วันเวลาปัจจุบัน 23 มิ.ย. 2025, 17:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2012, 17:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 มี.ค. 2012, 14:29
โพสต์: 102


 ข้อมูลส่วนตัว


โลภมากลาภหาย ตายไปต้องเกิดเป็นเปรตเฝ้าสวนมะม่วง

รูปภาพ

ทรัพย์สินเงินทองแม้จะเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตให้มีความสุข แต่ก็มีโทษมหันต์ เพราะเป็นเหตุให้เกิดกิเลส คือ ความโลภ และมิใช่โลภแต่ในทรัพย์คนอื่นเท่านั้นที่มีโทษ แม้แต่โลภหรือหวงแหนในทรัพย์ของตนก็เกิดโทษเช่นกัน ดังเรื่องของเปรตที่ปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาว่า

มีเศรษฐีผู้หนึ่งภายหลังหมดเนื้อหมดตัวกลายเป็นคนยากจน และภรรยาก็มาตายไปอีก เหลือเพียงลูกสาวคนเดียว จึงไปขออาศัยอยู่กับเพื่อนบ้าน ต่อมาได้หยิบยืมเงินจากเพื่อนมา ๑๐๐ กหาปณะเพื่อมาลงทุนค้าขาย เมื่อขายสินค้าหมดแล้วได้เงินมาทั้งหมด ๕๐๐ กหาปณะ จึงเดินทางกลับ ระหว่างทางมีโจรป่าดักปล้นทรัพย์ พวกพ่อค้าจึงแตกกระจายไปคนละทิศละทาง ส่วนตัวเขาด้วยความที่หวงแหนในทรัพย์สมบัติจึงนำไปฝังไว้ที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ในสวนมะม่วง แล้วไปหลบซ่อนอยู่ที่ใกล้ต้นไม้ใหญ่และถูกพวกโจรป่าฆ่าตายกลายเป็นเปรตเฝ้าสมบัติอยู่ที่ใต้ต้นไม้นั้นเอง ภายหลังลูกสาวของเขาทราบข่าวจากพวกพ่อค้าที่กลับมาบอก จึงถวายข้าวต้มยาคูและมะม่วงสุกแก่พระพุทธเจ้า แล้วอุทิศผลบุญให้แก่บิดาที่ได้ล่วงลับไป ด้วยอานิสงส์ผลบุญนั้นส่งผลให้บิดาของนางได้เสวยทิพยสมบัติกลายเป็นเทวดา พ้นจากความเป็นเปรตในบัดนั้น


พระสูตร และอรรถกถา แปล ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่มที่ ๒ ภาคที่ ๒
: มหามกุฏราชวิทยาลัย; ๒๕๒๕

เครดิต : หนังสือ "มีสุขในยุคของแพง"
ส่งเสริมคุณธรรม พัฒนาชีวิต นึกถึงธรรมะคิดถึงพุทธะดอทเน็ต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2012, 18:16 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2906


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: :b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ต.ค. 2012, 20:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2012, 12:01
โพสต์: 376


 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านเรื่องนี้แล้วสำหรับดิฉันเองรู้สึกว่าไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่เลยนะคะ เงินทอง ทรัพย์สิน สมบัติ เราหามาได้จากน้ำพักน้ำแรง ด้วยความสุจริต เหนื่อยยาก เราไม่ได้ไปคดไปโกงใครมาซะหน่อย จะหวงไว้บ้างเพื่อใช้เลี้ยงชีพ รักษาตัวยามป่วยไข้จะเป็นไรไป เราไม่ได้งกจนไปยึดติดกับมันซะหน่อย แล้วคำกล่าวที่ว่า "ผู้มีปัญญาย่อมรู้จักรักษาทรัพย์ที่หามาได้" คำนี้ใครพูดไว้ เศรษฐีเองพยายามรักษาทรัพย์ของตนที่หามาได้เพียงน้อยนิดไว้เพื่อเลี้ยงชีพไปวันๆ ผิดตรงไหน เพราะทั้งบ้านเขามีเงินเพียงแค่นั้นเอง ยากจนอดอยากจนไม่มีจะกินอยู่แล้ว ไม่งั้นคงไม่ไปยืมเงินเพื่อนมา ทำไมจึงต้องเกิดเป็นเปรตด้วย ถ้าเงินนั้นโกงเขามาก็ว่าไปอย่าง ดิฉันไม่เข้าเรื่องนี้ใจเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2012, 11:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 มี.ค. 2012, 14:29
โพสต์: 102


 ข้อมูลส่วนตัว


หญิงไทย เขียน:
อ่านเรื่องนี้แล้วสำหรับดิฉันเองรู้สึกว่าไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไหร่เลยนะคะ เงินทอง ทรัพย์สิน สมบัติ เราหามาได้จากน้ำพักน้ำแรง ด้วยความสุจริต เหนื่อยยาก เราไม่ได้ไปคดไปโกงใครมาซะหน่อย จะหวงไว้บ้างเพื่อใช้เลี้ยงชีพ รักษาตัวยามป่วยไข้จะเป็นไรไป เราไม่ได้งกจนไปยึดติดกับมันซะหน่อย แล้วคำกล่าวที่ว่า "ผู้มีปัญญาย่อมรู้จักรักษาทรัพย์ที่หามาได้" คำนี้ใครพูดไว้ เศรษฐีเองพยายามรักษาทรัพย์ของตนที่หามาได้เพียงน้อยนิดไว้เพื่อเลี้ยงชีพไปวันๆ ผิดตรงไหน เพราะทั้งบ้านเขามีเงินเพียงแค่นั้นเอง ยากจนอดอยากจนไม่มีจะกินอยู่แล้ว ไม่งั้นคงไม่ไปยืมเงินเพื่อนมา ทำไมจึงต้องเกิดเป็นเปรตด้วย ถ้าเงินนั้นโกงเขามาก็ว่าไปอย่าง ดิฉันไม่เข้าเรื่องนี้ใจเลย


ตอบคำถามของคุณ "หญิงไทย" นะคะ คือใน ความเห็นส่วนตัว ท่านคงสอนให้เราไม่ยึดติดกับสิ่งของที่เรานำไปไม่ได้..ของทุกอย่างเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน..ถูกของคุณตรงที่เขาทำงานสุจริต ได้เงินทองมาโดยชอบ เหนื่อยยาก ลำบากก็ใช่..แต่ในช่วงขณะที่เขาโลภและยึดติดในทรัพย์สมบัติ..ตรงนั้นเขาจึงยังไม่ได้ละ เพราะยังเป็นห่วงอยู่..เมื่อเขาตายไปเขาจึงอยู่ตรงนั้น..ห่วงในทรัพย์ของตน แต่คราวดีที่ลูกสาวของเขาได้ไปพบพระพุทธเจ้า จึงทำให้พ่อของตนหลุดพ้นจากห่วงนี้ไปได้ค่ะ..(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) คำสอนนี้ของพระพุทธเจ้าก็ยังได้ผลเสมอถ้าเราคิดจะละจากจริงๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2012, 17:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5113

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


ความตระหนี่ถี่เหนียว เป็นอกุศลจิตค่ะ เป็นอีกเรื่องต่างหากจากทรัพย์สุจริต ตายไปพร้อมอกุศลจิตย่อมไปทุคติภูมิอย่างไม่ต้องสงสัยเลย



แม้จะหามาได้โดยสุจริตอย่่างไร ก็ต้องทำกุศลจิตควบคู่กันไป กายกับใจนั่นเอง ทางกายก็คือทรัพย์ภายนอก หาได้ด้วยกำลังของเรา ทางใจต้องทำใจไว้เสมอว่า ทรัพย์นั้นเราครอบครองแค่ชั่วคราว เมื่อจากโลกนี้ไปเราต้องทิ้งทั้งหมด เป็นการทำใจยอมรับสัจธรรมสำคัญ คือ ความตาย ที่ตอ้งเกิดกับเราทุกคน อย่างนี้จึงเป็นกุศลจิต ถือว่า ทำดีโดยสมบูรณ์ไปตลอดรอดฝั่ง (หาทรัพย์ด้วยดี + ทำจิตดีคู่กัน)

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ต.ค. 2012, 17:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2012, 12:01
โพสต์: 376


 ข้อมูลส่วนตัว


เหมือนพระเวชสันดรใช่มั้ยคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2012, 12:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5113

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


พระเวสสันดรนี่ทรงบำเพ็ญปรมัตถบารมี บำเพ็ญทานขั้นยิ่งยวด สละสิ่งอันสละได้ยากที่สุด


ส่วนการทำใจให้ไม่ยึดติดในทรัพย์ของเรา หมั่นพิจารณาว่า เราต้องตาย ต้องสละสิ่งเหล่านี้ไปสักวันก้พอในการเริ่มต้นค่ะ


การทำทาน ช่วยสละจิตที่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของของเราได้ดีค่ะ ช่วยเราให้รู้จักสละสิ่งของภายนอก ก่อนที่เราจะตาย(ตายแล้วเอาไปไม่ได้) สละภายนอก ได้แก่ อามิสทั้งหลาย สละให้เป็นบุญเป็นกุศล เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น

ฝึกให้ทานให้จิตคุ้นเคยต่อการให้ทาน เสียสละ ไม่ยึดมั่น เมื่อถึงคราวใกล้ตาย จิตก็จะได้มีกุศลจิตน้อมนำไปนะคะ


เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับกระทู้เรื่องนี้ แนะนำให้ศึกษาเพิ่มเติมเรื่อง อำนาจแห่งความยึดมั่นของจิต ตามลิ้งค์ที่ให้ไว้ข้างล่างค่ะ

http://www.dhammajak.net/book-somdej2/12.html

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ต.ค. 2012, 14:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 มี.ค. 2012, 14:29
โพสต์: 102


 ข้อมูลส่วนตัว


Hanako เขียน:
ความตระหนี่ถี่เหนียว เป็นอกุศลจิตค่ะ เป็นอีกเรื่องต่างหากจากทรัพย์สุจริต ตายไปพร้อมอกุศลจิตย่อมไปทุคติภูมิอย่างไม่ต้องสงสัยเลย



แม้จะหามาได้โดยสุจริตอย่่างไร ก็ต้องทำกุศลจิตควบคู่กันไป กายกับใจนั่นเอง ทางกายก็คือทรัพย์ภายนอก หาได้ด้วยกำลังของเรา ทางใจต้องทำใจไว้เสมอว่า ทรัพย์นั้นเราครอบครองแค่ชั่วคราว เมื่อจากโลกนี้ไปเราต้องทิ้งทั้งหมด เป็นการทำใจยอมรับสัจธรรมสำคัญ คือ ความตาย ที่ตอ้งเกิดกับเราทุกคน อย่างนี้จึงเป็นกุศลจิต ถือว่า ทำดีโดยสมบูรณ์ไปตลอดรอดฝั่ง (หาทรัพย์ด้วยดี + ทำจิตดีคู่กัน)


โมทนาบุญค่ะ..ขอบคุณที่มาให้ความรู้เพิ่มเติม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร