วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 12:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 เม.ย. 2014, 17:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


การสังคายนาพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาท

การสังคายนา หมายถึง การร้อยกรองหรือรวบรวมพระธรรมวินัย อันเป็นคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าซึ่งกระจัดกระจายกันอยู่ให้อยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน มีระบบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยมีการประชุมสงฆ์ดำเนินการรวบรวมจัดหมวดหมู่ จัดระบบให้เป็นที่เรียบร้อย แล้วมีการสวดซักซ้อมหรือสวดพร้อมกันและเป็นแบบเดียวกัน เป็นการตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์แห่งพระธรรมวินัย และลงมติรับรองกันไว้เป็นหลักฐานสำคัญ แล้วมีการท่องจำ จดจำ หรือจารึกไว้สืบต่อมา

การสังคายนา ครั้งที่ ๑ ถึงครั้งที่ ๔ เป็นการสังคายนาพระไตรปิฎกในรูปแบบ พระไตรปิฎกมุขปาฐะ (สวดหรือจดจำสืบต่อกันมาด้วยท่องจำ) ส่วนการสังคายนาต่อจากนั้นมา คือการสังคายนา ครั้งที่ ๕ ถึงครั้งที่ ๑๑ เป็นการสังคายนาพระไตรปิฎกในรูปแบบ พระไตรปิฎกลายลักษณ์อักษร

:b39: สาเหตุแห่งการสังคายนาพระธรรมวินัย

ปฐมเหตุความคิดที่จะให้มีการสังคายนาพระธรรมวินัยนั้น ได้มีมาแล้วตั้งแต่ครั้งพุทธกาล โดยพระพุทธองค์ได้ประทานพระพุทธโอวาทแนะนำไว้ กล่าวคือ เมื่อนิครนถนาฏบุตร ผู้เป็นอาจารย์เจ้าลัทธิเชนสิ้นชีพ พวกสาวกของเจ้าลัทธินี้ได้เกิดแตกสามัคคีกัน ครั้งนั้น พระจุนทเถระ ผู้เป็นน้องชายของพระสารีบุตรเถระ ได้ทราบเรื่องนั้นแล้ว มีความห่วงใยในพระพุทธศาสนา เกรงเหตุการณ์เช่นนั้นจะเกิดขึ้นแก่พระพุทธศาสนา จึงไปพบพระอานนท์เถระเล่าความนั้นให้ฟัง พระอานนท์เถระจึงได้ชวนเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระจุนทเถระกราบทูลเล่าเรื่องนั้นถวายให้ทรงทราบ พระพุทธองค์ได้ประทานพระพุทธโอวาทเป็นอันมากแก่พระจุนทเถระ ที่สำคัญข้อหนึ่งก็คือ พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า ที่พวกสาวกของนิครนถนาฏบุตรเกิดแตกความสามัคคีกันนั้น เพราะคำสอนของเจ้าลัทธิไม่สมบูรณ์และมีความสับสน ทั้งพวกสาวกก็ไม่ปฏิบัติตามคำสอน แล้วทรงแนะนำให้รวบรวมพระพุทธวจนะ ให้ทำการสังคายนาไว้เพื่อความมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนาสืบไป

พระสารีบุตรเถระก็ได้แนะนำพระภิกษุสงฆ์ให้ช่วยกันรวบรวมพระพุทธวจนะ หรือทำการสังคายนาพระธรรมวินัยไว้เช่นเดียวกัน กล่าวคือ หลังจากนิครนถนาฏบุตรสิ้นชีพ และพวกสาวกเกิดแตกความสามัคคีกันดังกล่าวแล้วนั้น ตอนค่ำวันหนึ่ง พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมโปรดพระภิกษุสงฆ์ที่เข้าเฝ้า จบแล้วทรงเห็นว่าพระภิกษุสงฆ์ยังประสงค์จะฟังธรรมต่อไปอีก จึงทรงมอบหมายให้พระสารีบุตรเถระแสดงธรรมแทน ครั้งนั้นพระสารีบุตรเถระได้แสดงธรรมแก่พระภิกษุสงฆ์ ได้แนะนำให้ช่วยกันรวบรวมร้อยกรองพระธรรมวินัยไว้ โดยแสดงตัวอย่างการจัดหมวดหมู่ธรรมะเป็นหมวดๆ ตั้งแต่หมวด ๑ ถึงหมวด ๑๐ ว่าธรรมะอะไรบ้างอยู่ในหมวดนั้นๆ หัวข้อเรื่องที่พระสารีบุตรเถระแสดงในครั้งนั้น เรียกว่า สังคิติสูตร อันแปลว่า สูตรว่าด้วยการสังคายนาพระธรรมวินัย เมื่อพระสารีบุตรเถระแสดงธรรมจบแล้ว พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานสาธุการ แต่พระสารีบุตรเถระเองได้นิพพานไปก่อนพระพุทธเจ้า ดังนั้น ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ภาระจึงตกอยู่กับพระมหากัสสปเถระ เนื่องจากตอนนั้นพระมหากัสสปเถระเป็นพระสาวกผู้มีอายุพรรษามากที่สุด

รูปภาพ
ถ้ำสัตตบรรณคูหา กรุงราชคฤห์ ประเทศอินเดีย สถานที่ทำสังคายนา ครั้งที่ ๑
(ปัจจุบันเพดานถ้ำถล่มลงมาปิดปากถ้ำหมดแล้ว)


:b44: การสังคายนา ครั้งที่ ๑
เกิดขึ้นหลังจากพุทธปรินิพพานได้ ๓ เดือน

มูลเหตุ : เมื่อพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานได้ ๗ วัน พระมหากัสสปเถระอยู่ที่เมืองปาวา ยังไม่ทราบว่าพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน จึงพาพระสงฆ์จำนวน ๕๐๐ รูปเดินทางออกจากเมืองปาวาด้วยประสงค์จะไปเฝ้าพระพุทธองค์ที่เมืองกุสินารา ในระหว่างเดินทางนั้นเอง ก็ได้ทราบข่าวการเสด็จดับขันธปรินิพพานจากอาชีวก (นักบวชนิกายหนึ่ง) คนหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาจากเมืองกุสินารา พระสงฆ์ทั้งมวลซึ่งมีพระมหากัสสปเถระเป็นหัวหน้าเมื่อได้ทราบข่าวนั้นแล้ว ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ต่างก็มีความสลดใจ ผู้ที่เป็นปุถุชนอยู่ก็เศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้คร่ำครวญ รำพึงรำพันกันไปต่างๆ นานา แต่พระภิกษุบวชเมื่อแก่รูปหนึ่งชื่อ สุภัททะ มิได้เป็นเช่นนั้น และได้ห้ามพระภิกษุเหล่านั้นมิให้เสียใจ มิให้ร้องไห้ โดยกล่าวชี้นำว่า ที่พระพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพานนั้นเป็นการดีแล้ว ต่อนี้ไปจะทำอะไรได้ตามใจ ไม่มีใครคอยมาชี้ว่าผิดนี่ ถูกนี่ ควรนี่ ไม่ควรนี่ต่อไปอีก

พระมหากัสสปเถระได้ฟังคำกล่าวจ้วงจาบเช่นนั้นแล้วเกิดความสลดใจ ภายหลังจากการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระเสร็จสิ้นแล้ว ได้มีการประชุมสงฆ์ พระมหากัสสปเถระซึ่งเป็นผู้มีอายุพรรษามากกว่าพระสงฆ์ทุกรูปได้รับเลือกให้เป็นประธานสงฆ์ มีฐานะเป็นสังฆปริณายก (ผู้นำคณะสงฆ์) บริหารการคณะสงฆ์ตามพระธรรมวินัย ท่านจึงได้นำเรื่องที่พระภิกษุสุภัททะกล่าวจ้วงจาบพระธรรมวินัยนั้นเสนอต่อที่ประชุมสงฆ์ ชวนให้ทำการสังคายนาพระธรรมวินัยและได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม ต่อจากนั้นมา ๓ เดือนก็ได้มีการประชุมทำสังคายนา ครั้งที่ ๑

สถานที่ : ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างเขาเวภารบรรพต ใกล้เมืองราชคฤห์ ชมพูทวีป

องค์อุปถัมภ์ : พระเจ้าอชาตศัตรู

การจัดการ : พระมหากัสสปเถระได้รับเลือกเป็นประธานและเป็นผู้ซักถามพระธรรมวินัย พระอุบาลีเถระเป็นผู้ตอบข้อซักถามทางพระวินัย (วินัยปิฎก) พระอานนท์เถระเป็นผู้ตอบข้อซักถามทางพระธรรม (สุตตันตปิฎกและอภิธรรมปิฎก) มีพระอรหันต์เข้าประชุมเป็นสังคีติการกสงฆ์ (สงฆ์ผู้เป็นคณะกรรมการทำสังคายนา) จำนวน ๕๐๐ รูป ซึ่งแนวการวางระเบียบพระธรรมวินัยในครั้งนั้นได้จัดเป็นรูปแบบที่เรียกว่า พระไตรปิฎก และยังคงมีการรักษาสิ่งที่ได้จัดรวบรวมในครั้งปฐมสังคายนาอยู่ในพระไตรปิฎกฉบับเถรวาท โดยไม่มีการปรับแก้มาจนปัจจุบัน

นอกจากนี้ ในการประชุมนี้ยังมีการบัญญัติคำขอร้องของพระมหากัสสปเถระต่อปัญหาที่ว่า อะไรคืออาบัติเล็กน้อย ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสอนุญาตว่า “ถ้าสงฆ์จำนงอยู่ พึงเพิกถอนได้” เมื่อที่ประชุมมีความเห็นไม่ตรงกัน พระมหากัสสปเถระจึงเสนอญัตติว่า “ขอให้สงฆ์ไม่บัญญัติข้อที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติไว้ ไม่ถอนข้อที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้แล้ว ประพฤติอยู่ในสิกขาบททั้งหลายตามที่ทรงบัญญัติไว้” ปรากฏว่าที่ประชุมสงฆ์ได้ยอมรับมตินี้ด้วยดุษณีภาพ เป็นการวางรากฐานพุทธศาสนาแบบเถรวาทตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ระยะเวลา : ๗ เดือน จึงสำเร็จ

รูปภาพ
เมืองเวสาลี ประเทศอินเดีย สถานที่ทำสังคายนา ครั้งที่ ๒


:b44: การสังคายนา ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๑๐๐
เกิดขึ้นหลังจากพุทธปรินิพพานได้ ๑๐๐ ปี

มูลเหตุ : พระยสะกากัณฑกบุตร ได้ปรารภถึงข้อปฏิบัติทางพระวินัยพุทธบัญญัติที่ย่อหย่อน ๑๐ ประการของพวกพระภิกษุวัชชีบุตร เช่น ถือว่าเก็บเกลือไว้ในเขนง (เขาสัตว์) เพื่อนำมาผสมอาหารไว้สำหรับฉันตลอดไปได้, เมื่อตะวันชายเกินเที่ยงวันไปแล้วประมาณ ๒ องคุลีหรือประมาณ ๒ นิ้วฉันอาหารได้, รับเงินและทองไว้ใช้ได้, ฉันสุราอ่อนๆ ได้ เป็นต้น พระยสะกากัณฑกบุตรเห็นว่าข้อปฏิบัติย่อหย่อนดังกล่าวนี้ขัดกับพระวินัยพุทธบัญญัติ จึงได้ชักชวนพระเถระผู้ใหญ่อีก ๗ รูป คือ พระสัพพกามีเถระ พระเรวตเถระ พระสาฬหเถระ พระขุชชโสภิตเถระ พระวาสภคามิกเถระ พระสัมภูตสาณวาสีเถระ และพระสุมนเถระ ประชุมพิจารณาวินิจฉัย ร่วมมือกันทำการสังคายนาพระธรรมวินัยเพื่อความมั่นคงพระพุทธศาสนาสืบไป

สถานที่ : วัดวาลิการาม เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ชมพูทวีป

องค์อุปถัมภ์ : พระเจ้ากาลาโศกราช

การจัดการ : พระยสะกากัณฑกบุตรเป็นประธาน พระเรวตเถระเป็นผู้ซักถามพระธรรมวินัย พระสัพพกามีเถระเป็นผู้ตอบข้อซักถาม มีพระอรหันต์เข้าประชุมเป็นสังคีติการกสงฆ์จำนวน ๗๐๐ รูป

ระยะเวลา : ๘ เดือน จึงสำเร็จ

รูปภาพ
๑ ใน ๘๐ เสาของห้องโถง (ในภาพ : เป็นเสาด้านที่ฝังอยู่ในดิน) วัดอโศการาม
เมืองปาฏลีบุตร (เมืองปัตนะ) ประเทศอินเดีย สถานที่ทำสังคายนา ครั้งที่ ๓


:b44: การสังคายนา ครั้งที่ ๓ พ.ศ.๒๓๕
เกิดขึ้นหลังจากพุทธปรินิพพานได้ ๒๓๕ ปี

มูลเหตุ : พวกเดียรถีย์หรือพวกนักบวชในศาสนาอื่นมาปลอมบวชในพระพุทธศาสนา ด้วยเห็นแก่ลาภสักการะและเพื่อบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา ได้แสดงลัทธิและความเห็นของตนว่า “เป็นพระพุทธศาสนา เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า” พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระได้ขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราช ให้มีการสอบสวน สะสาง และกำจัดพวกเดียรถีย์หรือพวกนักบวชในศาสนาอื่นที่มาปลอมบวชประมาณ ๖๐,๐๐๐ รูป แล้วให้สละสมณเพศออกจากพระพุทธศาสนาได้สำเร็จ

สถานที่ : วัดอโศการาม เมืองปาฏลีบุตร ชมพูทวีป (ปัจจุบันคือ เมืองปัตนะ รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย)

องค์อุปถัมภ์ : พระเจ้าอโศกมหาราช

การจัดการ : พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน มีพระอรหันต์เข้าประชุมเป็นสังคีติการกสงฆ์จำนวน ๑,๐๐๐ รูป

ระยะเวลา : ๙ เดือน จึงสำเร็จ

การสังคายนาพระธรรมวินัยในครั้งนี้ มีการซักถามพระธรรมวินัยและตอบข้อซักถามเช่นเดียวกับการสังคายนาในครั้งก่อน แต่ไม่ปรากฏรายละเอียดว่า พระเถระรูปใดทำหน้าที่ซักถาม รูปใดทำหน้าที่ตอบข้อซักถาม เพียงแต่ปรากฏว่า พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระได้เสนอคำถาม ๕๐๐ ข้อเพิ่มเข้าใน “คัมภีร์กถาวัตถุ” ซึ่งเป็นคัมภีร์หนึ่งในพระอภิธรรมปิฎก เป็นการขยายความคัมภีร์นั้นให้พิสดารออกไปอีก ที่ประชุมสงฆ์ได้รับรองว่าเป็นคำอธิบายที่ถูกต้องตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ผลการสังคายนาในครั้งนี้ นอกจากจะได้กำจัดพวกเดียรถีย์ปลอมบวชให้ออกจากพระพุทธศาสนาแล้ว ยังได้สอบทานพระธรรมวินัยให้ถูกต้อง และได้นำคำถาม ๕๐๐ ข้อ คำตอบ ๕๐๐ ข้อ เพิ่มเข้าในคัมภีร์กถาวัตถุด้วย

เมื่อเสร็จการสังคายนาแล้วได้มีการส่งสมณทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศรวม ๙ สายด้วยกัน และส่งไปสายละ ๕ รูป เพื่อจะได้ให้การอุปสมบทแก่ผู้เลื่อมใสได้ถูกต้องตามพระธรรมวินัย

สายที่ ๑ พระมัชฌันติกเถระ พร้อมด้วยคณะ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ แคว้นกัสมีระหรือแคว้นแคชเมียร์ และแคว้นคันธาระ (ปัจจุบันคือ พื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย ตลอดไปถึงบางส่วนของประเทศอัฟกานิสถาน)

สายที่ ๒ พระมหาเทวเถระ พร้อมด้วยคณะ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ แคว้นมหิงสกมณฑล (ปัจจุบันคือ รัฐการ์นาตกะหรือรัฐไมซอร์ ภาคใต้ของประเทศอินเดียฝั่งตะวันตก)

สายที่ ๓ พระรักขิตเถระ พร้อมด้วยคณะ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ วนวาลีประเทศ (ปัจจุบันคือ ตอนเหนือของรัฐการ์นาตกะหรือรัฐไมซอร์ ภาคใต้ของประเทศอินเดีย)

สายที่ ๔ พระธรรมรักขิตเถระหรือพระโยนกธรรมรักขิตเถระ (ซึ่งเข้าใจกันว่าเป็นฝรั่งคนแรกเชื้อชาติกรีกที่ได้เข้าบวชในพระพุทธศาสนา) พร้อมด้วยคณะ ได้ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ อปรันตกชนบท (ปัจจุบันคือ ตอนเหนือของเมืองบอมเบย์หรือเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย)

สายที่ ๕ พระมหาธรรมรักขิตเถระ พร้อมด้วยคณะ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ แคว้นมหารัฐ (ปัจจุบันคือ แถบเมืองปูนา รัฐมหาราษฏระ ประเทศอินเดีย)

สายที่ ๖ พระมหารักขิตเถระ พร้อมด้วยคณะ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ โยนกประเทศ (ปัจจุบันคือ ตอนเหนือของประเทศอิหร่าน ตลอดไปจนถึงบางส่วนของประเทศตุรกี)

สายที่ ๗ พระมัชฌิมเถระ พร้อมด้วยคณะ คือ พระกัสสปโคตรเถระ พระมูลกเทวเถระ พระทุนทภิสสระเถระ และพระเทวเถระ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ ดินแดนหิมวันต์ (ปัจจุบันคือ แถบภูเขาหิมาลัย ประเทศเนปาล)

สายที่ ๘ พระโสณเถระ และพระอุตตรเถระ พร้อมด้วยคณะ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ (ปัจจุบันคือ แถบประเทศพม่า ประเทศมอญ และประเทศไทย)

สายที่ ๙ พระมหินทเถระ และพระสังฆมิตตาเถรี (พระราชโอรสและพระราชธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราช) พร้อมด้วยคณะ คือ พระอริฏฐเถระ พระอุทริยเถระ พระสัมพลเถระ และพระหัททสารเถระ ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ณ ลังกาทวีป ในรัชสมัยของพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ กษัตริย์แห่งลังกาทวีป (ปัจจุบันคือ ประเทศศรีลังกา)

รูปภาพ

รูปภาพ
เจดีย์ถูปาราม (Thuparama Pagoda) เมืองอนุราธปุระ
ประเทศศรีลังกา สถานที่ทำสังคายนา ครั้งที่ ๔


:b44: การสังคายนา ครั้งที่ ๔ พ.ศ.๒๓๘
หลังจากพระมหินทเถระและคณะ
ออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในลังกาทวีปประมาณ ๓ ปี


มูลเหตุ : พระมหินทเถระ ประสงค์จะให้พระพุทธศาสนาได้หยั่งรากอย่างมั่นคงในลังกาทวีป เป็นการวางรากฐานให้พระสงฆ์ชาวลังกาท่องจำพระพุทธวจนะตามระบบการศึกษาพระปริยัติธรรมในเวลานั้น

สถานที่ : เจดีย์ถูปาราม (Thuparama Pagoda) เมืองอนุราธปุระ (Anuradhapura) ในลังกาทวีป

องค์อุปถัมภ์ : พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ กษัตริย์แห่งลังกาทวีป

การจัดการ : พระสงฆ์ ๖๘,๐๐๐ รูป มีพระมหินทเถระเป็นประธานและเป็นผู้ซักถาม พระอริฏฐเถระเป็นผู้ตอบข้อซักถามพระธรรมวินัย โดยมีพระเถระรูปอื่นๆ เป็นผู้สวดทบทวนพระธรรมวินัย มีพระสงฆ์ผู้เป็นองค์พระอรหันต์เข้าประชุมเป็นจำนวน ๓๘ รูป และพระเถระผู้จดจำพระไตรปิฎกอีกจำนวน ๙๖๒ รูป

ระยะเวลา : ๑๐ เดือน จึงสำเร็จ

รูปภาพ
วัดอาโลกวิหาร (Alu Vihara) เมืองมะตะเล ประเทศศรีลังกา
สถานที่ทำสังคายนา ครั้งที่ ๕


:b44: การสังคายนา ครั้งที่ ๕ พ.ศ.๔๓๓

มูลเหตุ : ทางการคณะสงฆ์ชาวลังกาและทางราชการบ้านเมืองเห็นว่า พระธรรมวินัยหรือพระพุทธวจนะที่ได้สังคายนาไว้นั้นมีความสำคัญมาก นับเป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา หากจะพิทักษ์รักษาพระธรรมวินัยให้ดำรงอยู่สืบไปด้วยวิธีการท่องจำดังที่เคยถือปฏิบัติกันมา ก็อาจมีข้อวิปริตผิดพลาดได้ง่ายเพราะความจำของผู้บวชเรียนเสื่อมถอยลง การสังคายนาในครั้งนี้จึงได้ตกลงจารึกพระธรรมวินัยเป็นภาษามคธอักษรบาลีลงในใบลาน พร้อมทั้งคำอธิบายพระไตรปิฎกที่เรียกว่า อรรถกถา ซึ่งเดิมเป็นภาษามคธอักษรบาลี นับเป็นครั้งแรกที่ได้มีการจารึกพระธรรมวินัยเป็นภาษามคธอักษรบาลีเป็นลายลักษณ์อักษร พระไตรปิฎกลายลักษณ์อักษรจึงมีขึ้นเป็นฉบับแรกในพระพุทธศาสนา นับเป็นการสังคายนา ครั้งที่ ๒ ในลังกาทวีป

สถานที่ : อาโลกเลนสถาน ณ มตเลชนบท ในลังกาทวีป ซึ่งปัจจุบันคือ วัดอาโลกวิหาร (Alu Vihara) เมืองมะตะเล (Matale) ประเทศศรีลังกา

องค์อุปถัมภ์ : พระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย

การจัดการ : พระรักขิตมหาเถระเป็นประธานและเป็นผู้ซักถามพระธรรมวินัย พระติสสเถระเป็นผู้ตอบข้อซักถาม มีพระสงฆ์ผู้เป็นองค์พระอรหันต์ และพระสงฆ์ปุถุชนเข้าประชุมเป็นสังคีติการกสงฆ์จำนวนกว่า ๑,๐๐๐ รูป

ระยะเวลา : ๑ ปี จึงสำเร็จ


:b39: ปัญหาการนับครั้งการสังคายนา

การนับครั้งของการสังคายนานั้น มีความแตกต่างกันในพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทกับพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน นอกจากนี้แล้วแม้ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทด้วยกันเอง ก็ยังนับครั้งการสังคายนาไม่ตรงกัน ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้

๏ ประเทศศรีลังกา นับการสังคายนาสามครั้งแรกที่ประเทศอินเดีย และการสังคายนาที่ประเทศตนเองอีก ๓ ครั้ง โดยครั้งสุดท้าย (เป็นการสังคายนา ครั้งที่ ๖ ของประเทศศรีลังกา) กระทำเมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๘ โดยการสังคายนาในครั้งนี้เป็นที่รู้กันเฉพาะในประเทศศรีลังกาเท่านั้น

๏ ประเทศพม่า นับการสังคายนาสามครั้งแรกที่ประเทศอินเดีย และนับการสังคายนา ครั้งที่ ๒ ที่ประเทศศรีลังกา เป็นครั้งที่ ๔ ของประเทศพม่า และนับการสังคายนาที่ประเทศตนเองอีก ๒ ครั้ง คือ ครั้งที่ ๕ ในรัชสมัยพระเจ้ามินดง ที่เมืองมัณฑะเลย์ โดยมีพระชาคราภิวังสะ พระนรินทาภิธชะ และพระสุมังคลสามี ผลัดกันเป็นประธานท่ามกลางที่ประชุมของพระสงฆ์และคฤหัสถ์ ผู้เชี่ยวชาญแตกฉานในพระปริยัติธรรมที่เข้าร่วมประชุม ๒,๔๐๐ ท่าน ทำอยู่ ๕ เดือนจึงสำเร็จเมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๔ ผลการสังคายนาในครั้งนี้นอกจากจารึกพระไตรปิฎกลงใบลานตามปกติแล้ว ยังให้มีการจารึกพระไตรปิฎกลงในหินอ่อน ๗๒๙ แผ่น และครั้งที่ ๖ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ฉัฏฐสังคายนา ที่กรุงย่างกุ้ง ทำอยู่ ๒ ปีจึงสำเร็จ คือเริ่มกระทำเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๔๙๗ เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๔๙๙ จุดประสงค์ของการทำสังคายนาในครั้งนี้ทำขึ้นเนื่องในโอกาสฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ เพื่อจัดพิมพ์พระไตรปิฎก อรรถกถา และคำแปลเป็นภาษาพม่า รัฐบาลพม่าได้เชิญผู้นำชาวพุทธต่างประเทศ โดยเฉพาะสายเถรวาทจากหลายประเทศเข้าร่วมพิธีด้วย โดยเฉพาะจากประเทศศรีลังกา ไทย ลาว และกัมพูชา ครั้นทำสังคายนาแล้วเสร็จก็ได้แจกจ่ายพระไตรปิฎกฉบับอักษรพม่าไปยังประเทศต่างๆ ด้วย

๏ ประเทศไทย นับการสังคายนาสามครั้งแรกที่ประเทศอินเดีย และครั้งที่ ๑-๒ ที่ประเทศศรีลังกา เป็นการสังคายนา ครั้งที่ ๑-๕ และยังได้นับเพิ่มเติมอีกคือการสังคายนา ครั้งที่ ๖-๑๑ ดังนี้

รูปภาพ

รูปภาพ
ซากโลหปราสาท เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา
สถานที่ทำสังคายนา ครั้งที่ ๖ และครั้งที่ ๗


:b44: การสังคายนา ครั้งที่ ๖ พ.ศ.๙๕๖
ได้มีการทำสังคายนาพระธรรมวินัยโดยการแปลและเรียบเรียงอรรถกถา
(คัมภีร์อธิบายพระไตรปิฎก)


มูลเหตุ : พระพุทธโฆสเถระ (หรือที่ไทยเรานิยมเรียกว่า พระพุทธโฆษาจารย์) ซึ่งเป็นพระมหาเถระชาวชมพูทวีป ผู้เปรื่องปราดมีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก และนับเป็นปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาและภาษาบาลี เห็นว่าคัมภีร์อรรถกถาแห่งพระไตรปิฎกนั้นมีสมบูรณ์ บริบูรณ์ เป็นภาษาสิงหล อยู่ในลังกาทวีป ท่านจึงเดินทางไปลังกาทวีป เพื่อขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้ามหานาม ในการแปลและเรียบเรียงคัมภีร์อรรถกถาจากภาษาสิงหลเป็นภาษามคธอักษรบาลี เพื่อจะได้เป็นตันติภาษา (ภาษาที่มีแบบแผน) สอดคล้องกับคัมภีร์พระไตรปิฎก และจะได้เป็นประโยชน์กว้างขวางต่อไป นับเป็นการสังคายนา ครั้งที่ ๓ ในลังกาทวีป (เนื่องจากการสังคายนาครั้งนี้มิได้ชำระพระไตรปิฎก หากแต่ชำระคัมภีร์อรรถกถาคือแปลและเรียบเรียงคัมภีร์อรรถกถาจากภาษาสิงหลเป็นภาษามคธอักษรบาลี ทางประเทศศรีลังกาจึงไม่นับเป็นการสังคายนา)

สถานที่ : โลหปราสาท เมืองอนุราธปุระ ในลังกาทวีป

องค์อุปถัมภ์ : พระเจ้ามหานาม

การจัดการ : พระพุทธโฆสเถระ (หรือพระพุทธโฆษาจารย์) เป็นประธาน มีการแปลและเรียบเรียงคัมภีร์อรรถกถาแห่งพระไตรปิฎก จากภาษาสิงหลเป็นภาษามคธอักษรบาลี

ระยะเวลา : ๑ ปี จึงสำเร็จ


:b44: การสังคายนา ครั้งที่ ๗ พ.ศ.๑๕๘๗

มูลเหตุ : ทางการคณะสงฆ์อันมี “พระมหากัสสปเถระ” เป็นประธาน และทางราชการบ้านเมืองอันมี “พระเจ้าปรักกมพาหุ” เป็นประมุข เห็นว่าคัมภีร์พระไตรปิฎกซึ่งเรียกว่า ปาลิ เป็นภาษามคธอักษรบาลี และคัมภีร์อธิบายพระไตรปิฎกซึ่งเรียกว่า อรรถกถา นั้นก็ได้แปลและเรียบเรียงเป็นภาษามคธอักษรบาลี อันเป็นตันติภาษา (ภาษาที่มีแบบแผน) สอดคล้องกับคัมภีร์พระไตรปิฎกแล้ว ส่วนคัมภีร์อธิบายอรรถกถาซึ่งเรียกว่า ฎีกา และคัมภีร์อธิบายฎีกาซึ่งเรียกว่า อนุฎีกา ยังมิได้แปลและเรียบเรียงเป็นภาษามคธ ยังเป็นภาษาสิงหลบ้าง เป็นภาษาสิงหลปะปนกับภาษามคธบ้าง ควรจะได้แปลและเรียบเรียงเป็นภาษามคธให้หมดสิ้น จึงได้ดำเนินการแปลและเรียบเรียงคัมภีร์ดังกล่าวเป็นภาษามคธอักษรบาลี อันเป็นตันติภาษา (ภาษาที่มีแบบแผน) เช่นเดียวกับคัมภีร์พระไตรปิฎกและคัมภีร์อรรถกถา นับเป็นการสังคายนา ครั้งที่ ๔ ในลังกาทวีป

สถานที่ : ลังกาทวีป (เข้าใจว่าที่โลหปราสาท เมืองอนุราธปุระ)

องค์อุปถัมภ์ : พระเจ้าปรักกมพาหุ

การจัดการ : พระมหากัสสปเถระเป็นประธาน พร้อมด้วยการกสงฆ์ (กรรมการเฉพาะกิจสงฆ์) ซึ่งเป็นพระสงฆ์ผู้เชี่ยวชาญพุทธธรรมจำนวนกว่า ๑,๐๐๐ รูป

ระยะเวลา : ๑ ปี จึงสำเร็จ

กล่าวกันว่า หลังจากที่ได้มีการสังคายนาในครั้งนี้แล้วไม่นาน พระเจ้าอนุรุทธมหาราช กษัตริย์กรุงพุกาม แห่งประเทศพม่า ได้เสด็จไปลังกาทวีป และทรงจำลองคัมภีร์พระไตรปิฎก พร้อมทั้งคัมภีร์อรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกา นำมาประดิษฐานไว้ศึกษาเล่าเรียนในประเทศพม่า ต่อแต่นั้นมา บรรดาประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา เช่น ไทย เขมร ก็ได้ส่งพระสงฆ์และราชบัณฑิตไปจำลองคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกา นำมาประดิษฐานไว้ศึกษาเล่าเรียนในประเทศของตนบ้าง

รูปภาพ
วัดโพธาราม (วัดเจ็ดยอด) เมืองเชียงใหม่ สถานที่ทำสังคายนา ครั้งที่ ๘


:b44: การสังคายนา ครั้งที่ ๘ พ.ศ.๒๐๒๐

มูลเหตุ : พระธรรมทินมหาเถระ ผู้เปรื่องปราดแตกฉานในพระไตรปิฎก ได้พิจารณาเห็นว่าคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกา ซึ่งมีอยู่ในเวลานั้นมีข้อวิปลาสคลาดเคลื่อนอยู่มาก ด้วยการจำลองหรือคัดลอกกันต่อๆ มาเป็นเวลาช้านาน จึงเข้าเฝ้าถวายพระพรขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้าติโลกราช (พระเจ้าศิริธรรมจักรวรรดิดิลกราช) เมื่อได้รับการอุปถัมภ์แล้วพระธรรมทินมหาเถระก็ได้เลือกพระสงฆ์ผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกประชุมกันทำการสังคายนา โดยการตรวจชำระคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และอนุฎีกา จารึกไว้ในใบลานด้วยอักษรธรรมของล้านนา นับเป็นการสังคายนา ครั้งที่ ๑ ในอาณาจักรล้านนาหรือประเทศไทยในปัจจุบัน

สถานที่ : วัดโพธาราม (วัดเจ็ดยอด) เมืองเชียงใหม่ ประเทศไทย

องค์อุปถัมภ์ : พระเจ้าติโลกราช (พระเจ้าศิริธรรมจักรวรรดิดิลกราช)

การจัดการ : พระธรรมทินมหาเถระเป็นประธาน พร้อมด้วยการกสงฆ์ (กรรมการเฉพาะกิจสงฆ์)

ระยะเวลา : ๑ ปี จึงสำเร็จ


:b44: การสังคายนา ครั้งที่ ๙ พ.ศ.๒๓๓๑

มูลเหตุ : พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ พร้อมด้วยสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงมีพระราชศรัทธาปรารถนาจะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคงสืบไป ได้ทรงทราบจากพระสงฆ์อันมี สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นประธาน ว่าในเวลานั้นพระไตรปิฎกมีข้อวิปลาสคลาดเคลื่อนมาก แม้พระสงฆ์จะมีความประสงค์จะทำนุบำรุงให้สมบูรณ์ก็ไม่มีกำลังพอจะทำได้ พระองค์จึงได้ทรงอาราธนาสมเด็จพระสังฆราชฯ พร้อมด้วยพระสงฆ์ทั้งปวงให้รับภาระในเรื่องนี้ ดังนั้น พระสงฆ์อันมีสมเด็จพระสังฆราชฯ เป็นประธาน จึงได้เริ่มทำการสังคายนาพระธรรมวินัย ตรวจชำระพระไตรปิฎกพร้อมทั้งคัมภีร์ลัททาวิเสส (คัมภีร์ไวยากรณ์บาลี) และได้จารึกไว้ในใบลานด้วยอักษรขอม ซึ่งนับเป็นการสังคายนา ครั้งที่ ๒ ในประเทศไทย

สถานที่ : วัดพระศรีสรรเพชญ์ ซึ่งปัจจุบันคือ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย

องค์อุปถัมภ์ : พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑

การจัดการ : สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) เป็นประธาน มีพระสงฆ์เข้าประชุมเป็นสังคีติการกสงฆ์จำนวน ๒๑๘ รูป และมีราชบัณฑิตเป็นผู้ช่วยเหลืออีกจำนวน ๓๒ คน

ระยะเวลา : ๕ เดือน จึงสำเร็จ

รูปภาพ
พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร
สถานที่ทำสังคายนา ครั้งที่ ๑๐


:b44: การสังคายนา ครั้งที่ ๑๐ พ.ศ.๒๔๓๑

มูลเหตุ : เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เสวยราชสมบัติได้ ๒๕ ปี ทรงปรารภจะบำเพ็ญพระมหากุศล ทรงเห็นว่าพระไตรปิฎกที่เขียนไว้ในคัมภีร์ใบลานไม่มั่นคง ทั้งจำนวนก็มากยากที่จะเก็บรักษา และเป็นตัวขอม ผู้ไม่รู้อ่านไม่เข้าใจ จึงทรงมีพระราชศรัทธาให้พิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่มแบบฝรั่งขึ้นใหม่ โดยโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส และพระเถรานุเถระทั้งหลาย อาทิเช่น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์เป็น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ฯลฯ ช่วยกันชำระ โดยคัดลอกตัวขอมในคัมภีร์ใบลาน เป็นตัวอักษรไทย แล้วชำระแก้ไขและพิมพ์เป็นเล่มหนังสือ รวม ๓๙ เล่ม เริ่มชำระและจัดพิมพ์ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๑ สำเร็จเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๖ จำนวน ๑,๐๐๐ ชุด ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่มด้วยอักษรไทย และนับเป็นการสังคายนา ครั้งที่ ๓ ในประเทศไทย

สถานที่ : พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย

องค์อุปถัมภ์ : พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕

การจัดการ : สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เมื่อครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส และสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) เมื่อครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์เป็น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นประธาน มีพระสงฆ์เข้าประชุมเป็นสังคีติการกสงฆ์จำนวน ๑๑๐ รูป

ระยะเวลา : ๖ ปี จึงสำเร็จ

รูปภาพ
วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร
สถานที่ทำสังคายนา ครั้งที่ ๙ และครั้งที่ ๑๑


:b44: การสังคายนา ครั้งที่ ๑๑ พ.ศ.๒๕๓๐

มูลเหตุ : ในปี พ.ศ.๒๕๓๐ ซึ่งเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบปีนักษัตร สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๑๘ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงดำริเห็นว่าพระไตรปิฎกอันเป็นคัมภีร์สำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนานั้น มีข้อวิปลาสคลาดเคลื่อนอยู่ อันเกิดจากความประมาทพลาดพลั้งในการคัดลอกและตีพิมพ์กันต่อๆ มา เห็นควรทำการสังคายนาพระธรรมวินัยตรวจสอบชำระให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ และตีพิมพ์ขึ้นเป็นที่เฉลิมพระเกียรติยศในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ปี พ.ศ.๒๕๓๐ จึงได้เจริญพรขอความอุปถัมภ์ไปยังรัฐบาล อันมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และถวายพระพรให้การสังคายนาในครั้งนี้อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อได้รับงบประมาณและพระบรมราชูปถัมภ์แล้ว จึงได้ดำเนินการสังคายนาโดยเริ่มตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๘ และเสร็จสิ้นลงเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐ ซึ่งนับเป็นการสังคายนา ครั้งที่ ๔ ในประเทศไทย

สถานที่ : พระตำหนักสมเด็จ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย

องค์อุปถัมภ์ : พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ เป็นองค์อุปถัมภ์ พร้อมด้วยรัฐบาล อันมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี

การจัดการ : สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสโน) เป็นประธาน

ระยะเวลา : ๒ ปี จึงสำเร็จ


:b8: :b8: :b8: ขอขอบพระคุณที่มาของบทความ ::
เขียนโดย คุณภิเนษกรมณ์ (Pakorn Kengpol)

https://www.facebook.com/notes/pakorn-k ... 8099254557

:b44: ความเป็นมาของพระไตรปิฎก (เสฐียรพงษ์ วรรณปก)
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=5399

:b44: ดาวน์โหลดฟรี !!..พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=36115

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2014, 18:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาท
ปาฐกถาโดย อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ

:b47: :b40: :b47:

คำว่า เถรวาท แปลว่า วาทะของพระเถระ หมายความว่า พระอานนท์และพระเถระอื่นๆ ได้ประชุมกันรวบรวมพระพุทธพจน์ที่กระจัดกระจายอยู่ในที่นั้นๆ เอามาจัดเป็นหมวดหมู่แล้วก็ท่องจำสืบต่อกันมา

ต่อมาได้มีนิกายย่อยๆ เกิดขึ้นมากหลาย ประมาณร้อยปีนั้นมีนิกายที่แตกแยกออกไปถึง ๘ นิกาย แต่ว่านิกายเหล่านั้นแตกแยกออกไปแล้ว ในที่สุดก็สลายตัวหมด คงเหลือแต่เถรวาท มาภายหลังเมื่อเกิด มหายาน ขึ้น มหายานก็เลยเรียกเถรวาท หรือพระพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมนี้ว่าเป็น หินยาน แล้วก็เรียกตัวเองว่า มหายาน แปลว่า ยานใหญ่

ส่วน หินยาน แปลว่า ยานเลว หรือว่า ยานเล็กๆ น้อยๆ คือสมัยที่เกิดการแก่งแย่งกันขึ้น เลยเรียกเถรวาทด้วยชื่อที่ไม่ดี แต่ว่าในครั้งหลังเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๓ เรามีการรวบรวมพุทธศาสนิกชนที่นับถือพระพุทธศาสนาทั่วโลกบรรดามีมาประชุมร่วมกัน ที่เรียกว่า พุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก (The World Fellowship of Buddhist) ในครั้งแรกนั้นก็ได้มีการเสนอญัตติขอให้เลิกเรียกคำว่า หินยาน เพราะว่าเป็นการเรียกแบบดูหมิ่นกัน หรือว่าเป็นการแสดงความแข่งขันทะเลาะวิวาทกัน ให้คงเรียกเถรวาทตามเดิม คือวาทะของพระเถระที่ท่องจำพระพุทธวจนะสืบต่อกันมาโดยตรงจากพระพุทธเจ้า เราจะเห็นได้ว่าพระพุทธวจนะที่นำสืบต่อกันมาทางสายเถรวาทนี้ ได้พยายามรักษาของเก่าดั้งเดิมไว้ทุกอย่างไม่เปลี่ยนแปลงอะไร

ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทนี้ในปัจจุบันก็มีอยู่ คือ ประเทศไทย ประเทศลังกา ประเทศพม่า ประเทศลาว ประเทศกัมพูชา รวม ๕ ประเทศด้วยกัน ส่วนประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานนั้นก็ได้แก่ ธิเบต ญวน จีน ญี่ปุ่น เกาหลี จำนวนก็จะพอๆ กัน แต่ว่าวิธีการทางฝ่ายมหายานนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ได้มีการแต่งตำราขึ้นมาใหม่บ้าง ดัดแปลงของเก่าบ้าง และก็มีวิวัฒนาการไปไกลมาก ถึงขนาดญี่ปุ่นในปัจจุบันนี้ ภิกษุเกือบจะทุกนิกายก็มีครอบครัวได้ มีภรรยาได้ ก็คงจะมีอยู่บางนิกายเท่านั้นที่ไม่มีครอบครัว นี่ก็เป็นวิวัฒนาการของฝ่ายมหายาน แต่ในฝ่ายเถรวาทซึ่งท่านใช้ภาษาบาลีเป็นหลักนั้นยังพยายามรักษาแบบแผน จะเรียกว่าเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมหรือคอนเซอร์เวตีฟก็ได้

ทีนี้มีปัญหาว่า พระไตรปิฎกนี้มีมาตั้งแต่ครั้งไหน เดิมทีเดียวไม่ได้เรียกพระไตรปิฎก ในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่เรียกว่า ธรรมกับวินัย เป็นพื้น แม้เมื่อตอนที่จะปรินิพพานตรัสสั่งสอนพระอานนท์ไว้ ก็ยังสั่งว่า “ดูก่อนอานนท์ เมื่อเราล่วงไปแล้ว ธรรมแลวินัยที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่ท่านทั้งหลาย ก็จักเป็นศาสดาแทนเรา” นี่แปลว่าแม้เมื่อใกล้จะปรินิพพานก็ทรงเรียกว่า ธรรมกับวินัย ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วได้มีการประชุมทำสังคายนา

แต่ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องทำสังคายนาภายหลังพุทธปรินิพพาน จะขอพูดเท้าความว่ามีเหตุการณ์หลายอย่างที่ก่อให้เกิดความกังวลใจขึ้นในพระพุทธศาสนาเอง คือ พระจุนทะ น้องชายพระสารีบุตรซึ่งเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา เป็นห่วงเป็นใยเมื่อเห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นในศาสนาอื่นแล้ว คือศาสนานิครนถ์ เกิดแตกแยกกันมากมาย ทะเลาะวิวาทกันเองในหมู่ศิษย์ของนิครนถนาฏบุตร ท่านเป็นผู้ไปหาพระอานนท์ก่อน ในฐานะที่พระอานนท์เป็นผู้ใกล้ชิดของพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็พาไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงแนะว่าควรจะทำสังคายนา หลักฐานอันนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแนะอย่างนั้น ก็แปลว่าทรงเห็นการณ์ไกลว่า เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สาวกควรจะได้รวบรวมคำสั่งสอนของพระองค์ให้เป็นหมวดเป็นหมู่ที่เรียกว่า การร้อยกรอง หรือการทำสังคายนา และเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้ท่านพระสารีบุตรก็เคย คือตอนที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระสารีบุตรเทศน์พระภิกษุแทนพระองค์ท่าน ในขณะที่ทรงแสดงธรรมในเวลากลางคืน และก็ทรงพักผ่อนให้พระสารีบุตรแสดงธรรมแทน พระสารีบุตรก็ชวนภิกษุทั้งหลายให้ช่วยกันทำสังคายนา


นี่เป็นครั้งแรกที่แสดงว่ามีการรู้สึกว่าเป็นการจำเป็นแล้ว ที่จะต้องรวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้เป็นหมวดหมู่ แต่ก่อนที่จะมีการรวบรวมนั้น คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นมาอย่างไร ก็ปรากฏในหลักฐานทางพระไตรปิฎกเองว่า การท่องจำมีมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าแล้ว คือ พระโสณะกุฏิกัณณะ ซึ่งท่านบวชทางอินเดียภาคใต้ ท่านได้เดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็จัดให้พักในกุฎีเดียวกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสถามถึงความเป็นไปต่างๆ แล้วก็ตรัสขอร้องให้พระโสณะกุฏิกัณณะนี่เองสวดหรือลองกล่าวพระพุทธวจนะให้ฟัง พระโสณะกุฏิกัณณะท่านท่องมาอย่างแม่นยำจากอุปัชฌาย์ของท่านแล้ว คือ พระมหากัจจายนเถระ ท่านก็ว่าให้ฟังปากเปล่ามากมายหลายสูตรทีเดียว เป็นสูตรในสุตตนิบาต พระพุทธเจ้าทรงฟังแล้วก็ทรงชมเชยว่าเสียงดี อักขระชัดเจนดี ชัดถ้อยชัดคำดี ทรงยกย่องพระโสณะกุฏิกัณณะ นี่แปลว่าการท่องจำมีมาแล้วแม้ในครั้งพุทธกาล

เมื่อมาถึงสมัยพระอานนท์...พระอานนท์เป็นผู้ยอดเยี่ยมในการท่องจำ คือว่าบางครั้งท่านก็จำได้โดยไม่ต้องท่อง เป็นบุคคลที่มีความจำประเสริฐอย่างนี้ นับเป็นผู้ที่หาได้ยากแล้ว นอกจากนั้นท่านยังมีข้อสัญญากับพระพุทธเจ้าไว้ว่า อันไหนถ้าท่านไม่ทราบคือพระพุทธเจ้าไปแสดงธรรมที่อื่นแล้วกลับมา ถ้าท่านไม่ได้อยู่ในที่นั้นด้วย ก็มีเงื่อนไขว่าจะต้องทรงเล่าให้พระอานนท์ฟัง เพื่อพระอานนท์จะได้ตอบแก่คนอื่นได้ว่ามีใครมาถามว่าเรื่องนี้พระพุทธเจ้าทรงแสดงที่ไหน พระพุทธเจ้าต้องทรงยอมรับเงื่อนไขที่พระอานนท์ทูลขอร้อง นี้ก็แปลว่า การทรงจำพระไตรปิฎกได้มีมาแล้วในครั้งพุทธกาล

เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วได้สามเดือน พระเถระผู้ใหญ่ก็มีการประชุมกันทำสังคายนาครั้งแรก อันนั้นเป็นสังคายนาที่ทางฝ่ายมหายานและเถรวาทรับรองต้องกัน การทำสังคายนาครั้งแรกก็คือ จัดหมวดหมู่ แต่ว่าในครั้งนั้นเอง เมื่อดูตามประวัติศาสตร์ที่กล่าวในพระไตรปิฎก เป็นที่น่าประหลาดว่าประวัติการทำสังคายนาไปอยู่ในพระไตรปิฎก ก็แสดงให้เห็นว่าได้เพิ่มประวัติศาสตร์เข้ามาในพระไตรปิฎกเมื่อประมาณสังคายนา ครั้งที่ ๓ ที่มีการเพิ่มประวัติศาสตร์เข้าในพระไตรปิฎกด้วย เชื่อว่าเป็นการชี้ให้คนรุ่นหลังได้รู้ความเป็นมาในระยะแรกๆ ภายหลังพุทธปรินิพพาน คือในวินัยปิฎกเล่ม ๗ ฉบับไทย เล่าประวัติการทำสังคายนา ครั้งที่ ๑ และในประวัติตอนนั้นใช้คำว่า ธรรมและวินัย พระอานนท์เป็นผู้วิสัชนาธรรม พระอุบาลีเป็นผู้วิสัชนาวินัย คือเป็นผู้ตอบคำถามเกี่ยวแก่วินัย พระอานนท์เป็นผู้วิสัชนาธรรม คำว่า ธรรม ในที่นี้ก็หมายรวมทั้งพระสูตร พระอภิธรรม แต่ตามคัมภีร์มหายานฝ่ายธิเบต ท่านที่รับพิมพ์ได้แปลไว้จากฉบับธิเบต ถือว่าได้เรียกเป็นพระไตรปิฎกตั้งแต่สมัยสังคายนาครั้งแรกแล้ว นี่ฝ่ายมหายานเรียกอย่างนั้น แต่ทางฝ่ายเถรวาทถึงตอนนั้นก็ยังไม่มีเรียกว่าพระไตรปิฎก

มีการบันทึกไว้ว่าเรียกพระไตรปิฎกในชั้นพระอรรถกถา คือหนังสืออธิบายพระไตรปิฎกที่แต่งประมาณพันปี ภายหลังพุทธปรินิพพาน ต่อมาเมื่อถึงการสังคายนา ครั้งที่ ๒ ก็ไม่กล่าวอีกว่าเรียกพระไตรปิฎก แต่เรียกพระธรรมพระวินัยตามเดิม เพราะฉะนั้นเห็นได้ว่าจากสำนวนในภาษาบาลี หรือในภาษาบาลีนั้น คำว่าพระไตรปิฎกนี่มีมาในสังคายนา ครั้งที่ ๑

เมื่อพูดถึงเรื่องสังคายนานี้ ทำไมพม่าจึงเรียกว่าฉัฏฐสังคายนา คือ สังคายนา ครั้งที่ ๖ แล้วไทยเราไปเกี่ยวข้องกับพม่าอย่างไร ในลังกาสังคายนากี่ครั้ง คือว่าประเทศเพื่อนบ้านเราเหล่านี้ ต่างรับรองหรือไม่รับรองกันและกันอย่างไร เพราะพม่านั้นสืบสายการสังคายนานั้นไม่ตรงกับไทยเรา แต่ว่าไม่ใช่หมายความว่ามีอะไรผิดเกิดขึ้น

การสังคายนาครั้งที่ ๑ ได้กระทำเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้เพียง ๓ เดือน
ครั้งที่ ๒ ภายหลังพุทธปรินิพพานประมาณ ๑๐๐ ปี
ครั้งที่ ๓ ภายหลังพุทธปรินิพพานประมาณ ๒๓๕ หรือ ๒๓๖ ปี


อันนี้เป็นสังคายนาในอินเดีย แต่ว่าในสังคายนา ครั้งที่ ๑ นั้น ทางฝ่ายมหายานเริ่มแตกแยกออกไปแล้ว เพราะฉะนั้นฝ่ายมหายานไม่รับรองสังคายนา ครั้งที่ ๓ ที่ทำในอินเดีย มีกล่าวถึงสังคายนาที่ยอมรับร่วมกันจากพระไตรปิฎกฉบับธิเบต ที่มีฝรั่งชาวอเมริกันแปลไว้เพียง ๒ ครั้งคือ ครั้งแรกพุทธปรินิพพานแล้ว ๓ เดือน กับครั้งที่ ๒ ครั้งพุทธปรินิพพานล่วงแล้ว ๑๐๐ ปีเท่านั้น ส่วนสังคายนา ครั้งที่ ๓ นั้นถือว่าเป็นการแยกกันแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสนับสนุนให้มีการทำสังคายนา ครั้งที่ ๓ เมื่อพุทธศักราชประมาณ ๒๓๕ หรือ ๒๓๖ ปี ทีนี้ทางฝ่ายมหายานก็แยกไปทำในภายหลังที่พระเจ้ากนิษกะทำในประเทศอินเดีย ภายหลังจากนั้น พอสังคายนา ครั้งที่ ๓ เสร็จเรียบร้อยไปแล้ว พระเจ้าอโศกก็ส่งสมณทูตออกไปในที่ต่างๆ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา สมณทูตรุ่นนั้นคงจะเดินทางมาถึงทางสุวรรณภูมินี้ด้วย แต่ว่าจะพูดถึงสมณทูตรุ่นแรกที่ไปยังลังกา เพราะทางฝ่ายพระพุทธศาสนาเราถือว่ามีความสัมพันธ์กับลังกา พม่าก็ยอมรับรองลังกาเหมือนกัน พอทำสังคายนาสามครั้งในอินเดียเสร็จแล้ว พระเจ้าอโศกมหาราชก็ให้ลูกของท่านคือ พระมหินทเถระเดินทางไปยังประเทศลังกา ไปเผยแผ่ศาสนาในประเทศลังกา ซึ่งอันนี้สืบทราบว่าเป็นสังคายนาครั้งแรกในลังกา ซึ่งไทยเรายอมรับเป็นครั้งที่ ๔

ครั้งที่ ๔ ต่อจากในอินเดีย คืออินเดียสามครั้งแล้ว พอไปถึงลังกาได้สองสามปีก็สังคายนาอีก ทำไมจึงสังคายนาบ่อยนัก ก็เห็นได้ว่าเพื่อปรับภาษาให้เข้ากับภาษาชาวเกาะ หรือภาษาลังกานั้นเอง ต่อมาอีกที่นับว่าเป็นครั้งสำคัญ คือเมื่อพุทธศักราชล่วงได้ ๔๓๓ ปี สังคายนาครั้งแรกในลังกา หรือนับเป็นครั้งที่ ๔ ต่อจากอินเดีย พุทธศักราชประมาณ ๒๓๘ ปี ทีนี้ล่วงมาจนถึงพุทธศักราช ๔๓๓ ปี บางฉบับว่า ๔๕๐ ปีนั้น เป็นสังคายนาครั้งสำคัญที่มีความหมายแก่พวกเรามาก ก็คือว่า ในครั้งนั้นปรารภความทรงจำของประชาชนว่าจะเสื่อมลง ก็เริ่มให้มีการจารึกลงในใบลาน อันนี้เองพม่าไม่ยอมรับสังคายนาครั้งแรกในลังกาที่ว่า พระมหินเถระไปใหม่ๆ ก็สังคายนา แต่พม่ายอมรับสังคายนาครั้งที่จารึกลงเป็นตัวอักษร ที่นับเป็นครั้งที่สองในลังกาหรือนับเป็นครั้งที่ ๕

ครั้งที่ ๕ ต่อจากอินเดีย คืออินเดียสามครั้ง ลังกาสองครั้ง พม่าก็นับในอินเดียสามครั้ง ในลังกาเอาครั้งหลังเลยทีเดียว ที่จารึกลงในคัมภีร์ใบลานเป็นครั้งที่ ๔ แล้วต่อมาพม่าก็ได้รับพระไตรปิฎกโดยตรงจากลังกา เมื่อถึง พ.ศ.๒๔๔๐ เศษ พ.ศ.๒๔๑๔ พม่าก็เริ่มสังคายนาครั้งที่ ๕ เพราะว่าพม่ายอมรับสังคายนาในลังกาเพียงครั้งเดียว เอามาต่อจากอินเดีย ๓ ครั้ง เป็น ๔ ครั้ง เรื่อยมาจนถึงพุทธศักราช ๒๔๑๔ พระเจ้ามินดงของพม่า โปรดให้มีการสังคายนาจารึกพระไตรปิฎกลงในแผ่นหินอ่อน ในกรุงมัณฑะเลย์ ซึ่งท่านที่เคารพทั้งหลายคงจะเห็นมาบ้างแล้ว ๗๒๙ แผ่น หินอ่อนแผ่นใหญ่ๆ จารึกเป็นอักษรพม่า นี่เป็นครั้งที่ ๕ ที่พม่ารับรองเป็นครั้งแรกในประเทศพม่า เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๔ คือพม่าถือว่าต่อจากลังกาแล้วก็ไปพม่า แล้วเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๗ เมื่อใกล้ๆ กับ ๒๕ พุทธศตวรรษ ที่พม่าเริ่มสังคายนา ครั้งที่ ๖ ที่เรียกว่าฉัฏฐสังคายนา ฉลองกันเป็นการใหญ่โต ร่วมกับการฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ อันนี้ถือว่าเป็นครั้งสำคัญที่สุด เพราะพม่าได้เชิญประเทศฝ่ายเถรวาทหลายประเทศ รวม ๕ ประเทศ ให้ไปเป็นประธานสังคายนาแต่ละครั้ง ตกลงว่า ความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก ถ้าพูดถึงทางประเทศพม่า...ประเทศพม่ายอมรับว่าอินเดียมีสามครั้ง ลังกามีหนึ่งครั้ง ที่จารึกลงในใบลานคือเมื่อ พ.ศ.๔๓๓ แล้วต่อจากนั้น พ.ศ.๒๔๑๔ มาเป็นครั้งแรกในพม่า ซึ่งจารึกลงในหินอ่อน

ครั้งที่ ๖ ได้มีการพิมพ์พระไตรปิฎกครั้งหลังสุดในประเทศพม่า ถือว่าเป็นสังคายนา ครั้งที่ ๖ ส่วนประเทศไทยเรา เราถือว่า ๙ ครั้งแล้ว ที่ถือว่า ๙ ครั้งนี่ เป็นงานของท่านสมเด็จพระวันรัต วัดพระเชตุพน ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ท่านรจนามาเป็นภาษาบาลีไว้ เล่าประวัติ คือครั้งนั้นรัชกาลที่ ๒ ทรงปรารภจัดทำสังคายนา พระเถระก็รวบรวมเรื่องเล่าประวัติถวายว่า มาแต่ครั้งไหนๆ ฝ่ายไทยที่นับว่า ๙ ครั้งนั้น เพราะเรายอมรับนับถือในลังกาหลายครั้งเหลือเกิน แต่ว่าเป็นเรื่องมีประโยชน์ เพราะว่าทำให้เราได้รู้ความเป็นมาของอรรถกถา คือคำอธิบายพระไตรปิฎกที่ฝรั่งเรียก Commentary และความเป็นมาของฎีกาเป็นคำอธิบายอรรถกถาอีกต่อเรียกว่า Sub-commentary ฝ่ายไทยยอมรับสังคายนา ๔ ครั้ง ในอินเดีย ๑, ๒, ๓ แล้ว แล้วก็ครั้งที่ ๔ ที่พระมหินทเถระนำไปในลังกาสดๆ ร้อนๆ ท่านก็นับเป็นครั้งที่ ๔ ซึ่งพม่าไม่ยอมรับครั้งนี้ ครั้งที่ ๕ คือ พ.ศ.๔๓๓ ที่ว่าจารึกลงในคัมภีร์ใบลานเป็นครั้งแรกนี่ ทางฝ่ายไทยยอมรับด้วยก็เป็น ๕ ครั้ง มาครั้งที่ ๖ ที่เป็นครั้งจัดทำอรรถกถา คือสมัยพระพุทธโฆสะ เมื่อ พ.ศ.๙๕๖ ไทยเรายอมรับทั้งๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นการจัดทำอรรถกถา คือคำอธิบายพระไตรปิฎก ไม่ใช่ตัวพระไตรปิฎกแท้ ไทยเราก็ยอมรับอีกเพราะว่าเชื่อว่าคงจะได้มีการแก้ไขตัวพระไตรปิฎกบ้าง พอต่อมาอีกในลังกาเมื่อ พ.ศ.๑๕๘๗ มีสังคายนาในลังกา ที่ไทยเรายอมรับเป็นครั้งที่ ๖ นั่น พ.ศ.๙๕๖

ครั้งที่ ๗ พ.ศ.๑๕๘๗ ไทยเรายอมรับครั้งนี้ด้วย ครั้งนี้เป็นการแต่งฎีกา คือคำอธิบายอรรถกถาอีกต่อหนึ่ง อรรถกถานั้นเป็นคำอธิบายพระไตรปิฎก ฎีกานั้นอธิบายอรรถกถาไปอีกต่อหนึ่ง ไทยเราก็ยอมรับว่าเป็นสังคายนาเหมือนกัน เพราะถือว่าเป็นงานใหญ่มาก เมื่อเป็นเช่นนี้ไทยเราก็รับว่า ในอินเดียมี ๓ ครั้ง ในลังกามี ๔ เพราะเราติดต่อกับลังกาใกล้ชิดอยู่เหลือเกิน มีการส่งสมณทูตแลกเปลี่ยนไปจนกระทั่งถึงกับไทยเราไปเป็นอุปัชฌายะตั้งศาสนวงศ์ในลังกา ที่ยังมีพระอุบาลีวงศ์อยู่จนทุกวันนี้ พอได้ ๗ ครั้งนั่นแล้ว ก็มาถึงไทยเราเองบ้าง เราไม่มีการติดต่อกับพม่า เราก็นับจากสายลังกามาหาไทยใน พ.ศ.๒๐๒๐ โปรดเทียบเคียงดูสังคายนาครั้งแรกในพม่า พ.ศ.๒๔๑๔ ครั้งแรกในพม่าที่จารึกในหินอ่อน

ครั้งที่ ๘ ครั้งแรกในประเทศไทยคือที่ลานนา เชียงใหม่นั่น พระเจ้าติโลกราชทรงโปรดให้มีการสังคายนาเมื่อ พ.ศ.๒๐๒๐ เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ก่อนครั้งแรกในพม่าเกือบ ๔๐๐ ปี แล้วเป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่สังคายนาครั้งแรกในประเทศไทยนี้ มีตัวอักษรลานนาซึ่งเรายังอุตส่าห์เก็บเอาไว้ได้ นั่นถือเป็นครั้งที่ ๘ เพราะนับจากลังกามาเป็น ๗ ครั้ง

ครั้งที่ ๙ คือในรัชกาลที่ ๑ ทรงอุปถัมภ์ให้มีการทำสังคายนาแล้วก็ได้จารึกลงในลานทองฉบับหลวง ที่เรียกว่าลานทอง คือลงทองไว้งดงามมาก ทรงอุปการะถึงขนาดเสด็จไปทั้งเช้าทั้งกลางวัน ถ้าเสด็จไปไม่ได้ด้วยพระองค์เอง ก็ให้วังหน้าเสด็จ คือพระอนุชา แล้วตอนเย็นยังเสด็จไปถวายน้ำอัฐบาลภิกษุสงฆ์ แปลว่าทรงปลื้มปีติเพียงไรในการสนับสนุนสังคายนาครั้งนั้น ซึ่งพวกเราเป็นหนี้บุญคุณพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกอย่างมากทีเดียวที่เริ่มสังคายนา คือชำระพระไตรปิฎกให้เรียบร้อย ต่อมาก็ถึงสมัยการพิมพ์ของไทยในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งถือว่าการสังคายนาในรัชกาลที่ ๑ นั่น นับเป็นสังคายนาครั้งที่ ๒ เพราะในประเทศไทยถือเป็นสังคายนา ครั้งที่ ๙ พ.ศ.๒๓๓๑ ก็ยังนับว่าทำก่อนพม่าอยู่ดี เพราะครั้งแรกของพม่า ครั้งที่สองของไทยก็ยังก่อนครั้งแรกของพม่า มาในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงจะนับว่าหลังพม่าหน่อย แต่ว่าทั้งนี้เราก็เรียกว่าพิมพ์พระไตรปิฎกเท่านั้น ในรัชกาลที่ ๕ เริ่มแต่ พ.ศ.๒๔๓๑ แล้วก็มาในสมัยรัชกาลที่ ๗ ทรงพิมพ์พระไตรปิฎกให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่ออุทิศพระราชกุศลถวายรัชกาลที่ ๖ นี่ก็เป็นเรื่อความเป็นมาในประเทศไทย เมื่อฟังดูอย่างนี้แล้ว ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายก็คงจะเห็นได้ว่า การที่ไทยเรานับสังคายนา ๙ ครั้ง จนถึงครั้งรัชกาลที่ ๑ นั้น เพราะว่าเรามีสายติดต่อกับลังกามาตลอด

เราจึงยอมรับนับถือการทำสังคายนาของลังกาถึง ๔ ครั้ง แต่พม่าติดต่อกับลังกาน้อย ก็รับนับถือของลังกาเพียงครั้งเดียว ทางฝ่ายลังกานั้น ที่เป็นทางการจริงๆ เขานับถือเพียงครั้งแรกที่พระมหินทเถระไป ถ้าถึงวันที่พระมหินทเถระไปลังกาเมื่อไหร่ ลังกามีการจุดประทีปโคมไฟ มีการตั้งดอกไม้แจกฟรี ผู้รับไม่ต้องเสียสตางค์ ที่ประตูวัดมีดอกไม้กองไว้ มีเครื่องสักการะกองไว้ให้ สาธุชนเข้าไปแล้วก็ได้รับดอกไม้นั้น เข้าไปบูชาเจดีย์สถานถือว่า “โกศลเดย์” คือวันกลางเดือน ๗ ที่พระมหินทเถระไปประดิษฐานพระพุทธศาสนาในลังกา ถือเป็นงานเอิกเกริกของลังกาทีเดียว แล้วก็ลังกายอมรับสังคายนา ครั้งที่ ๒ คือที่จารึกลงในใบลานเมื่อปี พ.ศ.๔๓๓ นั่นครั้งหนึ่ง แล้วนอกจากนั้นลังกาไม่ยอมรับ มามีอีกครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ ๑๐๐ ปีมานี้ คือพระในลังกาทำขึ้น แต่ก็ไม่มีใครรู้ นี่เขาก็บันทึกไว้อีกครั้งหนึ่ง ตกลงลังกาเองยอมรับสังคายนาของตนเองประมาณ ๓ ครั้งเท่านั้น

ทีนี้ก็มีปัญหาว่าเพียงเท่านั้นหรือ ที่พระไตรปิฎกได้แพร่เข้ามาสู่ประเทศไทย พม่า ลังกา แล้วจะไปที่ไหนอีก ขอเรียนว่าประเทศกัมพูชากับประเทศลาวนี่เป็นประเทศที่นับว่าเป็นพี่น้องของไทยได้ อย่างวินัยปิฎกของกัมพูชาฉบับราชบรรณาลัยนี่ ด้านหนึ่งแสดงเป็นตัวอักษรบาลี ด้านหนึ่งเป็นภาษาเขมร ความจริงก็ได้ใช้ฉบับไทยเป็นหลัก พระเถระที่ไปทำในกัมพูชา ท่านก็เคยมาเรียนอยู่ในเมืองไทย เคยมาอยู่ในเมืองไทย และแม้ฉบับลาวนั่นก็พึ่งพิมพ์ เมื่อยังไม่มีตัวเรียงพิมพ์ก็อุตส่าห์เขียนเอา แล้วก็ไปถ่ายรูปทำบล็อก แต่ที่น่าสรรเสริญความอุตสาหะของพระรามัญคือ พระมอญที่ตั้งพระไตรปิฎกฉบับมอญ บางฉบับบอกจุลศักราช เขียนอักษรมอญแต่เป็นภาษาไทย จุลศักราชเท่านั้น ร.ศ. เท่านี้ที่พิมพ์พระไตรปิฎกเล่มนี้ขึ้น แล้วมีพระภิกษุอีกท่านหนึ่ง ท่านอุตส่าห์ไปตั้งโรงพิมพ์ของท่านเอง พิมพ์พระไตรปิฎกเป็นภาษาอักษรมอญได้ตั้ง ๓๙ เล่ม แปลว่าเมืองไทยเป็นแหล่งผลิตพระไตรปิฎกอักษรมอญด้วย ก็แปลว่า แหล่งกลางคือไทยนี่ได้แพร่ออกไปหลายทางเหมือนกัน

อีกอย่างหนึ่งพูดถึง พระไตรปิฎกฉบับลังกา คือ ลังกานั้นก็น่าเห็นใจ เพราะเป็นเมืองที่อยู่ในปกครองของหลายประเทศ ปอร์ตุเกสก็เคยปกครอง อังกฤษก็เคยปกครอง ถึงเปลี่ยนแปลงกันเรื่อยๆ มา ลังกาพิมพ์พระไตรปิฎกเหมือนกัน แต่ว่ากระท่อนกระแท่น เคยไปสืบค้นหาจะซื้อเอามา แต่ว่าหาไม่ได้ ตกลงได้ความว่า พระลังกาท่านใช้พระไตรปิฎกภาษาไทยที่ส่งๆ ไป พระเถระในลังกาที่อ่านพระไตรปิฎกกันก็ใช้พระไตรปิฎกภาษาไทย เวลานี้เริ่มจะมีของลังกาเองบ้างแล้ว

พูดไปถึงพระไตรปิฎกที่ไปสู่ตะวันตก อันนี้น่าแปลกใจที่ว่าในปัจจุบันแหล่งผลิตพระไตรปิฎกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนั้น อีกแห่งหนึ่งอยู่ในประเทศอังกฤษ คือ Pali Text Society สมาคมบาลีปกรณ์ คนไทยเราเคยได้บริจาคเงินกันคนละเล็กละน้อย นำไปให้แก่สมาคมนี้ช่วยในการพิมพ์ ความจริงคนไทยให้กันเรื่อยๆ มา รัชกาลที่ ๕ พระราชทานหลายคราวแล้ว เขาก็พิมพ์จารึกไว้ด้วย เช่น ดิกชันนารีภาษาบาลี-อังกฤษ นี้ รัชกาลที่ ๕ ก็พระราชทานอยู่ถึง ๕๐๐ ปอนด์ แล้วการพิมพ์พระไตรปิฎกนั้น รัชกาลที่ ๕ ก็พระราชทานอยู่หลายคราว เวลานี้เรามีพระไตรปิฎกฉบับโรมันที่เกือบสมบูรณ์ พระไตรปิฎกก็นับว่าดีมาก แล้วคำแปลก็เกือบสมบูรณ์ นับว่าหายากทีเดียวที่ทำกันเป็นหลักฐานหลายสิบเล่ม มีขนาดโตอย่างที่ท่านกล่าวว่า โตกว่า Encyclopedia Britainnica มากทีเดียว ที่สมาคมบาลีปกรณ์ในประเทศอังกฤษจัดทำคือทำเป็นสองชุด ชุดหนึ่งพิมพ์ด้วยอักษรโรมัน ที่อ่านแล้วเป็นภาษาบาลี เหมือนอย่างฉบับที่ไทยเราพิมพ์ แต่ว่าอีกชุดหนึ่ง พิมพ์คำแปลเป็นภาษาอังกฤษ นักปราชญ์ฝ่ายเขาเป็นผู้แปล แต่ที่น่าสังเกตก็คือ มีสุภาพสตรีอยู่หลายคนทำหน้าที่แปลพระไตรปิฎกแล้ว

ในปัจจุบันสุภาพสตรีเป็นผู้แปลพระไตรปิฎกและเป็นนายกสมาคมบาลีปกรณ์ด้วย เมื่อก่อนเป็นแต่เพียงเหรัญญิกอุปนายก ปัจจุบันเป็นผู้นำในการแปลพระไตรปิฎก เคยเล่ามาว่าขายดีมาก พิมพ์เท่าไหร่ๆ เดี๋ยวหมด ประเทศต่างๆ ทั่วโลกสั่งกันมาทั้งนั้น เว้นไว้แต่รัสเซียไม่ได้สั่งพระไตรปิฎกแปล ทีนี้นับได้ว่าสมาคมบาลีปกรณ์ ประเทศอังกฤษ ได้เป็นแหล่งสำคัญแห่งหนึ่งในปัจจุบันที่พิมพ์พระไตรปิฎก ทั้งภาษาบาลีเป็นอักษรโรมัน และภาษาบาลีแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้ว ปัจจุบันประเทศฝรั่งเศสกำลังเริ่มงานแปลโดยสมาคมสหายพระพุทธศาสนา มีสุภาพสตรีหลายท่านไปเป็นกำลังแรงงาน คือบางท่านก็เป็นวิทยาศาสตร์บัณฑิต แต่ว่ากลับไปเลื่อมใสพระพุทธศาสนาแล้วก็ไปช่วยกันในงานนี้ เป็นที่น่าพอใจว่าสมาคมบาลีปกรณ์ในประเทศอังกฤษนั้นมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๒๗ แปลว่า พระไตรปิฎกนี่มีการแปลมาแล้วกว่า ๑๐๐ ปี นี่เป็นภาษาอังกฤษ แล้วภาษาเยอรมันก็น่ายินดีที่เก่าไม่น้อยกว่าอังกฤษเหมือนกัน คือเยอรมันมีนักปราชญ์ภาษาบาลีหลายคนที่แปลพระไตรปิฎกได้ มีทั้ง แมคซมึนเล่อร์ มีทั้ง โฮลเดนเบอร์ก ที่แปลพระไตรปิฎก ภาษาบาลีเป็นภาษาอังกฤษ แล้วก็มีอยู่ฉบับหนึ่งที่แปลเป็นภาษาเยอรมัน นอกจากนี้ยังมีชาวเดนมาร์คกับชาวเยอรมันร่วมกันแปล คือชาวเยอรมันแปลธรรมบท และชาวเดนมาร์คแปลสุตตนิบาต ชาวเดนมาร์คก็ทำดิกชันนารีภาษาบาลีที่พิสดารที่สุดในโลก ราชบัณฑิตยสถานของเดนมาร์คร่วมกันจัดทำเป็นพจนานุกรมบาลีที่พิสดารที่สุดในโลก เพียงอักษร “อ” เท่านั้น หนาเท่านี้ยังไม่จบ ก็นึกว่าถ้าจะยังไม่มีวันจบได้ เพราะว่าพยายามเก็บจะไม่ให้มีตกหล่นเลย ตัวอังกฤษทั้งชุดหนาเท่านี้ แต่ว่าของเดนมาร์ค เฉพาะตัว “อ” หนาเท่ากับของอังกฤษ แสดงให้เห็นว่าพระไตรปิฎกเราได้เดินทางไปหลายประเทศเพียงไร

ที่นี้จะกล่าวถึงพระไตรปิฎกที่ไปสู่อเมริกา น่ายินดีว่าอเมริกาเขามีมหาวิทยาลัยที่จัดพิมพ์พระไตรปิฎกแปล มาหลายสิบปีแล้วเหมือนกัน มหาวิทยาลัยฮาวาร์ดจัดพิมพ์ นอกจากนั้นชาวอเมริกันคนหนึ่งเป็นเลขานุการโท สถานทูตอเมริกันในจีน ที่เป็นผู้แปลพระไตรปิฎก ฉบับภาษาธิเบตเป็นภาษาอังกฤษ เลือกเอาเฉพาะที่จำเป็นจะต้องรู้เป็นพุทธประวัติ จนกระทั่งประวัติพระพุทธศาสนาในธิเบต นับเป็นหนังสือที่หายากมาก นี่ก็แสดงให้เห็นว่าพระไตรปิฎกของเราได้เป็นมา นอกจากในประเทศไทยแล้ว ก็แพร่หลายไปต่างประเทศเพียงไร ในปัจจุบันในเยอรมันมีพระไตรปิฎกบางฉบับ มีการแปลใหม่คือ ของฮอลันดาแปลมัชฌิมนิกายไว้ ก็พิมพ์มาแล้ว ก็ยังมีนักปราชญ์บาลีอีกคนจะพิมพ์แปลใหม่อีกสำนวนใหม่ มัชฌิมนิกาย เป็นหนังสือแปลยากอย่างประหลาด ในอังกฤษมีแบบนี้เหมือนกันคือ คนเดิมแปลไว้แล้ว นี่คนที่สองผู้หญิงแปลจบแล้ว พิมพ์เสร็จแล้ว คนเดิมเป็นผู้ชายแปลไว้แล้วก็เห็นว่าผิดมาก แปลใหม่พิมพ์อีกครั้ง ก็แปลว่าในต่างประเทศได้มีการสนใจในเรื่องพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาทนี่ไม่น้อยเหมือนกัน แต่ฝ่ายมหายานจะไม่กล่าวถึงในขณะนี้

สำหรับพระไตรปิฎกฉบับไทย กล่าวได้ว่าในปัจจุบันฉบับไทยก็นับว่าสมบูรณ์หรือจะเรียกว่าสมบูรณ์ที่สุด ในการพิมพ์ซ่อมคราวต่อๆ ไป พระเถระท่านก็พยายามที่จะทำสารบาญค้นคำให้ดีขึ้น อันนี้พวกอินเดียบ่นว่าเราทำไว้ไม่ค่อยเรียบร้อยเวลาเขาเอาไปค้น ก็เพราะว่าหลายๆ ท่านด้วยกันทำไม่ได้เป็นแบบเดียวกัน มายุคหลังพระเถระที่ท่านแก้ไขในการพิมพ์ซ่อมฉบับที่หมดๆ คราวต่อไปนี่ ท่านก็พยายามทำสารบาญค้นธรรมให้ดียิ่งขึ้น แต่พระไตรปิฎกที่แปลเป็นภาษาต่างประเทศ คือแปลจากภาษาบาลีไปแล้วที่สมบูรณ์ที่สุด อยากจะให้เป็นภาษาไทย คือของที่เป็นภาษาอังกฤษเองเวลานี้ยังไม่หมด อยากให้เป็นที่สองของไทย แต่พม่าพอสังคายนาเสร็จแล้ว เวลานี้กำลังรุดหน้าใหญ่ในการทำแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาพม่า แต่ยังไม่เสร็จ ที่สมบูรณ์รองจากของไทยก็คือของอังกฤษ บางครั้งเขายังต้องขอให้ทางประเทศไทยคัดลอกจากคัมภีร์ใบลาน คือบางคัมภีร์ที่ยังไม่มีในประเทศอังกฤษ เป็นอักษรไทยก็ไม่ว่าละ คัดไปแล้วเขาไปอ่านเองไปจัดเป็นอักษรโรมันเอง คือเขาทำงานกันจริงเหมือนกัน แม้ว่าในการคัดลอกนั้นจะต้องจ้างต้องลงทุนลงแรง เขายอมเสียสละเพื่อที่จะแปลพระไตรปิฎกให้ครบชุดให้ได้ แต่ว่าในปัจจุบันนี้ ประเทศไทยเราเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีพระไตรปิฎกแปลครบสมบูรณ์ เพราะว่าพระไตรปิฎกนี่มากมายเหลือเกิน อย่างฉบับไทยเรามี ๔๕ เล่ม นี่ถ้าจะแปลกันจริงๆ ไม่ใช่เล็กน้อยทีเดียว ลองเอาไปเทียบกับเอนไซโคลปีเดียแล้ว เพียงแต่ตัวพระไตรปิฎกเราก็เกินเอนไซโคลปีเดียไปเท่าไหร่ Britainnica ก็มี ๒๔ หรือ ๒๕ เล่ม ทีนี้ก็ยังมีแปลกันจนจบ ทั้งของคุณสม พ่วงภักดี และของกรมการศาสนา ที่นับว่าเป็นการแปลอย่างมากที่สุด

เราน่าจะภาคภูมิใจว่าประเทศไทยเราได้มีพระไตรปิฎกฉบับที่สมบูรณ์ ปัญหาสำคัญมีอยู่ข้อหนึ่งคือปัญหาที่ว่า การทรงจำพระไตรปิฎกนั้น จะทำได้แค่ไหน เมื่อสังคายนา ครั้งที่ ๑ เสร็จแล้ว ได้มีการมอบงานกัน คือว่าองค์นี้พร้อมทั้งลูกศิษย์ช่วยกันจำส่วนนี้ องค์นี้พร้อมทั้งลูกศิษย์ช่วยกันจำส่วนนี้ แบ่งงานกันทำเพื่อจะได้จำได้สมบูรณ์ คือว่าไม่ใช่จำคนเดียวหมด ๔๕ เล่มนี้ ท่องหมดก็ไม่ไหว เพียงเล่มเดียวก็นึกว่าแย่เหมือนกัน แต่ทีนี้ท่านแบ่งกันท่องจำ แล้วก็เพราะในสมัยนั้นไม่มีการจดก็ต้องใช้การจำ คือถ้ามีการจดเข้าเมื่อไหร่ การจำก็ไม่ค่อยจำเป็น ในสมัยที่ยังไม่มีการจด การจำเป็นของจำเป็นมาก เราก็ได้มีตัวอย่างการจำ อย่างในประเทศพม่า พระเถระที่จะสอบได้ชั้นสูงๆ นั้น ต้องว่าพระไตรปิฎกได้จบเป็นเล่มๆ

พระลังกาที่ท่านได้เคยมีสมณศักดิ์เป็น เจ้าคุณสาธุศีลสังวร มาอยู่ในประเทศไทย เวลาเรามีอะไรสงสัยก็เคยไปถามท่านเหมือนกัน แล้วท่านก็ว่าปากเปล่าให้ฟัง มีการจำเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเรื่องการจำพระไตรปิฎก ไม่ใช่เป็นเรื่องเหลวไหล เป็นเรื่องที่แบ่งงานกัน จึงมีสำนักอาจารย์ที่เรียกว่า อาจารย์นี้ท่องจำพระไตรปิฎกหมวดยาวคือ พระสูตรยาวๆ อาจารย์นี้ท่องจำพระไตรปิฎกขนาดพระสูตรปานกลาง

โดยนัยนี้การนำพระไตรปิฎกสืบต่อมาก็มีทางที่จะเป็นไปได้ ในปัจจุบันก็มีการท่องจำแบบที่ว่าทำอย่างไรจึงจะจำได้โดยไม่ต้องท่อง คือว่าถ้าท่องๆ ให้แต่น้อย และถ้าไม่ต้องท่องจะมีวิธีจำอย่างไร ถึงจะจำข้อความบางทีตั้ง ๕๐-๖๐ เรื่อง ติดต่อกันไม่ให้สับลำดับ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ


รูปภาพ
ภาพเขียนจำลอง “เสาของห้องโถง” ในยุคพระเจ้าอโศกมหาราช
ซึ่งมี ๘๐ เสาทำจากหินแดง หลังจากได้ขุดค้นพบแล้ว
ณ วัดอโศการาม เมืองปาฏลีบุตร (เมืองปัตนะ) ประเทศอินเดีย
สถานที่ทำสังคายนาพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาท ครั้งที่ ๓


:b44: การสังคายนาพระพุทธศาสนา ๕ ครั้ง (ภัทรวรรณ วันทนชัยสุข)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=31169&start=45

:b44: พระไตรปิฎกกับการธำรงพระพุทธศาสนา
:: สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=48018

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2014, 14:02 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขออนุโมทนา สาธุค่ะ ได้รับประโยชน์มากค่ะ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร