วันเวลาปัจจุบัน 08 มิ.ย. 2025, 09:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2009, 08:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขอบคุณทุกๆความคิดเห็น ขออนุโมทนาสำหรับทุกๆท่าน ทุกๆพระองค์ที่มีความสนใจและได้เปิดอ่านกระทู้นี้
และขอให้ทุกๆท่านทุกๆพระองค์มีส่วน ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามองค์พุทธะ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ นั้นเทอญ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2009, 09:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:28
โพสต์: 307

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทิฐิ หรือความไม่ยอมเปิดรับความเห็นด้านใดของบุคคลอื่น ๆ
มักพลาดโอกาสที่ดีงามไปครับ
แถมยังมีมานะ มุ่งหมายต่อสิ่งที่ตัวเองประจักษ์รู้อยู่ผู้เดียวอีก
ยิ่งเป็นการก่อกำแพงปิดกั้นสิ่งต่าง ๆ ไม่ให้ย่างกรายเข้ามา
อาจจะยังไม่ถึงกับเป็น อวิชชา ความเห็นผิด
แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับการยึดมั่นถือมั่น เพราะพระพุทธเจ้าสอนไว้
ไม่ให้ยึดมั่นทั้งในความดี และความชั่ว
อนุโมทนาครับ
:b8:

.....................................................
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2009, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 23:02
โพสต์: 530

แนวปฏิบัติ: เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตติ ด้วยอานาปานสติ
งานอดิเรก: อ่านพระไตรปิฎก
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




27-02-08_01.gif
27-02-08_01.gif [ 13.31 KiB | เปิดดู 3234 ครั้ง ]
:b41: :b46: :b41: :b46: :b41: :b46: :b41: :b46: :b41: :b46: :b41: :b46: tongue

หนอนน้อย เขียน:
ทิฐิ หรือความไม่ยอมเปิดรับความเห็นด้านใดของบุคคลอื่น ๆ
มักพลาดโอกาสที่ดีงามไปครับ
แถมยังมีมานะ มุ่งหมายต่อสิ่งที่ตัวเองประจักษ์รู้อยู่ผู้เดียวอีก
ยิ่งเป็นการก่อกำแพงปิดกั้นสิ่งต่าง ๆ ไม่ให้ย่างกรายเข้ามา
อาจจะยังไม่ถึงกับเป็น อวิชชา ความเห็นผิด
แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับการยึดมั่นถือมั่น เพราะพระพุทธเจ้าสอนไว้
ไม่ให้ยึดมั่นทั้งในความดี และความชั่ว
อนุโมทนาครับ


สาธุ....ค่ะ คุณหนอนน้อย

ใช่่เลยค่ะ ที่คุณกล่าวมา

กระบี่ฯ กำลังก่อกำแพงปิดกั้นตามพระพุทธองค์ตรัสสอนไว้เจ้าค่ะ

โดยเฉพาะ มิจฉาทิฐิทั้งหลาย พยายามมิให้เฉียดกรายเข้ามา


ปฏิบัติอยู่ค่ะ ตั้งใจไว้เลยว่าจะไม่เชื่อคำสอนของศาสดาอื่น เจ้าค่ะ

s006
แล้วผิดด้วยเหรอคะ ที่กระบี่ฯ ขอยึดเอาคำสอนที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก เป็นหลักในการปฏิบัติ






สำหรับความยึดมั่นถือมั่น กำลังพยายาม ละ คลาย อยู่ค่ะ
แต่ขณะที่เป็นกระบี่ยังไร้แสง ขอยึดพระธรรมคำสอนเป็นสรณะก่อน.....ไม่ว่ากันนะคะ





สาธุเจ้าค่ะ... tongue

.....................................................


ผลกล้วยแลย่อมฆ่าต้นกล้วย
ขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่
ขุยอ้อย่อมฆ่าต้นอ้อ
สักการะย่อมฆ่าบุรุษชั่ว
เหมือนลูกในท้องฆ่าแม่ม้าอัสดร ฉะนั้น ฯ



:b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41:


แก้ไขล่าสุดโดย กระบี่ไร้เงา เมื่อ 18 พ.ย. 2009, 13:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2009, 16:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในลำดับนี้ขอคุณกระบี่ไร้เงาและท่านทั้งหลายได้ลองอ่านศึกษาธรรมนี้
โดยหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
วัดร่มโพธิธรรม
ต.หนองหิน กิ่ง อ.หนองหิน จ.เลย




พระแท้

“พระแท้” ในที่นี้หมายถึง พระอนิจจัง พระทุกขัง พระอนัตตา พระที่ยึดไม่ได้ ใครได้เข้าใจถึงความเป็นพระเหล่านี้แล้ว ก็จะคลายจากการหลงยึดในความเป็นพระ จะไม่ทะเลาะกันเพราะพระ โลกจะหมดปัญหาเรื่องความขัดแย้งกันของความเป็นพระ หรือขัดแย้งกับพระ
ถ้าเข้าใจถึงพระอนิจจังตามที่ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่ายึดไม่ได้ ก็จะไม่ยึด แม้แต่ความเป็นพระ ความเป็นคนหรือความเป็นสัตว์โลกตระกูลใดตระกูลหนึ่ง หรือภพหนึ่งภพใด พระจริงๆ ไม่ได้อยู่ที่ว่า จะไปยึดเอาไว้ถือเอาไว้ ในทำนองยึดหรือว่าถือ การกราบไหว้พระทุกวันนี้เพราะความเคารพ ไม่ใช่ยึดถือ
ถ้ายึดถือแล้วก็ทุกข์ เพราะความยึดพระ ถ้าเข้าใจถึงพระอนิจจังจริงๆ แล้ว เรียกว่า พระไตรลักษณ์ตามธรรมชาติ พระสัจธรรมตามธรรมชาติคือ พระอนิจจัง พระทุกขังตามธรรมชาติ คือ ทุกข์อยู่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างคือทุกข์อยู่แล้ว เปลี่ยนไปอยู่เสมอๆ
ความทนยากคือทุกข์ ทุกข์ก็ยึดไม่ได้ พระสัจธรรมในข้อนี้ พระทุกขังเป็นสิ่งยึดไม่ได้....ที่ยึดไม่ได้เพราะยึดแล้วก็ยิ่งขังทุกข์ไปหน้าเรื่อยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าเข้าใจพระสัจธรรมตามธรรมชาติแล้ว ก็จะคลายเสียจากอุปทาน ไม่ถือสาในสมมติทั้งหลายทั้งปวง
แม้แต่สมมติที่เกิดขึ้นในดวงใจ ที่นึกว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ก็จะคลายเสีย แม้แต่สมมติทางภาษา สมมติบัญญัติทางภาษา บทความหรือข้อเขียนทั้งสิ้น ก็จะคลายจากการยึดในสมมติทั้งสิ้น อย่างนี้จะไม่ทะเลาะกันเพราะการยึดถือ ในพระจริงๆ แล้ว ไม่ได้อยู่ที่เนื้อหนัง เอ็น กระดูก รูปร่าง หน้าตา มีผม ไม่มีผม ห่มเหลือง ไม่ห่มเหลือง ไม่ได้อยู่ที่นิกายไหนทั้งนั้น แม้แต่ธรรมยุตก็ยังไม่ใช่ ความเป็นพระ มหานิกายก็ยังไม่ใช่ ความเป็นพระ หินยาน มหายาน ก็ยังไม่ใช่ความเป็นพระที่แท้จริง...ไม่ใช่...
พระอนัตตา พระที่ไม่มีตัวตน พระที่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง เพราะยึดอย่างไรก็ยึดไม่ได้ เปลี่ยนไปอยู่เสมอๆ นี่แหละยึดเอาตรงไหน ตรงนั้นก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่มีตัวให้ยึดได้อย่างแท้จริง เรียกว่า อนัตตา ตามธรรมชาติอยู่แล้ว ไม่ต้องไปทำให้อนัตตา นี่แหละคือพระสัจธรรม ถ้าเข้าใจถึงความเป็นพระสัจธรรมอย่างแท้จริง จะหมดปัญหาเรื่องการทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะพระ พระดี พระไม่ดี หมดไม่มีตัวตนทั้งนั้น อนัตตาหมด ไปทะเลาะกันเพราะพระดีบ้าง พระไม่ดีบ้าง แย่งกันเพราะพระดีบ้าง ขับไล่เพราะพระไม่ดีบ้าง เรียกว่า วิปลาสทางความคิดเห็น วิปลาสทางจิตวิญญาณทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่เข้าใจถึงธรรมะที่พระองค์ทรงดำรัสเอาไว้เลย
พระสัจธรรมมีอยู่ในทุกอณูของทุกธรรมชาติ ถ้าเข้าถึงรหัสนัยของทุกธรรมชาติเข้า มันมีแม้แต่ในความคิด ความรู้สึกมีหมดความครอบงำ ซึมซาบอยู่ในอายตนะสัมผัสทั้งหมดเลย พระอนิจจัง พระทุกขัง พระอนัตตา พระสัจธรรม เรียกว่า พระสัจธรรม
พอเข้าใจ จะมีความศรัทธา มีความเคารพ เคารพนับถือไม่ใช่ยึดถือต่อธรรมสัจจะ เคารพนับถือในพระปัญญาต่อธรรมะขององค์พระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าที่แทงตลอดใน อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณทั้งหมดทั้งสิ้น และในธรรมสัจจะ ในปรมัตถ์สัจจะทั้งหมดทั้งสิ้น
นี่คือเคารพนับถือในพระปัญญาของพระองค์ บูชาเทิดทูนในพระปัญญา แต่ไม่ใช่ยึด เคารพนับถือ ก็เบา สบายไปเลย สรณะนี้ถ้าถือเป็นก็จะเบาสบาย ถือไม่เป็นก็จะหนักไปเรื่อยตลอดชีวิต ถ้าเคารพนับถือก็สบายดี อบอุ่นในใจดี ซาบซึ้งดี ซาบซ่านดี ลึกซึ้งดี แยบคายดี ประณีตดี อ่อนโยนดี ถ้าถือเป็นเรียกว่า เคารพนับถือ
ถ้าถือไม่เป็น เรียกว่า ยึดถือ ไปยึด ไปถือ ก็คับแค้นดี ฝืดเคืองดี ทะเลาะกันดี แบ่งพรรคแบ่งพวกดี แล้วเป็นเวรเป็นกรรมกันดี เต็มบ้านเต็มเมือง ไม่มีใครสอน ไม่มีใครบอก มีแต่บอกให้ทะเลาะกัน ไม่มีใครสอน มีแต่สอนให้ทิ่มแทงกัน พระไม่ดีก็ขับไล่พระไม่ดี พระดีก็พากันแย่งพระดี เรียกว่า บ้าทั้งนั้นเลย พูดได้เต็มโอษฐ์ว่า...บ้าทั้งนั้น...
เพราะไม่เข้าใจว่า รหัสนัยแห่งความเป็นปรมัตสัจจะที่มีอยู่ในดีและไม่ดี คืออนิจจัง ยึดไม่ได้ ดี ไม่ดี ก็ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ยึดตรงไหนก็เปลี่ยนไปตรงนั้น เปลี่ยนไปเรื่อย อนิจจังอยู่เสมอๆ ถ้าเข้าถึงพระธรรมตามธรรมชาติแล้ว ไม่มีใครไปหลงยึดพระ มีใครยึดอนิจจัง ? ถ้าเข้าใจอนิจจังแล้ว ไม่มีใครยึดอนิจจัง มีแต่ทำใจ ปลงใจ วางใจ ถ้าเข้าใจทุกขังว่าเป็นอนิจจังตามธรรมชาติ ทุกข์ไม่แน่นอน ไม่มีตัวตนตามธรรมชาติ ใครจะไปหลงยึดในทุกข์ มีแต่จะปลงใจ มีแต่จะคลายในใจต่อการยึดในทุกข์ ถ้าเข้าใจถึงธรรมชาติที่มันไม่แน่นอนทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ก็ไม่มีตัวตนเป็นมั่นเป็นเหมาะที่ถือเอาได้ ยึดเอาได้แท้จริง เกาะเอาได้อย่างแท้จริง ใครจะไปหลงเกาะทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อจิตมันจางคลายสอดคล้องกับอนัตตาตามธรรมชาติ หรือว่างตามธรรมชาติเลย หรือสุญญตาตามธรรมชาติเลยทันที
อนิจจังมีอยู่ทุกอณู มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง มีอยู่ในทุกเรื่อง ทุกสภาวะ รูปธาตุ นามธาตุ ที่หลงยึดทั้งหลาย ก็หลงดันทุรังกันไปเฉยๆ ดันหน้าไปเฉยๆ ดันไม่สุดสักที ดันไปเรื่อย เวียนว่ายตายเกิดดันทุกรังไปเรื่อย ไม่เคยสุดสักที มันเปลี่ยนไปเรื่อย ยึดสิ่งไม่มีตัวตนก็ยึดไม่ได้จริงสักที จึงไม่มีสุดสักที ก็เลยไม่เข้าใจ เลยหลงสังสารวัฏ เลยหลงยึดไปเรื่อยๆๆๆๆ
เมื่อพระที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่รูปแบบหรือปรากฏการณ์ หมายถึง ความเป็นจริงที่มีอยู่ในรูปแบบ ความเป็นสัจธรรมที่มีอยู่ในทุกปรากฏการณ์ เรียกว่า ความเป็นอนิจจัง จะได้หมดปัญหาเรื่องการติดในรูปแบบ พระดีก็มีความเป็นสัจจะอยู่ในพระนั่นเอง พระไม่ดีก็มีความเป็นสัจธรรมอยู่ในความเป็นพระไม่ดี...นั่นแหละ
ให้เข้าใจถึงสัจจะที่มีอยู่ภายในของธรรมชาติทุกธรรมชาติ มองไปแล้วอย่าให้ไปคาที่เปลือก เปลือกพระพุทธเจ้า เปลือกพระธรรม เปลือกพระสงฆ์ อย่าให้ไปคาที่เปลือก ให้เข้าใจถึงพระสัจธรรมในธรรมชาติ ธรรมสัจจะคือพระสัจธรรม...นั่นแหละ...
การที่จะสอดคล้องกับพระจริงของท่านได้ ก็ต้องสอดคล้องกันด้วยความเข้าใจถึงความเสื่อมที่มีอยู่ในทุกขณะจิต ทุกขณะอารมณ์ ทุกขณะความคิด ความเห็น ทุกรูปธาตุ นามธาตุทั้งหมดทั้งสิ้น เสื่อมเป็นอยู่เสมอๆ นั่นแหละ ไม่แน่นอนอยู่เสมอๆ ไม่ว่าอาการละเอียด อาการหยาบ อารมณ์ละเอียด อารมณ์หยาบ ไม่แน่นอนอยู่เสมอๆ เสื่อมเป็นอยู่เสมอๆ
เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้วก็จะคลายเสียเอง ปลงเสียเอง ไม่ยึด ไม่ถือเสียเอง คือการเข้าถึงพระที่แท้จริง ไม่ถือแล้วดี จะได้ไม่หนัก จิตหนัก วิญญาณหนัก เคารพนับถือไม่เป็นไร ไม่ได้เกิดโทษ จะเกิดโทษตรงที่ยึดถือ ความยึดถือก็มาใกล้ๆ กับความเคารพนับถือด้วย
อย่างเคารพพ่อแม่ ก็อ่อนน้อมในคุณพ่อคุณแม่เสมอ ไม่ล่วงเกินในคุณพ่อคุณแม่ ไม่ประมาทในคุณพ่อคุณแม่ ไม่เพลี่ยงพล้ำล่วงเกินในคุณพ่อคุณแม่อยู่เสมอๆ เรียกว่าเคารพในคุณพ่อคุณแม่ ไม่เกิดโทษ เกิดแต่คุณ
ถ้ายึดถือพ่อแม่ เดี๋ยวก็เพลี่ยงพล้ำตามมา รักนั่นมากกว่ารักเรา รักสิ่งนั้นมากกว่ารักเรา เดี๋ยวก็จะมีอคติตามมา ถูกใจก็ดี ไม่ถูกใจก็แยกเขี้ยวยิงฟันใส่ นี่เรียกว่ายึดถือเกิดโทษ ไม่เกิดคุณ ดูฉาบฉวย เหมือนเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็มีผลที่ไม่ดีตามมาเป็นนิสัย ที่นำทุกข์มาสู่ตนและคนอื่นด้วย
เพราะคำว่า “ยึดถือ” ไม่ได้หมายความว่า ปลงใจได้ หรือทำใจได้ ท่านดีด้วย พูดดีด้วยก็จะดีกับท่าน พอท่านไม่ดีด้วยก็ร้ายกับท่าน เรียกว่า ยึดถือ ทุกข์นะ.....เกิดทุกข์อย่างเดียว ถ้าเคารพนับถือ ท่านจะว่าหรือไม่ว่า จะดุหรือไม่ดุ ก็น้อมในคุณอย่างเดียว ปลงใจอย่างเดียว ทำใจอย่างเดียว ท่านจะเห็นใจ หรือไม่เห็นใจ ก็เคารพอย่างเดียว นับถืออย่างเดียว อ่อนน้อมอย่างเดียว เรียกว่า มีแต่คุณอย่างเดียว.....
ในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ก็เหมือนกัน ใช้คำว่าเคารพนับถือ ให้เคารพนับถือทั้งนั้น ไม่ใช่พากันไปยึด ไปถือ ถ้าทำใจไม่ถูกกับพระรัตนตรัย มีแต่จะเกิดโทษ ถือว่าเป็นชาวพุทธกันแต่วาจา แต่ปาก ไหว้พระก็ไหว้ไปอย่างนั้น กราบพระก็กราบไปอย่างนั้น ไปหาพระก็ไปหากันอย่างนั้น แต่ไม่เข้าใจถึงพระสัจธรรมแห่งความเป็นพระ ก็ปลงไม่ได้.....ต้องเข้าใจอยู่กับความเสื่อมทุกขณะ อยู่กับความไม่เที่ยงทุกอณู อะไรๆ ก็ยึดไม่ได้
ให้สำนึกอยู่เสมอว่า อยู่กับสิ่งที่ยึดไม่ได้ สิ่งที่เสื่อมอยู่ทุกขณะ ไม่แน่นอนอยู่ทุกขณะ เรียกว่า ไม่ได้เป็นมั่นเป็นเหมาะ เป็นตัวเป็นตนที่จะเอาได้ ยึดเอาได้ ไม่มี.....เสื่อมอยู่เสมอ กลับกลอกอยู่เสมอๆ ไม่แน่นอนอยู่เสมอๆ ทุกขณะคิด ขณะอารมณ์ ขณะรู้ ขณะเห็น อยู่กับอารมณ์ ความรู้สึก ก็ไม่ประมาท.....เสื่อมอยู่เสมอๆ ยึดไม่ได้
ให้เข้าใจสัจธรรมที่มีอยู่อย่างนี้ไปเรื่อย จะได้ไปลงล็อคตรงที่เคารพนับถือ.....ไม่ใช่ยึดถือ.....
ถ้าไม่เข้าใจถึงธรรมชาติที่มีอยู่ดังกล่าวแล้ว จะไปลงตรงที่ยึดถือทุกคน ไม่ใช่เคารพนับถือ ยึดถือทุกคน แค่ยึดหลวงพ่อนี่ก็จะตายแล้ว ยึดอะไรๆ ก็จะตายแล้ว ทุกข์ คับแค้น เพราะมีภาวะที่ได้ดังใจตามมา ไม่ได้ดังใจตามมา สมปรารถนา ไม่สมปรารถนาตามมา ล้วนแล้วแต่ปริเวทนาทั้งนั้น ทุกข์หมด แม้แต่ตัวเองก็ยึดไม่ได้ ไม่ว่าสิ่งใด ไม่ว่าสิ่งอื่น อณูธาตุแห่งรูปธาตุนี้ ยึดไม่ได้เช่นเดียวกัน คือพระสัจธรรม
ถ้าเข้าใจถึงพระสัจธรรมอย่างนี้แล้วก็จะสบายๆ กราบไปก็ไม่ถูกอิฐถูกปูน ทองคำ ทองเหลือง ทองแดง ถูกพระขลัง พระไม่ขลัง จะถูกพระสัจธรรมหมดเลย ถูกจางคลายหมด ถูกพระอนัตตาหมด ถูกว่างตามธรรมชาติหมด ไม่ไปถูกเปลือกพระ เรียกว่ายึดถือไม่ใช่เคารพนับถือ

ถ้าเคารพนับถือแล้ว ไม่ว่าพระจะเป็นอย่างไร ก็ยังเคารพนับถือ ไม่เสื่อมตามธรรมชาติอยู่เสมอๆ ไม่มีที่จะไปหาวิธีการส่องดูรูปธาตุ นามธาตุอยู่ตลอด เนื้อดีหมด เนื้อหาสาระแห่งความเป็นปรมัตสัจจะที่มีอยู่ในทุกธรรมชาติ ทุกอณูแห่งธรรมชาติ เสื่อมอยู่เสมอ...
สัพเพ สังขารานิจจา วายะธรรมะ สังขารา ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยงอยู่เสมอ เนื้อดีหมด เนื้อหาสาระแห่งธรรมสัจจะ ไม่ใช่เนื้อดีอยู่ตรงที่เนื้อข้าวสุกเก่าๆ เนื้อข้าวก้นบาตร เนื้อข้าวสาร เนื้อว่าน เนื้อหาสาระแห่งความเป็นปรมัต
“...ต้องเข้าใจถึงความไม่เที่ยงของมหานิกาย ความไม่เที่ยงของธรรมยุต ความไม่เที่ยงของมหายาน หินยาน หรือนิกายไหนก็ตามที ต้องเข้าใจถึงความเป็นอนิจจังของความเป็นธรรมชาติเขา เราจะได้คลายเสียจากการหลงเข้ายึดในนิกายนั้น นิกายนี้ มันทุกข์ยากลำบาก แบ่งพรรคแบ่งพวกกัน ทะเลาเบาะแว้งกัน จะได้คลายเสีย...นั่นแหละ...
ความเป็นพระที่แท้จริงยึดไม่ได้ คำว่า พุทธังสรณังคัจฉามิ ขอถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ คือนับถือ เคารพนับถือไม่ใช่ยึดถือ ธัมมังสรณังคัจฉามิ ขอถือเอาพระธรรมเป็นสรณะ เคารพพระธรรม ไม่ใช่ยึดถือพระธรรม ถ้ายึดถือเอาพระธรรมก็หัวปักหัวปำ เถียงกันเพราะธรรมะไม่ตรงความคิดเห็นก็จะทะเลาะกัน เพราะพระธรรมที่ออกมาจากความคิดเห็นไม่ตรงกัน
สิ่งที่เป็นสัจธรรมมีความเสมอภาคอยู่แล้วในธรรมชาติ คือความเป็นอนิจจังเหมือนกันหมด จะมีความคิดหรือไม่มีความคิดก็อนิจจังเหมือนกันหมด ทุกสิ่งทุกอย่างจะยึดหรือไม่ยึดก็เหมือนกันหมด ยึดก็ทุกข์ ไม่ยึดก็ทุกข์ ยึดก็ทุกข์...นี่คือสัจธรรม
ไม่ยึดก็ทุกข์ ทุกข์ธรรมชาติ ไม่ไปทุรนทุราย กระสับกระส่าย ปฏิฆะทุกข์ ปฏิเสธทุกข์ มันยุ่งยาก ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้ายิ่งยึดก็ทุกข์หนักเข้าไปอีก เพราะยิ่งยึดก็จะเป็นทุกข์กำลังสอง กำลังสามไปเรื่อย...
ถ้ายิ่งไม่ยึดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสอดคล้องกับพระนิพพานตามธรรมชาติมากเท่านั้น ไม่ว่าจะยึดสมมติหรือไร้สมมติ จึงเรียกว่า อนัตตา เพราะยึดไม่ได้ ไม่ใช่อัตตาตัวตนที่แท้จริง พระอนัตตาพระไม่มีตัวตน มัวแต่ไปทะเลาะกันในรูปร่าง เนื้อหนัง มังสา กระดูกจนถึงปลายผมจนปลายเล็บเท้า แต่ผิวหนังจนถึงช่องว่างในกระดูก พระกู พระมึง พระพวกมึง พระพวกกูอยู่นี่...”




ดอกบัวบานไม่ยึดแม้แต่กลีบดอกฉันใด จิตใจที่ตื่นเบิกบานไม่ยึดแม้ในภาวะธรรมใดฉันนั้น
หากยังหลงยึดภาวะธรรมะทั้งหลายฉันใด จิตนี้ก็จะเหมือนดอกบัวที่แต่จะหุบเข้าไม่บานฉันนั้นแล
ขออนุโมทนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 23:02
โพสต์: 530

แนวปฏิบัติ: เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตติ ด้วยอานาปานสติ
งานอดิเรก: อ่านพระไตรปิฎก
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




220361.jpg
220361.jpg [ 65.98 KiB | เปิดดู 3202 ครั้ง ]
:b41: :b45: :b41: :b45: :b41: :b41: :b45: :b45: :b41: :b45: :b45: :b41: :b45: :b45: :b41: :b45: :b45: :b45: tongue

yodchaw เขียน:

ในลำดับนี้ขอคุณกระบี่ไร้เงาและท่านทั้งหลายได้ลองอ่านศึกษาธรรมนี้
โดยหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
วัดร่มโพธิธรรม
ต.หนองหิน กิ่ง อ.หนองหิน จ.เลย

พระแท้


รูปภาพ ขอบคุณ คุณ yodchaw ค่ะ

กระบี่ฯ ขอนำคำว่า
พราหมณ์ สมณะ และ ภิกษุ
จากพระบรมศาสดาค่ะ สมัยพุทธกาลเรียกภิกษุค่ะ ไม่เรียก พระ ค่ะ

เชิญท่านผู้อ่าน และคุณ yodchaw ศึกษาว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกบุิิคคลชนิดใด หรือ
ผู้ที่ได้ชื่อว่า พราหมณ์ สมณะ และ ภิกษุ ที่แท้ นั้นจะเป็นบุคคลอย่างไร


Quote Tipitaka:
จากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
คาถาธรรมบท ทัณฑวรรคที่ ๑๐


อลงฺกโต เจปิ สมํ จเรยฺย
สนฺโต ทนฺโต นิยโต พฺรหฺมจารี

สพฺเพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ
โส พฺราหฺมโณ โส สมโณ ส ภิกฺขุ


แม้ถ้าบุคคลประดับแล้ว พึงประพฤติสม่ำเสมอ
เป็นผู้สงบ ฝึกแล้ว เที่ยงธรรม มีปกติประพฤติ
ประเสริฐ วางเสียซึ่งอาชญาในสัตว์ทุกจำพวก,
บุคคลนั้น เป็นพราหมณ์ เป็นสมณะ เป็นภิกษุ.





รูปภาพ เจริญในธรรมค่ะ :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

.....................................................


ผลกล้วยแลย่อมฆ่าต้นกล้วย
ขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่
ขุยอ้อย่อมฆ่าต้นอ้อ
สักการะย่อมฆ่าบุรุษชั่ว
เหมือนลูกในท้องฆ่าแม่ม้าอัสดร ฉะนั้น ฯ



:b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 21:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในฐานะที่ผมก็เป็นศิษย์ที่มีครูอาจารย์ แม้จะดื้อไปบางทีบ้างขณะ แต่ก็น้อมกราบน้อมไหว้ตลอด การจะการชี้แสดงธรรมใช่ว่า เราแสดงเองเสียหมด หากว่าความแจ่มแจ้งมีน้อย การชี้แจ้งนี้อาจผิดพลาด คลาดเคลื่อนไป
มันอาจให้เกิดความเข้าใจผิดต่อผู้คนมหาชนได้ สิ่งนี้ล้วนแต่มาจากครูบาอาจารย์ท่านพร่ำบอกเสมอ
ปัจจุบันมีบ้างพวกศึกษาธรรม เอาหนังสือบ้าง เอาตำรา เล่มนั้นเล่มนี้เป็นอาจารย์ หาได้ฝึกอบรม นิสัยตามธรรมไม่ ก็สำคัญตัวตน มีดาบ มีปัญญา ความจำ ออกแกว่งแสดงโชว์ ทุกที่ไม่เว้นไปเที่ยวทิ่มคนนี้ที แทงคนนี่ที ตามนิสัยของตนชอบอวด ชอบเบ่ง ยากจะมีใครปลามได้ ไปไหนก็พองลมอยู่นั้นเพราะถือตัวตน
หาความจริงเป็นแก่นสาระไม่มี หากวันหนึ่งไฟไหม้เสียตำรานั้น ก็คงสาระวนหาข้ออ้างน่าดู
เป็นเพียงสะท้อนอีกด้านหนึ่งเท่านั้น หาได้เป็นการมุ่งเอาแพ้เอาชนะกับใคร ไม่มีเจตนาจะปรามาสใคร เพื่อให้เป็นไปตามกระทู้ที่ตั้งไว้นั่นเอง ลดละถือตัวถือตน ทุกสิ่งอย่างมันเหตุเป็นปัจจัย ทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวท ไม่ใช้จะยึดส่วนใดส่วนหนึ่ง เหมือนนั่งเรือถึงฝั่ง คงไม่ใครแบกเรือไปด้วย ธรรมะนี้ก็เช่นกัน วาง ปลง รู้แล้วเข้าใจแล้วก็ต้องปลงไม่ปลงก็นั่นยึด เหมือนคนแบกเรือจะขึ้นฝั่งไปพร้อม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 22:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ทิฐิพระ มานะครู คืออย่างไร
คือ คนเป็นครูมักอวดว่าข้ารู้ดีกว่าใคร ไม่งั้นจะสอนคนอื่นได้เหรอ

2.บุคคลที่เต็มไปด้วย ทิฐิพระ มานะครู จะแสดงพฤติเช่นใด
อวดเบ่งค่ะ อธิบายทุกเรื่องที่คุยกัน อธิบายแบบใส่ความเห็นตัวเอง อ้างนู่นนี่ ประมาณว่า "อาตมาอ่านพระไตรปิฎกแตกฉานแล้ว ที่โยมพูด ยังไม่ถูกนัก" หรือ "อาตมาปฏิบัติจนสมาธิแก่กล้า อ่านใจโยมได้" ฯลฯ แบบนี้เป็นพวกที่มีทิฐิสูงค่ะ มานะที่มี คือ มานะทำให้คนอื่นเคารพตน ให้ยิ่งถือมั่นกับทิฐิมากขึ้นไปอีก


3.บุคคลที่เต็มไปด้วย ทิฐิพระ มานะครู จะก้าวข้ามโคตรปุถุชนหรือไม่
เขาอยากก้าว แต่ไม่มีทางก้าวพ้น เพราะสิ่งที่เขาทำเป็นการหลอกกลวง ถ้าเขายังดีอยู่ นั่นคือกินบุญเก่า บุญหมดเมื่อไหร่ อย่าว่าแต่จะก้าวเลย คนไม่เห็นหัวเลยทีเดียว

4.ทำอย่างไรจึงจะนอกเหนือ ทิฐิพระ มานะครู ได้
ขันติค่ะ อย่าไปเถียงกับเขา หลีกเลี่ยงเขา อย่าสอนเขา เพราะยังไงเขาก็ไม่ฟัง


แก้ไขล่าสุดโดย คนไร้สาระ เมื่อ 19 พ.ย. 2009, 05:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 22:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 23:02
โพสต์: 530

แนวปฏิบัติ: เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุตติ ด้วยอานาปานสติ
งานอดิเรก: อ่านพระไตรปิฎก
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




220360.jpg
220360.jpg [ 23.38 KiB | เปิดดู 3168 ครั้ง ]
:b41: :b45: :b45: tongue

yodchaw เขียน:
ปัจจุบันมีบ้างพวกศึกษาธรรม เอาหนังสือบ้าง เอาตำรา เล่มนั้นเล่มนี้เป็นอาจารย์ หาได้ฝึกอบรม นิสัยตามธรรมไม่ ก็สำคัญตัวตน มีดาบ มีปัญญา ความจำ ออกแกว่งแสดงโชว์ ทุกที่ไม่เว้นไปเที่ยวทิ่มคนนี้ที แทงคนนี่ที ตามนิสัยของตนชอบอวด ชอบเบ่ง ยากจะมีใครปลามได้ ไปไหนก็พองลมอยู่นั้นเพราะถือตัวตน
หาความจริงเป็นแก่นสาระไม่มี หากวันหนึ่งไฟไหม้เสียตำรานั้น ก็คงสาระวนหาข้ออ้างน่าดู



สาธุ... เห็นด้วยค่ะ

s006 เอ..... คุณคงไม่รวมการยึดพระธรรม และยกพระธรรมมาจากพระไตรปิฎก กระมังคะ





รูปภาพ เจริญในธรรมค่ะ :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

.....................................................


ผลกล้วยแลย่อมฆ่าต้นกล้วย
ขุยไผ่ย่อมฆ่าต้นไผ่
ขุยอ้อย่อมฆ่าต้นอ้อ
สักการะย่อมฆ่าบุรุษชั่ว
เหมือนลูกในท้องฆ่าแม่ม้าอัสดร ฉะนั้น ฯ



:b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41: :b48: :b41:


แก้ไขล่าสุดโดย กระบี่ไร้เงา เมื่อ 18 พ.ย. 2009, 22:53, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2009, 00:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


yodchaw เขียน:
ปัจจุบันมีบ้างพวกศึกษาธรรม เอาหนังสือบ้าง เอาตำรา เล่มนั้นเล่มนี้เป็นอาจารย์ หาได้ฝึกอบรม นิสัยตามธรรมไม่ ก็สำคัญตัวตน มีดาบ มีปัญญา ความจำ ออกแกว่งแสดงโชว์ ทุกที่ไม่เว้นไปเที่ยวทิ่มคนนี้ที แทงคนนี่ที ตามนิสัยของตนชอบอวด ชอบเบ่ง ยากจะมีใครปลามได้ ไปไหนก็พองลมอยู่นั้นเพราะถือตัวตน
หาความจริงเป็นแก่นสาระไม่มี หากวันหนึ่งไฟไหม้เสียตำรานั้น ก็คงสาระวนหาข้ออ้างน่าดู



ขออนุโมทนาและยกมือรับทราบครับ
กระผมสมาชิกชมรม"ช้างอวดงา หมาอวดเขี้ยว"
ณ บัด now ก็ขัดเกลาได้เท่านี้แหละครับ

แหม บางทีมันอดไม่ได้จริงๆ
ฉลาดกว่าผม ผมไม่ว่าเลย ยอมหมด

แต่นี่นอกจากจะปฏิบัติไม่เอาไหน
ยังกระเหี้ยนกระหือรือแสดงธรรมขั้นสูง เอาพระพุทธเจ้ามาอ้าง
ค้นพบทฤษฏีใหม่ๆบ้างล่ะ ทำหนีบๆ หยิมๆ นิ่มๆ งามๆ
แล้วเที่ยวประกาศพระสัทธรรมปฏิรูปไปทั่วบ้านทั่วเมืองด้วยความมั่นใจว่าไม่ผิดอีกแล้ว

ผมมันก็อดหมั่นไส้ไม่ได้ ต้องงับสักทีสองที
ลากไส้โสดาบันเก๊ อนาคามีเก๊ ออกมาประจาน
พวกนี้ หนีบกิเลสไว้จนมิด

ของับมั่งนะ ทนรำคาญบ้างนิดหน่อย
ผมเป็นพวกสันดานดิบน่ะ บุญน้อย นิสัยแลวาสนา คงจะเป็นพวกจากอบายมาเกิด
เลยยังมีของเก่าติดมามั่ง :b32:

เห็นเขาไม่ต้องดิบ เขาก็เจริญกรรมฐานกันได้ แบบสบายๆ
เราก้อยากสงบเสงี่ยมงดงามอย่างเขามั่งเหมือนกันนะ ไม่ใช่ว่าไม่อยากหยิมๆดูสง่าๆ
แต่มันดัดเกิน สำหรับเรามันไม้เนื้อแข็ง จะดัดให้งอมากๆ มันก็ไม่ใช่ของพอดีของเรา
ความพอดีของคนมันไม่เท่ากันน่ะนะ ขอเวลาหน่อยนึง อย่างเพิ่งทิ้งกัน
มีดีมาเตือนกันมั่งอย่างนี้ รู้สึกอนุโมทนากัลยาณมิตรจริงๆนะครับ

คนมีดีมาสอนผม กระผมไม่ดื้อหรอก ยอมให้หมด
คนไม่มีดี ทำสมอ้างว่ามีดีแล้วจะมาสอนผมนี่ ผมถีบเลยหงายหลังเลยล่ะ
จะเอามะพร้าวปลอมมาขายสวนมะพร้าวปลอมเหรอ ประมาณว่าผีเห็นผีน่ะ

กระผมไม่ตอแยคนสองประเภท คือคนที่ฉลาดมากๆ และโง่มากๆ
คนฉลาดมากๆคือเต็มแก้วแล้ว เขาไม่มีที่ว่างให้คำว่า "เข้าใจผิด" ประมาทสุดขีด
อีกพวกคือคนที่โง่มากๆหมายถึงพวกแก้วชำรุด

เหมือนอย่างคุณจุฬาภินันท์นี่แหละ ปากว่าตนเป็นอนาคามี
ด่าพระด่าเจ้าอยู่โหยงๆ ศีล 5 ยังขาดๆวิ่นๆ แสดงธรรมก็แปลกๆ เรื่องพื้นๆก็ไม่ทราบ
อนาคามีสายพันธุ์ 2009 หรือไงไม่ทราบ
พวกนี้ ผมเฉยๆ (นี่ขนาดเฉยแล้วนะ :b32: )


แก้ไขล่าสุดโดย ชาติสยาม เมื่อ 19 พ.ย. 2009, 00:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2009, 07:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาทุกความคิด ที่เป็นโดยธรรมทั้งหลาย เป็นไปเพื่อความสว่างแจ่มแจ้ง ลด ละตัวตน ก่อเกิดสัมมาทิฏฐิตามธรรมะคำสั่งสอน ขององค์พุทธะ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ที่นำพาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ออกจากวังวนน้อยใหญ่ สู่ความไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา ลุล่วงพ้นทุกข์ นั้นเทอญ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2009, 12:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7516

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
...ขอโมทนากับคุณ yodchaw ด้วยเจ้าค่ะ...
...การเข้ามาเยี่ยมชมย่อมก่อให้เกิดความคิดและการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของทุกท่าน...
...ทุกคนที่เข้ามาเยี่ยมชมล้วนมีความรู้สึกนึกคิดและอยากร่วมแสดงความเห็น...อย่าPostถ้าไม่พร้อม...
...ควรมีน้ำใจอภัยต่อกัน...ถ้าทำตัวแบบน้ำเต็มแก้วจนล้น...จะไม่ได้รับประโยชน์จากกัลยาณมิตรเจ้าข้า...

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 09:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 พ.ย. 2009, 17:20
โพสต์: 532

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผลความเข้าในธรรมตามหัวข้อกระทู้นี้ ขอให้คุณบัว มีส่วนทั้งหมดเพราะเป็นผู้ตั้งประเด่นเรื่องทิฐิขึ้นมา และขอให้ท่านทั้งหลาย ที่อ่านศึกษา มีส่วนในความไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา ลุล่วงพ้นทุกข์แจ่มแจ้งในสัจธรรม ตามองค์พุทธะ พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ นั้นเทอญ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 27 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร