วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 15:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2009, 13:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
:b43:นานาสาระความรู้...ที่รู้แล้วอยากบอกต่อ :b43:

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2009, 14:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: วิธีทำให้ความจำดีขึ้น (เดลินิวส์)

วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีทำให้ความจำดีขึ้นมาบอก...

1. หาเวลาที่เหมาะที่สุดกับการใช้ความคิดของเราในแต่ละช่วงวัน แต่ละคนแต่ละวัยจะมีช่วงทองให้กับการคิดไม่เหมือนกันว่าคนมีอายุแล้วสมองจะเคลียร์ที่สุดก็เป็นช่วงเช้า พวกหนุ่มๆ สาวๆ นั้นกว่าจะมีสมาธิในการคิดได้ก็จะเป็นช่วงบ่าย ดูตัวเองว่าความคิดดีดีของเรานั้นมักจะมาในช่วงไหน แล้วเก็บช่วงนั้นไว้สำหรับงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์

2. หาความรู้อยู่เรื่อยๆ...รู้แบบกว้างๆ ไม่จำเป็นต้องรู้ลึกไปซะทุกอย่าง แต่ความรู้ที่สะสมมาจากทุกเรื่องจะช่วยต่อยอดกับข้อมูลใหม่ๆ ให้เข้าใจได้ง่ายๆ ขึ้น

3. "จดไว้ให้จำ" เครื่องช่วยจำที่ดีที่สุด คือ จดทุกอย่างลงในกระดาษเขียนไว้กันลืม

4. เพิ่มพลังกับกาแฟ..แต่แค่ถ้วยเดียวพอ จะช่วยให้มีสมาธิดีขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าเวลาเครียดๆ ก็ห้ามเด็ดขาดเพราะจะทำให้ฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม

5. โยงเรื่องใหม่กับความจำเดิม ให้คิดซะว่าความคิดหรือความจำที่มีอยู่เดิมนั้นเหมือนกับตุ๊กตาที่ถูกแขวนไว้กลางอากาศ กำลังรอข้อมูลใหม่ๆ เข้าไปปะติดปะต่อ อย่าปล่อยเรื่องใหม่ๆ เข้าไปอย่างไม่มีจุดเชื่อมโยง เช่น ถ้าจะจำชื่อคน ก็ลองโยงความหมายหรือเสียงของชื่อนั้นเข้ากับสิ่งต่างๆ ที่เราคุ้นเคย

6. ฝึกจำอยู่บ่อยๆ ถึงอายุอ่อนกว่าแค่ไหน แต่ถ้าไม่เคยฝึกท่องจำเลย ความจำก็อาจจะสู้คนแก่ไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อลองนึกดูว่าไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนทำไมเราถึงไม่ลืมสูตรคูณ ที่เราท่องตั้งแต่เด็ก

7. ควรให้เวลาสมองได้รับเรื่องตลกๆ หรือได้คิดอะไรที่ไร้สาระบ้าง เป็นการให้ความคิดของเราได้พักผ่อน

8. รู้จักดัดแปลงความคิดสร้างสรรค์ มักจะเกิดขึ้นมาได้จากบางอย่างที่เราคุ้นเคย

9. คบเพื่อนที่ฉลาด มีความคิดกว้างๆ.. การที่ได้อยู่ใกล้กับคนที่มีความรู้ เป็นคนฉลาดที่เปิดรับความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอนั้น จะช่วยให้เราได้คิดตาม และฝึกสมองอยู่บ่อยๆ

10. เลียนแบบ ลีโอนาโอ ดา วินซี มีวิธีมากมายที่ดาวินซีใช้สร้างสรรค์งานของเขาง่ายๆ ก็คือ ลองเขียนภาพจากมือที่ไม่ได้ถนัด

11. เอาใจใส่ เคยจำชื่อใครสักคนไม่ได้บ้างหรือเปล่า ปัญหานี้อาจจะไม่ใช่เรื่องของความจำแต่เป็นเรื่องของการใส่ใจ ถ้าเราใส่ใจกับคนๆ นั้น หรือสิ่งนั้น เราจะจำได้มากกว่าที่เป็น

12. ฟังเพลงโมสาร์ท ก่อนนอนเปิดงานของโมสาร์ทฟังซักหนึ่งรอบ จะช่วยเรื่องความจำดีขึ้นได้

13. ออกกำลังกาย เพื่อช่วยเพิ่มออกซิเจนที่ไม่ใช่แค่ให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น แต่หมายถึงสมองได้รับออกซิเจนมากขึ้นด้วย

14. ลองทำสิ่งใหม่ๆ จะได้มีแนวความคิดที่แปลกใหม่อยู่เสมอ

15. ตัดเครื่องรบกวนสมาธิทั้งหมด เวลาที่งานนั้นต้องใช้ความตั้งใจและมีสมาธิอย่างสูง และทางที่ดีดึงสายโทรศัพท์ออกไปไม่รับสายเข้าเลยดีกว่า

ถ้าใครอยากมีความจำที่ดีขึ้น ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2009, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: อยากจำหน้าคนแม่น ต้องเน้นที่ลูกตา



การทักคนผิดนั้น ถือเป็นที่หลาย ๆ คนเจอกันได้บ่อย ๆ แถมยังสามารถเกิดกันได้กับทุกคนด้วย เพราะบางครั้งคนเราก็มีลักษณะท่าทาง บุคลิกที่คล้ายคลึงกัน จนอาจจะทำให้เราจำสับสนได้


แต่ล่าสุดได้มีงานวิจัยออกมาว่า หากเราอยากที่จะจดจำใบหน้าของใครให้ได้แม่นยำนั้น ให้ดูที่ดวงตา โดยคณะนักวิจัยได้ศึกษาด้วยการวิเคราะห์ใบหน้าของผู้ชายและผู้หญิง จำนวนฝ่ายละ 868 คน ได้พบว่า ข้อมูลสำคัญลักษณะของใบหน้า จากดวงตา นั้นมากกว่าจากปากและจมูก เป็นการส่อให้เห็นว่ากลไกจดจำใบหน้าของสมอง จะถนัดกับการจ้องดูที่ตามากกว่าที่แห่งอื่น


ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ถือได้ว่าเป็นการเสริมประโยชน์ของดวงตาที่นอกจากจะเป็นหน้าต่างของหัวใจแล้ว ยังช่วยให้เราได้จดจำคนอื่น ๆ ได้มากขึ้นอีกด้วย

รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2009, 14:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: การออกกำลังสมองสามารถทำได้ด้วยตัวเองได้ มาลองทำดูกันนะคะ

:b51: ถ้าอยู่บ้าน ลองทำกิจกรรมเหล่านี้ดู

- ปิดตาทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ปิดตาอาบน้ำ ปิดตาดูทีวี เพื่อเปลี่ยนความเคยชินในการรับข้อมูลจากประสาทสัมผัสเดิม ๆ เช่น เมื่อเราปิดตาดูทีวี แทนที่จะ"มองเห็น" เราก็จะ "ฟัง" และกระตุ้นความคิดว่า เรากำลังดูรายการอะไร หรือพิธีกรซึ่งเป็นเจ้าของเสียงนี้คือใคร
- ปิดไฟในห้องแล้วใช้มือคลำ เพื่อกระตุ้นประสาทในส่วน "สัมผัส" เชื่อมโยงกับความจำว่าสวิตซ์ไฟหรือสิ่งของภายในห้องอยู่ตรงไหน
- สลับกับกิจกรรมที่เคยทำตั้งแต่ตื่นนอน จากที่เคยอาบน้ำก่อนกินข้าว ก็เปลี่ยนเป็นกินข้าวก่อนอาบน้ำ (แต่จะแปรงฟันก่อนก็ได้) เนื่องจากสมองจะใช้พลังในการทำสิ่งใหม่ ๆ มากกว่าตอนที่ทำกิจกรรมเดิม ๆ ซึ่งเคยชิน

:b53: ระหว่างเดินทางก็ฝึกสมองได้

- หากเปิดแอร์ระหว่างขับรถทุกวันก็ลองเปิดกระจกขับรถบ้าง แต่ก็ควรเลือกเส้นทางที่มีอากาศบริสุทธิ์หน่อยนะคะ เพื่อเชื่อมโยงประสาทรับกลิ่นและเสียงภายนอกให้ทำงานประสานกันมากขึ้น
- หากคุณต้องขับรถไปทำงานทุกวันก็ลองเปลี่ยนเส้นทางที่ใช้อยู่เดิมบ้าง อาจเป็นเส้นทางที่ใช้อยู่เดิมบ้าง เส้นทางใหม่ที่ทราบอยู่แล้ว หรือเส้นทางทดลองขับก็ได้ เพราะทั้งวิวทิวทัศน์ กลิ่น และเสียงของเส้นทางใหม่จะช่วยกระตุ้นทั้งสมองชั้นนอกและฮิปโปแคมปัสให้สร้าง แผนที่เส้นทางชุดใหม่ขึ้นในสมอง
- เปลี่ยนวิธีการเดินทางบ้าง เช่น จากที่เคยขับรถก็อาจนั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้ามาทำงานแทน

:b51: ทำงานไปด้วย ฝึกสมองไปด้วยก็ได้

- เปลี่ยนตำแหน่งสิ่งของบนโต๊ะทำงานโดยเฉพาะถังขยะ เพราะความเคยชินจากการรู้ว่าจะหยิบจับอะไรตรงไหน ทำให้สมองเราทำงานน้อยลง พิสูจน์ได้จากเมื่อคุณย้ายตำแหน่งถังขยะในช่วงแรก ๆ คุณก็ยังทิ้งขยะลงที่เดิมซึ่งไม่ลงถังแล้ว นั่นเป็นเพราะสมองเคยชิน
- พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานใหม่หรือคนที่ไม่ค่อยคุยด้วย เพื่อเติมข้อมูลใหม่ ๆ ให้กับสมอง ทั้งการจำลักษณะใบหน้า เสียงพูดหรืออุปนิสัยส่วนตัวของเพื่อนร่วมงานคนนั้น
- ชวนเพื่อนร่วมงานถกเถียง อภิปรายหรือพูดคุยในประเด็นที่ไม่เคยพูด เพื่อเปิดรับข้อมูลใหม่ ๆ

ลองฝึกดูนะคะ ค่อย ๆ ทำวันละเล็ก วันละน้อย ก็สามารถจะยืดอายุสมองของคุณให้แข็งแรงนานขึ้นค่ะ

รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2009, 14:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: เลิกบุหรี่

บุหรี่ขึ้นราคา อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้นักกลืนควันอยากจะเลิกบุหรี่เพื่อลดค่าใช้จ่าย การเลิกบุหรี่สามารถทำได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งหมอ คอลัมน์ Health Focus นิตยสาร "Health Today Thailand" ฉบับ พ.ค.อ้างอิงจากคำแนะนำของ ศ.น.พ.ประกิต วาทีสาธกกิจ และ ผศ.กรองจิต วาทีสาธกกิจ ที่ปรึกษามูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ดังนี้

การที่จะเลิกบุหรี่ อย่าเพิ่งเอาแต่คิด ต้องลงมือเลิก หาเหตุผลหรือแรงจูงใจในการเลิกให้ได้โดยกำหนดวันเลิก เช่น วันไม่สูบบุหรี่โลก วันเกิด วันครบรอบแต่งงาน วันเกิดลูก

ให้ทิ้งบุหรี่และอุปกรณ์การสูบบุหรี่ทั้งหมด บอกคนใกล้ชิดว่าจะเลิกสูบบุหรี่เพื่อคนใกล้ชิดจะได้ให้กำลังใจ

เช้าวันที่เลิกสูบ ทำใจให้สบาย ดื่มน้ำผลไม้ หากอยากบุหรี่ให้ดื่มน้ำหรือล้างหน้า

หลังกินข้าวให้ลุกจากโต๊ะอาหารเลย ถ้านั่งอยู่จะเคยชินกับการต้องหยิบบุหรี่มาสูบ

ถ้าทนถึงเย็นได้ให้เริ่มโปรแกรมออกกำลังกายในเย็นนั้น ถ้าไม่เหนื่อยให้วิ่งเหยาะๆ 30-40 นาที การออกกำลังจะทำให้ร่างกายคลายเครียด อยากบุหรี่น้อยลง ทั้งยังทำให้เพลียจึงหลับสบาย ใครไม่สะดวกในเวลาเย็น ออกกำลังกายตอนเช้าก็ได้

ควรงดการไปเที่ยวเตร่ เช่น ตามสถานเริงรมย์ หรือเข้าไปในบริเวณที่มีคนสูบบุหรี่มากๆ

เมื่ออยากสูบบุหรี่ให้กินมะนาวแทน โดยหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ มีเปลือกติดมาด้วย ขนาดเท่าหัวแม่โป้ง หรือพอคำ อมแล้วค่อยดูดความเปรี้ยว จากนั้นเคี้ยวเปลือกอย่างช้าๆ นาน 3-5 นาที จะมีผลทำให้ลิ้นขม เฝื่อน แล้วดื่มน้ำ 1 อึก นอกจากช่วยลดความอยากนิโคตินแล้ว เมื่อสูบบุหรี่จะทำให้รสชาติบุหรี่เปลี่ยนเป็นขมจนไม่อยากสูบบุหรี่ สามารถกินมะนาวหรือผลไม้ชนิดอื่นที่มีความเปรี้ยวมากๆ ได้ทุกครั้งที่เกิดความอยากบุหรี่

หากผ่านวันแรกไปได้ วันที่สอง สาม ก็ให้ปฏิญาณเหมือนเดิม บอกตัวเองตลอดเวลาว่าเราต้องทำได้ ยิ่งหลายวันผ่านไป ความอยากบุหรี่จะยิ่งน้อยลง โอกาสเลิกสูบบุหรี่จะยิ่งมีมากขึ้น หลังหนึ่งอาทิตย์ คุณจะรู้สึกสบายมากขึ้น หายใจโล่งขึ้น ความอยากบุหรี่จะน้อยลงๆ

คนเริ่มโปรแกรมออกกำลังกายแล้ว ก็ควรออกกำลังกายต่อไป อาจจะเปลี่ยนจากนิโคตินมาเป็นติดการออกกำลังกายแทน ถ้าทำได้เช่นนี้ จะเป็นกำไรสองต่อ ส่วนคนที่ทำทุกวิธีด้วยตัวเองแล้วแต่ยังเลิกไม่ได้ อาจต้องเลือกวิธีใช้ยาเข้าช่วย ซึ่งต้องปรึกษาแพทย์เท่านั้น

รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2009, 15:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: วิธีตัดแต่งต้นไม้

บ้านไหนที่ต้องการตัดแต่งต้นไม้ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีการตัดแต่งต้นไม้มาฝาก...

การตัดแต่งต้นไม้ คือ การตัดส่วนที่ไม่ต้องการออกเพื่อให้ได้รูปทรงตามที่ต้องการ และการตัดแต่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับไม้ต้นและไม้พุ่ม

สิ่งที่ควรตัดเป็นสิ่งแรกของการตัดแต่ง

- กิ่งที่แห้งตาย
- กิ่งที่อ่อนแอ ฉีกขาด
- กิ่งที่เป็นโรค
- กิ่งที่เจริญผิดปกติ
- กิ่งที่แทงเข้าภายในพุ่มต้น

การตัดกิ่งเหล่านี้ จะทำให้ทรงพุ่งโปร่ง แสงสว่าง ลม จะพัดผ่านเข้าไปในทรงพุ่มได้สะดวก กรณีไม้ยืนต้น การตัดแต่งจะช่วยควบคุมการเจริญเติบโต ช่วยเพิ่มผลผลิต ส่วนไม้พุ่มจะทำให้รูปทรงพุ่มต้นสมดุล

การตัดแต่งไม้พุ่มจะเริ่มตั้งแต่การเด็ดยอด เพื่อให้ไม้พุ่มแตกตาข้าง ทำให้การเจริญเติบโตทางยอดลดลง หลังจากนั้นอาจจะมีการขลิบ แต่ง ลิดใบและยอดที่แทงออกมาจากทรงพุ่ม กรณีที่ทรงพุ่มแน่นเกิดไปควรจะตัดแต่งกิ่งออกบ้าง โดยตัดให้ชิดพื้นดิน ส่วนไม้พุ่มที่แทงหน่อออกมาจะต้องตัดให้ลึกลงไปใต้ระดับดิน

ส่วนไม้พุ่มที่ต้องการให้มีการเจริญเติบโตใหม่ เนื่องจากมีอายุมาก ให้ตัดส่วนของไม้นั้น เหลือเพียงหนึ่งในสามของความสูงเดิม ดูแลรักษาให้เจริญเติบโตใหม่ การตัดแต่งไม้พุ่มให้เล็กลง จะช่วยให้มีการแตกกิ่งยอดใหม่ ทําให้ไม้พุ่มนั้นมีดอกมากขึ้น

การตัดแต่งแต่ละครั้ง ควรใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับงานนั้นๆ เครื่องมือจะต้องคมและใช้ให้ถูกต้อง นอกจากน ี้หากรอยแผลที่ถูกตัดแต่งมีขนาดใหญ่จะต้องใช้ยาทาแผล เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าไปทำลาย

รู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปตัดแต่งต้นไม้กันดูได้

รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2009, 15:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: ดื่มชาลดความดัน

คนที่ขาย ชาเขียว ชาอูหลง เตรียมเฮได้แล้ว เพราะมีข้อมูลการศึกษาล่าสุดที่ทำในประทเศไต้หวันพบว่าคนที่ดื่มทั้ง ชาเขียว และ ชาอูหลง มีแน้วโน้มมี ความดันโลหิต ลดลงเมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ดื่ม

อย่างที่พวกเราทราบกันดีว่า โรคความดันโลหิตสูง เป็นอาการเริ่มต้นที่จะนำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บมากมาย เช่น โรคหัวใจ อาการเส้นเลือดแตกในสมอง แต่จากการศึกษาที่ทำโดยผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติ Cheng Kung ในเมือง Tainan ประเทศไต้หวัน พบว่าคนที่ดื่ม ชาเขียว หรือ ชาอูหลง จะมีแน้วโน้มมีความดันโลหิตที่ลดต่ำกว่าคนที่ไม่ได้ดื่ม

ได้มีการค้นพบว่าสารต่างๆ มากมายกว่า 4,000 ชนิดที่มีอยู่ในน้ำ ชา รวมทั้งสารฟลาโวนอยด์จะช่วยป้องกันการเกิดหัวใจล้มเหลว อาการเส้นเลือดแตกในสมอง และอาการไตวาย ทั้งนี้การศึกษานี้ได้ถูกตีพิมพ์ในวารสาร The Archives of Internal Medicine โดย Yi-Ching Yang ซึ่งวารสารดังกล่าวเป็นวารสารที่มีชื่อเสียงที่แพทย์ทั่วโลกต่างให้การยอมรับ

การศึกษานี้ได้ทำการทดลองในอาสาสมัครกว่า 1,500 คนที่ไม่เคยมีอาการของโรคความดันโลหิตสูง ให้ดื่มน้ำ ชา 120-599 ซีซีต่อวัน (4-20 ออนซ์ต่อวัน) เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี พบว่าสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดอาการ โรคความดันโลหิตสูง ได้ถึง 46% เมื่อเทียวกับคนที่ไม่ได้ดื่ม ชา

นอกจากนี้การศึกษานี้ยังระบุอีกว่า หากดื่ม ชา มากกว่า 600 ซีซีต่อวัน ก็จะสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดอาการ โรคความดันโลหิตสูง ได้ถึง 65% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ดื่ม ชา

ในจำนวนผู้เข้าร่วมการทดลองพบว่า 40% ของผู้ร่วมการทดลองเป็นที่ดื่ม ชา เป็นประจำ และในจำนวนนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นชายที่อายุยังไม่มาก ส่วนใหญ่สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า และรับประทานอาหารพวกพืชผักน้อย

รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2009, 15:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43:ค้นหาพลังการทำงานในตัวคุณ


การได้ยืดเส้นยืดสายจะช่วยเรียกพลังกลับคืนมา หากอ่อนล้าไม่อยากทำงานต้องหาสาเหตุว่าเกิดจากจิตใจหรือร่างกาย

เคยสังเกตุมั้ยว่าบางครั้งคุณจะกระตือรือร้นในการทำงานเหมือนมีไฟคุโชนอยู่ตลอดเวลา แต่บางครั้งก็เฉื่อยชาไม่อยากไปทำงานเหมือนไฟที่มอดดับ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทุกคนมีพลังที่ซ่อนอยู่ เพียงแต่คุณต้องค้นหาให้เจอแล้วขับเคลื่อนมันออกมาใช้
พลังซ่อนอยู่ในตัวคุณ คุณอาจงงก็ได้ว่า เอ๊ะ ในตัวฉันนี่มีพลังซ่อนอยู่ด้วยหรือ เพราะบางวันคุณอาจทำงานจนเหนื่อยล้า อ่อนแรงจนเหมือนมีอายุสักร้อยปีก็ไม่ปาน แต่ถ้าคุณรู้แหล่งที่หลบซ่อนพลังในตัวคุณละก็ มันจะช่วยคุณได้มากทีเดียว

พลังชี่ติดขัด

เมื่อพลังชี่ไม่ลื่นไหล มันจะทำให้คุณเฉื่อยชา ไม่อยากแม้แต่จะเดิน ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น จะโทรศัพท์ถึงเพื่อนสนิทก็ยังขี้เกียจ หากเป็นอย่างนี้บ่อยๆ การทำงานคงสะดุดแน่ คุณจึงจำเป็นต้องหาเชื้อเพลิิงมาเพ่ิมพลังให้แก่ตัวเอง

ร่างกายหรือจิตใจ...ตัวเจ้าปัญหา เราต้องค้นหาความจริงว่าอะไรที่ขโมยพลังไปจากตัวเรา

ขาดธาตุเหล็ก หากร่างกายได้รับธาตุเหล็กน้อยเกินไป (มีในถั่วชนิดต่างๆ เนื้อสัตว์ ฯลฯ) นานวันเข้าคุณอาจย่ำแย่ คุณควรไปรับการตรวจเลือดกับแพทย์ซึ่งหากคุณขาดธาตุเหล็กแพทย์จะสั่งธาตุเหล็กให้คุณกิน (ไม่ควรซื้อกินเอง)
ขาดการออกกำลังกาย เนื่องจากพลังมาจากกล้ามเนื้อมากกว่าไขมันที่สะสมตามร่างกาย แต่เมื่อคุณรู้สึกอ่อนเปลี้ย ก็ลองจ้อกกิ้งเบาๆ ดูบ้าง อาจเดินออกกำลังกายหรือเดินเล่นก็ได้ เพราะผู้ที่มีกล้ามเนื้อเหมือนมนุษย์เหล็กมักมีพลังที่แข็งแกร่ง
สมอง...ขโมยพลัง
เมื่อปฎิบัติตามสองข้อดังกล่าวแล้วก็ยังไม่ดีขึ้น ส่วนใหญ่มักเกิดจากสมองที่ขโมยพลังไป เช่น มีงานมากและมีชีวิตที่ยุ่งเหยิงจนทำให้เหนื่อยเพลีย อย่าปล่อยให้เป็นเช่นนี้เพราะคนทีรู้สึกเหนื่อยเพลียก็จะไม่มีพลังที่จะสู้กับแรงกดดันรอบตัว

พลังลื่นไหล...เมื่อมีความสมดุล
เมื่อมีความสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจก็จะไม่เครียดกับงานที่ประเดประดังเข้ามา คุณจะจัดการกับมันได้อย่างไม่ระย่อและสนุกกับงานที่ทำโดยการแบ่งเวลาให้ลงตัวและคิดในแง่บวก มีเวลาพักผ่อนหย่อนใจหลังเลิกงานและในวันหยุด

พลัง...สร้างได้ด้วยตัวเอง
นักวิจัยสมองชาวเยอรมัน ศจ.เกราลด์ ฮูเทอร์ กล่าวว่า หากคนเรามีความสมดุลย์ก็จะให้ความรู้สึกที่มีความสุข มีความสนุกสนานกับชีิวิต เรียนรู้ง่าย มีขอบเขตในการใช้ชีิวิตที่ไม่มากหรือน้อยเกินไป ก็จะมีชิีวิตที่มั่นคงแข็งแรงซึ่งเปรียบเสมือนปราการที่ป้องกันคุณไม่ให้เครียด ไม่ตื่นตระหนกง่ายกับส่ิงกดดันรอบตัว

พลังภายใน...อยู่ที่สมอง
พลังที่สะสมในตัวคุณเปรียบเสมือนพลังแสงอาทิตย์ซึ่งมันจะทำงานได้ดีเมื่ออากาศปลอดโปร่งแจ่มใส แต่มันขึ้นอยู่กับว่า คุณมีแสงอาทิตย์เพียงพอในสมองและในจิตใจหรือไม่ นักจิตวิทยากล่าวว่า สมองคือนักขโมยพลังงาน เช่น คุณอาจติดว่า "ฉันรู้สึกเหนื่อย ฉันจัดการกับชีิวิตไม่ลงตัว" เมื่อมีความคิดเช่นนี้ก็จะทำให้คุณจัดการกับความเครียดไม่ได้ ที่สำคัญคือปัญหาด้านจิตใจมักเป็นตัวขัดขวางพลัง

พลัง..สร้างได้ด้วยการนั่งสมาธิ
แพทย์ชาวอเมริกัน ศจ. โจน คาบัท-ซิน (Jon Kabat-Zinn) แนะนำให้ฝึกสมาธิเพื่อเพ่ิมพลัง อาจนั่งสมาธิหรือเดินจงกลมเพื่อให้เรามีสมาธิกับร่างกายและพัฒนาจิตใจตัวเอง จะช่วยลดความเครียด

สัญญาณป่วย
บางครั้งการขาดพลังและมีความรู้สึกเหนื่อยเพลียอาจเป็นสัญญาณของโรคจากร่างกาย และเมื่อคุณฟื้นฟูพลังให้ตัวเองไม่ได้ ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจเลือด เพราะบางทีอาจมีปัญหากับต่อมธัยรอยด์ เช่น คอหอยพอก หรือต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ

รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2009, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43:ไม้มงคลประจำวันเกิด พรรณไม้มงคลประจำวันเกิด

ทราบหรือไม่ว่าวันเกิดของเรานั้นมีพรรณไม้มงคลอะไรบ้าง วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาฝาก...

:b48: คนเกิดวันอาทิตย์ มีพรรณไม้มงคล คือ โป๊ยเซียน คริสต์มาส โกสน พุทธรักษา เข็ม กุหลาบ จำปา ชบา หมากแดง เฟื่องฟ้า เป็นไม้มงคลประจำวันเกิด


:b47: คนเกิดวันจันทร์ มีพรรณไม้มงคล คือ จำปี ราตรี เสน่ห์จันทร์ขาว มะลิ พุดซ้อน พิกุล พลูด่าง โกสน แก้ว มะละกอ มะม่วง มะยม ฝรั่ง กระถิน บัวบก


:b48: คนเกิดวันอังคาร มีพรรณไม้มงคล คือ บานไม่รู้โรย ชวนชม กุหลาบ ใบเงิน ใบทอง โกสน ชบา ไฮเดรนเยีย พวงชมพู เฟื่องฟ้า คุณนายตื่นสาย เข็ม


:b47: คนเกิดวันพุธ มีพรรณไม้มงคล คือ มะยม มะละกอ กล้วย ขนุน คูน สนฉัตร เงินไหลมา
พลูด่าง วาสนา บอนสี ว่านหางจรเข้ โกสน ไผ่ เป็นไม้มงคลประจำวันเกิด


:b48: คนเกิดวันพฤหัสบดี มีพรรณไม้มงคล คือ การเวก จำปา จำปี พุดซ้อน ราตรี บานชื่น พุทธรักษา มะลิซ้อน ธรรมรักษา มะละกอ กล้วย

:b47: คนเกิดวันศุกร์ มีพรรณไม้มงคล คือ พู่ระหง โกสน สร้อยอินทนิล บัว มะลิ พุดซ้อน
กุหลาบ แก้ว ผกากรอง เข็ม อัญชัน กุหลาบ เป็นไม้มงคลประจำวันเกิด


:b48: คนเกิดวันเสาร์ มีพรรณไม้มงคล คือ ฝรั่ง มะละกอ มะม่วง ชมพู่ หมากเขียว เฟื่องฟ้า เล็บครุฑ วาสนา มะลิซ้อน อัญชัน

ใครได้ไม้มงคลชนิดไหนไปก็หมั่นไปทำบุญวันเกิดกันบ้างนะคะ

รูปภาพ รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


แก้ไขล่าสุดโดย ณ มรณา เมื่อ 17 ต.ค. 2009, 15:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2009, 15:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: ฝึกสมาธิ บำบัดเด็กสมาธิสั้น


การศึกษาใน เด็กที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder) หรือ ADHD จำนวน 48 ราย ของออสเตรเลีย พบ ว่าการฝึกสมาธิแบบสหจาโยคะทำให้อาการรุนแรงลดลงโดยเฉลี่ย 35% ตลอดระยะเวลา 6 สัปดาห์ของการฝึก และยังช่วยลดการใช้ยาของผู้ป่วยจำนวนมากลง ผู้นำร่วมในการศึกษาครั้งนี้ ดร.มโนชา ราเมศ ซึ่งเป็นแพทย์ผู้ชำนาญทั่วไปแห่งโรงพยาบาลซิดนีย์ กล่าวต่อที่ประชุมสมาคมจิตเวชศาสตร์โลก ณ เมืองเมลเบิร์น ถึงพัฒนาการด้านความประพฤติ ความเคารพในตนเอง (Self-esteem) และสัมพันธภาพที่เกิดขึ้น เด็กๆ บอกว่าพวกเขานอนหลับได้ดีขึ้น และมีความกังวลลดลงเมื่ออยู่บ้าน ขณะที่ความขัดแย้งก็ลดลง และสมาธิในการเรียนก็ดีขึ้นเมื่ออยู่โรงเรียน ทำให้พ่อ แม่ ผู้ปกครอง มีความสุขไม่เครียดเหมือนที่ผ่านมา และยังสามารถจัดการกับพฤติกรรมของเด็กๆ ได้ดีกว่าที่เคยเป็น


การทดลองซึ่งมีขึ้นที่โรงพยาบาลมงกุฎราชกุมารแห่งอังกฤษ (The prince of Wales Hospital เมืองแรนด์วิค (Randwick) ได้สอนเทคนิคให้เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ที่เข้ารับการรักษาโรค ADHD ด้วยยา โดยเทคนิคที่ใช้คือ เทคนิคการหลับตามองเห็น (Visualization) การใช้เพลงและธรรมชาติบวกกับการฝึก และการแนะนำแบบตัวต่อตัว ซึ่งการฝึกมีขึ้นสองช่วงใน 6 สัปดาห์ ที่โรงพยาบาลและฝึกสมาธิอีก 2 ครั้งต่อวันต่อที่บ้าน โดยในขณะฝึกจะจุ่มเท้าลงในน้ำเกลือเย็น จากการฝึกพบว่ามีพัฒนาการของอาการดีขึ้นถึง 35% ซึ่งนับว่ามีนัยสำคัญมาก ดร.มโนชา กล่าวว่า “6 รายในนั้นสามารถหยุดใช้ยาลง และมีพฤติกรรมกลับมาเป็นปกติอีก 12 รายลดการใช้ยาลงได้ครึ่งหนึ่ง ส่วนกลุ่มอื่นที่เหลือสามารถลดการใช้ยาลงได้ประมาณ 1 ใน 4” ผลสะท้อนกลับจากเด็กเป็นสิ่งที่ดีสุด เช่น คำกล่าวที่ว่า “ฉันรู้ตัวฉันเองเสมอในสิ่งที่ฉันกำลังกระทำ มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี และทำให้คนอื่นเสียใจ แต่ตอนนี้ฉันสามารถควบคุมมันได้แล้ว, เป็นต้น


ดร.มโนชา กล่าวว่า “การฝึกสมาธิทำให้คนสามารถเข้าสู่ภวังค์ได้ โดยทั่วไปเด็กสามารถฝึกสมาธิได้โดยธรรม พวกเขาจะคิดในเวลาเพียงชั่วครู่ เด็กที่เป็น ADHD จะไม่มีความสนใจในสิ่งต่างๆ สมาธิของเขาจะสั้น แต่การฝึกสมาธิเป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม เพราะจะมุ่งไปที่การใส่ใจ ความสงบ และการควบคุมสิ่งเร้า นี่เป็นการสอนซ้ำให้เด็กรำลึกถึงทักษะที่พวกเขาลืม และสูญเสียความสามารถทางธรรมชาติในการทำสมาธิ เพราะบางสิ่งบางอย่างในสภาพแวดล้อมรอบตัวพวกเขาขาดความสมดุลไป นี่เป็นเครื่องมือที่สามารถนำพาพวกเขาให้กลับคืนมาสู่สภาพปกติได้”

รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2009, 15:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: เพลงกล่อมเด็ก


เพลงกล่อมเด็ก คือ เพลงที่ร้องเพื่อกล่อมให้เด็กเล็กๆเกิดความเพลิดเพลินและอบอุ่นใจจะได้หลับง่ายและหลับสบาย


ลักษณะสำคัญ
เป็นบทร้อยกรองสั้นๆ มีคำคล้องจองต่อเนื่องกันไป
มีฉันทลักษณ์ไม่แน่นอน
ใช้คำง่ายๆสั้นหรือยาวก็ได้
มีจังหวะในการร้องและทำนองที่เรียบง่าย สนุกสนาน จดจำได้ง่าย

จุดมุ่งหมายของเพลงกล่อมเด็ก
ชักชวนให้เด็กนอนหลับ
เนื้อความแสดงถึงความรัก ความห่วงใย ความหวงแหนของแม่ที่มีต่อลูก

เพลงกล่อมเด็ก

เป็นเพลงที่มีเนื้อความสั้น ๆ ร้องง่าย ชาวบ้านในอดีตมักร้องกันได้ เนื่องจากได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เกิด คือได้ฟังพ่อแม่ร้องกล่อมตนเอง น้อง หลาน ฯลฯ เมื่อมีลูกก็มักร้องกล่อมลูก จึงเป็นเพลงที่ร้องกันได้เป็นส่วนมาก เราจึงพบว่าเพลงกล่อมเด็กมีอยู่ทุกภูมิภาคของไทย และเป็นวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงดูเด็กในสังคมไทย ซึ่งหากศึกษาจะพบว่า


1.เพลงกล่อมเด็กมีหน้าที่กล่อมให้เด็กหลับโดยตรง ดังนั้นจึงเป็นเพลงที่มีทำนองฟังสบาย แสดงความรักใคร่ห่วงใยของผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็ก
2.เพลงกล่อมเด็กมีหน้าที่แอบแฝงหลายประการ อาทิ
-การสอนภาษา เพื่อให้เด็กออกเสียงต่าง ๆ ได้โดยการหัดเลียนเสียง และออกเสียงต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น

-ถ่ายทอดความรู้ต่าง ๆ ได้แก่ เรื่องราวเกี่ยวกับธรรมชาติ การดำเนินชีวิต การทำมาหากินของสังคมตนเอง การสร้างค่านิยมต่าง ๆ รวมทั้งการระบายอารมณ์และความในใจของผู้ร้อง

นอกจากนี้พบว่า ส่วนมากแล้วเพลงกล่อมเด็ก มักมีใจความแสดงถึงความรักใคร่ห่วงใยลูก ซึ่งความรักและความห่วงใยนี้ แสดงออกมาในรูปของการทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเก็บเด็กไว้ใกล้ตัว

บทเพลงกล่อมเด็กจึงเป็นบทเพลงที่แสดงอารมณ์ ความรักความผูกพันระหว่างแม่-ลูก ซึ่งแต่ละบทมักแสดงถึงความรักความอาทร ทะนุถนอม ที่แม่มีต่อลูกอย่างซาบ



-----------------------------------------------------------------------------------------
นกเขาขัน

นกเขาเอย ขันแต่เช้าไปจนเย็น ขันไปให้ดังแม่จะฟังเสียงเล่น เนื้อเย็นเจ้าคนเดียวเอย

-----------------------------------------------------------------------------------------
กาเหว่า

กาเหว่าเอย ไข่ให้แม่กาฟัก แม่กาหลงรัก คิดว่าลูกในอุทร

คาบข้าวมาเผื่อ คาบเหยื่อมาป้อน ปีกหางเจ้ายังอ่อน สอนร่อนสอนบิน

แม่กาพาไปกิน ที่ปากน้ำแม่คงคา ตีนเหยียบสาหร่าย ปากก็ไซ้หาปลา

กินกุ้งกินกั้ง กินหอยกระพังแมงดา กินแล้วบินมา จับต้นหว้าโพธิทอง

นายพรานเห็นเข้า เยี่ยมเยี่ยมมองมอง ยกปืนขึ้นส่อง หมายจ้องแม่กาดำ

ตัวหนึ่งว่าจะต้ม ตัวหนึ่งว่าจะยำ แม่กาตาดำ แสนระกำใจเอย

----------------------------------------------------------------------------------------
วัดโบสถ์

วัดเอ๋ยวัดโบสถ์ มีต้นข้าวโพดสาลี

ลูกเขยตกยาก แม่ยายก็พรากเอาตัวหนี

ข้าวโพดสาลี ต่อแต่นี้จะโรยรา

---------------------------------------------------------------------------
นอนไปเถิด

นอนไปเถิดแม่จะกล่อม นวลละม่อมแม่จะไกว

ทองคำแม่อย่าร่ำไห้ สายสุดใจเจ้าแม่เอย

---------------------------------------------------------------------------
เจ้าเนื้อละมุน

เจ้าเนื้อละมุนเอย เจ้าเนื้ออุ่นเหมือนสำลี

แม่มิให้ผู้ใดต้อง เนื้อเจ้าจะหมองศรี

ทองดีเจ้าคนเดียวเอย

----------------------------------------------------------------------------
เจ้าเนื้ออ่อน

เจ้าเนื้ออ่อนเอย อ้อนแม่จะกินนม

แม่จะอุ้มเจ้าออกชม กินนมแล้วนอนเปลเอย


รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2009, 15:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: กินอะไรฉลาด

สุดยอดของอาหารชาร์ตพลังมันสมองต้องยกให้เนื้อปลา และต้องเป็นเนื้อปลาที่อุดมด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดโมเลกุลคู่ เช่น โอเมก้า-3 จากการศึกษาโดยการเลี้ยงทารกด้วยนมเสริมกรดไขมันโอเมก้า-3 พบว่า ทารกมีระดับไอคิวตอนอายุ 7 ขวบสูงกว่าทารกกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับนมเสริมกรดไขมันจำเป็น โอเมก้า-3 มีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการทางสมองและดวงตาของทารกในครรภ์ ทั้งอาจช่วยป้องกันการคลอดก่อนกำหนด ขณะเดียวกัน โอเมก้า-3 จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ใหญ่ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และอาจป้องกันข้อต่ออักเสบ หรือผิวหนังเรื้อรังบางชนิด ดังนั้นควรรับประทานปลาไขมันสูงให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง หรือมากกว่านั้น แม้การรับประทานน้ำมันในเนื้อปลาจะเอื้อประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่น้ำมันในตับปลาอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

สารอาหารอีกกลุ่มสำหรับผู้ที่ต้องการคิดไว คิดเร็ว ก็คือโพแทสเซียม ( ในผลไม้ประเภทส้ม ผักวอเตอร์เครส เมล็ดทานตะวัน กล้วย และมันฝรั่ง ) สังกะสี ( ในเนื้อแกะ จมูกข้าวสาลี เมล็ดฟักทอง และไข่ ) และ กรดอะมิโน Phenylaialinine ( พบในผลิตภัณฑ์อาหารจากถั่วเหลือง ชีส และอัลมอนด์ ) และควรรับประทานผักควบคู่กับผลไม้บ่อย ๆ จะช่วยให้สมองได้รับ ออกซิเจนอย่างเพียงพอ ป้องกันหลอดเลือดอุดตัน สำหรับผู้ที่เครียดกับงานประจำ ควรใส่ใจกับการรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี เนื่องจากความเครียดมีผลให้ระยะเวลาที่อาหารอยู่ในร่างกายสั้นลง ร่างกายดูดซึมวิตามินบีได้น้อย และคุณอาจต้องรับประทานวิตามินเสริม ซึ่งการวิจัยของ Wendy Snowden นักจิตวิทยาชาวอังกฤษ พบว่า การรับประทานวิตามินเสริมอาจช่วยให้ขบวนการทางความคิดทำงนว่องไวขึ้น

อาหารบำรุงสมอง ก๋วยเตี๋ยวธัญพืชผัดเนยถั่ว อาหารที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด อุดมด้วยวิตามินบี สำคัญ ๆ โดยเฉพาะวิตามินบี 1 ที่ช่วยให้เกิดสมาธิและความคิดสร้างสรรค์

รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2009, 15:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: เตือนภัย แปรงสีฟันเก่า

ผู้เชี่ยวชาญเตือนแทนที่จะช่วยสร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรง แต่แปรงสีฟันอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้มากกว่าที่คิด

ในหนังสือเล่มใหม่ ‘เหตุใดแปรงสีฟันจึงอาจฆ่าคุณได้?' เจมส์ ซอง นักเคมีจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐฯ ระบุว่าแปรงสีฟันที่ใช้งานนานเกินไป ถือเป็นหนึ่งในวัตถุอันตรายในครัวเรือน และว่าปัญหาสุขภาพมากมาย เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไขข้อ และการติดเชื้อเรื้อรัง อาจเกี่ยวพันกับแปรงสีฟันที่ไม่ถูกสุขอนามัย

ตามทฤษฎีของซองนั้น ดูเหมือนแบคทีเรียจำนวนมากจะซุกซ่อนอยู่ในแปรงสีฟัน และแบคทีเรียเหล่านี้เดินทางเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ใช้โดยตรงผ่านรอยแผลเล็กๆ ที่เหงือก แบคทีเรียเหล่านี้บางส่วนเกี่ยวข้องกับการอุดตันของเส้นเลือด

แนวคิดนี้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ผลการวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ในอังกฤษ พบว่าแปรงสีฟันทั่วๆ ไปเป็นแหล่งอาศัยของเชื้อโรคประมาณ 10 ล้านตัว ซึ่งรวมถึงแบคทีเรียอันตรายอย่าง staphylococci, streptococcus, E. coli และ candida

ขณะเดียวกัน สมาคมทันตกรรมแห่งอังกฤษ (บีดีเอ) สำทับว่าอันตรายยิ่งร้ายแรงขึ้นหากมีการใช้แปรงสีฟันร่วมกับคนอื่น

ดร. ทาเร็ก ไอดริส ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมตกแต่งจากฮาร์เลย์ สตรีท ขานรับว่ามีการตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ, บี และซีในแปรงสีฟัน และสปอร์ของไวรัสตับอักเสบบีสามารถอยู่รอดได้นานหลายเดือน นอกจากนั้น แปรงสีฟันเปียกชื้นยังเป็นแหล่งกบดานสมบูรณ์แบบของแบคทีเรียร้ายหลายชนิด

“เกือบจะเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์อย่างมากที่แปรงสีฟันถือเป็นวัตถุอันตรายในบ้าน เราไม่ควรทิ้งแปรงสีฟันไว้ในห้องน้ำแล้วใช้แล้วใช้อีกโดยไม่ล้างให้สะอาดเสียก่อน” ไอดริสเสริม

นอกจากนั้น หลายคนยังทิ้งแปรงสีฟันไว้ในแก้วเดียวกับคนอื่น ซึ่งอาจทำให้เชื้อโรคติดต่อถึงกันหากแปรงสีฟันสัมผัสกัน

ความเสี่ยงที่แบคทีเรียในช่องปากจะเข้าสู่กระแสเลือดถูกตอกย้ำจากงานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเชื้อแบคทีเรีย porphy-romonas gingivalis ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคปริทันต์ ปรากฏอยู่ในเส้นเลือดที่อุดตันรุนแรง

การศึกษาของศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบียของสหรัฐฯ ที่เผยแพร่ออกมาในเดือนกุมภาพันธ์ ระบุว่าแบคทีเรียในช่องปากของอาสาสมัครที่เป็นโรคหัวใจ ไปปรากฏอยู่ในหลอดเลือดหัวใจเช่นเดียวกัน แบคทีเรียนี้ยังเกี่ยวข้องกับการคลอดก่อนกำหนด และการที่ทารกมีน้ำหนักตัวแรกเกิดต่ำ

ไอดริสเสริมว่า การสะสมของแบคทีเรียร้ายในระบบเลือด อาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และเขาเชื่อว่า ในอีก 10-15 ปีข้างหน้า เราอาจต้องฆ่าเชื้อแปรงสีฟันกันเป็นประจำ หรือใช้แปรงสีฟันแบบใช้แล้วทิ้ง

ด้วยข้อมูลทั้งหมดนี้ ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้เปลี่ยนแปรงสีฟันอย่างน้อยทุกๆ 3 เดือน ไม่ควรใช้แปรงสีฟันร่วมกับผู้อื่น ขอคำแนะนำเรื่องการแปรงฟันจากทันตแพทย์ งดใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงแข็ง เนื่องจากจะทำให้เหงือกเป็นแผล และกลายเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือด และหาปลอกใส่แปรงสีฟันหากต้องเก็บไว้ในห้องน้ำ เป็นต้น
รูปภาพ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ต.ค. 2009, 15:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 15:54
โพสต์: 640

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: 108 พัน9 ของผู้ชาย
(มาได้ไงเนี่ย??!!)

จับผิด 19 คำโกหก หน้าตายของผู้ชาย

1. "ชีวิตนี้ผมจะไม่ขอรักใครอีกนอกจากคุณ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 90 คน)
ใครได้ยินคำนี้อย่าหลงดีใจ เพราะเค้าสามารถรักคนใหม่ได้เมื่อต้องเลิกกันไปแล้ว

2. "เธอจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักมากที่สุด" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 85 คน)
แม้เค้าจะแทงกั๊กประมาณว่าถึงจะมีกิ๊กใหม่ในอนาคต เค้าก้อไม่สามารถรักเท่าที่รักเธอ ฟังดูก้ออาจจะเป็นไปได้แหะ

3. "เราจะอดทนเป็นแฟนกันจนแต่งงานในอนาคต" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)
เค้าพูดด้วยความรู้สึกแบบเด็กๆที่ยังไม่ได้ผ่านสารพัดร้อยล้านเหตุการณืที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ซึ่งอาจทำให้ความรักสะดุดเมื่อไหร่ก้อได้

4. "ผมไม่เคยยอมใครขนาดนี้มาก่อน" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 83 คน)
ถ้าเค้าเป็นคนที่นิสัยยอมคน เค้าก้อจะยอมกับผู้หญิงทุกคนนั่นแหล่ะ

5. "สิ่งที่ผมทำลงไป ผมพยายามทำดีที่สุดแล้ว" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 78 คน)
ถ้าเกิดเค้าได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ต่อให้ผูหญิงคนนั้นหูหนวกหรือตาบอดยังไงก้อต้องรู้สึกได้

6. "ก้อผมเป็นของผมหยั่งงี้มานานแล้ว" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 79 คน)
เค้าพูดเพื่อให้เธอยอมรับนิสัยห่วยแตกของเค้า โดยอ้างความเป็นตัวของตัวเอง

7. "ให้อภัยผมเถอะ ผมจะไม่ได้ทำอีกแล้ว" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 65 คน)
ธรรมดาที่เค้าจะต้องพูดเพื่อใหการอภัยโทษป้องกันชะตาขาด และเธอเชื่อหรอว่าเค้าจะไม่พูดคำนี้อีกและอีกๆๆๆๆ

8. "ไม่รักผมไม่เป็นไร ขอแค่ให้ผมได้รับเธอก้อพอ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 83 คน)
แค่เธอแสดงให้เห็นว่ายังไงเธอก้อไม่มีวันรักเค้าได้จริงๆ ขี้คร้านจะรีบเด้งตัวเองจากไปภายในไม่กี่วัน พร้อมด้วยคำนินทาเธออีกก้อนใหญ่

9. "คิดถึงจนทนไม่ไหวแล้ว ออกมาเจอกันหน่อยนะ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 88 คน)
เค้าอาจจะถวิลหาเธอจริงๆแต่ไม่ได้รุนแรงถึงกับจะลงแดงตายเหมือนเธอเป็นยาเสพย์ติดของเค้าขนาดนั้น

10. "ทำไม ผมเลวจนเธอไม่ไว้ใจได้เลยหรอ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 71 คน)
เมื่อมีความไม่พอใจต่อการกระทำของเค้าในทุกกรณี เค้าจะต้องรีบปกป้องตัวเอง เพื่อแตะเบรค
ความคิดของเธอ

11. "ขอนอนกอดเฉยๆก้อพอ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 89 คน)
และ 89 คนนั้นหมายถึงการกอดในครั้งแรกที่ใกล้ชิดตัวกันมากขนาดนั้น แต่จะพุ่งพรวดถึง 95 คนทันที ในการกอดครั้งต่อไป

12. “ผมรักนะเลยอยากให้เธอเป็นของผม” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)
เพราะถ้ารักจริงทำไมต้องขอเอาเปรียบเราด้วย รักแล้วไม่หน้าด้านขออะไรๆ เรื่องนี้ไม่ได้หรือไง

13. “เธอคนนั้นเป็นแค่เพื่อนจริงๆ” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 65 คน)
ไม่มีทางซะหรอกที่เมื่อมีผู้หญิงมากิ๊ก แล้วเขาจะปฏิเสธเจ้าหล่อนเป็นแค่เพื่อน

14. ”ผู้หญิงคนนั้นเค้ามาชอบผมเอง” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 51 คน)
ฟังแล้วน่าภูมิใจที่พ่อตัวดีมีเสน่ห์เหลือร้าย แต่ช้าก่อนเพราะเพลงของปานนำมาใช้ได้กับคำโกหกคำนี้เสมอ “ตบมือข้างเดียว ไม่ดัง”

15. “เพื่อนมันลากผมไป ผมอยากไปกับมันซะที่ไหนเล่า” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)
ถ้าไม่อยากไปจริงๆ แม้เค้ามาฉุดยังไงก้อไม่ยอม ดังนั้นถ้าเค้าไม่ถูกเพื่อนเอาปืนจ่อหัว อย่าไปเชื่อว่า เค้าไม่อยากไปเฮกับเพื่อน

16. “ผมไม่ว่างจริงๆ อยากเจอเธอจะตายไป” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 85 คน)
คำว่าไม่มีเวลาว่างของเค้าก้อคือไม่อยากไปเจอเธอนั่นเอง และที่มันไม่ว่างเพราะว่าหายไปเฮกับเพื่อนๆ หรือกิจกรรมที่เร้าใจกว่าของเค้า

17. “ไม่มีทางที่ผมจะเห็นเพื่อนสำคัญมากกว่าเธอ” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 51 คน)
ซึ่งเป็นที่รู้ๆกันดีอยู่ว่าคำพูดผู้ชายจะพูดกับผู้ร่วมแก๊งว่า”เฮ้ย กรูน่ะไม่เคยเห็นหญิงสำคัญกว่าเพื่อนอยู่แล้ว”

18. “มีอะไรเราต้องไม่ปิดบังกันทุกเรื่อง” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 64 คน)
แม้จะรักกันปานหายใจปอดเดียวกัน แต่เชื่อเหอะว่าทุกคนบ่อมมีความลับของตัวเองบ้าง และผู้ชายไม่มี วันคายความลับของตัวเองออกมาอย่างแน่นอน

19. “ถ้าวันไหนต้องเลิกกัน ผมยังจะห่วงเธอเหมือนเดิม” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)
มันไม่มีทางจะเป็นไปได้อยู่แล้ว อย่างน้อยที่สุดก้อไม่มีทางว่าจะห่วงใยกันได้เท่าเดิม
ลองดูเอานะคะว่าผู้ชายที่คุณคบอยู่เป็นยังไง แต่ ในโลกนี้คิดว่ามันคงจะสูญพันธุ์ไปนานแล้วหล่ะค่ะ

.....................................................
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าธรรมชาติของจิตนั้นไหลลงต่ำ
จะขึ้นสูงต้องออกแรงทวนกระแส
เพราะฉะนั้นให้ถามตัวเองว่าเราคิดดีได้เป็นปกติหรือยัง
ถ้ายัง ก็ยอมรับตรงๆ ว่ายัง..
อย่าหลอกตัวเองว่าดีแล้ว
เพราะผลเสียหายไม่ใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเองที่ยังหลงวน
ไม่รู้ตัวว่าขาดเสบียงเพื่อความพร้อมตาย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2009, 13:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ

:b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร