วันเวลาปัจจุบัน 04 มิ.ย. 2025, 02:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


- สถานที่ปฏิบัติธรรม
แนะนำรายชื่อสถานที่ปฏิบัติธรรมกรรมฐานทั่วประเทศ
http://www.dhammajak.net/forums/viewforum.php?f=9

- รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=30



กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2010, 03:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


วันนี้ค้นกระเป๋าเดินทาง เจอหนังสือเรื่องศิลห้า
จำไม่ได้ว่าได้มาจากไหน?.....อ่านแล้วเห็นว่าเข้าใจง่าย จึงนำมาโพสต์
เพื่อแบ่งปัน....แต่ไม่สามารถอ้างได้ว่าใครเป็นผู้เขียน มีข้อความ
ตรงด้านหน้าของหนังสือว่า "จัดเป็นธรรมทาน"
โปรดใช้วิจารณญานนะค่ะ :b8:


ศิล ๕

ศิลคืออะไร?
ศิลแปลว่า ปกติ เบี้องต้นของการเป็นมนุษย์จะต้องมีความปกติ อันได้แก่
กายปกติ วาจาปกติ ใจปกติ ศิลจึงเป็นเครื่องจำแนกคนออกจากสัตว์เดรัจฉาน
ได้อย่างชัดเจน อะไรคือปกติของมนุษย์


กายปกติ

คือไม่ประพฤติต่ำทราม ไม่อันธพาล ไม่ก่อความเดือดร้อน
หากแต่สำรวมในกิริยา กระทำแต่สิ่งที่ดีงาม มีจรรยา มารยาท นอบน้อม สุกาพอ่อนโยน


วาจาปกติ

คือไม่พูดปด ไม่พูดหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำเพ้อเจ้อ
ไม่พูดนินทา ใส่ร้ายป้ายสี ดูหมิ่นเหยียดหยาม หากแต่สำรวมในวาจา กล่าวคำสัตย์อ่อนหวาน
ไพเราะเสนาะหู


จิตใจปกติ

คือ ไม่คิดเพ่งเล็งผู้อื่นในแง่ร้าย ไม่คิดพยาบาทหรือปองร้ายให้เขาเดือดร้อน
และคิดเห็นผิด หากแต่สำรวมในความคิดที่ดีเป็นมงคล คิดทดแทนบุญคุณ คิดให้อภัย


วัตถุประสงค์แห่งศิล

๑.ปกติของคนจะต้องไม่ฆ่า ถ้าวันไหนมีการฆ่า วันนั้นก็ผิดปกติของคน
แต่ไปเข้าข่ายปกติของสัตว์ เช่น เสือ หมี สุนัข มักฆ่ากัน ทำร้ายกัน ตามสัญชาตญาณซึ่งเป็นปกติ
ของสัตว์
ฉะนั้นเพื่อรักษาปกติของคนไว้ ศิลข้อที่ ๑. จึงเกิดขึ้นมาว่า "คนจะต้องไม่ฆ่า"
เมื่อเราไม่ฆ่าสัตว์ ตัดชีวิตย่อมชื่อว่า ให้ชีวิต ให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตสรรพสัตว์ทั้งหลาย

เป็นการให้สิ่งที่สูงค่ายิ่งกว่าทรัพย์ใดๆ

๒.ปกติของสัตว์เวลากินอาหารมันจะต้องแย่ง ขโมยกัน ถึงเวลาอาหารที่ไร
สุนัขเป็นต้องกัดกันทุกที แต่คนไม่เป็นอย่างนั้น
ฉะนั้นเพื่อรักษาปกติของคนไว้ ศิลข้อที่ ๒. จึงเกิดขึ้นมาว่า "คนจะต้องไม่ลัก ไม่ยักยอก คดโกง"
เมื่อเราไม่ลักทรัพย์ ย่อมได้ชื่อว่า ให้ความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของผู้อื่น

เป็นการให้ฐานะความเป็นอยู่อันมั่นคง

๓.ปกติของสัตว์ ไม่รู้จักหักห้ามใจให้พอใจเฉพาะคู่ของตน ในฤดูผสมพันธุ์
สัตว์ขึงมีการต่อสู้แย่งชิงตัวเมีย บางครั้งถึงกับต่อสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งก็มี โดยปกติของคนแล้ว
จะไม่แย่งคู่ครองของใคร พใจเฉพาะคู่ครองของตนเท่านั้น
ฉะนั้นเพื่อรักษาปกติของคนไว้ ศิลข้อที่ ๓. จึงเกิดขึ้นว่า "คนจะต้องไม่ประพฤติผิดในกาม"
ไม่ประพฤติผิดในกามย่อมได้ชื่อว่า ให้ความสุขให้ความปลอดภัยแก่บุตร ภรรยา สามี ของผู้อื่น

เป็นการให้ความคุ้มครองแก่สถาบันครอบครัวอย่างดีที่สุด

๔.ปกติของสัตว์ไม่อาจวางใจได้สนิท ชอบแว้งกัด มีปากเป็นอาวุธ
สามารถทำอันตรายได้ทุกเมื่อ แต่ปกติของคนนั้น เราพูดกันตรงไปตรงมา มึความจริงใจต่อกัน
ทั้งต่หน้าและลับหลัง ถ้าใครโกหกหลอกลวง พูดทิ่มแทงทำร้าย วิจารณ์ นินทาให้ผู้อื่น
ให้เดือดร้อน เสียหาย ก็ผิดปกติ
ฉะนั้นเพื่อรักษาปกติของคนไว้ ศิลข้อ ๔. จึงเกิดขึ้นว่า "คนจะต้องไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด
ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ" ไม่กล่าวคำเท็จ ย่อมได้ชื่อว่า ให้ความจริงแก่ผู้อื่น

เป็นการให้เกิดความสบายใจในการดำเนินชีวิต โดยไม่ต้องหวาดระแวง
ซึ่งกันและกัน


๕. ปกติของสัตว์ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ มักใช้ความป่าเถื่อน
ตามอารมณ์เช่น เสือ สิงโต ช้าง ม้า วัว ควาย ใช้เพียงแรงงานเพราะไม่มีสติปัญญารู้ว่า
สิ่งไหนผิดชอบ ชั่ว ดี แต่ปกติของคนนั้น อาศัยสติ ปัญญา รู้แยกแยะ สิ่งไหนเป็นบาป
สิ่งไหนเป็นบุญ สิ่งไหนเป็นคุณ สิ่งไหนเป็นโทษ เมื่อรู้ผิดชอบ ชั่วดีแล้วจึงเกิดสติระงับได้

แต่สติปัญญาจะเปื่อยยุ่ยทันที ถ้าไปเสพสุรา ยาเมา สุราเพียงครึ่งแก้ว อาจทำให้สติฟั่นเฟื่อน
สมองตื้อ ปัญญาทึบ หน้ามืดขาดสติทำร้ายผู้มีพระคุณได้ ดังนั้นผู้ที่เสพสุราหรือของมึนเมา
จึงมีสภาพผิดปกติ คือมีสภาพใกล้กับสัตว์ไปทุกขณะ
ฉะนั้นเพื่อรักษาปกติของคนไว้ ศิลข้อที่ ๕. จึงเกิดขึ้นว่า "คนจะต้องไม่เสพของมึนเมาให้โทษ"
ไม่ดื่มสุราเมรัย ย่อมได้ชื่อว่าให้ความปลอดภัยแก่ทุกสิ่ง

เพราะคนที่ประมาทขาดสตินั้น สามารถทำความชั่วได้ทุกอย่าง จะฆ่าสัตว์
ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม หรือพูดเท็จก็ทำได้ทั้งสิ้น


ศิล ๕ เป็นเครื่องวัดความเป็นคน

มีต่อ

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2010, 04:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


วันใดเรามีศิลครบ ๕ ข้อ แสดงว่าวันนั้นเรามีความเป็นคนครบบริบูรณ์ ๑๐๐%

ถ้ามีศิลเหลือ ๔ ข้อ แสดงว่าวันนั้นความเป็นคนเหลือ ๘๐% ใกล้สัตว์เข้าไป ๒๐%

ถ้ามีศิลเหลือ ๓ ข้อ แสดงว่าวันนั้นความเป็นคนเหลือ ๖๐% ใกล้สัตว์เข้าไป ๔๐%

ถ้ามีศิลเหลือ ๒ ข้อ แสดงว่าวันนั้นความเป็นคนเหลือ ๔๐% ใกล้สัตว์เข้าไป ๖๐%

ถ้ามีศิลเหลือ ๑ ข้อ แสดงว่าวันนั้นความเป็นคนเหลือ ๒๐% ใกล้สัตว์เข้าไป ๘๐%

ถ้าศิลทุกข้อขาดหมด ก็หมดความเป็นคน หมดความสงบสุข ถึงยังมีชีวิตอยู่ก็เหมือนคนตายแล้ว
ความดีใดๆ ไม่อาจงอกเงยขึ้นมาได้อีก ชีวิตอยู่เพียงเพื่อจะทำความเดือดร้อนให้แก่ตนเอง
และผู้อื่นเท่านั้น คนชนิดนี้คือคนประมาทแท้ๆ

ศักดิ์ศรีของมนุษย์อยู่ที่ความสามารถในการเรียนรู้กฎศิลธรรม และยอมให้กฎนั้นมากำหนด
หลักการกระทำของตน เพื่อเอาชนะกิเลสได้ ชนะความโหดร้ายในจิตใจตัวเองได้ ครั้นเมื่อ
ความบริสุทธิ์ผ่องใสของจิตใจและสัจจะปรากฎ อานิสงส์แห่งกุศล ย่อมบังเกิดเป็นผล
สนองแก่ผู้รักษาศิลอย่างเอนกอนันต์


ผู้มีศิลย่อมได้รับมหาอานิสงส์ ๕ ประการคือ

๑.ย่อมได้ทรัพย์สมบัติมากเพราะเหตุแห่งความไม่ประมท
๒.เกียรติทรัพย์อันงามของผู้มีศิลย่อมฟุ้งขจคไปไกล
๓.ผู้มีศิลเข้าไปสู่สมาคมใด ย่อมเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ขวยเขิน
๔.ผู้มีศิลก่อนตายก็มีสติ ตายไปอย่างสงบไม่ทุรนทุราย
๕.ผู้มีศิลสิ้นบุญแล้วย่อมเข้าถึง สุขคติโลกสวรรค์

ศิลข้อที่ ๑. เว้นจากการฆ่าสัตว์

จุดมุ่งหมายของการรักษาศิลข้อ ๑. คือไม่ทำลายเมตตาธรรมในตัวตนเอง

ความทุกข์ของสรรพสัตว์ในโลกจะถือเสมือนหนึ่งเป็นความทุกข์ของตนเอง ความเศร้าเสียใจ
ของสรรพสัตว์ จะถือเสมือนความเศร้าเสียใจของตนเอง "ทุกข์เหมือนกัน เศร้าเหมือนกัน"
ก็คือความเห็นใจในทุกข์และเศร้านั้น และจะช่วยหาวิธีให้พ้นจากทุกข์ โศรกเศร้านั้นๆ
โดยปราศจากสิ่งตอบแทนหรือข้อผูกมัดใดๆทั้งสิ้น

ความเมตตาเช่นนี้จึงมีค่า "ค้ำจุนโลก"ได้ มิได้ทำลายสรรพชีวิตใดๆเลย มีแต่ทำให้ชีวิตทั้งปวง
เจริญงอกงาม ดั่งธรรมชาติที่ให้ทุกอย่างแก่สรรพสัตว์ทุกชีวิตโดยไม่ต้องการผลตอบแทน
และเงื่อนไขใดๆ ทุกชีวิตต่างได้รับอากาศ น้ำ อาศัยบนผื่นแผ่นดินเท่าเทียมกัน


ผู้ที่ขาดเมตตาย่อมส่งผลร้าย มักเป็นคนเจ้าโทสะ ผู้ที่บำเพ็ญเมตตา จะกำจัดโทสะได้

โทษแห่งปาณาติบาต

พราหมณ์ผู้หนึ่งเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงอยู่เมืองพาราณสี มีลูกศิษย์
เป็นจำนวนมาก ถือลัทธิ ฆ่าสัตว์บูชายัญ
สัตว์ที่ว่านี้คือแพะ ถูกนำมาตัดคอแล้วนำไปสังเวยต่อเทพเจ้า ครั้งนั้นพระพุทธเจ้าเกิดเป็นรุกขเทวดา
ได้เห็นการกระทำของพราหมณ์ วันหนึ่งพราหมณ์เกิดความคิดอยากทำบุญให้แก่ดวงวิญญาณญาติมิตร
ผู้ล่วงลับ ดังนั้นพราหมณ์จึงบอกให้ลูกศิษย์ จับแพะมาตัวหนึ่งแล้วสั่งว่า "พวกท่านจงนำแพะตัวนี้
ไปตกแต่งประดับประดาให้ดี

เป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติมานาน หากจะฆ่าสัตว์ตัวใดเพื่อบูชายัญ ก็จะอาบน้ำชำระล้างร่างกายสัตว์
ตัวนั้นให้สะอาดและแต่งตัวให้สวยงามก่อนฆ่า ครั้งนี้ก็เช่นกันเมื่อเขาให้ลูกศิษย์จูงแพะไปที่แม่น้ำแล้ว
ก็สั่่งให้อาบน้ำแต่งตัวแพะตัวนั้น อย่างสวยงาม และคล้องพวงมาลัยไว้ที่คอ แล้วจูงแพะมายืนรออยู่ที่
ริมฝั่งแม่น้ำ ขณะที่ยืนอยู่นั้น แพะได้ระลึกชาติ เห็นกรรมเก่าของตนที่ทำให้ต้องมาทนทุกข๋ถึงเพียงนี้
และเมื่อรู้เกณฑ์ชะตาของตนแล้ว เหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้นคือ แพะหัวเราะ แล้วก็ร้องไห้

พราหมณ์จึงถามแพะว่า "แพะเอ๋ย...เพราะเหตุใดท่านจึหัวเราะ และเพราะเหตุใดท่านจึงร้องไห้"
แพะยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบว่า "ท่านพราหมณ์ที่เราหัวเราะก็เพราะดีใจที่จะได้พ้นทุกข์
และที่ร้องไห้เพราะเสียใจที่ว่า ท่านจะได้รับทุกข์เหมือนที่เราได้รับ" พราหมณ์รู้สึกฉงนใจในคำพูด
ของแพะมาก แพะเห็นเช่นนั้นจึงเล่าเรื่องราวอดึตชาติของตนให้ทุกคนฟังว่า

"ท่านพราหมณ์ เมื่อก่อนเราก็เป็นพราหมณ์เช่นท่าน เราได้ฆ่าแพะเพื่อสังเวยในการบวงสรวงดวงวิญญาน
และเพราะการฆ่าแพะเพียงตัวเดียวนั้น ทำให้เราต้องถูกตัดศรีษะมาแล้ว ๔๙๙ ชาติ และชาตินี้คือ
ชาติที่ ๕๐๐ และจะเป็นชาติสุดท้ายที่เราจะถูกตัดศรีษะ เราดีใจที่จะพ้นจากความทุกข์นี้เสียที
เราจึงหัวเราขึ้นมา แต่ที่ร้องไห้นั้นเพราะเราสงสารท่าน เพราะท่านฆ่าเรา ท่านจะต้องทนทุกข์
ด้วยการถูกตัดศรีษะไปถึง ๕๐๐ ชาติ เช่นเดียวกับที่เราเคยเป็นมา"

ครั้นเล่าเรื่องจบลง แพะก็ยืนนิ่ง พราหมณ์เข้าใจว่าแพะกลัวตาย จึงเข้ามาใกล้และปลอบว่า
"ท่านอย่ากลัวเลย เราไม่ฆ่าท่านแล้ว" แต่แพะกลับพูดว่า "ไม่ว่าท่านจะฆ่า หรือไม่ฆ่าเราในวันนี้
เราก็ไม่อาจพ้นความตายไปได้ เพราะบาปกรรมเก่าตามมาทันแล้ว" "เมื่อเราไม่ฆ่าเจ้าแล้วใครจะฆ่า?
อย่ากลัวเลยเราจะคุ้มครองเจ้าให้ปลอดภัย"

"ขอบคุณท่านพราหมณ์แต่ท่าจะช่วยคุ้มครองให้ข้าพเจ้า
พ้นจาก
ผลของบาปกรรมนั้นคงไม่ได้ เพราะบาปกรรมที่ข้าพเจ้าทำนั้นมีกำลังมากเกินกว่าที่ใครจะขัดขวางได้"


"พราหมณ์ก็ยังยืนยันว่าเราจะไม่ยอมให้ใครฆ่าเจ้า" จากนั้นพราหมณ์ก็สั่ง
ให้ปล่อยแพะเป็นอิสระ และบอกให้ลูกศิษย์คอยติดตามคุ้มครองแพะตัวนั้น
เมื่อแพะถูกปล่อยก็เดินเล็มหญ้าและใบไม้ จนถึงพุ่มไม้แห่งหนึ่งซึ่งทอดยอดไปตามแผ่นหิน
ใบไม้เขียวขจีน่าอร่อย แพะจึงขยับตัว ยื่นคอไปเล็ม แต่ทันใดนั้นเกิดฟ้าผ่าลงบนแผ่นหินแตกกระจาย
สะเก็ดหินปลิวมาตัดคอแพะ ขาดกระเด็น ลูกศิษย์พราหมณ์ต่างพากันมามุงดูแพะนอนตายอย่าง
น่าเศร้าสลด
พระพุทธเจ้าซึ่งบังเกิดเป็นรุกขเทวดาสถิตย์อยู่ในที่นั้น เห็นเหตุการณ์โดยตลอด ต้องการจะสอน
คนทั้งหลายให้ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ จึงปรากฎกายขึ้น พร้อมทั้งแสดงธรรมด้วยเสียงอันไพเราะว่า
"สัตว์ทั้งหลายเมื่อรู้ผลของบาปเช่นนี้ไม่ควรทำปาณาติบาต พึงรู้ว่าการเกิดนี้เป็นทุกข์ สัตว์ไม่ควร
ฆ่าสัตว์ เพราะผู้มีปกติฆ่าสัตว์ย่อมโศก"


มีต่อ

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


แก้ไขล่าสุดโดย ทักทาย เมื่อ 20 ก.ย. 2010, 04:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2010, 05:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ศิลข้อที่ ๒. เว้นจากการลักทรัพย์

จุดมุ่งหมายของการรักษาศิลข้อ ๒. ไม่ทำลายมโนธรรมในตัวตนเอง
การไม่เอาของผู้อื่นมาเป็นของตน ย่อมต้องอาศัยมโนธรรม สำนึกรู้ถึงความเดือดร้อนที่ผู้อื่น
จะได้รับ หากตนเองเห็นแก่ตัว หยิบฉวยของคนอื่นมาเป็นของตน เป็นการขจัดความเห็นแก่ตัว
โดยแท้จริง และจะสามารถเสียสละเพื่อคนอื่นได้ ตรงกับหัวข้อของการให้ทาน ซึ่งเป็นธรรม
ในการกำจัดกิเลสตัว "โลภ" นั้นเอง


ผลกรรมของการละเมิดศิลข้อ ๒.

บุคคลใดกระทำการโจรกรรมลักทรัพย์ ตายไปแล้วย่อมได้ไปเกิด
ในนรก ในกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากกรรมอย่างเบาที่สุดแก่ผู้ที่ได้เกิดมา
เป็นมนุษย์ก็คือ พินาศจากทรัพย์สมบัติ
หากมาเกิดเป็นมนุษย์จะเกิดในที่แร้นแค้น มีความเป็นอยู่อย่างอัตคัด ขัดสน ขาดแคลน
ความสะดวกสบายในทรัพย์ไม่มี ตลอดจนที่อยู่อาศัย บ้านเรือนจะซุกหัวนอนก็ไม่มี
เมื่อมีโอกาสได้งานได้เงิน ก็มีเหตุทำให้ชวดอยู่เสมอ พอจะมีก็ไม่มี จะได้ก็ไม่ได้
ดังคำที่ว่า "นกคาบมา อีกาคาบหนี"


คนพาลย่อมสำคัญผิดคิดว่าบาปนั้นเป็นความลับ

เมื่อครั้งที่พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์
บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ครั้นเจริญวัยได้ไปศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาในสำนักอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง
และได้เป็นหัวหน้าของมาณพ ๕๐๐ คน ซึ่งเล่าเรียนอยู่ในสำนักเดียวกัน

ท่านอาจารย์มีธิดาที่กำลังเจริญวัย ซึ่งท่านคิดจะยกให้กับมาณพผู้สมบูรณ์ด้วยศิล ท่านจึงคิดจะทดสอบ
การรักาษาศิลของมาณพเหล่านั้น จึงเรียกมาณพทั้งหลายมาแล้วกล่าวว่า "ธิดาของเราเจริญวัยแล้ว
เราจะจัดงานวิวาห์ให้แก่นาง จำเป็นต้องใช้ผ้าและเครื่องประดับต่างๆ พวกเธอจงไปขโมยผ้าและ
เครื่องประดับจากหมู่ญาติ โดยอย่าให้ใครเห็น เราจะรับเฉพาะผ้าและเครื่องประดับที่โขมยมา
โดยมิให้ใครเห็นเท่านั้น ส่วนที่มีคนเห็นเราจะไม่รับ"

มาณพทั้งหลายรับคำแล้วไปขโมยของมาจากญาติของตน โดยมิให้ใครเห็น จากนั้นก็นำมามอบให้
กับอาจารย์ คงมีแต่เพียงพระโพธิสัตว์เท่านั้นที่ไม่นำสิ่งใดมาเลย อาจารย์จึงถามว่า
"เธอไม่นำสิ่งใดมาเลยหรือ?" "ครับอาจารย์" พระโพธิสัตว์ตอบ เมื่ออาจารย์ถามถึงเหตุผล
พระโพธฺสัตว์ตอบว่า "เพราะว่า อาจารย์จะรับเฉพาะของที่เอามาโดยไม่มีใครเห็น ข้าพเจ้าคิดว่า
ไม่มีการกระทำบาปใดๆ จะเห็นความลับไปได้เลย" จากนั้นพระโพธิสัตว์ได้กล่าวสุภาษิตที่ไพเราะว่า


"ในโลกนี้ย่อมไม่มีที่ลับแก่ผู้กระทำบาป
ต้นไม้ที่เกิดในป่าย่อมมีคนเห็น
คนพาลย่อมสำคัญผิด คิดว่าบาปนั้นเป็นความลับ
ข้าพเจ้าย่อมไม่เห็นที่ลับ แม้ที่ว่างเปล่าก็ไม่มี
ในที่ว่างเปล่าถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่เห็นใคร
ที่นั่นย่อมไม่ว่างเปล่าจากตัวข้าพเจ้า


เมื่ออาจารย์ได้ฟังดังนั้นก็เกิดความรู้สึกเลื่อมใส จึงกล่าวกับพระโพธิสัตว์ว่า
"ดูก่อนพ่อหนุ่ม ในเรือนของข้าพเจ้าไม่มีทรัพย์สินอะไร? แต่เรามีความประสงค์จะมอบธิดาของเรา
ให้แก่ผู้ที่สมบูรณ์ด้วยศิล เราต้องการทดสอบมาณพทั้งหลายจึงได้ทำอย่างนี้ ธิดาของเราเหมาะสม
กับท่านเท่านั้น

มีต่อ

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2010, 05:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ศิลข้อ ๓. ไม่ประพฤติผิดในกาม

จุดมุ่งหมายของการรักษาศิลข้อ ๓. ไม่ทำลายจริยธรรมในตนเอง
ตัณหาย่อมทำให้เกิดความดีใจ และเสียใจเสมอ

กามราคะ จึงเป็นเรื่องกำจักและควบคุมยากที่สุด ด้วยเหตุปัจจัยของอายตนะ ๖ ประการ
มีรูงาม เสียงไพเราะ กลิ่นเย้ายวนใจ รสถูกปาก สัมผัสนุ่มนวล อารมณ์อ่อนไหว การตัดกาม
ตัณหา จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะกระทำกัน แต่ก็ต้องควบคุมให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะ การครอง
ชีวิตอยู่ในสังคมร่วมกัน จึงต้องสำรวมระวังมิให้ล่วงละเมิดลูก เมีย (สามี) คนอื่น เมื่อไม่ล่วง
ละเมิดต่อกัน สังคมย่อมสงบสุข


ผลกรรมของการละเมิดศิลข้อ ๓.

บุคคลผู้ประพฤติผิดในกาม ตายแล้วย่อมไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์
เดียรรัจฉาน ในเปรตวิสัย วิบากกรรมอย่างเบาที่สุดแก่ผู้ที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์คือ มีศัตรูมาก
ยากจะหาความสุขในชีวิต


โทษแห่งกาม สวรรค์บั้นปลายของ กิ๊ก & ชู้


เห็นงิ้วหนามหนาน่าหวาดหวั่น ขึ้นลดหลั่นเรียงรายทั้งซ้ายขวา
หมู่หญิงชายป่ายปีนจนตีนชา ทั่วกายาเปลือยเปล่าเนื้อเน่าพอง
หนามแหลมตำเนื้อหนังเลือดหลั่งไหล หมู่นอนไชชอนทั่วตัวเป็นหนอง
ร้องโหยหวนครวญคร่ำน้ำตานอง ต้องเหม่อมองเมินหน้าไม่กล้าดู
ฝูงแร้งกาจับกิ่ง ชิงกันจิก สั่นระริก หลั่งไหลนัยย์ตาหู
ตรงใต้ต้นคนคุม กุมหอกชู ฝูงหมากรู รุมกัด..ผู้พลัดลง

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


แก้ไขล่าสุดโดย ทักทาย เมื่อ 20 ก.ย. 2010, 07:13, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2010, 08:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ศิลข้อที่ ๔ เว้นจากการกล่าวเท็จ

จุดมุ่งหมายของศิลข้อที่ ๔ คือไม่ทำลายสัตยธรรมในตัวตนเอง

สัตยธรรมคือความทรงไว้ซึ่งความซื่อสัตย์ ซื่อตรง ความจริงใจ พูดจริงทำจริง ซึ่งก็คือ "สัจจะ"
นั่นเอง เมื่อสังคมมนุษย์เป้นการอยู่รวมกันเป็นหมู่เป็นเหล่า การที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข
ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวเดียวกัน หรือสังคมส่วนรวม ความซื่อสัตย์จึงมีบทบาทสำคัญมาก
ควรซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น การปฏิบัติต่อสามี ภรรยา ต้องมีความจริงใจต่อกัน การปฏิบัติ
ต่อเพื่อนฝูงต้องมีมโนธรรมและความซื่อสัตย์ การปฏิบัติต่อศัตรูต้องรู้จักการให้อภัย สังคมนั้น
ย่อมมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข


บุพกรรมของเปรตปาก

เช้าวันหนึ่งท่านพระนารทะ ซึ่งอยู่ที่เขาคิชกูฏ ออกไปบิณฑบาตร
ที่กรุงราชคฤห์พบเปรตตนหนึ่งในระหว่างทางจึงถามว่า "ดูก่อนผู้จมทุกข์ เหตุใดผิวกายของท่าน
จึงรุ่งเรืองสุกสว่างไปในทิศทั้งหลายดุจสีทอง แต่ปากของท่านนั้นเล่า ทำไมจึงเหมือนปากของ
สุกร ท่านได้ก่อกรรมทำบาปอะไรไว้" เมื่อถูกถามเปรตนั้นจึงเรียนท่านนารทะว่า

"ข้าแต่ท่านพระนารทะ เมื่อสมัยที่ข้าพเจ้าบวชอยู่ ข้าพเจ้ามีความเลื่อมใส รักษากายด้วยความสำรวม
ด้วยอานิสงส์ผลบุญนั้นจึงทำให้ข้าพเจ้า มีรูปร่างดั่งมนุษย์ มีสีกายดั่งทอง ส่วนเหตุที่ข้าพเจ้ามีปาก
ดังปากสุกร เพราะข้าพเจ้าไม่รู้จักสงบ ระงับไม่สำรวมวาจา เอาแต่ว่ากล่าวนินทา ดุด่าว่าร้ายแก่
ภิกษุทั้งหลาย แม้จะมีผู้ปรารถนาดีคอยแนะนำพร่ำสอน ข้าพเจ้าก็ไม่อาวรณ์ที่จะละวาจาทุจริตนั้น
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ปากของข้าพเจ้ากลายเป็นปากสุกรดังท่านเห็น"

เมื่อกลับจากบิณฑบาตแล้ว ท่านารทะจึงกราลทูลเรื่องราวที่ท่านเห็นให้แก่พระพุทธองค์ได้ทราบ
พระพุทธองค์จึงตรัสโทษของวจีทุจริต และคุณแห่งวจีสุจริต ให้พระนารทะและภิกษุทั้งหลาย
ได้ทราบความว่า


เหตุที่ทำให้เป็นเปรตด้วยวจีทุจริต ๔ อย่างคือ
พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ

ผู้ประกอบวจีสุจริตจะมีผลมิต้องตกนรก และมิต้องมาเป็นเปรต ๔ อย่างคือ
ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ


ศิลข้อที่ ๕ เว้นจากการเสพสิ่งมึนเมา

จุดมุ่งหมายของการรักษาศิลข้อที่ ๕ คือ ไม่ทำลายปัญญาธรรมให้ตัวตน
ปัญญาธรรมคือการหยั่งรู้เหตุผลความรู้ เข้าใจชัดเจน หยั่งแยกในเหตุผลดี ชั่ว คุณ โทษ ประโยชน์
มิมีประโยชน์
มนุษย์ทุกคนเกิดมาด้วยปัญญาที่เลิศล้ำอยู่แล้ว ไม่มีใครโง่ หรือฉลาดกว่าใคร แต่ความหลงต่างหาก
ที่ทำให้แตกต่างกัน จึงจำต้องสร้างเสริมความดีให้มากจึงจะเกิดปัญญา พึงรู้ไว้ว่าคนโง่ กับคนฉลาดนั้น
มีพุทธญาณไม่ต่างกันเลย จะต่างกันตรงที่ หลง และตื่น เท่านั้นที่ทำให้เกิดโง่หรือฉลาด อานุภาพ
แห่งปัญญาจึงแตกต่างกันออกไป
มนุษย์ถูกอารมณ์ ฉันทะ บดบังทำให้มืด หลง อารมณ์จึงเป็นทะเลทุกข์ของคนทุกชั้น วรรณะ ความรู้
และปัญญาจึงแบ่งแยกได้ตรงนี้ เมื่อใครมีอารมณ์เข้าครอบงำ ก็สามารถกระทำผิดได้ การบำเพ็ญปัญญา
คือการรู้จักควบคุมอารมณ์ รู้จักแยกแยะเหตุผล จึงมีสติ รู้เหตุ รู้ผล รู้ดี รู้ชั่ว ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์
รู้ระงับอารมณ์ต่างๆได้ ผู้ที่ปล่อยจิต ปล่อยใจให้อารมณ์ครอบงำ จนสูญสิ้นปัญญาอยู่บ่อยๆ ย่อมสร้าง
ภพ ชาติสัตว์เดรัจฉานให้ตนเอง
ปัญญานั้นบริสุทธิ์ ปราศจากอารมณ์ทั้งปวง มีสภาวะความเป็นกลาง จึงทรงอานุภาพตัดทุกข์ทั้งปวงได้
ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงทรงให้สมาทานศิลข้อง ๕ มิให้จิตมัวเมาตกอยู่ภายใต้อำนาจของน้ำเมา
ทั้งปวง คนที่ถูกอำนาจน้ำเมา ยาเสพติด ครอบงำ ย่อมขาดสติสัมปชัญญะ ทำให้คิดผิด ทำผิด
และหลงผิดได้ง่าย


ผลกรรมของการละเมิดศิล ๕


ผู้ใดเสพสุรา ยาเมา ตายแล้วย่อมทำให้ไปเกิดในนรก ในกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน
ในเปรตวิสัย วิบากกรรมอย่างเบาที่สุดแก่ผู้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ก็คือ เป็นบ้า ปัญญาอ่อน


ตัดมาบางตอน จากหนังสือแจกฟรี ไม่มีที่มา ไม่มีชื่อผุ้เขียน

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2010, 09:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


tongue สาธุ สาธุ สาธุค่ะ....คุณทักทาย

:b4: เป็นเรื่องธรรมดา ที่ไม่ธรรมดาค่ะ
ขอบคุณเรื่องราวดีดีที่มีมาฝากกันนะคะ
แล้วนำมาฝากอีกนะคะ...จะรออ่านค่ะ :b16:

:b48: ธรรมรักษาค่ะ :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2010, 01:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ลูกโป่ง เขียน:
tongue สาธุ สาธุ สาธุค่ะ....คุณทักทาย

:b4: เป็นเรื่องธรรมดา ที่ไม่ธรรมดาค่ะ
ขอบคุณเรื่องราวดีดีที่มีมาฝากกันนะคะ
แล้วนำมาฝากอีกนะคะ...จะรออ่านค่ะ :b16:

:b48: ธรรมรักษาค่ะ :b48:



ทักทายไม่ค่อยมีโอกาสได้อ่านหนังสือที่ไหน?
วันๆ...ก็ก้มหน้าหงุด...อยู่แต่ในลานนี้....จึงไม่ค่อยมีของดีๆ
เผอิญครั้งนี้....เจอหนังสือเล่มนี้ ซึ่งคิดอย่างไรก็ไม่ออกว่า
ได้มาจากไหน?....ได้แต่เดาว่าคงจะเป็นที่วัดใด วัดหนึ่งที่
มีโอกาสได้ไปมา.....ซึ่งกำลังครุ่นคิดเรื่องศิลห้าอยู่พอดี
ว่าที่เราปฏิบัติอยู่ทุกวันนี้ถูกต้องหรือเปล่า?...อ่านแล้วเข้าใจง่าย
ส่วนจะถูกทั้งหมด หรือถูกบ้างก็ต้องพิจารณากัน...

อนุโมทนาค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2010, 02:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ควรหรือไม่?...ที่จะรักษาศิล ๕ ให้บริสุทธิ์


พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "ความปรารถนาของผู้มีศิลเท่านั้นที่จะสำเร็จ
หรือความสำเร็จผลสมความปรารถนาจะเกิดแก่ผู้มีศิลเท่านั้น"

ทุกคนล้วนปรารถนาของดีทั้งสิ้น ไม่มีใครปรารถนาของไม่ดี เมื่อปรารถนาของดี ก็ต้องทำดี
ผลที่ได้รับจึงจะดีตามการกระทำ แต่ถ้าปรารถนาของดีแล้วทำชั่ว ผลที่ได้รับย่อมชั่วตามการกระทำ

นอกจากนั้นพระพุทธองค์ยังตรัสว่า ศิล ๕ นี้ เป็นมหาทาน(ปุญญาภิสันทสูตร อังคุตตรนิกาย
อัฏฐกนิบาต ข้อ ๑๒๙) คือทานที่ยิ่งใหญ่ ทานอันประเสริฐ ที่หล่อเลี้ยงโลกนี้ให้ร่มเย็นเป็นสุข
มาช้านาน เพราะเป็นการให้ความไม่มีเวร ไม่มีภัยแก่สัตว์ทั้งหลายอย่างหาประมาณมิได้ กล่าวคือ

เมื่อเรารักษาศิลข้อที่ ๑.คือไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ย่อมได้ชื่อว่าให้ชีวิต ให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตของ
สรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นการให้สิ่งที่สูงค่ายิ่งกว่าทรัพย์ใดๆ

เมื่อเรารักษาศิลข้อที่ ๒. คือไม่ลกทรัพย์ย่อมได้ชื่อว่าให้ความปลอดภัยแก่ทรัพยืสินของผู้อื่น
เป็นการให้ฐานะความเป็นผู้อยู่อันมั่นคง

เมื่อเรารักษาศิลข้อที่ ๓. คือไม่ประพฤติผิดในกาม ย่อมได้ชื่อว่าให้ความสุขให้ความปลอดภัย
แก่บุตร ธิดา ภรรยา สามี ของผู้อื่น เป็นการให้ความคุ้มครองแก่สถาบันครอบครัวอย่างดีที่สุด

เมื่อเรารักษาศิลข้อที่ ๔. คือไม่กล่าคำเท็จ ย่อมได้ชื่อว่าให้ความจริงแก่ผู้อื่น ทำให้เกิดความ
สบายใจในการดำเนินชีวิต โดยไม่ต้องหวาดระแวงซึ่งกันและกัน

เมื่อเรารักาาศิลข้อที่ ๕.คือไม่ดื่มสุราเมรัย ย่อมได้ชื่อว่าให้ความปลอดภัยแก่ทุกสิ่ง เพราะคนที่
ประมาทจากสตินั้น สามารถทำความชั่วได้ทุกอย่าง จะฆ่าสัตวื ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในการ
หรือพูดเท็จก็ทำได้ทั้งสิ้น

เมื่อเราได้ให้ความไม่มีเวร ไม่มีภัยแก่สัตว์ทั้งหลายหาประมารมิได้อย่างนี้แล้ว ย่อมได้รับความไม่มีเวร
ไม่มีภัย ไม่ถูกเบียดเบียน หาประมารมิได้เช่นกัน เพราะเราทำเหตุอย่างใด ย่อมได้รับผลเช่นนั้น

ด้วยเหตุนี้ผู้ไม่มีปัจจัยจะบริจาคทาน จึงไม่ควรเสียใจ เพราะกุศลที่สูงกว่าทานที่ไม่ต้องอาสัยปัจจัย
ก็สามารถบำเพ็ญได้นั้นมีอยู่ กุศลนั้นคือกุศลที่พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นมาหาทานล้ำเลิศกว่าทานธรรมดา
ที่ต้องเสียสละของออกไปเสียอีก

ควรหรือไม่ที่จะรักษาศิล ๕ ให้บริสุทธิ์

ศิล ๕ เป็นศิลของคฤหัสถ์ ที่คฤหัสถ์ทั้งชายหญิงควารรักษาให้เป็นปกติ
เป็นประจำตลอดชีวิต ถึงกระนั้นศิลที่ขัดเกลากิเลสได้ยิ่งกว่าศิล ๕ คือ
อุโบสถศิล
คฤหัสถ์ควรรักษาตามโอกาสเป็นครั้งคราว โดยส่วนใหญ่นิยมรักษาในวัน
อุโบสถ คือวันพระ

ศิลอุโบสถนั้น มีองค์ประกอบถึงแปดองค์ ขาดองค์ใดองค์หนึ่งไม่ได้ตามพุทธบัญญัติ พูดง่ายๆว่า
ขาดศิลองค์ใดองค์หนึ่ง ก็หมายถึงว่าขาดหมดทั้งแปดองค์ ผู้ที่รักษาอุโบสถศิลจึงต้องสำรวม
ระวังกาย วาจา เป็นพิเศษกว่าศิล ๕ ข้อที่พิเศษขึ้นมาคือองค์ที่ ๓ ๖ ๗ ๘ มีรายละเอียดดังนี้

๑.ปาณาติปาตาเวรมณี งดเว้นจากการทำลายชีวิตสัตว์ให้ล่วงไป
๒.อทินนาทานาเวรมณี งดเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของมีมิได้ให้
๓.อพรหมจริยาเวรมณี งดเว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์
๔.มุสาวาทาเวรมณี งดเว้นจากการกล่าวเท็จ
๕.สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานาเวรมณี งดเว้นจากากรดื่มสุราเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
๖.วิกาลโภชนาเวรมณี งดเว้นจากการบริโภคอาหารยามวิกาล คือตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงอรุณขึ้น
บริโภคได้แต่น้ำธรรมดาและน้ำดื่ม ๘ อย่างที่เรียกว่า"อัฏฐบาน" ที่มีพุทธานุญาตไว้น้ำดื่ม ๘ อย่าง (อัฏฐบาน) คือ

น้ำดื่มทำจากผลมะม่วง ๑ ผลหว้า ๑ ผลกล้วยมีเมล็ด ๑ ผลกล้วยที่ไม่มีเมล็ด ๑
ผลมะทราง ๑ ผลจันทร์ หรือผลองุ่น ๑ เง่าบัว ๑ ผลมะปรางหรือลิ้นจี่ ๑

ต่อมาทรงมีพุทธานุญาตน้ำผลไม่ทุกชนิด เว้นน้ำต้มเมล็ดข้าวเปลือก น้ำใบไม้ทุกชนิด เว้นน้ำผักดอง
น้ำดอกไม้ทุกชนิด เว้นน้ำดอกมะทราง และทรงอนุญาตน้ำอ้อยสด

อรรถกถาท่านสรุปว่า ในยามวิกาลดื่มน้ำผลไม้ได้ทุกชนิด เว้นผลไม่ทีมีผลโตกกว่าผลมะตูม
(บางแห่งว่าผลมะขวิด) วิธีทำนั้นต้องคั้นเอาแต่น้ำ และกรองไม่ให้มีกากและไม่ให้ผ่านการ
ทำสุกด้วยไฟ น้ำปานะนี้เท่านั้นที่ผู้รักษาอุโบสถศิลควรดื่มยามวิกาล นอกจากนี้ไม่ควร พึงสังเกตุว่า
ไม่มีน้ำนมสดทุกชนิด คือน้ำนมที่ทำจากสัตว์ หรือน้ำนมที่ทำจากพืช เช่นถั่วเป็นต้น

นอกจากนี้พระพุทธองค์ยังทรงอนุญาตให้บริโภคเภสัช ๕ อย่างคือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง
น้ำอ้อย รวมทั้งงบน้ำอ้อยในยามวิกาลได้

๗.นัจจคีตวาทิตวิสูกทัสสนมาลาคันธวิเลปนธารณมัณฑนวิภูสนัฏฐานา เวรมณี คืองดเว้นจาก
การฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรีและดูการละเล่นอันเป็นข้าศึกต่อกุศล ลูบทาทัดทรงประดับตกแต่ง
ร่างกายด้วยระเบียบดอกไม้ ของหอม เครืองย้อม เครื่องทา อันเป็นฐานะแห่งการแต่งตัว

ศิลตอนแรกนี้ท่านห้ามทั้งเล่นเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นเล่นแล้วตนดูหรือฟัง ผู้รักษาอุโบสถศิลแล้วยังเปิด
วิทยุฟังเพลง มหรสพต่างๆ หรือเปิดโทรทัศน์แล้วเหลบไปนั่งในที่ที่มองไม่เห็นภาพ อาศัยฟังแต่เสียง
การละเล่นต่างๆ ย่อมไม่สมควรถือว่าผิดศิลข้อนี้ เพราะมีเจตนาชัดแจ้ง

หากมีผู้อื่นเขาเปิดดูหรือฟังอยู่ ผู้รักษาอุโบสถศิลเพียงแต่ผ่านไป ได้เห็นหรือได้ยินเข้า แล้วก็ผ่านเลยไป
อย่างนี้มิผิดแต่มิใช่ว่าไม่ได้มีเจตนาจะดูหรือฟังมาก่อนแต่ผ่านไปเห็น หรือได้ยินเจ้า แล้วเลยพลอย
ร่วมวงดูหรือฟังกับเขาด้วย อย่างนี้ถือว่าผิด

ในวินัยของพระอริยเจ้านั้น การขับร้องคือการร้องไห้ การฟ้อนรำคือความบ้า
การหัวเราะจนเห็นฟันพร่ำเพื่อคือความเป็นเด็ก


ศิลข้อ ๗.ตอนหลังนั้นให้เว้นจากากรลูบทา ทัดทรงประดับตกแต่ง
ร่างกายด้วยระเบียบดอกไม้
ของหอม เครื่องย้อม เครื่องทาอันเป็นฐานะแห่งการแต่งตัว ในข้อนี้มีข้อสังเกตคือ บางท่าน
ก่อนไปวัดเพื่อสมาทานอุโบสถศิล ก็ตกแต่งร่างกาย ทาหน้า ทาปาก อย่างสวยงามเสียก่อน
เพราะคิดว่าได้กระทำก่อนสมาทานศิลจึงไม่ผิด แต่เจตนาในการกระทำเพื่อให้สวยงามมีอยู่
จึงถือว่าผิด เพราะผู้ที่จะรักษาอุโบสถศิลนั้น ต้องตั้งเจตนาที่จะรักษาไว้แต่รุ่งเช้า ตลอดวัน
หนึ่งคืน

คำว่า วันหนึ่งคืนหนึ่ง ท่านกำหนดนับแต่อรุณขึ้นของวันที่กำหนดรักษา
ไปจนถึงอรุณขึ้นของวันใหม่ ถ้าน้อยกวากำหนดนี้ก็ไม่ชื่อว่า วันหนึ่งคืนหนึ่ง ผู้รักษาอุโบสถต้อง
ระลึกถึงข้อนี้ด้วย

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


แก้ไขล่าสุดโดย ทักทาย เมื่อ 21 ก.ย. 2010, 05:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2010, 05:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ศิลข้อ ๘.อุจจาสยนมหาสยนาเวรมณี งดเว้นจากการนั่งและนอนบนที่นอนสูง

คำว่าที่นั่งและที่นอนสูงใหญ่ ในศิลข้อนี้ ท่านหมายเอาที่นั่งและที่นอนที่สูงใหญ่เกินประมาณ
ที่ประดับตกแต่งด้วยเครื่องปูลาดที่วิจิตรงดงาม รวมไปถึงที่นอนที่ยัดด้วยนุ่นและสำลีด้วย
ทั้งนี้ก็เพื่อมิให้ยินดีตดใจในความงามและสมัมผัสที่อ่อนนุ่มสบายของที่นั่งที่นอนเหล่านั้น

อุโบสถศิลทั้ง ๔ ข้อที่แตกต่างและเพิ่มขึ้นจากศิล ๕ นั้น ถ้าไม่พิจารณาให้ละเอียดแล้ว
จะไม่เห็นว่าศิลทั้ง ๔ ข้อนี้เพิ่มความขัดเกลายิ่งขึ้น จึงไม่น่ายากแก่การรักษา แต่โดยที่แท้แล้ว
มิได้เป็นเช่นนั้น มิฉะนั้นแล้วคงไม่มีผู้ที่รักษาอุโบสถศิลน้อยมากอย่างนี้ เมื่อเทียบกับจำนวน
พลเมืองทั้งประเทศ
ปกติืของคฤหัสถ์นั้น ยังยินดีติดใจใการเสพประเวณี ในการบริโภคจนเกินประมาณ ในการตกแต่ง
ร่างกายให้สวยงาม ในการนอนนสบาย แต่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติอถโบสถศิล ๔ ข้อนี้ขึ้น
เพื่อขัดเกลาความยินดี ติดใจในสิ่งเหล่านี้ของคฤหัสถ์เป็นครั้งคราว มิได้ทรงบัญญัติให้รักษา
จนตลอดชีวิตอย่างพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ผู้ที่รักาาอุโบสถศิลเพียงชั่ววันหนึ่ง คืนหนึ่ง
เพราะน้อมระลึกว่า "แม้เราจะรักษาอุโบสถศิบจนตลอดชีวิตอย่างพระอรหันต์ไม่ได้ ก็ขอดำเนินรอย
ตามท่านด้วยการรักษาอุโบสถศิลอันมีองค์ ๘ นี้ ชั่ววันหนึ่งคืนหนึ่ง" เพียงเท่านี้พระพุทธองค์
ก็ยังตรัสว่า การรักษาอุโบสถศิลของผู้นั้นมีผลมาก มีอานิสงส์มาก (อุโปสถสูตร อ ติกนิบาต
ข้อ ๕๑๐) แม้พระราชาผู้ทรงเป็นใหญ่ใน ๑๖ แคว้น ก็ยังไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ ของอุโบสถที่
ประกอบด้วยองค์ ๘ เพราะศิลนั้นทำให้เกิดในสวรรค์

ถึงกระนั้นพระพุทธองค์ก็มิได้ทรงสอนให้หลงใหลติดใจในสมบัติและความสุขในโลกสวรรค์
เพราะมิฉะนั้นแล้ว พระองค์จะไม่ตรัสกับนางวิสาขา มหาอุบาสิกาเลยว่า

อะโบสถ (อุโปสถสูตร อ ติกนิบาต ข้อ ๕๑๐) มี ๓ อย่างคือ

๑.โคปาลกอุโบสถ อุโบสถที่เปรียบเหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโค
๒.นิคัณฐอุโบสถ อุโบสถของพวกนักบวชนิครนถ์
๓.อริยอุโบสถ อุโบสถของพระอริยะ

บุคคลผู้รักษาอุโบสถเหมือนคนรับจ้างเลี้ยงโคนั้น เมื่อสมาทานอุโบสถศิลแล้ว ก็ปล่อยใจให้คิดแต่
เรื่องราวของความโลภ ความต้องการ อย่างได้สิ่งโน้น สิ่งนั้น สิ่งนี้ มาบำรุง บำเรอตน มิได้คิดจะ
ทำความดีอย่างอื่นให้เกิดขึ้นเลย ไม่ผิดอะไรกับคนที่รับจ้างเลี้ยงโค ทีเมื่อถึงเวลาก็ไปรับโคมาเลี้ยง
เวลาเย็นก็นำโคมาส่งคืนเจ้าของ แล้วรับเอาค้าจ้างไป กลับบ้านแล้วก็มีแต่คิดว่าพรุ่งนี้จะพาโคไป
กินหญ้า กินน้ำที่ไหน คนรับจ้างนั้นไม่เคยได้รับประโยชน์อะไรจากโค มีน้ำนมเป็นต้น ผู้รักษา
โคปาลกอุโบสถก็เช่นกัน มิได้รับประโยชน์จากอุโบสถศิลที่ตนรักษาเลย การักษาอุโบสถศิล
แบบนี้จึงไม่มีผลมาก ไม่มีอานิสงส์ เพราะความตรึกไม่บริสุทธิ์

ส่วนนิคัณฐอุโบสถ นั้นเป็นอุโบสถของนักบวชนอกพระพุทธศาสนา ซึ่งแตกต่างจากการรักษา
อุโบสถในพระพุทธศาสนา กล่าวคือ ในอุโบสถพวกนักบวชนิครนธ์ จะแนะนำชักชวน สาวก
เป็นต้นว่า มิให้ฆ่าสัตว์ในที่ทั้ง ๔ ในที่เลยร้อยโยชไป นอกนั้นมิได้ห้าม การแนะนำชักชวน
สาวกอย่างนี้ชื่อว่า ห้ามการฆ่าสัตว์ในที่บางแห่ง ไม่ห้ามฆ่าสัตว์ในที่บางแห่ง เป็นการขาด
ความกรุณา เอ็นดูสัตว์บางจำพวก มิได้ให้ความเอ็นดูแก่สัตว์ทุกหมู่เหล่า อุโบสถของพวก
นิครนธ์จึงไม่มีผลมาก

แต่อริยอุโบสถนั้น เป็นอุโบสถที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก เพราะผู้รักษามิได้ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่าน
ไปในความยินดีต้องการ หรือความเศร้าหมองใดๆ ด้วยอำนาจของกิเลส แต่มาพากเพียรระลึกถึง
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดจนระลึกถึงศิลที่บริสุทธิ์ ไม่ด่างพร้อยของตน และระลึกถึง
คุณธรรมของผู้ที่เกิดเป็นเทวดา เพราะประกอบด้วย ศรัทธา ศิล สุตะ จาระ ปัญญา เช่นใด
แม้เราก็ประกอบด้วย ศรัทธา ศิ สุตะ จาคะ ปัญญา เช่นนั้น เมื่อพากเพียรระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า
เป็นต้น จิตยอ่มผ่องใส ไม่เศร้าหมอง เพราะกิเลส การรักษาอุโบสถ โดยการไม่ปล่อยใจให้ตก
ไปในอำนาจของอกุศล แล้วมาเจริญกุศลอย่างนี้ชื่อว่า อริยอุโบสถ

ด้วยเหตุนี้พระอรหันต์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า


"ศิลเท่านั้นเป็นเลิศ แต่ผู้มีปัญญาเป็นผู้สูงสุดในโลกนี้ ความชนะ
ในมนุษยโลก และเทวโลก ย่อมมีได้เพราะศิลและปัญญา"

(ขุททกนิกาย,ปุณณเถรคาถา,สีลวเถรคาถา)


จบแล้วจ้า... :b13:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


แก้ไขล่าสุดโดย ทักทาย เมื่อ 21 ก.ย. 2010, 06:01, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ย. 2010, 02:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


เพิ่งแจ้งในตอนนี้ว่า การถืออุโบสถศิล
ต้องไม่ดื่มน้ำนมทุกชนิด นี่แสดงว่าที่ผ่านมา มิได้อะไรเลย
เพราะจะเตรียมน้ำนมถั่วเหลือสำเร็จรูปไปทุกครั้ง
ที่ไปปฏิบัติธรรม.....ความไม่รู้นี่น่ากลัวจริงๆเลย

เอ....แล้วน้ำมะตูม น้ำตะไคร้ ถือเป็นน้ำปานะ
ได้หรือเปล่าหนอ?....เพราะถูกต้มให้สุก
สงสัยอีกแล้ว.....?????

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร