชิมเบิ่งครับ ”

หลวงพ่อกะเลยหยิบ มาลองชิมเบิ่ง
“ โฮ้ หวาน หอม แซบดี.... อืม ขี้หมามันกะแซบปานนี้ตั้วหนิแมะ คันฮู้จั่งซี้ ปล่อยให้หมามาขี้ใส่แต่โดนแล้ว......... มื้อลุน บ่ต้องไล่มันเด้อเมี่ยง ปล่อยให้มันมาขี้ใส่หลาย ๆ โลดเด้อ ”

เณรเมี่ยงกะหัวย่ามอยู่ในใจ นั่นแหล่ว

มื้อลุน ก่อนหลวงพ่อสิไปธุระ กะสั่งเณรเมี่ยงว่า
“ เมี่ยงเอ้ย มื้อนี้ ปล่อยให้หมามาขี้ใส่ข้าวแห้งหลาย ๆ เด้อ ห้ามไล่เด็ดขาด เด้อ ”

เณรเมี่ยงกะหนีไปหาเล่นอยู่หม่องอื่น ปล่อยให้หมา มาขี้ใส่สาดตากข้าวแห้งอีหลี ตามคำสั่งของหลวงพ่อ พอหลวงพ่อกลับจากธุระ เลาติดใจรสชาติขี้หมาเนาะ กะเลยฟ้าวไปหยิบขี้หมาขึ้นมากิน
“ บ๋า กองนี้มันคือบ่แซบหว่า เป็นเหม็น ๆ นำ ” เลาสงสัย แล้วกะหยับไปหาชิมกองอื่นต่อไป....

เณรเมี่ยง กะจอบเบิ่งอยู่เด้ ... ฮ้องถามหลวงพ่อว่า
“ เป็นจั่งได๋ครับ หลวงพ่อ แซบบ่ ”

“ เป็ง เหม็ง ๆ ฉ่ง ๆ (เป็นเหม็น ๆ ส้มๆ) ” หลวงพ่อเบ๋ปากตอบ

เณรเมี่ยงเลากะหัวย่าม ย่าม แหล่วเนาะ

“ (ไผว่าขี้หมามันแซบ... ขี้หมามันบ่แซบเดิก...) ”

ตอนที่ ๖ หลวงพ่อแยคันทัน

พ่อใหญ่ผู้เลาทวยแพ้เณรเมี่ยง กะพยายามคิดหาคำตอบของคำทวยเด้ แต่ว่าคิดจั่งได๋กะคิดบ่ออก
“ สัพพี สพพัง ดังวา คุชลามิคา มันแมนหยังน้อนอ ” กลับมาถามเณรเมี่ยง เณรเมี่ยงกะบ่บอก กะบอกคือเก่าว่า ต้องหาลาบเทาแซบ ๆ มาถวาย เป็นการแลกเปลี่ยนเด้ ว่าซั่น
เฒ่าพ่อใหญ่นั่น กะเลยอดทนคองคอยท่าจนฮอดยามเทาเกิด เลากะไปหาทาวเทา ได้เทาอ่อนอั่วลั่วดี้ดี เลากะเอามาลาบใส่ป่นปลาค่อ ทุบหมากเขือขื่นใส่พร้อม ปรุงอย่างแซบนัว กะเอาไปถวายเณรเมี่ยง กับหลวงพ่อ
เณรเมี่ยงฉันลาบเทาเรียบร้อยแล้ว กะเลยมาเฉลยคำทวยให้ฟังว่า
“ สับพี กะคือ ไก่เอาปากสับอึ่ง อึ่งมันเลยพองโตขึ้น จนพี
สับพัง กะคือ บักจกถากขอบส่าง ขอบส่างมันกะพังย่าว
ดังวา กะคือ ดังช้าง หรือว่างวงช้างนั่นล่ะ มันยาวเป็นวา
ส่วน คุชลามิคา กะคือ คุฮั่ว...คุ กะคือ คุ ชลา กะคือน้ำ มิคา กะคือ บ่คา แปลว่า คุน้ำบ่คา กะคือ คุรั่ว นั่นเอง ”
หลวงพ่อฉันลาบเทา ฮู้สึกแซบคัก ถืกใจผู้เฒ่าคัก

พอฉันเพลแล้ว เลากะเลยถามเณรเมี่ยงว่า
“ เมี่ยง หว่างเพลฮั่น แนวกินอันเขียว ๆ น่ะ แมนอีหยังเกาะฮึ แซบดีคัก ”
“ ลาบขี้อ่อนงัว ครับหลวงพ่อ ”
“ โอ ... ติ ลาบขี้อ่อนงัววะติ แซบน้อ ขี้อ่อนงัวหนิ ” หลวงพ่อเลาว่า

มื้อลุนมา หลวงพ่อคึดอยากลาบขี้อ่อนงัวซั่นเด้บาดตาหนิ คองท่าให้โยมเอามาถวายอีกกะบ่มีไผเอามาถวาย คองแล้วกะคองอีก จนเลาทนบ่ไหว กะเลยถามเณรเมี่ยงว่า
“ เอ..เมี่ยง .. ขี้อ่อนงัวหนิ เขาไปเอามาแต่ไส เขาไปเอาบ่อนจั่งได๋มันฮึ ”
“ ขี้งัวนี่เนาะหลวงพ่อ ถ้าอยู่ในลำไส้เลิ่กๆ คัก ๆ กะคือ ขี้เพี้ย ถ้าอยู่ในท้อง ยังบ่ทันขี้ออกมา กะคือ ขี้อ่อน ถ้าออกมาจากท้องงัวแล้ว กะคือ ขี้แก่ ..... ขี้เพี้ย กะเอาไปใสลาบใส่ก้อย....ขี้อ่อนกะเอามาลาบกิน....ขี้แก่ บ่มีไผกิน ตั้วครับหลวงพ่อ ”
“ แล้วกะขี้อ่อนงัวหนิ เขากะไปจกเอาจากดากมันนั่นแหล่วหลวงพ่อ ” เณรเมี่ยงตอบ

พอสวย ๆ จักหน่อย หลวงพ่อกะเลยชวนเณรเมี่ยง ไปท่งนา สิไปหาจกเอาขี้อ่อนงัวว่าซั่นเถาะ พอเห็นงัวอยู่นำท่งนา หลวงพ่อกะบอกเณรเมี่ยงว่า

“ เมี่ยง ๆ ไป เจ้า เข้าไปจกเอามาให้หลวงพ่อแหน่ไป ”
“ ผมจกบ่เถิงดอกครับหลวงพ่อ งัวโตสูงปานหนิ หลวงพ่อจัดการโลดครับ ผมสิถือกะต่าให้ ”

หลวงพ่อกะเลยค่อย ๆ ย่องเข้าไปทางหลังงัว เอามือนุ่ยใต้หางมัน
“ นุ่ย ๆ ๆ ๆ ๆ ” วะซั่นว่า

งัวมันกะยกหางขึ้น ยืนหลับตามีแฮงแหล่วเนาะ ไปนุ่ยดากมันแมะ หลวงพ่อได้ที กะเลยเอามือจกดากงัว มันกะจกบ่เข้าเหล่ว ดากมันยุ่มอยู่แมะ งัวเทิงเจ็บเทิงตกใจ กะเลยดีดโด่งวะหนึ่ง ขาถีบถืกหลวงพ่อ ล้มป่างง่าง

“ เออะ ๆ ๆ ๆ... อู๊ย... เจ็บ ๆ งัวฮ่าเอ้ย ปะสาขี้ สำมาหวงคักหวงแหน่ แท้ว้า ”
“ กะมันยังบ่ทันได้เบ่งออกมา มันกะหวงนั่นตั้วครับ หลวงพ่อ กะเลือกเอา โตที่มันกำลังเบ่งออกมา แหน่แหม ” เณรเมี่ยงแนะนำ
“ บ้อเมี่ยง... เอ้อ...กะบอกกันจั่งซี้ แหน่แหม ”

หลวงพ่อกะย่างหางัวโตที่กำลังเบ่ง(ขี้) .....ไปพ้อพอดี เณรเมี่ยงกะเอามือชี้ท่วงว่า

“ นั่น ๆ หลวงพ่อ กำลังตูนพู่ยู่ พู่ยู่ ออกมาอยู่นั่น ฟ้าวจก ฟ้าวจก ”

หลวงพ่อย่านบ่ทัน ฟ้าวแล่นเข้าไป เอามือจกดากงัว มือเลากะหลูลัวะเข้าไป อุ่นย่วยวะหนึ่ง เลากะฟ้าวจกต่อเข้าไป จนมิดแขนศอก เอามือกำขี้งัวไว้

ฝ่ายงัว ตั้งใจสิขี้แซบ ๆ บัดมีแนวมากวน งัวมันตกใจ เทิงเจ็บนำล่ะตี้ กะเลยคาดลาดยุ่มดาก แล้วกะกระโดดโด่ง แล่นหนีเตลิดเปิดเปิง แขนหลวงพ่อถืกดากงัวยุ่มฮัดไว้ หลวงพ่อเลากะเลยถืกงัวลาก ตะดาดตะดาดไปตามไฮ่นา แต่ว่าเลากะยังบ่ปล่อยกำขี้งัวในมือเด้ ... กะเลาอยากได้เนาะ

“ เมี่ยง ๆ ซ่อยแหน่... ซ่อยแหน่ ”

“ แยคันทัน หลวงพ่อ แยคันทัน แยคันทัน ” เณรเมี่ยงเลาตกใจนำ ฮ้องบอกหลวงพ่อ

พอดีงัวมันลากหลวงพ่อไป เถิงคันแทนา หลวงพ่อกะเลยยันคันแทไว้ มือเลาเลยหลุดออกจากดากงัว
“ เมี่ยง ๆ ได้แล้ว ได้แล้ว ได้กำนึงแล้ว เอากะต่ามาใส่ เร็ว ๆ ”

เณรเมี่ยงถือกะต่ามา หลวงพ่อแบมือออกสิเอาขี้อ่อนงัวใส่กะต่า

“ ขี้งัวคือเหม็นแท้หว่า ..ฮ่วย มันขี้แก่งัวตั้วหนิ ” หลวงพ่อเลาว่า

“ สงสัย ขี้อ่อนงัวมันอยู่เลิ่ก ๆ ก่อนี้มั้งครับหลวงพ่อ ” เณรเมี่ยงเลายังตั๋วต่ออีกเด้เดียวหนิ
“ โฮ้ หลวงพ่อเก่งคักเนาะ สุดยอดเลย สู้งัวได้ ” เณรเมี่ยงเลาย่องต่อ

“ แล้วที่เจ้าว่า แยคันทัน แยคันทัน น่ะ มันแม่นหยังล่ะ เมี่ยง ”
“ แยคันทัน กะ ยันคันแท นั่นเด้หลวงพ่อ ”
“ ฮู้ย...เจ็บแอว เจ็บคิงเหมิดเอาโลด คันขี้อ่อนงัว มันเอายากปานนี้ ข้อยบ่เอานำเด้อ.. ยอมแพ้แล้วล่ะ ” พะนะ หลวงพ่อว่า

สรุปแล้ว หลวงพ่อกะบ่ได้ขี้อ่อนงัว บ่ได้กินลาบเทา แถมยังถืกเณรเมี่ยงต้ม หลอกให้ไปกำขี้งัวจนเกือบเอาซีวิตบ่รอดอีกซ้ำแม๋....

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสต์ เมื่อ: 09 ธ.ค. 2009, 13:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ตอนที่ ๗ หลวงพ่อหัวบักโต่น

มื้อนึง หลวงพ่อ ย่านเจ้าของตื่นสวย สิบ่ทันบิณฑ์บาต กะสั่งเณรเมี่ยงไว้ว่า
“ เมี่ยงเอ้ย มื้ออื่นเช้า ปลุกหลวงพ่อเด้อ คันเห็นดาวเพ็กขึ้น กะให้ฟ้าวมาปลุกหลวงพ่อเด้อ ”
สั่งแล้วเลากะเข้านอน
(ดาวเพ็ก คือดาวศุกร์นั่นหละ ดาวศุกร์ที่ขึ้นตอนเช้า เขาเอิ่นว่า ดาวเพ็ก...ฮาลังหม่อง กะเอิ่นว่าดาวเพชร)
ฝ่ายเณรเมี่ยง กะบ่อยากตื่นแต่เดิ่ก ลุกแต่เช้า ย่อนว่า ช่วงเช้ามืดน่ะ มันเป็นช่วงที่นอนแซบ ที่สุด แต่ว่าคันสิบ่ปลุกหลวงพ่อ กะบ่ได้ เลากะเลย เอาขี้กะบอง ขึ้นไปมัดไว้ปลายตาล แล้วกะจุดไฟ เด้
จากนั้น กะลงมา เข้าไปปลุกหลวงพ่อ
“ หลวงพ่อ ๆ ดาวเพ็กขึ้นแล้ว ” เทิงเว้าเทิงซี้มือไปทางขี้กะบองอยู่ยอดตาล
หลวงพ่อเห็นไฟขี้กะบองอยู่ยอดตาล กะคึดว่าแมนดาวเพ็กอีหลี กะเลยล้างหน้า ห่มผ้า ถือบาตร เข้าไปบิณฑบาต เลาย่างไป ฮอดเลาะบ้าน กะยังมืดตึบอยู่ บ่ทันแจ้งจ้อย ชาวบ้าน กะยังบ่มีไผลุกขึ้นมานึ่งข้าวจ้อย หลวงพ่อกะเลยเหลียวเบิ่งดาวเพ็กอีก....
...เอ๋า พอเบิ่งจากหม่องนี่ มันผัดบ่เห็นดาวเพ็ก บ่มีดาวเพ็ก แสดงว่าดาวเพ็กยังบ่ทันขึ้น เลาฮู้โตว่า ถืก

เณรเมี่ยงตั๋ว เด้ คันสิย่างกลับวัด กะไกลเนาะ ขี้คร้านย่าง กะเลยตัดสินใจว่า
“ หาหม่องนอนแถว ๆ นี่ ดีกว่า ”
หลวงพ่อย่างไปเห็นค้างบักโต่น เป็นตาหลับได้ กะเลย นั่งลงพิงเสาค้างบักโต่นนั่นล่ะ หลับ.....
แม่ใหญ่อั่นนึง(เอิ่นเลาว่า แม่ใหญ่สา ซะเนาะ)... ฝ่ายแม่ใหญ่สา ตื่นแต่เดิ่ก ลุกแต่เช้า นึ่งข้าว สิเฮ็ดแนวกินไปจังหัน เด้ เลากะสิไปเก็บบักโต่นไปแกงใส่ไก่ นั่นหนา ตอนนั่น มันกะยังบ่ทันแจ้งดีเนาะ
หลวงพ่อกะยังนั่งหลับเสยอยู่...
แม่ใหญ่สากะเอามือคลำหาบักโต่น พอดีคลำไปพ้อหัวโล้นหลวงพ่อ คึดว่าแมนบักโต่น ตัดสินใจว่า
“ หน่วยนี้ ใหญ่พอดี เอาหน่วยนี่หละ ”
แล้วกะเอาสองมือจับหัวหลวงพ่อบิด คือบิดบักโต่นนั่นล่ะ
หลวงพ่อถืกบิดหัว ขะลาดตื่นขึ้น....ตกใจอย่างใหญ่
“ ผีหลอก...ผีหลอก ” แล้วกะฟ้าวถือบาตรแล่นหนี
ฝ่ายแม่ใหญ่สา กะตกใจคือกัน
“ ว้าย...ผีหลอก.. ” แล้วกะแล่นหนีขึ้นเฮือน....

ตอนที่ ๘ หลวงพ่อแบกกะทอเกลือ

ช่วงออกพรรษาเนาะ ช่วงนั้นกะมีงานเทศน์ออกพรรษา กะคือ พระแต่ละวัด กะสิเวียนไปเทศน์ อยู่วัดบ้านอื่นนำนั่นหนา หลวงพ่อกะรับนิมนต์ ไปเทศน์บ้านอื่น วัดอื่น คือกัน

หลวงพ่อเลาฉันจังหันแล้ว กะขี่ม้าออกเดินทางไปวัดบ้านอื่น กับเณรเมี่ยงนั่นล่ะว๋า แต่ว่าเณรเมี่ยงบ่ได้ขี่ม้าเด้ ย่างเอาว่าซั่นเถาะ พอไปฮอดแล้ว หลวงพ่อกะขึ้นเทศน์ เลากะเสียงดีตั้วล่ะ เทศน์ม่วน
พ่อออกแม่ออก กะถวายกัณฑ์เทศน์ บักอย่างหลายเลย ว่าซั่นเถาะ เทิงข้าวต้ม เทิงข้าวหนม มีฮอดกะทอเกลือ พุ่นน่ะ
พอบ่าย ๆ เทศน์จบแล้ว หลวงพ่อกะพาเณรเมี่ยงกลับวัด เอาข้าวต้มข้าวหนม มัดใส่หลังม้า ขี่ม้ากลับคือเก่า นั่นล่ะว๋า ส่วนเณรเมี่ยง กะแบกกะทอเกลือ ย่างนำก้นม้าต้อย ๆ ( กะเป็นตาหลูโตน เณรเมี่ยงยุเด้เนาะ บะดาย )

ย่างไปเรื่อย ๆ จักหน่อย หลวงพ่อกะถามว่า
“ เป็นจั่งได๋เมี่ยง เมื่อยบ่ ”
“ เมื่อยยุ หลวงพ่อ ”
“ เอ้อ อดทนเอาเด้อเมี่ยงเด้อ อีกจักหน่อยกะฮอดวัดแล้วล่ะ ”

หลวงพ่อ กะถามเณรเมี่ยงอยู่จั่งซี้เรื่อย ๆ แต่ว่าบ่พาเซาพักจักเทื่อแหม๋
ย่างมาไกลเติบ เณรเมี่ยงกะเมื่อยล่ะเว่ย สิเซาพักผู้เดียวกะบ่ได้ เดี๋ยวสิย่างบ่ทันหลวงพ่อ กะเลยเอาหัวซบใส่กะทอ หลับตาหมุ่ย ๆ เสียงกรนตอด ๆ พร้อมเด้ เฮ็ดคือจั่งคนนอนหลับ นั่นหนา ย่างไปนำ หลับไปนำ กรนไปนำ เป็นตาสำบายค๊ากคัก

หลวงพ่อ กะฮ้องถามว่า
“ เป็นจั่งได๋เมี่ยง เมื่อยบ่ ” บ่ได้ยินเสียงตอบ เณรเมี่ยงเลาทำท่าหลับนั่นหนา
หลวงพ่อกะถามอีก
“ เมี่ยงเอ้ย เมี่ยง เป็นจั่งได๋ ว่าเด้ ”
“ อย่ากวนน๊า คนกำลังหลับสำบาย ” แล้วกะหลับตาหมุ่ย ๆ กรนตอด ๆ คือเก่า

สมควร หลวงพ่อกะถามอีก แบบเก่า เณรเมี่ยงกะตอบคือเก่านั่นล่ะ แล้วหลวงพ่อกะถามอีก
“ เป็นจั่งได๋เมี่ยง ”
“ สำบายดีคักครับหลวงพ่อ หมุน ( หนุน ) กะทอ หลับสำบายดีคัก ”

หลวงพ่อเลาง่วงนอน ตั้งแต่หลังฉันเพลแล้วเนาะ เลากะอยากนอน อยากหลับคือกัน สิหลับเทิงหลังม้า กะย่านตกม้า กะเลยถามเณรเมี่ยงต่อว่า
“ มันหลับสำบายอีหลีติเมี่ยง ”
“ สำบายอีหลีครับ หลวงพ่อ ”
“ มาให้หลวงพ่อลองเบิ่งกะหนา ” ว่าแล้ว กะลงจากหลังม้า เอากะทอเกลือมาจากเณรเมี่ยง แบกไว้บ่า ลองเอาหัวซบหมุนเบิ่ง

ฝ่ายเณรเมี่ยง กะเปลี่ยนไปขี่ม้า ฟ้าวไล่ม้าให้แล่นไปอย่างหัน ปากกะทำท่าฮ้องว่า
“ ยอ ยอ หยุด หยุด ท่าหลวงพ่อก่อน ท่าหลวงพ่อก่อน ” ทางมือล่ะตีม้าให้แล่นไป ...คราวเดียวกะฮอดวัด นอนหลับสำบาย ท่าหลวงพ่ออยู่วัดพุ่นน่ะ .....

ฝ่ายหลวงพ่อ ได้กะทอมาแบกใส่บ่า บ่ทันพอคราว หนักล่ะเว่ย กะผู้เฒ่าเนาะ สิแบกได้โดนจั่งได๋ ....
เสียฮู้เณรเมี่ยงอีกแล้ว ...

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสต์ เมื่อ: 09 ธ.ค. 2009, 22:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อ่านเรื่องเครียด ๆ มามากแล้ว มาอ่านเรื่องแบบสบาย ๆ กันบ้างครับ

ตอนที่ ๙ หลวงพ่อเคียดให้ปลา

หลวงพ่อฮู้โตว่า เสียฮู้เณรเมี่ยง เลากะสิสูนเติบอยู่ล่ะว๋า คึดในใจว่า เดี๋ยวกลับไปฮอดวัดก่อน จั่งค่อยจัดการลงโทษเณรเมี่ยง พอแบกย่างไป ได้อีกจักหน่อย ฮู้ว่าแบกกลับไป บ่ฮอดวัดคัก ๆ กะเลยคึดสิเอาเซี่ยงไว้แถวๆ นั่นก่อน จั่งค่อยพาเณรเมี่ยง กลับมาเอาทีหลัง ว่าซั่นเถาะ...

หลวงพ่อเหลียวหา หม่องเซี่ยงไปนำ ย่างไปนำ พอดี เห็นกอไผ่บง อยู่ข้างทาง กะเลยเอากะทอเกลือ ไปเซี่ยงไว้ เอาใบไผ่แห้งปกไว้พร้อมพุ่นล่ะแหม๋

พอย่างถอยออกมา เลากะคึดได้ว่า
“ เอ ... ขี้ขโมยสิบ่มาลักเอาบ้อนอ?? เอ .. สิมีคนเห็นบ่นอ?? เอ ... ขนาดเฮาเฒ่าแล้วยังเห็น ผู้อื่นกะสิเห็นคือกันนั่นตั้ว... บ่ได้ บ่ได้ เซี่ยงไว้หม่องนี้บ่ได้ ต้องเอาไปเซี่ยงไว้หม่องอื่น ”

คึดได้แล้ว กะเลยไปแบกเอากะทอเกลือ ย่างต่อ ไป เห็นป่าหญ้าคาฮก ๆ เลยเอาเข้าไปเซี่ยงไว้อีก ก่อนสิย่างไป กะคึดคือเก่าอีก กะไปแบกเอาอีก

หลวงพ่อเลาย่านขี้ขโมย มาลักเกลือเลาคักนอ หาหม่องเซี่ยงแล้ว เซี่ยงอีก บ่ว่าสิเอาเซี่ยงไว้หม่องได๋ จะของกะเห็นคือเก่า เลยเซี่ยงบ่สำเร็จทักเทื่อ กะเจ้าของเป็นคนเซี่ยงเนาะ สิบ่เห็นจั่งได๋เว่ย หลวงพ่อกะดายยยย ...

พอดีย่างมาฮอดเลาะห้วย พ้อบวก บวกหนึ่ง เลากะคึดได้อย่างชาญฉลาดว่า
“ เอ้อ ...ได้การล่ะ หาอยู่ตั้งว่ะโดน เอาเซี่ยงไว้ในน้ำนี่ล่ะ น่าสิปลอดภัยดี ”

หลวงพ่อกะเลย เอากะทอเกลือลงไปเซี่ยงไว้ในน้ำ กลับขึ้นมา เหลียวเบิ่ง กะบ่เห็นทอเกลือเลย น้ำในบวกมันกะบ่ค่อยใสเนาะ เลยเหลียวบ่เห็น เลากะส่วงใจว่า
“ เอ้อ .. เซี่ยงไว้หม่องนี่ไคแหน่ ขนาดเฮายังบ่เห็น คือสิบ่มีผู้อื่นเห็นดอกตี้ ”

หลวงพ่อกะเลยย่างกลับวัด อย่างสำบายใจ พอฮอดวัด ฮ้องหาเณรเมี่ยง ว่าเณรเมี่ยงหลอกตั๋วเลา แล้วกะฟ้าวขี้ม้าแล่นหนี บ่ท่าเลา เณรเมี่ยงกะบอกว่า
“ บ่ได้หลอกตั๋วหลวงพ่อดอก กะมันสำบายอีหลี แล้วกะบ่ได้ฟ้าวขี่ม้าแล่นหนีดอก นั่งอยู่หลังม้าซื่อ ๆ ม้ามันฟ้าว กลับวัดของมันเอง ฮ้องบอกให้หยุด ท่าหลวงพ่อมันกะบ่หยุด คันสิทำโทษ กะให้ไปทำโทษม้าเด้อครับ ” ว่าซั่นว่า

“ เอ้อ .. คันจั่งซั่นกะแล้วไป แต่ว่ากะทอเกลือ หลวงพ่อแบกมาบ่ไหว มันหนัก หลวงพ่อเอาเซี่ยงไว้เลาะห้วยพู้น ปะ สิพาไปเอา ”

เณรเมี่ยง กะเลยต้องกลับไปกับหลวงพ่อ สิไปเอากะทอเกลือ พอย่างไปฮอดบวกนั่น หลวงพ่อกะบอกว่า
“ เนี่ยเมี่ยง กะทอเกลือ หลวงพ่อเอาเซี่ยงไว้ในบวกนี่ล่ะ ไป ไป ลงไปงุมเอาขึ้นมา ไปไวไว ”

เณรเมี่ยงเหน็บหางกะเตี่ยวขึ้น ลงไปงุมหากะทอในบวก
“ หลวงพ่อ พ้อแล้ว พ้อแล้ว ” ยกกะทอขึ้นมา บ่เห็นมีเกลือจักเม็ด เลยบอกหลวงพ่อว่า
“ หลวงพ่อ หลวงพ่อ ในกะทอบ่มีเกลือจักเม็ด สงสัยปลาในบวกนี่ มันลัก กินเกลือหลวงพ่อคัก ๆ .... ปาดทิโธ ปลาซุมนี่ บังอาจมาลัก กินเกลือหลวงพ่อติหือ... ”

หลวงพ่อเลาสูนให้ปลาในบวก
“ ปาดโธ้ ปลาซุมนี้แมะ กูอุตส่าห์แบกเกลือมาตั้งไกล อุตส่าห์เซี่ยงไว้อย่างดี มาลักกินจนได้ ”
เลาเลยสั่งเณรเมี่ยงว่า “เมี่ยงเอ้ย กลับไปเอาคุมาสาปลา ไป ปลาซุมนี้ ควรสิถืกทำโทษ”
( หลวงพ่อกะดายเนาะ เกลือมันละลายในน้ำกะบ่ฮู้เรื่องเสย คึดว่าปลามาลักกินเสย เด้เดียวหนิ )

เณรเมี่ยง เลยกลับไปเอาคุมาสาปลา พอสาแห้งแล้ว กะมีปลาหลายยุตั้วล่ะ จับได้ปลาค่อ กะเอาฝ่ามือฟาดหน้ามัน ฮ้องว่า
( ผัวะ ) “ นี่ มึงมาลักกินเกลือหลวงพ่อกู ” จับได้โตได๋ กะเอาฝ่ามือฟาดหน้า ผวัะ

“ นี่ กินเกลือหลวงพ่อติ ”…
“ นี่ บังอาจกินเกลือหลวงพ่อ ”…
“ นี่ ... นี่ ..”

หลวงพ่อ เห็นเณรเมี่ยงตีปลา เป็นตาม่วน เป็นตามันมือคัก เทิงเลาสูนให้ปลา นำนั่นล่ะหว๋า คันมือ อยากตบหน้าปลา ให้หายแค้น กะเลยบอกเณรเมี่ยงว่า
“ เมี่ยง เมี่ยง โตต่อไป โยนมาให้ฟาดนำแหน่เด้อ ”

เณรเมี่ยงจับได้ปลาค่ออีก กะโยนขึ้น ไป “ หลวงพ่อ ได้แล้ว เอ๋า ..” ...
...ฟิววว …….. ผวัะ
“ เอาอีกเมี่ยง เอาอีก ” ….
“ เอ๋า หลวงพ่อ ” ...
.... ฟิววว ... ผวัะ
“ เอาอีกเมี่ยง ยังบ่หายแค้น ”

พอดี เณรเมี่ยงจับได้ปลาดุกล่ะตี้ อีตาทีเนียะ “ หลวงพ่อ ... เอ๋า ”
.... ฟิวว ... ผวัะ !!!
“ เออะ ... โอ้ย .. โอ้ยยยย .. เจ็บ ..”
หลวงพ่อถืกเยี่ยงปลาดุกปักฝ่ามือ เข้าบักเลิ่ก จนปลาดุกติดมือเลาอ้อนต้อน
หลวงพ่อ กะเสียทีเณรเมี่ยงอีกตามเคย

ตอนที่ ๑๐ หลวงพ่อสูนให้แมงวัน

หลวงพ่อถืกเยี่ยงปลาดุกปักมือ ปวดบักอย่างขนาด เคียดให้ปลาดุกอีกเด้บาดทีเนียะ
“ บ๋า .. บ๋า .. ปลาดุกโตนี่ .. มึงสู้ติ .. สู้ติ จั่งซี้ต้องเอาไปย่างกิน จั่งสิหายแค้น ” กะเลยบอกเณรเมี่ยงว่า
“ เมี่ยงเอ้ย เอาปลาดุกโตนี่ ไปให้แม่ออกย่าง แล้วให้เอามาจังหันมื้ออื่นเช้าเด้อ ”
เณรเมี่ยงกะเฮ็ดตามคำสั่งหลวงพ่อ

พอฮอดยามมื้อเซ้า หลวงพ่อ กะเข้าไปบิณฑ์บาตคือเก่านั่นล่ะหว๋า ส่วนเณรเมี่ยง กะเตรียมพาข้าว เตรียมข้าวของไว้ท่าอยู่ศาลา พอดีแม่ออก กะเอาปลาดุกย่างมาส่ง โฮ้ ปลาดุกย่าง กลิ่นมันกะหอมขนาดล่ะเว่ย

เณรเมี่ยง เอาปลาดุกย่าง ไปวางไว้หม่องพาข้าวหลวงพ่อ กลิ่นปลาดุกย่าง หอมหวนยั่วยวนใจเลา บักขนาด เลาทนบ่ไหว เลยบิ๋หางแก่ะ ... ตัดสินใจ ลองซิมเบิ่งคำน้อย ๆ ...มันล่ะแซบตี้ล่ะ กะเลยซิมต่ออีก เทื่อล่ะคำน้อย ๆ ซิมไปซิมมา เหลือแต่ก้างกับหัว กะยังว๋ากะยังว่า เณรเมี่ยงเลาแซบคัก กินปลาดุกหลวงพ่อ เหมิดเลยว่าซั่นเถาะ

พอกินเหมิดแล้ว จั่งค่อยคิดได้ ตกใจบักใหญ่ ย่านถืกหลวงพ่อด่ากะพ่องกัน
“ ตายคัก ๆ ตายคัก ๆ เฮ็ดจั่งได๋น้อ บาดทีเนี่ย ”

พอดีคึดแผนอุบายได้ ... เณรเมี่ยงเลากะฉลาดเนาะ
เณรเมี่ยง เอาเศษปลาดุกที่เหลืออยู่นั่น วางใส่จาน แล้วกะเอาวางทิ้งไว้ ... บ่ทันพอคราว แมงวันกะมาตอมแซว ๆ จับดำจุ่มกุ่มอยู่ พอได้จังหวะ เณรเมี่ยง กะเอาบาตรงุมจาน บึบ ว่าหนึ่ง ขังแมงวันไว้ในบาตรหั่นล่ะ เสร็จเรียบร้อยแล้ว กะยิ้มย่วย ๆ สำบายใจเสย

หลวงพ่อกลับจากบิณฑ์บาต แล้วกะฉันจังหันน้อ..กะถามหาปลาดุกย่าง เณรเมี่ยงกะบอกว่า เอาไว้ในจาน เอาบาตรงุมไว้อย่างดี พอหลวงพ่อเปิดบาตรขึ้น แมงวันพากันตกใจ กะบินแตก พืง วะนึง

“ โฮ้ ... ปลาดุกย่าง ... เหลือแต่หัวกับก้าง ... ปาดทิโธ แมงวันซุมนี้ บังอาจมาหลอยกินปลาดุกย่างกู … หือน้อ ”
หลวงพ่อเลาสูน แล้วกะเคียดให้แมงวันเด้ บาดตาทีเนี่ย

เณรเมี่ยงกะหัวย่ามใน ใจ “รอดแล๊ว รอดแล้ว ได้แมงวันมาซอยซีวิต” พะนะว่า เหอ เห้อ ...( เสียงหัวเด้หนิ )

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


แก้ไขล่าสุดโดย วรานนท์ เมื่อ 09 ธ.ค. 2009, 22:50, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 09 ธ.ค. 2009, 22:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ตอนที่ ๑๑ หลวงพ่อแก้แค้นแมงวัน

หลังจากฉันจังหันแล้ว หลวงพ่อกะมานั่งทอดถะเนิ่ง เคี้ยวหมาก จั๊บ จั๊บ พักผ่อนอยู่นอกชานกุฏิ คึดหาวิธีแก้แค้นแมงวันไปนำเด้... เณรเมี่ยง กะนั่งท่องหนังสืออยู่ข้าง ๆ เด้

พอดี้ ตอนนั้น มีแมงวันโตหนึ่ง บินมาจับอยู่หน้าผากหลวงพ่อ หลวงพ่อเลายังเคียดให้แมงวันอยู่แล้ว กะเลยเอิ้นเณรเมี่ยง พร้อมกับเอามือ ซี้ใส่หน้าผากเจ้าของ แบบบ่กะดุกกะดิกร่างกาย กะดิกแต่นิ้ว นั่นหนา

“ เมี่ยง ... ฮึ ฮึ ” เลาต้องการสิบอกให้เณรเมี่ยง จัดการกับแมงวันโตนั่นละหว๋า แต่ว่าย่านแมงวันบินหนีก่อน เลยบ่กล้าเว้าแฮง ว่าซั่นเถาะ

เณรเมี่ยงกะเงิกฝ่ามือขึ้น เตรียมสิตีแมงวัน
หลวงพ่อเลาย่านแมงวันบ่เจ็บ สิห้ามเณรเมี่ยงบ่ให้ใช้ฝ่ามือ แต่ว่าให้ใช้ค้อนตอกสิ่ว ที่วางอยู่ข้างเสาแทน นั่นน๋า กะเลยส่งเสียงห้าม แล้วกะสิ่งสายตา ไปทางค้อนตอกสิ่ว ส่งเสียงบอก

“ หึ หึ ...ฮือ ฮือ ” ( อ่านแบบบ่อ้าปากเด้อ ) ( หมายถึง “ หื่อ หื่อ .. พุ่น พุ่น ” )

เณรเมี่ยงกะเข้าใจ เลยค่อย ๆ ต่อด ไปหยิบค้อนตอกสิ่ว เตรียมสิฟาดแมงวัน
“ อือ อือ ” หลวงพ่อให้สัญญาณว่า แมนแล้ว จัดการเลย ... เณรเมี่ยงกะฟาดเหมิดแฮง
ปัวะ ! ! !

หลวงพ่อล้มป่างง่าง เอามือลูบหน้าผาก
“ โฮ้ โธ โธ เจ็บ ๆ ”
“ เป็นจั่งได๋ครับ หลวงพ่อ ”
หลวงพ่อลุกขึ้นได้ กะตอบว่า
“ วินม่องเลยเมี่ยงเฮ้ย ..... แต่ว่า สะใจหลวงพ่อคักเว่ย ... ขนาดหลวงพ่อยังเจ็บปานนี้ แมงวัน มันโตน้อยก่อหลวงพ่อ ตั้งว่าหลายเท่า มันต้องเจ็บก่อหลวงพ่อ หลายเท่าคือกัน .. ฮู้ สะใจคัก ได้แก้แค้นแมงวัน ”

เณรเมี่ยงกะยิ้มย่วย ๆ แหล่วเนาะ ย่อนว่า ตีแมงวันฮอดบ่ถืกจ้อย มันบินหนีก่อน
ปานนั้น หลวงพ่อยังดีใจเสยเด้เดียวหนิ
หลวงพ่อน้อหลวงพ่อ

ตอนที่ ๑๒ ลาวเชียงข้วมน้ำ-เสียเมี่ยง

มื้อนึง เณรเมี่ยงไปย่างเล่นแถว ๆ ห้วย เลาะวัด (ไกลวัดเติบอยู่ดอกว้า)... มื้อนั้น พวกลาวเชียง สิเอา เมี่ยง มาส่งให้พระราชาเมืองทวาลีเนาะ พวกลาวเชียง กะพากันหาบเมี่ยง ย่างมาฮอดห้วยหม่องนั่น เห็นน้ำในห้วยแล้ว กะลังเลสงสัยว่า “น้ำในห้วย มันเลิ่กบ่นอ??”
คันมันเลิ่ก กะย่านเมี่ยงเปียกเนาะ พอดี เหลียวเห็นเณรเมี่ยงอยู่อีกฝั่งนึง กะเลยฮ้องถามว่า
“ พี่เณร พี่เณร น้ำในห้วยนี่ เลิ่กบ่ ย่างข้วมได้บ่ ”
“ น้ำในห้วยกะบ่เลิ่กปานได๋ดอก พอยั่งได้อยู่ แต่เรื่องย่างข้วมนี่ คือสิย่างข้วมบ่ได้ ดอกเด้อ โยมเอ้ย ”
“ คันพอยั่งได้กะต้องย่างข้วมได้ตี้ ”
“ ย่างข้วมบ่ได้ดอก รับรองว่าย่างข้วมบ่ได้ คันซุมเจ้าย่างข้วมได้ ข้อยสิสึก ไปเป็นคนรับใช ้ซุมเจ้าเลย แต่ว่าคันซุมเจ้า ย่างข้วมบ่ได้ เมี่ยงทั้งเหมิดนี่ ต้องเป็นของข้อย ตกลงบ่? ”
พวกลาวเชียง คึดว่าต้องย่างข้วมน้ำได้แน่ๆ กะเลยตอบตกลง แล้วกะหาบเมี่ยง ย่างลุยน้ำมา จนฮอดอีกฝั่งนึง จั่งฮู้ว่า น้ำกะเลิ่กแค่แอวเอง ย่างลุยข้วมได้สะบาย... พอข้วมมาแล้ว กะว่า
“ น่าน พวกข้อยย่างข้วมได้แล้ว พี่เณรต้องสึกมาเป็นคนรับใช้พวกข้อย ”
“ พวกเจ้าย่างข้วมมาวะติ...บ่แมนเดิก หว่างฮั่นนี่ พวกเจ้าย่างลุยน้ำมา บ่แมนติ.. ลุยน้ำจนเปียก ยังมาว่าย่างข้วมอีก...คันย่างข้วม ต้องย่างก้าวเดียวข้วมน้ำ ข้วมห้วยบึบโลด..แมนบ่... พวกเจ้าแพ้แล้ว... เอาเมี่ยงทั้งเหมิดมาให้ข้อยเลย...ไป ไป หาบเข้าไปไว้ในวัด ไป... ”
พวกลาวเชียง เถียงบ่ได้ ปากบ่ออก กะเลยเสียเมี่ยง ให้เณรเมี่ยง เหมิดเลย ซั่นแหล่ว


ตอนที่ ๑๓ พระราชาไถ่เมี่ยงคืน

พวกลาวเชียง เสียเมี่ยง ให้เณรเมี่ยง จนเหมิดเกี้ยง เลยบ่มีเมี่ยง ให้เจ้าเมียง(เมือง) ซั่นแหล่ว...คันสิกลับเมืองเชียง ไปหาบเมี่ยง มาให้เจ้าเมือง พระราชากะสิเคือง ว่าผิดนัดแท้....บ๋า ต้องไปเข้าเฝ้าพระราชาแจ้งเหตุสาก่อน...
พระราชา ฟังเรื่องราวแล้ว กะคึดว่า “ เณรผู้นี้ ปัญญาดีเติบยุน้อ ” กะเห็นอกเห็นใจพวกลาวเชียงเนาะ เลยบอกว่า สิไถ่เมี่ยงคืนให้ดอก ให้ไปบอกเณรว่า
“ พระราชาสิไถ่เมี่ยงเป็นเงิน ห้าบาด (บาท) ให้เณรคืนเมี่ยงให้ลาวเชียงสา ”
พวกลาวเชียง กะกลับไปบอกเณรเมี่ยง ตามนั่นล่ะ
เณรเมี่ยงกะเลยเอาบาตรให้พวกลาวเชียง ห้าใบ บอกว่า
“ เงิน ห้า บาด วะติ เอ๋า นี่ บาตร ห้า ใบ เอาไปใส่เงินมาจนเต็ม ห้า บาตร เด้อ ”
พวกลาวเชียง กะเอาบาตร ห้าใบ ไปเฝ้าพระราชาอีก แล้วกะทูลพระราชาตามนั่น
พระราชา เป็นพระราชา เป็นกษัตริย์เนาะ ถือคติว่า “ กษัตริย์ ตรัสแล้ว บ่คืนคำ ” กะเลยจำเป็นต้อง เอาเงินใส่บาตร จนเต็มเทิง ห้าบาตร เหมิดเงินไป ๔๙๖ ชั่ง หรือเกือบ หมื่นบาท (แทนที่สิเสียแค่ ๕ บาท)
“ โฮ้..เณรรูปนี้ คือสำมะคัน แท้ว้า.. ” พระราชาคึดในใจ...
เณรเมี่ยง กะเอาเงินส่วนนึง ไปซ่อมแซมวัด ส่วนนึงกะเก็บไว้
(ส่วนได๋หลายกว่ากัน บุล่ะหวา)

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสต์ เมื่อ: 10 ธ.ค. 2009, 11:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue ภาษาน่ารักค่ะ อ่านแล้วอมยิ้ม มีความสุข
น่าจะมีภาพประกอบนะคะ อยากเห็นว่าเณรน้อย จะน่าฮักขนาดไหน

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสต์ เมื่อ: 10 ธ.ค. 2009, 11:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b48: เพิ่งเคยอ่านค่ะ นิทานเชี่ยงเมี่ยง ขอบคุณสำหรับนิทานที่นำมาเล่าให้ฟังนะคะ :b48:


โพสต์ เมื่อ: 10 ธ.ค. 2009, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ตอนที่ ๑๔ เซียงเมี่ยงเก็บหมาก-เก็บขี้
เณรเมี่ยง เลาบวชได้หลายปีเติบ กินข้าวบาตรจนใหญ่ขึ้น เป็นบ่าวสำน้อย คิดสิเอาดีทางโลก บ่แมนทางธรรม กะเลยสึกออกมาเป็นฆราวาส จากนั่นมา คนกะเลยเอิ้นเลาว่า
“ เซียงเมี่ยง ” ( ผู้ปาดเปี่ยง .... ปาดแตงออกเป็นเปี่ยง ๆ บ้อ หรือว่า ปาดปัญญาผู้อื่นออกเป็นเปี่ยง ๆ ???)

สึกออกมาแล้ว หลวงพ่อกะพาเซียงเมี่ยง ไปฝากไว้กับขุนนางผู้นึง ให้เป็นคนรับใช้ ว่าซั่นเถาะ ขุนนางผู้นี้ (เอิ่นเลาว่า ขุนงาย สาเนาะ) ขุนงายไปไสมาไส กะสิมีเซียงเมี่ยง เป็นคนติดตามรับใช้ เด้
มื้อนึง ขุนงายสิเข้าไปประชุม ในเมืองเนาะ เลากะขึ้นขี่ม้า ให้เซียงเมี่ยง ถือกะต่าหมาก ย่างนำก้น เด้ ม้ามันกะย่างไวเนาะ เซียงเมี่ยง กะย่างแหน่ แล่นแหน่ เหลียวเบิ่งนก เบิ่งต้นไม้นำข้างทาง ไปนำล่ะหวา กะต่าหมาก กะฟัดไปฟัดมา เซียงเมี่ยงผัดบ่สังเกตว่า หมากของขุนงาย ค่อย หลุด ค่อย หล่น ออกจากกะต่าหมาก เด้เดียวหนิ..

พอขุนงาย ไปฮอดหม่องประชุม อยากเคี้ยวหมาก กะเอากะต่าหมากจากเซียงเมี่ยงมา พอสิหาหมาก พลู เขียงคูน ปูน ยาเส้น... ของซุอย่างที่เตรียมไว้ บ่ยังจ้ากเม็ดเอาโลด จักวะหายไปไสเหมิด กะยังว้ากะยังว่า
“ เอ้า..หมากกูหายไปไสเหมิดล่ะเซียงเมี่ยง? ” เลาถาม
“ เอ๋า..มันหายไปไสล่ะ.. สงสัย มันตก หล่น นำทางล่ะมั้ง ขะน้อย ” ว่าซั่น เซี่ยงเมี่ยงว่า
“ฮู้.. มันตกมันหล่น กะบ่ฮู้จักเก็บเนาะ เจ้ากะดาย.. ทีหลัง กะเก็บเอา ให้มันเหมิดเด้อ”
ขุนงาย สอนสั่งเซียงเมี่ยง แล้วกะไปขอหมากผู้อื่นมาเคี้ยว....

มื้อลุนมา ขุนงาย เข้าไปประชุมอีก ขี้ม้าไปคือเก่านั่นล่ะ เซียงเมี่ยง กะเป็นคนถือกะต่าหมาก ย่างนำก้น อีกคือเก่านั่นล่ะ กะคนวัยกำลังคึกคะนองเนาะ ถืออีหยัง มันกะถือบ่ค่อยเชียมดีดอก ย่างไปนำ แล่นไปนำ กระโดดไปนำ หมากมันกะหล่นจากกะต่าแหล่วเนาะ

พอหล่นปับ เซียงเมี่ยงกะก้มเก็บปับ เก็บกะบ่เก็บเฉพาะหมากเด้เดียวหนิ ก้มลงเห็นก้อนหินแฮ ่กะเก็บเอา ก้มลงเห็นก้อนขี้ม้าแห้ง กะเก็บเอา ก้มลงเห็นก้อนขี้งัวแห้ง กะเก็บเอา เก็บเอาเหมิดเอาโลด
พอขุนงาย มาฮอดหม่องประชุม สิเคี้ยวหมาก เอากะต่าหมากมา จักวะแมนอีหยังแหน่เอาโลด อยู่ในกะต่า กะดาย เฮ็ดมุ่นอุ้ยปุ้ยเอาโลด เด้เดียวหนิ มีหมากพลู มีเทิงขี้ไก่ ขี้ม้า ขี้งัว ขี้หินแฮ่.. เต็มไปเหมิดเอาโลด ผู้ได๋ล่ะ สิกล้าเอาหมาก ในกะต่านั่นมากิน มาหย่ำ ... เลาสูนให้เซียงเมี่ยงวะสั่น ...

เซียงเมี่ยงกะแก้โตว่า
“ กะท่านขุนบอกว่า ให้เก็บเอาเหมิด ผู้ข้าฯกะเก็บเอาเหมิดนั่นแหล่ว ผู้ข้าฯ เฮ็ดตามคำสั่ง ทุกประการแล้วเด้ ขะน้อย ”
“กูบอกให้เก็บเอาหมาก เอาพลู บ่แมนให้เก็บเอาขี้ เด้เดียวหนิ บักเซียงเมี่ยงเอ้ยน้อ”
ขุนงาย กะบ่มีหมากเคี้ยว กะต้องไปขอหมากผู้อื่น มาเคี้ยวคือเก่า นั่นแหล่ว
แต่ผัดนั่นมา เลากะบ่เอาเซียงเมี่ยง ไปถือกะต่าหมากอีก แต่ว่า ให้เซียงเมี่ยง เฮ็ดงานบ้านแหน่ ไปเฮ็ดนาแหน่ แล้วแต่ ล่ะหวา ...

ตอนที่ ๑๕ เก็บหมากแค่ง

มื้อนึง เซียงเมี่ยง เฮ็ดงานตักน้ำ กวาดบ้าน ถูเฮือน มาตั้งแต่เช้า เมื่อยหลายเมื่อยแฮง อยากนั่งเซาพักผ่อน พอแต่นั่งลงดากยังบ่ทันได้เย็นย่อน เมียขุนงายกะมาใช้เซียงเมี่ยงไป เก็บ หมากแค่งอยู่สวน มาไว้กินกับปลาแดกบอง แหน่ ว่าซั่น
เซียงเมี่ยง กะขี้คร้านไป (กะยังว่าคนอยากเซามีแฮงเนาะ) แต่ว่า เจ้านายใช้ สิบ่ไปกะบ่ได้ กะเลยจำใจต้องไป เลาถือผ้าขาวม้า ได้ผืนนึง กะย่างไปสวนหมากแค่งเด้

พอไปฮอดต้นหมากแค่งแล้ว กะทำทรงเป็นย่างอ้อมต้นนั่นต้นนี่ ก้ม ๆ เงย ๆ ด้อม ๆ มอง ๆ

“ บ่มีบักแค่งหล่นจักหน่วยเอาโลด...ต้องนอนท่าให้บักแค่งหล่นดีกั่ว ”

เซียงเมี่ยงคิดแล้ว กะเลยเอาผ้าขาวม้าปูนอนใต้ต้นหมากแค่ง ซั่นตี้ หลับกรนต่อดต่อด เอาโลด...

นอนหลับจนอิ่มแล้ว กะนอนขาขึ้นห้าง ท่าเก็บหมากแค่งต่อ...
นอนจนวะตาเว็นบ่าย บักแค่งกะยังบ่หล่นลงดิน ให้เลาเก็บเด้เดียวหนิ

ฝ่ายทางเมียขุนงาย กะคองคอยท่าบักเซียงเมี่ยง เทิงจ่มไปนำว่า
“เอ บักอั่นนี้แมะ ปะสาสวนหมากแค่งอยู่ใกล้ ๆ ซั่มนี้ มันสมควรสิได้หมากแค่ง กลับมาแต่ดนแล้ว มันไปหาเล่นไสน้อ เอ้อ.. บักอั่นนี้แมะ..”

เมียขุนงายท่าบ่ไหว กะเลยนำไปฮอดสวนหมากแค่ง เห็นเซียงเมี่ยง นอนขาขึ้นห้าง กะดิกขาตั๊บ ๆ อยู่ใต้ต้นหมากแค่ง เสยอยู่.. กะเลยฮ้องด่าเซียงเมี่ยง
“...<>!@#$%^&*(&^%$#@!<>...”
(จักวะด่าว่าจั่งได๋เนาะ หั่งอ่านบ่ออกเอาโลด)

เซียงเมี่ยง กะแก้โตว่า
“บ่มีหมากแค่งหล่นจักหน่วย เลยบ่มีหมากแค่งให้เก็บ คันสิเด็ดเอาจากต้น กะย่านผิดคำสั่งเจ้านาย กะเลยต้องนอนท่าให้มันหล่น”

เมียขุนงายกะจักสิว่าจั่งได๋...... “ โอ้ย บัก...เอ้ยน้อ ”


ตอนที่ ๑๖ กินข้าวต้มเปียก

มื้อนึงขุนงาย มีประชุมด่วน แต่เช้า เลากะเลยฟ้าวออกจากบ้านแต่เช้ามืด ไปประชุม กับพวกเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย นั่นล่ะ ข้าวเช้า เลากะเลยบ่ทันได้กิน
ฝ่ายเมียขุนงาย กะเตรียมข้าวต้มเปียก ไว้ท่าผัวเด้ พอเฮ็ดเรียบร้อย ก๋าเวลาว่า น่าสิเลิก หรือพักประชุมแล้ว กะเลยให้เซียงเมี่ยง แล่นไปบอกขุนงาย ให้กลับมากิน ข้าวต้มเปียก อยู่บ้านเด้อ ว่าซ้าน
“ ไป ไป เซียงเมี่ยง ฟ้าวไป เดี๋ยวมันสิสวยก่อน ” พะนะ

(ขออธิบายถึงคำว่า ” ข้าวต้มเปียก ” จักหน่อยเนาะ.... ข้าวต้มเปียก ความหมายนึง กะคือ ข้าวต้มเปียก นั่นล่ะ เป็นของกิน หรือว่าแนวกินอย่างนึง เด้อ ข้าวต้มเปียก อีกความหมายนึง มันเป็นคำแสลง ตั้ว หมายเถิง ของสำคัญของผู้ญิง นั่นหนา.... "กินข้าวต้มเปียก” มันกะเลยเป็นคำสองแง่สองง่าม ความหมายนึงกะคือ กินข้าวต้มอี่หลี อีกความหมายนึงกะคือ ...จุด จุด...จุด.. ผู้อ่านฉลาดกะด้อ เข้าใจอยู่ดอกเนาะ)

เซี่ยงเมี่ยง ฟ้าวแล่นไปอย่างหัน ตามคำสั่ง จนฮอดเฮือนหอประชุม กะฟ้าวโดดขึ้นคันได แล้วกะแล่นเหยียบแป้นเฮือน เติ้ง ต้าง เติ้ง ต้าง ฮ้องมาแต่ไกล ๆ พุ่นน่ะ จักแมนฟ้าวคักฟ้าวแหน ่เด้เดียวหนิ
เสนาอำมาตย์ทั้งหลาย กะกำลังนั่งโสเหล่่กันอยู่ เซี่ยงเมี่ยงกะแล่นพรวดพราดเข้าไป คือจั่งมีเหตุด่วน เหตุสำคัญคักแหน่ เด้เดียวหนิ ฮ้องไปนำแล่นไปนำ ว่า
“ ท่านขุน ท่านขุน ”
แล้วกะหยุดเซ่าแฮบ ๆ แล้วกะเว้าแฮง ๆ ว่า
“ท่านขุน... เมียท่านขุนบอกว่า คันเลิกประชุมแล้ว ให้กลับไปกิน ข้าวต้มเปียก อยู่บ้าน ว่าซั่น”
ฮ่า ฮ่า ฮ่า.....

ซุมเสนาอำมาตย์ที่นั่งอยู่หั่น ได้ยินกะพากันหัวร่อ จนท้องแข็ง กะยังว้ากะยังว่า
“โฮ้ ขุนงาย ห่างเมียบ่ได้น้อ ห่างแหน่จักหน่อย ผัดให้คนรับใช้มาเอิ้น ไปกินข้าวต้มเปียก”
“ หว่างมื้อคืนนี่ บ่ได้กินข้าวต้มเปียกบ้อ ขุนงาย ”
หมู่พวก พากันหัวร่อ แล้วกะเว้าหยอกเลา จนเลาอยากอายอย่างคัก กะยังว่า เด้เดียวเนียะ

ขุนงายกะเลยจ่มให้เซียงเมี่ยง ด่าพร้อมล่ะว้า แล้วกะสอนสั่ง กำชับว่า
“ ฮู้จักมีมารยาทแหน่เด้อ สิไป สิมา กะให้ค่อยไป ค่อยมา ฟ้าวแล่นเติ้งต้าง เติ้งต้าง แบบนี้ มันบ่แมนแนว สิแจ้งเหตุให้ผู้หรับผู้ใหญ่ กะให้ค่อย ๆ คลานเข้ามา ฮอดใกล้ ๆ แล้ว กะเว้าค่อย ๆ เด้อ ฮ้องแฮง ๆ จั่งซี้ มันบ่แมนแนว.. จื่อไว้ จำไว้เด้อ เซียงเมี่ยง.. อย่าเฮ็ดจั่งซี้อีก..”
เซียงเมี่ยง รับคำ “ ขะน้อย ขะน้อย ”
แล้วกะจื่อไว้ จำไว้

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสต์ เมื่อ: 11 ธ.ค. 2009, 06:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ตอนที่ ๑๗ ไฟไหม้บ้าน
หลังจากนั้น... มื้อนึง ขุนงายกะไปประชุมหารือราชการคือเก่า อยู่หม่องเก่านั่นล่ะ ส่วนเซียงเมี่ยง กะเฮ็ดงานอยู่บ้าน (เหมิดสิทธิ์ได้ถือกะต่าหมากแล้วเนาะ)
พอดี มื้อนั้น เซียงเมี่ยงเลากวาดขี้ฝอย ต้อมไว้เป็นกอง ๆ แล้วกะจุดไฟ เผากองขี้ฝอยเด้ มีอยู่กองนึง เลาผัดกวาดต้อมกองไว้เลาะเฮือน พอจุดไฟเผา ไฟมันเลยลุก ลามไปไหม้บ้านขุนงาย เด้บาดตาทีเนียะ
เฮือน มันเป็นเฮือนไม้เนาะ มันกะลุกดีอย่างคักแหล่วเว่ย....
เมียขุนงายให้เซียงเมี่ยงไปบอกขุนงายอยู่เฮือนหอประชุม...
เซียงเมียง เลายังจื่อ ยังจำ คำสอนสั่งของขุนงายได้ยุเนาะ (สิเฮ็ดใส่-เฮ็ดประชดนำกะบ่จัก) เลากะบ่ฟ้าวแล่นไปเด้ ย่างไปซ้า ๆ ย่างเชียมคัก ฮ้ายกั่วพระบิณฑ์บาต พุ่นล่ะแหม พอไปฮอดเฮือนหอประชุม กะคลานซ้าๆ แต่ไกลๆ พุ่นน่ะ ซัวสิไปฮอดใกล้ ๆ ขุนงาย.. โฮ้.. ดนอย่างคักแหล่วเว่ย
พอคลานเข้าไปฮอด กะเอามือป้องปาก เว้าค่อย ๆ เลาะ ๆ หูขุนงาย (เซิม-ซัม นั่นล่ะ)
“ ไฟไหม้บ้านท่านขุน ” (เว้าค่อยอย่างคัก จนบ่ได้ยิน)
“ หา..?? แมนหยังเกาะ ”
“ ไฟไหม้บ้านท่านขุน ” (เว้าแฮงขึ้นมาจักหน่อย แต่ว่ากะยังบ่ฮู้ยิน)
“ หา??? แมนหยังเกาะเดียวหนิ เว้าแฮง ๆ กั่วนี้ แหน่เป็นหยัง ”
“ ไฟไหม้บ้านท่านขุน ” (เว้าแฮง พอฮู้ยินอยู่)
เว้าเทื่อทีสาม ขุนงายจั่งค่อยฟังฮู้เรื่อง พอฮู้เรื่องแล้ว กะขอโตกลับไปเบิ่งบ้าน... พอกลับฮอดบ้าน.... ไฟไหม้บ้านจนเหมิดแล้ว กะเลยด่าเซียงเมี่ยงว่า
“ เรื่องสำคัญจั่งซี้ เป็นหยังบ่ฟ้าว ๆ แล่นไปบอก ”
“ กะท่านขุน บอกให้ค่อยๆ ไป ผู้ข้าฯ กะเลยค่อย ๆ ไป ตามคำสั่งของท่านขุน ทุกประการ ”
ขุนงายอึ้ง... ปากบ่ออก... แฮ่งเว้าหลาย แฮ่งเฮ็ดใส่ตั้ว เซียงเมี่ยงนี่กะดาย... ทางที่ดี คือทางลาดยาง... บ่แมน... ทางทีดี เงียบ ๆ ไว้ดีกั่ว... ซั่นแหล่ว
ขุนงาย กะเลยถามเซียงเมี่ยงว่า
“ ต้นไฟมันอยู่ไส ไฟมันมาจากหม่องได๋ ”
เซียงเมี่ยง กะเลย ย่างไปในครัว ของเฮือนอีกหลังนึง (กะเลาไปต่อไฟมาจากหม่องฮั่นเนาะ) ไปยกขิงไฟมา บอกว่า
“ นี่ล่ะต้นไฟ ไฟมันมาจากขิงไฟนี่ล่ะ ”
( “ ????..บ่แมนจั่งซ้าน หมายถึงว่า สาเหตุที่ไฟไหม้ นั่นหนา... ” ) กะบอกแล้ว ว่า กับเซียงเมี่ยงน่ะ อย่าสะเว้าหลาย...บอกบ่เชื่อ กะต้องเจออีกดอก ล่ะตี้...
ขุนงาย ปากบ่ออก... ขี้คร้านปาก ขี้คร้านเว้า นั่นล่ะหวา

ตอนที่ ๑๘ ยาวิเศษกินข้าวแซบ

ขุนงาย แต่ผัดได้เซียงเมี่ยง มาอยู่นำ กะต้องปวดหัว อยู่เกือบซุมื้อ ซุเว็นเอาโลด ในที่สุด กะทนบ่ไหว ขี้คร้านเว้า ขี้คร้านเถียง ขี้คร้านเล่นสำนวนกับมัน คันสิไล่หนีไปซือ ๆ กะเกรงใจหลวงพ่อที่พามาฝาก คันสิเอาไปฝากไว้กับขุนนาง เสนาอำมาตย์ผู้อื่น กะย่านมันไปก่อเรื่องเดือดร้อนให้เขา เลยคึดว่า
“ ถ้าเอาไปให้อยู่กับพระราชา เซียงเมี่ยงคือสิบ่กล้าหือ กับพระราชาดอกตี้”
กะเลยพาเซียงเมี่ยงไปเฝ้าพระราชา เอาไปถวายพระราชา ให้เป็นมหาดเล็ก คนสนิทของพระราชา พระราชาจำเรื่องราวสมัยเณรเมี่ยงได้ เห็นว่าเป็นคนฉลาด มีไหวพริบดี น่าสิซ่อยราชการบ้านเมืองได้ กะเลยรับไว้เป็นมหาดเล็กคนสนิท
แต่ผัดนั้นมา เซียงเมี่ยง กะเลยได้เป็นมหาดเล็ก ของพระราชา ซั่นแหล่ว.... อยู่กับพระราชา ช่วงแรก ๆ เซียงเมี่ยงเลากะเฮ็ดโตดีเด้ ซ่อยราชการบ้านเมือง ระดับเป็นนักปราชญ์ใหญ่ผู้นึง พุ่นล่ะไป๋......
ช่วงนึงเนาะ... พระราชาเฮ็ดเวียกเฮ็ดงานหลาย ประชุมกะหลาย หนังสือฎีกา ที่ต้องอ่าน ต้องลงชื่อ กะหลาย จนแทบสิบ่มีเวลาเฮ็ดอย่างอื่น ที่เป็นส่วนโต บ่ค่อยได้เล่นกีฬา บ่ค่อยได้ออกกำลังกาย ร่างกายมันกะอ่อนเพลีย กินข้าวกะบ่แซบ ขนาดอยู่ในวังมีแต่แนวกินแซบ ๆ พระราชา กะกินบ่แซบ มันบ่ค่อยหิว บ่ค่อยอยาก นั่นหนา นี่ล่ะเพิ่นจั่งว่า “ บ่อึด.. บ่อยาก, อึด...อยาก ”
พระราชา กะให้หมอหลวง ปรุงยากินข้าวแซบมาให้ กินมาตั้งวะหลายขนาน ยาฝนกะกินแล้ว (ยาพายุ ?ยาหิมะล่ะ?) ยาต้มกะกินแล้ว ยาฝุ่นกะกินแล้ว ยาลูกกลอนกะกินแล้ว (ยาบานพับล่ะ?) ยาดองเหล้ากะกินแล้ว กินซุแนวเอาโลด (ยาฮังลิน นั่นเด้ กินไป่?... ยาคุ นำเด้อ ) ... ยังบ่ได้กินแต่เบียร์นั่นล่ะ (..เอ้า..สมัยนั่น ยังบ่ทันมีเบียร์เดิก) พระราชา กะยังกินข้าวบ่แซบคือเก่า

เซียงเมี่ยง มหาดเล็ก กะเลยขันอาสา ... แอกกะแด้แอ๊ก ....บ่แมนขันจั่งซ่าน จู้ฮุกกรู จู้ฮุกกรู ซั่นดอก ...เอ๋า ๆ ผัดแฮ่งไปกันใหญ่เด้ตาทีเนียะ... เซียงเมี่ยงเลย รับอาสา สิเป็นคนปรุงยากินข้าวแซบ บอกว่า
“ มียากินข้าวแซบ ขนานวิเศษ รับรองผล กินข้าวแซบแน่นอน แต่ว่า ยาโตนี้ มันอยู่ไกล ถ้าสิเอามา กะต้องใช้เวลา ดน โตยากะสิระเหยออกเหมิด จนบ่เป็นยา พระราชาต้องเสด็จไปเสวยยา อยู่หม่องฮั่น ด้วยพระองค์เองเด้อ พะเจ้าค่า” พะนะ

พระราชา บ่มีทางเลือก เพราะเลือกมาเหมิดแล้ว กะเลยต้องเสด็จไปนำเซียงเมี่ยง
เซียงเมี่ยง กะพาย่างเลาะลัดท่ง แล้วกะไปปีนภู บอกว่า ยาโตนี้ มันอยู่เทิงภู พระราชากะถามอยู่เรื่อยว่า
“ ใกล้สิฮอดหม่องยาไป่ ฮอดแล้วไป่ ”
“ ยังบ่ทันฮอด ดอก พะเจ้าค่า … อีกไกลอยู่ พะเจ้าค่า ”
ย่างแต่เซ้า จนวะตะเว็นบ่าย พระราชากะว่า
“ เซียงเมี่ยง ใกล้ฮอดไป่ เฮาเมื่อยคักแล้ว เทิงเมื่อยเทิงหิวแล้ว ”
“ อีกจักหน่อย เดี๋ยวกะเถิงแล้ว พะเจ้าค่า ”
พอย่างฮอดพะลานหินหม่องนึง เซียงเมี่ยง เห็นว่าเป็นเวลาสมควรแล้ว กะเลยให้พระราชานั่งพัก แล้วกะเอาน้ำมาถวาย ... เซาเมื่อยจักหน่อยแล้ว กะชวนพระราชากลับวัง พระราชากะถามว่า
“ อ้าว..ยาวิเศษกินข้าวแซบ เด้ล่ะ ”
“ พระองค์เสวยไปแล้ว หว่างฮั่นเด้ พะเจ้าค่า ”

พระราชากะเข้าใจว่า “ ยา คือสิอยู่ในน้ำกระบอกนั้น ล่ะมัง ” กะเลยย่างกลับวังกับเซียงเมี่ยง
พอฮอดวัง กะอาบน้ำอาบท่า เตรียมกินข้าว กะคนมันเมื่อยน้อ มันกะหิวข้าว อย่างคักแหล่วเว่ย พวกนางสนม ยกอาหารมาโต๊ะ กะได้กลิ่น หอมฮวยๆ ท้องฮ้องจ้อกๆ เอาโลด
มื้อนั่นพระราชากะกินข้าวอย่างแซบนัว นอนกะหลับดีคัก กะยังว้า กะยังว่า.....
เซียงเมี่ยงกะบอกว่า
“ ถ้าอยากกินข้าวแซบอีก กะต้องเสด็จย่างไปฮั่นไปนี่ดู๋ ๆ ออกกำลังกายดู๋ ๆ เด้อ พะเจ้าค่า ”
พระราชา เลยเข้าใจว่า “ยาวิเศษกินข้าวแซบ ที่ดีที่สุด กะคือการออกกำลังกายนี่เอง” แล้วกะพระราชทานรางวัล ให้เซียงเมี่ยงตามสมควร .... (โอ... บักสมควร มันได้รางวัลก่อนเซียงเมี่ยง ตั้วหนิ บะได๋)

ตอนที่ ๑๙ แข่งควายชนกัน

ช่วงนึงเนาะ..... เมืองธานี ขาเจ้ามีควายโตด โตนึงชนเก่งคัก เหมิดเมืองธานี บ่มีควายโตได ๋สิชนสู้ควายโตดโตนี้ได้ เป็นควายชนะเลิศในเมืองธานี ว่านเถาะไป๋
เจ้าเมืองธานี ต้องการประกาศศักดา ของเมืองธานี ให้เมืองใหญ่อย่างทวาลีได้รับรู้ กะเลยส่งควายโตนี้ มาเมืองทวาลี พร้อมกับจดหมายท้าประลองว่า
“ควายโตดโตนี้ ชนเก่งคัก ควายเมืองทวาลี มีโตได๋ชนสู้บ่ ”
เมืองทวาลี เป็นเมืองใหญ่เนาะ ส่วนเมืองธานี เป็นเมืองน้อย ๆ ถ้าแค่ควายยังแพ้ พระราชาสิเอาหน้าไปไว้ไส (กะเอาไว้กับหัวคือเก่านั่นล่ะ ดีแล้ว) กะเอิ้นประชุมเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย ให้ซ่อยกันหาควายที่ชนเก่ง ๆ เสนาอำมาตย์ทั้งหลาย กะพากันเสาะแสวงหาแล้ว โตที่ชนเก่งที่สุด กะยังบ่มั่นใจว่า สิเอาชนะบักควายโตดเมืองธานีได้...
เฮ็ดจั่งได๋ล่ะทีเนี่ย???.. สิบ่แข่งกะบ่ได้ ถ้าแข่งแล้วสิแพ้กะบ่ได้.. เฮ็ดจั่งได๋ล่ะทีเนียะ....???...
พระราชาเลยลองปรึกษาเซียงเมี่ยง เซียงเมียง กะขันอาสาอีก (บ่แมน.. แอกกะแด้ แอ๊ก .. เด้อ) เลาแก้ไขสถานการณ์จั่งได๋ล่ะวะติ๊.... อยากฮู้กะอ่านต่อไปสะล่ะล่ะ...
เซียงเมี่ยงกะ ไปหาควายน้อย ที่ยังบ่ทันเซานมมาโตนึง เอามาขังไว้ บ่ให้กินนม ...
พอฮอดมื้อแข่ง คนเมืองธานี จัดควายโตดเข้าลานแข่งเรียบร้อย คองท่าควายจากเมืองทวาลี เด้ เซียงเมี่ยง กะปล่อยควายน้อยโตนั่น ออกมา ซั่นแหล่ว...
คนเมืองธานี พร้อมทั้งท่านผู้ชมทั้งหลาย เห็นควายน้อย กะคึดว่า
“ โตน้อย ๆ ย่างกะยังบ่แข็ง มันสิชนสู้ได้จั่งได๋ ”
ควายน้อยโตนั่น มันหิวนมอย่างคัก หิวจนตาลายเอาโลด เหลียวเห็นควายโตดโตนั่น ยืนเท่อเล่ออยู่ คึดว่าแมนแม่เจ้าของฮึได๋บุ๊... แล่นเข้าไป เด่หัวเข้าใต้ท้อง สิดูดกินนม กะยังว้ากะยังว่า ควายโตดตกใจ ที่ถืกดูดนม กะแล่นหนี ควายน้อยกะแล่นนำ ควายโตดกะแล่นหนี แล่นวนไปวนมา แล้วกะแล่นหนี ออกจากหม่องแข่งขัน
คนกะโสกันว่า
“ ควายโตดอีหยัง ย่านควายน้อย แล่นหนีควายน้อยเสย ”
คนเมืองธานีอยากอายคน ที่ควายโตดมันย่านควายน้อย กะฟ้าวพาควายโตด กลับเมืองธานี สะล่ะล่ะ
เซียงเมี่ยง กะซ่อยแก้หน้าให้เมืองทวาลีได้ จั่งซี้ล่ะ...

ตอนที่ ๒๐ แข่งนกเว้า

เมืองธานี มีนกแก้วโตนึง เว้าเก่งคัก เว้าได้ปานคน กะยังว้ากะยังว่า เอานกแก้วโตนี้ ไปประกวดโต้วาที (..โฮ้ โต้วาทีปานคนเอาโลด เด้เดียวหนิ นกกะดาย...) … ไปประกวดเว้า นั่นล่ะ แข่งอยู่ไส กะชนะ เด้
เจ้าเมืองธานี อยากประกาศศักดา ให้เมืองทวาลีได้รับรู้ว่า เมืองธานี กะมีดี หลายคัก กะเลยให้คนพานกแก้ว ไปเมืองทวาลี พร้อมกับจดหมายท้าประลองว่า “นกแก้วโตนี้ เป็นนกแก้วเมืองธานี มีความสามารถเว้าเก่งคัก เมืองทวาลี มีนกเว้าเก่งจั่งซี้บ่” ว่าซั่น
พระราชา กะประชุมเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย ให้พากันเสาะแสวงหานกที่เว้าเก่ง ๆ เพื่อที่สิเอามาแข่งขัน พวกเสนาอำมาตย์ น้อยใหญ่ กะตีฆ้องร้องป่าว ประกาศหา นกที่สามารถเว้าได้เก่ง ๆ ... กะบ่มีนกบินมารับสมัครจักโตเอาโลด (เอ๋า..เว้าไปทั่วไปทีบ นกจั่งได ๋สิฮู้ภาษาคนปานนั่นเดียวหนิ?) ... หมายถึงว่า ให้คนผู้เป็นเจ้าของนก พานกมา ซั่นดอก....
นั่นล่ะ กะพากันเอานก มาประกวดหลายโตอยู่ตั้วล่ะ เทิงนกแก้ว นกขุนทอง นกเอี้ยง นกแขกเต้า นกสาลิกา พอประกวดแล้วแล้ว ขนาดโตที่ชนะเลิศ ในเมืองทวาลี กะยังเว้าได้บ่เก่ง ท่อนกแก้วเมืองธานี เด้เดียวหนิ
เสนาอำมาตย์ ที่ไปจอบซอมเบิ่งนกแก้วเมืองธานีเว้า กะมาบอกพระราชาว่า
“ เหมิดเมืองทวาลี บ่มีนกที่เว้าได้เก่ง ท่อนกแก้วเมืองธานีดอก ขนาดนกที่เว้าเก่งที่สุด ของเมืองทวาลี ยังเว้าได้บ่เก่งท่อเลย สิเฮ็ดจั่งได๋ดีล่ะ พะเจ้าข้า ”
พระราชา คิดแล้วคิดอีก กะคิดบ่ออก สิบ่แข่งกะบ่ได้ ถ้าแข่งแล้ว สิแพ้กะบ่ดี บ๋า..บ๋า.. เอ็ดจั่งได๋ดีล่ะ ตาทีเนียะ...
จนใจแล้ว พระราชาเหมิดทางเลือก เหลือแต่เอิ้งเซียงเมี่ยง มาช่วย แก้ไข ซั่นแหลว ...
พระราชา กะเลยเอิ้นเซียงเมี่ยง มาปรึกษาหารือ เซียงเมี่ยง กะรับอาสาสิเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง ให้พระราชาสำบายใจได้เลย ว่าซั่นเด้
เซียงเมี่ยง เลาสิเฮ็ดจั่งได๋ล่ะหือ???
เซียงเมี่ยง เลากะไปหา นกกะซุมหัวล้านโตบักใหญ่นึง แล้วกะเอามาเลี้ยงไว้ เอานกเอี้ยง นกแก้ว ให้มันกิน จนมันฮู้จักกินนก นั่นล่ะ
จากนั้น กะกำหนดมื้อกำหนดเว็น ในการแข่งโต้วาทีนก.. แข่งให้นกเว้านั่นล่ะ
พอฮอดมื้อนั้นเนาะ คนเมืองธานี กะเอานกแก้วออกมาจับคอน กลางสนามประลอง เรียบร้อย นกแก้วกะเริ่มเว้าจ้อย ๆ ปานเด็กน้อย ท่องสูตรคูณ พุ่นล่ะแหม เว้าเก่งคัก เว้าบ่หยุดเลย
ฝ่ายเซียงเมี่ยง กะอุ้มนกกะซุมหัวล้านโตนั้นออกมา ชาวประชาเหลียวเห็น กะหัวเยาะ พองเย้ย คนเมืองธานีพร้อม กะหัวย่าม กะหยิ่มใจ นกกะซุมผู้ฮ้ายใหญ่ จั่งได๋น้อ สิปากเป็น ว่าเด้....
เซียงเมี่ยง เห็นคนหัวเราะเยาะ เลากะทำเสย แก้โตไปว่า
“ นี่บ่แมนนกกะซุมเด้อ นี่คือนกสาลิกาหลวง เป็นสาลิกาลิ้นเงิน ที่หายากที่สุด หมู่เจ้าอาจสิบ่เคยเห็น เลยบ่มีไผฮู้จักล่ะตี้ ” แล้วกะเว้ากับนกกะซุมว่า
“ ไป ไปท้าว ฟ้าวไปเว้าแข่ง แข่งให้มันสู้สู้ ให้เขาฮู้พิษสง เจ้าเด้อ ”
แล้วกะปล่อยนกกะซุมหัวล้าน ไปเลาะ ๆ นกแก้ว
นกแก้ว เหลียวเห็นนกกะซุม กะท้วงว่า
“ นกกะซุมหัวล้าน ปากกืก... นกกะซุมหัวล้านปากกืก ๆๆๆๆ ๆๆๆๆๆ”
นกกะซุม กะบ่ปากอีหยังจักคำ ย่างเข้าไปหานกแก้ว แล้วกะเอาปากจิกหัว จ๊ก... เอาตีนเหยียบ จิกฉีกกินเสย
นกแก้วเว้าเก่ง กะเลยเดดสะมอเร่ ตอยจ้าย ตายจ้อย ซั่นแหล่ว...
คนทั้งหลายกะตะลึง... เงียบ ปากบ่ออก...
คนเมืองธานี บ่พอใจอย่างแฮง ที่นกแก้วถืกนกกะซุมกิน กะทูลพระราชา ขอความเป็นธรรม เซียงเมี่ยงกะเลยแก้ต่างว่า
“ นกแก้วอีหยัง ปากบ่ดี เว้าบ่ม่วน บ่ฮู้จักที่ต่ำที่สูง มันสมควรแล้ว ที่ต้องถืกลงโทษ นกสาลิกาลิ้นเงินโตนี้ เป็นนกของพระราชาองค์เหนือหัว นกแก้วเมืองธานี บังอาจมาเว้าว่า ‘นกกะซุมหัวล้าน ปากกืก' ถือว่าเป็นการดูถูกพระราชา มันสมควรตายอยู่แล้ว นกสาลิกาลิ้นเงิน มันแสดงความจงรักภักดีต่อพระราชา กะเลยลงโทษนกนำกัน... สาลิกาลิ้นเงินโตนี้ มันเฮ็ดถืกต้องแล้ว สมควรแล้ว ”
คนเมืองธานี เถียงบ่ได้ ปากบ่ออก ได้แต่แบกความเจ็บช้ำใจ กลับไปเมืองธานี ซั่นแหลว
เซียงเมี่ยง กะซ่อยแก้หน้าให้เมืองทวาลีได้ จั่งซี้ล่ะ...

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสต์ เมื่อ: 11 ธ.ค. 2009, 06:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ตอนที่ ๒๑ แข่งแปลบาลี

พระเมืองลงกา เป็นพระที่ขยัน หมั่นศึกษาคัมภีร์พระพุทธศาสนา เด้ มีความรู้ช่ำชอง ทั้งพระไตรปิฎก อรรถกถา ฯลฯ ว่านเถาะไป๋ ภาษาบาลี กะพากันเก่งคัก อ่านปุบ แปลได้ปับ พุ่นเด้ พระเมืองลงกา กะคึดว่า
“ พระเมืองอื่น มีความรู้ความสามารถหลาย แค่ได๋น้อนอ ต้องไปประลองความร ู้เบิ่งสาก่อน”
แล้วกะเห็นว่าเมืองทวาลี เป็นเมืองใหญ่ น่าสิมีพระผู้ที่มีความฮู้หลาย กะเลยส่งพระเถระ ที่ช่ำชองภาษาบาลี ๓ รูป ไปเมืองทวาลี เด้
พระราชาทราบข่าว กะเรียกประชุมเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย พร้อมทั้งพระสังฆราช แล้วกะพระเถระทั้งหลาย เพื่อที่สิคัดเลือกพระโตแทน ไปแข่งภาษาบาลีเด้
พระสังฆราช กับพระเถระทั้งหลาย กะเว้าว่า “พระเณรทั้งหลายเหมิดเมืองทวาลี ฮู้ภาษาบาลี บ่สู้พระเมืองลงกาดอก ถ้าสิประลองความสามารถจริง ๆ กะต้องแพ้แน่นอน” ว่าซั่น
พระราชา กะออกฮ้อนออกฮน บ่ฮู้สิเฮ็ดจั่งได๋ดี กะเลยเอิ้นเซียงเมี่ยง มาปรึกษา หาทางออก เซี่ยงเมี่ยง กะเลยรับอาสา เป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง... คือเก่านั่นล่ะ...
เซียงเมี่ยง เลาสิจัดการจั่งได๋น้อ...
เซียงเมี่ยง เลากะเอาใบลานมาเฮ็ดคัมภีร์ขึ้น ๒ ผูก
ผูกนึง เลา เอาใบลานเปล่า วางย่ายไว้ แล้วกะเอาปูน้อยมา เอาขาปูจุ่มหมึก แล้วกะเอาปู ไปปล่อยให้มันย่างเล่นเทิงใบลาน ... ฮอยตีนปู กะเป็นลาย ๆ ไปทั่วทีบ ล่ะเนาะ... เซียงเมียง กะเอาใบลานซุมนั้น มามัดเป็นผูก แล้วเอิ้นว่า “คัมภีร์ไตรปู”
อีกผูกนึง เลาเอาใบลานเปล่า มาเขียนคำผวน เขียนคำวกวน ว่า
ปารกี โสตึ กินฺลงฺกึ คูตมฺโภ โสสนี ตีมา ตกาโน ปลูลิตฺตา โกนฺถชลามิคา ปผุ โกนถทนฺชา โกนฺถชลาคา กโลชลามิขํ ปป กลนฺทาโช กลาสาโป โปทาตู โปทาตา.....ฯลฯ
แล้วกะเอามามัดเป็นผูก เอิ้นว่า “ คัมภีร์ไตรคต ”
พอเฮ็ด คัมภีร์ไตรปู กับ คัมภีร์ไตรคต แล้ว เซียงเมี่ยง กะไปบวชเป็นเณร สมมตินามจะของว่า “ มหาเล็น ” พักอยู่วัดหลวง เด้
พระเมืองลงกา เดินทางมาฮอดเมืองทวาลีแล้ว เข้าเฝ้าพระราชาแล้ว กะได้มาพักอยู่วัดหลวง เนาะ รอมื้อแข่งขันเด้...
เซียงเมี่ยง ในนาม มหาเล็น กะเอาคัมภีร์ไตรปู กับคัมภีร์ไตรคต มานั่งอยู่ศาลาน้อยข้างน้ำ ส่งเสียงท่องตำราดังๆ เด้

พระเมืองลงกา ย่างเล่นมาเลาะนั้น ได้ยินเสียง กะเลยเข้าไปทักทาย ถามไถ่ มหาเล็น กะบอกว่า
“ หลวงพ่อ ให้เอาหนังสือมาท่อง แล้วกะหัดแปลคัมภีร์ ๒ อันนี้... ผมกะพอแปลได้นิดหน่อย ”
“ ไส..เอามาอ่านเบิ่งดู้... มันสิยากปานได๋เดียวหนิ ” ว่าซั่น พระเมืองลงกา กะดาย
มหาเล็น กะเลยเอาคัมภีร์ไตรปูให้เบิ่ง พระเมืองลงกา กะอ่านบ่ออก (ไผสิอ่านออกเนาะ.. ฮอยปู ตั้วนั่น).. งงเต๊ก นั่นแหล่ว
จากนั้น มหาเล็น กะเอาคัมภีร์ไตรคต ให้เบิ่ง ให้ช่วยแปล แหน่ ว่าซั่น
พระเมืองลงกา กะเอามาอ่าน อ่านว่า
ปาระกี โสติง กินลังกิง คูตัมโภ โสสะนี ตีมา ตะกาโน ปะลูลิตตา โกนถะชะลามิคา ปะผุ โกนถะทันชา โกนถะชะลาคา กะโลชะลามิขัง ปะปะ กะลันทาโช กะลาสาโป โปทาตู โปทาตา.....
อ่านออกซื่อ ๆ แต่ว่าหั่งแปลบ่ได้... บ่ฮู้ความหมายเลย... แล้วกะเว้ากันว่า
"โฮ้..ภาษาบาลีแบบนี้ กะมีตั้วหนิ แสดงว่า อันที่เรียนกันอยู่เมืองลงกา ยังบ่ทันครบหลักสูตร ตั้วหนิแมะ”
“ อั่นนี้ เป็นคัมภีร์หลักสูตรเบื้องต้น ที่พระเณรบวชใหม่ต้องเรียน เด้ครับ อั่นที่เหลือ หลวงพ่อว่ายากกว่านี้อีก” ว่าซั่น มหาเล็นว่า
พระเมืองลงกา เห็นจั่งซั่น ได้ยินจั่งซั่น เข้าใจว่า “ขนาดคัมภีร์พื้นฐาน เฮายังแปลบ่ได้ ถ้าไปแข่งแปลคัมถีร์ชั้นสูงกั่วนี้ กะต้องแปลบ่ได้ แฮ่งแปลบ่ได้ ต่อหน้าพระราชา.. ขายหน้าท่อนั่นแหล่ว” กะเลยพากันลากลับเมืองลงกา จ้อย
เซียงเมี่ยง กะซ่อยแก้หน้าให้เมืองทวาลีได้ จั่งซี้ล่ะ...

ตอนที่ ๒๒ ขอที่ดินขนาดแมวดิ้นตาย

หลังจากพระเมืองลงกากลับไปแล้ว มหาเล็น กะสึกออกมา เป็นเซียงเมี่ยงคือเก่า พระราชา กะเอิ้นเซี่ยงเมี่ยงมาสอบถาม ถึงคัมภีร์ไตรปู กับคัมภีร์ไตรคต
เซียงเมี่ยงกะอธิบายให้ฟังว่า
“ คัมภีร์ไตรปู กะคือฮอยตีนปูไต่นั่นล่ะ บ่มีผู้ได๋อ่านออกดอก ส่วนคัมภีร์ไตรคต กะเขียนเป็นคำผวนแหน่ คำวกวนแหน่ ผสมปนกันไป พระเมืองลงกา คึดว่าแมนภาษาบาลี กะเลยบ่ฮู้ความหมายศัพท์พวกนี้
ปาระกี กะคือ ปีระกา
โสติง กะคือ สิงโต
กินลังกิง คือ กินลิงกัง
คูตัมโภ คือ โคตำภู
โสสะนี คือ ศีรษะโน
ตีมา คือ ตามี
ตะกาโน คือ ตะโกนา
ปะลูลิตตา คือ ขวานปะลู ลิดตาไม้
โกนถะชะลามิคา คือ กระโถนรั่ว
ปะผุ คือ ปะหม่องมันผุ
โกนถะทันชา คือ กระโถนทาชัน
โกนถะชะลาคา คือ กระโถนบ่รั่ว
กะโลชะลามิขัง คือ กะโล่รั่วน้ำบ่ขัง
ปะปะ คือเอามาปะให้มันบ่รั่ว
กะลันทาโช คือ กะโล่ทาชัน
กะลาสาโป คือ กะโล่สาปา
โปทาตู คือ ปูทาโต (ปูเกียกตม)
โปทาตา คือ ปาทาโต (ปลาเกียกตม).....
แปลได้ความหมายว่า
ปีระกา สิงโตกินลิงกัง งัวแล่นตำภูเขาจนหัวโน พ่อใหญ่มี เห็นต้นตะโกนา เลยเอาขวานปะลูมาตัดแล้วกะลิดตามันออก, เลาเห็นกระโถนฮั่ว เลยเอามาปะฮูฮั่วโดยใช้ชันทา กระโถนเลยหายฮั่ว, เลาเห็นกะโล่ฮั่ว เลยเอามาปะ โดยใช้ชันทา จนกะโล่หายฮั่ว, เลาเลยเอากะโล่นั้นไปสาปลา น้ำแห้งแล้ว ปูปลากะมุดเล่นดินตม......
ทั้งเหมิด กะแปลได้ความว่า จั่งซี้ล่ะ พะเจ้าค่า ”
พระราชา กะชมเชยปัญญาของเซียงเมี่ยง แล้วกะเลื่อนตำแหน่งขึ้นให้ พร้อมทั้งพระราชทานรางวัล กับที่ดิน เด้
เซี่ยงเมี่ยงกะว่า
“ บ่ต้องการที่ดินหลายดอก ขอหน่อย ๆ แค่ขนาดแมวดิ้นตาย ท่อนล่ะ” ว่าซั่น
พระราชา บ่ทันปัญญาเซียงเมี่ยง กะอนุญาตตามที่ขอ
เซียงเมี่ยง กะเอาแมวม่าวใหญ่มาโตนึง แล้วกะเอาค้อนตีแมว
ปั๊วะ …
....ตีกะบ่ตีเหมิดแฮงเด้ เลากะดาย ตีพอให้แมวตกใจซื่อ ๆ คันตีเหมิดแฮง แมวสิตายคาที่ กะสิได้ที่ดินหน่อย นั่นหนา...
แมว มันเจ็บ กะเลยดิ้นแล่นหนี เซียงเมี่ยง กะถือค้อนแล่นไล่ตี ไปเรื่อย ๆ แมวแล่นไปสุดเขตหม่องได๋ กะให้คนเอาหลักปักไว้ เป็นเครื่องหมาย แมวมันกะแล่นหนีไปเรื่อย ๆ กินบริเวณกว้างไกลออกไปเรื่อย ๆ ซัวแมวสิเหมิดแฮง เซียงเมี่ยง กะได้ที่ดินเป็นบริเวณกว้างอย่างคัก
เจ้าของที่ดินเก่า บ่ยอมยกให้ เซียงเมี่ยง กะว่าเป็นคำสั่งของพระราชา เลยบ่มีผู้ได๋กล้าขัดขืน เจ้าของที่ดินเก่าทั้งหลาย พากันเดือดร้อนไปตาม ๆ กัน จากนั้น เลยพากันเข้าเฝ้าพระราชา ขอพระราชทานที่ดินคืน พระราชา เลยจำต้องไถ่ที่ดินจากเซียงเมี่ยง มาคืนให้เจ้าของที่ดินเก่าทั้งหลาย แล้วกะพระราชทานที่ดิน ขนาดตามสมควรกับตำแหน่งเซียงเมี่ยง
นี่ล่ะ ที่ดินขนาดแมวดิ้นตาย มันบ่หน่อยเด้อ...สิบอกไห่

ตอนที่ ๒๓ นางสนมขี้ใส่เฮือนทอง

หลังจากเซียงเมี่ยง มีที่ดิน มีเงินทองหลายเติบแล้ว เลากะสร้างเฮือนนั่นตั้วบาดเนียะ ช่วงนั้น เลาผัดยุ่งอย ู่กับการจัดตกแต่งเฮือนเนาะ เลยลืมเข้าเฝ้าพระราชา
พระราชา บ่เห็นเซียงเมี่ยงหลายมื้อ หลายเว็น กะสงสัยว่า เซียงเมี่ยงมันไปเฮ็ดหยังอยู่ คือบ่มาเข้าเฝ้า คือเก่าก่อน กะเลยให้คน ไปตามเซียงเมี่ยงมาเข้าเฝ้า พอเซียงเมี่ยง มาฮอด กะถามว่า
“ เมี่ยง หลายมื้อมานี้ เฮ็ดหยังอยู่ คือบ่มาเข้าเฝ้า ”
“ข้าพระองค์เฝ้าเฮือนทองอยู่ ย่านขี้ขะโมยมาลัก กะเลยบ่ค่อยมีเวลาเข้าเฝ้า พะเจ้าค้า” เซียงเมี่ยงว่า
จากนั้น เซียงเมี่ยงกะกลับบ้าน ไปนอนออนซอนเฮือนใหม่เจ้าของต่อ
พระราชา คึดว่า “บักเมี่ยง มันมีเงินหลายปานนั้นบ้อ จั่งค่อยได้สร้างเฮือนทอง มันเอาเงินมาแต่ไสว้า”
มื้อลุน กะเลยเสด็จไปเบิ่งเถิงที่ จั่งค่อยฮู้ว่า บ่แมนเฮือนทองคำ
พระราชา กะโมโห ว่าเซียงเมี่ยงตั๋ว เซียงเมี่ยงกะบอกว่า “บ่ได้ตั๋ว คำว่าเฮือนทอง กะคือเฮือนทองหลาง เป็นเฮือนที่ใช้ไม้ทองหลางเฮ็ด”
พระราชาโมโหตื่ม ที่เซียงเมี่ยงเว้าให้เข้าใจผิด กะเลยสั่งให้นางสนมกำนัล ที่ติดตามมา ไปขี้ใส่เฮือน บักเซียงเมี่ยง
นางสนมทั้งหลาย กะพากันเข้าไปนั่งขี้ ใส่เฮือนเซียงเมี่ยง ขี้ไป หัวร่อไป เสียงแตกแซวๆ
เซียงเมี่ยง บ่พอใจเด้ ที่ถืกนางสนมมาขี้ใส่เฮือน คิดหาวิธีเล่นงานอยู่คือกัน
พระราชาสั่งให้ไปขี้ กะบ่ขี้ซื่อ ๆ เด้นางสนมกะดาย เยี่ยวพร้อม ตดนำ
เซียงเมี่ยงเห็นจั่งซั่น ได้ยินจั่งซั่น มือถือแส้ได้ กะขึ้นไปไล่ตีนางสนมทั้งหลาย จนนางสนมเจ็บปวด ฮ้องไห้ไปตาม ๆ กัน ปากกะจ่มว่า เดี๋ยวสิไปฟ้องพระราชา สิให้พระราชลงโทษเซียงเมี่ยง
เซียงเมี่ยง กะว่า “ ฟ้องโลด เชิญไปฟ้องโลด ”
นางสนม กะฮ้องไห้มาฟ้องพระราชา ว่า
“ได้เฮ็ดตามคำสั่งของพระองค์แล้ว แต่ถืกเซียงเมี่ยง เอาแส้มาไล่ตี เบิ่งตี้ แต่ละคน เป็นฮอยเหมิดเลย พระองค์ต้องลงโทษเซียงเมี่ยงเด้อ”
เซียงเมี่ยง กะว่า
“ พระองค์ฟังก่อนเด้อ... ที่ข้าพระองค์เอาแส้ ไล่ตีนางสนมน่ะ เป็นเพราะนางสนมซุมนี้ บ่เชื่อฟังพระองค์ บ่ปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์”
“ บ่ปฏิบัติตามจั่งได๋ พระราชาบอก ให้ไปขี้ใส่เฮือนเซียงเมี่ยง หมู่ข้อย กะไปขี้ใส่ตามคำสั่งแล้วเด์” นางสนมเถียง
“ พระราชาสั่งให้ไป ขี้ เด้.. ซุมเจ้า เป็นหยังจั่งเยี่ยวใส่เฮือนข้อย ตดใส่เฮือนข้อย เยี่ยวกับตดนี่ มันนอกเหนือคำสั่งของพระราชา แมนบ่?... ซุมเจ้าเฮ็ดนอกเหนือคำสั่ง ข้อยเลยลงโทษ สิเอาผิดข้อยบ่ได้เด๋”
นางสนมทั้งหลาย ได้ฟังจั่งซั่น กะเถียงบ่ออก เพราะจะของได้เยี่ยว ได้ตดอีหลี
พระราชาเอง สิเอาผิดเซียงเมี่ยง กะบ่ได้คือกัน กะเลยแล้ว ๆ กันไป
นางสนมทั้งหลาย เสียทีเซียงเมี่ยง ถืกเซียงเมี่ยงตี กะเลยบ่ถืกกันกับเซียงเมี่ยง
เซียงเมี่ยงถืกนางสนมมาขี้ใส่เฮือน กะเลยบ่ถืกกันกับนางสนม

ต่างฝ่ายต่างหาทางแกล้งกัน แต่นั้น เป็นต้นมา ซั่นแหล่ว

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสต์ เมื่อ: 13 ธ.ค. 2009, 22:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ตอนที่ ๒๔ บอกหนังสือพระสังฆราช
มื้อต่อมา เซียงเมี่ยงเลาจัดตกแต่งเฮือนทองเลา บ่ทันแล้วดีเนาะ เลากะหาข้าวของ มาตกแต่งเฮือนเด้ ไปสั่งช่างให้เฮ็ดแหน่ ไปหาย่างซื้อตามตลาดแหน่ นั่นล่ะ กะบ่ค่อยได้เข้าเฝ้าพระราชาอีก
พระราชา บ่เห็นเซียงเมี่ยงเข้าเฝ้า กะสงสัยว่า “ เซียงเมี่ยงมันหายหัวไปไส จั่งค่อยบ่มาเข้าเฝ้า?” กะเลยให้คนไปตามเซียงเมี่ยง มาเข้าเฝ้า พอเซียงเมี่ยง มาฮอด กะถามว่า
“ เมี่ยง หลายมื้อมานี้ เฮ็ดหยังอยู่ คือบ่มาเข้าเฝ้า ” ว่าซั่น

“ ข้าพระองค์ ไปบอกหนังสือพระสังฆราช ” พะนะ เซียงเมี่ยงว่า
พระราชา ได้ฟังแล้ว กะสงสัยว่า “ เอ พระสังฆราช เพิ่นกะเก่งหนังสือคักอยู่น๊า... เซียงเมี่ยงมันเก่งปานนั้นบ้อ ถึงขนาดเป็นอาจารย์พระสังฆราชได้หนิ” พระราชาเลาบ่เชื่อ กะเลยให้คนไปนิมนต์พระสังฆราชมา ถามเอาความจริง ถ้าบ่เป็นความจริง สิได้ลงโทษเซียงเมี่ยงให้เข็ดหลาบ โทษฐานขี้ตั๋ว นั่นหนา
หลังจากพระสังฆราช มาฮอดแล้ว พระราชากะเล่าให้ฟัง ตามที่เซียงเมี่ยงว่านั่นล่ะ แล้วกะถามว่า
“ เซียงเมี่ยง เป็นอาจารย์บอกหนังสือท่านพระสังฆราช อีหลีบ้อ”
พระสังฆราช ได้ยินได้ฟังจั่งซั่น กะ โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ว่าเซียงเมี่ยง บังอาจลบลู่เจ้าของ พร้อมกับตอบว่า
“ เซียงเมี่ยง บ่เคยบอกหนังสืออาตมาดอก” แล้วกะนั่งออก ฮ้อนออกฮน ด้วยความโมโห
พระราชากะว่า
“ เห็นบ่ล่ะบักเซียงเมี่ยง มึงบังอาจลบหลู่พระสังฆราช จนเพิ่นโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ อยู่นั่นน่ะ”
เซียงเมี่ยงได้ฟังจั่งซั่น กะเลยเอาคนโทน้ำ ที่วางอยู่ข้าง ๆ เจ้าของ ไปเทน้ำฮดพระสังฆราช จนเปียกมอดยอด เอาโลด ทางปากกะเว้าว่า
“ มอด มอด ดับ ดับ ”
พอถืกถามว่า เป็นหยังจั่งเฮ็ดจั่งซั่น กะตอบว่า
“ พระสังฆราช โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ข้าพระองค์ ย่านไฟไหม้พระราชวัง กะเลยต้องเอาน้ำ ฮดต้นตอของไฟ ซั่นดอก พะเจ้าค่า”
พระราชา สิเอาผิดประเด็นนี้กะบ่ได้ กะเลยถามประเด็นเก่าว่า
“พระสังฆราช เพิ่นบอกว่า มึงบ่ได้บอกหนังสือเพิ่น แสดงว่ามึงขี้ตั๋ว แมนบ่ มึงสิว่าจั่งได๋..”
เซียงเมี่ยงเลยเล่าให้ฟังว่า
“ มื้อวานนี้ ย่างไปเลาะกุฏิพระสังฆราช เห็นหนังสือผูกนึง ตกอยู่ กะเลยไปบอก พระสังฆราช”
แล้วกะเหลียวไปทางพระสังฆราชถามว่า “ แม่นบ่ หลวงพ่อ ”
พระสังฆราชกะตอบว่า “ แมน ”
เซียงเมี่ยงกะเว้าต่อว่า
“ ที่บอกว่า ‘ บอกหนังสือพระสังฆราช ' น่ะ บ่ได้หมายถึง สอนพระสังฆราช เป็นอาจารย์พระสังฆราชเด้ แต่หั่งหมายถึง บอกพระสังฆราชว่าหนังสือตก ซั่นดอก พะเจ้าค่า”
พระราชา กะเอาผิดเซียงเมี่ยงบ่ได้ ซั่นแหล่ว

ตอนที่ ๒๕ พระราชาดมกลิ่นทิพย์

ช่วงงานเทศกาลน้อ พวกขุนนาง เสนาอำมาตย์ทั้งหลาย ต่างกะพากันเอาของ มาถวายพระราชา ผู้นั้นเอาอันนั้นมาถวาย ผู้นี้เอาอันนี้มาถวาย เหลือแต่เซียงเมี่ยงผู้เดียว กะยังว้า กะยังว่า ที่บ่ได้เอาอีหยัง มาถวายพระราชาเลย ขนาดเป็นคนสนิทเด้หนิ

พระราชากะเลยเว้าเปรย ๆ กับเซียงเมี่ยง ต่อหน้าเสนาอำมาตย์ทั้งหลายว่า
“ เอ เซียงเมี่ยง ผู้อื่นเขาพากันเอานั่นเอานี่ มาให้เฮา มึงบ่มีอีหยังมาให้เฮาบ้อ”
“ มีอยู่ มื้ออื่นสิเอามาถวายดอก พะเจ้าค่า ” ว่าซั่น เซียงเมี่ยงกะดาย
พอเลิกประชุม เซียงเมี่ยงกะกลับเฮือน ไปหากินถั่วดินต้ม ไข่ต้มจนอิ่มท้องเด้ แล้วกะหาซื้อ กระบอกไม้ทรงท้องปุ้ง ๆ ปากจ้อม ๆ ลวดลายงาม ๆ มาเตรียมไว้เป็นของถวายพระราชา ว่าซั่นเถาะ
คนกินถั่วต้ม เนาะ มันกะยืงท้องแหล่วเว่ย ยืงท้องกะต้องตดตี้ล่ะ ตดเซียงเมี่ยง เป็นตดจากถั่วต้ม จากไข่ต้มเนาะ คุณภาพสุดยอดอยู่แล้ว
เซียงเมี่ยงปวดตดยามได๋ กะตดใส่กระบอกไม ้แล้วกะปิดฝาไว้อย่างดี เด้ เลาตดสะสมไว้ในกระบอกไม้ ตั้งแต่ช่วงกลางคืนจนฮอดเช้า เสร็จเรียบร้อย พอเข้าเฝ้าพระราชา กะเอากระบอกไม้ไปถวาย พร้อมทั้งบอกว่า
“ ของอยู่ในกระบอก เป็นสิ่งที่มองบ่เห็น มีเฉพาะกลิ่น เป็นกลิ่นทิพย์ ดมแก้ง่วง ดมแล้วหายง่วง ตาซื่นทันทีเลยล่ะ ขอเชิญพระองค์สูดดมได้ตามสบาย พะเจ้าค่า”
พระราชา ประชุมกับเสนาอำมาตย์มาดนเติบ ฮู้สึกง่วง ๆ เพลีย ๆ คึดอยากทดสอบ ประสิทธิภาพของกลิ่นทิพย์ กะเลยเปิดจุกออก สูดดมอย่างจัง
ตึบ .....
เหม็นทึงเอาโลด พระราชาเหม็นคัก หย่อดัง เบ๋ปาก เอามือถุยดัง ..ปิ๊ดปิ๊ด .. ตาซื่นม่อกก่อก ยังว้ากะยังว่า...
“ โฮ้ ...กลิ่นนี้มันคุ้น ๆ น๊า .. นี่มันกลิ่นอีหยังวะ เอ๋า... อำมาตย์ลองดมเบิ่งดู้..” แล้วกะเด่ ให้อำมาตย์ใหญ่

อำมาตย์กะรับมาดม กะ เหม็นตึบ คือกัน ตาซื่นม่อกก่อก
“ กลิ่นนี้มันคุ้น ๆ น๊า ” แล้วกะส่ายหัว บอกบ่แน่ใจว่า มันแม่นกลิ่นอีหยังกันแท้ กะให้อำมาตย์ผู้อื่นลองพิสูจน์ไปเรื่อย ๆ …..
โฮ้... ลองดมพิสูจน์กันหลายคนอยู่ตั้วล่ะ กั่วกลิ่นตดสิระเหยออกเหมิดกะดาย... กะบ่มีผู้บอกได้ว่า มันแมนกลิ่นอีหยัง บอกได้แค่ว่า “กลิ่นนี้มันคุ้น ๆ น๊า”
พระราชาเลยถามเซียงเมี่ยงว่า
“ กลิ่นทิพย์ มันควรสิหอมน่าดอมดม แต่กลิ่นที่มึงเอามาให้ดมนี้ มันเหม็น.... กลิ่นทิพย์ที่มึงว่านี่ ตกลงมันแมนกลิ่นอีหยังกันแท้ มึงบอกมาตามตรง ห้ามตั๋ว”
“ กลิ่นนี้ ข้าพระองค ์ดมอยู่ซุมื้อซุเว็น ผู้ได๋เป็นเจ้าของกลิ่น ถึงสิเหม็นปานได๋ กะอดทนดม บ่ปากบ่จ่ม ผู้ได๋บ่ได้เป็นเจ้าของกลิ่น ถ้าได้กลิ่นนี้ กะบ่อดทนดม แล้วกะจ่มนำ ข้าพระองค์ กะเลยเอิ้นว่า 'กลิ่นทิพย์' พะเจ้าค่า”
“ เอ้อ.. แล้วกลิ่นทิพย์ของมึงนี่ มันแมนอีหยัง ”
“ ตด พะเจ้าค่า ”
พระราชาพอได้ยินคำว่า “ ตด ” กะสูนอย่างแฮง ที่ถืกบักเซียงเมี่ยง หลอกต้ม ให้ดมตด
พวกอำมาตย์ทั้งหลาย ที่ได้ดมตดเซี่ยงเมี่ยง กะสูนคือกัน สะล่ะล่ะ

ตอนที่ ๒๖ เซียงเมี่ยงติดคุกเย็น
พระราชาเจ้า ในหลวงผู้ยศใหญ่ พร้อมทั้งอำมาตย์ไท้ เสียทีที่ได้ดมตด...
พระราชา ถืกเซียงเมี่ยงตั๋วให้ดมตด กะโมโหอย่างคัก ถึงเซียงเมี่ยง สิอธิบายแก้โตได้อย่างน้ำขุ่น ๆ แต่ว่าตดกะได้ดมไปแล้ว สิบ่ลงโทษมัน เดี๋ยวมันสิย่าม กะเลยสั่งลงโทษเซียงเมี่ยงว่า
“ ทหาร เอาบักเซียงเมี่ยง ไปขังไว้ในคุกเย็น เป็นเวลาหนึ่งคืน เดียวนี้”
คุกเย็น เป็นคุกที่สร้างพิเศษ เพื่อขังทรมานคนผู้ทำความผิด อยู่ในคุกเย็น มันกะเย็นจ้อย ๆ จนผู้ที่ถืกขัง เย็นหนาวสั่นไป พุ่นแหล่ว ซัวสิได้ออกจากคุกเย็น กะพากันแหล่ซีดไปตาม ๆ กัน นั่นแหล่ว
ปกติแล้ว ผู้ได๋ได้ยินคำตัดสิน ให้ถืกขังคุกเย็น กะต้องย่านอย่างคัก หน้าถอดสีพุ่นล่ะไป๋ แต่ว่าเซียงเมี่ยง เลาเฮ็ดหน้าเสย คือจั่งบ่ย่านคุกเย็นนี่ล่ะ (ฮึแมนเฮ็ดใจดีสู้เสือ.. ทำทรงตีหน้าเสย ไปซือ ๆ บุล่ะหวา)
กะจั่งว่านั่นล่ะเนาะ...
ทุกปัญหา ย่อมมีทางออก ........... (สำหรับคนฉลาดคิด)
ทุกทางออก ย่อมมีปัญหา .......... (สำหรับคนบ่ฉลาดคิด)

ทหาร กะพาเซียงเมี่ยง ย่างไปจนฮอดคุกเย็น แล้วกะถอดเสื้อผ้าเซียงเมี่ยงออก เอาผ้าขาวม้าบาง ๆ ให้ไว้ผืนนึง สำหรับนุ่ง แล้วกะเอาเซียงเมี่ยง เข้าขังคุกเย็น ปิดประตู ใส่กุญแจเรียบร้อย
เซียงเมี่ยง นุ่งผ้าขาวม้าบาง ๆ ย่างเข้าคุก... อากาศกะเย็นจ้อย ๆ เนาะ …
มื้อนั่น ในคุกเย็นห้องนั้น มีนักโทษ ติดคุกอยู่ก่อนแล้วสองคนเด้ สองคนนั้น พากันนั่งอยู่คนละมุม เอาผ้าขาวม้าสำหรับนุ่งขึ้นมาห่ม แล้วกะนั่งเฮ็ดขดจ่องหง่อง สั่นทด ๆ เป็นตาหลูโตนซาดคือหยัง นี่ตั้ว
เซียงเมี่ยง กะเริ่มรู้สึกหนาวใน ๆ ใจสะท้าน ซั่นแหล่ว เอามือกอดเอิ่กแล้ว กะบ่หายหนาว ..... โอ.. สังมาคิดฮอดผ้าห่มหนา ๆ เด้.. สังมาคิดฮอดกองไฟอุ่นๆ เด้... สังมาคิดฮอดผู้สาวเด้ .... (เอ้อ คิดไปโลด คิดแล้วมันกะบ่หายหนาวดอกเด้อ)...
เซียงเมี่ยง เลากะเลยเหน็บหางกะเตี่ยวดี ๆ แล้วกะกะโดดโลดเต้น แล่นไปแล่นมา ชกลม ตีอากาศเล่นอยู่ผู้เดียว จนร่างกายเริ่มอุ่นขึ้น
เลาเหลียวแนมเบิ่งอีกสองคน ที่นั่งหนาวสั่นอยู่ กะหลูโตน ... เทิงจะของเล่นอยู่ผู้เดียว กะเบื่อนำล่ะหวา... กะเลยชวนสองพะหน่อนั่น มาเล่นบักป้ำกัน สะล่ะล่ะ

เซียงเมี่ยงกับสองพะหน่อ เล่นป้ำกัน จนฮอดเซ้ากั๊ก กะยังว้ากะยังว่า
พอฮอดเซ้า ทหารกะมาเปิดประตู เห็นทั้งสามคน กอดป้ำกันมะลึ่งตึ่งตั่ง อยู่ กะเข้าใจว่า นักโทษทะเลาะกัน ตีกัน กะฟ้าวแล่นเข้าไปห้าม ไปแยกออก
เซียงเมี่ยงกะหัวร่อ บอกว่า “บ่ได้ทะเลาะกัน บ่ ได้ตีกันดอก เล่นกันม่วน ๆ ออกกำลังกายแก้หนาว ซื่อๆ”
จากนั้น ทหารกะนำโตเซียงเมี่ยง ไปเฝ้าพระราชา ก่อนปล่อยกลับบ้าน
พระราชาคาดหวังว่า สิเห็นเซียงเมี่ยงหน้าซีด ปากซีด โตซีด จนย่างบ่ได้ เด้... พอเซียงเมี่ยงมาฮอด มันบัดบ่เป็นจั่งซั่น ผัดเห็นเซียงเมี่ยง หน้าตาสดใส เหงื่อไหลพร้อม กะเลยถามทหารว่า
"บ่ได้เอาบักเซียงเมี่ยงไปขังคุกเย็นตี้?”

ทหารกะเลยเว้าให้ฟัง..... พระราชากะคึดในใจ “ บักเซียงเมี่ยงน้อบักเซียงเมี่ยง เอาโตรอดจนได้.. บักอั่นนี้ คือสำมะคันแท้ว้า ” จากนั้น กะออกกฎว่า
“ คุกเย็น ห้ามขังนักโทษไว้นำกันเกินหนึ่งคน ”
แล้วกะปล่อยเซียงเมี่ยงกลับเมือเฮือน

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


แก้ไขล่าสุดโดย วรานนท์ เมื่อ 13 ธ.ค. 2009, 22:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร