วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 00:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


Facebook ลานธรรมจักร - http://www.facebook.com/larndhammajak
ห้องแชดสนทนาธรรม - http://www.dhammajak.net/chat/



กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2009, 23:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขออนุโมทนาบุญกับคุณตักบาตรถามพระด้วยค่ะ สาธุ :b8:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2009, 05:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2009, 04:12
โพสต์: 1067


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สวัสดีค่ะ คุณBwitch ขอแสดงความ
ยินดีและต้อนรับ ขอให้มีความสุขในลานธรรมจักร :b20:

.....................................................
...นฺตถิตัณหา สมานที...
ห้วงน้ำใหญ่โต เสมอด้วยตัณหาไม่มี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2009, 05:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ค. 2009, 08:32
โพสต์: 38

อายุ: 0
ที่อยู่: ประจวบ

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับคุณBwitch ขอให้มีความสุขในลานธรรมนี้ :b45:

.....................................................
ทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนอนิจจัง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอต้อนรับกัลยาณมิตร

ขอกราบอนุโมทนาบุญ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 09:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: กราบอนุโมทนา สาธุ
และขอให้กัลยาณมิตรทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปเช่นกันค่ะ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 17:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หนังสือ time magazine บอกว่าที่อเมริกา ได้มีงานวิจัย
พบว่า คนที่มีความสุขมากที่สุดในโลก ก็คือ พระในทางพุทธศาสนา
โดยทดสอบด้วยการสแกนสมองของพระที่ ทำสมาธิ และได้ผลลัพธ์ ออกมาว่าเป็นจริง..



หลักความเชื่อของศาสนาพุทธ ก็คือ เหตุที่ทำให้เกิดความสุข นั้นก็คือ อยู่กับปัจจุบันขณะ
ปล่อยวางได้ในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ควบคุมความอยากที่ไม่มีสิ้นสุด ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่ทะเลาะ
และใช้หลัก เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
ให้อภัย ตัวเอง และผู้อื่น มีจิตใจเมตตากรุณา และเสียสละเพื่อผู้อื่น



อริยะสัจ 4 สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและ บอกไว้ ว่าด้วย ทุกข์ สมุทัย มรรค นิโรธ
แท้จริงแล้วก็คือ ทางเดินไปหาคำว่า " ความสุข "
เพราะถ้าเมื่อไรเรากำจัด " ความทุกข์ " ได้แล้ว ความสุขก็จะเกิดขึ้นทันที



อุปสรรคของความสุข ก็คือ แรงปรารถนา และตัณหา
พระอาจารย์บอกว่า คนเราจะมีความสุขมันไม่มีขึ้นอยู่กับว่า " มีเท่าไร "
แต่ขึ้นอยู่ที่ว่าเรา " พอเมื่อไร " ความสุขไม่ได้ขึ้นกับจำนวนสิ่งของที่เรามีหรือเราได้...


ท่านสังเกตเอาจากชาวนาที่ จ อุบล ถ้าบ้านไหนมีควายไว้ช่วยทำนา 1 ตัว บ้านนั้นจะมีความสุข
แต่เมื่อไร ที่ชาวนาคนไหนอยากจะได้ ควาย ตัวที่ 2 ปั๊ป ชาวนาคนนั้นจะไม่มีความสุข เลย
เพราะต้องเริ่มคิดว่าจะทำไงดีถึงจะได้ควายอีกสักตัว
เราก็เหมือนกัน เมื่อไรที่เรา อยากได้รถคันใหม่ อยากได้บ้านใหม่
อยากไปเที่ยว อยากจะมัดใจไอ้หมอนั้น ให้ได้ (อิอิ) ฯลฯ
เราจะเริ่มเป็นทุกข์ เพราะเราต้อง คิดหาทางที่จะเอามันมาให้ได้ มาเป็นของเรา..




ดังนั้นวิธีจะมีความสุข อันดับแรก ต้อง " หยุดให้เป็น และพอใจให้ได้ "
ถ้าเราไม่หยุดความอยาก(ที่มากเกินไป) ของเราแล้วละก็ เราก็จะต้องวิ่งไล่ตาม
หลายสิ่งที่เรา " อยากได้ " แล้วนั่นมัน เหนื่อย!!!และความทุกข์ ก็จะตามมา...



ข้อต่อมาที่ทำให้เราเป็นสุข คือ การมองทุกอย่างใน แง่บวก
เมื่อเสร็จงานแล้วกลับถึงบ้าน คนที่บ้านถามว่า วันนี้เป็นไงบ้าง ?
ส่วนใหญ่เราจะตอบว่า " โดนบอสด่ามา วุ่นวาย ลูกค้า งี่เง่า ฯลฯ "
ทำไมเราถึงชอบคิดถึงแต่เรืองไม่ดี



ในชีวิตแต่ละวัน แน่นอน เราต้องเจอทั้งเรื่องดี และไม่ดี
แต่ถ้าเราอยากจะมีความสุขเราต้องเริ่ม ด้วยการมองแต่สิ่งดีๆ มองให้เป็นบวก
เพื่อที่ใจเราจะได้เป็นบวก คิดถึงสิ่งที่เราทำสำเร็จแล้วในวันนี้ สิ่งดีๆที่เราได้ทำ....



ข้อต่อมาคือ การให้ หมายรวมถึงการให้ในรูปแบบสิ่งของหรือ เงิน เรียกว่าบริจาค
และการให้ ความเมตตา กรุณาต่อกัน ให้อภัย ทั้งตัวเอง และคนอื่น
สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ เป็นปัจจัย ทำให้เรามีความสุข....





การปล่อยวาง ให้ได้ ในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
ไม่ว่าเรื่องจะร้ายแรงและเศร้าโศกเพียงใด
จำไว้ว่า มันจะโดน เวลา พัดพามันไปจากเราไม่ช้าก็เร็ว เราจะผ่านพ้นไปได้....



และยอมรับในความเป็นจริงของชีวิต ไม่ว่า จะเป็นเรื่องที่เราไม่ชอบเพียงใด
ไม่ว่า ผิดหวัง สูญเสีย เจ็บป่วยล้วนแล้วแต่ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา
เราทุกคนต้องได้ผ่าน บททดสอบนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร...





ขอให้เรารักษาใจเราให้เป็นสุข อยู่เสมอ
เพราะความสุข มันอยู่ใกล้แค่นี้เอง แค่ที่ ใจของเรา นี่เองแหละ...

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รักษาใจให้ปลอดพิษ

:b53: "อารมณ์ที่หมักหมมเรื้อรังนั้นมีพิษต่อจิตใจและร่างกายอย่างที่เราอาจคาดไม่ถึง เราจำเป็นต้องรู้จักจัดการกับอารมณ์เหล่านี้ไม่ให้ หมักหมมเรื้อรัง สำหรับอารมณ์ขุ่นข้อง โกรธเคือง และน้อยเนื้อต่ำใจ คงไม่มีวิธีการใดดีกว่าการให้อภัย"

:b51: "อารมณ์ที่หมักหมมเรื้อรังนั้นมีพิษต่อจิตใจและร่างกายอย่างที่เราอาจคาดไม่ถึง เราจำเป็นต้องรู้จักจัดการกับอารมณ์เหล่านี้ไม่ให้ หมักหมมเรื้อรัง สำหรับอารมณ์ขุ่นข้อง โกรธเคือง และน้อยเนื้อต่ำใจ คงไม่มีวิธีการใดดีกว่าการให้อภัย"

:b53: หญิงสาวคนหนึ่งมีอาการปวดท้องและปวดหัวเรื้อรัง ทั้งยังมีความดันโลหิตสูงด้วย ไปหาหมอครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่มีอาการดีขึ้น น่าแปลกก็คือหมอหาสาเหตุของโรคไม่พบ ร่างกายของเธอเป็นปกติทุกอย่าง สุดท้ายหมอก็ถามเธอว่า "ชีวิตของคุณเป็นอย่างไรบ้าง เล่า ให้ผมฟังหน่อยสิ" ความขุ่นข้อง โกรธเคือง และน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่ใช่เป็นแค่อารมณ์ที่มาแล้วก็ผ่านไปดังสายลม บ่อยครั้งมันถูกเก็บสะสมและหมักหมมจน ไม่เพียงทำให้ร้าวรานใจเท่านั้น หากยังบั่นทอนร่างกายจนเจ็บป่วยเรื้อรังดังหญิงสาวผู้นี้

:b51: อารมณ์ที่หมักหมมเรื้อรังนั้นมีพิษต่อจิตใจและร่างกายอย่างที่เราอาจคาดไม่ถึง เราจำเป็นต้องรู้จักจัดการกับอารมณ์เหล่านี้ไม่ให้ หมักหมมเรื้อรัง สำหรับอารมณ์ขุ่นข้อง โกรธเคือง และน้อยเนื้อต่ำใจ คงไม่มีวิธีการใดดีกว่าการให้อภัย ดังที่หญิงสาวผู้นี้ได้ค้นพบ ด้วยตัวเอง

:b53: อย่างไรก็ตามอารมณ์ที่มีพิษบั่นทอนจิตใจและร่างกายนั้น มิได้มีแค่ความขุ่นข้อง โกรธเคือง และน้อยเนื้อต่ำใจ เท่านั้น หากยังมีอีกมาก มาย เช่น ความท้อแท้ ผิดหวัง เศร้าโศก พยาบาท และที่เป็นกันแทบทุกคนก็คือ ความเครียด และวิตกกังวล จากประกายไฟกลายเป็นกองเพลิง อารมณ์เหล่านี้ก็เช่นเดียวกับไฟ คือไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เกิดจากการสัมผัสหรือเสียดสีอย่างน้อยสองอย่างคือ ตากระทบรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ฯลฯ แน่นอนต้องเป็นรูป เสียง หรือกลิ่นที่ไม่น่ายินดี ทำให้เกิดความทุกข์หรือความไม่พอใจขึ้นมา ความไม่พอใจนี้เปรียบ ดังประกายไฟซึ่งวาบขึ้นมาเมื่อมีการเสียดสีกัน ธรรมดาประกายไฟเมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมดับวูบไปในทันที แต่ถ้ามีเชื้อไฟอยู่ใกล้ ๆ มันก็ ลุกเป็นเปลวไฟ แล้วอาจขยายเป็นกองไฟ หรือลามจนกลายเป็นมหาอัคคีไปในที่สุด

:b51: ดังนั้นความทุกข์หรือความไม่พอใจจึงเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต และถ้าปล่อยให้มันดับไปเองเฉกเช่นประกายไฟก็ไม่มีปัญหาอะไร ปัญหาอยู่ที่เรากลับทำให้ความไม่พอใจนั้นยืดเยื้อเรื้อรังจนลุกลามขยายใหญ่โต กลายเป็นอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน จนบางทีอั้นไว้ไม่อยู่ ต้องระบายใส่คนอื่น หรือถ้าอั้นเอาไว้ได้ มันก็วกกลับมาทำร้ายร่างกายและจิตใจของตนเอง จนป่วยด้วยโรคสารพัด

:b53: เราไปทำอะไรหรือ ถึงไปโหมกระพืออารมณ์ให้พลุ่งพล่านขึ้นมา? คำตอบก็คือ เราไปเติมเชื้อให้มันโดยไม่รู้ตัว ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์อันไม่น่าพอใจเกิดขึ้น เรามักจะเก็บเอามาคิดซ้ำย้ำทวน หรือครุ่นคิดอยู่ไม่วาย ทั้ง ๆ ที่ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ แต่ก็อดไม่ได้ที่ จะครุ่นคิดอยู่นั่นเอง การครุ่นคิดถึงมันอยู่บ่อย ๆ เท่ากับเป็นการเติมเชื้อให้มันเติบใหญ่และลุกลามไปเรื่อย ๆ จนอาจถึงจุดที่ควบคุมไม่อยู่

:b51: เรื่องเล็กกลายเป็น เรื่องใหญ่ก็เพราะเหตุนี้ เคยมีนักเรียนบางคนถึงกับฆ่าตัวตายเพียงเพราะถูกเพื่อนล้อว่ามีสิว สิวเพียงไม่กี่เม็ดบนใบหน้าผลักให้นักเรียนวัยใสทำร้ายตัวเองได้ อย่างไร หากไม่ใช่เพราะการเก็บเอาคำหยอกล้อของเพื่อน ๆ มาครุ่นคิดทั้งวันทั้งคืน จนความอับอายและน้อยเนื้อต่ำใจกลายเป็นความ หมดอาลัยในชีวิต ทุกข์คลายได้ ถ้ารู้จักปล่อยวาง

:b48: มีต่อ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 17:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48: เมื่อความทุกข์หรือความไม่พอใจเกิดขึ้น วิธีป้องกันมิให้มันลุกลามหรือหมักหมมจนกลายเป็นอารมณ์เรื้อรังที่เป็นพิษต่อชีวิตของเรา ก็ คือการไม่เก็บเอามาคิดย้ำซ้ำทวนหรือหวนกลับไปนึกถึงบ่อย ๆ จนถอนไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งถลำลึกในอารมณ์ และทำให้อารมณ์มีพลังดึงดูดจนหลุดออกมาได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ

:b47: เหตุการณ์ที่ทำให้เราไม่พอใจนั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวในอดีตที่ไม่อาจแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ การครุ่นคิดถึงมันเพียงเพราะใจ อยากคิดนั้น ย่อมไม่มีประโยชน์อะไร กลับจะเป็นโทษด้วยซ้ำ เว้นเสียแต่ว่าต้องการทบทวนเพื่อสรุปหาบทเรียนหรือทำความเข้าใจกับ มันให้ถ่องแท้ (แม้กระนั้นก็ต้องระวังไม่ให้ตกลงหลุมอารมณ์โดยไม่รู้ตัว) พูดง่าย ๆ คือต้องรู้จักปล่อยวาง เชื่อหรือไม่ว่าตัวการสำคัญที่ทำให้คนเราทุกข์อย่างยิ่งนั้น อยู่ที่ใจซึ่งปล่อยวางไม่เป็นต่างหาก หาได้อยู่ ที่คนอื่นหรือเหตุการณ์ภายนอกไม่ แม้จะมีอะไรมากระทบอย่างแรง แต่ถ้าใจรู้จักปล่อยวาง มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ รู้เมื่อใด ละเมื่อนั้น ไม่ว่าอารมณ์จะหมักหมมเรื้อรังเพียงใด ก็ไม่เกินวิสัยที่จะปล่อยไปจากใจ ขอเพียงมีสติระลึกรู้ทันว่ากำลังหลงยึดมันอยู่ อย่าลืมว่ามัน ค้างคาในใจเราได้ เพราะใจเรานั่นแหละที่ไปยึดมันเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ทันทีที่ใจปล่อย มันก็หลุด แต่เผลอเมื่อไร ใจก็อาจไปยึดมันเอาไว้อีก ถ้าจะไม่ให้เผลอ ก็ต้องมีสติระลึกรู้อยู่เสมอ

:b47: สติจึงมีความสำคัญ อย่างมากในการปลดเปลื้องอารมณ์เหล่านี้ สตินั้นสามารถใช้รับมือกับอารมณ์ต่าง ๆ ได้ทุกชนิด โดยเพียงแต่รู้เฉย ๆ ว่ามีอารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ใจก็ปล่อยมันหลุดไปเอง โดยไม่จำ เป็นต้องไปขับไสไล่ส่งมันเลย บางคนคิดว่าจะต้องเข้าไปเล่นงานมัน เช่น กดมันเอาไว้ หรือไล่มันไป แต่ยิ่งทำ ก็ยิ่งเป็นการเติมเชื้อให้ มันมีพลังมากขึ้น หรือกลายเป็นการติดกับดักมัน เหมือนกับไก่ป่าที่คิดไล่ไก่ต่อที่นายพรานเอามาล่อไว้ แต่สุดท้ายก็ติดกับดักของนาย พราน เปลี่ยนความสนใจไปยังสิ่งอื่น

:b48: การย้ายความสนใจไปยังสิ่งอื่น ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ใจไม่ไปหมกมุ่นกับความทุกข์หรือตกหลุมอารมณ์อกุศลทั้งหลาย เช่น เวลา โกรธใครขึ้นมา ลองดึงจิตมาจดจ่อกับลมหายใจ ขณะเดียวกันก็หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ และนับทุกครั้งที่หายใจออก เริ่มจาก ๑ ไปจนถึง ๑๐ ถ้าลืมก็นับ ๑ ใหม่ แม้ความโกรธจะไม่หายทันที แต่ก็จะทุเลา หรือร้อนรุ่มน้อยลง เพราะมันสะดุดขาดตอนแม้จะเป็นช่วง สั้น ๆ ก็ตาม การนึกถึงความทุกข์ของผู้อื่น ก็ช่วยบรรเทาความทุกข์ของเราด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงคนที่ลำบากกว่าเรา

:b47: มองแง่ดี ขยะปฏิกูลนั้น ถ้าใช้ไม่เป็น ปล่อยให้หมักหมม ก็ส่งกลิ่นเหม็นและเป็นที่มาของโรค แต่ถ้ารู้จักใช้ ก็เป็นประโยชน์ เช่น กลายเป็นปุ๋ย ความทุกข์หรือสิ่งที่ไม่น่าพอใจก็เช่นกัน ไม่ว่าโรคภัยไข้เจ็บ ความพลัดพรากสูญเสีย หรือความยากลำบาก ถ้าเราไม่รู้จักมอง ก็ก่อให้เกิด อารมณ์หมักหมมที่ล้วนเป็นอกุศล แต่ถ้ามองเป็นจนเห็นประโยชน์ หรือรู้จักมองในแง่ดี อารมณ์อกุศลก็จะคลายไป เกิดความรู้สึกดีขึ้น มาแทนที่ หรืออย่างน้อยก็ปล่อยวางได้มากขึ้น เหตุการณ์ที่ไม่น่ายินดีทั้งหลาย ถ้ามองให้เป็น ก็ยังยิ้มได้ มีผู้ป่วยหลายคนอุทานว่า "โชคดีที่เป็นมะเร็ง" เพราะมะเร็งทำให้เขาและเธอ ได้พบหลายอย่างที่มีคุณค่าต่อชีวิต เช่น ได้รู้จักธรรมะ ได้อยู่ใกล้คนรัก บางคนเป็นมะเร็งสมอง แต่ก็ยังบอกว่าโชคดีที่ไม่ได้เป็นมะเร็ง ปากมดลูก เพราะเคยเห็นญาติทุกข์ทรมานกับโรคนี้มาก ขยะและสิ่งปฏิกูลนั้น สามารถแปรเป็นปุ๋ยและบำรุงต้นไม้ให้งอกงาม จนออกดอกออกผลฉันใดก็ฉันนั้น

:b41: มีต่อ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 18:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b38: ปัญหาทั้งหลายก็มีแง่ดีหรือมี ประโยชน์ ถ้ามองให้เป็น อารมณ์อกุศลก็ยากจะหมักหมมหรือยืดเยื้อเรื้อรังได้ เยียวยาใจด้วยการให้อภัย ถ้าหากอารมณ์ที่หมักหมมนั้นเป็นความโกรธ เกลียด พยาบาท

:b36: วิธีหนึ่งที่ช่วยเปลื้องอารมณ์เหล่านี้ไปจากใจอย่างได้ผลมากคือ การให้ อภัย หรือดียิ่งกว่านั้นคือการแผ่เมตตาให้ ให้อภัยคือไม่ถือโทษโกรธเคืองในเรื่องที่ผ่านมา ส่วนแผ่เมตตาหมายถึงการตั้งจิตปรารถนาดี ให้มีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป การให้อภัยคนที่ทำร้ายเรานั้นเป็นเรื่องยาก แต่การที่จะมีชีวิตอย่างผาสุกตราบใดที่ยังมีความโกรธเกลียดสั่งสมในจิตใจ กลับเป็นเรื่อง ยากยิ่งกว่า ในใจของทุกคน ย่อมมีบาดแผลจากความโกรธเกลียด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมี "ยาสามัญประจำใจ" ขนานนี้ไว้เยียวยาอยู่เสมอ อยู่วิเวกเป็นครั้งคราว อาหารถ้ากินมาก ๆ ก็มีสารพิษสะสมมาก ขณะเดียวกันก็ทำให้การขับสารพิษเป็นไปได้ยาก เพราะร่างกายต้องใช้พลังงานส่วนใหญ่ไป กับการย่อยเป็นหลัก ดังนั้นเวลาจะขับสารพิษออกไปจากร่างกาย จึงควรงดอาหารเป็นครั้งคราว ฉันใดก็ฉันนั้น การเสพข่าวสาร แสงสี และการพบปะผู้คนอยู่ตลอดเวลา ก็ทำให้เกิดอารมณ์ขึ้นลงไม่หยุดหย่อน อารมณ์เหล่านี้แม้จะ ดับไปในเวลาไม่นาน แต่ก็มักทิ้งตะกอนอารมณ์ไว้ในใจเรา ซึ่งหากสะสมมากพอ ก็ทำให้เราเกิดอารมณ์เหล่านี้ได้ง่ายขึ้นเร็วขึ้น เช่น คนที่หัวเสียหรือเครียดบ่อย ๆ นานไปก็จะหัวเสียและเครียดได้ง่ายขึ้นแม้กับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังนั้นจึงควรมีบางช่วงที่เราปลีกตัวหลีกเร้นจากข่าวสาร แสงสี และการพูดคุย ห่างไกลจากโทรทัศน์และโทรศัพท์มือถือ อยู่คนเดียว อย่างเงียบ ๆ อย่างน้อยปีละ ๑ อาทิตย์ ถือเป็นโอกาสเจริญสติ บำเพ็ญสมาธิภาวนา เพื่อลดตะกอนอารมณ์ วิธีนี้ยังเป็นการ "เว้นวรรค" อารมณ์ไม่ให้ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่จนลุกลาม จิตใจจะได้แจ่มใสสดชื่นอีกครั้งหนึ่ง อยู่ในโลกอย่างรู้เท่าทัน

:b38: อย่างไรก็ตามเราอยู่ในโลกที่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คน เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับข้อมูล ข่าวสาร แสงสี ตลอดจนอารมณ์ของผู้คนโดยไม่ ทุกข์ด้วย มิใช่เอาแต่หลีกเร้นอย่างเดียว วิธีการอยู่กับสิ่งเหล่านี้ก็คือการรักษาใจให้มีสติอยู่เสมอ ใช่หรือไม่ว่าหูของเราชอบหาเรื่อง จึงไปยึดเอาเสียงต่าง ๆ มาทิ่มแทงใจของตัว ส่วนตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจก็ไม่เบาเช่นกัน เราจึงมี ความทุกข์อยู่ไม่ว่างเว้น ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะไม่มีสติกำกับนั่นเอง การอยู่กับผู้คนมาก ๆ หากมีสติคู่ใจ มีอะไรมากระทบ แม้จะออกมาจากอารมณ์ที่ร้อนแรง แต่ก็จะไม่ติดตรึงใจเราได้ เพราะเรารู้ทัน อารมณ์ที่มากระทบ และปล่อยวางได้ทันเปรียบดังใบบัวที่ไม่ยอมให้หยดน้ำมาเกาะติดได้ เปิดปากเปิดใจ

:b36: แต่ปุถุชนนั้นยากที่จะมีสติตลอดเวลา ได้ยินได้เห็นอะไรไม่ถูกใจ ย่อมปล่อยวางไม่ทัน เก็บเอามาทิ่มแทงตัวเอง ซ้ำยังอดไม่ได้ที่จะคิด ปรุงแต่งไปทางร้าย เห็นเขากระซิบกระซาบกัน ก็คิดว่าเขากำลังนินทาตนเอง ถ้าปักใจเชื่อเช่นนั้น ก็จะรู้สึกไปในทางร้ายกับเขาทันที คำถามก็คือเรามั่นใจในข้อสรุปของตัวเองแล้วหรือ จะดีกว่าไหมหากเปิดปากซักถามเขาว่ากำลังกระซิบกระซาบกันเรื่องอะไร เรามักด่วนสรุปไปตามความคิดชั่วแล่น โดยไม่สาวหาความจริง การเปิดปากซักถาม เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยป้องกันไม่ให้เราด่วนสรุปอย่างผิด ๆ จนเกิดอารมณ์อกุศลขึ้น ใช่หรือไม่ว่าเมื่อความจริงปรากฏ บ่อยครั้งมันกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่เรานึก ความกินแหนงแคลงใจและความร้าวฉานมักเกิดจากความเข้าใจผิด และความเข้าใจผิดมีจุดเริ่มต้นจากการด่วนสรุปและไม่สืบสาวหา ความจริง ทั้ง ๆ ที่เพียงแค่เปิดปากซักถาม ความจริงก็ปรากฏ ไม่ว่าในครอบครัว หรือที่ทำงาน การรู้จักเปิดปากซักถามเป็นวิธีป้องกันความเข้าใจผิด และสกัดกั้นมิให้เกิดอารมณ์อกุศลได้เป็นอย่างดี แต่เท่านั้นคงไม่พอ นอกจากการเปิดปากซักถามแล้ว บางครั้งมีความจำเป็นที่ต้องมีการเปิดปากเล่าความในใจด้วย

:b37: สาเหตุที่ความไม่พอใจสะสมมากขึ้นเพราะเราไม่กล้าเล่าความในใจให้อีกฝ่ายรับรู้ ว่ารู้สึกข้องขัดอย่างไรบ้าง การปิดปากเงียบ ทำให้ อารมณ์คุกรุ่นจนอาจระเบิดออกมา และก่อความเสียหายอย่างคาดไม่ถึง ในการอยู่ร่วมกัน เราควรส่งเสริมซึ่งกันและกันให้พร้อมที่จะเปิดปากซักถามเมื่อมีความสงสัยไม่แน่ใจ หรือเปิดปากเล่าความในใจเมื่อ มีความขุ่นข้องหมองใจกันขึ้นมา แต่จะทำเช่นนั้นได้ทุกฝ่ายต้องพร้อมเปิดใจรับฟังสิ่งที่อาจไม่ถูกใจ หรือไม่ตรงกับความคิดของตน การ เปิดใจรับฟังอย่างมีสติ และความเห็นอกเห็นใจ จะช่วยให้ผู้คนพร้อมเปิดปากซักถามและเล่าความในใจได้อย่างเต็มที่ แล้วเราอาจพบ ว่าปัญหานั้นแก้ได้ไม่ยากเลย ใช่หรือไม่ว่าปัญหาเล็ก ๆ ลุกลามจนเป็นเรื่องใหญ่ได้ก็เพราะการไม่เปิดปากเปิดใจให้แก่กันและกัน การเปิดปากเปิดใจไม่จำเป็นต้องหมายถึงการใส่อารมณ์เข้าหากัน

หากทุกฝ่ายมีสติรักษาใจ หรือแม้นว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีสติ แต่ถ้าคน หนึ่งมีสติ ตั้งอยู่ในความนิ่งสงบ ก็สามารถช่วยลดทอนอารมณ์ของผู้อื่นได้ ขอให้คน ๆ นั้นเริ่มต้นที่ตัวเรา ที่เหลือก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น แสนเข็ญอีกต่อไป

พระไพศาล วิสาโล

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 09:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


พระอรหันต์พลิกฝ่ามือ (31 ภพภูมิ)
ธรรมบรรยายโดย อาจารย์วรากร ไรวา
อาคารปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม กทม.
คัดลอกจาก http://mywebpage.netscape.com/doraeme23/31pop_poom.doc

เรามาปฏิบัติกันทำไม มาทำความเข้าใจเรื่องการปฏิบัติว่า
อย่างแรกเรามาปฏิบัติเดินช้า ๆ แล้วก็มาดูท้องขึ้นท้องลง (พองหนอยุบหนอ) ทำไมต้องมาเดินช้า ๆ และดูท้องขึ้นท้องลงด้วยนะครับ แล้วที่ทำไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับใจเรา
และอย่างที่สองคือฝึกจบไปแล้ว 7คืน 8 วัน กลับไปบ้านจะทำยังไงดี อยากปฏิบัติต่อจะทำยังไง
อย่างที่ 3 พวกเราทั้งหลายได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชน เรามีความเข้าใจเรื่องศาสนาพุทธอย่างไร ศาสนาพุทธคือการนิมนต์พระมาแล้วก็ให้ท่านสวดมนต์เสร็จแล้วก็ถวายสังฆทาน แล้วให้ท่านพรมน้ำมนต์ให้ แล้วกรวดน้ำ ศาสนาพุทธมีเท่านั้นหรือเปล่า หรือมีมากกว่านั้น
วันนี้แหละท่านทั้งหลายก็จะทราบว่าศาสนาพุทธที่เรานับถืออยู่นี่ คืออะไรกัน เวลาไปพูดกับชาวต่างประเทศจะได้อธิบายให้ฟังถูก นี้คือหัวข้อที่จะพูดในวันนี้ 3 หัวข้อ

ก่อนที่จะเริ่มพูดทั้งสามหัวข้อ เรียนโยคีทั้งหลาย ว่า การบรรยายของผม ขณะที่บรรยายก็จะมีคำถามไปเรื่อย ๆ โยคีมีหน้าที่ที่จะตอบคำถาม คำตอบที่อยากได้นั้นไม่อยากได้มาจากหนังสือ อยากให้ตอบมาจากใจ สมมติหากถามเชื่ออย่างนั้นอย่างนี้ เชื่อก็บอกมาว่าเชื่อ ไม่เชื่อก็บอกไม่เชื่อก็ไม่ว่ากัน แต่ให้ตอบคำถามออกมาจากใจ

ก่อนบรรยาย ผมมีคำถามให้ท่านทั้งหลายได้ตอบกัน คำถามมีอยู่ว่า คนเราจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ทั้งทางโลกและทางธรรม ต้อง 1. ขยัน ประหยัด อดทน 2.ไม่นอนตื่นสาย ไม่อายทำกิน ไม่หมิ่นเงินน้อย ไม่คอยวาสนา 3.ดวงดีซะอย่าง ข้อไหนเป็นคำตอบที่ถูกต้อง ข้อ 1 ข้อ 2 ข้อ 3 ข้ออะไร ? ครับ

ข้อ 1 เป็นคำตอบสุดท้ายมั้ย ข้อ 1 ผิดครับ ข้อ 1 ขยัน คนขยันที่ไม่ประสบความสำเร็จมีมั้ย มี งั้นแปลว่า ข้อ 1 ผิดแน่
ข้อ 2 ผิดครับ ข้อ 2 ไม่นอนตื่นสาย คนนอนตื่นสายประสบความสำเร็จมีมั้ย มี แปลว่า ข้อ 2 ก็ไม่ถูกอีก
ข้อ 3 ดวงดีซะอย่าง ถูกต้อง ทำอะไรก็ได้ ดวงดีซะอย่างใช่มั้ย

พวกเราคงสงสัยว่า เอ๊ะนี่ จะมาสอนเรื่องผูกดวง หรือสนเรื่องพระพุทธศาสนา ก็ตอบว่า ดวงที่พูดเนี่ยะนะครับ ไม่ได้ดวงดาว ไม่ใช่ว่าเป็นโหราศาสตร์ ดวงคนเรานะครับ พูดจริง ๆ แล้ว ไม่ได้ขึ้นกับดวงต่าง ๆ หรอก ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง เราสามารถจะทำดวงของเราเองเนี่ยะให้ดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ เพราะฉะนั้นใครอยากให้ดวงเราดีตลอด ไม่มีดวงตกเลยนะครับ ต้องทำ 3 อย่างนี้ จำไว้เลยนะครับ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 09:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากดวงดีตลอดต้องทำ 3 อย่าง

1.ต้องให้ทานสม่ำเสมอ เป็นคนให้สม่ำเสมอ การให้นี้ไม่จำเป็นต้องให้ด้วยสตางค์ บางคนบอกว่า แหม จะทำทานแล้วเนี่ยะ ชั้นไม่ค่อยมีสตางค์ ให้ด้วยสตางค์ ชั้นก็ลำบาก ตัวเองก็ยังไม่ค่อยจะมีเลยแล้วยังจะไปให้อีก
การทำทานไม่จำเป็นต้องให้ด้วยสตางค์นะครับ ให้ด้วยการช่วยเหลือเค้าก็ได้ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ก็เรียกว่าทำทานแล้ว ให้กำลังกาย ทำทานด้วยกำลังกายนะครับ หรือการทำทานด้วยการให้กำลังใจ เห็นเพื่อนเค้ากำลังกลุ้มอยู่ เราไปพูดให้กำลังใจเค้า ก็เรียกว่าเป็นการทำทานเหมือนกัน
ทานที่เรียกว่ายิ่งใหญ่กว่าทานทั้งปวงในภาษาบาลีท่านว่า สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ทินาติ แปลว่า ในกระบวนการให้ทั้งหมดเนี่ยะนะครับ การให้ธรรมมะเป็นทานชนะการให้ทานทั้งปวง เราสามารถให้ธรรมเป็นทานได้ เช่น สมมติว่าเราปฏิบัตินี้ 7วันไปแล้วรู้สึกว่า เออดีนะ ทำให้เราใจเย็น ก็ไปชวนเพื่อน อันนั้นก็เรียกว่า ให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง
ใครทำทานให้สม่ำเสมอได้ ดวงคุณจะดี 25 %

อันที่ 2 ต้องรักษาศีล 5 ข้อ ศีลนี้ถ้าใครรักษาได้ 1 ข้อ ดวงจะดี 5% ถ้ารักษาได้ 5 ข้อ ดวงดีกี่เปอร์เซนต์ 25%
ศีลก็คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติในกาม ไม่พูดโกหก และไม่ดื่มของเสพติด นะครับ 5 อย่างข้อละ 5%
สรุปแล้ว ให้ทานด้วย รักษาศีล 5 ด้วย ดวงดีกี่เปอร์เซนต์ ? 50%

อย่างที่ 3 นี่สำคัญมาก เพราะมีน้ำหนักถึง 50% อย่างที่ 3 ก็คือว่า ต้องทำจิตใจให้ร่าเริงเบิกบานอยู่เสมอ วงเล็บทั้งวัน ทำได้มั้ย ? ไม่ได้ ตอนนี้พูดว่าทำไม่ได้ แต่ตอนจบแล้วเดี๋ยวจะได้ นะครับ ว่าทำยังไงถึงจะให้ ทำจิตใจของเราให้ร่าเริงเบิกบานอยู่เสมอทั้งวันได้ และข้อนี้สำคัญมากมีน้ำหนักถึง 50% ในการที่จะทำให้ชิวิตเราเจริญขึ้น รู้ 3 ข้อนี้ จำให้ดีแล้วไปปฏิบัติ
แล้วที่มาของ 3 ข้อนี้คืออะไร มีดังนี้
ข้าง ๆ ผมนี้มีผังอยู่ผังนึง เรียกว่า ผังภพภูมิ นี้จะย่อมาจากพระไตรปิฏกในพระไตรปิฎกท่านเขียนไว้เลยว่าพวกเราทั้งเนี่ยะ ไม่เว้นสักคนจะต้องไปเวียนว่ายตายเกิดใน 31 ภพภูมิ
และ 31 ภพภูมิที่พวกเราทั้งหมดจะต้องไปเวียนว่ายตายเกิดนี้มีอะไรบ้างจะนับให้ดู
1สัตว์นรก 2 อสูรกาย 3 เปรต 4 เดรัจฉาน 5 มนุษย์ 5 แล้วนะครับ 6 เทวดาอย่างเดียวมี 6 ชั้น 5 กะ 6 เป็น 11 รูปพรหมอย่างเดียวมี 16 ชั้น 11 กะ 16 เป็น 27 และอรูปพรหมอย่างดียวมี 4 ชั้น 27 กะ 4 เป็น 31 นี่คือ 31 ภพภูมิ
ที่เค้าว่ากันว่าทั้งหมดนี่แหล่ะ จะต้องไปเวียนว่ายตายเกิดใน 31 ภพภูมิดังนั้น เราก็มาดูกันว่า เอ๊ะ 31 ภพภูมิเนี่ยะคืออะไร ทำไมฉัน ฉันแต่ละคนต้องไปเวียนว่ายตายเกิดใน 31 ภพภูมินี้ด้วย ไม่ไปไม่ได้เหรอ ?

การอธิบายคำว่าภพภูมิให้ท่านทั้งหลายเข้าใจนะครับ ไม่มีอะไรดีไปกว่าเปรียบเทียบว่าภพภูมินึงเนี่ยะ ควรจะเท่ากับอะไรที่เราเห็นในปัจจุบัน
ผมจะเปรียบเทียบว่าภพภูมินึงเท่ากับประเทศ ประเทศนึง ในโลกนี้มีประเทศอยู่ประมาณ 200 กว่าประเทศ เช่นประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี ถ้าเราอยากจะเดินทางไปท่องเที่ยวประทศต่าง ๆ เหล่านี้ เราจะทำยังไง ไม่ยากเลยไปที่สนามบิน ต้องมีตั๋วมีพาสปอร์ต มีวีซ่าให้เรียบร้อย อยากจะไปญี่ปุ่นเค้าก็จับเราขึ้นเครื่องบิน จะเป็นแจแปนแอร์ไลน์ก้อได้ และเครื่องบินที่มีตัวเราอยู่ในเครื่องเนี่ยะ ก็จะบินพาเราไปประเทศญี่ปุ่น

ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ใช้ตัวเราบินไปบินมาตามประเทศต่าง ๆ
ผมถามหน่อยการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างภพภูมิเนี่ยะ เค้าใช้ตัวเราเนี่ยะบินไปบินมาระหว่างภพภูมิใช่มั้ย ไม่ใช่

เค้าใช้อะไรเดินทางระหว่างภพภูมิทราบมั้ยครับ? เค้าใช้จิต
เค้าใช้จิต เพราะฉะนั้น จิต ประเทศที่จิตจะเดินทางไปท่องเที่ยวเนี่ยะ มี 200 กว่าประเทศใช่ใหม ? ไม่ใช่ ประเทศที่จิตจะเดินทางไปท่องเที่ยวมี 31 ประเทศ นี่ครับคือประเทศที่จิตจะเดินทางไปท่องเที่ยวทั้ง 31 ประเทศ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 10:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


แผนผัง 31 ภพภูมิ

8 อรูปพรหมอย่างเดียวมี 4 ชั้น สุคติภูมิ
7 รูปพรหมอย่างเดียวมี 16 ชั้น สุคติภูมิ
6 เทวดาอย่างเดียวมี 6 ชั้น สุคติภูมิ

========================
5 มนุษย์ อยู่ตรงกลาง
========================
4 เดรัจฉาน ทุคติภูมิ
3 เปรต ทุคติภูมิ
2 อสูรกาย ทุคติภูมิ
1 สัตว์นรก ทุคติภูมิ


เขาแบ่งประเทศที่จิตจะเดินทางไปท่องเที่ยวมี 2 ส่วนดังนี้ มีมนุษย์อยู่ตรงกลาง
ด้านบนของมนุษย์เค้าเรียกว่า สุคติภูมิคือประเทศที่จิตเดินทางไปท่องเที่ยวแล้วมีความสุข
ด้านล่างของมนุษย์ลงมา เรียกว่า ทุคติภูมิ คือประเทศหรือ ภพภูมิที่จิตเดินทางไปท่องเที่ยวแล้วมีความทุกข์

พวกเราทั้งหลาย บางครั้ง เราจะเดินทางท่องเที่ยวไปทางสุคติภูมิคือมีความสุขบ้าง บางครั้งเราก็เดินทางไปท่องเที่ยวทางทุกคติภูมิบ้าง วกกลับขึ้นไปสุคติภูมิมีความสุขอีก วกกลับลงมาทุคติภูมิมีความทุกข์อีก วกไปเวียนมาสุขบ้างทุกข์บ้าง วกไปเวียนมาสุขบ้างทุกข์บ้าง
เรียกว่า พวกเราทั้งหลายกำลังเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ บางครั้งพวกเราก็จะเดินทางท่องเที่ยวไปสุขคติภูมิ คือมีความสุขบ้าง บางครั้งพวกเราจะเดินทางท่องเที่ยวมาทางทุคติภูมิคือมีความทุกข์บ้าง

ใน 31 ภพภูมิที่ท่านทั้งหลายเห็นนี้ ถามหน่อยว่าที่เห็นด้วยตาว่ามีจริง ๆ เลยมีกี่ภพภูมิ ยังไงก็มี ลองดูซิครับว่ามีกี่ภพภูมิ เห็นอะไรบ้าง
มีอยู่ 2 ใช่มั้ยครับ คือ มนุษย์ กับ เดรัจฉาน
ใน 31 เห็นด้วยตา 2 และอีก 29 คิดว่ามีหรือไม่มี ? อยากเห็นมั้ย อยากเห็นตอนตายหรือเดี่ยวนี้ อ่ะ เดี๋ยวนี้ เราสามารถสัมผัสภพภูมิทั้ง 29 ได้เดี๋ยวนี้เลย โดยไม่ต้องรอให้ตายไปก่อน นะครับ เพราะภพภูมิเหล่านี้เราไม่สามารถไปสัมผัสด้วยตาได้ แต่สามารถสัมผัสด้วยใจได้
เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีความรู้สึกดีดี ปลื้มใจ สบายใจ ยิ้มแย้มแจ่มใส สนุกสนาน ร่าเริงนั้น สัมผัสภพเทวดา
เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีความรู้สึกใจไม่ว้าวุ่น ใจสงบ ใจนิ่งไม่ปรุงแต่ ไม่ว้าวุ่นเลย เงียบสงบเลย นั่นสัมผัสที่ไหน นี่ครับ อันนี้รูปพรหม
แล้วเมื่อไหร่เรานั่งกัมฐาน ภาวนาจนกระทั่งนั่งนิ่งมาก ตัวที่นั่งอยู่เนี่ยะไม่มีเลย ขนาดที่ว่านั่งอยู่เนี่ยะภาวนาจนกระทั่งตัวนี่หายไปเลยมีแต่ความรู้สึกรู้อยู่เฉย ๆ นั่นคือสัมผัสชั้นอรูปพรหม
เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีความรู้สึกเกลียดมัน อยากฆ่ามันเหลือเกิน นะครับ อาฆาต พยาบาท จองเวร โมโห โกรธ เมื่อนั้น อยู่แถว ๆ ข้างล่าง นรก
บางคนโกรธมาก โมโหมากจนสามารถทำกับผู้มีพระคุณได้ ณ จุดนั้น คือสัมผัส เรียกว่าลึกสุดของสังสารวัฏ โลกันต
มันแล้วแต่ความรุนแรงของความรู้สึก โลภโกรธ หลง แล้วแต่ละคนว่าจะมีขนาดไหน นะครับ แต่ลึกสุดสุดที่สุดก็คือว่า โกรธมากจนกระทั่ง ลืมตัวไป สามารถทำร้ายผู้มีพระคุณได้คือ ลงมาสุด โลกันต์

สรุปแล้ว
หัวเราะ ( ข้างบน สวรรค์ ) ร้องไห้ ข้างล่าง (นรก ) ดีใจ ข้างบน เสียใจ ข้างล่าง
หัวเราะข้างล่าง (นรก) มีมั้ย มี หัวเราะตอนไหน ไอ้เนี่ยะมันตายเสียได้ก็ดี สะใจฉันเหลือเกิน
ร้องไห้ข้างบน หรือ ข้างล่าง ร้องไห้ข้างล่าง ร้องให้ข้างบนมีมั้ย ร้องไห้ตอนไหน ร้องไห้ตอนถูกลอตเตอรี่ สรุปแล้วก็ไม่ได้หัวเราะ ร้องไห้น่ะ
มันอยู่ที่ใจเราจริง ๆ ว่า ใจ ณ ขณะนั้น เราคิดยังไง เมื่อเข้าใจเรื่องภพภูมิแล้ว ก็จะหยุดเรื่องภพภูมิไว้ก่อน ก็จะอธิบายให้โยคีทั้งหลาย ได้ฟังถึงเรื่อง ใจของพวกเราต่อไป

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 10:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


ใจของพวกเราเป็นยังไง จะอธิบายให้ฟัง คำว่าคนเรา ประกอบด้วย
2 ส่วนใหญ่ ที่รวมแล้วเป็นคน 2 ส่วนใหญ่นี่คืออะไร กายกับใจ ภาษาธรรมเค้าเรียก รูปกับนาม
นี่คือกายกับใจ คนประกอบด้วยกายกับใจ มีคนอยู่คนนึงพิเศษกว่าคนอื่น มีแต่กายเฉย ๆ ไม่มีใจเค้าเรียกคนใช่มั้ย ไม่ใช่ เค้าเรียกว่าอะไร เค้าเรียก ศพ เค้าเรียกคนตาย ปกติแล้วใจของคนเราเป็นรูปนามหรือ เป็นนามธรรม
ใจของเรามี 5 แฉก ใจทุกคนมี 5 แฉก เพราะทุกคนมีความยึดมั่นถือมั่นประจำตน ประจำใจ 5 อย่าง ความยึดมั่นถือมั่นประจำใจ 5 อย่างภาษาธรรมเค้าเรียกว่า ขันธ์ 5

ขันธ์ 5 มีอะไรบ้าง มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ขันธ์ 5 ความยึดมั่นถือมั่นประจำใจ 5 อย่างนั้น เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กู ทั้ง5 ประจำใจ มีอะไรบ้าง
กูที่ 1 ตัวกู แปลว่า รูปขันธ์
กูที่ 2 พอถูกตี ใครเจ็บ กูเจ็บ กูเจ็บ แปลว่า เวทนาขันธ์
กูที่ 3 สองคูณสองเป็นเท่าไหร่ เป็นสี่ ใครจำได้ กูจำได้ กูจำได้เอง คือ สัญญาขันธ์
กูที่ 4 ที่นี่คือที่ไหน วัดอินทร์ ใครคิดได้ กูคิดได้ กูเป็นคนคิดได้เอง คือคำแปลของคำว่า สังขารขันธ์
กูที่ 5 เห็น ๆ นี่ ใครเป็นคนเห็น กูเห็น กูเห็นเอง คือคำแปลของคำว่า วิญญาณขันธ์
สรุปแล้ว 5 กู ครบคือ 1 ตัวกูเอง 2 กูเจ็บเอง 3 กูจำได้เอง 4กูเป็นคนคิดได้เอง 5 กูเป็นคนเห็นเอง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ครบ
กูทั้ง 5 นี้ วิ่งไปรวมเป็น 1 ใจ ฉะนั้นใจของเราจึงมีความยึดมั่นถือมั่นว่า นี่ตัวกูเอง เอาคำว่าตัวกู แปะลงไปที่ใจดวงนี้

ที่นี้อารมณ์เกิดขึ้นที่ไหนครับ เกิดขึ้นในใจ วันนึงเกิดสักกี่อารมณ์ หลายมาก นับไม่ถ้วน เกิดเยอะมาก เพราะอารมณ์เกิดขึ้นทุก ๆ ขณะจิต นะครับ แค่ดีดนิ้วมือนี้นะครับ แป๊ก แสนโกฏิขณะจิต วันนึงดีดนิ้วกี่หน แสน ๆ ล้าน ๆ หน งั้นวันนึงอารมณ์เกิดขึ้นนับไม่ถ้วนเลย
แต่อารมณ์ที่เกิดขึ้นที่นับไม่ถ้วนทั้งที่ใจเรา แต่ละวันนี้นะครับ เขามีทางแสดงออกของอารมณ์
เวลาที่อารมณ์จะแสดงออกจำกัดมาก เลย มีแค่ 6 ทางที่อารมณ์จะแสดงออก และ 6 ทางที่อารมณ์จะแสดงออกก็คือ

ทางที่ 1 เมื่ออารมณ์เกิดขึ้นทางตาทำให้เรามองเห็น คนตายมีตามั้ย มี คนตายมีตา คนตายมองเห็นมั้ย ไม่เห็น ฉะนั้นคนตายจึงไม่มีอารมณ์เกิดขึ้นทางตา แต่ คนเป็นอย่างเราเนี่ยะ มีตาด้วย และมองเห็นด้วย คนเป็นจึงมีอารมณ์เกิดขึ้นทางตา
ทางที่ 2 คืออารมณ์เกิดขึ้นทางหู ทำให้เราได้ยิน
ทางที่ 3 คืออารมณ์เกิดขึ้นทางจมูก ทำให้เราเราได้กลิ่น
ทางที่ 4 คือ อารมณ์เกิดขึ้นทางลิ้น ทำให้เราได้รส
ทางที่ 5 คือ อารมณ์เกิดขึ้นทางกาย รู้สึกสัมผัสดังนี้
และทางสุดท้ายที่อารมณ์จะเกิดขึ้นก็คือทางใจ ทำให้เราคิดได้ เวลาเราคิดอารมณ์จะขึ้นมา
อารมณ์เกิดวันละนับครั้งไม่ถ้วน แต่มีทางแสดงออกกี่ทาง 6 ทางคือ ตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ สลับไปสลับมาเร็วมากเลย เดี๋ยวเห็น เดี่ยวได้ยิน เดี๋ยวมาเห็นอีก เดี๋ยวได้กลิ่น เดี๋ยวได้รส เดี๋ยวมาได้ยินอีก สลับไปสลับมา 6 ทวาร เร็ว ๆ มากเลยนะครับ บางทีเราจับไม่ทัน
และนี่ก็คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นกับเราทุก ๆ ขณะจิต ผมได้ 3 อย่าง และ 3 อย่างนี้คืออะไรบ้าง
อย่างแรกก็คือผังนี้ 31 ประเทศ นี้ 31 ภพภูมินี้ จำได้มั้ยว่า ใครเป็นคนไปเนี่ยะ จิตเราเป็นคนไปเที่ยว จิตเราหรือใจเราที่มีความยึดมั่นถือมั่น ว่ามีตัวกูเนี่ยะเป็นคนไปเที่ยว 31 ประเทศ และนี่ก็คืออารมณ์ อารมณ์ก็ไปกระทบที่ไหน ? อารมณ์ก็ไปกระทบที่ใจ
อารมณ์เกิดขึ้นทุก ๆ ขณะจิต เค้ากระทบที่ทุก ๆ ขณะจิต อารมณ์กระทบใจทุก ๆ ขณะจิต ดูซิครับ ใจมีอาการยังไง สั่น

การที่อารมณ์กระทบใจกระทบได้ 2 ลักษณะ คือ กระทบเบาก็ได้ กระทบแรง ๆ ก็ได้ เมื่อไหร่กระทบเบา เมื่อไหร่กระทบแรง
เวลาไหนก็ตามที่ใจเราเนี่ยะมีความเห็นแก่ตัวมาก ตัวกูมันใหญ่เบ้อเริ่มเลย เมือนั้นอารมณ์กระทบแรง
ในขณะเดียวกัน เวลาไหนก็ตามที่ใจเรามีความเห็นแก่ตัวนิดเดียว ตัวกูมันเล็กนิดเดียว เมื่อนั้นอารมณ์กระทบเบา
ในขณะที่ไม่ได้โกรธอะไรนะครับ อารมณ์กระทบเบา ๆ กูไม่ใหญ่ อารมณ์เราอยู่ภพมนุษย์

ถามว่าคนเราเลือกเกิดได้หรือเปล่า คนเราเลือกเกิดได้
แล้วตอนไหนที่เราเลือกเกิดกัน เช้า กลางวัน หรือก่อนนอน ตอบเกิดทุก ๆ ขณะจิตตลอดเวลา
เมื่อเลือกเกิดได้แล้ว การรักษาระดับจิตให้อยู่ภพมนุษย์ คือ ระวังอย่าให้กูใหญ่บ่อย
การระวังอย่าให้กูใหญ่บ่อยทำไง อย่าเห็นแก่ตัวบ่อย อย่าเห็นแก่ตัวบ่อยทำไง รักษาศีลให้ดี
คนไม่มีศีลความเห็นแก่ตัวเยอะกว่า กูจะใหญ่กว่า อารมณ์กระแทก ปัง ๆ จะไปจองอารมณ์นรกข้างล่างบ่อย ๆ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 10:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากเป็นมนุษย์ต่อไปต้องรักษาศีล 5 ให้ได้

ศีล 5 มีอะไรบ้าง 1ไม่ฆ่าสัตว์ 2ไม่ลักทรัพย์ 3ไม่ประพฤติผิดในกาม 4 ไม่พูดโกหก 5 ไม่ดื่มสุรา

มนุษย์ที่เกิดมาได้เพราะทุกคนในอดีตได้รักษาศีล 5 มาดีแล้ว จึงมีสิทธิมานั่งตรงนี้ได้
ใครที่ร่างกายไม่ค่อยดีนักสามวันดีสี่วันไข้แปลว่าท่านบกพร่องในศีลข้อที่ 1 พยายามรักษาศีลข้อที่ 1 ให้บริสุทธิ์ แล้วสุขภาพท่านก็จะดีขึ้น
ผิดศีลข้อ 5 ไปงานเลี้ยงดื่มสุรา บกพร่องข้อ 5 เกิดเป็นมนุษย์แต่ปัญญาอ่อนหน่อย ๆ ไปไหนก็มึนๆ คิดอะไรไม่ค่อยออก ควรรักษาศีลข้อที่ 5 ไว้ให้ดี หัวสมองจะดีขึ้น
เค้ามีสำนวนว่า อยากหล่อ อยากสวย ต้องรักษาศีลให้ละเอียดมาก ๆ
เราสังเกตที่บางคนเกิดมามีฐานะ บางคนเกิดมาไม่มีฐานะ
ถ้าอยากเลือกเกิดเป็นมนุษย์และมีฐานะด้วย นอกจากศีล แล้วต้องอะไรอีกอย่างหนึ่ง?

ตอบ ต้องให้ทาน

การให้ทานทำให้กูใหญ่ขึ้นหรือกูเล็กลง ตอบ ให้กูเล็กลง
การให้ทานคือการดึงเอาความเห็นแก่ตัวออกจากใจเรา
เมื่อดึงเอาความเห็นแก่ตัวออกจากใจเราแล้ว จะลดตัวกูออกไป ก็เขยิบขึ้นเป็นมนุษย์ที่มีอันจะกิน
พุทธศาสนิกชนส่วนมากชอบทำบุญให้ทานมากๆ เลย จะสังเกตว่า เวลาทอดผ้าป่า 10 วัด รถทัวร์สิบคันเต็ม ฉึ่ง ๆ โป้ง ๆ ฉึ่ง ฉึ่ง ๆ โป้ง ๆ ฉึ่ง
เอ้า กรึ๊บๆๆๆ เหล้าบนรถระหว่างทาง พอถึงวัดแรก โฆษกก็เชิญทอดผ้าป่าทุกคนก็ลงไปบริจาคกันใหญ่ บริจาคเสร็จเชิญขึ้นรถไปทอดวัดต่อไป บนรถทัวร์ก็ดื่มสุราไป พอถึงวัดที่ 2 ก็อ้ออ้อแอ้แอ้ บริจาคไป พุทธศาสนิกชนฉิ่งฉับทัวร์เหล่านี้ ชอบทำบุญให้ทานมาก ๆ เลย แต่ไม่ชอบรักษาศีลจะได้เลือกเกิดเป็นอะไร ? ตอบ เคยเห็นเดรัจฉานมีฐานะมั้ยครับ ? หมารวย เคยเห็นมั้ยครับ เขาเลือกเกิดเป็นหมารวย เพราะการที่เค้าทำบุญมากๆ จึงต้องเกิดรวย แต่ เพราะการที่ไม่รักษาศีลไม่สามารถเกิดเป็นมนุษย์ได้ ต้องเกิดต่ำกว่ามนุษย์ก็เกิดเป็นเดรัจฉานที่มีฐานะนั่นเอง

อยากเกิดเป็นมนุษย์ ต้องรักษาศีล
อยากเกิดเป็นมนุษย์ที่มีอันจะกิน ต้องรักษาศีลและ ต้องให้ทานด้วย

อยากเกิดเป็นเทวดา รักษาศีล ให้ทาน ลบความเห็นแก่ตัวออกไปให้กูมันเล็กลงไปอีก โดยใส่คุณธรรมของเทวดาลงไป นอกจากศีลนอกจากทานก็ใส่หิริโอตัปปะ หิริแปลว่าความละอาย โอตัปปะแปลว่าความเกรงกลัวต่อบาป หิริโอตัปปะแปลว่าไม่ทำบาปทั้งในที่ลับและที่แจ้ง

อยากเกิดเป็นรูปพรหม ใส่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พรหมวิหาร 4 ใส่ลงไป และต้องเพิ่มภาวนา
ภาวนาก็คือการที่เราพูดประโยคหรือคำใดคำนึงซ้ำกัน ซ้ำกัน ๆๆๆ เป็นเวลานานพอสมควร เช่นพูดว่า ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ พูดซ้ำ ๆๆๆ ไป หรือถ้าใครเคยภาวนาว่า พุทโธ ๆๆๆๆ เนี่ยะคือการภาวนา
เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายมาที่นี่มา ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ก็คือมายกระดับจิตของท่านขึ้นสู่ชั้นรูปพรหม
ชั้นรูปพรหมคือ ว่า ใจเรามีความสงบ การภาวนาเพิ่มทำให้ใจเราสงบ
ปกติใจเราสงบมั้ย ? ไม่สงบ เพราะเปรียบเทียบ ใจเราเหมือนลิง ใจเรากระดุกกระดิกตลอดเวลา
จะทำยังไง หรือให้ใจเรานี้มันนิ่ง ทำยังไง? ก็มีวิธี คือ เราเอาเสามาปัก และก็เอาเชือกมาผูกกะหลัก แล้วก็มาผูกคอลิง

เจ้าลิงเปรียบเหมือนใจเรา หลักนี้เปรียบเหมือนการภาวนา ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ
พอหลักมาผูกคอลิง หรือคำภาวนามาผูกกับใจแล้ว ลิงก็มีอาการยังไง ลิงโดนผูกก็ดิ้น ๆ เต็มที่เลย
เราจะสังเกตได้ว่าเมื่อเราเริ่มภาวนาใหม่ ๆ เนี่ยะ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ วันแรก ๆ เนี่ยะ ใจอยู่มั้ย ไม่อยู่หรอกครับ ดิ้นมากเลยแต่เราก็ยังผูกกะหลักอยู่ เรายังมีหลักคือภาวนา ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ตลอดเวลา พอเจ้าลิงดิ้นไป 20นาทีเป็นไงครับ เหนื่อย 1 ชั่วโมงผ่านไป เหนื่อยเหลือเกิน เจ้าลิงตัวนี้เหนื่อยมาก การที่เจ้าลิงเหนื่อยมาก ๆ แล้ว เวลามันอยากจะพักมันจะมาพักที่ไหน มันจะมาเกาะหลัก เมื่อไหร่ลิงเกาะหลักก็คือ ใจกะคำภาวนาอยู่ด้วยกันพอดี ดูซิครับมันก็นิ่งไปตามธรรมชาติ และพอลิงนิ่งอย่างนี้ เรียกว่า ใจได้สมาธิ ยกระดับจิตของท่านเข้าสู่ชั้นรูปพรหมพอดี
จากชั้นรูปพรหมต้องการยกสู่ชั้นอรูปพรหมก็ไม่ยากอะไร แค่เปลี่ยนคำภาวนาของท่านจากคำภาวนาที่เป็นเสียงเนี่ยะ ออกเสียงว่า ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ หรือพองหนอ ยุบหนอ หรือ พุทโธ พุทโธ เนี่ยะนะครับ เปลี่ยนซะใหม่ เป็นการภาวนาที่ไม่มีเสียง

การภาวนาที่ไม่มีเสียงทำยังไง ก็ทำง่าย ๆ นะครับ นั่งหลับตา หลับตาแล้ว เราก็เอาความรู้สึกของเรามาอยู่ตรงปลายจมูก สังเกตลมที่เข้าออกที่มันแตะปลายจมูก เราตลอดเวลานะครับ เข้าออกเข้าออกนี้นะครับ ลมจะเคลื่อนผ่านปลายจมูกไป เราใช้ความรู้สึกที่ลมเคลื่อนผ่านปลายจมูกเราโดยไม่ต้องพูดอะไรเนี่ยะ ดูยังนั้น อันนั้นเค้าเรียกว่าเป็นการภาวนาโดยไม่ต้องใช้เสีย เขยิบจิตของท่านขึ้นสู่ชั้นอรูปพรหม
และ ณ ชั้นอรูปพรหมนี้ ในพระไตรปิฎกเขียนไว้เลยนะครับว่า ใครภาวนาจนกระทั่งจิตขึ้นสู่ชั้นอรูปพรหมนี้แล้วเกิดตายในขณะที่จิตอยู่ชั้นอรูปพรหมเนี่ยะ ท่านผู้นั้นจะเสวยสุขที่สุด ไม่มีสุขไหนเสมอเหมือน ณ ชั้นอรูปพรหมนี้เป็นเวลานานถึง 84,000มหากัปป์ หรือพูดภาษาชาวบ้านว่า เป็นเวลานานอภิมหาอมตะนิรันดร์กาล :b43:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 12:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร