วันเวลาปัจจุบัน 17 พ.ค. 2025, 08:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2013, 16:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย :b8:

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิโครธาราม
ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ครั้งนั้นแล เจ้าศากยะ พระนามว่ามหานามะ
ได้เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อริยสาวกผู้ได้บรรลุผล ทราบชัดพระศาสนาแล้ว
ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมชนิดไหนเป็นส่วนมาก พระเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรมหานามะ อริยสาวกผู้ได้บรรลุผล
ทราบชัดพระศาสนาแล้ว ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้เป็นส่วนมาก คือ อริยสาวก
ในพระศาสนานี้ ย่อมระลึกถึงพระตถาคตเนืองๆ ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงถึงพร้อมด้วย
วิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก
ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกธรรม

ดูกรมหานามะ สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระตถาคตเนืองๆ
สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม
ไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม ย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไป
ตรงเพราะปรารภพระตถาคต ย่อมได้ความทราบซึ้งอรรถ ย่อมได้ความทราบซึ้งธรรม
ย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม เมื่อปราโมทย์แล้ว ย่อมเกิดปีติ
เมื่อมีใจประกอบด้วยปีติ กายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบแล้วย่อมเสวยสุข เมื่อมีสุข
จิตย่อมตั้งมั่น

ดูกรมหานามะ นี้อาตมภาพกล่าวว่า อริยสาวกเป็นผู้ถึงความสงบเรียบร้อยอยู่
ในเมื่อหมู่สัตว์ยังไม่สงบเรียบร้อย เป็นผู้ไม่มีความพยาบาทอยู่
ในเมื่อหมู่สัตว์ยังมีความพยาบาท เป็นผู้ถึงพร้อมกระแสธรรม
ย่อมเจริญ พุทธานุสสติ ฯ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2013, 16:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ดูกรมหานามะ อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระธรรมเนืองๆ
ว่า พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว อันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง
ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้ดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนจะพึงรู้เฉพาะตน

ดูกรมหานามะ สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระธรรมเนืองๆ สมัยนั้น
จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ...
ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงเพราะปรารภพระธรรม ย่อมได้ความทราบซึ้งอรรถ ...
เป็นผู้ถึงพร้อมกระแสธรรม ย่อมเจริญธรรมานุสสติ ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2013, 16:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ดูกรมหานามะ อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระสงฆ์เนืองๆ
ว่า สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว
เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อญายธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบ นี้คือคู่บุรุษ ๔ บุรุษ
บุคคล ๘ นั่นคือสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ควรของคำนับ ควรของต้อนรับ
ควรของทำบุญ ควรกระทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งไปกว่า

สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระสงฆ์เนืองๆ สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น
ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ... ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรง
เพราะปรารภพระสงฆ์ย่อมได้ความทราบซึ้งอรรถ ...
เป็นผู้ถึงพร้อมกระแสธรรม ย่อมเจริญสังฆานุสสติ ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2013, 16:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ดูกรมหานามะ อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมระลึกถึงศีลของตนเนืองๆ
ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไทย อันวิญญูชนสรรเสริญ
อันตัณหาทิฐิไม่ยึดถือ เป็นไปพร้อมเพื่อสมาธิ

ดูกรมหานามะ สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงศีลของตนเนืองๆ สมัยนั้น
จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม... ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงเพราะปรารภศีล ...
ย่อมได้ความทราบซึ้งอรรถ ...เป็นผู้ถึงพร้อมกระแสธรรม ย่อมเจริญสีลานุสสติ ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2013, 16:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ดูกรมหานามะ อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมระลึกถึงการบริจาคของตน
เนืองๆ ว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ คือ เมื่อหมู่สัตว์ถูกมลทิน
คือความตระหนี่กลุ้มรุม เรามีใจปราศจากมลทินคือความตระหนี่อยู่ครองเรือน
เป็นผู้มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม (คอยหยิบของบริจาค) ยินดีในการเสียสละ
ควรแก่การขอ ยินดีในการจำแนกทาน

ดูกรมหานามะ สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงการบริจาคเนืองๆ
สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้นย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม ...
ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงเพราะปรารภจาคะ ย่อมได้ความทราบซึ้งอรรถ ...
เป็นผู้ถึงพร้อมกระแสธรรม ย่อมเจริญจาคานุสสติ ฯ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2013, 16:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ดูกรมหานามะ อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมเจริญเทวตานุสสติ
(ความระลึกถึงเทวดาเนืองๆ) ว่า เทวดาเหล่าจาตุมหาราชมีอยู่ เทวดาเหล่าดาวดึงส์มีอยู่
เทวดาเหล่ายามามีอยู่ เทวดาเหล่าดุสิตมีอยู่ เทวดาเหล่านิมมานรดีมีอยู่
เทวดาเหล่าปรนิมมิตวสวัสดีมีอยู่ เทวดาเหล่าพรหมกายิกามีอยู่
เทวดาที่สูงกว่าเหล่าพรหมนั้นมีอยู่

เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศรัทธาเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้ว
อุบัติในเทวดาชั้นนั้น ศรัทธาเช่นนั้นแม้ของเราก็มีอยู่

เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยศีลเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้ว
อุบัติในเทวดาชั้นนั้น ศีลเช่นนั้นแม้ของเราก็มีอยู่

เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยสุตะเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้ว
อุบัติในเทวดาชั้นนั้น สุตะเช่นนั้นแม้ของเราก็มีอยู่

เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยจาคะเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้ว
อุบัติในเทวดาชั้นนั้น จาคะเช่นนั้นแม้ของเราก็มีอยู่

เทวดาเหล่านั้นประกอบด้วยปัญญาเช่นใด จุติจากโลกนี้แล้ว
อุบัติในเทวดาชั้นนั้น ปัญญาเช่นนั้นแม้ของเราก็มีอยู่

ดูกรมหานามะ สมัยใด อริยสาวกย่อมระลึกถึงศรัทธา ศีลสุตะ จาคะ และปัญญา
ของตนและของเทวดาเหล่านั้นเนืองๆ สมัยนั้น จิตของอริยสาวกนั้น ย่อมไม่ถูกราคะกลุ้มรุม
ย่อมไม่ถูกโทสะกลุ้มรุม ย่อมไม่ถูกโมหะกลุ้มรุม ย่อมเป็นจิตดำเนินไปตรงทีเดียว
ก็อริยสาวกผู้มีจิตดำเนินไปตรงเพราะปรารภเทวดา ย่อมได้ความทราบซึ้งอรรถ
ย่อมได้ความทราบซึ้งธรรม ย่อมได้ความปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรม
เมื่อได้ความปราโมทย์แล้ว ย่อมเกิดปีติเมื่อมีใจประกอบด้วยปีติ กายย่อมสงบ
ผู้มีกายสงบแล้วย่อมเสวยสุข เมื่อมีสุขจิตย่อมตั้งมั่น

ดูกรมหานามะ นี้อาตมภาพกล่าวว่า อริยสาวกเป็นผู้ถึงความสงบเรียบร้อยอยู่
ในเมื่อหมู่สัตว์ที่ไม่สงบเรียบร้อย เป็นผู้ไม่มีความพยาบาทอยู่
ในเมื่อหมู่สัตว์ที่ยังมีความพยาบาทกันอยู่ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยกระแสธรรม
ย่อมเจริญเทวตานุสสติ

ดูกรมหานามะ อริยสาวกผู้ได้บรรลุผล ทราบชัดพระศาสนาแล้ว
ย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมนี้เป็นส่วนมาก ฯ

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ย. 2013, 16:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


๑๐. มหานามสูตร

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 756&Z=6837


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2013, 08:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: อนุโมทนาค่ะ
พระสัทธรรม ประหนึ่งน้ำที่ใสสะอาดยังความชุ่มฉ่ำใจยิ่งนัก..

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ย. 2013, 12:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุครับ ! :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2013, 07:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนาในกุศลด้วยค่ะสาธุ

ในพระสูตรนี้กล่าวถึงเฉพาะ พระอรหันต์ เท่านั้นค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2013, 14:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ในอรรถกถาท่านบอกว่าอริยสาวกในที่นี้หมายถึงโสดาบันบุคคล และผมขอเพิ่มเติมด้วยว่าน่าจะหมายถึงคฤหัสถ์ที่ครองเรือนด้วย

พระสูตรนี้ท่านกล่าววิหารธรรมที่เป็นไปมากในหมู่อริยสาวก ก็พึงทราบเลยว่าอริยสาวกส่วนใหญ่โดยมากแล้วเป็นพระโสดาบัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ย. 2013, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
ในอรรถกถาท่านบอกว่าอริยสาวกในที่นี้หมายถึงโสดาบันบุคคล และผมขอเพิ่มเติมด้วยว่าน่าจะหมายถึงคฤหัสถ์ที่ครองเรือนด้วย

พระสูตรนี้ท่านกล่าววิหารธรรมที่เป็นไปมากในหมู่อริยสาวก ก็พึงทราบเลยว่าอริยสาวกส่วนใหญ่โดยมากแล้วเป็นพระโสดาบัน


ขอบคุณค่ะ
แต่ดิฉันอ่านในอรรถกถาแล้ว น่าจะแค่พระโสดาบันนะคะ
อ่านพระสูตรแล้ว ถ้าไม่มีอรรถกถาช่วยแปลให้อีกที ดิฉันว่าเข้าใจยากมากๆ ค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2013, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


FLAME เขียน:
ในอรรถกถาท่านบอกว่าอริยสาวกในที่นี้หมายถึงโสดาบันบุคคล และผมขอเพิ่มเติมด้วยว่าน่าจะหมายถึงคฤหัสถ์ที่ครองเรือนด้วย

พระสูตรนี้ท่านกล่าววิหารธรรมที่เป็นไปมากในหมู่อริยสาวก ก็พึงทราบเลยว่าอริยสาวกส่วนใหญ่โดยมากแล้วเป็นพระโสดาบัน


ตามความเห็นปลีกวิเวกนะคะ :b41:

อริยสาวก หมายถึงสาวกผู้เป็นพระอริยะ หรือสาวกผู้บรรลุธรรมวิเศษ มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น...
จากพระสูตรนี้เป็นวิหารธรรมของโสดาบันบุคคลขึ้นไป เนื่องจาก ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา เป็นองค์คุณหรือคุณสมบัติของพระโสดาบันบุคคลขึ้นไป....

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2013, 22:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2012, 19:33
โพสต์: 117


 ข้อมูลส่วนตัว


ปลีกวิเวก เขียน:
[quote=
ตามความเห็นปลีกวิเวกนะคะ :b41:

อริยสาวก หมายถึงสาวกผู้เป็นพระอริยะ หรือสาวกผู้บรรลุธรรมวิเศษ มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น...
จากพระสูตรนี้เป็นวิหารธรรมของโสดาบันบุคคลขึ้นไป เนื่องจาก ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา เป็นองค์คุณหรือคุณสมบัติของพระโสดาบันบุคคลขึ้นไป....



อนุโมทนาสาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ย. 2013, 23:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


ปลีกวิเวก เขียน:
FLAME เขียน:
ในอรรถกถาท่านบอกว่าอริยสาวกในที่นี้หมายถึงโสดาบันบุคคล และผมขอเพิ่มเติมด้วยว่าน่าจะหมายถึงคฤหัสถ์ที่ครองเรือนด้วย

พระสูตรนี้ท่านกล่าววิหารธรรมที่เป็นไปมากในหมู่อริยสาวก ก็พึงทราบเลยว่าอริยสาวกส่วนใหญ่โดยมากแล้วเป็นพระโสดาบัน


ตามความเห็นปลีกวิเวกนะคะ :b41:

อริยสาวก หมายถึงสาวกผู้เป็นพระอริยะ หรือสาวกผู้บรรลุธรรมวิเศษ มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น...
จากพระสูตรนี้เป็นวิหารธรรมของโสดาบันบุคคลขึ้นไป เนื่องจาก ศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา เป็นองค์คุณหรือคุณสมบัติของพระโสดาบันบุคคลขึ้นไป....


สาธุครับ
คุณปลีกวิเวกจะเข้าใจอย่างนี้ผมก็เห็นว่าไม่ผิด และเห็นด้วยครับ

ผมแค่เพียงยกจากอรรถกถามาให้ดูเท่านั้นครับ ว่าอรรถกถาท่านแก้อรรถว่าอย่างนี้

พระสูตรนี้ถ้าพิจารณาตามพระสูตร
วิหารธรรมเครื่องอยู่ของพระอริยเจ้าทั้งหลายซึ่งก็มีหลายอย่าง เช่น อานาปานสติ สุญญตาวิหาร รูปฌาน อรูปฌาน สัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นต้น

ในส่วนของอริยสาวก อย่างที่ท่านทั้งหลายทราบกันว่า หมายถึง โสดาบันบุคคล สกทาคามีบุคคล อนาคามีบุคคล และอรหันตบุคค

ในพระสูตรนี้พระองค์ทรงแสดงวิหารธรรมที่เป็นไปโดยมากในเหล่าอริยสาวกคำว่าเป็นไปโดยมากก็คือท่านเหล่านี้อยู่ด้วยวิหารธรรมอะไรเป็นส่วนใหญ่

ทำไมต้องกล่าวถึงพระโสดาบัน เพราะพระโสดาบันเป็นอริยสาวกส่วนมาก กว่าอริยสาวกประเภทอื่น

และถ้าเราพิจารณา ตรงจาคานุสติ ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงดังนี้ว่า

" ดูกรมหานามะ อีกประการหนึ่ง อริยสาวกย่อมระลึกถึงการบริจาคของตน
เนืองๆ ว่า เป็นลาภของเราหนอ เราได้ดีแล้วหนอ คือ เมื่อหมู่สัตว์ถูกมลทิน
คือความตระหนี่กลุ้มรุม เรามีใจปราศจากมลทินคือความตระหนี่อยู่ครองเรือน
เป็นผู้มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามืออันชุ่ม (คอยหยิบของบริจาค) ยินดีในการเสียสละ
ควรแก่การขอ ยินดีในการจำแนกทาน"

อยู่ครองเรือน ซึ่งอริยสาวกที่ยังอยู่ครองเรือนได้ก็มีท่านที่เป็นโสดาบัน สกทาคามี และอนาคมี ซึ่งส่วนมากก็เป็นพระโสดาบัน

อีกประการหนึ่งผู้ถามก็เป็นพระโสดาบัน

พระสูตรนี้จึงน่าจะมุ่งไปที่พระโสดาบันเป็นหลัก ครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 16 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร