วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 11:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2009, 14:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



สติปัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้งของสติ หมายความว่า บุคคลผู้ประสงค์จะฝึกจิต ให้เกิดศิล สมาธิ ปัญญานั้น

ต้องอาศัยสติเป็นหลักใหญ่และสำคัญที่สุด เพราะสติเป็นผู้ควบคุมกายกับใจ หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า

สติ คอยควบคุมรูปกับนาม ให้ดำเนินไปถูกทางที่เราต้องการ ดุจบุคคลเลี้ยงเด็กๆที่กำลังซุกซน

ต้องคอยดูแล ระมัดระวังอยู่เสมอ จะประมาทหรือเผลอมิได้ ทางนั้นได้แก่ สติปัฏฐาน ๔

ซึ่งพระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ หน้า ๓๒๕ เป็นต้นไป

กับเล่มที่ ๑๒ หน้าที่ ๑๐๓ เป็นต้นไป

จากหนังสือ วิปัสสนากรรมฐาน ภาค ๒ มหาสิปัฏฐานสูตร หลวงพ่อโชดก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2009, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุด้วยครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2009, 10:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:28
โพสต์: 307

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 21:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


อินทรีย์ ๕

บรรดาอินทรีย์ ๕ นั้น ถ้าข้อหนึ่งมีกำลังมากเกินไป อินทรีย์นอกนั้นก็พึงทราบว่า
ไม่สามารถทำกิจของตนได้ แต่เมื่อว่าโดยพิเศษแล้ว นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมยกย่อง
สรรเสริญว่า สัทธากับปัญญาต้องเท่าๆกัน วิริยะกับสมาธิต้องเท่าๆกัน เพราะว่าคนที่มีสรัทธามาก
แต่มีปัญญาน้อยย่อมเลื่อมใสโดยลุ่มหลง คือ เลื่อมใสในสิ่งที่ไม่ควรเลื่อมใส
ส่วนคนมีปัญญามากแต่มีสรัทธาน้อย ย่อมตกไปในฝ่ายเกเรย่อมเยียวยาได้ยาก
ดุจโรคที่เกิดจากยา ย่อมทำให้นายแพทย์เยียวยาได้ยากฉะนั้น


อันธรรมดากุศลย่อมเกิดขึ้นได้โดยง่าย คือ เพียงจิตตุปปบาทเดียว ก็สามารถเกิดขึ้นได้
เมื่อจิตของบุคคลเป็นไปเร็วอย่างนี้ ถ้าใครไม่ได้ทำบุญ มีทานเป็นต้นไว้
ย่อมตกนรกได้โดยง่ายดายทีเดียว


เมื่อสัทธากับปัญญา วิริยะกับสมาธิสม่ำเสมอกัน บุคคลนั้นย่อมเลื่อมใสในวัตถุที่ควรเลื่อมใสเท่านั้น
ถ้าบุคคลมีสมาธิกล้า มีความเพียรอ่อน ความเกียจคร้านย่อมครอบงำได้
เพราะสมาธิเป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความเกียจคร้าน


ถ้าบุคคลมีความเพียรกล้า มีสมาธิอ่อน ความฟุ้งซ่านย่อมครอบงำได้ เพราะวิริยะเป็นไปใน
ฝักฝ่ายแห่งความฟุ้งซ่าน ส่วนสมาธิที่บุคคลประกอบด้วยความเพียร ย่อมไม่ตกไปในความฟุ้งซ่าน เพราะฉะนั้น นักปฏิบัติธรรมผู้มุ่งหวังตั้งใจต่อมรรค ผล นิพพาน ต้องทำสัทธากับปัญญา
วิริยะกับสมาธิให้สม่ำเสมอกัน อินทรีย์ ๕ เสมอกันเมื่อใด อัปปนาก็เกิดได้เมื่อนั้น


สำหรับผู้ที่เคยเจริญสมถกรรมฐานมาก่อน สัทธาแก่กล้า จึงควร เพราะถ้าผู้นั้นเชื่ออยู่อย่างนั้น
จึงจักถึงอัปปนาได้ ส่วนสมาธิกับปัญญาเอกัคคตามีกำลังแก่กล้าจึงควร เพราะผู้นั้นจะรู้แจ้ง
แทงตลอดพระไตรลักษณ์ได้ด้วยอุบายอย่างนี้


สำหรับผู้เจริญวิปัสสนา ปัญญาต้องมีกำลังแก่กล้าจึงจะควร เพราะผู้นั้นจะรู้แจ้งแทงตลอด
พระไตรลักษณ์ได้ด้วยอุบายอย่างนี้


ส่วนสตินั้น ต้องการให้มีกำลังกล้า ในทุกที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ
เพราะว่าสติย่อมรักษาจิตไว้ไม่ให้ตกไปอยู่ในความฟุ้งซ่านด้วยอำนาจ
แห่งสัทธา วิริยะ ปัญญา ซึ่งเป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความฟุ้งซ่าน และรักษาจิตไว้ไม่ให้
ตกไปสู่ความเกียจคร้ายด้วยสมาธิ ซึ่งเป็นไปในฝักฝ่ายความเกียจคร้าน
เพราะเหตุนั้น สติจึงจำเป็นต้องปรารถนาในทุกที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ
และเหมือนกับพระเจ้าแผ่นดินปรารถนาอำมาตย์ผู้สำเร็จราชการ ในราชกิจทุกอย่างฉะนั้น


อาศัยเหตุดังพรรณนามาฉะนี้ ท่านจึงตั้งคำถามและคำตอบไว้ว่า เพราะเหตุไร
สติจึงจำปรารถนาในที่ทั้งปวง ตอบว่า เพราะจิตมีสติเป็นที่ระลึก
และสตินั้นมีความระลึกได้ในอารมณ์เนืองๆเป็นลักษณะ คือเป็นเครื่องหมาย เป็นป้ายบอกให้รู้
มีความหลงไม่ลืม เป็นหน้าที่ มีการรักษาอารมณ์ไว้เป็นอย่างดี
เป็นผลปรากฏคือ มีหน้าที่มุ่งตรงต่ออารมณ์

จากหนังสือ วิปัสสนากรรมฐาน ภาค ๒ ว่าด้วย มหาสติปัฏฐาน หลวงพ่อโชดก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 21:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใช่เลยค่ะ

เรียงลำดับการปฏิบัติ ๔ อย่าง
๑. รู้กาย
๒. รู้ความรู้สึก
๓. รู้อารมณ์
๔. รู้ทุกอย่างตามหลักสัจธรรม

จุฬาภินันท์ได้ปัญญาระดับอรหันต์แล้ว (เรื่องจริงไม่มีโกหก เพราะถือศีล ทำสมาธิ แล้วปัญญาถึงเกิดค่ะ) เพราะทำตามสติปัฏฐาน ๔ ข้อนั่นแหละค่ะ

ใครๆก็ถึงระดับอรหันต์ได้ ถ้าเพียรพยายามค่ะ แต่ตอนนี้ ทั้งประเทศมีแค่สองคน คือ จุฬาภินันท์และเนื้อคู่ของจุฬาภินันท์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2009, 00:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญญาแบบพระอรหันต์ เป็นไงเหรอ

แต่ว่าพวกที่ปฎิบัติจริงเขาจะไม่พูดกันนี่นา แปลกแหะ

ทะมายไม่ไปนิพพานล่ะ มีปัญญาระดับนั้นแล้ว


อ้างคำพูด:
ใครๆก็ถึงระดับอรหันต์ได้ ถ้าเพียรพยายามค่ะ แต่ตอนนี้ ทั้งประเทศมีแค่สองคน คือ จุฬาภินันท์และเนื้อคู่ของจุฬาภินันท์


ทั้งประเทศมีแค่สองคนเอง จริงอะ โอโหหหหห ปุถุชนเก่งกว่าพระที่บวชอีกแหะ สุดยอดไปเลย!!!


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2009, 02:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 4

sweetheart <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (9:27 PM):
เดินก็ ช่วงแรกๆ เหมือนกับว่ามัวแต่คิดนะคะ แบบเมื่อวานทำได้ จะทำแบบเมื่อวาน ก้อทำไม่ได้นะ แบบว่าตอนแรกๆมันก็มึนๆด้วย พึ่งตื่น เพราะว่าหลับไป 1 ชั่วโมงก่อนทำ หลังๆก็ ไม่รุ้สิคะว่ามัน
เป็นที่รุ้สึกจริงๆ หรือเป้นเพราะเราไปกดความรุ้สึกให้เป็นแบบนั้นน่ะ ก้อเลยไม่กล้าพูดเท่าไหร
แนวๆว่าเบื่อร่างกายนะคะ ก็หลังๆก็คิดว่าไม่อยากกดความรุ้สึกหรืออะไรแล้ว กลัวจะไม่ใช่ของจริง
10 นาทีหลังเลยดูเท้าอยู่เดียว สัมผัสได้ถึงทั้งแต่ส้นเท้าจนถึงปลายเท้าน่ะคะ แล้วรุ้สึกว่าห้องมันก็สว่างขึ้นมา ก็ทำนองนี้นะคะ หลังๆก็พิจารณาความตาย นิดหน่อย

แล้วที่เดินเนี่ย ให้ดูเท้าอย่าไปสนความคิดหรือเปล่านี่ รุ้สึกเราจะงงๆนะ
บางทีถ้าตามความคิดมากเกินไปมันจะหลุดน่ะคะ

สุขที่แท้จริง says (9:35 PM):
เราห้ามความคิดไม่ได้หรอกค่ะ แต่สามารถรู้ทันมันได้ ถ้าสติเรามากพอ พอรู้ทันได้ มันก็จะหายไปเองค่ะ

sweetheart <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (9:35 PM):
คะ ก้อรุ้ทันความคิดนะ ต้องเดินต่อไปสินะคะ

สุขที่แท้จริง says (9:36 PM):
จ้ะ ใช้เวลาและความอดทนนะคะ ทำความเพียรต่อเนื่อง แล้วนั่งล่ะคะ

sweetheart สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (9:36 PM):
คะ บางทีมันเหมือนไม่มีอะไรนะ นั่ง ดูลม ฟุ้งบ้างแต่กลับมาที่จมูกได้น่ะคะ
มีความรุ้สึกว่าเมื่อไหรจะหมดเวลา หลังๆก็นิ่งดี แต่ก้อมีความคิดอยู๋แหละ
แล้วหลังๆมองดูนาฟิกาแล้วว่าเมื่อไหรจะหมด

สุขที่แท้จริง says (9:38 PM):
มีก็มีสิคะ ...

sweetheart <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (9:38 PM):คะ

สุขที่แท้จริง says (9:38 PM):
เราแต่ละคนสร้างเหตุต่างๆไว้ในอดีตไม่เหมือนกัน ผลที่ได้รับเลยแตกต่างกันไป
บางคนต้องใช้ปัญญาในการเริ่มต้น บางคนเขาไปธรรมชาติของเขา
บางคนเห็นความไม่เที่ยง หลายหลากค่ะ นั่ง 10 นาทีป่ะคะ

ดีค่ะ ถ้าฟุ้งมากๆ ลุกเลยค่ะ ไม่ต้องนั่งต่อนะคะ นั่งได้แค่ไหนที่รู้กายได้ เอาแค่นั้น

sweetheart <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (9:40 PM):
คะพี่ อ้อ ตอนเดินก็มีสะเทือนใจบ้างน่ะคะ แต่ไม่สนใจ

สุขที่แท้จริง says (9:41 PM):
สะเทือนใจอะไรหรือคะ

sweetheart <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (9:41 PM):
ไม่รุ้นะ เดินๆแล้วมันสะเทือน คงราวๆว่าไม่เที่ยงแหละคะ แต่พอพยายามดู มันก็มีแค่นั้น
ไม่ไปลึก เหมือนเราเห็นแค่รอยแยก แล้วกลับไปดูไม่ได้อีก

สุขที่แท้จริง says (9:43 PM)
: เข้าใจค่ะ .. คือว่า อาจจะมีอะไรลึกๆที่ฝังใจอยู่ เลยทำให้เกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นมา ...
แล้วจะได้คำตอบเองค่ะ ถ้ายังไม่รู้ว่าคืออะไรนะคะ เพราะพอมีสติมากๆ
เรื่องที่เราเคยลืมไปแล้ว มันจะผุดขึ้นมาให้เรารู้ค่ะ


sweetheart <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (9:44 PM):
เหรอคะ ลึกๆฝังใจเหรอ??? เอ๋ ไม่ใช่เรื่องไม่เที่ยงเหรอคะ

สุขที่แท้จริง says (9:44 PM):
จิตเรามันซับซ้อนนะคะ

sweetheart <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (9:44 PM):
นั้นสิคะ พี่พูดแบบนี้แล้วเรานึกกลัว

สุขที่แท้จริง says (9:45 PM):
ก็พี่เจอมาแล้วน่ะ ถึงได้พูด

sweetheart <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (9:45 PM):
เพราะว่าเรื่องที่เราฝั่งไว้ในใจแล้วไม่เอาออกมาอีกมันเยอะน่ะ

สุขที่แท้จริง says (9:48 PM)
เรื่องราวในอดีตที่ลืมไป ถึงจะจำเรื่องในอดีตไม่ค่อยได้ แต่มาตอนหลังนี่ มันรู้หมด ....
เหมือนที่ครูบาฯท่านบอกน่ะแหละ จิตมันจะถูกขุดขึ้นมาหมด


sweetheart <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (9:49 PM):
งั้นไปเรื่อยๆสินะคะ ไม่รีบไม่ร้อน รุ้สึกกว่าจะขุดออกมาได้หมดนี่มันนานทุกคนต้องเจอเหรอ

สุขที่แท้จริง says (9:51 PM):
เจอค่ะ เมื่อสภาวะเปลี่ยนไปทุกๆขณะ

sweetheart <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (9:51 PM):
คะพี่ แปลกใจจังไม่คิดว่าตัวเองจะได้เจอกะเขาด้วย

สุขที่แท้จริง says (9:52 PM):
ทุกๆคนเจอเหมือนกันหมดค่ะ เพียงแต่บางคนอาจจะไม่รู้ ถ้าไม่มีคนบอกน่ะค่ะ
มันคือ สภาวะไงคะ ... ถ้าทุกคนปฏิบัติแล้วเข้าใจสภาวะ เราจะเข้าใจคนทุกๆคน
ไม่ว่าเขาเราจะมีความแตกต่างกันมากแค่ไหนก็ตามค่ะ
สักวันหนึ่ง พุซต้าจะเข้าใจมากขึ้นไปเรื่อยๆค่ะ ยิ่งสภาวะเปลี่ยนไปมากเท่าไหร่
จิตเรายิ่งสงบลงมากขึ้น เพราะกิเลสจะถูกถากถางออกไปทำให้เบาบางมากขึ้นค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 27 ม.ค. 2010, 22:05, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2009, 17:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มีประสบการณ์การปฎิบัติของผู้ปฏิบัติมาให้อ่านด้วยแหะ ดีจัง ^^~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2009, 00:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 5

sweetheart สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (8:57 PM):
เดินก็กำหนด ซ้ายหนอ ขวาหนอ ดูสัมผัสที่เท้าสัมผัสพื้น
ตอนเดินช่วงแรก เห็นกิเลสของตัวเอง คิดว่ามีครบทุกอย่างนะ แล้วก็อัดแน่นอยู่ในใจ
เหมือนมันนอนอยู่น่ะ แล้วเราก็ขุดมันออกมาไม่ได้ เดินไปก็คิดไป เออ เลวอย่างนี้หนอ อย่างนั้นหนอ แล้วก็มีแบบว่าเสียใจ อยู่นะ แบบว่าสะอื้นออกมา แต่ก็ไม่ได้อะไร จากนั้นความคิดก็แวปไปไหนนี่แหละ
กลับมาดูอีกทีก็ไม่เห็นแบบนั้นแล้ว มันว่างๆ แบบว่า ไม่คิดอะไร แต่จริงๆก็คิด คิดว่าไม่ได้คิดอะไร
เป็นสักสองนาทีนะ จากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีอะไร แต่ช่วงหลังกายมันปวด เดินนานแล้ว
ก็รุ้สึกเบื่อกายขึ้นมา จากนั้นก็สักพัก ความคิดมันแวปไป แล้วเหมือนกับช่วงหลังเริ่มฟุ้งๆแล้ว
พอกลับมาอีกที่ ก็เดินเร้วขึ้น เหมือนกับว่าเนช่วงคลายสมาธิมั้ง ก็เลยเดินเร้วๆ
จากนั้นพอเบื่อแล้วก็กลับมาเดินช้าดั่งเดิม แต่ช่วงหลังๆก้อฟุ้งไปบ้าง ก็ แปลกนะ
แบบว่า ที่เราเห็นอยู่น่ะ ธรรมที่เราเห็นอยู่ พอมันผ่านไป เราจะเรียกกลับมาดูต่อ หรือดูใหม่ ไม่ได้น่ะ
มันต้องเป็นไปตามสภาวะ แล้วมันก็วนไปเวียนมาให้เราดูมั้ง จะไปเรียก อยากดูอันนั้นต่ออะ
ก็ไม่ได้น่ะคะ

สุขที่แท้จริง says (9:03 PM):
เข้าใจค่ะ

sweetheart สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (9:03 PM):
ตรงนี้ก็ติดอยู่บ้างหน่อยอะ เพราะว่าอยากเรียกอันที่เคยดูได้กลับมา
แต่มันก้อไม่มา ก็เลยต้องปล่อยไป ทำนองนั้นน่ะคะ ไม่มีอะไรเพิ่มเติมมั้ง

สุขที่แท้จริง says (9:03 PM):

นั่งล่ะคะ

sweetheart สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (9:03 PM):
ก็ ดูลมหายใจ บางทีทั้งๆที่ดูลมที่จมูก มันก็ฟุ้งไปเรื่องนิยาย ที่แบบว่าเราคิดไปเองว่า
มันเป็นเรื่องจริงเลย ก็พยายามดูลมสักพักหนึ่ง รุ้สึกว่ากายมันค่อยๆเย้น แล้วก็นิ่ง สงบ
มีฟุ้งอยู่ในความนิ่ง จากนั้นก็เข้าๆออกๆมั้ง ทำนองนี้น่ะคะ

สุขที่แท้จริง says (9:05 PM):
เดินกี่นาทีคะ นั่งกี่นาทีคะ

sweetheart สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (9:05 PM):
เดิน 45 นั่ง 10

สุขที่แท้จริง says (9:06 PM):
เพิ่มเดินได้ป่ะคะ เป็น 50 ไหวมั๊ยเอ่ยยย ถ้ายังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไรค่ะ จริงๆนะคะ

sweetheart สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (9:07 PM):
ลองดูนะคะ แต่เดินครั้งนี้มีอะไรที่เราดูผิดบ้างไหมคะ

สุขที่แท้จริง says (9:07 PM):
ไม่มีค่ะ

sweetheart สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (9:08 PM):ตกลงคะพี่





.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 27 ม.ค. 2010, 22:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2009, 21:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 6

สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (9:48 PM):
เสร้จแว้วคะ

สุขที่แท้จริง says (9:48 PM):
เดินเป็นไงคะ

สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (9:48 PM):
มีเรื่องมากมายที่ต้องเล่า วันนี้เจอเยอะจริงๆ
เดินช่วงแรกคะ เหมือนถูกรุม ทางความคิด ทางร่างกายน่ะคะ อย่างแบบว่า
รุ้สึกอึดอัดร่างกายมากความคิดมันจะไปจับที่ร่างกาย แล้วที่จับสัมผัสเท้าอยู่จะค่อยๆหายไป
แบบว่า เหมือนเราพยายามดูว่ามันทุกข์ทางสังขารน่ะคะ หลังๆก็เลยคิดว่า ไม่ใช่แล้วมั้ง แบบนี้
มองเท้าไม่ชัด ก็เลยปล่อย ปล่อยความรุ้สึกทั้งหมดที่เจอ แล้วหันมาจับเท้าแทน

แบบว่า มันรุ้สึกว่าความคิดโล่งดี แต่มันมีกังวลนะ ว่าถ้าเราไม่คิด หรือว่าไม่เพ่งทุกข์อะไร
เราจะเจอความจริงเหรอ

แต่ก็คิดว่า สติอะ สำคัญกว่า ตามที่พี่น้ำบอก และตามที่เราได้ประโยชน์มา
หลังจากช่วงนั้นก็เลยดูเท้า แล้วมันจะมีบางช่วงที่แบบ สะเทือนใจมาก
สะอื้น น้ำตาคลอออกมาเล้กน้อย แต่พอมีสติมันก็หายไป เป็นแบบนี้กลับไปกลับมาสักพัก

ก็เลยคิดว่า เพ่งทุกข์มันจะมีประโยชน์จริงเหรอ ก็เลยตัดสินใจไม่สนใจการสะเทือนใจแล้ว
มาดูสติแทน ก็เลยรู้ว่า ตอนนี้สภาวะของเราน่ะ ถ้าหากว่าโดนเบี่ยงความคิดไป มันจะสะเทือนใจ
เหมือนกับว่าเราไปเจอเรื่องอดีตแล้วเราเศร้า ทำนองนั้นอะ

ช่วงนั้นเดินแบบเศร้าๆอะคะ แล้วเดินไปสักพักหนึ่ง จู่ๆเราก็ได้ธรรมหัวข้อใหม่ขึ้นมาน่ะคะ
ได้ว่า ทำร้ายคนอื่นก็เหมือนกับทำร้ายตัวเอง

สุขที่แท้จริง says (9:54 PM):
ถูกค่ะ

สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (9:54 PM):
ไม่รุ้สิ แต่เรารุ้สึกว่ามันตรงตัวมากๆน่ะคะ เราก็แปลกใจนะว่ามันจริงเหรอ
แต่ว่าถ้าดูจากสภาวะเราแล้วน่ะคะ ทันทีที่ไปคิดไม่ดีกับคนอื่น มันจะตีกลับเข้าหาเราทันที
หมายถึงความคิดไม่ดีอะคะจะตีกลับมาหาเรา

สุขที่แท้จริง says (9:55 PM):
เข้าใจค่ะ สภาวะมันจะบอกเรา สติมันจะทำให้เราไประลึกได้

สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (9:55 PM):
คะ แล้วต่อจากนั้น พอเราได้หัวข้อธรรมนั้นมา จู่ๆความคิดก็เงียบสงบลงไปมาก
เหมือนว่าเราไม่อยากคิดอะไรน่ะ ก็มีบางช่วงที่คิด แต่ว่ามันรู้ทันตลอด ว่าคิดอะไรยังไง
แต่การปรามาสพระยังมีอยู่ หลังๆเราก็เลยคิดว่า ก็นึกถึงพระท่านน่ะคะ แล้วคิดว่า

มีวิธีที่จะทำให้เราไม่ปรามาสท่านได้ไหมน้อ เรานึกถึงหลวงพ่อปานอะคะ แล้วท่านก็ยิ้มๆนะ
จากนั้นก็เหมือนโดนตีกลับ แบบว่า เราไปคิดเรื่องไม่ดีใส่ท่าน แล้วมันก็ตีเข้าหน้าเราเลย
หน้าชาไปชั่วขณะตอนนั้น บางทีก้อเหมือนมีเนื้องอกอยู่บนหัว

อะนะ แบบว่า เราไปปรามาสท่านไง บางทีไปปรามาสด้วยถ้อยคำหยาบคายมากจน
เราไม่อยากจะนึกถึงอะ แต่ว่า มันต้องเผชิญหน้ากับมันตรงๆเลยน่ะคะ แม้ว่า
เราจะไม่อยากนึกถึงอีกก็ตาม ต่อจากนั้นก็ไม่ได้พิจารณาอะไรแล้ว

ช่วง 15 นาทีหลัง เราก็ยังพอตั้งใจอยู่ แล้วก็ลดลง จากนั้นพอช่วง 10 นาทีสุดท้าย
เราก็เริ่มเหนื่อยน่ะ ก็เลยปล่อยความคิดตัวเอง แต่ว่าก็ยังเดินจับเท้าอยู่น่ะคะ
แต่ก็ยอมปล่อยให้ตัวเองฟุ้ง แบบว่ามันเหนื่อยอะ ก็คิดบ้างไรบ้างเงี้ย ก็รุ้นะว่าคิดอะไรบ้าง

จากนั้นช่วง 3 นาทีสุดท้าย ก็คิดว่า จริงๆแล้วเราเดินแล้วเราไม่ค่อยฟุ้งไม่ใช่เหรอ
ทำไมตอนนี้ความคิดทำงานกันจัง ก็เลยกลับมาตั้งสติใหม่ แล้วช่วง 3 นาทีหลังก็เดินแบบใช้สติ
แล้วพอหมดเวลาก็เดินไปนั่งสมาธืคะ นั่งก็ฟุ้งบ้าง พยายามจับที่ลม มันมีอยู่ช่วงหนึ่งอะ

ที่เรารู้ว่าเรากำลังฟุ้ง แต่มันเหมือนมีสติมากั้น ไม่ให้เราฟุ้งต่ออะคะเราก้อเลยไปจับที่ลมตรงจมูก
ฟุ้งไปเรื่องหนึ่งนี่แหละ พอกลับมาอีกทีก็นิ่ง สว่าง ฟุ้งไปนิดหนึ่ง แล้วก็กลับมานิ่ง เป็นแบบนี้น่ะคะ
ในความนิ่งก้อมีความคิดคำนึงอยู่ แต่ไม่รุ้ว่าเรื่องอะไรบ้าง ก็มีเท่านี้แหละคะพี่

สุขที่แท้จริง says (10:03 PM):

นั่ง 10 นาทีใชป่ะคะ ตกลงนั่งกี่นาทีคะ

สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (10:03 PM):

10 นาทีคะ

สุขที่แท้จริง says (10:04 PM):

เดินล่ะคะ

สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (10:04 PM):

50

สุขที่แท้จริง says (10:04 PM):

โมทนาค่ะ

สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (10:04 PM):

คะพี่ ทำยังไงจึงจะไม่ปรามาสพระคะ

สุขที่แท้จริง says (10:05 PM):

มันจะฟุ้ง มันจะคิดก้ให้เรารู้ ยิ่งสติดีขึ้นมากเท่าไหร่ กิเลสในใจของเรามันจะถูกขุดออกมามากเท่านั้น
หิริ โอตัปปะน่ะค่ะ มันจะทำงานเองโดยอัตโนมัติ
คิดหนอๆๆๆ ไปก่อนสิคะ เวลาคิดปรามาสน่ะ อย่าปล่อยให้มันไหล


สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (10:05 PM):

คะพี่ เราแบบว่าคิดปรามาสเพียงแว่บเดียวแล้วกลับมาที่เก่า ไม่ได้ไปไกลมาก
ก้อเลยไม่ได้กำหนดคะ

สุขที่แท้จริง says (10:06 PM):

อ่อ ... ค่ะ คิดว่าคิดยาว

สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (10:06 PM):

คะพี่ แปปเดียวแล้วกลับมา แต่มันเหมือนเล่นชักคะเย้ออะ
กลับไปกลับมา เหมือนเราอยากรุ้ว่าปรามาสจิงอะ

สุขที่แท้จริง says (10:07 PM):

ก็เวลาคิดถึงจะแป๊บเดียว ก็บอกตัวเองสิคะว่ามันไม่ดีๆๆๆๆ ทำแบบนี้บ่อยๆ แล้วจิตมันจะเป็นอัตโนมัติ
พอมันจะคิดปรามาสอีก คำว่าไม่ดๆๆๆ มันจะตีขึ้นมาเองค่ะ


<ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (10:07 PM):

คะพี่ ตกลง[/color]

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 27 ม.ค. 2010, 22:10, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2009, 21:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 7

Sweet Heart (f) สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ>
วันนี้เดินแย่ทั้งๆที่วันนี้กะว่าจะได้แบบดีกว่าเดิมน่ะนะ แต่นี่เหมือนย่ำอยุ่กะที่แล้วก้อแย่กว่าครั้งก่อนๆ

สุขที่แท้จริง says (10:38 PM):
ทุกอย่างมันไม่เที่ยงค่ะ เราจะไปคาดหวังอะไรกับสภาวะมันไม่ได้ มันจะหลอกเราตลอดเวลา
หลอกให้เราดีใจบ้าง ทุกข์บ้าง แต่ที่เห้นๆคือ ความไม่เที่ยงค่ะ

สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (10:41 PM):
ไปเผลอคิดว่าตัวเองดีแม้เพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้เราเริ่มมองไม่เห็นกิเลสของตัวเอง
มันติดแบบว่า เหมือนจะเล็กน้อยจริงๆนะ แต่ละอย่าง แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้เล็กน้อยเลย

สุขที่แท้จริง says (10:41 PM):
ดีมั๊ยล่ะคะได้รู้ว่ายังติดอะไรอยู่

สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (10:41 PM):
ไม่รุ้อะ เศร้านะเนี่ย

สุขที่แท้จริง says (10:46 PM):
เศร้าทำไมล่ะคะ น่าจะดีใจนะ ได้เจอกิเลสเต็มๆ

Sweet Heart (f) สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ>[
เราก้อถือว่ามันเป็นกรรมของเราที่เราต้องเจอนะคะ
เพราะว่าเราเจอตัวที่เราติดอยู่ทั้งหมดเลย (ไม่แน่ใจว่าหมดหรือเปล่านะ)

แถมบางตัวที่ลงไปนอนดีๆแล้วยังลุกขึ้นมาเต้นระบำให้เราเห้นอีก อย่างช่วง 15 นาทีแรกเนี่ย
ติดว่าความคิดต้องนิ่ง ต่อมาก็นึกได้ว่าไม่จำเป็น ก้เลยหลุดออกมา ต่อมาก็ไปติด อะไรนี่แหละ

เพราะเป็นเรื่องที่เราตั้งใจไว้แล้ว เหมือนกับว่าเราเดินเนี่ย ตั้งใจอยากให้ไปเร้วๆ
ทำให้มันไม่ไปไหน มันอยู่กับที่ เราก้อเลยเริ่มมองออก
แบบว่าที่ผ่านมาตอนเดินอะ จับสัมผัสเท้าได้ น้อยมาก
ไม่เหมือนของวันอื่น ช่วง 2 นาทีสุดท้ายนี่สิ จึงจะตั้งหลักได้กลับเป็นอย่างเก่า
ด้วยแบบว่า เราคิดว่านั้นมันเป็นเรื่องของอนาคต เราก้อเลยจับที่ปัจจุบัน พอทำอย่างนั้นเท้าก็ชัด

แล้วมีช่วงหนึ่ง่น่ะคะ ที่เราเดินแล้วเราได้หัวข้อธรรมมาหัวข้อหนึ่ง
คือว่า ความคิด มันมีน้ำหนักน่ะคะ เราก้อเลยแปลกใจ มีจริงๆเหรอ? หลังๆก็รู้สึกได้ว่ามี

สุขที่แท้จริง says (11:25 PM):
เราคิดว่ามันมีเมื่อไหร่ มันก็จะมีทันที แต่เป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้เราสำรวมความคิดมากขึ้นค่ะ
เหมือนเดินจงกรมน่ะ ถ้าสติ สัมปชัญญะดี ความคิดมันก็แค่ความคิด มันเหมือนอะไรลอยๆ
แต่ไม่มีเป็นรูปธรรม มันจะรู้ชัดที่เท้า รู้ชัดที่กายมากกว่า

Sweet Heart (f) สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (11:28 PM):
คะพี่ ช่วงหลังที่เรานั่งอยู่หน้าพระเราถึงได้รุ้ว่าเราเริ่มหลงตัวเองแล้วน่ะคะ วันนี้ก้อมีเพียงเท่านี้แหละ

สุขที่แท้จริง says (11:29 PM):
ความคิดก้สักแต่ว่าความคิด ไม่มีผลอะไรกับเรา มันก็แค่อะไรสักอย่าง เรื่องของความคิด
มันเกิดแล้วก็ดับเกิดแล้วก็ดับอยู่อย่างนั้น บางทีมีสมาธิเล็กๆเกิดมันก็เบาๆ ยิ่งทำมันยิ่งเห็นกิเลสน่ะ

Sweet Heart (f) สติเป็นเครื่องกั้นความอยาก <ทุกวันคือการปฎิบัติ> says (11:29 PM):
ทำยังไงดีอะ แต่นี่มันเหมือนว่าเราติดตรงนั้นเลยอะคะ

สุขที่แท้จริง says (11:30 PM):
ถ้าทำแล้วไม่เห้นกิเลสน่ะมันไม่ใช่ เพียงแต่ว่าเราน่ะพร้อมที่จะยอมรับความจริงได้แล้วหรือยัง
ในสิ่งที่เรายังคงมีและยึดติดกับมันอยู่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 22:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 8


ขอบคุณที่มอบชีวิตใหม่ให้เรา บุญคุณครั้งนี้จะไม่มีวันลืม says (10:35 PM):
เมื่อกี้พี่ไม่อยู่ ไม่รู้จะปรึกษาใคร เลยไปปรึกษาเพื่อน
เรารู้ตัวว่าเรา กำลัง เปรียบเทียบกับคนอื่นอยู่ จริงๆแล้วเราเปรียบเทียบกะคนอื่นตลอดเวลาเลย
ทั้งที่รุ้ตัวและไม่รุ้ตัว เราทุกข์ใจเหมือนกัน เลยไปถามเพื่อนอีกคน
ก้อได้ใจความว่า เปรียบเทียบไปไม่มีอะไรดีหรอก แต่ถ้าอยากมุ่งมั่นละก้อแค่ความรุ้สึกว่า
อยากเป็นอย่างนั้นบ้าง ก้อพอแล้ว

สุขที่แท้จริง says (10:55 PM):
อื่มมม ... อันนี้จะถามพี่น้ำใช่มั๊ยคะ

ขอบคุณที่มอบชีวิตใหม่ให้เรา บุญคุณครั้งนี้จะไม่มีวันลืม says (10:55 PM):

ไม่อะคะ แล้วต่อจากนั้นก็เป็นแบบว่า ไม่รุ้อะ แต่ว่าเราเศร้าอะ
เจอแล้วเศร้ามากๆอะคะ ข้ามล่ะกัน

จากนั้น เราก้อเดินไปข้างบน จะไปปฎิบัติกรรมฐานน่ะ
ก่อนเดินเราก้อนั่งอยู่ตรงหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วเราก็พูดๆ
พูดอย่างนั้นอย่างนี้ สุดท้ายก้อร้องไห้อะนะ
แบบว่ามันเสียใจอะ ทำไมเราถึงต้องโดดเดี่ยว
ทำไมเราถึงเป็นคนที่ทำให้สิ่งดีๆจากเราไปหมดเลย
ทำไมเราเป้นคนแบบนี้.... มีดีไหมในชีวิต ทำนองนี้อะ

ตอนเช็ดน้ำตา ก็รุ้สึกว่ามีหลวงพ่อมาลูบหัวให้อะคะพี่ ก็โอเคแล้ว
หลังจากนั้นก้อเป็นเวลาเดิน 50 นาที
ออกนอกเรื่องเยอะไปอะเปล่าคะ =-=

สุขที่แท้จริง says (10:58 PM):

พูดต่อได้ค่ะ

ขอบคุณที่มอบชีวิตใหม่ให้เรา บุญคุณครั้งนี้จะไม่มีวันลืม says (10:59 PM):

ช่วงที่เดิน มันเศร้า เพราะพึ่งร้องไห้มานี่นา
อ้อ จำได้แล้ว ความจำหนีไปหมดเลยแหะ ต้องนั่งระลึก

สุขที่แท้จริง says (11:00 PM):
ค่ะ เข้าใจหรือยังคะ ที่พี่บอกว่า ปฏิบัติเสร็จให้บันทึกไว้ ไม่งั้นก็จะลืม

ขอบคุณที่มอบชีวิตใหม่ให้เรา บุญคุณครั้งนี้จะไม่มีวันลืม says (11:00 PM):

อ่า คะ ประมาทไป ทุกทีจำได้

สุขที่แท้จริง says (11:01 PM):

พอบอกว่าติดคุยอยู่ พี่ถึงถามว่า แล้วจะจำสภาวะได้เหรอ

ขอบคุณที่มอบชีวิตใหม่ให้เรา บุญคุณครั้งนี้จะไม่มีวันลืม says (11:01 PM):

คะพี่ ตอนเดินช่วงแรก ใจมันระลึกได้ว่า เคยเดินได้แล้วแบบว่า ไม่ค่อยฟุ้งนี่นา
พอเดินแล้วพยายามให้ไม่ฟุ้ง มันก็รุ้สึกว่าไม่ใช่
เราก้อเลย เอาเถอะ ถ้างั้นก้อปล่อยให้ฟุ้งไปเลย (แบบว่าประขดตัวเอง)

ช่วงแรกนั้นยังเศร้าอยู่อะคะ เดินไป แล้วจู่ๆก็ไปพิจารณา ว่า เออนี่
วันก่อนๆน่ะ เรายังร่าเริงอยู่เลย ช่วงที่ร่าเริงก็คิดไม่ออกเลยว่าความทุกข์เป็นยังไง
เหมือนกัยว่าจะไม่ได้เจอกะความทุกข์อีก แต่ในวันนี้มาร้องไห้เนี่ย มันไม่เที่ยงเลยนะ

จู่ๆก็ได้หัวข้อธรรมน่ะคะ ได้ว่า ตัวเราไม่ใช่ตัวเรา พอรู้แบบนั้นแล้ว ช่วงที่เดินนั้น
มันเหมือนล่องลอยอะคะ เหมือนว่าเดินอยู่ในความคิดนี่แหละ แต่ว่าน้ำหนักเบาลง

จากนั้นสัก 10 นาที ก้อรุ้แล้วว่า กำลังจมกับความคิดตัวเองนี่นา
เพราะว่ามันเห็นเท้าไม่ค่อยชัดอะคะ ก็เลยออกมาเดินตามปกติ แต่ว่าความคิดมันก็ฟุ้งนะ

ฟุ้งแล้วเราก็ปล่อยให้ตัวเราเป็นผู้ดู ก็เลยรู้ว่า ความคิดมันไม่มีตัวตน
ถัดจากนั้น พิจารณา ก็กลายเป็น ความคิดแบ่งออกเป็น 3 อย่าง
อกุศล เป็นกลาง และ กุศล อะคะ อืม มีเท่านี้นะคะ

ช่วงอื่นเดินแล้วมันเห็นเท้าชัดบ้างไม่ชัดบ้าง ไหลไปตามความคิดบ้าง
แต่ทันความคิดนะคะ แล้วช่วงสองนาทีสุดท้ายก้อมาตั้งใจเดิน
แบบว่าดูเท้าไปเลย แล้วก็อีกอย่างอะคะ เราว่า ที่ผ่านมานั้น
โดยที่ไม่รู้ตัวเลย เรา เป็นคนที่ โกหก น่ะคะ

อย่างบางทีเราพูดน่ะ เราพูดอย่างนี้ แต่จริงๆแล้วใจเรามันคิดไปอีกทาง
แบบไม่ได้ตั้งใจอะ แต่ก็แค่ยอมรับไม่เต้มที่กับสิ่งที่ได้พูดออกมา

สุขที่แท้จริง says (11:09 PM):

เข้าใจค่ะ

ขอบคุณที่มอบชีวิตใหม่ให้เรา บุญคุณครั้งนี้จะไม่มีวันลืม says (11:09 PM):

อะคะ อย่างวันนี้ก็ได้รู้ แต่ก็รู้เลยว่าเราทำแบบนั้นมาตลอด
ผิดศีลข้อ 4 ทั้งๆที่ไม่รุ้ตัวมาตลอดอะนะ เดินก้อมันเท่านี้อะคะ

สุขที่แท้จริง says (11:10 PM):

นั่งล่ะคะ

ขอบคุณที่มอบชีวิตใหม่ให้เรา บุญคุณครั้งนี้จะไม่มีวันลืม says (11:10 PM):

นั่งก็ ฟุ้งอยู่นะ แต่ว่าก็จับลมหายใจที่จมูก มันก็มีอึดอัดอะคะ
ก้อเลยหายใจไม่ค่อยสะดวก บางทีก้อนิ่งบางทีความคิดก็เคลื่อนไหว เท่านี้แหละคะ

สุขที่แท้จริง says (11:11 PM):

ถ้าถามอะไรไป ตอบตามความเป็นจริงที่รู้สึกได้มั๊ยคะ

ขอบคุณที่มอบชีวิตใหม่ให้เรา บุญคุณครั้งนี้จะไม่มีวันลืม says (11:12 PM):

คะ

สุขที่แท้จริง says (11:21 PM):

แล้วสภาวะที่ว่าบีบคั้นหัวใจนี่ คืออะไรคะ ใครทำอะไรให้คะ

ขอบคุณที่มอบชีวิตใหม่ให้เรา บุญคุณครั้งนี้จะไม่มีวันลืม says (11:21 PM):

หมายถึงความทุกข์ที่เจอในช่วงนั้นอะ เราเอาเรื่องตั้งแต่ต้น จนถึงปัจจุบัน
มาคำนวณ จนได้ผลสรุปว่า

ความจริงแล้วเราเปรียบเทียบตัวเองกะคนอื่นมาตลอด จนสูญเสียความเป็นตัวเองไป
แล้วที่ไปทำร้ายคนอื่นเนี่ย เพราะแบบนี้เหรอ แล้วก็มีเรื่องอื่นมารุมด้วย
อะไรทำนองเนี่ย ก้อขอร้องไห้นะ

เราคิดตลอดว่าภาวะทุกข์ที่เราเจอนั้น หมายถึงจะช่วยเพิ่มสภาวะทางธรรม
ถ้าไม่ปฎิบัติอาจจะไม่เจอ ทำนองนี้
จริงๆแล้วตั้งแต่แรกเราคงปิดซ้อนทับตัวเองไว้หลายครั้งน่ะ

สุขที่แท้จริง says (12:01 AM):

กว่าเราจะยอมรับความจริงได้ มันยากนะ
เมื่อเราไม่ยอมรับความจริง มันก็เลยเหมือนเราไปกดทับมันเอาไว้


ขอบคุณที่มอบชีวิตใหม่ให้เรา บุญคุณครั้งนี้จะไม่มีวันลืม says (12:03 AM):

คะพี่ วันนี้เดินเป็นยังไงบ้างอะคะ ก้อวันนี้พี่ไม่พูดไรนี่นา

สุขที่แท้จริง says (12:04 AM):

พี่อ่านสภาวะค่ะ ถ้าตรงไหนควรให้ทำเพิ่ม พี่ก็จะบอกว่าทำตรงนี้เพิ่ม
ถ้าไม่มีอะไร พี่ก็จะถามว่า มีอะไรจะถามพี่มั๊ย ถ้าไม่มีก็คุยกันเรื่องอื่นๆ เหมือนหมูน่ะค่ะ
ถ้ามีอะไรจะเพิ่ม พี่น้ำก็จะบอกค่ะ


ขอบคุณที่มอบชีวิตใหม่ให้เรา บุญคุณครั้งนี้จะไม่มีวันลืม says (12:04 AM):

คะ อือ ตกลงนะ

สุขที่แท้จริง says (12:06 AM):

การเจริญสติปัฏฐาน จะทำให้เราปลดปล่อยตัวเองมากขึ้น จะเห็นแต่กิเลสระยิบระยับ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 23:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 9

ท้องเสียแน่ๆเลยเรา.. says (10:39 PM):

คะพี่ วันนี้ทำไม่สำเร้จอะ

สุขที่แท้จริง says (10:39 PM):

ท้องเสียหรือคะ

ท้องเสียแน่ๆเลยเรา.. says (10:39 PM):

ทำแล้วมันง่วงอะ วันนี้รุ้สึกไม่มีอะไรอะ พอเดินแล้วมันไม่รุ้สึกอะไรเลยเลย

สุขที่แท้จริง says (10:42 PM):

เดินแล้วไม่รู้สึกอะไรเลย คืออะไรคะ

ท้องเสียแน่ๆเลยเรา.. says (10:42 PM):

วันนี้เดินอะคะพี่ เราก้อคิดว่าเมื่อวานน่ะ รู้แล้วว่าใจมันไม่เที่ยง แบบว่าเราไม่มีในตัวเรา
แต่ว่ามันรุ้ไม่ชัด แสดงว่าต้องมีอะไรที่มันมากกว่านี้

ก็เลยนึกได้ว่า เป็นเพราะ เขาเรียกว่าอะไรนะ ถ้าตามของพุทธทาสก็ ตัวเรานี่แหละ
แต่พอรู้แค่นั้น มันก็คิดไรไม่ออกเลย แล้วก็เดินดูเท้าไปเรื่อยๆ

ฟุ้งบ้าง ไม่ฟุ้งบ้าง จนกระทั้งถึงจุดที่ความคิดมันค่อยๆเงียบอะ
แล้วดูเท้าไปเรื่อยๆจนกระทั้งรุ้สึกง่วงอะ ก็ทนไปสักพักหนึ่ง

ก็เลยตัดสินใจไปนอน อีกครึ่งชั่วโมงที่เหลือค่อยมาทำใหม่
หลับไปราวๆ 2 ชั่วโมง ตื่นมามึนๆ ขึ้นมาเดินต่อเลย

ช่วงแรกๆฟุ้ง แล้วช่วงหลัง ความคิดก็แทบไม่ค่อยมี
เดินดูเท้าไปเรื่อยๆ ทำไมถึงเงียบแบบนั้นอะ ไม่รุ้สึกอะไรเลยแบบวันก่อนๆ

เพราะว่าอะไร นึกไปมาก็เลยคิดว่า เพราะไปเอาของพี่มาโดยไม่ได้อนุญาตหรือเปล่า
ก็เลยคิดว่าวันนี้พอแค่นี้ล่ะกัน เหลือเวลาเดิน 15 นาที และไม่ได้นั่งน่ะคะ

สุขที่แท้จริง says (10:47 PM):

ค่ะยังติดตัวสงสัยอยู่ เมื่อวานพอฟุ้งก็บอกว่าเป็นเพราะพี่น้ำ
พอมาวันนี้สงบ ก็บอกว่าเพราะหยิบของมาโดยไม่ได้รับอนุญาติ
รู้หรือยังคะเพราะอะไรทำไมถึงสงบ ทำไมถึงฟุ้ง


ท้องเสียแน่ๆเลยเรา.. says (10:49 PM):

เพราะว่าเราสงสัย่น่ะเหรอ

สุขที่แท้จริง says (10:50 PM):

เพราะความคิดน่ะค่ะ มันเป้นเรื่องธรรมดาๆมากเลยเรื่องความคิดเนี่ย
จะคิดดีก็ได้ ไม่คิดดีก็ได้ หรือหยุดคิดเลยก็ได้ มันเที่ยงมั๊ยคะ


ท้องเสียแน่ๆเลยเรา.. says (10:51 PM):

ไม่เที่ยงะ

สุขที่แท้จริง says (10:51 PM):

นั่นสิ แล้วสงสัยอะไรหรือคะ

ท้องเสียแน่ๆเลยเรา.. says (10:52 PM):

เดินแบบนี้แล้วกลัวง่วงนอนอะ แล้วก้อเงียบ

สุขที่แท้จริง says (10:52 PM):

ถ้าง่วงนอนก็ยกอะไรขึ้นมาพิจรณาสิคะ

ท้องเสียแน่ๆเลยเรา.. says (10:52 PM):

เหรอคะ เอาอะไรพิจารณาอะ

สุขที่แท้จริง says (10:52 PM):

อะไรก็ได้ เรื่องอะไรก็ได้ ที่มันค้างคาอยู่ในใจ มันก็เป็นธรรมะได้เหมือนๆกันค่ะ

ถ้าถามว่า ทำไมวันนี้ถึงเดินแล้วสงบ ก็เมื่อรู้อยู่กับเท้าได้ สติมันชัดดี สมาธิย่อมเกิด
เมื่อสมาธิเกิด ความคิดมันเลยไม่มี พอสงบไปสักพัก การปรุงแต่งมันก็เกิด

ความพอใจกับไม่พอใจ พอใจกับความสงบ ความง่วงก็ตามมา เพราะมันขาดปัญญา

ไม่พอใจ ความฟุ้งก็ตามมา ก็บ่นอีกทำไมฟุ้ง ทำยังไงก้ได้ค่ะ ให้เอาจิตกลับมาอยู่ที่กาย


ท้องเสียแน่ๆเลยเรา.. says (10:56 PM):

เราขี้บ่นหรือคะ

สุขที่แท้จริง says (10:56 PM):

ใครบอกว่าขี้บ่นคะ พี่พูดถึงสภาวะค่ะ

ท้องเสียแน่ๆเลยเรา.. says (10:56 PM):

ถ้าใกล้ง่วงเนี่ย ให้เอาอะไรก้อได้มาพิจารณาสินะคะ

สุขที่แท้จริง says (10:57 PM):

ใช่ค่ะ อะไรก็ได้ เดินไปล้างหน้าก็ได้ ให้เปลี่ยนจากอริบทตรงนั้นน่ะแหละ
พี่น้ำเองก็ยังเป็นเล๊ย แต่นานๆน่ะ เวลาขี้เกียจ ไปนั่งหลับเลย เลิกทำ
ธรรมดาของจิตน่ะค่ะ สติไม่ทันกิเลสมันก็เอาเราไปกินหมด


ท้องเสียแน่ๆเลยเรา.. says (10:58 PM):

อ่าคะ เสียดายจังเลยอะ

สุขที่แท้จริง says (10:59 PM):

ยังดียังได้ทำบ้างค่ะ กระท่อนกระแท่นบ้าง สติยังไม่ค่อยทัน

ท้องเสียแน่ๆเลยเรา.. says (10:59 PM):

สติไม่ทันเหรอคะ ก้อเราจับเท้านี่นา

สุขที่แท้จริง says (11:00 PM):

ไม่ใช่ตลอดเวลานี่คะ

ท้องเสียแน่ๆเลยเรา.. says (11:00 PM):

หรือเราต้องไปศึกษาพระธรรมเพิ่ม

สุขที่แท้จริง says (11:02 PM):

พี่ไม่รู้จะพูดยังไงดีนะ แล้วแต่แล้วกัน แต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะ
ถ้าเรายอมรับตามความเป็นจริงได้มากเท่าไหร่ การถ่ายถอนอุปทาน
ในสิ่งที่จิตเราไปเกาะเกี่ยวอยู่มันก็มีมากขึ้น ตามกำลังของสติค่ะ


ท้องเสียแน่ๆเลยเรา.. says (11:12 PM):

บางทีเราต้องไปศึกษาเพิ่มนะคะ จะได้มีอะไรพิจารณา
พี่ว่าจำเป็นไหม ต้องพูดว่า พี่ว่าดีไหม

สุขที่แท้จริง says (11:13 PM):

แล้วแต่ค่ะ อันนี้พูดจริงๆนะคะ

ท้องเสียแน่ๆเลยเรา.. says (11:13 PM):

คะพี่ เราจำเรื่องที่เป็นผู้ดูที่พี่สอนได้น่ะ จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อวานที่ผ่านมาอะคะ
เราพัฒนาขึ้นนะ

สุขที่แท้จริง says (11:14 PM):

ผู้ดู .. การจะเข้าใจผู้ดูได้ ต้องเข้าใจผู้รู้ การจะเข้าใจผู้รู้ได้ ต้องเข้าใจตัวผู้รู้
เล่าให้พี่ฟังได้มั๊ยคะ พัฒนายังไงบ้าง


ท้องเสียแน่ๆเลยเรา.. says (11:14 PM):

ก็ จิตใจนิ่งขึ้นนะ แล้วก้อไม่ไปวุ่นวายกับคนอื่นด้วย ก้อเรื่องเปรียบเทียบกะเรื่องโกหกนี่แหละคะ
ดูเหมือนว่าจะอยู่ในตัวเราแบบที่ไม่รุ้ตัวเลย เพราะไม่รุ้ตัวต่อให้ใครพูดก็คงไม่เข้าใจ

แล้วเมื่อวานก้อลดความเป้นตัวตน ของเราไปได้น่ะคะ
ก้อเลยรุ้สึกสบายขึ้นนะ แต่ว่าจิตมันยังไม่หายจากการปรามาสเลยคะ

สุขที่แท้จริง says (11:15 PM):

ต้องรู้ด้วยตัวเองค่ะ ใครพูดยังไงเราก็ไม่เชื่อหรอกค่ะ
การจะรู้ด้วยตัวเองได้ ต้องเจริญสติเท่านั้นค่ะ

ไม่เป็นไรค่ะ มันค่อยๆจางลงไปค่ะ


ท้องเสียแน่ๆเลยเรา.. says (11:16 PM):

แต่ตอนนี้มันเป็นแบบว่า ไปคิดแวปๆ รุ้ว่ากำลังคิดไม่ดีแล้ว ก็ดึงกลับมาเลย
คิดว่าพระโสดาบัน ไม่ปรามาสพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ไม่ใช่อย่างเดียว
แต่ถ้าเป็นผู้ที่ควรเคารพ ก็จะไม่ปรามาสด้วย น่ะคะ

สุขที่แท้จริง says (11:18 PM):

จะเคารพหรือไม่เคารพ การปรามาสมันน้อยมากๆค่ะ ทุกๆระดับนั่นบ่งบอกถึงสติค่ะ

ท้องเสียแน่ๆเลยเรา.. says (11:18 PM):

ถ้าเราลดสักกายะทิฐิได้ก้อจะผ่านใช่ไหมอะ?

สุขที่แท้จริง says (11:19 PM):

มันจะเกิดเองโดยอัตโนมัติค่ะ
แต่บางคน เขาสร้างมาด้านปัญญาก็ค่อยๆละไปค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 11 ม.ค. 2010, 23:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 23:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ส.ค. 2009, 22:34
โพสต์: 173

ชื่อเล่น: เจ้ก
อายุ: 23

 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: :b16: :b16: :b16: อนุโมทนาสาธุกับผู้รู้ทุกๆท่านน่ะครับ คิดแล้วก็เป็นปลื้มที่ได้เป็นสมาชิกในเว็ปนี้ครับได้อะไรดีๆเยอะเลยครับ :b20: :b20: :b20:

.....................................................
จะขอเป็นแก้วน้ำที่ว่างเปล่า..เพื่อเติมเต็มธรรมที่ขาดหาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 00:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่ 10


เพิ่มมาหนึ่งกลายเป็นสิบสอง says (9:39 PM):

ช่วงแรกเดินก็ ยังมีความทุกข์เล้กน้อยฝังอยู่ในใจ
ที่ว่าเล็กน้อยพอมาเดินก็เห็นได้ชัด เกินกว่าจะอธิบายว่าเป็นทุกข์เล็กน้อย
เมื่อวานเปิดเวปผ่านๆ ได้อ่านความหมายของคำว่าทุกขัง
พอวันนี้เจอทุกข์ก็เลยเอาความหมายของคำว่าทุกขังมาพิจารณาโดยไม่รู้ตัว
ความหมายของทุกขังคือ สิ่งที่ทนอยู่ไม่ได้
ทำให้เรามองว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทุกขังคะ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะตู้เตียงหนังสือ

สุขที่แท้จริง says (9:43 PM):

สภาวะบีบคั้น

เพิ่มมาหนึ่งกลายเป็นสิบสอง says (9:43 PM):

พิจราณาได้สักพักหนึ่งก็ไปเรื่องความตาย แล้วก็อะไรนี่แหละ
คิดว่ามีอะไรบ้างที่เที่ยงหนอ เผลอไปนึกๆว่าเคยได้คำตอบจากคำถามนี้ว่าอะไรบ้าง
แต่สุดท้ายก็เลิกคิด คิดว่าหาคำตอบที่มาจากตัวเอง จะดีกว่า
ก็เลยพิจราณา ได้คำว่า จิตดั้งเดิม ที่บริสุทธิ์น่ะคะ จริงๆแล้ววันนี้ไม่ค่อยเห็นอะไรนะ

สุขที่แท้จริง says (9:45 PM):

ค่ะ พูดไปตามนั้นแหละค่ะ ตามสิ่งที่เกิดขึ้น อะไรมันไม่ชัด ไม่ต้องพูดก็ได้ค่ะ

เพิ่มมาหนึ่งกลายเป็นสิบสอง says (9:46 PM):

ก็ ถ้าถามช่วงกลางๆกับช่วงหลังๆ ช่วงกลางๆก็เดิน ดูเท้า แบบว่ารู้ทันความคิด
แต่พอความคิดมันว่างไปนานๆ พอความคิดโผล่มาอีกทีมันจะตั้งตัวไม่ทัน
แล้วมันก็จะไหลไป สักพักหนึ่งอะคะ แล้วจึงจะดึงกลับมาได้

หลังๆก็เลย ดูเท้าไม่สนใจเรื่องความคิดแล้ว เห็นว่ามันไม่เที่ยง
พอไม่สนใจความคิดก็เหมือนว่าเราไม่ได้คิดนะ แต่ว่าคลื่นความคิดมันไหลมาใหญ่เลย
ตรงนี้ยังไม่ค่อยชัดน่ะคะ ยังงงๆอยู่ แล้วก็เรื่องจิต
ก็มองเห็นเวลาจิตวิ่งแล้ว วิ่งไปที่ประตูเวลาได้ยินเสียง หรืออะไรงี้

ดูเหมือนว่าถ้าจะจับสติที่เท้าเป็นหลัก จิตจะจับอยู่ที่เท้านะคะ แต่ว่าถ้าดูทั่วทั้งตัว
จิตจะจับที่ตา แต่ว่า ถ้าจิตจับที่เท้าจะมองเห็นภาพตรงหน้าไม่ค่อยชัดน่ะ มันจะเบลอๆ

สุขที่แท้จริง says (9:48 PM):

แล้วตอนจิตวิ่งไป กำหนดทันมั๊ยคะ หรือแค่รู้ว่ามันวิ่ง

เพิ่มมาหนึ่งกลายเป็นสิบสอง says (9:48 PM):
รู้แค่ว่ามันวิ่งอะคะ วิ่งแบบวิ่งไปเลย บางทีจิตมันน่าจะมีมากกว่าหนึ่งนะคะ
เพราะว่าบางทีเรารุ้สึกว่ามันมีมากกว่าหนึ่งน่ะ

สุขที่แท้จริง says (9:49 PM):

ทุกๆครั้งที่มีสิ่งมากระทบ จิตแต่ตัวจะคนละตัวกันค่ะ

เพิ่มมาหนึ่งกลายเป็นสิบสอง says (9:49 PM):

ยังไงอะ มีกี่ตัวเหรอคะ

สุขที่แท้จริง says (9:50 PM):

ถ้าถามว่ากี่ตัวนี่ ต้องไปอ่านอภิธรรมค่ะ มีอธิบายไว้รายละเอียดน่ะค่ะ
แบบพี่น้ำถามว่า เวลาหายใจเข้า กับหายใจออกนี่ จิตตัวเดียวกันหรือเปล่าคะ


เพิ่มมาหนึ่งกลายเป็นสิบสอง says (9:51 PM):

คนละตัวอะ งงแหะๆ

สุขที่แท้จริง says (9:52 PM):

พี่อธิบายไม่ได้ค่ะ มันรู้จากสภาวะว่า ทุกครั้งๆที่มีการเคลื่อนไหว จิตมันจะคนละตัวกัน
พี่เลยไปหาอ่านดู ก็เจอในอภิธรรมอธิบายไว้ แต่พี่ไม่ได้สนใจค่ะว่ามันจะมีกี่ตัว
รู้แต่ว่า เออ .. สภาวะนี่มันตรงนะ ทั้งๆที่เราไม่ได้ศึกษาอภิธรรมเลย


เพิ่มมาหนึ่งกลายเป็นสิบสอง says (9:52 PM):

เราแปลกใจมากเลยนะ ทั้งๆที่เราคิดมาตลอดว่ามีแค่ตัวเดียว
แต่เกิดๆดับๆอย่างรวดเร้วทำให้ดูไม่ทัน

สุขที่แท้จริง says (9:54 PM):

ถ้าเราหมั่นเจริญสตินะค พอถึงจุดๆหนึ่ง สติ สัมปชัญญะเราดี สมาธิตั้งมั่นดี
เราจะเห็นสภาวะตั้งแต่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ( ขณะที่กำลังเกิด ) และดับไปค่ะ
มันมีเป็นร้อยๆตัวนะคะ ถ้าพี่น้ำจำไม่ผิดน่ะ แล้วนั่งล่ะคะเป็นไงมั่ง


เพิ่มมาหนึ่งกลายเป็นสิบสอง says (9:55 PM):

นั่ง ก็ อึดอัด คิดว่าถ้าโคลงตัวหน่อยก็จะไม่อึดอัดน่ะคะ
แบบว่าโยกตัวไปมา แต่กลัวไปอธิบายแล้วคนอื่นเขาจะคิดว่าเข้าญานอะไรอยู่
เลยไม่กล้าทำ

สุขที่แท้จริง says (9:56 PM):

เข้าใจค่ะ

เพิ่มมาหนึ่งกลายเป็นสิบสอง says (9:56 PM):

ซะงั้น ช่วงหลังๆคิดว่าทำไมเราถึงปรามาสพระพุทธล่ะ

สุขที่แท้จริง says (9:57 PM):

อ้าววว .. ก็พี่เข้าใจจริงๆนี่นา อุบายวิธีการนี่ของแต่ละคนนั้น
แล้วแต่เขาจะถนัดน่ะค่ะ มันไม่ผิดหรอก

เพิ่มมาหนึ่งกลายเป็นสิบสอง says (9:57 PM):

ก้อเลยตัดสินใจขอพระพุทธเจ้าเข้ามาในใจเรา อยู่ใกล้ๆกับจิตบุรสุทธิ์ของเรา
แต่ว่าพอโยกตัว ก็รุ้สึกความคิดสงบนิ่งน่ะคะ
ในความสงบนิ่งยังมีความเคลื่อนไหว ก้อมีเท่านี้น่ะคะ

สุขที่แท้จริง says (9:58 PM):
ตัวพี่น้ำเอง ตอนนี้ก็เหมือนคนเริ่มทำสมาธิใหม่เหมือนๆกับคนอื่นๆ
พี่เองมีแค่สติ คุ้มครองตัวเอง สมาธิเคยได้ใช้เข้าไปพักอาศัยได้แบบเมื่อก่อน
อย่างที่บอกน่ะ มันทำไม่ได้แล้ว บางครั้งยอมรับนะ ทำให้รู้สึกเศร้าใจลึกๆ อาลัยมัน
ว่ามีมันแล้ว อย่างน้อยเราจะไม่ฟุ้งเวลานั่ง จิตจะแนบแน่น รวมตัวกันง่ายดาย
มันยังช่วยในการควบคุมอารมณ์เราด้วย ทำให้จิตเราไปเกาะเกี่ยวอารมณ์ข้างนอกแบบน้อยมากๆ
มันจะสงบอยู่แต่ภายใน ตอนนี้พี่ก็มีวิธีของพี่ ถึงแม้มันจะไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไรนัก
แต่ยังดีกว่า ให้มันนั่งแล้วฟุ้ง เวลาจิตมันรวมตัว เราจะรู้ พอสมาธิมีเกิดขึ้นแค่น้อยนิด ก็รู้มัน
แล้วพี่ก้ใช้วิธีฟุบลงไปกับพื้นเลย ในท่านั่งสมาธินี่แหละ ปล่อยให้มันดับไป


เพิ่มมาหนึ่งกลายเป็นสิบสอง says (10:02 PM):

ไหงอะ??

สุขที่แท้จริง says (10:02 PM):

ไม่งั้นนะ พี่จะไม่สามารถสะสมสมกำลังของสมาธิไว้ได้เลย
สมาธิแบบฤาษีน่ะ เขาเรียกว่า ฤาษีดัดตน

เพิ่มมาหนึ่งกลายเป็นสิบสอง says (10:03 PM):

คะ เคยได้ยินอยุ่

สุขที่แท้จริง says (10:03 PM):

มันเป็นวิธีรักษาสมาธิอย่างหนึ่ง เราเพียงหมั่นเจริญสติให้ต่อเนื่อง สักวันเราค่อยมาแก้ตรงนี้
ตรงนี้ไม่ได้ทำให้เกิดปัญญา แต่มันทำให้จิตเราเริ่มมีแรงขึ้น ฟุ้งน้อยลง
พี่จะอยู่ในท่านี้เกือบหนึ่งชม. แล้วสมาธิเขาจะคลายตัวเอง พอเวลาเขาคลายตัว พี่นั่งตัวตรง
จะรู้สึกสดชื่นขึ้น มันจะสว่างไปหมด เลยทำให้จิตเรามีแรง ไม่ง่วง ไม่ฟุ้ง
ไม่มีสมาธินี่ไม่ไหวเลยยอมรับนะ มันจะมีแต่อาการเบื่อเกิดขึ้นตลอดเวลา แบบเบื่อมากๆ


เพิ่มมาหนึ่งกลายเป็นสิบสอง says (10:37 PM):

ถ้าเราเดินไปเรื่อยๆเราจะรุ้ความจริงเหรอคะ แบบว่าช่วงหลังๆเรารุ้สึกเหมือนมันไม่ค่อยก้าวหน้า
อย่างของวันอื่นยังก้าวหน้าได้พรวดพราด แต่ว่าช่วงสองวันที่ผ่านมา มันไม่ค่อยมีไร

สุขที่แท้จริง says (10:38 PM):

อะไรล่ะคะที่คิดว่ามันดี

เพิ่มมาหนึ่งกลายเป็นสิบสอง says (10:38 PM):

มองเห็นกิเลส มองเห็นพัฒนาของตัวเอง

สุขที่แท้จริง

ตอนนี้บอกตามตรงเลย ตั้งแต่สมาธิพี่ไม่มีนี่ สภาวะพี่แย่ลง บางครั้งที่พี่ไม่ค่อยตอบคำถาม
น่ะไม่ใช่อะไรหรอก พี่มองว่า .. พูดไปเด๋วไม่ถูกใจอีก ตั้งแต่เมื่อคืนละ


เพิ่มมาหนึ่งกลายเป็นสิบสอง says (10:41 PM):

เมื่อคืนได้ยินเสียงคนลงมาเลยต้องรีบไป แต่ว่ายังไงเมื่อคืนก้อดึกจริงๆแหละคะ

สุขที่แท้จริง says (10:43 PM):

พี่บอกตามตรง แค่สภาวะพี่เองตอนนี้พี่ก็สู้กับกิเลส สู้กับสิ่งที่มากระทบทุกวันอยู่แล้ว
การเงียบ ทำให้เราทรมาณในช่วงแรกๆเมื่อเกิดการกระทบ แต่ต่อมาเราเริ่มมีสติมากขึ้น
มองไปถึงเหตุและผลมากขึ้น เราพิจรณามัน ความบีบคั้นตรงนั้นมันจะเบาบางลงไป


เพิ่มมาหนึ่งกลายเป็นสิบสอง says (11:02 PM):

ตั้งแต่แรกนะคะ ที่เรามีสภาพจิตใจที่ไม่เหมือนคนอื่นนัก
ถ้าจะอธิบายจิตใจของเราแล้ว มันก็คือการซ้อนกันของตัวตนหลายรูปแบบและ
ข้อความหลายๆอย่างที่เราคิดว่าถูกต้อง เย็บเข้าไป เพราะมันทับถมกันมาอย่างนี้
เป็นเวลานานอยู่ ทำให้เราขุดออกมาได้ยาก เหมือนกันนะ บางทีหาไปก็ไม่เจอ
พี่รุ้ไหมคะ ทำไมเราถึงเจ็บปวดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

สุขที่แท้จริง says (11:05 PM):

ค่ะ เล่ามาสิคะ พี่น้ำฟัง

เพิ่มมาหนึ่งกลายเป็นสิบสอง says (11:06 PM):

เพราะเราไปติด จิตเราไปติด อย่างหนึ่ง เราคิดตลอดว่า มันสมควรจะเศร้าไม่ใช่เหรอ
มันสมควรจะเศร้านี่แหละ เพราะติดคำนี้จึงทำให้เราเศร้าเป็นพิเศษน่ะ
เพราะเราคิดว่า มันสมควรที่จะเศร้า ก้ออย่างที่บอกไป เพราะว่าความที่หลงทาง
มาไกลกว่าคนอื่น ทำให้ความคิดบางอย่างของเราไม่เหมือนคนทั่วไป
ติดไม่เหมือนคนทั่วไป ก้อเลยทำให้เราเขวแบบงงๆ ติดตัวที่ว่า สมควรจะเสียใจ
เราถามพี่ว่า มันก็สมควรรู้สึกแบบนั้นไม่ใช่เหรอ เพราะว่า เราคิดว่า มันสมควรที่จะเสียใจ
เราใช้มุมมองของคนอื่น ตัดสินความเศร้าใจของตัวเราน่ะคะ
เราไม่ได้ใช่ ตัวเรา ในการตัดสินใจความเศร้าของตัวเรา นี่แหละความผิดพลาดของเราคะ
พี่จะเข้าใจสิ่งที่เราอธิบายได้ไหมอะ เราเข้าใจที่พี่บอกเรานะ
อย่างที่บอก ว่าความคิดเราบางอย่างมันไม่เหมือนคนอื่น มันหลงทางมาไกล มานาน
เมื่อก่อน เราใช้มุมมองคนอื่นตัดสินตัวเองน่ะคะ

สุขที่แท้จริง says (11:11 PM):

เข้าใจค่ะ

เพิ่มมาหนึ่งกลายเป็นสิบสอง says (11:11 PM):

คะพี่ นั้นแหละ ที่เป็นเรา และเราก้อหลุดออกมาได้เสียที ซับซ้อนเนอะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 41 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร