วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 20:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 62 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2009, 22:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


การขมากรรม

ความหมายของคำว่า " ขมา "
คำว่า " ขมา " นั้น แปลว่า อดโทษหรือยกโทษ หมายถึงการไม่ถือผลของกรรมที่ได้ล่วงเกินนั้นให้เป็น
โทษหรือมีโทษ ในคำพูดภาษาปากเวลาเราล่วงเกินผู้ใดแล้ว มักจะพูดว่า " ไปขอขมาท่าน " ความจริง
คำนี้เป็นคำพูดแบบสมาส(คำพูดที่ย่อลง) จริงๆประโยคเต็มน่าจะใช้ว่า " ไปขอให้ท่านขมา "แปลว่า ไปขอให้ท่านอดโทษ ยกโทษ ไปขอให้ท่านไม่ถือเป็นโทษหรือมีโทษนั่นเอง

ความหมายของการล่วงเกิน
การล่วงเกิน หมายถึง การปทุษร้ายหรือการทำร้ายบุคคลอื่นด้วยกาย วาจา ใจ ด้วยอำนาจของโลภะ โทสะ และ โมหะ กิริยาที่ปทุษร้ายทางกาย เช่น ทำร้าย แล้งให้ลำบาก เป็นต้น กิริยาทางวาจา เช่น การ
ใส่ร้าย การด่า ส่อเสียด กิริยาทางใจเช่น การวางแผน การไตร่ตรอง ก่อนทำกรรมทางกายวาจา การด่า
ดูถูกเหยียดหยามที่ไม่เปล่งวาจาออกมาเช่น คิดว่า พระรูปนี้ปาราชิกแล้ว ยังมีหน้าห่มผ้าเหลืองอยู่อีก
(ทั้งที่จริงพระรูปนั้นยังไม่ปาราชิก โดยแม้ที่สุดจะรู้ข้อเท็จจริงหรือไม่ก็ตาม)

โทษของการล่วงเกิน แบ่งออกเป็น ๒ ตามในพระสูตรและจัดเป็น ๓ เพิ่มตามนัยพระอภิธรรม
๑.โลกวัชชะ ได้แก่โทษอันเกิดจากการติฉิน คำเล่าลือ การรังเกียจของสังคม เช่น ไม่อยากมีใคร
สมาคมด้วย เพราะคำเล่าลือว่า คนนี้ด่าพ่อ ต่าแม่ เป็นต้น โทษข้อนี้หมายเอาโทษที่ให้ผลในปัจจุบัน
ชาติ
๒.วิปากวัชชะ ได้แก่โทษที่ให้เป็นผลของกรรม เช่นการเกิดในอบายมีนรกเป็นต้น ข้อนี้สัคคาวรณ์(ห้าม
การเกิดในสวรรค์)ก็จัดอยู่ด้วย
๓.มัคคาวรณ์ ได้แก่โทษที่ห้ามการบรรลุมรรคผล

ในโทษที่เป็นโลกวัชชะและวิปากวัชชะนั้น เกิดขึ้นได้เพราะการล่วงเกินบุคคลทุกคน เกิดขึ้นได้กับฐานะ
ทางศาสนา เช่น การล่วงเกินพระรัตนตรัย การล่วงเกินพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นต้น
ในโทษที่เป็นมัคคาวรณ์(ห้ามบรรลุมรรคผล)นั้น เกิดขึ้นได้เพราะล่วงเกินบุคคล เช่น การทำกรรมสำเร็จ
ในอนัตริยกรรม คือ ฆ่าบิดามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้า และการยังสงฆ์ให้แตกกัน(ล่วง
เกินสงฆ์) ล่วงเกินฐานะที่ไม่ควรล่วงเกินคือ พระรัตนตรัย พระปัจเจกพุทธพระอริยะบุคคลจะเป็นพระสงฆ์
ก็ตามเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม(แม้โดยที่สุดคฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบัน)
ข้อสังเกตในที่นี้คือ การล่วงเกินที่ห้ามการบรรลุมรรคผลนั้น จะมีผลเป็นวิปากวัชชะ(โทษในอบายภูมิ)ด้วยเสมอ

การบรรเทาโทษด้วยการให้ท่านขมา(อดโทษ)

ในโทษทั้ง ๓ ประการนั้น โทษบางอย่างก็บรรเทาได้ บางอย่างบรรเทาไม่ได้ บางอย่างเมื่อให้ท่านขมาแล้ว กรรมที่ล่วงเกินกลับเป็นปกติไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในการให้ท่านขมา(อดโทษ)นั้น ไม่ได้หมายความว่าเมื่ออดโทษแล้วจะไม่มีวิบากหรือผลแห่งกรรมนั้นเกิดขึ้น วิบากหรือผลแห่งกรรมนั้นก็ยังอยู่ แต่การให้ผลนั้นจะเบาบางลง อันเนื่องมาจากเจตนาภายหลัง
การทำกรรมอันนั้น(บาลีเรียก อปรเจตนา)หมดไป เช่นการด่าบิดามารดา เมื่อมีการขอให้ท่านอดโทษ
แล้ว คำติฉินติเตียน ความรังเกียจของบุคคลอื่นก็เบาบางลง เมื่อดับสิ้นวายชนม์หากกุศลมากกว่ากรรมอันนี้ ก็อาจส่งผลให้ไปเกิดในอบายภูมิได้
โทษที่เป็นโลกวัชชะ(ปัจจุบันชาติ)และโทษที่เป็นวิปากวัชชะ(ชาติถัดไปหรือผลกรรมในอนาคตชาติ) อาจบรรเทาได้ด้วยการขอขมากรรม หากเป็นกรรมที่ไม่หนัก ไม่มากนัก ก็อาจกลบหายกลับเป็นปกติไป หากเป็นกรรมที่หนักมากนัก อาจยังคงมีวิบากมีผลให้ได้รับ แต่อาจไม่ทุกข์มากไม่หนักมาก ไม่นานมาก
ไม่วิกลมาก
โทษที่เป็นมัคคาวรณ์(ห้ามการบรรลุมรรคผล)นั้น บางอย่างแก้ได้บางอย่างแก้ไม่ได้ด้วยการขอให้ท่าน
อดโทษ

๑.กรรมที่แก้ไม่ได้เลย ได้แก่อนัตริยกรรม ๔ ข้อต้น คือ ฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระ
พุทธเจ้า ส่วนข้อท้าย การยังสงฆ์ให้แตกกัน(คำว่าแตกกันหมายถึงการที่สงฆ์ไม่ยอมรับการทำสังฆกรรม
ด้วยกัน) หากภายหลังทำให้สงฆ์เกิดการสามัคคีกันได้แล้วและให้ท่านเหล่านั้นอดโทษยกโทษ เป็นอัน
ไม่ห้ามมรรคผล ส่วนจะห้ามสวรรค์หรือไม่นั้น สุดแท้แต่บุญกุศลที่กระทำมาก่อนและกระทำภายหลัง
๒.กรรมที่แก้แล้วพ้นจากการห้ามการบรรลุมรรคผล ได้แก่การทำล่วงเกินในพระรัตนตรัย พระปัจเจกพุทธ พระอริยบุคคล(โดยที่สุดแม้คฤหัสถ์ที่เป็นพระโสดาบัน) กรรมเหล่านี้ให้ท่านอดโทษยกโทษก็เป็นอันพ้น
ได้ สามารถปฏิบัติได้มรรคผลได้ หากปฏิบัติไม่ได้มรรคผลในปัจจุบันชาติแล้ว อนาคตชาติจะไปภพภูมิที่
ดีหรืออบายภูมิก็สุดแต่กรรมที่ทำไว้ก่อนหรือหลังจากการให้ท่านอดโทษยกโทษแล้ว
การห้ามมรรคผลนั้น ท่านห้ามแค่ปัจจุบันชาติ ไม่ไช่ห้ามตลอดกาล
การแก้ให้กรรมเบาบางลงนั้น สำคัญที่ใจต้องสำนึกจริงๆว่าได้ทำกรรมที่ไม่ควรลงไป หาไช่เพียงแค่สัก
แต่กิริยาทางกายทำไป คือเจตนาต้องสำนึกจริงๆ เพราะเจตนาในการทำกรรมล่วงเกินนั้นจะบรรเทาได้ก็
ต้องอาศัยเจตนาที่สำนึกพอๆกัน
อนึ่งการห้ามการบรรลุมรรคผลนั้น ไม่ไช่มีเฉพาะการล่วงบุคคลหรือฐานะที่ไม่ควรล่วงเกินเท่านั้น ในข้อนี้ยังมีเหตุอื่นอีก

วิธีการขอให้ท่านอดโทษยกโทษ
ในอรรถกถาต่างๆบรรยายถึงวิธีการตั้งแต่ผู้ทำกรรมล่วงเกินยังอยู่ไกล้ชิดกับผู้ที่ถูกล่วงเกิน แม้อยู่คนละที่
ไม่สามารถไปให้ท่านอดโทษยกโทษ ก็สามารถฝากผู้ที่จะไปทางนั้นให้ไปบอกได้ แม้ท่านไม่อยู่แล้วหรือ
ตายแล้ว ก็ไปบอกขอการอดโทษยกโทษกับที่อยู่ ของใช้ บริขาร เช่นเตียงนอน กระดูกท่าน ป่าช้าที่เผา
ศพท่าน คิดง่ายๆคืออะไรที่พอจะถือเป็นตัวแทนท่านได้ก็พึงถือเอาสิ่งนั้นเป็นตัวแทนท่าน ในกรณีที่ท่าน
มีชีวิตอยู่และผู้ที่ทำกรรมล่วงเกินสามารถไปได้ ไปให้ท่านอดโทษยกโทษจะเหมาะกว่าควรกว่า เมื่อไม่
สามารถทำได้ตามที่กล่าวมาทั้งหมดท่านแนะนำให้ทำการขออดโทษยกโทษต่อหน้าหมูสงฆ์หรือภิกษุที่
สงฆ์มอบหมายให้ทำแทนได้ ในกรณีล่วงเกินในพระรัตนตรัย พระสงฆ์ พระอริยสงฆ์พระอริยบุคคล
สามารถขอให้ท่านอดโทษยกโทษต่อหน้าพระพุทธรูปก็ได้ เพราะท่านเหล่านั้นโดยคุณชาติไม่ถือโทษ
ถือเวรอยู่แล้ว

ตัวอย่างคำขอให้ท่านอดโทษยกโทษ
กรรมชั่วอันใด ที่ข้าพเจ้าได้ทำแล้ว ในพระพุทธ พระธรรม พระปัจเจกพุทธ พระอริยสงฆ์ พระสงฆ์ บิดา มารดา อุปัชฌาย์ อาจารย์ ผู้มีพระคุณ ตลอดทั้งเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ในอดีตก็ดี ในปัจจุบันก็ดี
ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ทั้งที่มีเจตนาก็ดี หรือหาเจตนามิได้ก็ดี ต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี รู้ก็ดี ไม่รู้ก็ดี ทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง ซึ่งได้ทำกรรมอันนั้นด้วยความประมาท
ขอพระพุทธ พระธรรม พระปัจเจกพุทธ พระอริยสงฆ์ พระสงฆ์ บิดา มารดา อุปัชฌาย์ อาจารย์ ผู้มีพระ
คุณ และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงอดโทษและอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อไม่ให้เป็นเวรภัย
บาปอกุศล และอุปสรรคต่อการดำรงชีพและการปฏิบัติธรรมที่ยิ่งๆขึ้นไป เทอญ.

ในคำกล่าวขอให้อดโทษนั้นมีหลายอย่างหลายที่ ผู้ที่จะขอให้อดโทษพึงเลือกตามที่เหมาะที่ควรกับตัว
เองและบุคคลที่เราจะไปให้ท่านอดโทษ เพราะกับพระนั้นเราก็ต้องใช้อีกอย่างหนึ่ง ตามตัวอย่างนี้ เป็น
คำกล่าวที่ผมใช้ก่อนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในประจำวัน คือหลังจากสวดมนต์ไหว้พระแล้ว
สมาทานศีล มอบกายถวายชีวิตแด่พระรัตนตรัยและครูอาจารย์ สมาทานวิปัสสนากรรมฐาน อธิฐานการ
ปฏิบัติตามธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว ผมจะใช้คำกล่าวนี้กล่าวต่อหน้าตัวแทนพระรัตนตรัย(ผมไม่มีพระ
พุทธรูปในที่อาศัยเลย มีเจดีย์พระธาตุเท่านั้น)

ความเห็นที่ผมแสดงมานี้ อาจไม่ไช่ความเห็นที่ถูกต้องในทุกประเด็น บางอย่างก็ไม่ทราบผลที่แน่ชัด เช่นผลของการบรรเทาโทษแล้วว่าจะเบาได้แค่ไหน ความเห็นที่โพสนี้ผมอิงกับพระสุตันตปิฎกและอรรถ
กถาวิภาวินีฎีกา โดยไม่ได้อ้างที่มาชัดเจนนัก สรุปรวมๆโพสมาเลย ท่านผู้เจริญสุตะท่านใดมีความเห็นที่
ต่างไปและประสงค์ที่จะต่อเติมเสริมแต่งเพื่อความสมบูรณ์พร้อม ก็เชิญได้นะครับ อย่าได้อมภูมิไว้เลย ผมยังมีความรู้น้อยมากเมื่อเทียบกับพระสัทธรรมที่มาก ก็อยากจะได้รู้ในแง่มุมอื่นอีกบ้าง

ขอเจริญในธรรมทุกท่านครับ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสต์ เมื่อ: 21 มิ.ย. 2009, 17:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 17:52
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นหนี้เขา 100 ล้าน

ไม่พยายามหาเงินไปใช้หนี้เขา

แต่พยายามพากันสวดอ้อนวอนขอให้เขา ยกหนี้ให้ ขอให้เขาอภัยให้ ขอไม่ให้เขาทวงเอาคืน

อย่างนี้หละพากันคิดไปได้ ชั่งคิดเอาเปรียบกันจริงๆ เลย

ลองให้เพื่อนยืมเงินสักแสนสิ

แล้วเพื่อนคุณก็อยู่อย่างสบาย

พอคุณไปทวงหนี้ แล้วเพื่อนคุณก็สวดอ้อนวอนขอให้คุณยกหนี้ให้ ขอให้คุณอย่ามาเก็บเงินคืนเลย

ก็คงคิดว่า คุณคงเบื่อไปเองจนยกหนี้ให้เขาไปหละมั้ง

หนี้กรรมมันไม่ได้ชดใช้กันด้วยการสวดอ้อนวอนหรอกนะ มันต้องชดใช้ด้วยการทำบุญส่งไปให้เขามากๆๆ

จนเขาพอใจโน่นแล้วเขาจะไปเอง ไม่มากวน ไม่มาตามทวงหนี้ให้วุ่นวายอีก

จะมาสวดอ้อนวอนอยู่ได้ น่ารำคาญ ใช้ปัญญาคิดหน่อยเป็นหนี้ก็ต้องใช้ :b28:


โพสต์ เมื่อ: 21 มิ.ย. 2009, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3832

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงปู่เทสก์ท่านเรียกวิธีขอขมากรรมอะไรทำนองนี้ว่า "ปลอบใจตัวเอง"
ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรหรอกนะ มันก็เป้นวิถีโลกที่เป็นกันมานานแสนนาน
เหมือนยาที่เรากินตอนเด็กมันก้เป็นยาน้ำเชื่อม แต่พอโตขึ้นหน่อยมันก็เป้นยาแบบขม

มาดูว่าหลวงปู่เทสก์ท่านว่าไว้ยังไง..


viewtopic.php?f=4&t=21462
อ้างคำพูด:
อนึ่ง เรื่องการทำบุญใช้หนี้เจ้ากรรมนายเวร เรื่องนี้ผู้เขียนไม่รู้จริงๆ จึงตอบไม่ได้ ขอผู้รู้ทั้งหลายได้
เมตตาแนะแนวให้ผู้เขียนได้ทราบบ้างก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

กรรมที่ตนกระทำไว้แล้ว ไม่ว่ากรรมดีและกรรมชั่ว ผลของกรรมนั้นย่อมเกิดที่ใจของตนเอง
มิิใช่ผู้ทำกรรมผู้หนึ่ง เจ้ากรรมนายเวรอีกผู้หนึ่ง
คล้ายๆ กับว่ามีเจ้ากรรมนายเวรเป็นผู้บัญชาการอยู่
ทำบุญอุทิศกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวรผู้บัญชาการเพื่อให้เป็นสินน้ำใจ
แล้วเจ้ากรรมนายเวรก็จะลดหย่อนผ่อนผันให้อย่างนี้เป็นต้น

หรือกรรมเวรที่เราทำแก่คนอื่นนั้น คนนั้นเองเป็นเจ้ากรรมนายเวรเราเห็นโทษความผิดแล้วทำบุญอุทิศไปให้แก่
เขาเพื่อเขาจะลดโทษผ่อนผันให้ อันนี้ก็ไม่ถูก เพราะเขาตายไปแล้ว ไม่ทราบไปเกิดในที่ใด และกำเนิดภูมิใด ดังได้อธิบายมาแล้วในข้างต้น

คนที่ทำกรรมทำเวรแก่กันแล้วเมื่อยังเป็นคนอยู่นี้ จะพ้นจากกรรมจากเวรได้ก็เมื่ออโหสิกรรมให้แก่กันและกัน
ในเมื่อยังเป็นคนอยู่นี่แหละตายไปแล้วจะอโหสิกรรมให้แก่กันและกันไม่ได้เด็ดขาด

มิใช่ว่าเราได้ทำกรรมชั่วทุจริตด้วยจิตที่เป็นบาปมีอกุศลมูลเป็นพื้น
มาภายหลัง ๒๐ ปี ๓๐ ปี ๔๐ ปี หรือเท่าไรก็ตาม ระลึกถึงกรรมอันนั้นแล้วกลัวบาป
จึงทำบุญอุทิศไปให้แก่ผู้ที่เราได้กระทำแก่เขานั้นเพื่อให้เขาอโหสิกรรมให้
ดังนี้ เป็นการไม่ยุติธรรม

เป็นการตัดสินคดีภายหลังจากเหตุการณ์ ถ้าถือว่าเราระลึกถึงความชั่วของตนแล้ว
ทำความดีเพื่อแก้ตัวหรือปลอบใจของตัวเอง เป็นการสมควรแท้

การทำบุญให้แก่ผู้ตายไปแล้วจะได้หรือไม่ มีอรรถาธิบายกว้างขวางมาก
อธิบายมาก็มากพอสมควร พอที่ผู้ฟังจะเข้าใจบ้างตามสมควร
จึงขอยุติไว้เพียงแค่นี้เสียก่อนเพื่อจะได้ตอบปัญหาคนอื่นต่อไป


โพสต์ เมื่อ: 21 มิ.ย. 2009, 22:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คนขวางโลก เขียน:
หนี้กรรมมันไม่ได้ชดใช้กันด้วยการสวดอ้อนวอนหรอกนะ มันต้องชดใช้ด้วยการทำบุญส่งไปให้เขามากๆๆ

จนเขาพอใจโน่นแล้วเขาจะไปเอง ไม่มากวน ไม่มาตามทวงหนี้ให้วุ่นวายอีก

จะมาสวดอ้อนวอนอยู่ได้ น่ารำคาญ ใช้ปัญญาคิดหน่อยเป็นหนี้ก็ต้องใช้ :b28:


บุญคืออะไรหนอ..แล้วการทำบุญของคนขวางโลก..มีอะไรบ้างหนอ
จึงเป็นเหตุให้คุณคิดว่า..การสวดมนต์..ไม่ใช่การทำบุญ

สวดมนต์ให้ดีมีบุญหลายอย่างนะคุณ ตัวอย่าง

ศีล..ไม่มีใครสวดมนต์ไปแล้วยื่นมือไปลักขอใครแน่..มีศีล
ทาน..สวดเสร็จก็อุทิศให้คนโน้นคนนี้..มีทานคือการให้
สมาธิ..ถ้าจำไม่ได้ สติไม่ดี จะสวดจนจบได้งัย...สมาธิเกิด

ยัง..ยังมีอีก..เช่น

บทพุทธคุณ..สวดมาสวดไปให้ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า..เป็นพุทธานุสติ / ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์..เป็นสังฆานุสติ

อย่างนี้เป็นต้น..

ถ้าทำเป็น..จะเห็นว่าเป็นบุญใหญ่ ๆ ทั้งนั้น
ทีนี้มีพอจะใช้หนี้..ได้บ้างแล้วหรือยัง?


โพสต์ เมื่อ: 21 มิ.ย. 2009, 23:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


เค้าเรียกว่าคืน ผ่อนส่ง ไงครับ คุณคนขวางฯ ทยอยคืน ทยอยจ่าย ค่อยๆคืนไปทีละนิด
มี 100 ล้าน คืนวันละ บาท สิบบาท ร้อยบาท สักพัก เราก็จะพอมีคืนไปได้ เพราะชาติหนึ่งที่คน
เกิดมาก็นานพอตัวนะ สามารถคืนเจ้ากรรมนายเวร ได้พอสมควรเลยแหละ
ก้เหมือนผ่อนรถป้ายแดง หรือซื้อของฟุ่มเฟือยตามห้าง ไม่อยากควักเงิน ก็จ่ายเงินผ่อนไปก่อนไง
ต่อให้เป็นหนี้ ถึง 100 ล้าน 1000 ล้าน หรือมากกว่านั้น ทำมหากุศล บ่อยๆ เจริญพรหมวิหารธรรม
อิทธิบาท4 เปนประจำ คิดว่าใช้ได้หมดภายในชาตินี้ได้แน่นอน ."อริยทรัพย์" มันมีค่ามากพอกว่าเงิน
ทั้งหลายในโลก สามารถทำให้เจ้ากรรมนายเวร ใจอ่อน ผ่อนโทษ แล้วอโหสิกรรมให้ได้นะ แต่จะกี่เดือน
กี่ปี กี่พ.ศ. ถึงจะอโหสิให้ก้เท่านั้นเองครับ :b40:

มีคืนวันละบาท ก็ดีกว่าไม่คืนเลย ถ้าหากติดหนี้เขา 100 ล้านจริงน่ะ คุณคนขวางฯว่าจริงไหม๊ :b39:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสต์ เมื่อ: 22 มิ.ย. 2009, 09:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1051

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
อายุ: 0
ที่อยู่: Bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


อินทรีย์5 เขียน:
เค้าเรียกว่าคืน ผ่อนส่ง ไงครับ คุณคนขวางฯ ทยอยคืน ทยอยจ่าย ค่อยๆคืนไปทีละนิด
มี 100 ล้าน คืนวันละ บาท สิบบาท ร้อยบาท สักพัก เราก็จะพอมีคืนไปได้ เพราะชาติหนึ่งที่คน
เกิดมาก็นานพอตัวนะ สามารถคืนเจ้ากรรมนายเวร ได้พอสมควรเลยแหละ
ก้เหมือนผ่อนรถป้ายแดง หรือซื้อของฟุ่มเฟือยตามห้าง ไม่อยากควักเงิน ก็จ่ายเงินผ่อนไปก่อนไง
ต่อให้เป็นหนี้ ถึง 100 ล้าน 1000 ล้าน หรือมากกว่านั้น ทำมหากุศล บ่อยๆ เจริญพรหมวิหารธรรม
อิทธิบาท4 เปนประจำ คิดว่าใช้ได้หมดภายในชาตินี้ได้แน่นอน ."อริยทรัพย์" มันมีค่ามากพอกว่าเงิน
ทั้งหลายในโลก สามารถทำให้เจ้ากรรมนายเวร ใจอ่อน ผ่อนโทษ แล้วอโหสิกรรมให้ได้นะ แต่จะกี่เดือน
กี่ปี กี่พ.ศ. ถึงจะอโหสิให้ก้เท่านั้นเองครับ :b40:

มีคืนวันละบาท ก็ดีกว่าไม่คืนเลย ถ้าหากติดหนี้เขา 100 ล้านจริงน่ะ คุณคนขวางฯว่าจริงไหม๊ :b39:

:b8: :b8: ค่ะ คุณอิทรีย์ 5 ไม่ได้ทักทายกันมานานนะคะ ไปปฏิบัติธรรมที่ไหนมาบ้างคะ เล่าสู่กันฟังบ้างซิคะ :b13:

.....................................................
    มีสิ่งใด น่าโกรธ อย่าโทษเขา.... ต้องโทษเรา ที่ใจ ไม่เข้มแข็ง
    เรื่องน่าโกรธ แม้ว่า จะมาแรง ....ถ้าใจแข็ง เหนือกว่า ชนะมัน


โพสต์ เมื่อ: 22 มิ.ย. 2009, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


เอ่อนะคนเรา ช่างติดวัตถุกันจริงๆ
คุณคนขวางโลก การขอขมานั้น เปรียบกับวุตถุไม่ได้ เป็นสำนึกทางใจที่ผู้ล่วงเกินคนอื่นเขาสำแดง
ถึงการสำนึกในความประมาทพลาดพลั้งเขา เหมือนที่คุณอุปมาว่ายืมเงินเขามานั่นแหละ นอกจากใช้หนี้
เขาแล้ว สิ่งที่มอบให้เจ้าหนี้คือคำว่า ขอบคุณ มากกว่าเงินที่ใช้หนี้คืนเขา
การที่จำเลยสารภาพผิด ศาลท่านก็ลดหย่อนให้ ก็เพราะมีสำนึกในความผิดนั้น มองตรงที่เจตนาตรงนี้
ส่วนเรื่องกรรมเรื่องเวรนั้น เป็นเรื่องที่วิบากส่งผลอยู่แล้ว ส่วนขอให้เขาขมา ก็เป็นการขลัดเกลาตัวเอง
ให้รู้จักระวังในกาลต่อไป ที่คุณเปรียบมานั้น เหมือนว่าคุณไม่รู้จักคำว่า ขอโทษ นั่นเอง

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสต์ เมื่อ: 22 มิ.ย. 2009, 21:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กามโภคี เขียน:
เอ่อนะคนเรา ช่างติดวัตถุกันจริงๆ
คุณคนขวางโลก การขอขมานั้น เปรียบกับวุตถุไม่ได้ เป็นสำนึกทางใจที่ผู้ล่วงเกินคนอื่นเขาสำแดง
ถึงการสำนึกในความประมาทพลาดพลั้งเขา เหมือนที่คุณอุปมาว่ายืมเงินเขามานั่นแหละ นอกจากใช้หนี้
เขาแล้ว สิ่งที่มอบให้เจ้าหนี้คือคำว่า ขอบคุณ มากกว่าเงินที่ใช้หนี้คืนเขา
การที่จำเลยสารภาพผิด ศาลท่านก็ลดหย่อนให้ ก็เพราะมีสำนึกในความผิดนั้น มองตรงที่เจตนาตรงนี้
ส่วนเรื่องกรรมเรื่องเวรนั้น เป็นเรื่องที่วิบากส่งผลอยู่แล้ว ส่วนขอให้เขาขมา ก็เป็นการขลัดเกลาตัวเอง
ให้รู้จักระวังในกาลต่อไป ที่คุณเปรียบมานั้น เหมือนว่าคุณไม่รู้จักคำว่า ขอโทษ นั่นเอง



อนุโมทนา สาธุค่ะ :b8:

รู้สึกว่า กลับมาจากวัดเที่ยวนี้ ปัญญาเดิมว่าเลิศอยู่แล้ว

ตอนนี้ เท่าที่ตามอ่านๆมา รู้สึกคุณจะเลิศมากๆในด้านปัญญานะคะ :b12:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 23 มิ.ย. 2009, 09:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 17:52
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ กบนอกกะลา กามโภคี walaiporn

บุญ มีหลายระดับ มีความปราณีต มีความละเอียดต่างกัน สัตว์แต่ละประเภทก็มีความปราณีตมีความหยาบความละเอียดต่างกันเช่นเดียวกับ คุณเคยรู้ไหมหละ

แล้วบุญที่พวกคุณว่ากันอยู่นี่มันเป็นยังไง เข้าใจกันระดับไหนเชียว

สัตว์ต่างๆ ที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ก็มีหลายจำพวกเช่น ภูติ ผี ปีศาจ เทวดา ยักษ์ นาค ครุฑ ฯลฯ เขาเหล่านั้นก็ล้วนเป็นสัตว์ทั้งสิ้น และก็มีความหยาบความละเอียดต่างกัน ถ้าคุณปฏิเสธตรงนี้ว่าไม่มีอยู่จริง ก็แสดงว่าท่าน ไม่เชื่อในพระพุทธเจ้า ก็เปล่าประโยชน์จริงๆ แหละ

ท่านกามโภคีก็.....
ผมก็แค่ยกตัวอย่าง ไอ้พวกที่มันตายๆๆๆ ไปแล้วหนะ มันไม่ต้องการหรอกวัตถุหนะ ก็ให้เข้าใจหน่อยสิ
ภาวะของพวกที่มันตายๆๆๆ ไปแล้วหนะ มันอยู่ได้ด้วยอะไร อ่านมากๆ นะ อย่าเลือกอ่านเฉพาะตรงที่ตนเองสนใจหรือตนเองพอใจสิ ท่าน

(เอาเพชร เอาทองให้ลิง มันก็คงไม่ดีใจเท่าเอากล้วยให้หรอกมั้ง หรือคิดแค่ว่า ไม่เอาก็ชั่งแตู่อยากจะให้)
เอาแค่นี้ก่อนละกัน ลองจูนเครื่องก่อนว่ามันเอียงไปขนาดไหน


โพสต์ เมื่อ: 23 มิ.ย. 2009, 10:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คนขวางโลก เขียน:
คุณ กบนอกกะลา กามโภคี walaiporn

บุญ มีหลายระดับ มีความปราณีต มีความละเอียดต่างกัน สัตว์แต่ละประเภทก็มีความปราณีตมีความหยาบความละเอียดต่างกันเช่นเดียวกับ คุณเคยรู้ไหมหละ

แล้วบุญที่พวกคุณว่ากันอยู่นี่มันเป็นยังไง เข้าใจกันระดับไหนเชียว

สัตว์ต่างๆ ที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ก็มีหลายจำพวกเช่น ภูติ ผี ปีศาจ เทวดา ยักษ์ นาค ครุฑ ฯลฯ เขาเหล่านั้นก็ล้วนเป็นสัตว์ทั้งสิ้น และก็มีความหยาบความละเอียดต่างกัน ถ้าคุณปฏิเสธตรงนี้ว่าไม่มีอยู่จริง ก็แสดงว่าท่าน ไม่เชื่อในพระพุทธเจ้า ก็เปล่าประโยชน์จริงๆ แหละ


ไม่เห็นมีใครปฏิเสธ อะไรอย่างที่ว่า ภูติ ผี ปีศาจ เทวดา ฯ หรือ อะไร นี้ครับ และก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไรในความละเอียด ความปราณีต ของบุญนี้ครับ

คุณว่าในทำนอง..สวดอ้อนวอนจะได้อะไร..ทำบุญให้เขาดีกว่า
ผมก็ว่า..สวดมนต์ให้เป็น..ก็เป็นบุญนะ..
ผมก็แค่ถามคุณว่า..บุญของคุณมันเป็นยังงัยหรือ..คุณถึงไม่คิดว่าสวดมนต์ก็ได้บุญนะ..แค่นี้
คุณก็ไม่เห็นตอบเลยนี้..เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับความคิดของผมนี้นา..

แค่คิดว่า..แลกเปลี่ยนความคิดเห็น..แค่นั้น..มีอะไรเพิ่มก็เสริม ๆ กันมา..เกื้อกูลกัน
อย่าไปคิดเลยว่า...เขากำลังแสดงความยิ่งกว่าเรา..หรือเราต้องยิ่งกว่าเขา..
เพราะความยิ่งกว่า..เหนือกว่า..สูงกว่า..เป็นความทนงตน เป็นทมะ..เป็นธรรมที่ต้องกำจัด

ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม ครับ


โพสต์ เมื่อ: 23 มิ.ย. 2009, 10:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 17:52
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อืม... เริ่มต้นแล้วแต่ไม่รู้ว่าจะดีแค่ไหนนะ

ก็อย่างที่คุณ กบนอกกระลา ว่านั่นแหละ สวดมนต์ก็เป็นบุญ ก็ใช่เกิดบุญได้

บุญที่เกิดจากการสวดมนต์(แบบไม่รู้เรื่องรู้ความหมายนี่นะ ถ้ารู้เร่องก็ว่าไปอย่าง) เป็นบุญในระดับใดพอรู้ไหมหนอ ความละเอียด ความหยาบเป็นเป็นยังไง เคยศึกษามาบ้างไหม หรือแค่ คิด นึก ทึกทักเอา

อ้างคำพูด:
ไม่เห็นมีใครปฏิเสธ อะไรอย่างที่ว่า ภูติ ผี ปีศาจ เทวดา ฯ หรือ อะไร นี้ครับ และก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไรในความละเอียด ความปราณีต ของบุญนี้ครับ


ก็อีกนั่นแหละ ผมถึงได้ว่า จะแผ่เมตตาหรือจะอุทิศบุญ จากการสวดมนต์นี่มันก็ต้องมาศึกษากันก่อนสิว่า ภาวะต่างๆ ของบุญแต่ละอย่างนี้มันเป็นยังไง ไม่ใช่จะมาเหมาเอาหมดเลยอย่างที่กล่าวๆ กัน อันนี้ยกตัวอย่างนะ คือ ถ้าเปรียบบุญเป็นเงินเหรียญ 10 บาทแล้วส่งให้ลิงเลยหรือจะเอาไปซื้อกล้วยแล้วค่อยให้ลิง คุณคิดว่าอันไหนจะเกิดประโยชน์กับผู้รับมากกว่ากันหละ นี่แค่ตัวอย่างแค่นั้นนะครับไม่ใช่ของจริง เดี๋ยวมีคนหาว่า ยึดติดกับวัตถุอีก


โพสต์ เมื่อ: 23 มิ.ย. 2009, 10:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอตอบ K owan;ว่าผมสบายดีครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง ไม่ได้หายไปไหนหรอก ก็แวะเวียน
มาอ่านในนี้ตลอด และได้อ่าน กท. ของ k owan ทุกๆกระทู้แหละครับ เพียงแต่ไม่ได้ตอบก้เท่า
นั้นเอง :b40:

ส่วนใหญ่วัดที่ผมชอบไปทำบุญ ในกรุงเทพมีอยู่หลายๆวัดเช่นวัดมหาธาตุ วัดบวรฯ วัดอินทรฯ เป็นต้น แต่วัดที่ไปบ่อยๆมีเพียง2วัด คือ วัดปทุมวนาราม-หลวงพ่อถาวร กับวัดอัมพวัน-หลวงพ่อจรัญ ก้ไปเท่าที่มีเวลาอำนวย ถือว่าได้กราบนมัสการหลวงพ่อด้วยครับ :b40:

ผมมีเทคนิคอีกอย่างจะบอก K owan ก้คือ
- ถ้าเราสวดมนต์ 10 นาที ก้ควรทำใจให้นิ่งเป็นสมาธิ10 ถ้าสวด15 ก้ควรจะทำสมาธิ15
ไม่ต้องนานหรอก เพราะคนทำงานไม่ค่อยมีเวลาอะไรมาก :b40:
- สมาธิจะเกิดได้ ก้เพราะมีสติ สติจะเกิดได้ต่อเนื่องก้ต้องอาศัยสมาธิอย่างมากเพราะไม่ให้ใจวอกแวก
แต่ถ้าสมาธิและสติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องพร้อมกันแล้วปัญญาย่อมจะเกิดตามไปด้วย
วิธีทำก็คือ- ควรใช้ใจระลึกรู้ ดูตามลมหายใจเข้า - ออกให้ทันเป็นจังหวะ อย่าปล่อยให้ใจเผลอ หรอืหลง ถ้าหลงแว๊บไป ก้สามารถดึงใจคืนกลับมาให้ทันแล้วกำหนดต่อไปได้โดยง่าย ไม่ติดขัด
-การแผ่เมตตา ก้คล้ายกับผลพลอยได้หลังจากการสวดมนต์ ทำสมาธิ เจริญสติ ที่ว่าเหมือนผลพลอยได้
เพราะจิตใจเราสงบแล้วมีเมตตาเป็นทุนเป็นกำไรอยู่แล้ว ถึงยังไม่แผ่ให้ใครเราก้ร้สึกอิ่มเอิบใจโดยลำพัง
หากจะแผ่ให้ใคร ย่อมแผ่ออกทั้งนั้น ดังนั้นจะสวดขอขมากรรมหรือไม่สวดนั้น ก้แล้วแต่ความปรารถนาของผู้นั้น เพราะในการแผ่เมตตาสรรพสัตว์ และแผ่อุทิศส่วนกุศล ผู้อื่นย่อมได้รับอยุ่แล้วโดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวร รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลาย แต่หากจะสวดบทขอขมากรรมก้ดีขึ้นมาอีกหน่อย เพราะเป็นบทรวม ที่รวมเอาบทแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล และบทอโหสิกรรม มาผนึกเข้าไว้ด้วยกัน :b39:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสต์ เมื่อ: 23 มิ.ย. 2009, 16:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 17:52
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ อินทรีย์5
อ้างคำพูด:
-การแผ่เมตตา ก้คล้ายกับผลพลอยได้หลังจากการสวดมนต์ ทำสมาธิ เจริญสติ ที่ว่าเหมือนผลพลอยได้
เพราะจิตใจเราสงบแล้วมีเมตตาเป็นทุนเป็นกำไรอยู่แล้ว ถึงยังไม่แผ่ให้ใครเราก้ร้สึกอิ่มเอิบใจโดยลำพัง
หาก จะแผ่ให้ใคร ย่อมแผ่ออกทั้งนั้น ดังนั้นจะสวดขอขมากรรมหรือไม่สวดนั้น ก้แล้วแต่ความปรารถนาของผู้นั้น เพราะในการแผ่เมตตาสรรพสัตว์ และแผ่อุทิศส่วนกุศล ผู้อื่นย่อมได้รับอยุ่แล้วโดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวร รวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลาย แต่หากจะสวดบทขอขมากรรมก้ดีขึ้นมาอีกหน่อย เพราะเป็นบทรวม ที่รวมเอาบทแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล และบทอโหสิกรรม มาผนึกเข้าไว้ด้วยกัน
:b39:

ก็โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรนี่แหละครับ

พวกเจ้ากรรมนายเวรของเราที่เขายังอยู่ในสภาพที่ดีเช่น พวกเทพ เทวดา ฯลฯ นี่เขายังไม่ต้องการทวงหนี้จากเราหรอกเมื่อใดที่บุญเขาเหลือน้อยหรือเขาตกทุกข์ได้ยากแล้วเขารู้ว่า เราติดหนี้เขาอยู่เมื่อนั้นเขาถึงจะมาทวงคืนอย่างสาสม

แต่พวกที่ตามทวงเราตลอดเลย คือ พวกที่มีสภาพย่ำแย่ ญาติพี่น้องไม่ทำบุญไปให้ อยู่อย่างทุกข์ทรมานแต่เขารู้ว่าเราเป็นหนี้เขา(หนี้อะไรบ้างหละ ก็ว่ากันไป แต่ถ้าเป็นหนี้ชีวิตเขาก็ต้องการชีวิตเป็นแน่) เขาก็ต้องมาทวงคืนเพื่อให้เขาอยู่ในสภาพที่ดีขึ้น

ยกตัวอย่างนะท่าน ที่ท่านว่า จะแผ่ให้ใคร ย่อมแผ่ออกทั้งนั้น เหมือนเรามีเงิน 10 ล้าน เราก็แผ่(เผื่อแผ่)ให้คนอื่นด้วยการ ส่งธนานัติ โดยจ่าหน้าซองว่า สรรพสัตว์ทั้งหลาย ท่านทำอย่างนี้หนะได้แต่คำนึงถึงผู้รับหน่อย ถ้าสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ท่านว่านั้น เขาเป็นเทพ พวกนี้เขาฉลาดและปัญญาไวกว่าพวก สัตว์นรกแน่นอน มันย่อมอธิฐานเอาก่อนเป็นแน่แท้เพราะมันยังมีความโลภอยู่ แล้วพวกนายเวรที่เขาเดือดร้อนมากๆ และเป็นพวกสัตว์ชั้นต่ำๆ นี่ มันจะรับได้ช้าและรับได้ยาก เมื่อเป็นเช่นนี้ มันก็ยังจะก่อกวนท่านไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะสมหวัง

อาการหงุดหงิด เดือดร้อน วุ่นวาย ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่นายเวรเขาก่อกวนให้เราเดือดร้อน ท่านอินทรีย์5 อธิบายนั้นมันก็ถูกต้องแต่มันไม่ทั้งหมด จะกล่าวอย่างเป็นธรรม มันต้องกล่าวให้ครบทุกด้าน
ท่านอย่าเลี่ยงที่จะกล่าวสิ หรือว่าเพราะท่านไม่รู้ ถ้าไม่รู้ก็ควรศึกษาซะให้รอบด้าน พระพุทธเจ้าตรัสว่าสัตว์พวกนี้มีอยู่จริง ฉะนั้นก็ต้องศึกษาเขาด้วยว่าอะไรเป็นอะไร เขาอยู่ได้เพราะอะไร จะเป็นไปยังไงบ้าง อย่างน้อยก็จะได้รู้ว่า เมื่อเราเกิดพลาดท่าเสียทีไป ด้วยความรู้เหล่านี้เราจะเอาตัวรอดจากภพภูมิที่เราพลาดไปได้อย่างไรจะแก้ไขยังไง


โพสต์ เมื่อ: 23 มิ.ย. 2009, 17:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


อืม.... :b1:

ก่อนการสวดมนต์ เราควรตั้งจิตระลึกเสียก่อนว่า
"ภูตผีปีศาจชั้นต่ำทั้งหลาย บัดนี้เราจะกล่าวบทสวดมนต์
ใครชอบฟังเอาบุญกุศลก็ให้ตั้งใจฟัง หากใครฟังแล้วทรมาน
ก็ให้หลีกหนีไปที่อื่น จนกว่าเราจะสวดมนต์เสร็จ แล้วจึงกลับมาเถิด
เราไม่ได้สวดเพื่อขับไล่ใคร แต่สวดเพื่อเจริญใน
พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เท่านั้น"


เพราะบทสวดมนต์แต่ละบทมีอำนาจขับไล่และเบียดเบียนวิญญาญชั้นต่ำ
ให้ได้รับความเดือดร้อน

พระพุทธองค์ทรงบัญญัติ ห้ามมิให้ภิกษุทำน้ำมนต์ขับไล่ผีไว้ในพระวินัยบัญญัติ
ดังนั้นการสวดเพื่อเจริญพุทธานุสติ ธัมมานุสติ และ สังฆานุสติ
ก็อย่าได้ตั้งจิตไปกำราบคุกคามภูติผีปีศาจชั้นต่ำทั้งหลายให้ได้รับความเดือดร้อน....

:b1: :b16: :b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสต์ เมื่อ: 23 มิ.ย. 2009, 17:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 17:52
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อืม...ก็ควรจะแนะนำเขาอย่างนี้ด้วย มันถึงจะเหมาะจะควร

ไม่ใช่ตะบี้ตะบัน สวดกันเข้าไปได้ เห็นแก่ตัวอยู่ได้ พวกที่เดือดร้อนเขาก็มี พวกที่พอใจมันก็มี

จะกล่าวจะแนะนำ มันก็ต้องเอาให้รอบด้าน อย่ามาบอกแต่ส่วนดีละเลยส่วนเลวไป มันถึงเจริญ ทั้งคนและผี ไม่มาก่อกวนกันให้ยุ่งยาก

บทสวดทุกบท(ที่ถูกต้อง) นั้น มีอานุภาพ บีบคั้น พลักดัน พวกสัตว์ชั้นต่ำอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าท่านจะไม่มีจิตไปกำราบคุกคามภูติผีปีศาจชั้นต่ำทั้งหลายให้ได้รับความเดือดร้อนก็ตาม ฉะนั้นก่อนสวดก็ต้องบอกกล่าวให้เขารับรู้รับทราบก่อนด้วย ถ้าใครชอบก็อยู่ฟังและอนุโมทนาบุญได้เลยแต่ถ้าใครไม่ชอบให้ถอยห่างไปก่อนเมื่อสวดจบแล้วค่อยกลับมา ไม่ต้องกล่าวก็ได้แค่คิดเขาก็รับรู้ได้แล้ว

ท่าน อมิตาพุทธ นี่ก็ตอบได้ดีนะถูกต้องเลยทีเดียว งั้นก็ช่วยอธิบายให้เขาทราบหน่อย เพราะบางคนไม่ชอบสไตล์การตอบของผมเท่าไหร่ มันขัดกับความรู้ที่เขารู้มามั้ง ผมก็ขวางอย่างนี้แหละท่าน

เรื่องสวดนี่ หลายคนคงพอเข้าใจแล้วมั้งว่า มัน มีผลดีผลร้าย ยังไง เพราะเห็นร้องกันสนั่นเลยว่ามีแต่ดีๆๆๆๆ ทั้งนั้น

ที่นี้ มาเรื่อง การขอขมากรรมก็เช่นเดียวกัน มันก็มีหลักการของมันเช่นกัน ว่าทำยังไงถึงได้ผลหรือไม่ได้เรื่อง
ก็ขอให้ท่าน อมิตาพุทธ โปรดชี้แนะหน่อยนะครับท่าน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 62 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร