วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 18:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2009, 16:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
โสดาบันมีปัญญาชนะโมหะ...

คุณกบนอกกะลาลองหาความหมายของคำว่า อินทรีย์ คือ ปัญญา หรือ ปัญญาอินทรีย์ หรือ ปัญญินทรีย์ ว่าหมายถึงอะไร? แล้วหาต่ออีกหน่อยว่า ปัญญินทรีย์ของโสดาบันนั้นคืออะไร? ได้มาได้อย่างไร?

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ส.ค. 2009, 20:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญญาอินทรีย์ หมายถึง..อะไร..(ตอนนี้).ไม่ทราบ..หากจะใช้บริการ.Google ก็คงรู้ความหมายได้ไม่ยาก..แต่ที่ยากคือความเข้าใจ..เข้าถึง..

ปัญญินทรีย์ของโสดาบันนั้นคืออะไร? ผมก็ไม่ทราบ..ความหมายตามคำแปลจะว่าอย่างไร..แต่ผมเข้าใจ..คุณลองใช้ใจที่อ่อนโยนน้อบน้อมดีแล้วหยั่งดูซิ..

หากใจท่านอ่อนโยนน้อบน้อมดีแล้ว..ลองตอบคำถามนี้จากใจจริง ๆ ดูว่า..

1. ทำไม..ต้องรักษาศีล..
2. ทำไม..จึงนับถือ พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์
3. ทำไม..เราทุกคนต้องตาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 08:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ลองหาดูนะครับ เรื่องนี้เป็นคุณ ไม่มีโทษ

ศีลเป็นเครื่องป้องกันภัยเวรต่างๆ ที่จะพาเราตกนรก พระพุทธองค์ให้ชาวพุทธรักษาศีลเพื่อเป็นเกราะป้องกันไม่ให่เราทำกรรมหนัก คนปกติยังไม่สามารถรักษาศีลได้บริสุทธิ์ เพราะยังถูกกิเลสครอบงำอยู่

เรานับถือพระพุทธองค์ เพราะพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ถ้าพระพุทธองค์ไม่ใช้ปัญญาแก้ไขปัญญา พระพุทธองค์ก็ไม่ต่างอะไรกับอาฬารดาบสหรืออทกดาบส พระพุทธองค์ก็จะไม่พบความบริสุทธิที่สุดของมนุษย์ สุดท้าย หากพระองค์ถอดใจว่าธรรมนี้สอนยาก นุ่มลึกละเอียดเป็นอณู ไม่เผยแพร่สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ พวกเราก็ไม่มีทางรู้จักการหลุดพ้น พระธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้นั้นเป็นแผนที่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะพาเราหลุดจากบ่วงของมาร เป็นสิ่งที่ชาวพุทธยึดถือเป็นที่สุดในการดำเนินชีวิต

หากไม่มีพระอริยะสาวกสืบทอดพระธรรม และสอนธรรมให้แก่ชาวพุทธ วิถีแห่งการหลุดพ้นคงสูญหายไปนานแล้ว พระสงฆ์จึงมีความสำคัญยิ่งต่อชนรุ่นต่อมา

สุดท้าย ความตายเป็นเพียงสิ่งสมมุติ เป็นเพียงการเปลี่ยนสภาวะ ไม่มีไครตายจริงๆ ที่เราต้องตายจากความเป็นคน เพราะเราเกิดมาเป็นคน สิ่งที่ทำให้เรายังต้องเวียนว่ายในสงสารวัฏ คือ อวิชชา อยากจะออกจากกงล้อการเกิดการตาย ก็จึงต้องใช้ วิชชา

ถามต่ออีกหน่อย คนถือศีล กับคนมีศีล นี่ต่างกันอย่างไรครับ?

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 26 ส.ค. 2009, 08:49, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 09:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ลองหาดูนะครับ เรื่องนี้เป็นคุณ ไม่มีโทษ

ศีลเป็นเครื่องป้องกันภัยเวรต่างๆ ที่จะพาเราตกนรก พระพุทธองค์ให้ชาวพุทธรักษาศีลเพื่อเป็นเกราะป้องกันไม่ให่เราทำกรรมหนัก คนปกติยังไม่สามารถรักษาศีลได้บริสุทธิ์ เพราะยังถูกกิเลสครอบงำอยู่

เรานับถือพระพุทธองค์ เพราะพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ถ้าพระพุทธองค์ไม่ใช้ปัญญาแก้ไขปัญญา พระพุทธองค์ก็ไม่ต่างอะไรกับอาฬารดาบสหรืออทกดาบส พระพุทธองค์ก็จะไม่พบความบริสุทธิที่สุดของมนุษย์ สุดท้าย หากพระองค์ถอดใจว่าธรรมนี้สอนยาก นุ่มลึกละเอียดเป็นอณู ไม่เผยแพร่สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ พวกเราก็ไม่มีทางรู้จักการหลุดพ้น พระธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้นั้นเป็นแผนที่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะพาเราหลุดจากบ่วงของมาร เป็นสิ่งที่ชาวพุทธยึดถือเป็นที่สุดในการดำเนินชีวิต

หากไม่มีพระอริยะสาวกสืบทอดพระธรรม และสอนธรรมให้แก่ชาวพุทธ วิถีแห่งการหลุดพ้นคงสูญหายไปนานแล้ว พระสงฆ์จึงมีความสำคัญยิ่งต่อชนรุ่นต่อมา
สุดท้าย ความตายเป็นเพียงสิ่งสมมุติ เป็นเพียงการเปลี่ยนสภาวะ ไม่มีไครตายจริงๆ ที่เราต้องตายจากความเป็นคน เพราะเราเกิดมาเป็นคน สิ่งที่ทำให้เรายังต้องเวียนว่ายในสงสารวัฏ คือ อวิชชา อยากจะออกจากกงล้อการเกิดการตาย ก็จึงต้องใช้ วิชชา
ถามต่ออีกหน่อย คนถือศีล กับคนมีศีล นี่ต่างกันอย่างไรครับ?


สีฟ้า เห็นด้วยอย่างมากครับ... :b8:

สีชมพู ผมอ่านแล้ว ผมชักจะเหม็นขี้หน้าคุณขึ้นมาตะหงิด ๆ แล้วครับ... :b5: :b5:
บอกตรง ๆ เวลาผมจะคุย ผมขี้อายครับ อายสุด ๆ ด้วย...
แต่คุณทำให้ผมชักจะอยากคุยกับคุณซะแล้วสิ่... :b16: :b16: :b16:

สีม่วง ผมว่าคุณเอาประโยคนี้ออกไปตั้งกระทู้ดีมั๊ยครับ...
เพราะจริง ๆ ตะกี๊ ผมก็ว่าจะตั้งกระทู้ประมาณนี้ล่ะ
แต่คิดคำมาพูดไม่ถูก... ประมาณคำว่าศีล กับการสำรวม กาย วาจา ใจ ให้อยู่ในศีลน่ะครับ...

เพราะ ธรรมสำหรับผม มันค่อย ๆ เดินทางเงียบ ๆ อยู่ในใจน่ะครับ
มันอยู่เหนือคำพูด และไม่รู้จะพูดยังไงด้วย... ผมก็เลยช่างมันเถอะ...เช่นนั้น
:b32: :b32: :b32:



:b16: :b16: :b16:


แก้ไขล่าสุดโดย yahoo เมื่อ 26 ส.ค. 2009, 09:35, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 10:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
สีชมพู...

เอ.. ตรงใหนที่ทำให้เกิดสับสนขึ้นมาได้ ขยายความหน่อยก็ดีนะครับ :b10: ไม่มีอะไรเสียหาย :b12:

อ้างคำพูด:
สีม่วง

ก็ดีนะครับ :b1:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2009, 16:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
สีชมพู...

เอ.. ตรงใหนที่ทำให้เกิดสับสนขึ้นมาได้ ขยายความหน่อยก็ดีนะครับ :b10: ไม่มีอะไรเสียหาย :b12:



เปล่า...ผมไม่ได้สับสน...
เพียงแต่ผมไม่คิดว่าคุณจะเป็นพวกชอบของเค็ม ๆ น่ะ...

:b13: :b13: :b13:

สีม่วง ผมว่าคุณเอาประโยคนี้ออกไปตั้งกระทู้ดีมั๊ยครับ...
อ้างคำพูด:
สีม่วง
ก็ดีนะครับ :b1:

งั๊นก็ทำสิ่...ครับ

:b4: :b4: :b4:


แก้ไขล่าสุดโดย yahoo เมื่อ 26 ส.ค. 2009, 17:03, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2009, 07:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมก็ว่าไปตามหลักอภิธรรมนะ ทีนี้คุณไม่งง แต่ผมเริ่มจะงงแล้ว :b23:

เรื่องกระทู้ใหม่ เรื่องการมีศีลกับการถือสีล คุณตั้งเองเลยก็ได้ คำถามนี้น่าสนใจ ประเทืองปัญญา ผมจะคอยติดตามดูมั่ง :b4:

องค์ธรรม ๔ ประการ ที่คุณ กบนอกกะลา ยกมาถามนี่ก็น่าสนใจมากนะครับ เพราะเราเกิดมาในสังคมพุทธ ก็นับถือ พนะพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถือศีล กันมาตั้งแต่จำความได้ จนจวนจะลืมไปแล้วถึงที่มาที่ไป เพราะนี่จริงๆ เป็นก้าวแรกที่สำคัญมากทีเดียวที่จะทำให้เราปฏิบัติธรรม เป็นไปเพื่อการบรรลุโสดาบันทีเดียว และสำหรับผู้ที่ปฏิบัติถึงโสดาบันแล้ว องค์ธรรมทั้ง ๔ ประการก็จะมีในจิตใต้สำนึกของผู้นั้นทีเดียว

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 27 ส.ค. 2009, 09:08, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2009, 07:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ลองหาดูนะครับ เรื่องนี้เป็นคุณ ไม่มีโทษ

ศีลเป็นเครื่องป้องกันภัยเวรต่างๆ ที่จะพาเราตกนรก พระพุทธองค์ให้ชาวพุทธรักษาศีลเพื่อเป็นเกราะป้องกันไม่ให่เราทำกรรมหนัก คนปกติยังไม่สามารถรักษาศีลได้บริสุทธิ์ เพราะยังถูกกิเลสครอบงำอยู่

เรานับถือพระพุทธองค์ เพราะพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ถ้าพระพุทธองค์ไม่ใช้ปัญญาแก้ไขปัญญา พระพุทธองค์ก็ไม่ต่างอะไรกับอาฬารดาบสหรืออทกดาบส พระพุทธองค์ก็จะไม่พบความบริสุทธิที่สุดของมนุษย์ สุดท้าย หากพระองค์ถอดใจว่าธรรมนี้สอนยาก นุ่มลึกละเอียดเป็นอณู ไม่เผยแพร่สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ พวกเราก็ไม่มีทางรู้จักการหลุดพ้น พระธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้นั้นเป็นแผนที่เป็นแผนที่ชีวิตที่จะพาเราหลุดจากบ่วงของมาร เป็นสิ่งที่ชาวพุทธยึดถือเป็นที่สุดในการดำเนินชีวิต

หากไม่มีพระอริยะสาวกสืบทอดพระธรรม และสอนธรรมให้แก่ชาวพุทธ วิถีแห่งการหลุดพ้นคงสูญหายไปนานแล้ว พระสงฆ์จึงมีความสำคัญยิ่งต่อชนรุ่นต่อมา

สุดท้าย ความตายเป็นเพียงสิ่งสมมุติ เป็นเพียงการเปลี่ยนสภาวะ ไม่มีไครตายจริงๆ ที่เราต้องตายจากความเป็นคน เพราะเราเกิดมาเป็นคน สิ่งที่ทำให้เรายังต้องเวียนว่ายในสงสารวัฏ คือ อวิชชา อยากจะออกจากกงล้อการเกิดการตาย ก็จึงต้องใช้ วิชชา



ขอบคุณครับที่ตอบ..

กบนอกกะลา เขียน:
ลองตอบคำถามนี้จากใจจริง ๆ ดูว่า..


ที่ถามก็ถามจากใจ..อยากให้ตอบจากใจของตัวเองนะครับ

โดยส่วนของตัว..คิดอย่างนี้ครับ

1. รักษาศีล เพราะสงสาร..ทุกชีวิต..ไม่ว่าเขาหรือเรา..ก็เป็นเหมือนกัน..เท่ากัน..เราก็ไม่อยากให้ใครมาเบียดเบียนเรา..เขาก็เช่นกัน..

2. ที่นับถือพระพุทธเจ้า..เพราะระลึกถึงพระคุณของพระองค์..รักน้ำพระทัยของพระพุทธเจ้า..ผู้มีแต่เมตตาปราณีแก่สัตว์ทั้งหลาย..เสมอกัน..นับถือพระธรรมเพราะพระธรรมคือพระพุทธเจ้า..นับถือพระอริยสงฆ์เพราะระลึกถึงพระคุณของท่าน..ที่คอยพร่ำสอนสัตว์โง่ ๆ (อย่างตัวผมเป็นต้น)..บางครั้งธาตุขันธ์ท่านก็ไม่อำนวย..ท่านก็เจ็บอย่างเรา ๆ นั้นแหละ..แต่ท่านไม่ท้อที่จะสั่งสอนสัตว์(โง่ ๆ )..เข็นเราให้ได้เห็นแสงสว่าง..

3. ทำไมเราต้องตาย..ก็มันเป็นเรื่องธรรมดาของมัน

เพราะผมแปล..ปัญญอินทรีย์โสดาบัน..อย่างที่ท่าน.จขกท.ถามไม่ได้..แต่ก็พอจะเข้าใจบ้างเล็กน้อย..จึงสอบทานกับท่านด้วยคำถาม 3 ข้อ แต่ท่านตอบมาซะเต็มยศเลย..ไล่เรียงตั้งแต่ปัญญาของปุถุชนในข้อ 1 รักษาศีลเพราะกลัว จนถึงปัญญาของพระอรหันต์ในข้อ 3 ที่ต้องตายเพราะอวิชชาจะพ้นไปได้ต้องมีวิชชา

ผมก็ต้อง..อื่มมม....นะ

อ้างคำพูด:
ถามต่ออีกหน่อย คนถือศีล กับคนมีศีล นี่ต่างกันอย่างไรครับ?


เดาว่า..อยากจะให้ตอบแบบละเอียดทำนอง..คนที่ต้องบังคับตัวให้อยู่ในศีล..กับคน..อยู่ในศีลเป็นปกติเป้นอาการอย่างไร..แต่ผมไม่อยากจะตอบแบบนี้..

ผมถือว่า..คนมีศีลเพราะได้ถือศีล..คนมีศีลครบเพราะถือศีลได้ครบ..มีผลเพราะมรรค์..เพราะมีมรรค์ผลจึงมี..ก็เลยไม่เห็นประโยชน์ที่จะมาดูอาการที่ต่างกันระหว่างมรรค์กับผล..

ส่วนอาการของอารมณ์ของคุณ Yahoo นี้..บอกได้เลยว่า..คือกัน..คือกัน ( แปลว่า.เหมือนกัน)


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 27 ส.ค. 2009, 08:08, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2009, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ปกติผมจะอธิบายง่ายๆ ว่า

1) คนถือศีล เพราะกลัว คือ ศีลอยู่ในระดับจิตปกติ อยู่ในระดับเดียวกันกับการถือกฎหมาย
2) คนถือศีลเพราะศัทราเพราะถือต่อๆ กันมา ศีลอยู่ในระดับจิตปกติแต่แนบแน่นกว่า อยู่ในระดับเดียวกันกับจารีตประเภณี
2) คนมีศีล คือ มีศีลอยู่ในจิตใต้สำนึก อยู่ในระดับเดียวกันกับคุณธรรม

ทั้งนี้ก็เพื่อให้คนปัจจุบันเข้าใจได้

หรือบางทีก็อธิบายว่า คนถือสีล คือ ถืออยู่นอกตัว คนมีศีล คือ มีศีลอยู่ในใจ เป็นต้น

ทำไมศีลถึงเข้าไปอยู่ในตัวโสดาบันได้? ทั้งนี้ก็เพราะการเกิดของปัญญา คนปกติถือศีลเพื่อก้าวไปสู่การปฏิบัติธรรม เมื่อปฏิบัติจนได้ผล มีปัญญารู้ว่าการผิดศีลมีโทษ ศีลก็เกิดได้ในตัวผู้นั้นอัตโนมัติ เมื่อมีศีล กายจึงสงบใจจึงสงบ เป็นไปเพื่อสมาธิ

จึงได้กล่าวว่า ปัญญาเป็นพ่อ ศีลเป็นลูก สมาธิเป็นหลาน
ก่อนหน้านี้ ก็คือ ยึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ทาน ถือศีล เจริญปัญญา (วิปัสสนา)

ทีนี้ก็กลับไปเรื่องปัญญินทรีย์ ก็ลองไปดูเรื่อง พละ ๕ และอินทรีย์ ๕ หรืออ่านพระสูตรเล่มที่ ๑๑ จะชัดเจนมากเรื่องการปฏิบัติเพื่อการบรรลุโสดาบัน

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 27 ส.ค. 2009, 18:49, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2009, 09:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ที่ถามก็ถามจากใจ..อยากให้ตอบจากใจของตัวเองนะครับ

โดยส่วนของตัว..คิดอย่างนี้ครับ

1. รักษาศีล เพราะสงสาร..ทุกชีวิต..ไม่ว่าเขาหรือเรา..ก็เป็นเหมือนกัน..เท่ากัน..เราก็ไม่อยากให้ใครมาเบียดเบียนเรา..เขาก็เช่นกัน..


เรื่องศีล อันนี้ พอดี ผมคัดมาจากหนังสือเล่มที่ผมอ่านน่ะ
คือ...ตอนที่ผมเริ่มปฏิบัติ ผมอ่านเล่มนี้ แล้วยึดการถือศีลตามหลักนี้น่ะครับ...
ดูเหมือนจะมาขยายความ ในความเห็นข้อที่ 1 ของคุณได้เลย

ศีลที่จะตั้งอยู่ได้จะต้องอาศัยเป็น
ผู้มีสติความระลึกได้ สัมปัชัญญะความรู้ตัว (กาย วาจา ใจ)
นี้เป็นเครื่องทะนุบำรุงรักษาไว้แห่งความบริสุทธิ์ และต้องเลี้ยงดูด้วยอาหาร

ศีลจะมีกำลังขึ้นได้จะต้องบำรุงด้วยอาหาร ซึ่งอาหารนั้นได้แก่
1.เมตตาจิต ความรักใคร่ปราถนาจะให้ตนและคนอื่นเป็นสุข ทุกถ้วนหน้า
2. กรุณาจิต จิตคิดสงสารตน และ คนอื่น มีแต่จะช่วยให้พ้นจากทุกข์ถ่ายเดียว
3. มุทิตาจิต มีจิตอ่อนน้อมพลอยยินดีในความดีของสัตว์ทุกจำพวก
4. อุเปกขาจิต คิดปล่อยวางเฉยในสิ่งที่ควรปล่อย สิ่งใดที่ตนหมดความสามารถจะช่วยเหลือ
ก็ปล่อยวางเสีย ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ในบุคคลหรือสัตว์นั้น ๆ
ซึ่งการสำรวมศีลตามนี้ จะเป็นการไปขัดเกลา โลภะ โทสะ โมหะ...
ผลที่ได้ก็...จะทำให้จิต...สุขสงบ ตามลำดับ

คืออันนี้ผมก็ไม่รู้นะ แต่สมัยที่เริ่มมาศึกษาพุทธศาสนา
ผมอ่านหลักการสำรวมศีลของหลวงพ่อท่านนี้แล้ว รู้สึกว่าเป็นมิตรต่อจิตใจดี...
ก็เลยหยิบมาเป็นหลักในการสำรวม กาย วาจา ใจ...

ซึ่งตอนนั้น ปัญญาน่าจะยังไม่เกิดหรอกครับ สมาธิก็คงยังไม่ผุด...

อ้างคำพูด:
ส่วนอาการของอารมณ์ของคุณ Yahoo นี้..บอกได้เลยว่า..คือกัน..คือกัน ( แปลว่า.เหมือนกัน)


คือกัน...นี่คือ ทำให้คุณกับคุณ supareak งง คือ ๆ กัน เหร๋อครับ... :b32: :b32:
หรือว่า ผม :b22: :b22: :b22: คือกันกับคุณ... :b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย yahoo เมื่อ 27 ส.ค. 2009, 10:09, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2009, 13:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พอดีอ่านไปเจอ...คำกล่าวของหลวงพ่อท่านนี้อีกแล้ว น่าคิดครับ...

สักกายทิฎฐิ ความเห็นเป็นเหตุให้ถือว่าสิ่งทั้งหลายเป็นของ ๆ ตัว เป็นตัว ไม่ปล่อยวาง
จึงติดศีลบ้าง ติดสมาธิบ้าง หลงปัญญาของตนเองบ้าง
เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมเป็น ทิฏฐิโอฆะ คือไม่รู้ตัวสมาธินั่นเอง
ที่จะรู้ได้คือเดินคล้าย ๆ กัน คือเดินดังนี้
ชำระศีลเพื่ออบรมสมาธิ ชำระสมาธิเพื่ออบรมปัญญา ชำระปัญญาให้เห็นถูกต้อง
นำปัญญานั้น ๆ มาชำระสมาธิ และ ศีล
เมื่อสมาธิและศีลบริสุทธิ์ได้แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องเอาปัญญามาชำระศีลสมาธิอีก
ก็สักแต่ว่าทำไปเฉย ๆ
เอาปัญญาชำระดวงจิตที่เดียว ศีลที่เป็นสีลพัตต์ก็ดับ
สมาธิที่เป็นสีลพัตต์ ก็ดับ เหลือแต่องค์ปัญญา
คอยชำระจิตใจจนมั่นคง แต่มิใช่มั่นคงอยู่ในอารมณ์สมาธิ
คือมั่นคงอยู่ในอารมณ์ของปัญญา


ที่บอกว่าตรงนี้น่าสนใจ เพราะ จริง ๆ หนังสือของท่านก็เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นล่ะครับ
แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ท่านมีการวนกลับ...ด้วยแฮะ...

คุณมีความเห็นยังไงกับคำสอนของหลวงพ่อท่านนี้ครับ
ถ้าขยายความแล้วมีประโยชน์ต่อผู้อ่านอย่างผม ก็กำลังรอรัปทานอยู่ครับ... :b13: :b13:

สำหรับผมเห็นว่า ที่ท่านสอนเช่นนี้แสดงว่าการปฏิบัติธรรมที่ควรคือ
สุดท้ายปัญญา เป็นพระเอก...
คือสิ่งที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการชำระ...

ส่วนเรื่อง พระสูตรเล่ม 11 เดี๋ยวจะกลับไปอ่านครับ...เพราะอยู่ที่บ้าน :b9: :b9:
(...วุ้ย...คุยกับคุณนี่...มีการให้การบ้านอีกด้วย...)


แก้ไขล่าสุดโดย yahoo เมื่อ 27 ส.ค. 2009, 13:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2009, 18:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


เนื้อเรื่องในพระสูตรเล่ม ๑๑

๑. มัคคสังยุตต์ ประมวลเรื่องมรรคมีองค์ ๘ อันเป็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์.
๒. โพชฌงคสังยุตต์ ประมวลเรื่องโพชฌงค์ ๗ คือองค์แห่งปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้มีสติ เป็นต้น.
๓. สติปัฏฐานสังยุตต์ ประมวลเรื่องสติปัฏฐาน ๔ คือการตั้งสติ ๔ ประการ มีตั้งสติไว้ที่กาย เป็ต้น.
๔. อินทรียสังยุตต์ ประมวลเรื่องอินทรีย์ ๕ คือธรรมอันเป็นเรื่องใหญ่ในหน้าที่ของตน มีศรัทธาความเชื่อ เป็นต้น.
๕. สัมมัปปธานสังยุตต์ ประมวลเรื่องความเพียรชอบ ๔ ปารการ มีเพียรทำไม่ให้เกิดความชั่ว ที่ยังไม่เกิด เป็นต้น.
๖. พลสังยุตต์ ประมวลเรื่องพละ ๕ ปารการ มีศรัทธาความเชื่อ เป็นต้น.
๗. อิทธิปาทสังยุตต์ ประมวลเรื่องอิทธิบาท ๔ คือธรรมะอันให้บรรลุความสำเร็จ ๔ ประการ มีฉันทะความพอใจ เป็นต้น.
๘. อนุรุทธสังยุตต์ ประมวลเรื่องพระอนุนุทธ์ ผู้เป็นพุทธอนุชา.
๙. ฌานสังยุตต์ ประมวลเรื่องฌาน คือการเพ่งอารมณ์จนจิตสงบได้ฌานที่ ๑ ถึงที่ ๔.
๑๐. อานาปานสังยุตต์ ประมวลเรื่องสติกำหนดลมหายใจเข้าออก ซึ่งเป็นวิธีทำจิตให้สงบประการหนึ่งที่นับว่าสำคัญ.
๑๑. ปัตติสังยุตต์ ประมวลเรื่องการที่จะเป็นพระโสดาบัน คือพระอริยบุคคลชั้นที่ ๑ ซึ่งเป็นชั้นแรกใน ๔ ชั้น.
๑๒. สัจจสังยุตต์ ประมวลเรื่องอริยสัจจ์ ซึ่งเป็นธรรมที่เป็นหลักสำคัญทางพระพุทธศาสนา

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2009, 18:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
นำปัญญานั้น ๆ มาชำระสมาธิ และ ศีลเมื่อสมาธิและศีลบริสุทธิ์ได้แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องเอาปัญญามาชำระศีลสมาธิอีก ก็สักแต่ว่าทำไปเฉย ๆ เอาปัญญาชำระดวงจิตที่เดียว ศีลที่เป็นสีลพัตต์ก็ดับ
สมาธิที่เป็นสีลพัตต์ ก็ดับ เหลือแต่องค์ปัญญาคอยชำระจิตใจจนมั่นคง แต่มิใช่มั่นคงอยู่ในอารมณ์สมาธิ
คือมั่นคงอยู่ในอารมณ์ของปัญญา

ศีลเป็นบาทของสมาธิ มีศีลดีสมาธิก็เกิดได้โดยธรรมชาติ เป็นขณิกสมาธิที่ค่อนข้างมั่นคง ก็เป็นแนวทางการสอนที่ถูกตามครรลองคลองธรรม ขาดแต่เพียงไม่ได้แสดงรายละเอียดวิธีการเจริญปัญญาเท่านั้นเอง :b8:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2009, 20:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
ขาดแต่เพียงไม่ได้แสดงรายละเอียดวิธีการเจริญปัญญาเท่านั้นเอง :b8:


อ๊ะ...อ๊ะ...อย่านะคุณ คุณอ่านพระไตรปิฎกข้ามได้ scan ได้ แล้วค่อยกลับมาอ่านย้อนที่หลังได้
ผมก็อ่านหนังสือของอาจารย์แบบข้ามได้ scan ได้เหมือนกาน...
หือ...? หรือว่าคุณทำได้ แต่ผมห้ามทำ...? :b16: :b16:

:b13: :b13:

ไม่เสียเวลาคุยแล้ว...ไปทำการบ้าน...ดีกวั่ว...
เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีเรื่องมาเถียง...

:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2009, 20:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากได้รายละเอียดเหมือนกันครับว่าท่านได้แสดงวิธีการปฏิบัติไว้ว่าอย่างไรบ้าง :b1:

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 63 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร