วันเวลาปัจจุบัน 22 มิ.ย. 2025, 01:52  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 61 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ "กามโภคี" ครับ


สัตว์มีปาณะ เข้าใจแบบไหน (ปาณ-, ปาณะ ความหมาย] น. ลมหายใจ; สัตว์มีชีวิต, ชีวิต. (ป.; ส. ปฺราณ).
รู้ว่าสัตว์มีชีวิต เข้าใจแบบไหน
มีจิตฆ่า เข้าใจแบบไหน
พยายามฆ่า เข้าใจแบบไหน
และสัตว์ตาย เข้าใจแบบไหน

ถ้าเข้าใจถูก ผมว่า คุณอาจไม่มาพูดแบบนี้หรอกครับ

ว่างๆลองอธิบายครับ ขอสาระที่อ้างอิงได้ ที่สำคัญ ห้ามพูดว่ามารเข้าสิง


เอ้า! ถ้าตัวอย่างเรื่องมดที่พระพุทธเจ้าฆ่าตอนไปบิณฑบาตร และเชื้อโรคและพยาธิที่หมอฆ่า ยังไม่กระจ่าง เพราะคุณอาจอ้างว่า สัตว์นั้นไม่มีลมหายใจ ก็เอาความจริงที่พระพุทธเจ้าเลยเกิดเป็นชาวประมง ชาวประมงก็ต้องจับและฆ่าปลาเป็นหมื่นเป็นแสนตัวแน่นอน แต่พระพุทธองค์ไม่ได้ครัสว่า นั้นบาป

แต่กลับตรัสว่า สิ่งที่เป็นบาปคือ เด็กประมง(พระพุทธเจ้า)ไปสะใจที่เห็นชาวประมงคนอื่นฆ่าปลา บาปจากการคิดสะใจนั้น ทำให้พระองค์ต้องปวดหัวในบางครั้งตอนที่เป็นพระพุทธเจ้า

คุณ"กามโภคี"เคยเห็นปลาหายใจด้วยคลีบไหม กระแด่วๆให้เห็นชัดๆเลยนะครับ แล้วถ้าคุณจะเถียงผมโดยอ้าง สัตว์มีปาณะ ผมก็ต้องถามกลับคุณว่า ปลวกนั้นมีปาณะหรือเปล่าครับ ถ้าปลวกไม่มีปาณะ คุณกะเพราไก่ ก็ไม่บาปใช่ไหมครับ

ผมไม่พูดหรอกครับว่า คุณถูกมารเข้าสิง แต่ผมจะพูดว่า ขณะนี้ผมกำลังเถียงกับมารในใจคุณอยู่


แก้ไขล่าสุดโดย พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เมื่อ 21 พ.ค. 2009, 19:49, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 19:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




593_1.jpg
593_1.jpg [ 37.86 KiB | เปิดดู 3982 ครั้ง ]
อ้างคำพูด:
พระพุทธองค์ท่านยังบอกผมในนิมิตเลย ในนิมิตของผม

"มีคนแจวเรือไปส่งผมในนิพพาน ผมโชคดีกว่าคนอื่น มีคนนำที่นั่งอย่างดีให้ผมนั่ง
หลวงพ่อหลวงปู่ท่านอื่น ท่านต้องเผชิญสัตว์ร้าย และวิบากกรรมหนักอื่นๆ กว่าจะไปถึงฝั่งได้"



คุณโชคดีนะครับ :b8: ที่มีคนแจวเรือส่งให้ถึงฝั่งนิพพาน น้ำคงลึกแล้วก็เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย
มีสัตว์จำพวกไหนบ้างครับ จระเข้มีไหม :b14:

แล้วหลวงปู่หลวงพ่อ ชื่ออะไรกันบ้างครับ น่าสงสารนะครับ ไหนยังต้องแจวเรือเองด้วย ยังต้องสู้กับสัตว์นานาชนิดอีก มีพระหนุ่มๆบ้างไหมครับ :b14:

สมมุติว่ากรัชกายจะไปบ้าง จะหาเรือหาคนแจวเรือได้ที่ไหนครับ จะต้องทำยังไงจึงรอดพ้นจากสัตว์น้ำ
เหล่านั้น
ไม่มีสะพานข้ามบ้างหรือครับ แบบสะพานข้ามทะเลสาปสงขลาไรเงี้ย :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 19:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพิ่งนึกได้ แล้วฝั่งนิพพานมีเพลงฟังไหมครับ กรัชกายชอบฟังเพลง
เพลงสยามเมืองยิ้มไรเงี้ย :b1:

http://www.tlcthai.com/webboard/view_to ... t_id=20353

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 21 พ.ค. 2009, 21:01, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณกรัชกายครับ


ในนิมิตของผม คนแจวเรือคือ พระพุทธเจ้าครับ รู้ในจิต แต่ผมขอลงที่ฝั่งก่อนจะถึงนิพพาน เพื่อทำงานบางอย่างก่อนเพื่อพระศาสนา ก่อนที่ศาสนาพุทธของเราจะโดนกลืนกินโดยแก๊งค์หัวโล้นที่ห่มผ้าเหลือง แต่ไม่ได้ปฏิบัติให้ถึงขั้น

พอผมลงฝั่งเท่านั้น คนแจวเรือไปเลย ผมเดินเลียบชายฝั่งตามเรือไป ผมตะโกนเรียก ก็ไม่หันกลับ เลยมาคิดว่านิพพานผมเดินไปก็ได้ เพราะรู้ทางอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องรีบไปเลย แล้วผมก็ตื่นขึ้นมา

เรืองที่คุณถาม ผมคงตอบไม่ได้ เวลาคุณฝัน คุณกำหนดฝันของคุณได้หรือครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 20:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าหลงในนิมิตมากนะ มันจะทำให้เรากลายเป็นผู้วิเศษ ที่ไม่มีใครเห็นว่าเราวิเศษ :b6: :b6: :b6:

นิมิตนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในฌาณขั้นต้น หากเชื่อถือและยินดีในนิมิตนั้น ก็จะติดอยู่ในฌาณขั้นนั้นตลอดไป ในฌาณระดับที่สูงขึ้นไป จะไม่มีนิมิต (อันหมายถึงความฝัน) ใดๆ แต่จะมี ภวังค์ เข้ามาแทน

ผู้รู้บางท่าน ที่ชำนาญในปฏิจจสมุปบาท ก็จำแนกนิมิตว่า เป็นภวังค์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ภวังคจลนะ http://www.nkgen.com/727.htm
เขาจำแนกภวังค์เป็น 3 ขั้นตามลำดับ จากอาการทางกาย ไปจิต และไปสู่ความสงบ แต่เราอยากแยกออกมาต่างหาก เพราะภวังค์ตามความหมายที่เราเข้าใจกัน มันใกล้เคียงกับภวังค์ระดับ 3 คือ ภวังคุปัจเฉท (หรือภาวะจำศีล)

เพราะงั้นเมื่อเราเอ่ยถึง ภวังค์ เราจึงหมายความถึง ภวังคุปัจเฉท และเมื่อเราพูดถึง นิมิต เราจะหมายถึง ภวังคจลนะ ในปฏิจจสมุปบาท

มีประโยคหนึ่งที่ควรพิจารณา...
เมื่อเกิดนิมิตแล้ว จะพ้นจากนิมิตนั้นหรือไม่ ก็แล้วแต่สติปัญญาของตน หรืออาจารย์ผู้นั้นจะแก้ไขให้ถูกหรือไม่ เพราะของพรรค์นี้ต้องมีครูบาอาจารย์เป็นผู้แนะนำ ถ้าหาไม่แล้วก็ต้องจมอยู่ปรัก คือนิมิต นานแสนนาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 20:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 13:23
โพสต์: 607


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38: เคยนั่งสมาธิบ้างไหมนี่ คุณ จขกท :b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 20:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




s-pram01.jpg
s-pram01.jpg [ 14.1 KiB | เปิดดู 3953 ครั้ง ]
อ้างคำพูด:
เรืองที่คุณถาม ผมคงตอบไม่ได้ เวลาคุณฝัน คุณกำหนดฝันของคุณได้หรือครับ


โท่คุณพลศักดิ์ขอรับ ฝันก็ไม่บอก :b2:
กรัชกายค้นหารูปสะพานดังกล่าวมาแล้ว คิดว่าถ้าไปนิพพานจะเดินข้ามเอา
:b1: คุณมีบุญนะครับที่เห็นพระพุทธเจ้า กรัชกายเคยเห็นแต่พระพุทธรูป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 22:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
คุณ "กามโภคี" ครับ

เอ้า! ถ้าตัวอย่างเรื่องมดที่พระพุทธเจ้าฆ่าตอนไปบิณฑบาตร และเชื้อโรคและพยาธิที่หมอฆ่า ยังไม่กระจ่าง เพราะคุณอาจอ้างว่า สัตว์นั้นไม่มีลมหายใจ ก็เอาความจริงที่พระพุทธเจ้าเลยเกิดเป็นชาวประมง ชาวประมงก็ต้องจับและฆ่าปลาเป็นหมื่นเป็นแสนตัวแน่นอน แต่พระพุทธองค์ไม่ได้ครัสว่า นั้นบาป


ท่านไม่รู้ว่ามีมด ท่านเดินด้วยเจตนาบริสุทธิ์ เช่นเีดียวกับที่ทุกคนเดิน ไม่ได้เดินด้วยความคิดว่า จักเหยียบให้ตายหรือรู้ว่ามีสัตว์มีชีวิตอยู่แล้วเหยีบให้ตาย เพราะเจตนาฆ่าหรือแม้แต่ทำสัตว์อื่นให้ลำบาก ไม่มีในพระหทัยของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์หรอกครับ ส่วนเรื่องท่านเป็นชาวประมงในชาติหนึ่งนั้น ท่านอาจยังไม่รู้ด้วยว่านั่นเป็นบาป
ธรรมดาอยู่ครับ ตอนนั้นท่านก็ปุถุชน เรื่องจะกระจ่างแจ้งในบาปบุญย่อมไม่บริบูรณ์ ตอนนั้นท่านไม่บอกว่าบาป
แต่ถ้าท่านตรัสปัจฉิมภพ ท่านก็บอกเอง ผู้ยังสัตว์อื่นให้ลำบากอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นบรรชิตเลย ท่านปฏิเสธความเป็น
นักบวชแม้กระทั้งทำสัตว์ให้ลำบาก ไม่ต้องกล่าวถึงฆ่าหรอกท่าน เรื่องนี้ตื้นไป
ทำผมสับสนเลยว่า ตกลงคุณเข้าใจคำว่า "รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต" หรือเปล่า เมื่อเดินไป หรือปัดโดยไม่ตั้งใจ แค่นี้ก็
ไม่รู้แล้วว่านั่นเป็นสัตว์หรือเปล่า แล้วจะไปรู้ถึงว่ามีชีวิตหรือไม่

พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
แต่กลับตรัสว่า สิ่งที่เป็นบาปคือ เด็กประมง(พระพุทธเจ้า)ไปสะใจที่เห็นชาวประมงคนอื่นฆ่าปลา บาปจากการคิดสะใจนั้น ทำให้พระองค์ต้องปวดหัวในบางครั้งตอนที่เป็นพระพุทธเจ้า


ท่านก็บอกตรงๆแล้วว่า ขนาดสะใจ(แบบที่คุณว่า) ยังรับกรรมขนาดไหน แล้วถ้าเจตนาฆ่าล่ะ

พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
คุณ"กามโภคี"เคยเห็นปลาหายใจด้วยคลีบไหม กระแด่วๆให้เห็นชัดๆเลยนะครับ แล้วถ้าคุณจะเถียงผมโดยอ้าง สัตว์มีปาณะ ผมก็ต้องถามกลับคุณว่า ปลวกนั้นมีปาณะหรือเปล่าครับ ถ้าปลวกไม่มีปาณะ คุณกะเพราไก่ ก็ไม่บาปใช่ไหมครับ


ข้อนี้ไม่ต้องกล่าว ให้เป็นอาชีพอะไร ถ้าเจตนาฆ่า และครบองค์ประกอบ ผิดทุกประเด็น

พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
ผมไม่พูดหรอกครับว่า คุณถูกมารเข้าสิง แต่ผมจะพูดว่า ขณะนี้ผมกำลังเถียงกับมารในใจคุณอยู่


แค่วาทะให้ดูเท่ห์ ไม่มีข้อวินิฉัย ไร้สาระ
------------------------------------------------------------------

ปาโณ สัตว์มีปาณะ มีที่ต้องวินิฉัยคือ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดเป็นปาณะตามความหมายนี้ นัยว่าอาศัยปาณะคือลมเข้า
ออกเพื่อทรงความเป็นไปแห่งชีวิตได้ แต่ตามความหมายนี้ต้องประกอบอีกคือ ต้องมี รูป จิต เจตสิก และต้อง
ดีเลว หรือหยาบ ละเอียดเป็นต้นด้วยอำนาจกรรมของตนเอง
คุณก็คิดดูเองนะครับว่าเชื้อโรคมีองค์ประกอบตามนี้หรือไม่ อย่าให้ผมพูดถึงเรื่องสัตว์มีชีวิตให้ลึกกว่านี้เลย
เพราะที่กล่าวมาแค่นี้เพียงพอที่จะนำมาวินิฉัยแล้ว

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 23:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ"murano" ครับ


"อย่าหลงในนิมิตมากนะ มันจะทำให้เรากลายเป็นผู้วิเศษ ที่ไม่มีใครเห็นว่าเรา ฯลฯ"

ตกลงหลวงปู่มั่น หลวงพ่อสด หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงพ่อคง ฯลฯ เห็นพระพุทธเจ้าในนิมิต ก็ของปลอมทั้งสิครับ พระอริยะยงฆ์และพระอรหันต์เหล่านี้หลงในนิมิตงั้นหรือ จึงเห็น แล้วที่พระพุทธองค์ตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต" ก็โกหกใช่ไหมครับ

ผู้ปฏิบัติธรรมยังไม่ถึงไหน เชื่อคำลวงของสมมุติสงฆ์ เสนอตัวมาสอนธรรมะให้ผู้เข้าถึงธรรมแล้วหรือนี่ นี่ถ้าเขาให้คุณเป็นผู้ดูแลเว็บอีกคน ข้อเขียนของผม คงโดนโยนทิ้งหมด แค่ผู้ดูแลเว็บคนเดียว เว็บนี้เขาก็ห้ามผมตั้งกระทู้ ส่งคำตอบ 5 คำตอบ ลงให้ 2 คำตอบ ได้คุณมาอีกคน ผมคงไม่มีที่ยืนในเว็บนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 00:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ "กามโภคี" ครับ


" ท่านไม่รู้ว่ามีมด ท่านเดินด้วยเจตนาบริสุทธิ์ เช่นเีดียวกับที่ทุกคนเดิน ไม่ได้เดินด้วยความคิดว่า จักเหยียบให้ตายหรือรู้ว่ามีสัตว์มีชีวิตอยู่แล้วเหยีบให้ตาย เพราะเจตนาฆ่าหรือแม้แต่ทำสัตว์อื่นให้ลำบาก ไม่มีในพระหทัยของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์หรอกครับ "

คุณเขียนเองนะครับ แต่ไม่เข้าใจที่ตนเองเขียน ผมจะแปลให้ฟัง

1. มีมดตาย ครบองค์ประกอบปาณาติบาตทางกายทุกประการ พระพุทธเจ้ามีเจตนาทางกายฆ่ามด เพราะเดินไปทั้งๆที่รู้ว่าต้องมีสัตว์ตาย แต่เจตนาที่พระพุทธเจ้าหมายถึงคือ "เจตนาทางใจ" ไม่ใช่เจตนาทางกาย เพราะใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน สำเร็จด้วยใจ ไม่ได้สำเร็จที่กาย

เนื่องจากใจของพระพุทธเจ้าไม่คิดปรุงแต่งให้มันเป็นอกุศล บาปจึงไม่เกิดขึ้น การเดินเหยียบมดที่ตัวเล็ก มองแทบไม่เห็น มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ไม่คิดก็ต้องรู้ว่า เมื่อกายเดินไป ก็ต้องมีการตายเกิดขึ้น แต่เมื่อใจไม่คิดปรุงแต่งเป็นอกุศล บาปมันก็ไม่มี

2. คุณเขียนเสียยาวเหยียด บ่ายเบี่ยงความรู้ทางธรรมของตนเอง ตกลงเด็กประมงพุทธเจ้าฆ่าปลาเป็นหมื่นเป็นแสนตัวในชาตินั้น มันบาปหรือเปล่าครับ เมื่อคุณพยายามหลบประเด็นไม่ตอบ ผมตอบแทนเอง

- กายหรือมือของเด็กประมงพุทธเจ้าได้ฆ่าปลาจริง เป็นหมื่นเป็นแสนตัวด้วยในชาตินั้น แต่ไม่บาป เนื่องจากใจของเด็กประมงพุทธเจ้าไม่คิดปรุงแต่งให้มันเป็นอกุศลอะไร คิดว่าเป็นอาชีพที่ต้องทำเฉยๆ

- แต่ตอนที่เด็กประมงพุทธเจ้าไม่ได้ฆ่าปลาอะไรแม้แต่ตัวเดียว แต่ใจทะลึ่งไปสะใจที่ชาวประมงคนอื่นกำลังฆ่าปลากลับเป็นบาป เพราะใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน สำเร็จด้วยใจ ไม่ได้สำเร็จที่กาย เมื่อใจสะใจ ผลกรรมก็คือการปวดหัวนั่นเอง

กรุณาอ่านช้าๆอีก 2 เที่ยว และคุณจะเข้าใจเรื่องศีล 5 อย่างชัดเจน ไม่หลงไปตีความผิดๆเหมือนสมมุติสงฆ์และปถุชนที่เข้าไม่ถึงธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 07:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
หรอ ครับงั้นถามอีกนิดว่า ทำไมอะคับคุณถึงอึดถึงทนขนาดเนี่ย ถูกแบบ ถูกบล็อก ถูกตำหนิ
ติติง ฯลฯ สารพัด คุณทนได้ไงขอรับ เป็นบางคนเปิดก้นไปแล้ว :b32:
กรัชกายยังรู้สึกแปลบๆ แทนคุณเลยนะครับ คิดว่าหากเป็นเราโดนขนาดเนี่ย คงขึ้นเขาเข้าถ้ำ
ฝึกวิทยายุทธ์ใช้ปราบมารใหม่ แต่คุณไม่บ่นเลย เพียงแต่รำพึงรำพันแบบน้อยใจนิดๆ หน่อยๆ พอเป็นกระสาย

:b3: :b41: :b38:


อะไร ก็อะไรล่ะครับ
อันนี้ผมเองก็ชมชอบความเด็ดของท่านพล
แต่เรื่องการนำเสนอของท่านพล...
ผมไม่ออกความเห็นครับ...เพราะไม่ใช่หน้าที่ของผม...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 07:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
คุณกรัชกายครับ


1. ในนิมิตของผม คนแจวเรือคือ พระพุทธเจ้าครับ รู้ในจิต แต่ผมขอลงที่ฝั่งก่อนจะถึงนิพพาน เพื่อทำงานบางอย่างก่อนเพื่อพระศาสนา ก่อนที่ศาสนาพุทธของเราจะโดนกลืนกินโดยแก๊งค์หัวโล้นที่ห่มผ้าเหลือง แต่ไม่ได้ปฏิบัติให้ถึงขั้น

2.พอผมลงฝั่งเท่านั้น คนแจวเรือไปเลย ผมเดินเลียบชายฝั่งตามเรือไป ผมตะโกนเรียก ก็ไม่หันกลับ เลยมาคิดว่า
นิพพานผมเดินไปก็ได้ เพราะรู้ทางอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องรีบไปเลย แล้วผมก็ตื่นขึ้นมา

เรืองที่คุณถาม ผมคงตอบไม่ได้ เวลาคุณฝัน คุณกำหนดฝันของคุณได้หรือครับ


ตีความดี ๆ ครับ...
1. ไม่ต้องตีแล้ว...
เหลือแต่
2. นี่ล่ะครับ...พยายามทำใจเย็น ๆ แล้วค่อย ๆ ตีนะครับ...
ผมเชื่อว่าไม่มีใครทิ้งคุณหรอกครับ... :b16: :b16: :b16:

คงกล่าวได้แค่นี้...เพราะไม่ใช่หน้าที่ผ๊มมมมม....
ยุ่งมากนัก...เดี๋ยวจะโดนจับไปเก็บครับ... :b14: :b14: :b14:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 08:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถามคุณพลศักดิ์นะครับ
เกิดว่า นิพพาน หมายถึงดับ คือ ดับอวิชชา ดับกิเลส และดับทุกข์
เช่นว่า

ดับอวิชชา - หมายถึงการเกิดญาณทัศนะอันสูงสุด หยั่งรู้สัจธรรม
ดับกิเลส - หมายถึงกำจัดความชั่วร้าย และของเสียต่าง ๆ ภายในจิตใจ หมดเหตุที่จะก่อปัญหาความเดือดร้อนวุ่นวายต่างๆ แก่ชีวิต
และดับทุกข์ - หมายถึง หมดความทุกข์ บรรลุความสุขอันสูงสุด


ดังนี้ คุณพอรับได้ไหมและยังอยากไปนิพพานอีกไหมครับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 09:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.พ. 2008, 10:00
โพสต์: 724

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: ปฏิบัติวิปัสสนา
อายุ: 0
ที่อยู่: เกษตร-นวมินทร์ กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
คุณ "กามโภคี" ครับ


คุณเขียนเองนะครับ แต่ไม่เข้าใจที่ตนเองเขียน ผมจะแปลให้ฟัง

1. มีมดตาย ครบองค์ประกอบปาณาติบาตทางกายทุกประการ พระพุทธเจ้ามีเจตนาทางกายฆ่ามด เพราะเดินไปทั้งๆที่รู้ว่าต้องมีสัตว์ตาย แต่เจตนาที่พระพุทธเจ้าหมายถึงคือ "เจตนาทางใจ" ไม่ใช่เจตนาทางกาย เพราะใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน สำเร็จด้วยใจ ไม่ได้สำเร็จที่กาย

เนื่องจากใจของพระพุทธเจ้าไม่คิดปรุงแต่งให้มันเป็นอกุศล บาปจึงไม่เกิดขึ้น การเดินเหยียบมดที่ตัวเล็ก มองแทบไม่เห็น มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ไม่คิดก็ต้องรู้ว่า เมื่อกายเดินไป ก็ต้องมีการตายเกิดขึ้น แต่เมื่อใจไม่คิดปรุงแต่งเป็นอกุศล บาปมันก็ไม่มี


ตกลงคุณรู้จักเจตนาหรือเปล่า คุณยังบังอาจมากล่าวว่าเจตนาทางกายอีก เจตนาเป็นเรื่องของจิตหรือใจแล้วครับ
ไม่ต้องมาพูดถึงเรื่องทางกายเลย สาธกว่า เจตยตีติ เจตนา ธรรมชาติใดทำหน้าที่คิด ชื่อว่าเจตนา
จินฺเตติ เจตนา ธรรมชาติใด ย่อมคิดชื่อว่าเจตนา ฯลฯ มีอีกเยอะ แต่ที่มีทั้งหมด ไม่เคยกล่าวถึงกายเลย
และองค์แห่งปาณาติบาต เจตนาคือความหมายนี้ ทางใจ ไม่ไช่ทางกาย อ่านเข้าใจหรือเปล่าครับ คำว่า วธกจิตฺตํ
ไม่ได้เขียนตรงไหนเลยว่า วธกกายํ แล้วคุณบังอาจมากล่าวว่าพระพุทธเจ้ามีเจตนาทางกายฆ่ามดได้อย่างไร
ในเมื่อมูลที่จะกล่าวถึงคำว่าเจตนาทางกายไม่มี ในทุกประเด็นที่เกี่ยวกับการละเมิดด้วย ไม่ไช่แค่ประเด็นนี้
อริยูปวาท การตู่ให้พระอริยะได้รับความเสียหาย เป็นสัคคาวร(ห้ามสวรรค์)และมัคคาวร(ห้ามมรรคผล)นะครับ
คุณกล่าวเช่นนี้ คนที่ไม่เข้าใจเขาจะว่าศาสดาศาสนาพุทธมีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ กล่าวคือเขาไม่รู้ว่าเจตนาทางกายไม่มี สรุปคือ อย่าได้พูดว่าเจตนาทางกายอีก เพราะเจตนาเป็นเรื่องของจิตโดยแท้
อนึ่ง ถ้ามีที่อ่านพบว่าเจตนาทางกาย วาจา ให้พึงทราบว่า ท่านหมายถึงขณะจิตที่เกิดขึ้นแล้วเป็นเหตุให้กิริยาทาง
กายหรือวาจาเป็นไป หาไช่เป็นการปรุงแต่งหรือสั่งบังคับบัญชาด้วยกายหรือวาจาเองไม่

พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ เขียน:
2. คุณเขียนเสียยาวเหยียด บ่ายเบี่ยงความรู้ทางธรรมของตนเอง ตกลงเด็กประมงพุทธเจ้าฆ่าปลาเป็นหมื่นเป็นแสนตัวในชาตินั้น มันบาปหรือเปล่าครับ เมื่อคุณพยายามหลบประเด็นไม่ตอบ ผมตอบแทนเอง

- กายหรือมือของเด็กประมงพุทธเจ้าได้ฆ่าปลาจริง เป็นหมื่นเป็นแสนตัวด้วยในชาตินั้น แต่ไม่บาป เนื่องจากใจของเด็กประมงพุทธเจ้าไม่คิดปรุงแต่งให้มันเป็นอกุศลอะไร คิดว่าเป็นอาชีพที่ต้องทำเฉยๆ

- แต่ตอนที่เด็กประมงพุทธเจ้าไม่ได้ฆ่าปลาอะไรแม้แต่ตัวเดียว แต่ใจทะลึ่งไปสะใจที่ชาวประมงคนอื่นกำลังฆ่าปลากลับเป็นบาป เพราะใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน สำเร็จด้วยใจ ไม่ได้สำเร็จที่กาย เมื่อใจสะใจ ผลกรรมก็คือการปวดหัวนั่นเอง


ข้อนี้ตอบแล้ว ผิดหมดถ้าครบองค์ประกอบขององค์ปาณาติบาต หากกล่าวว่า เนื่องจากใจของเด็กประมงพุทธเจ้าไม่คิดปรุงแต่งให้มันเป็นอกุศลอะไร คิดว่าเป็นอาชีพที่ต้องทำเฉยๆ ไม่มักง่ายไปหน่อยหรือครับ
อย่างนี้โจรปล่นเขากิน ฆ่าเขากิน ก็จัดว่าเป็นอาชีพเขาซิครับ และขณะที่จับปลา รู้อยู่แล้วว่าปลาต้องตายด้วย
อุบายนี้ ด้วยอุปกรณืนี้ นี่ครับ ตรงนี้ที่ว่าเจตนาฆ่า ไม่มีใครที่ทำอกุศลได้ในขณะที่กุศลจิตเกิดขึ้น และไม่มีใคร
ทำกุศลได้ในขณะที่อกุศลจิตเกิดขึ้น แท้จริงจิตฆ่าเกิดขึ้นไปแล้วและสลับด้วยจิตดวงอื่น วธกจิต จิตฆ่านั้น
เกิดแล้ว อาจมีจิตดวงอื่นเกิดแทรกมา และวธกจิตเกิดอีก สลับกันไป ไวจนมองไม่ออก วธกจิตหมายเอาวธกจิต
ที่เกิดขึ้นครั้งแรกแล้วเป็นเหตุให้กายทวารทำปาณาติบาต

กรุณาอ่านช้าๆอีก 2 เที่ยว และคุณจะเข้าใจเรื่องศีล 5 อย่างชัดเจน ไม่หลงไปตีความผิดๆเหมือนสมมุติสงฆ์และปถุชนที่เข้าไม่ถึงธรรม[/quote]

คำพูดแบบนี้คือ "ไม่หลงไปตีความผิดๆเหมือนสมมุติสงฆ์และปถุชนที่เข้าไม่ถึงธรรม" คุณเอาอะไรมาตัดสิน
ว่าตีความผิด ของผมมีที่มาที่ไป วินิฉัยได้ อ้างอิงได้ ไม่ไช่พูดทำนองอุตริมาอธิบาย คนอื่นนอกจากนี้รวมเพศ
ภิกษุหรือปุถุชน คุณจะไปรู้เขาได้อย่างไรว่าเขาไม่ถึงธรรม เป็นวิสัยพระพุทธเจ้าที่จะแทงตลอดปัญญาหมู่สัตว์
ไม่ไช่ฐานะคุณที่จะประเมิณเขา อีกประการหนึ่งแค่นำหลักตัดสินพระธรรมวินัยมาจับตามความเห็นคุณแล้ว ก็เข้า
ใจไม่ยากว่าคุณมีความเห็นที่ถูกหรือไม่ถูก หรือคุณจะสูงส่งกว่าศาสดาผม
------------------------------------------------------------------
วิบากเป็นผลสาหัสมาก จะทำพูดคิด ต้องสังวรระวังให้มากนะครับ

.....................................................
เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย
ทุกฺขโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ
จตฺตาโร สติปฏฺฺฐานา ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2009, 10:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 มิ.ย. 2008, 22:48
โพสต์: 1173


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ "กามโภคี" ครับ


1. ผมน่ะเข้าใจเรื่องเจตนาทางกาย วาจา และใจดีมาก ผมจะอธิบายให้คุณฟังจากอาชีพโจรปล้นฆ่าและอาชีพประมง

2. ถูกต้องครับ ! โจรปล้นเขากิน ฆ่าเขากิน ก็จัดว่าเป็นอาชีพของเขา จับปลาก็เป็นอาชีพเหมือนกัน เพรชรฆาตก็เป็นอาชีพ ค้าอาวุธ ค้ายาเสพติดก็เป็นอาชีพ แต่อาชีพมี 2 อย่าง คือ สัมมาอาชีพ กับ มิจฉาอาชีพ ความแตกต่างของอาชีพทั้ง 2 อยู่ที่

คุณที่ประกอบสัมมาอาชีพ มีโอกาสน้อยกว่า และมีจำนวนครั้งน้อยกว่า ที่จิตจะคิดเป้นอกุศล ส่วนคนที่ประกอบ มิจฉาอาชีพ เช่น เป็นโจรปล้นฆ่าเขากิน จะเห็นว่า แม้ว่าอาชีพทั้ง 2 กาย(มือ)ต้องทำการฆ่าเหมือนกัน ชาวประมงจะฆ่าเยอะกว่าด้วย แต่โอกาสน้อยที่จิตของชาวประมงจะคิดเป็นอกุศล ในขณะที่โจรปล้นฆ่าเขากินเป็นไปได้น้อยมากที่จิตเขาจะไม่คิดอกุศล

ด้วยเหตุนี้ บาปจึงเกิดกับโจรปล้นฆ่าเขากิน แต่ไม่เกิดกับชาวประมงที่จับและฆ่าปลา เข้าใจหรือยังครับ เจตนาทางกาย กับ เจตนาทางใจ มันไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ ยิ่งสัตว์นั้นเล็กและไม่มีประโยชน์กับมนุษย์เท่าไร จิตของเราก็จะยิ่งไม่มีอกุศลมากขึ้น เช่น หมอให้ยาฆ่าเชื้อ หรือฆ่าพยาธิ มือหมอก็ฆ่าเหมือนกัน แต่จิตของหมอจะไม่คิดว่าทำบาป ได้ฆ่าเชื้อโรคหรือฆ่าพยาธิตายไปมากมาย แต่จิตของหมอจะคิดเป็นกุศลว่า ได้ช่วยคนไข้เอาไว้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 61 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร