วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 03:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 21:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


dhama เขียน:
บัวศกล เขียน:
มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้ปฏิจจสมุปบาทดับไปทั้งสายได้
:b10: :b10: :b10:

ถูกต้องดีแล้วครับ สาธุ
dhama เขียน:
Supareak Mulpong เขียน:
เริ่มตัดได้ 1 NODE ก็คือได้โสดาปฏิผล ตัดได้จนหมด ก็คือได้อรหันต์ผล เพราะฉะนั้น การเป็นอรหันต์เป็นผล ไม่เช่นเป็นเหตุของการตัดวงจรครับ

เอามานำเสนอดีมากครับเข้าใจตรงกันนี้ครับ


เอ่อ... :b10: :b10: :b10:
ในคุณ 3 คนนี่
คงต้องมีใครช่วยทำให้ผม แจ่ม แล้วล่ะครับ...
โดยเฉพาะคุณ dhama
เพราะเท่าที่ผมอ่าน ผมว่าคุณบัวศกล กับคุณ Supareak
มีการลงเอยบทสรุปที่แตกต่างกันอยู่
ตรงนี้ผมเห็น path ของคุณ Supareak
แต่ผมเห็นว่า path ของคุณ มีคนเห็นต่าง
ยังไงเราลองมาไล่กันดูสักหน่อยดีมั๊ยครับ...
และคุณ บัวศกล ว่าไงครับ
จะลองไล่กันดูอีกสักครั้งจะไหวมั๊ย... :b14: :b14: :b14:

เพื่อนบัวแสนกลเอ๋ย...พูดถึงวงจรปฏิจจสมุปบาท
ทำให้ผมกำลังนึกถึงสหายธรรมท่านหนึ่งที่เราเคยร่วมเสวนาน่ะ
คุณนึกถึงเขาออกมั๊ย...หึ หึ :b32: :b32: :b32:
นึกแล้วผมอยากให้เขาโผล่มาจริง ๆ เลย
ผมว่าเขาเป็นอะไรที่แม่นอรรถธรรมในพระไตรปิฏก
และวงจรนี้แบบสุด ๆ คนหนึ่งเลยล่ะ...
คนที่บ้านอยู่แถว ๆ มีนบุรี น่ะ
นึกแล้วคิดถึงอยู่เหมือนกัน...

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 21:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คงต้องมีใครช่วยทำให้ผม แจ่ม แล้วล่ะครับ...
โดยเฉพาะคุณ dhama


คุณสงสัยตรงไหนครับจะช่วยให้แจ่ม

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 21:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


dhama เขียน:
อ้างคำพูด:
คงต้องมีใครช่วยทำให้ผม แจ่ม แล้วล่ะครับ...
โดยเฉพาะคุณ dhama


คุณสงสัยตรงไหนครับจะช่วยให้แจ่ม


สำหรับคุณ ผมเห็นว่าคุณกล่าวว่า "ถูกต้องดีแล้วครับ " ในบทความของคุณบัวศกล
และบทความของคุณ supaleak คุณกล่าว่า "นำเสนอดีมากครับเข้าใจตรงกันนี้ครับ"
ซึ่งถ้าคุณอ่านบทสรุปแล้ว ทั้งสองท่านมีบทสรุปที่ไม่ตรงกันอยู่

สรุปแล้วคุณเห็นตรงตามบทสรุปของท่านใดครับ
หรือคุณจะลองไล่ path ของคุณมาทั้งสายก็ได้ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 21:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเห็นตรงกับทั้งสองแหละครับ เพราะเป็นการวินิจฉัยที่ทุกท่านคิดกันมันถูกคนละแบบ

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 21:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


dhama เขียน:
ผมเห็นตรงกับทั้งสองแหละครับ เพราะเป็นการวินิจฉัยที่ทุกท่านคิดกันมันถูกคนละแบบ


อ้อ... เข้าใจแล้วครับ
ก็โธ่...คุณเล่นตอบซะผมตามอ่านมาดี ๆ เป็นงง

:b9: :b9: :b9:

และแบบของคุณจริง ๆ ล่ะครับ
พอจะลองไล่ path เป็นตัวอย่างได้รึเปล่าครับ
เอาแบบว่าตั้งแต่ต้นจนจบ
จะเป็นการรบกวนคุณมากเกินไปรึเปล่าครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 22:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

เริ่มตัดได้ 1 NODE ก็คือได้โสดาปฏิผล ตัดได้จนหมด ก็คือได้อรหันต์ผล เพราะฉะนั้น การเป็นอรหันต์เป็นผล ไม่เช่นเป็นเหตุของการตัดวงจรครับ[/quote]

สรุปแล้วคุณเห็นตรงตามบทสรุปของท่านใดครับ
หรือคุณจะลองไล่ path ของคุณมาทั้งสายก็ได้ครับ[/quote]

ผมจะเล่าให้ดูนะอาจะแตกต่างประการใดขอคำแนะนำ
เราทุกคนต่างเรียนสุตตมยปัญญากันมามากแล้วเกี่ยวกับกฎไตรลักษณ์ และเราก็พิจารณาไตร่ตรองด้วยเหตุผล เพื่อมาลองรับว่ามันเป็นจริงตามนั้น อันนี้เราเรียกจินตามยปัญญา ทุกคนต่างเข้าใจกันดีถูกต้องนะครับแต่ภาวนามยปัญญานี่เป็นปัญญาที่เราจะต้องทำให้มีให้เกิดขึ้น แก่จิต เพื่อรับรู้ถึงสภาวะจริงๆ อันนี้ดูตามภาพข้างบน เมื่อมีอวิชชาจึงมีสังขาร ไล่มาเรื่อยๆจนถึงอาตยนะมีจึงมีผัสสะ เมื่อมีผัสสะจึงมีเวทนา เมื่อมีเวทนาจึงมีตัณหา ผมใช้ตรงนีแหละครับในการกำจัดขัดเกลากิเลสผม ผมฝึกอาณาปานสติพอมีกำลังเล็กน้อยพอที่จิตละเอียดที่จะรับรู้เวทนาที่ละเอียดอ่อนทั่วร่างกายได้แล้วเราก็จะพิจารณาสภาวะธรรมต่างๆที่มากระทบอาตยนะทั้งหกรับรู้เวทนาอย่างไม่เข้าไปยินดียินร้ายต่อเวทนานั้น ด้วยความเป็นอุเบกขาแต่กำลังของอุเบกขาตรงนี้กำลังยังน้อยชำระกิเลสได้ในชันจิตสำนึกเท่านั้นยังไม่สามรถเจาะเข้าไปในอนุสัยที่มันนอนเนื่องอยู่ในจิตไร้สำนึกได้เมื่อเรานั่งนานๆเราจะรู้สึกปวดเมื่อยมาก ตรงนี้แหละครับผมใช้โอกาสดีตรงนี้แหละที่จะใช้ปัญญาเข้าไปพิจารณาโดยไม่เข้าไปปรุงแต่งวางอุเบกขาต่อเวทนาที่รุนแรงมันอยากมาก แต่วางได้จะทำให้อุเบกขามีกำลังปัญญาที่เข้าไปรับรู้การเกิดดับของเวทนาตรงนี้ปัญญาก็จะมีกำลังขัดเกลากิเลสในจิตใต้สำนึกได้มาก และเมื่อเราพิจารณาต่อไปความเจ็บก็หายแล้วก็เจ็บอีกสลับกันอย่างนี้ ก็ได้ปัญญาเกิดขึ้นมาว่ากายเรานี้มันมีแต่ทุกข์จริงๆสุขก็ไม่ทนทุกข์สิที่แน่นอน คนที่ผ่านสภาวะนี้ก็จะเข้าใจอย่างชัดเจนในเรื่องของสภาวะที่แท้จริง ที่ไม่ใช่การคิดเอาเอง และจะมีสภาวะอีกอย่างหนึ่งในการนั่งคือความเจ็บมันไม่หาย อันนี้ต้องแรกหน่อย เจ็บจะตาย ใครกล้าก็จะพบสภาวะอีกสภาวะหนึ่ง คือการแตกสลายของรูปนามอันนี้เป็นสภาวะอนัตตา สัมมาทิฐิ(ความเห็นถูกว่าอนิจจังทุกข์ขังอนัตตาก็จะชัดเจนมิได้เกิดจากการคิดเอา) ที่ไม่มีตัวตนบังคับบัญชาไม่ได้ แต่ถ้าใครยังไม่กล้าศรัทธราอินทรีย์ยังน้อยก็ถอยออกมาได้มันอยาก แต่ใครผ่านตรงนี้ได้ชีวิตจะเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง คำว่าสิ้นเชิงคงไม่ต้องอธิบายนะถ้าถามก็จะตอบครับ ผมจึงเข้าใจว่ามันอยากที่จะเข้าใจจริงๆพูดแล้วมันสองแง่สองง้าม กลัวจะเป็นการอวดต้นนะครับ วางอุเบกขาทุกเวทนาไม่ยินดียินร้ายให้ก้าวสู่ตัณหาครับ

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


แก้ไขล่าสุดโดย dhama เมื่อ 25 ก.ค. 2009, 08:19, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 22:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:

อันนี้ขอแก้ไขหน่อยนะครับ วงจรที่เป็นวงกลมนะครับ (LOOP) เหมือนกับขนมโดนัด หรือถนนวงกลม วิ่งวนไม่มีทางจบทางสิ้น การตัดวงจร (BREAK LOOP) เริ่มจากจุดที่ตัดง่ายที่สุดก่อน ที่พระพุทธองค์ตรัสคือ พิจรณาที่รูปและเวทนา ให้เห็นความเป็นจริงของธรรมชาติ ตัวที่ดับก่อนคืออวิชชา ส่วนวิธีการที่ก็ทะเลาขัดแย้งกันมาเป็นพันปีแล้ว ไม่ใช้เพิ่งเกิด


เริ่มตัดได้ 1 NODE ก็คือได้โสดาปฏิผล ตัดได้จนหมด ก็คือได้อรหันต์ผล เพราะฉะนั้น การเป็นอรหันต์เป็นผล ไม่เช่นเป็นเหตุของการตัดวงจรครับ


เข้าใจผิดแล้ว..ครับ..นี้เป็นวงจรการเกิดภพเกิดชาติ..ไม่ว่ามันจะขาดที่ข้อใด..ภพชาติก็ไม่มีครับ..

บางท่านถนัด..ตัดที่อวิชชา..อวิชชาขาด..จึงเหลือแต่วิชชา..เวทนามันก็เลยไม่มี..ตันหาก็หมด..อุปาทานก็ไม่เกิด..ภพชาติก็สูญ

บางท่านถนัด..ตัดที่เวทนา..(เพราะว่ามีวิชชา)..ตันหาไม่เกิด..อุปาทานก็เลยไม่มี..ภพชาติก็สูญ

บางท่านถนัด..ตัดที่ตันหา..(เพราะว่ามีวิชชา)..อุปาทานก็เลยไม่เกิด...ภพชาติก็สูญ

อย่างนี้เป็นต้นครับ..

ถ้าใครสอนว่า..ตัดได้ 1 NODE ก็คือได้โสดาปฏิผล ..อย่างนี้ให้ออกมาห่าง ๆ จากผู้สอนได้เลย...ไม่ใช่ชัวร์..จะพากันลงเหวไม่รู้เนื้อไม่รู้ตัว

อ้างคำพูด:
คุณ บัวศกล:
มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้ปฏิจจสมุปบาทดับไปทั้งสายได้


ตัดคำว่า..ไม่ใช่เหรอ..ออกได้เลย..เหลือแต่..มีแต่พระอรหันต์เท่านั้น..เท่านั้น ๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 23:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อธิบายได้ละเอียดชัดเจนดีครับ เป็นการใช้สมถะนำวิปัสสนาตามแนวสติปัฏฐานสี่ แต่ผมอยากจะให้พิจรณาเรื่องฐานะบุคคลประกอบ ประเด็นนี้กลุ่มพวกผมได้สรุปตรงกันจากประสบการณ์จริงๆ ที่ทำกันจนได้โสดาปฏิผล 1 ท่าน ที่เหลือได้โสดาปฏิมรรค 19 ท่าน เราไม่มีใครนั่งสมาธิหรือนั่งวิปัสสนาเลย ปัญหาของการใช้สมถะนำในปุตุชนคนธรรมดานั้นเป็นฐานะที่ไม่ควรแก่การปฏิบัติ การนั่งสมาธิ ถึงแม้นจะเป็นขณิกะสมาธิ โอกาศจะติดสมถะจนเป็นอุปจาระมีมาก คือ แทนที่จะทำวิปัสสนากลายเป็นนั่งสมาธิธรรมดาไป หากไม่มีศีลบริสุทธิ์เป็นเครื่องประกอบ โอกาศจะเกิดโทษมากกว่าประโยชน์ โดนเจ้ากรรมนายเวรตามเล่นงานเอาง่ายๆ นอกจากจะเป็นบุคลที่มีคุณสมบัติพิเศษเป็นกรณียกเว้นไม่กี่คน

ดังนั้น หากประสงค์จะใช้สมถะนำ ก็ต้องบวช (มีศีลเป็นเครื่องคุ้มครอง) แล้ววิปัสสนาตามแนวสติปัฏฐานสี่ แต่เราพบกว่าการบวชจริงๆ ตามธรรมวินัยไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ข้อหาขโมยความเป็นพระพุทธเจ้านั้นรุนแรงมาก เราจึงหันมาใช้วิปัสนานำสมถะ คือ พวกผมไม่ได้นั่งวิปัสสนา แต่ทำตัวเป็นนายทวารคอยพิจารณาสิ่งที่มากระทบอินทรีย์ 6 แล้วทำการพิจรณาขันธ์ 5 ทันที การพิสูจณ์ต้องใช้สิ่งที่เกิดเป็นปัจจุบันเฉพาะหน้าโดยปกติในชีวิตประจำวัน ผมทำตลอดเวลา แต่ทั่วไปสำหรับการเริ่มต้น ผมจะแนะนำให้ทำตอนเช้าก่อนออกไปทำงานวันละ 1 ชั่วโมง คือ ตื่นนอนลืมตามองเห็นเพดานก็พิจรณาว่าเพดานนี้ไม่เที่ยงเกิดดับ เป็นต้น เมื่อปฏิบัติไปได้ประมาณ 1 อาทิตย์ ก็จะเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง คือ ความโกรธ ความหลงจะลดลง พอสังกตุได้ จะดูเหมือนเป็นคนใจเย็นขึ้น โดยเฉพาะพวกผู้หญิง จะเห็นได้ชัดกว่าผู้ชาย

เมื่อจิตไม่ฟุ้ง มุ่งมั่นในการพิจรณาสิ่งต่างๆ ที่มากระทบ สัมมาสมาธิก็เกิดเพียงพอสำหรับการพิจรณา ไม่มากไม่น้อยเกินไป วิธีนี้ปลอดภัย ได้ผล ไม่เลือกบุคคล และไม่ขัดกับการใช้ชีวิตของปุตุชนคนธรรมดา อาจจะดูเหมือนไม่ได้ปฏิบัติธรรม เพราะเราไปติดภาพลักษณ์นุ่งขาวห่มขาว นั่งนิ่งๆ อยู่ใต้ต้นไทร

ฝากไว้พิจารณาด้วยนะครับ...

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 23:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อธิบายได้ละเอียดชัดเจนดีครับ เป็นการใช้สมถะนำวิปัสสนาตามแนวสติปัฏฐานสี่ แต่ผมอยากจะให้พิจรณาเรื่องฐานะบุคคลประกอบ ประเด็นนี้กลุ่มพวกผมได้สรุปตรงกันจากประสบการณ์จริงๆ ที่ทำกันจนได้โสดาปฏิผล 1 ท่าน ที่เหลือได้โสดาปฏิมรรค 19 ท่าน เราไม่มีใครนั่งสมาธิหรือนั่งวิปัสสนาเลย ปัญหาของการใช้สมถะนำในปุตุชนคนธรรมดานั้นเป็นฐานะที่ไม่ควรแก่การปฏิบัติ การนั่งสมาธิ ถึงแม้นจะเป็นขณิกะสมาธิ โอกาศจะติดสมถะจนเป็นอุปจาระมีมาก คือ แทนที่จะทำวิปัสสนากลายเป็นนั่งสมาธิธรรมดาไป หากไม่มีศีลบริสุทธิ์เป็นเครื่องประกอบ โอกาศจะเกิดโทษมากกว่าประโยชน์ โดนเจ้ากรรมนายเวรตามเล่นงานเอาง่ายๆ นอกจากจะเป็นบุคลที่มีคุณสมบัติพิเศษเป็นกรณียกเว้นไม่กี่คน

ดังนั้น หากประสงค์จะใช้สมถะนำ ก็ต้องบวช (มีศีลเป็นเครื่องคุ้มครอง) แล้ววิปัสสนาตามแนวสติปัฏฐานสี่ แต่เราพบกว่าการบวชจริงๆ ตามธรรมวินัยไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ข้อหาขโมยความเป็นพระพุทธเจ้านั้นรุนแรงมาก เราจึงหันมาใช้วิปัสนานำสมถะ คือ พวกผมไม่ได้นั่งวิปัสสนา แต่ทำตัวเป็นนายทวารคอยพิจารณาสิ่งที่มากระทบอินทรีย์ 6 แล้วทำการพิจรณาขันธ์ 5 ทันที การพิสูจณ์ต้องใช้สิ่งที่เกิดเป็นปัจจุบันเฉพาะหน้าโดยปกติในชีวิตประจำวัน ผมทำตลอดเวลา แต่ทั่วไปสำหรับการเริ่มต้น ผมจะแนะนำให้ทำตอนเช้าก่อนออกไปทำงานวันละ 1 ชั่วโมง คือ ตื่นนอนลืมตามองเห็นเพดานก็พิจรณาว่าเพดานนี้ไม่เที่ยงเกิดดับ เป็นต้น เมื่อปฏิบัติไปได้ประมาณ 1 อาทิตย์ ก็จะเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง คือ ความโกรธ ความหลงจะลดลง พอสังกตุได้ จะดูเหมือนเป็นคนใจเย็นขึ้น โดยเฉพาะพวกผู้หญิง จะเห็นได้ชัดกว่าผู้ชาย

เมื่อจิตไม่ฟุ้ง มุ่งมั่นในการพิจรณาสิ่งต่างๆ ที่มากระทบ สัมมาสมาธิก็เกิดเพียงพอสำหรับการพิจรณา ไม่มากไม่น้อยเกินไป วิธีนี้ปลอดภัย ได้ผล ไม่เลือกบุคคล และไม่ขัดกับการใช้ชีวิตของปุตุชนคนธรรมดา อาจจะดูเหมือนไม่ได้ปฏิบัติธรรม เพราะเราไปติดภาพลักษณ์นุ่งขาวห่มขาว นั่งนิ่งๆ อยู่ใต้ต้นไทร

ฝากไว้พิจารณาด้วยนะครับ...



ก่อนอื่นก็ขอขอบคุณก่อนครับที่แน่นำเหมือนอาจารย์สุจินเลย
ที่นี้ถามเพื่อเป็นความรู้ผมไม่ได้มีสมาธิอะไรหรอกครับ ก็ใช้ชีวิตปกติพิจารณาพิจารณาธรรมตามเหตุจจัยเท่าที่สติจะระลึกได้ นั่งสมาธิบ้างแต่ไม่เคยสงบจนเป็นอะไรต่ออะไรที่เขาได้กัน แต่ผมใช้ชีวิตอย่างนี้มานานแล้ว เที่ยวไม่เป็น ทานอาหารมื้อเดียว ไม่มีเพศสัมพันธ์ นอนก็นอนพื้นไม่อยากได้อะไรเลยจริง คุณว่าผมจะต้องปฏิบัติอย่างไรครับ

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 23:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ dhama ช่วยอธิบาย คำว่าเวทนา
ตามความเข้าใจของคุณ ให้ชัดสักหน่อยได้ไหมครับ

ว่า เวทนานั้น หมายถึง อะไร

ขอบคุณครับ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 23:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บัวศกล เขียน:
คุณ dhama ช่วยอธิบาย คำว่าเวทนา
ตามความเข้าใจของคุณ ให้ชัดสักหน่อยได้ไหมครับ

ว่า เวทนานั้น หมายถึง อะไร

ขอบคุณครับ

:b8: :b8: :b8:


เวทนาสุขหรือทุกข์หรือเฉยไม่สุขไม่ทุกข์

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 23:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ผมคงต้องทำให้สหายเฒ่าผิดหวังซะแล้ว
เพราะผม ยังไม่แน่ใจที่จะกล่าวถึง จึงอยากเรียนรู้จากท่านอื่นๆมากกว่า

เรื่องนี้ผมรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่มีความแยบคายและลึกซึ้งที่สุด ยากที่สุด กว่าทุกเรื่องเท่าที่มี
ผมกลัวว่า ผมจะยังเข้าถึงความลึกซึ้งไม่พอ จึงขอดู และเรียนรู้ต่อไป

หากพอมีวาสนาบารมีอยู่บ้างคงมีสักวันที่ผมจะกล้ากล่าวถึงอย่างอาจหาญ
ตอนนี้ผมรู้ตัวดีว่า ความเข้าใจยังครึ่งๆกลางๆ จึงไม่ขอพาดพิง
ไม่อยากแสดงความเห็น และไม่อยากวิพากวิจารณ์ความเห็นใครๆในเรื่องนี้

หากท่านใด มีความรู้อย่างไรก็เชิญท่านตามสะดวกนะครับ ผมขอดู
เรียนรู้ และเก็บเกี่ยว คงจะเหมาะสมกว่า


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 23:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตรงนี้ต้องบอกตรงๆนะครับใครจะเข้าใจอย่างไรมิกล้าวินิจฉัยจริงๆ สิ่งที่ผมปฎิบัติมาเห็นผลชัดเจนแล้วจึงมาแชร์ผิดถูกแล้วแต่กรรม

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 23:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ก่อนอื่นก็ขอขอบคุณก่อนครับที่แน่นำเหมือนอาจารย์สุจินเลย
ที่นี้ถามเพื่อเป็นความรู้ผมไม่ได้มีสมาธิอะไรหรอกครับ ก็ใช้ชีวิตปกติพิจารณาพิจารณาธรรมตามเหตุจจัยเท่าที่สติจะระลึกได้ นั่งสมาธิบ้างแต่ไม่เคยสงบจนเป็นอะไรต่ออะไรที่เขาได้กัน แต่ผมใช้ชีวิตอย่างนี้มานานแล้ว เที่ยวไม่เป็น ทานอาหารมื้อเดียว ไม่มีเพศสัมพันธ์ นอนก็นอนพื้นไม่อยากได้อะไรเลยจริง คุณว่าผมจะต้องปฏิบัติอย่างไรครับ


ก็ที่ทำนี่แหละครับ เป็นสมาธิ ไม่ใช่ว่าจะต้องนั่งหลับตา ถึงจะได้สมาธิ สมถะเกิดได้ในชีวิตประจำวัน จ้องมองอะไรนิ่งๆ นานก็เป็นสมาธิ (แต่เป็นขณิกะสมาธิ ยังไม่ใช่ฌาน) กำหนดจิตไปที่อาการของร่างกายโดยไม่วิปัสสนา (มันเผลอกันได้ง่ายๆ) ก็เป็นสมาธิ คนบวช ใจก็สงบ กายก็สงบ ก็เป็นสมาธิโดยอัตโนมัติ

การปฏิบัติในขณะที่ยังไม่ออกเรือนบวช จะให้บริสุทธิ์จริงๆ นี่ยากมาก ยุงยังไม่ไห้ตบ โกหกไม่ได้เลย พวกที่ไม่อยากบวชเลยต้องไปหาที่สงบๆ จริงๆ อย่างพวกฤาษี เพื่อจะอยู่ห่างจากเหตุปัจจัยของอกุศลกรรมทั้งหลายให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถึงคุณจะพยายามประพฤตพรรมจรรย์แค่ใหน ถ้ายังต้องอยู่ในสังคม มันไม่มีทางได้ มารมันเยอะ

ลองหันมาพิจรณาขันธ์ 5 อินทรีย์ 6 อย่างที่พวกผมทำ มีอยู่ท่านหนึ่งกลัวลืมภาวนา เล่นทำสติ๊กเกอร์พิมพ์คำว่า ไม่เที่ยงเกิดดับ ไปติดทุกมุมของบ้าน เครื่องใช้อะไรก็ติดหมด หันไปเจอก็ต้องอ่าน ก็ได้ผลดีนะครับ

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 23:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Supareak Mulpong เขียน:
อ้างคำพูด:
ก่อนอื่นก็ขอขอบคุณก่อนครับที่แน่นำเหมือนอาจารย์สุจินเลย
ที่นี้ถามเพื่อเป็นความรู้ผมไม่ได้มีสมาธิอะไรหรอกครับ ก็ใช้ชีวิตปกติพิจารณาพิจารณาธรรมตามเหตุจจัยเท่าที่สติจะระลึกได้ นั่งสมาธิบ้างแต่ไม่เคยสงบจนเป็นอะไรต่ออะไรที่เขาได้กัน แต่ผมใช้ชีวิตอย่างนี้มานานแล้ว เที่ยวไม่เป็น ทานอาหารมื้อเดียว ไม่มีเพศสัมพันธ์ นอนก็นอนพื้นไม่อยากได้อะไรเลยจริง คุณว่าผมจะต้องปฏิบัติอย่างไรครับ


ก็ที่ทำนี่แหละครับ เป็นสมาธิ ไม่ใช่ว่าจะต้องนั่งหลับตา ถึงจะได้สมาธิ สมถะเกิดได้ในชีวิตประจำวัน จ้องมองอะไรนิ่งๆ นานก็เป็นสมาธิ (แต่เป็นขณิกะสมาธิ ยังไม่ใช่ฌาน) กำหนดจิตไปที่อาการของร่างกายโดยไม่วิปัสสนา (มันเผลอกันได้ง่ายๆ) ก็เป็นสมาธิ คนบวช ใจก็สงบ กายก็สงบ ก็เป็นสมาธิโดยอัตโนมัติ

การปฏิบัติในขณะที่ยังไม่ออกเรือนบวช จะให้บริสุทธิ์จริงๆ นี่ยากมาก ยุงยังไม่ไห้ตบ โกหกไม่ได้เลย พวกที่ไม่อยากบวชเลยต้องไปหาที่สงบๆ จริงๆ อย่างพวกฤาษี เพื่อจะอยู่ห่างจากเหตุปัจจัยของอกุศลกรรมทั้งหลายให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถึงคุณจะพยายามประพฤตพรรมจรรย์แค่ใหน ถ้ายังต้องอยู่ในสังคม มันไม่มีทางได้ มารมันเยอะ

ลองหันมาพิจรณาขันธ์ 5 อินทรีย์ 6 อย่างที่พวกผมทำ มีอยู่ท่านหนึ่งกลัวลืมภาวนา เล่นทำสติ๊กเกอร์พิมพ์คำว่า ไม่เที่ยงเกิดดับ ไปติดทุกมุมของบ้าน เครื่องใช้อะไรก็ติดหมด หันไปเจอก็ต้องอ่าน ก็ได้ผลดีนะครับ

ปกติผมทำสิ่งที่คุณบอกมานานแล้วครับขอบคุณอีกทีนะครับผู้ร่วมเดินทางธรรม
สี่ปีแล้วครับที่ผมรู้สึกตัวแม้แต่ในขณะที่ผมนอนผมรับรู้ความรู้สึกถึงอนิจจังตลอดคืนครับ

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 33 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร