วันเวลาปัจจุบัน 02 พ.ย. 2024, 21:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2013, 13:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2297

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

วันอาสาฬหบูชา

แสงส่องใจ
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


วันบูชาสำคัญวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา คือ วันอาสาฬหบูชา เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ พระจันทร์เต็มดวงในเดือน ๘ ปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม วันรุ่งขึ้นเป็นวันเข้าพรรษาคือ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ปีนี้เป็นปีที่มีเดือน ๘/๘ คือ มีแปดสองแปดเป็น ๘/๘

วันอาสาฬหบูชาเป็นวันที่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระปฐมเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตร โปรดท่านปัญจวัคคีย์ คือ เมื่อทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ พระจันทร์เต็มดวงเสวยวิสาขฤกษ์ ในเดือน ๖ หรือเดือนวิสาขะ อีก ๒ เดือนจากวันทรงตรัสรู้ จึงได้ทรงแสดงพระปฐมเทศนา คือ พระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ก่อนถึงวันนี้ปีพระพุทธศักราช ๒๕๔๗ เป็นเวลา ๒๕๙๒ ปี นั่นก็คือวันอาสาฬหบูชามีมาแล้ว ๒๕๙๒ ปี

ในวันอาสาฬหบูชา พระรัตนตรัยเกิดครบองค์ ๓ ในประพุทธศาสนา คือ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสงฆรัตนะ พระไตรรัตนะเกิดพร้อมบริบูรณ์ในกาลนั้น เมื่อ ๒๕๙๒ ปี มาแล้วนั้น ควรเป็นความอบอุ่นใจอย่างที่สุดของผู้นับถือพระพุทธศาสนาทั้งปวง ควรที่ผู้ได้มานับถือพระพุทธศาสนาทั้งปวงจะมั่นใจจริงในความมีบุญยิ่งใหญ่ของตน จึงได้มาพบพระพุทธศาสนา ได้มีพระพุทธศาสนา คือ พระรัตนตรัยเป็นสรณะ อย่าเพียงสักแต่รับรู้ว่าตนนับถือพระพุทธศาสนาและมิได้ให้ความรู้สึกพิเศษสุดแก่พระพุทธศาสนา เพราะจะประโยชน์แท้จริงไม่ได้ พบพระพุทธศาสนา มีพระพุทธศาสนาเป็นสรณะ เพียงสักแต่ปากว่าเท่านั้น หาได้ปรากฏแจ่มใสชัดเจนงดงามอยู่ในใจจริงไม่ แม้เป็นเช่นนี้ ก็ยากจะสามารถได้รับพระพุทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่แห่งพระพุทธศาสนา ที่เกิดแต่พระไตรรัตนานุภาพ จักได้ก็เพียงส่วนน้อยนิดเหลือเกินเท่านั้น

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2013, 07:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2297

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระรัตนตรัยนั้นแม้เปรียบกับสมบัติก็มีค่าประมาณมิได้ ผู้มีปัญญาแม้เพียงพอสมควรย่อมจักเห็นคุณค่าของสมบัติในมือตน ไม่นำไปแลกกับอิฐ หิน ดิน ทราย ด้วยเล็งเห็นถนัดชัดเจนว่าอิฐหิน ดิน ทราย มีจำนวนมากมายกว่าเพชรค่าควรเมือง ผู้มีปัญญาน้อยหรือไม่มีปัญญาเท่านั้นที่จะไม่เห็นค่าของแก้วมณีมีค่าสูงสุดในมือตน ไม่สนใจไยดีที่จะถนอมรักษาให้เกิดประโยชน์ยิ่งใหญ่ หาที่เปรียบมิได้ ผู้ที่ไม่เคยได้ฉุกคิดแม้สักนิดเดียวว่าตนไม่เคยสนใจไยดีในพระพุทธศาสนาเท่าที่ควร ขณะนี้ขอให้เปลี่ยนความคิดที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่งเสียเถิด เพราะเป็นความคิดที่ไร้ปัญญาอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรเลยที่มีคุณเสมอด้วยพระพุทธศาสนา ขณะเดียวกันก็ไม่มีอะไรเลยที่จะให้โทษเสมอด้วยพระพุทธศาสนา

เป็นความไม่ผิดแม้เล็กน้อยเพียงใดที่กล่าวว่าไม่มีอะไรเลยที่จะมีคุณเสมอด้วยพระพุทธศาสนา และขณะเดียวกันก็ไม่มีอะไรเลยที่จะให้โทษเสมอด้วยพระพุทธศาสนา ฟังแล้วพึงทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ใช้ปัญญาให้ดี ให้รอบคอบ ให้ถูกต้อง ในการฟังนี้ พระพุทธศาสนาให้คุณสูงสุด และให้โทษสูงสุด เช่นเดียวกับคนดีทั้งหลาย ที่มีทั้งคุณและมีทั้งโทษ ผู้เข้าไปเกี่ยวข้องไม่พึงประมาทในการเกี่ยวข้องกับคนดี พึงทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า เหตุใดผู้รู้ท่านจึงกล่าวว่าคนดีมีทั้งคุณยิ่งใหญ่ ขณะเดียวกันก็มีทั้งโทษใหญ่ยิ่งด้วย ผู้จะเกี่ยวข้องกับคนดีไม่พึงประมาท เกี่ยวข้องพระพุทธศาสนายิ่งต้องไม่ประมาทยิ่งกว่านั้นมากมายนัก อย่าประมาทเมื่อจะคิดพูดทำเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาอย่างประมาทเป็นอันขาด ขอเน้นความสำคัญที่สุดนี้ไว้ในที่นี้ ด้วยความปรารถนาดีจริงใจ

ความสำคัญประการหนึ่งที่ไม่เข้าใจกันก็คือ เข้าใจกันว่าแม้ทำผิดโดยไม่รู้ว่าผิด จะไม่เป็นบาป ไม่เป็นโทษ ต้องทำผิดทั้งรู้ว่าผิดว่าบาป จึงจะบาป จึงจะได้รับโทษของการทำผิดทำบาปนั้น ดังเช่นคิดพูดทำเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ว่าไม่ถูกต้องเป็นบาป เข้าใจกันว่าเช่นนี้ไม่บาป ไม่เป็นโทษ หรือเช่นถ้าไม่รู้ว่าใครเป็นคนดี คิดว่าเขาเป็นคนไม่ดีแม้ถ้าเขาเป็นคนดี การปฏิบัติไม่ดีต่อเขาก็ย่อมไม่เป็นบาปไม่เป็นโทษ เพราะเราไม่รู้ เช่นเดียวกับปฏิบัติไม่เหมาะสมต่อพระพุทธศาสนา เหตุผลที่พึงเห็นได้ ชัดเจนและง่ายมาก ก็คือ แม้น้ำท่า อาหารที่เราไม่รู้ว่ามียาพิษปนอยู่ ดื่มกินเข้าไปอย่างไม่รู้ว่ามียาพิษ ยาพิษนั้นจะไม่เป็นพิษแก่ผู้ดื่มผู้กินหรือ จะไม่หนักหนาเพราะทั้งดื่มทั้งกินอย่างเต็มอิ่มหรือ การทำผิดต่อพระพุทธศาสนาก็ตาม ต่อคนดีก็ตาม มีผลไม่แตกต่างกับกินยาพิษที่ไม่รู้ว่าเป็นยาพิษแน่นอน พึงให้ความใส่ใจในข้อสำคัญนี้ให้อย่างยิ่ง บาปกรรมหนักหนาจะได้ไม่เกิด

ความสำคัญที่สุดประการหนึ่ง ที่พึงทำความเข้าใจให้ดี อย่าให้เป็นความเข้าใจผิด จะได้ไม่ก่อบาปกรรมต่อไปในเรื่องนี้ นั่นก็คือที่กล่าวว่าไม่มีอะไรเลยที่มีคุณเสมอด้วยพระพุทธศาสนา และไม่มีอะไรเลยที่มีโทษเสมอด้วยพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามีทั้งคุณใหญ่ยิ่งและพระพุทธศาสนาก็เป็นเหตุให้เกิดโทษได้ใหญ่ยิ่ง จงเข้าใจในเรื่องโทษของพระพุทธศาสนาให้ดี ให้ถูก เพื่อไม่คิดผิดคิดร้าย ว่าเป็นการกล่าวโทษพระพุทธศาสนา ว่าทำพระพุทธศาสนาให้ด่างพร้อย ไม่ใช่เช่นนั้น แต่ก็เป็นจริงเช่นที่กล่าวว่ามีโทษร้ายแรงที่สุดแน่นอนแก่ผู้ปฏิบัติไม่ถูกต้องไม่ดีงามต่อพระพุทธศาสนา

เพราะพระพุทธศาสนานั้นพรั่งพร้อมด้วยผู้เทิดทูนรักษาด้วยความจงรักภักดีหวงแหนยิ่งชีวิตจิตใจ ทั้งพรหมเทพมนุษย์และวิญญาณ ที่มีปัญญา มีกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธศาสนา ที่มีสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสำคัญ บรรดาผู้เทิดทูนเวดล้อมรักษาสมเด็จพระบรมศาสดาด้วยความจงรักภักดีหมดชีวิตจิตใจนี้แหละที่จะไม่ปล่อยให้มีการล่องล้ำก้ำเกินพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือล่วงล้ำก้ำเกินสมเด็จพระบรมศาสดา จะตอบโต้ทุกอย่างเต็มกำลังแรง และเมื่อเป็นการตอบโต้ของพรหมเทพด้วยแล้ว ก็ยากนักที่ผู้บังอาจลบหลู่สมเด็จพระบรมครูจะรู้จะเข้าใจและจะรอดพ้นได้

เป็นสัจจะจริงแท้แน่นอน ที่จะรับรองได้ด้วยกันทุกถ้วนหน้าว่า สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระพุทธศาสนานั่นเอง ไม่ทรงก่อทุกข์โทษภัยแก่สัตว์โลกทั้งปวง ไม่มีที่ทรงยกเว้น แต่แม้ทรงถูกล่วงล้ำก้ำเกิน พรหมเทพมนุษย์และวิญญาณทั้งหลายที่เทิดทูนแวดล้อมด้วยความจงรักภักดีสุดชีวิตจิตใจย่อมไม่ปล่อยไว้แน่นอน อย่างประมาทแม้รักชีวิต อย่าหลงผิดคิดว่าเมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ก็เป็นอันจบสิ้น ใครจะปฏิบัติต่อพระนามอย่างไรก็ทำได้ เหยียบย่ำดูหมิ่นดูแคลนหนักหนาสาหัสเพียงใดก็ทำได้ อย่างมากก็อาจมีมนุษย์วุ่นวายบางคนบางพวกเท่านั้นมาโวยวาย

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2013, 07:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2297

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่าประมาทเช่นนั้น เพราะภัยพิบัติจะมาถึงโดยผู้ปฏิบัติอย่างคนโฉดชั่วช้าปัญญาเบาล่วงล้ำก้ำเกินพระพุทธบารมี หาอาจรู้ตัวไม่ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นแก่ชีวิต จนถึงเป็นถึงตายถึงยับเยินหมดสิ้นทั้งชีวิตจิตใจชื่อเสียงเกียรติยศ ผู้หยาบช้าปัญญาไม่มีก็หาอาจเข้าใจไม่ว่า เป็นผลของกรรมที่ชั่วร้ายที่สุด ต่ำช้าที่สุด ที่ตนทำเองทั้งนั้น

นี้เป็นความจริง ที่ควรสำนึกไว้ให้ดีที่สุดทุกคนว่า การปฏิบัติล่วงล้ำก้ำเกินพระพุทธศาสนา คือ สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ผลกรรมร้ายแรงนัก และผู้ทำจักต้องได้รับแน่นอน ไม่มีพ้นได้ด้วยเหตุใดทั้งสิ้น

สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่ประเสริฐสูงสุดไว้ในโลก ไม่ทรงก่อทุกข์โทษภัยแก่ผู้ใดทั้งสิ้น ไม่ว่าผู้นั้นจะปฏิบัติชั่วช้าเลวทรามต่อพระองค์ท่าน คือต่อพระพุทธบารมี ต่อพระนามหนักหนารุนแรงเพียงใด แต่บรรดาผู้เทิดทูนรักษาไม่ว่าพรหมเทพมนุษย์วิญญาณ ไม่ทนรับรู้รับเห็นความชั่วช้าสามานย์ได้แน่นอน นี่แหละที่กล่าวว่าพระพุทธศาสนาให้ได้ทั้งคุณยิ่งใหญ่และให้ได้ทั้งโทษใหญ่ยิ่งด้วย

ผู้พิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนานั้นทำหน้าที่เต็มที่จริง ๆ เพียงแต่ว่ามนุษย์ไม่เคยนึกให้ถึงว่าความรุนแรงที่เกิดแก่ตนบ้าง เกิดแก่คนนั้น คนนี้บ้าง เกิดแก่ประเทศชาติบ้าง นั้นเกิดแต่กรรมไม่ดีใด เพราะผลทุกประการจะเกิดแต่เหตุผลไม่ดีที่แรงมากแรงน้อยต่าง ๆ นานา ต้องมีเหตุที่ได้กระทำแล้วจริงทั้งนั้น เกิดแก่ผู้ใดก็แสดงว่าผู้นั้นทำเหตุไว้ เกิดแก่ประเทศชาติใด ก็แสดงว่าผู้คนในประเทศชาตินั้น ที่จำนวนไม่น้อย ได้ทำเหตุไว้แน่นอน แต่ผู้ไม่มีญาณหยั่งรู้ย่อมไม่รู้ได้ว่าทำเหตุใดไว้ ผู้ใดหรือหมู่คณะใดเป็นผู้ทำไว้ เราทุกคนก็อาจจะเป็นหนึ่งที่ได้ร่วมกระทำเหตุไม่ดีไว้ ทำให้เกิดผลไม่ดีที่ปรากฏให้รู้เห็นทั่วไป

ในที่นี้จะพูดถึงที่เป็นผลกว้างขวางครอบคลุมไปในประเทศชาติ ตลอดถึงกระทั่งในโลกทีเดียว พวกเราที่รวมกันเป็นคนในโลก ในประเทศชาติ เมื่อมีความเดือดร้อนวุ่นวายปั่นป่วนเกิดขึ้นมากมายผิดปกติ ในโลกก็ตาม ในบ้านเมืองของเราก็ตาม น่าจะคิดให้ลึกสักหน่อยว่าต้องเป็นกรรมที่ไม่ใช่เล็กน้อย นั่นก็คือต้องไม่เป็นกรรมของคนหนึ่งคนใดเท่านั้น กรรมที่เกิดแก่ส่วนรวม คือเกิดแก่บ้านเมืองแก่ประเทศชาติ ตามเหตุผลแล้วต้องเป็นกรรมของส่วนรวม ของประเทศชาติ ซึ่งมีเราทุกคนรวมอยู่เป็นหนึ่งแน่นอน

ยอมรับว่าความร้อนของบ้านเมืองเรา ซึ่งต้องเกิดแต่กรรมไม่ดีงามแน่นอน เราต้องเป็นหนึ่งในผู้ก่อกรรมอันยังให้ความเดือนร้อนนั้นเกิด ถ้าทุกคน หรือมากคน ยอมคิดได้เช่นนี้ ยอมแก้ไขด้วยความพยายามทำกุศลกรรม คือทำดี ลดละการทำอกุศลกรรม คือทำไม่ดี ให้เต็มสติปัญญาความสามารถ ย่อมยังให้เกิดผลดีได้ มากคนคิดได้ มากคนทำดี มากคนลดละ เลี่ยงหลีกการทำความชั่ว การทำบาปอกุศล ย่อมยังให้เกิดผลดีได้มากเป็นธรรมดา แก่ประเทศชาติ ทำเหตุดีมาก ผลดีย่อมมาก แน่นอน

พระพุทธภาษิตบทหนึ่งกล่าวว่า “บัณฑิตย่อมไม่เพ่งโทษผู้อื่น” อัญเชิญพระพุทธภาษิตนี้มาช่วยประเทศชาติของเราเถิด ถึงเวลาแล้วอย่าปล่อยให้สายเกินไป รู้อยู่แก่ใจ ว่าบ้านเมืองกำลังวุ่น กำลังร้อน อย่าไปมัวเพ่งโทษคนนั้นคนนี้ ว่าไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ควรทำอย่างนั้น ควรทำอย่างนี้ โดยมิได้นึกถึงตนเองเลยว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ที่เป็นบุญเป็นกุศล ไม่เป็นบาปไม่เป็นอกุศล แล้วทำตามที่คิดในทันที การมัวไปเพ่งโทษคนอื่นว่าทำผิดอย่างนั้น ทำไม่ดีอย่างนี้ นอกจากไม่ให้คุณแก่ใครแล้ว ไม่ช่วยประเทศชาติให้ร่มเย็นเป็นสุขแล้ว ยังให้โทษแก่จิตใจตนเองด้วย ดังนั้นจึงทรงมีพระพุทธภาษิตเตือนไว้ว่า “บัณฑิตย่อมไม่เพ่งโทษผู้อื่น” เพราะไม่มีคุณ มีแต่โทษสถานเดียว

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2013, 07:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2297

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกคนน่าจะพยายามอยากเป็นบัณฑิตตามพระพุทธพจน์ พร้อมกับไม่ลืมนึกไปพร้อมกันด้วยว่า “บัณฑิตย่อมไม่เพ่งโทษผู้อื่น” และขณะนี้กำลังอ่านหนังสืออบรมจิตใจ เรียกว่า หนังสือธัมมะก็ไม่ผิด เมื่อกล่าวถึงบัณฑิตจึงเป็นบัณฑิตทางธรรมด้วย คือ เป็นคนดีมีปัญญา ไม่มีการศึกษาระดับปริญญาเอกโทตรีเลยก็เป็นบัณฑิตในพระพุทธศาสนาได้ แม้เป็นคนดีมีปัญญา แต่แม้มีปริญญาเอกโทตรี แต่ไม่มีความดีไม่มีปัญญา คือไม่ใช่คนดีมีปัญญา ก็ไม่ใช่บัณฑิตในธรรมในพระพุทธศาสนา

เมื่อนึกเช่นนี้ขึ้นมา ก็ทำให้นึกเลยไปจนได้ความคิดมาฝากให้เป็นประโยชน์แก่พวกเราทั้งหลาย นั่นก็คือเกิดความคิดเพ่งโทษผู้อื่นเมื่อใด ให้มีสติรับรู้ความจริง และบอกความจริงนั้นแก่ตนว่า ตนไม่ใช่บัณฑิต เพราะถ้าตนเป็นบัณฑิตก็คงไม่ไปเพ่งโทษคนนั้นคนนี้ ต้องเพ่งโทษตัวเองเท่านั้น ก็ขอฝากไว้ ให้พยายามมีสติระลึกรู้ความจริงนี้ไว้เสมอ ว่าตนเป็นบัณฑิตหรือไม่ใช่บัณฑิต อายตัวเองหรือไม่อาย เมื่อรู้แก่ใจว่าตนไม่ใช่คนดีมีปัญญา มีบุญได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา ยังไม่ปฏิบัติตามที่สมเด็จพระบรมครูทรงสอน

เมื่อ ๒๕๙๒ ปีมาแล้ว สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงพระปฐมเทศนา “พระธัมมจักกับปปวัตตนสูตร” ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน โปรดท่านปัญจวัคคีย์ โยคีทั้ง ๕ คือ ท่านโกณฑัญญะ ท่านภัททิยะ ท่านวัปปะ ท่านมหานามะ ท่านอัสสชิ เมื่อสดับพระธรรมเทศนาจบ ท่านโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม โดยสมเด็จพระบรมศาสดทรงประกาศให้ท่านโกณฑัญญะรู้พร้อมท่านปัญจวคีย์ทุกองค์ โดยรับสั่งว่า “อัญญาโกณฑัญญะ” คือ ท่านโกณฑัญญะได้รู้แล้ว

พระพุทธดำรัสในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่า “อัญญาโกณฑัญญะ” หรือ “ท่านโกณฑัญญะรู้แล้ว” คือ การทรงประกาศความเกิดพระอริยะองค์แรกในพระพุทธศาสนา ด้วยมีท่านผู้ได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นองค์แรกตามที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงแสดงโปรดในพระปฐมเทศนาอัมมจักกัปปวัตนสูตร เป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันว่าท่านอัญญาโกณฑัญญะเป็นพระโสดาบันบุคคล หรืออริยบุคคลที่รู้แจ้งแก่ใจว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา” ท่านโกณฑัญญะรู้จริงเห็นจริงในอริยธรรมที่ว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา”

ท่านโกณฑัญญะรู้จริงเห็นจริง ธรรมนั้นหรือความรู้นั้นเป็นของท่านจริงแล้ว ท่านมิเพียงได้รับฟังธรรมนั้นจากพระโอษฐ์สมเด็จพระบรมศาสดา แล้วจำไว้ขึ้นใจเท่านั้น อริยธรรมนั้นปรากฎชัดแจ้งในใจท่านเป็นความรู้แจ้งใจท่าน เราทั้งหลายที่ได้อ่านพบอริยธรรมนี้ จำได้พูดได้ เพียงเช่นนี้เราก็หาอาจเป็นอริยบุคคลได้ไม่ ใจสำคัญ จึงมีพระพุทธภาษิตว่า “ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ”

พระอริยสงฆ์ก็ตาม พระอริยบุคคลก็ตาม ท่านเป็นที่ใจ ใจที่เป็นจริง มิใช่คิดเองว่าเป็นพระพุทธธรรมสูงส่งบริสุทธิ์ ต้องเป็นจริงที่จิตใจกิเลสก็ต้องหมดจริงที่จิตใจ หมดระดับไหนก็จะเป็นอริยสงฆ์ หรือพระอริยบุคคล ในระดับนั้น “ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ” และใจนั้นหลอดใครอาจหลอดได้ แต่หลอกตัวเองไม่ได้ นอกเสียจากเป็นการหลงเข้าใจผิดจริง ๆ และนั่นก็เป็นการเข้าใจผิดจริงใจเป็นเครื่องรับรองพระพุทธภาษิตที่ว่า “ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ” เช่นนั้น ใจหลงผิด ก็ผิดตามอำนาจใจไปหมด จึงควรเห็นค่าของใจตนให้มากที่สุด ถนอมรักษาให้ดีที่สุด ให้เป็นใจที่มีความงดงามที่สุด

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2013, 07:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2297

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใจที่งดงามที่สุดคือใจที่ไกลกิเลสที่สุด ไกลทั้งความโลภ ไกลทั้งความโกรธ ไกลทั้งความหลง ไกลอย่างสิ้นเชิงเด็ดขาดจริง ไม่มีการย้อมกลับเข้าสู่จิตใจได้อีกทั้งโลภะโทสะโมหะ คือทั้งความโลภความโกรธความหลง เช่นนี้ที่ในพระพุทธศาสนาคือคุณธรรมความเป็นพระอรพันต์นั่นก็คือพระอรหันต์ท่านก็เป็นได้ด้วยใจที่งดงามที่สุดด้วยความบริสุทธิ์ ไม่มีความเศร้าหมองแม้เล็กน้อยเพียงใดด้วยความสกปรกของความโลภ ความโกรธ ความหลง คือ กิเลส กิเลสที่มีความหมายชัดเจนว่าเครื่องทำใจให้เศร้าหมอง

ผู้นับถือพระพุทธศาสนาเป็นอันมากชื่นชมยินดีในความเป็นพระอริยสงฆ์ของท่านองค์นั้นองค์นี้ เห็นได้จากความตื่นตันภาคภูมิยินดีเป็ฯล้นพ้นเมื่อได้พบได้รู้จักท่านผู้ใดที่เป็นที่เชื่อถือว่าเป็นพระอริยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ใช่เป็นมนุษย์เดินดินธรรมดาเช่นเดียวกับพวกเราจำนวนมาก แต่เพราะตนเองยังไม่รู้จักคุณลักษณะอันเลิศของจิตท่านผู้เป็นพระอรหันต์เลยแม้แต่น้อย รู้จักแต่เพียงจากได้ฟังที่พูดถึงกันเท่านั้น ก็ทำให้ไม่อาจรู้จักได้ถูกแท้ว่า พระอริยสงฆ์ ทั้งพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามีและพระอรหันต์ ความจริงเป็นอย่างไร

คือ มีจิตใจเป็นอย่างไร เพียงแต่คาดดาตามเสียงผู้อื่นที่อาจไม่รู้จริง เหมือนกับเรานั่นเอง จึงพึงพยายามทำใจให้ยอมคิดยอมเชื่อ ว่าใจของเราต่างหากที่เป็นพระอรหันต์เมื่อใด เมื่อนั้นเราจึงจะรู้ถูกรู้จริง ไม่ใช่ไปรู้ใจผู้อื่น ที่อาจไม่ถูก อาจผิดจากความจริงไกลลิบก็เป็นไปได้ และแทบทั้งนั้นที่ผิด การรู้ใจอื่นเป็นเรื่องยากที่สุด

ไทยเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน ยิ่งเมื่อสมัยโบราณ ความเจ้าบทเจ้ากลอนของไทยยิ่งปรากฏชัดมากมาย และก็ล้วนเป็นคติสอนใจที่สำคัญทั้งนั้น เช่นบทหนึ่งที่เด็ก ๆ ร้องกันลั่น ๆ เวลาโกรธที่ถูกเพื่อนรังแก คือ “อกตัญญูไม่รู้พระคุณเขา เทพเจ้าก็จะแช่งทุกแห่งหน” คือ ผู้ร้องลั่น ๆ มั่นใจว่าตนมีบุญคุณต่อเพื่อนที่รังแกตน ก็ได้ประโยชน์ที่ให้เด็กชินกับคำกตัญญูหรืออกตัญญู ให้รู้ว่าคนอกตัญญูเทวดาแช่ง ซึ่งเด็กสมัยก่อนกลัว สมัยนี้เป็นอีกอย่างหนึ่งไปแล้ว แต่ก็ยังมีอยู่บทหนึ่งที่เป็นความจริงที่สุด เป็นจริงทุกกาลทุกสมัย นั่นก็คือบทที่ว่า “จิตมนุษย์นี้ไซร้ ยากแท้หยั่งถึง” จิตท่านผู้เป็นพระอริยสงฆ์หรือพระอริยบุคคลมิได้ยกเว้น ยากแท้หยั่งถึงแน่นอน

เป็นมงคลแก่ชีวิตจิตอย่างยิ่ง ที่พากันศรัทธาชื่นชมโสมนัสในท่านผู้เป็นพระอริยสงฆ์หรือในพระอรหันต์เป็นส่วนมาก เพราะทั่ว ๆ ไปจะรู้จักพระอรหันต์มากกว่าพระอริยสงฆ์อื่น ๆ ก็เป็นความดีอย่างยิ่งที่พระอรหันต์ยังอยู่ในความรู้สึกเคารพศรัทธาของผู้นับถือพระพุทธศาสนา นับเป็นมงคลแก่ชีวิต เป็นมงคลที่จะปกปักรักษาให้ไกลอัปมงคลนานาประการได้ แม้สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระบรมครูของเราชาวพุทธทั้งที่เป็นพรหมเทพและมนุษย์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปนานนับถึง ๒๕๔๗ ปีแล้วก็จริง พระพุทธบารมียังดำรงอยู่จริงแน่นอน ไม่พึงสงสัยให้เป็นอัปมงคลแก่ชีวิต

เคยได้รู้เรื่องท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัต มหาเถระและที่เคยนำมารวมไว้ใน “แสงส่องใจ” หลายครั้งว่า สมเด็จพระบรมศาสดาเคยเสด็จลงทรงช่วยท่านพระอาจารย์มั่นในชณะกำลังเร่งปฏิบัติเพื่อถึงความพ้นทุกข์โดยเสด็จสมเด็จพระบรมครู เสด็จลงให้ท่านพระอาจารย์มั่นได้เฝ้าได้เห็นเช่นทรงดำรงพระชนมายุสังขารอยู่ ยังมิได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน ทั้งที่เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วเป็นพัน ๆ ปี

เสด็จลงมาปรากฏพระวรกายได้เป็นปกติ ทรงเปล่งพระสุรเสียงให้ท่านพระอาจารย์มั่นได้รับฟังธัมมะ ได้ปฏิบัติตามที่ทรงแสดงสอนและได้บรรลุถึงจุดสูงสุดในพระพุทธศาสนาที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตั้งพระพุทธปรารถนาไว้ก่อนจะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์

สมเด็จพระบรมศาสดาของเราเหนือความคิดความเข้าใจของคนจำนวนมาก ที่รู้จักพระพุทธศาสนาน้อยเกินไป ได้พยายามนำแสดงไว้หลายครั้งหลายหน ด้วยหวังให้รู้จักความยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาที่ไม่มีที่เปรียบเสมอทั้งในอดีตกาลนานไกล ตลอดถึงทั้งในปัจจุบัน เข้าใจพระพุทธศาสนา เข้าใจสมเด็จพระบรมศาสดา และเข้าใจพระอริยสงฆ์ทั้งหลายในพระพุทธศาสนา จะได้ไม่คิดพูดทำที่ล่วงล้ำก้ำเกิน หนักบ้างเบาบ้าง ที่เมื่อเป็นกรรมเลวร้ายแล้ว ก็ย่อมต้องให้ผลเป็นอัปมงคลนานาประการแก่ชีวิตผู้กระทำกรรมนั้น ๆ รวมทั้งผู้เกี่ยวข้อทั้งหลายแน่นอน บรรดาผู้เทิดทูนรักษาแวดล้อมแน่นหนาอยู่ ทั้งพรหมเทพมนุษย์วิญญาณ ไม่ยอมแน่

มีผู้เล่าให้ฟังด้วยความมั่นใจในอำนาจสิ่งลี้ลับที่ทำหน้าที่พิทักษ์รักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงศักดิ์ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกว่า ๑๐ ปี มาแล้ว รู้เห็นกันกว้างขวางพอสมควร เรื่องมีว่าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อพรหมเทพ ที่มุ่งหมายให้เป็นรูปเทพสำคัญองค์หนึ่ง คือ ท่านท้าววิรุฬหกมหาราช จตุโลกบาลทิศใต้ ซึ่งมีประเทศไทยรวมอยู่ในทิศใต้ของโลกด้วย จึงเชื่อกันว่าท่านท้าววิรุฬหกมหาราชมีหน้าที่ดูแลรักษาประเทศไทย หมายรวมถึงคนไทยด้วย วันหนึ่งมีผู้ถวายผ้าสีแดงสวยงามมากห่มอยู่ และต่อมาเพียงวันเดียวผ้าสีแดงนั้นก็หายไป โดยไม่มีผู้รู้ว่าหายไปไหนได้อย่างไร

มีสุภาพสตรีสองคนอยู่ในข่ายเพ่งเล็งว่าเป็นผู้ถอดผ้าสีแดงผืนนั้นออกจากองค์ท่านท้าวจตุโลกบาลวิรุฬหกมาหาราช แต่ทั้งสองปฏิเสธ ไม่รับรู้เรื่องนี้ ผู้หนึ่งไม่ตอบโต้แก้ตัว เพียงแต่ฟังเฉย ๆ ซึ่งก็เท่ากับไม่รับรู้ ส่วนอีกผู้หนึ่งเมื่อถูกถามก็ยืนกรานแต่เพียงว่า ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้ เวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน ผู้ที่ปฏิเสธด้วยการเงียบ ให้เข้าใจกันเองว่าตนไม่ได้เป็นผู้นำผ้าห่มไปจากรูปท่านท้าวจตุโลกบาล เธอผู้นั้นเกิดอาการน่าแปลขึ้น คือ มือข้างหนึ่งมีอาการเหยียดนิ้วทั้งห้าไม่ได้เช่นปกติ

หมอนวดหมอจับเส้นจับกระดูกที่ว่าเก่งมาก และรู้จักกันดีกับเธอได้ช่วยตามความสามารถ แต่หมอก็สารภาพตรง ๆ ว่าไม่เคยพบเช่นนี้มาก่อนทำอย่างไรก็ไม่ดีขึ้น ทั้งยังข้ามจากมือข้างหนึ่งที่กำลังรักษาอยู่ ไปเกิดขึ้นที่อีกข้าหนึ่งแล้ว กลายเป็นทั้งสองมือ นิ้วทั้งหมดหงิกงอหยิบจับอะไรไม่ได้ ต้องป้อนข้าวป้อนน้ำกัน โดยที่ไม่มีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยขนาดล้มหมอนนอนเสื่อ แต่มือก็ทำงานไม่ได้เลยไปถึงปากก็อ้ายาก ยืนก็ค่อนข้างลำบาก รวมไปถึงเดินก็ไม่สะดวก เพราะการทรงตัวไม่เป็นปกติเหมือนเคย

เมื่ออาการของคนหนึ่งเป็นเช่นนี้ อีกหนึ่งที่เป็นผู้ร่วมต้องสงสัยก็เอ่ยปากสารภาพ ว่าผู้ที่มือหงิกมืองอกินยากเดินยากยืนยาก เป็นผู้ที่ใช้ไม้สอยผ้าแดงห่มรูปหล่อท่านท้าววิรุฬหกมหาราช และโยนทิ้งลงไปในอ่างเก็บน้ำบริเวณใกล้เคียง ตนเองไม่ได้ร่วมมือด้วย เพียงแต่ดูอยู่เท่านั้น และเป็นที่ควรอัศจรรย์อย่างยิ่ง เมื่อได้สารภาพทั้งที่ก่อนหน้านั้นปฏิเสธยืนกรานแต่ว่าฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้ จนไม่มีผู้ใดรู้ความจริงว่าผ้าห่มรูปหล่อเทวดานั้นหายไปไหน ครั้นเห็นเพื่อนมือหงิกมืองอ ปากเบี้ยวรับอาหารได้ค่อนข้างยาก คงจะตกใจมากคงจะแน่ใจว่าผู้ที่ดึงผ้าห่มท่านท้าววิรุฬหกมหาราชกำลังรับกรรมที่ได้ทำไว้แล้ว มือเป็นส่วนที่ใช้สอยผ้าห่มเทวรูป ผลกรรมจึงปรากฏที่มือให้เห็นชัดเจน

เพื่อนหญิงที่เห็นเหตุการณ์ตลอดเวลา แต่ช่วยปกป้องให้พ้นผิด โดยกล่าวว่าฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้ จนกระทั่งเมื่อตกใจเห็นชัดในผลแห่งการกระทำของเพื่อน จึงรับสารภาพว่าเพื่อนหญิงคนนั้นเป็นผู้ล่วงล้ำก้ำเกินเทวรูปท่านท้าวจตุโลกบาล แต่ก็สายเกินไป เพราะพร่ำพูดได้ประโยคนี้เท่านี้ เหมือนจะพูดอะไรอื่นไม่ได้หลังจากค่อนข้างทุกข์ทรมานหนักหนาขึ้นเป็นลำดับทั้งสองคน กว่า ๑๐ ปีจึงละโลกนี้ไป

ในลักษณะที่ทำให้ผู้รู้เรื่องโดยตลอดหวั่นกลัวกรรมที่ทำไปโดยไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวที่สุด เพียงรูปหล่อเทวะที่ดูเหมือนเป็นเพียงอิฐเพียงหินธรรมดาไม่ใหญ่โตมโหฬาร ผลร้ายของการก้ำเกินปราศจากสัมมาคารวะยังร้ายแรงเพียงนี้ และแน่นอนบรรดาผู้ห้อมล้อมรักษาเป็นฝ่ายปฏิบัติตามหน้าที่เท่านั้น

เหมือนทหารรักษาเจ้านายของเขาย่อมทำหน้าที่เต็มความสามารถเพื่อรักษาเจ้านาย สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยิ่งใหญ่เหนือพรหมเทพทั้งหลายมากมาย การล่วงล้ำก้ำเกินพระองค์ท่าน แม้เพียงด้วยวาจา ก็ยากจะรอดพ้นการรู้เห็นของบรรดาเหล่าผู้แวดล้อมรักษาอยู่ จึงยากจะรอดพ้นจากการถูกลงโทษทัณฑ์ เพียงแต่ว่าจะถึงตัวแล้วถึงชีวิตผู้บังอาจล่วงเกินพระผู้ไม่ควรแก่การถูกล่วงเกินเมื่อไรเท่านั้น ไม่พึงประมาทอย่างยิ่ง

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2013, 07:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2297

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะนี้กึ่งพุทธกาลมาแล้วหลายสิบปีใกล้สิ้นพุทธกาลเข้าไปเป็นลำดับ คือ พุทธกาลนั้นท่านกำหนดแสดงไว้ว่าเป็นเวลาห้าพันปี อันคำว่าพุทธกาลหมายถึงเป็นกาลหรือเป็นยุคสมัยของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จะทรงเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ ๕,๐๐๐ ปี แล้วก็จะสิ้นพุทธกาล ว่างพระพุทธศาสนาต่อไป จนกว่าพระพุทธเจ้าอีกพระองค์จะเสด็จมาทรงอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป ก็จะเข้าสู่พุทธกาลใหม่ ที่รู้กันว่าจะถึงสมัยพระศรีอริยเมตไตรย ที่ว่าจะเป็นยุคที่รุ่งเรืองร่มเย็นเป็นสุข จนต่างพากันพูดถึงยุคพระศรีอาริย์ อยากให้มาถึงเร็ว ๆ ให้ทันชีวิตของตนเอง

ซึ่งข้อนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แน่นอนแล้ว อีกเป็นพัน ๆ ปี จึงจะถึงสมัยพระศรีอริยเมตไตรย จึงควรจะไม่หวังรอความรุ่งเรืองร่มเย็นเป็นสุขในสมัยพระศรีอริยเมตไตรย แต่ควรมุ่งมั่นทำปัจจุบันนี้ให้คลายทุกข์ คลายร้อน คลายความมืดมนเศร้าหมอง อย่าให้มากขึ้น มากขึ้นทุกที เช่นที่เป็นอยู่ตลอดมานานเดือนนานปีนักแล้ว ควรมุ่งมั่นแก้ไขความเร่าร้อนมืดมนทุกวันนี้ให้บรรเทาเบาบาง จนถึงหมดสิ้นไปให้ได้ จะถูกต้องกว่ารอยุคพระศรีอาริย์ท่าน ซึ่งไม่มาถึงในชีวิตนี้ของเราทุกคนแน่

เมื่อวันอาสาฬหบูชา ๒๕๙๒ ปี มาแล้ว ท่านอัญญาโกณทัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม ในการได้สดับพระปฐมเทศนาพระธัมมจักกัปปวัตนสูตร ได้รู้ว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนี้ทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา” และสมเด็จพระบรมศาสดาทรงประกาศรับรองว่า “อัญญาโกณฑัญญะ” คือ ท่านโกณฑัญญะได้รู้แล้ว ธรรมสำคัญนี้ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงยกขึ้นแสดงในพระปฐมเทศนา เป็นธรรมสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ได้ยินได้ฟังแล้วน้อมนำไปใส่ใจตน ได้มีเสียงทิพย์ปลอบโยน ให้สติให้ปัญญา อยู่ทุกเวลานาทีก็ได้ แม้ทุกเวลานาทีนั้นจะเปิดใจรับพระสุรเสียงในสมเด็จพระบรมศาสดาเป็นเสียงทิพย์ที่ให้สติว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับเป็นธรรมดา”

พบอะไรก็ตามอย่าหลงติด ได้รับอะไรก็ตามอย่างหลงติด พบความทุกข์ก็อย่าหลงติด โดยหลงคิดว่าจะต้องพบความทุกข์นั้นตลอดไป พบความสุขก็อย่าหลงติดโดยหลงคิดว่าจะต้องพบความสุขนั้นตลอดไป อย่าเดือนร้อนวุ่นวายทุกข์นักหนากับความคิดว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้วจะเป็นความทุกข์ต่อไปไม่จบสิ้น เป็นความคิดที่ให้ความทุกข์ทรมานใจหนักหนาเกินกว่าจำเป็น นี้แหละที่เรียกว่าทุกข์เพราะความคิดที่ผิด

ความคิดจะไม่ให้ความทุกข์ทรมานใจหนักหนาเกินกว่าจำเป็น แก่ผู้ที่ทุกขณะจิตได้ยินพระสุรเสียงในสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสเตือน “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับเป็นธรรมดา” ทุกข์แล้วทุกข์ก็จะดับ ไม่ใช่ทุกข์แล้วก็จะทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ ตลอดไป ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น และเช่นเดียวกัน สุขแล้วสุขก็จะดับ ไม่ใช่สุขแล้วก็จะสุข สุข สุข ตลอดไป ไม่รู้จบไม่รู้สิ้น

เมื่อวันอาสาฬหบูชาปีแรกในพระพุทธศาสนา ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงโปรดประทานธัมมะเตือนใจสัตว์โลกให้สามารถปัดความทุกข์ให้พ้นจากความรู้สึกนึกคิดได้ ด้วยพระสุรเสียงที่ว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา” พระพุทธภาษิตนี้สามารถพิสูจน์จิตใจของพวกราผู้นับถือพระพุทธศาสนาทุกคนได้ว่ามีความรักความศรัทธาเชื่อถือในสมเด็จพระบรมครูของเราเพียงใดหรือไม่ เพราะย่อมเป็นที่รู้กันดีทุกคนทีเดียว ว่าควรรักจะนำให้เกิดความเชื่อฟัง พูดอย่างไร บอกอย่างไร แม้มีความรักในผู้นั้นเสียอย่างเดียว จะเชื่อหมด จะเห็นดีด้วยหมด โดยไม่คิดให้เห็นเหตุผลความถูกผิดจริงเท็จเลย

คนที่รักที่ชอบพูด คนที่รักที่ชอบบอก เชื่อสนิทใจได้ทุกเรื่อง แม้จะจริงไม่จริงก็จะเชื่อ อำนาจของความรักเป็นเช่นนี้จริงและคนทั่วไป หรือคนส่วนมากนั่นเองจะตกอยู่ใต้อำนาจของความรัก จะเชื่อผู้เป็นที่รักโดยไม่หยุดคิดแม้สักนิด ว่าความเชื่อนั้นจะนำไปสู่ทุกข์โทษภัยที่หนักนักหนาเพียงใดหรือไม่ ทั้งแก่ผู้อื่น ทั้งแก่ตนเอง และแม้ก่อให้เกิดการแตกความสามัคคี ก็จะเป็นโทษแก่ประเทศชาติได้ด้วย เช่นนี้แล้วแม้มารักสมเด็จพระบรมศาสดาให้พร้อมเพรียงกัน ให้จริงใจจริงจังกันบ้าง จะไม่เกิดผลดียิ่งใหญ่มหาศาลก็เป็นไปไม่ได้

เพราะสมเด็จพระบรมศาสดาของเรานั้นไม่รับสั่งที่เป็นทุกข์โทษภัยแก่ผู้ได้รับฟังแม้แต่น้อย รับสั่งแต่ที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่ไม่มีเปรียบได้ ผู้ใดเชื่อ โดยมีความรักในพระพุทธองค์เป็นเครื่องชักจูงที่สำคัญที่สุด ผู้นั้นย่อมได้รับผลอันเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตจิตใจพ้นพรรณนาแน่นอน แม้ปฏิเสธความจริงนี้ก็เท่ากับปฏิเสธที่จะโอบอุ้มสิริมงคลยิ่งใหญ่ไว้แนบชีวิตจิตใจ ให้เป็นเกราะกันภัยเป็นเครื่องปกป้องคุ้มครองให้ร่มเย็นเป็นสุขสวัสดีได้จริงแท้แน่นอน เสมอไป

อำนาจความรักอย่างใหญ่ยิ่งจริงใจใสสะอาดเคยปรากฏผลงดงามแล้วแก่จิตใจ ที่เคยได้ฟังเล่าจากผู้ประสบผลงดงาม อย่าง ชื่นใจสุด คือ ญาติโยมผู้หนึ่งเคยได้ยินกิตติศัพท์มหัศจรรย์ของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ ที่เล่าขานกันว่านายทหารอากาศเคยเห็นท่านลอยอยู่บนฟ้า ขณะที่ขับเครื่องบินผ่านวัดดอยแม่ปั๋ง ญาติโยมผู้นั้นตื่นเต้น อยากที่จะได้ไปกราบนมัสการท่านที่สุด เช่นเดียวกับผู้ที่ชอบอิทธิฤทธิ์ทั้งหลาย

วันหนึ่งก็ได้ไปกราบหลวงปู่ท่านสมปรารถนา ช่วงนั้นท่านยังไม่ชรานัก ยังเดินเหินพูดจาปราศรัยได้สะดวกดีมาก ญาติโยมผู้นั้นกลับมาเล่าอย่างชื่นอกชื่นใจ ว่าหลวงปู่ท่านน่ารักที่สุด ยิ้มก็น่ารัก เสียงก็น่ารัก โดยเฉพาะนัยน์ตาในแว่นสีเหลี่ยมขาวใสของท่านทำให้ญาติโยมผู้นั้นเล่าว่ากลับมาได้ ๕-๖ วันก็ต้องเดินทางไปดอยแม่ปั๋งกันอีก ทั้งที่สมัยนั้นการเดินทางเข้าไปให้ถึงวัดดอกแม่ปั๋งไม่ได้สะดวกสบายเช่นทุกวันนี้ ต้องแล่นรถเลียบเหวไปอย่างที่ทำให้ผู้หญิงทั้งหลายตัวเกร็งไปตามกันด้วยความอดเสียไส้ไม่ได้

แต่ก็เทียวไปเทียวมานับไม่ถ้วนในช่วงนั้น มีเหตุผลอย่างเดียวคือคิดถึงนัยน์ตาหลวงปู่ท่าน คิดถึงเสียงที่น่ารักชอบกลของท่าน รักท่านจนไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยที่ต้องเดินทางที่นับว่าไกลมากบ่อย ๆ แรก ๆ ก็เล่าเช่นนี้ ต่อมาเล่าถึงจุดสำคัญที่สุดในการไปกราบหลวงปู่ท่านครั้งแรก

นำมาเล่าไว้ใน “แสงส่องใจ” เล่มนี้ เพื่อประกอบเหตุผลที่กล่าวไว้ว่าความรักมีอิทธิพลมาก รักใครชอบใคร โดยเฉพาะยิ่งเป็นพิเศษจะยิ่งเชื่อไปเสียทุกอย่างที่ใครคนนั้นพูด ใครคนนั้นบอก หรือแม้กระทั่งใครคนนั้นยุ ความรักความชอบมีอิทธิพลทั้งทางที่ดีและทางไม่ดี ถ้าเป็นทางดีก็แสดงว่าผู้เป็นที่รักเป็นคนดี หลวงปู่แหวนนั้นเป็นที่กล่าวถึงกันแทบทุกคนที่ได้ไปกราบ หรือแทบทุกคนก็พากันกล่าวถึงท่านอย่างมั่นใจว่า ท่านเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งแน่

ญาติโยมคนหนึ่งที่ไปกราบท่านนับครั้งนับหกไม่ถ้วน ด้วยเหตุผลที่เจ้าตัวเล่าว่า คิดถึงนัยน์ตาหลังแว่นกระจกขาวใสสี่เหลี่ยมของท่าน เรียกภาษาพูดทั่วไปก็คือรักหลวงปู่ท่านมากเสียแล้ว เพราะหลวงปู่ท่านเป็นคนดี เป็นพระดี ดีจริง ๆ ด้วย ดีด้วยธัมมะจนดังกล่าวแล้ว ว่าผู้ที่รู้จักท่าน หรือเพียงได้ยินชื่อเสียงท่านก็มั่นใจจริงจัง ว่าท่านเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งแน่ ความรักท่านจึงมีผลดีงามสถานเดียว บรรดาผู้มีท่านเป็นที่รักมากมายทั้งหลายจึงปลอดภัย ทั้งยังจะได้รับความดีงามยิ่งด้วยคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่จากท่านได้อีกด้วย

คนดีให้ได้แต่ความดี ความมีคุณมีประโยชน์ ตรงกันข้ามกับคนไม่ดีแน่นอน ใครทั้งหลายที่มีบุญได้พบหลวงปู่แหวนท่าน ได้ฟังธัมมะจากท่าน คงจะไม่ปล่อยให้ธัมมะนั้นหายเงียบไปเฉย ๆ คงจะได้ประโยชน์เป็นคุณแก่จิตใจไม่มากก็น้อย แต่สำหรับญาติโยมที่นำมากล่างถึง ความเมตตาที่หลวงปู่ท่านให้นั่นใหญ่ยิ่งที่สุด เป็นธรรมสูงที่สุดเป็นคุณเป็นประโยชน์สูงสุด ครั้งแรกที่ได้กราบหลวงปู่ท่าน ประโยคแรกที่ท่านพูด้วยก็คือ“อตีตาธัมเมา อนาคตาก็ธัมเมา ปัจจุบันเท่านั้นธัมโม เอาละ พอ”

คำว่า “พอ” ของท่านทำให้ท่านพูดเรื่องอื่นต่อไป โดยไม่เกี่ยวข้องกับธัมมะเลยในครั้งนั้น รวมทั้งทุกครั้งต่อมาที่ไปกราบท่าน ผู้ที่ท่านเจาะจงให้ธัมมะสำคัญ “อตีตาธัมเมา อนาคตาก็ธัมเมา ปัจจุบันเท่านั้นธัมโม เอาละ พอ” ยังเล่าให้ผู้ที่ควรได้รับรู้ ว่าเสียงของหลวงปู่มีอิทธิพลเหนือชีวิตจิตใจมากจริง ๆ เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่จิตใจสูงสุดจริง ๆ เพราะทุกครั้งเมื่อจะคิดไปถึงอดีตที่มีทั้งทุกข์มีทั้งสุข เสียงที่น่ารักที่สุดของหลวงปู่ นัยน์ตาที่น่ารักที่สุดของหลวงปู่ ก็จะปรากฏขึ้นในใจ หยุดความคิดถึงอดีตได้อย่างเฉียบขาด ตามมาด้วยความรู้สึกที่บอกตัวเองว่า “หลวงปู่ท่านห้าม ต้องเชื่อท่าน”

จิตใจที่สงบสบายของญาติโยมผู้นั้น เจ้าตัวเล่าว่าส่วนหนึ่งเกิดแต่คำของหลวงปู่จริง ๆ ได้ผลชะงัดจริง ๆ อดีตไม่ใช่ธัมมะ อนาคตก็ไม่ใช่ธัมมะ ปัจจุบันเท่านั้นธัมมะ หรือ “อตีตาธัมเมา อนาคตาก็ธัมเมา ปัจจุบันเท่านั้นธัมโม” ผู้ที่รักหลวงปู่ท่าน และไม่เคยได้รับธัมมะนี้จากท่าน ก็ขอฝากไว้ เพื่อให้ได้มีโอกาสดี ได้มีจิตที่สงบสบายไม่วุ่นวาย ที่เป็นยอดปรารถนาของทุกคนแน่นอน

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2013, 06:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2297

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำทรงสอนในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นมีความลุ่มลึกพ้นจะกล่าวให้ถูกต้องได้ง่าย ๆ มีความประณีตและลึกซึ้ง ดังนั้นจึงไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใดได้ยินแล้วได้อ่านแล้ว จะสามารถเข้าใจได้ถูกต้องถ่องแท้เสมอไป จะเข้าใจพระธรรมคำทรงสอนแห่งองค์สมเด็จพระบรมครูได้ถูกต้อง ต้องรอบคอบในการคิดในการตีความ คนไม่ใช้ความรอบคอบในการคิดพิจารณาทุกข้อคำที่ทรงสอนไว้อย่างละเอียดประณีตลึกซึ้ง ย่อมยากจะได้ความรู้ถูกที่ล้ำลึกและงดงาม

เพราะแต่ละข้อคำที่ทรงสอน ผู้ไม่รอบคอบละเอียดเฉียงแหลมในการคิดการอ่านพระธรรมคำทรงสอน ย่อมยากจะเข้าใจในคำทรงสอนหลายอย่างหลายประการ ตัวอย่างที่หลวงปู่แหวนท่านสอนญาติโยมคนหนึ่งนั้น คือ “อตีตาธัมเมา อนาคตาก็ธัมเมา ปัจจุบันเท่านั้นธัมโม” ผู้ศึกษาพระพุทธศาสนา และปฏิบัติพระพุทธศาสนา ย่อมไม่ถือเอาคำสอนจากปากหลวงปู่แหวนอย่างผิด ๆ คือ อย่างไม่สนใจถึงอดีตเลย อดีตที่ท่านมุ่งให้เห็นว่าไม่ใช่ธัมมะ คือ อดีตที่เมื่อคิดแล้วให้ความวุ่นวายความสกปรกเศร้าหมองแก่จิตใจ แต่แน่นอนเมื่อทรงสอนเช่นนี้ สมเด็จพระบรมครูมิได้ทรงมุ่งให้เห็นคุณงามความดีที่เคยได้รับมาแต่อดีต จากคนนั้นบ้าง จากคนนี้บ้างว่า ไม่ใช่ธัมมะ เป็นธัมเมาที่ไม่พึงย้อนไปฝังใจจำและระลึกถึงอยู่

การไม่จดจำรำลึกถึงคุณความดี หรือที่เรียกว่าบุญคุณ ที่ท่านทำแล้วแก่ตนจะเป็ฯการก่อให้เกิดธรรมสำคัญของการเป็นคนดีได้อย่างไร เพราะจะไม่มีกตัญญูกตเวที ไม่มีการรู้คุณที่ท่านทำแล้วแก่ตน และย่อมไม่ได้ตอบแทนคุณท่าน อันคุณธรรมสำคัญทั้งสองนี้ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงกล่าวว่า เป็นเครื่องหมายของคนดี ที่หาได้ยาก

เพราะฉะนั้นอดีตที่ได้รับพระคุณน้ำใจจากใครก็ตามไม่ใช่อดีตที่เป็นธัมเมา นอกจากว่าจะนึกถึงแล้วปฏิเสธว่าเป็นบุญคุณและน้ำใจที่ตนได้รับจากผู้นั้นบ้างผู้นี้บ้างเท่านั้น การไม่คิดถึงพระคุณที่ได้รับแล้วจากท่าน เป็นคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง การไม่คิดถึงพระคุณท่านนั่นเองที่เป็นความไม่ถูกต้องไม่เป็นบัณฑิต และไม่เป็นที่สรรเสริญของบัณฑิต

บัณฑิตในพระพุทธศาสนา คือ คนดีมีปัญญาและความมีกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี ก็คือเป็นเครื่องหมายของบัณฑิตนั่นเอง บัณฑิตที่เป็นที่ศรัทธาเคารพของผู้นับถือพระพุทธศาสนาด้วยจิตใจจริง ผู้เป็นพุทธศาสนิกโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ พุทธมามกะผู้มีพระพุทธศาสนาเป็นที่รัก ท่านเหล่านี้เทิดทูนศรัทธาบัณฑิต คือ พระอริยสงฆ์ มีอระพรหันต์ เป็นสำคัญเพราะพระอริยสงฆ์อื่นมักจะไม่คุ้นใจคุ้นปาก

แม้ของท่านผู้เป็นพุทธมามกะ ผู้มีพระพุทธศาสนาเป็นที่รักทั้งหลาย นับเป็นความดีงามของจิตใจท่านผู้เป็นพุทธมามกะ แต่จะดีงามยิ่งขึ้น แม้จะอาศัยความเป็นพุทธมามกะ ผู้มีพระพุทธศาสนาเป็นที่รัก รวมไปถึงมีความรักในท่านผู้เป็นพระอริยสงฆ์ อาศัยความเทิดทูนศรัทธาที่ถูกต้องดีงามเป็นทางดำเนินตามพระพุทธบาท

เช่นเดียวกับท่านผู้เป็นอริยสงฆ์ทั้งหลาย ให้ได้ไปถึงจุดหมายปลายทางที่บรรดาพระอริยสงฆ์ครูบาอาจารย์ได้ดำเนินไปถึงแล้ว เป็นเหตุให้เกิดศรัทธาเทิดทูนท่านเป็นอย่างยิ่งแล้ว พยายามให้เต็มสติปัญญาความสามารถ ให้สามารถบรรลุถึงจุดงดงามที่สุด คือ ได้มีธรรมตามรอยพระพุทธบาท หรือตามรอยเท้าของท่านผู้เป็นที่รักทั้งหลาย

ให้ความรักในท่านผู้สูงส่งทรงธรรมแท้จริง ที่ควรแก่ความรักความเทิดทูนจริง เป็นเครื่องนำทางเราไปถึงจุดที่ท่านได้ท่านถึง ตามเสด็จพระพุทธองค์อยู่แล้ว ความมุ่งมั่นเช่นนี้มิใช่เป็นความทะเยอทะยานตีตนเสมอท่าน มิใช่เป็นการให้วัดรอยเท้าผู้บรรลุมรรคผลเป็นครูอาจารย์ ซึ่งการมุ่งเช่นนั้น ด้วยความรู้สึกชิงดีชิงเด่นเช่นนั้นมิใช่เป็นการมุ่งธรรม

การมุ่งธรรม คือ มุ่งปฏิบัติเต็มสติปัญญาความสามารถ ให้เป็นไปตามที่ท่านปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่งดงามให้รู้ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ทั่วกัน คยวามรักในท่านผู้ดีงามจริงจักนำให้ความเชื่อถือปฏิบัติตามคำของท่านไม่เป็นทุกข์โทษภัย ไม่เหมือนความรักในผู้ไม่ดีงามจริง ที่ความหลงเชื่อไปตามอำนาจความหลงรัก อาจก่อให้เกิดทุกข์โทษภัยได้

ฉะนั้นจงรอบคอบในเรื่องนี้ จะได้ไม่เป็นผู้ก่อบาปกรรม ไม่มีส่วนแห่งความเดือนร้อนวุ่นวายของโลก ของประเทศชาติ ของบ้านเรือนตลอดถึงของตัวเอง ของครอบครัวตน ด้วยให้ความรักเป็นเหตุนำให้เชื่อถือโดยไม่พิจารณาให้รอบคอบ

ที่จริงแล้ว สมเด็จพระบรมศาสดามิได้เพียงทรงมุ่งให้ผู้สืบพระพุทธศาสนาเป็นถึงพระอริยสงฆ์ เป็นถึงพระอรหันต์ แม้พิจารณาด้วยเหตุผลจะเห็นว่าสมเด็จพระบรมศาสดาทรงมุ่งให้พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่รักษาศีล รักษาพระธรรมวินัยถูกต้องสะอาดหมดจดจริง ไม่เศร้าหมองด่างพร้อย เท่านั้นที่จะทรงให้เป็นผู้สืบพระพุทธศาสนาได้ เข้าใจเช่นนี้ไปตามที่ปรากฏชัดอยู่ว่า มิได้ทรงยกการปฏิบัติเพื่อเป็นพระอริยสงฆ์มาเป็นหลักสำคัญในพระพุทธศาสนา มิได้ทรงมุ่งให้พระพุทธศาสนามีพระอริยสงฆ์ทั้งหมด แต่ทรงมุ่งให้มีพระสงฆ์ปฏิบัติอยู่ในพระธรรมวินัยเป็นสำคัญ

นั่นก็น่าจะเป็นเพราะการปฏิบัติตามพระธรรมวินัยให้จริง แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้เช้ามาครองผ้ากาสาวพัสตร์ทั้งหมด แต่แม้มุ่งมั่นรักษาพระธรรมวินัยจริงย่อมทำได้ คือ ย่อมเป็นพระมีศีลมีพระธรรมวินัยได้ ทุกองค์ก็ได้ แม้ไม่เห็นว่าการฝ่าฝืนพระธรรมวินัยเป็นอกุศลกรรมที่จะนำไปสู่ภพภูมิที่น่ากลัวที่สุด คือ นรกอเวจี หรืออบายก็เช่นกัน

ไม่ผิดเลยที่จะยอมรับว่า การปฏิบัติเพื่อได้เป็นพระอริยสงฆ์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้บวชเรียนเป็นพระเป็นสงฆ์ก็เข้าใจเรื่องนี้ตีด้วยกัน จึงน่าจะไม่มีที่มุ่งมั่นเป็นอริยสงฆ์สักเท่าไร ที่ไม่ใช่ความไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ความผิด แต่จะเป็นความผิดแน่แม้เมื่อเข้ามาบวชเรียน ครองผ้ากาสาวพัสตร์อันสูงส่งศักดิ์สิทธิ์ของสมเด็จพระบรมศาสดาแล้วไม่เห็นความสำคัญของการเป็นพระดีพระแท้ ที่มีศีลมีพระธรรมวินัยสะอาดครบถ้วน จุดหมายปลายทางของผู้ไม่เห็นความสำคัญของการเป็นพระดีพระแท้ คือ พระผู้มีศีลครบมีพระธรรมวินัยครบ นั้นคือนรกแน่นอน ไม่แน่ว่าที่มีคำบอกเล่ากันมากมายนั้นจริงไม่จริงเพียงไหน ที่ว่าปากนรกมีผ้าเหลือกองสุมมากมาย จริงหรือไม่จริงไม่สำคัญ สำคัญที่ควรปลอดภัยไว้ก่อน อย่าประมาท

พระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนาที่มีศีลมีพระธรรมวินัย ตามที่ทรงบัญญัติไว้ จึงจะเป็นพระจริงพระแท้เณรจริงเณรแท้ จะเป็นผู้สืบพระพุทธศาสนาแทนพระพุทธองค์

ดังที่ทรงมีพระพุทธดำรัสไว้ ว่าเมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระพุทธศาสนาจะมีพระธรรมและพระวินัยแทนพระองค์ ก็คือผ่านทางพระดีพระแท้เณรแท้เป็นสำคัญ โดยมิได้ทรงกำหนดว่าต้องเป็นพระเป็นเณรที่ไกลกิเลสสิ้นเชิง สำคัญที่ต้องพร้อมด้วยศีลด้วยพระธรรมวินัยจริง

กลัวความเกิดเถิด อย่ากลัวความตายเลย เพียงหายใจออกแล้วไม่หายใจเข้า ก็ตายได้สบายง่าย ๆ แล้ว แต่สิ้นลมแล้วไปปรากฏขึ้นที่ไหนในสภาพอย่างไร นั่นสิควรกลัว ควรกลัวสุด เพราะเมื่อถึงเวลานั้นจะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ที่ว่าเลือกเกิดไม่ได้ก็มิใช่หมายความถึงชาติหน้าเลือกเกิดใหม่ไม่ได้ ที่เกิดแล้ว จริงที่ว่าเลือกเกิดไม่ได้ ก็เกิดแล้วจะไปเลือกอะไรได้อีกเหมือนกินยาพิษเข้าไปตายแล้ว จะไปเลือกกินน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร แต่ชาติหน้าเลือกได้ทุกคนว่า ต้องการเกิดเป็นอะไร เกิดที่ไหน สวยงาม มั่งมี สูงส่ง หรือน่าเกลียดน่าชัง ลำบากยากจน ต่ำต้อยด้วยชาติตระกูล ฯลฯ เหล่านี้เลือกได้สำหรับการเกิดชาติต่อไป จงตั้งใจเลือกให้ดี ให้ได้เป็นไปดังปรารถนาให้ได้เถิด

วันอาสาฬหบูชามาถึงอีกครั้งหนึ่งแล้ว พึงถือเป็นวันมหามงคลของชีวิตอีกวันหนึ่งตั้งใจทำให้ดี เลือกชีวิตข้างหน้าให้ดี หัวใจพระพุทธศาสนา ๓ ประการจะช่วยได้ ขอให้ทำจริง การไม่ทำบาปอกุศลทั้งปวง การทำบุญกุศลให้ถึงพร้อม และการทำใจให้ผ่องใสไกลกิเลสโลภโกรธหลงให้ทุกเวลา อย่าให้ความคิดปรุงแต่งเป็นมือมารดึงเอากิเลสเครื่องเศร้าหมองเข้าสู่จิตใจ แล้วการเลือกการเกิดก็จะสำเร็จงดงามสมปรารถนา

ผู้ครองผ้ากาสาวพัสตร์เป็นพระเป็นเณร แม้ปฏิบัติไม่ถึงเป็นพระอริยสงฆ์ ก็ไม่ตกนรกแต่แม้ครองผ้ากาสาวพัสตร์แล้วปฏิบัติไม่เป็นพระไม่เป็นเณร ไม่มีศีลไม่มีพระธรรมวินัย ก็ตกนรก น่าใส่ใจระลึกถึงความจริงที่สำคัญนี้

ปฏิบัติไม่ถึงพระอริยสงฆ์ไม่ตกนรก ปฏิบัติเป็นพระเป็นเณรที่ไม่มีศีลไม่มีพระธรรมวินัยตกนรก

ขออำนวยพร
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
๓๑ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๕๔๗


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร