วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 09:46  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ย. 2012, 19:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อจาก
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=43774


วิธีปฏิบัติต่อความอยาก

หลักของพระพุทธศาสนานี้ มีความอยาก 2 ประเภท ที่เราจะต้องแยกให้ถูกต้อง อย่าไปนึกว่าการปฏิบัติธรรมนั้น เป็นการพยายามที่มุ่งแต่เพียงลดละความอยาก แล้วก็รังเกียจกลัวความอยาก แสดงตัวว่าไม่มีความอยาก จะทำให้เกิดท่าทีที่ผิดพลาด แล้วก็เป็นภาพที่ไม่ดี ทำให้เกิดผลเสียทั้งแก่ตนเองและพระพุทธศาสนา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ย. 2012, 19:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในทางธรรมนั้น ท่านแยกวิธีปฏิบัติต่อความอยาก 2 ประการนี้

ความอยากประเภทที่ 1 คือ ตัณหา ที่เกิดจากความไม่รู้ หรือเป็นไปโดยไม่มีความรู้ ซึ่งเป็นไปเพื่อการบำรุงบำเรอปรนเปรอประสาทสัมผัสนั้น ท่านบอกว่า มันเกิดขึ้นมาแล้ว เราต้องควบคุมให้ดี หรือแม้แต่ละเลิกให้ได้ แทนที่ด้วยฉันทะ หรือเอาไว้แต่ฉันทะ

ถ้าเรายังไม่มีฉันทะ ไม่มีปัญญามาก ตัณหานี้จะต้องใช้ในลักษณะของการควบคุม หรือเบนเอามาใช้ให้เป็นปัจจัยแก่ความอยากประเภทที่ 2 คือจะต้องหันเหให้เข้ามาเป็นความอยาก ประเภทที่ 2 ให้ได้

ส่วนความอยากประเภทที่ 2 ที่เรียกว่า ฉันทะ นั้น เกิดขึ้นแล้ว ให้ระงับด้วยการทำให้สำเร็จ เมื่อทำให้สำเร็จแล้ว ฉันทะนี้จะระงับไปเอง

อย่างที่หนึ่งระงับทันที หรือควบคุมทันทีเมื่อมันเกิดขึ้น เป็นความอยากประเภทที่ว่า พอมันเกิดขึ้นปั๊บ เราก็ระงับทันที หรือว่าคุมทันที หรือว่าเบนทันที ให้มันมาเชื่อมกับฉันทะให้ได้

ส่วนประเภทที่ 2 คือฉันทะ ไม่ว่าจะเบนมาจากตัณหาก็ตาม หรือเกิดจากความรู้โดยตรงก็ตาม ให้ระงับด้วยการทำให้สำเร็จ

เพราะฉะนั้น ฉันทะนั้นพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าต้องระงับเหมือนกัน แต่ระงับด้วยการทำให้สำเร็จ ไม่ใช่ปล่อยให้มันค้างอยู่ เมื่อมีฉันทะก็ต้องพยายามทำให้สำเร็จ นี่คือหลักสำคัญในการที่จะปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้า

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ย. 2012, 19:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่จะปฏิบัติธรรม จะต้องมีฉันทะเป็นตัวเริ่มต้น ท่านถือว่า ฉันทะเป็นมูลแห่งธรรมทั้งปวง ไนเมื่อเราจะต้องมีฉันทะเป็นตัวเริ่มต้น เป็นแรงขับเคลื่อนเบื้องแรก จึงต้องรู้จักแยกกันให้ดี ระหว่างความอยากให้ถูกต้อง หรือความอยากที่เป็นธรรม ชอบธรรม กับ
ความอยากที่ไม่ถูกต้อง หรือความอยากที่ไม่ชอบธรรม แล้วก็เลือกปฏิบัติในความอยากที่ถูกต้องชอบธรรม และกระตุ้นเร้าให้มันเกิดขึ้นด้วย เพราะฉันทะนี้เป็นแรงจูงใจที่ถูกต้อง

ในภาษาสมัยใหม่เขาใช้คำว่า แรงจูงใจ เราก็แบ่งแรงจูงใจออกเป็น 2 ประเภท คือ แรงจูงใจประเภทตัณหา ที่ไม่สัมพันธ์กับความรู้ความเข้าใจ และไม่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิต คือ ไม่รู้ว่าจะทำให้เกิด คุณภาพชีวิตหรือทำลายคุณภาพชีวิต กับแรงจูงใจประเภทฉันทะ ที่เป็นไปด้วยความรู้ และส่งเสริมคุณภาพชีวิต

ฉันทะหรือความอยากประเภทที่ 2 นี้ ถ้าเราใช้ภาษาชาวบ้าน ก็จะแยกออกจากฉันทะประเภทที่ 1 ได้ง่าย

ความอยากประเภทที่ 1 หรือตัณหานั้น ถ้าแปลเป็นภาษาไทยง่ายๆ ก็คืออยากได้ อยากมี หรือใช้อีกคำหนึ่งว่า อยากเสพ

ส่วนฉันทะ หรือความอยากฝ่ายกุศล แปลว่า อยากรู้ อยากทำ หรือใฝ่รู้ ใฝ่ทำ

เวลาท่านแปลเป็นภาษาบาลีโดยใช้ศัพท์เต็ม ฉันทะท่านขยายเป็น กตฺตุกมฺยตาฉนฺท แปลว่า ฉันทะคือความต้องการจะทำ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เป็นบุญเป็นกุศล

ความอยากทั้งสองนี้ เมื่อเอามาใช้ในแนวคิดสมัยใหม่ ก็สัมพันธ์กับค่านิยม คือ อยากได้อยากมีนั้น เข้ากันกับค่านิยมบริโภค

ส่วนอยากทำ อยากรู้ เข้ากันกับค่านิยมผลิต มันสัมพันธ์กันอย่างนี้ จึงไม่ใช่เป็นเรื่องของการปฏิบัติธรรมในความหมายแคบๆ แต่ใช้ได้กับการพัฒนาประเทศทั้งหมดด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ย. 2012, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัจจุบันประเทศของเรามีปัญหาเรื่องค่านิยม และเรื่องแรงจูงใจนี้มาก คนในสังคมมีแรงจูงใจประเภทตัณหามากและทำให้เกิดค่านิยมบริโภค ซึ่งทำให้ไม่เกิดการสร้างสรรค์ และทำให้พัฒนาประเทศไม่สำเร็จ

คนไทยเรามักมองสิ่งทั้งหลายด้วยความรู้สึกอยากจะมีอยากจะใช้เท่านั้น ไม่ได้คิดอยากจะผลิต ทำอย่างไรจะเปลี่ยนให้คนของเรา เมื่อเห็นอะไรที่เป็นความเจริญแล้ว อยากจะทำให้ได้อย่างนั้น



แม้ความเข้าใจในคำว่าเจริญนี้ คนไทยเราก็มักเข้าใจความหมายแบบนักบริโภค ถามว่าเจริญคืออย่างไร เห็นฝรั่งเราก็บอกว่า เจริญคือมีใช้อย่างฝรั่ง เพราะฉะนั้น เราก็เป็นนักบริโภค เพราะคิดแต่หาทางให้มีอย่างเขา

ทีนี้ ถ้าเข้าใจความหมายของความเจริญอย่างนักผลิต ก็จะมองใหม่ คือมองว่า เจริญคือทำให้ได้อย่างเขา เราเคยมองอย่างนี้ไหม เด็กหรือคนของเรานี่ มองภาพของความเจริญว่า คือทำได้อย่างเขา มีบ้างไหม แม้แต่ว่าจะเล่น เด็กๆของเราก็มักจะเล่นเพียงเพื่อสนุกสนาน เล่นแบบนักบริโภค นักเสพ เราไม่ค่อยได้ฝึกเด็กของเราให้เล่นแบบนักผลิต หรือนักทำ

สำหรับนักผลิตนั้น แม้แต่จะเล่นก็มีความหมายว่าเล่นแบบนักทำ คือฝึกทำอะไรต่ออะไรให้เป็น พยายามเล่นทำอะไรต่างๆให้เป็น อันนี้เรื่องสำคัญมาก มันสัมพันธ์โยงกันไปหมด

เพราะฉะนั้น จากอันนี้คือแรงจูงใจที่ผิดพลาด เมื่อมีแรงจูงใจแบบตัณหาอยู่แล้ว ก็ยากที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศชาติได้



ในการแก้ปัญหานั้น เราจะมัวมาลบล้างกำจัดตัณหากันอยู่ก็ไม่ไหว เป็นการแก้ด้านลบอย่างเดียว แต่เราก็เน้นกันมากในแง่นี้ แม้แต่วงการนักปฏิบัติธรรมไปเน้นที่การลดละตัณหาลดละความอยาก ไม่เน้นในด้านบวก การเน้นด้านบวก ก็คือให้ส่งเสริมฉันทะขึ้นมา ทำอย่างนี้จะเป็นการดีกว่า มัวไปเน้นด้านลบ คือ ส่งเสริมให้เอาตัวบวกมาแทนตัวลบ เอาฉันทะมาแทนตัณหา

ผู้ปฏิบัติธรรมต้องมีฉันทะ แล้วก็ระงับความอยากที่เรียกว่าฉันทะนั้น ด้วยการทำให้สำเร็จ ซึ่งอันนี้ก็เป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศด้วย เพราะความอยากมี อยากใช้ อยากได้ อยากบริโภคนั้น เป็นตัวการทำให้ประเทศชาติไม่พัฒนา ก็จะต้องแก้ไขปรับปรุงพัฒนาคนให้มีความอยากทำ อยากผลิต พร้อมทั้งอยากรู้ จึงจะพัฒนาไปได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ย. 2012, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมฉันทะ แปลว่า อยากในธรรม

ธรรม แปลว่า อะไร?

ธรรม แปลว่า สิ่งที่ดีงามและความจริง หรือความจริง ความถูกต้องดีงาม

แง่ที่ 1 ธรรม คือ ความจริง

ธรรมฉันทะ ก็คือความอยากในความจริง เมื่ออยากในความจริง ต้องการเข้าถึงความจริง ก็ต้องอยากรู้

เพราะฉะนั้น อยากในความจริงจึงต้องมีความอยากรู้ จึงมีความหมายของฉันทะแง่ที่หนึ่งว่า อยากรู้ หรือใฝ่รู้

แง่ที่ 2 ธรรม แปลว่า สิ่งที่ดีงาม ธรรมฉันทะ ก็คืออยากให้เกิดมีสิ่งที่ดีงาม เมื่ออยากให้เกิดมีสิ่งที่ดีงามก็ต้องทำให้เกิดให้มีขึ้น สิ่งที่ดีงามจะเกิดมีขึ้นสำเร็จได้ก็ด้วยการทำ

เพราะฉะนั้น ธรรมฉันทะ หรือเรียกสั้นๆว่า ฉันทะ ก็จึงมีความหมายว่า อยากทำ

รวมความว่า ต้องการเข้าถึงความจริง และต้องการให้สิ่งดีงามเกิดขึ้น เมื่อต้องการเข้าถึงความจริง และให้สิ่งที่ดีงามเกิดขึ้น ก็ต้องอยากรู้และอยากทำ อยากรู้ก็จะได้เข้าถึงความจริง อยากทำก็เพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้เกิดมีเป็นจริงขึ้นมา เพราะฉะนั้น จึงแปลฉันทะว่า อยากรู้และอยากทำ

ในเมืองไทยปัจจุบันนี้ต้องส่งเสริมเรื่องนี้ให้มาก ส่งเสริมความใฝ่รู้และใฝ่ทำ ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังขาดแคลนมาก ในสังคมไทยปัจจุบัน

รวมความว่า ในหลักของพระพุทธศาสนานี้ มีความอยาก 2 ประเภท ที่เราจะต้องแยกให้ถูกต้อง อย่าไปนึกว่าการปฏิบัติธรรมนั้น เป็นการพยายามที่มุ่งแต่เพียงลดละความอยาก แล้วก็รังเกียจกลัวความอยาก แสดงตัวว่าไม่มีความอยาก จะทำให้เกิดท่าทีที่ผิดพลาด แล้วก็เป็นภาพที่ไม่ดี ทำให้เกิดผลเสียทั้งแก่ตนเองและพระพุทธศาสนา


อย่างที่บอกแล้วว่า ความอยากที่ถูกต้องสัมพันธ์กับปัญญา ตอนแรกจะต้องรู้ การที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรเป็นความจริงและอะไรเป็นสิ่งดีงาม ก็คือต้องมีปัญญา คนเราก็จึงต้องมีการเรียนรู้

การศึกษามีความหมายประการหนึ่งเพื่อสร้างแรงจูงใจที่ถูกต้อง แต่แรงจูงใจที่ถูกต้องนั้น จะเกิดมีและเดินหน้าไปไม่ได้ในเมื่อยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร ไม่รู้ว่าสิ่งที่ถูกต้องดีงามคืออะไร

แล้วทีนี้ เมื่อการศึกษาดำเนินไปถูกต้องแล้ว การศึกษานั้นก็ทำให้คนเกิดปัญญา มีความรู้ความเข้าใจ เมื่อมองเห็นคุณค่าของสิ่งใด ก็มีฉันทะในสิ่งนั้น พร้อมที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ซึ่งเป็นลักษณะของการดำเนินชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา

พระพุทธศาสนาบอกว่า ชีวิตประเสริฐ คือชีวิตที่เป็นอยู่ด้วยปัญญา ตอนนี้ไม่ได้เป็นอยู่ด้วยตัณหา ไม่ได้เป็นอยู่ด้วยอวิชชา เปลี่ยนจากความไม่รู้ที่ทำให้ดิ้นรนไปตามความอยากซึ่งมุ่งแต่จะบำรุงบำเรอตนเอง หันมามีความรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วจึงมีความต้องการในสิ่งต่างๆ อย่างถูกต้อง จึงอยากในสิ่งที่ควรอยาก คืออยากในสิ่งที่รู้ว่ามีคุณประโยชน์ ทำให้เกิดคุณภาพชีวิต

ความอยากอย่างนี้ จึงต้องเริ่มต้นด้วยความรู้ก่อน หรือเป็นไปพร้อมด้วยความรู้ ความต้องการหรือแรงจูงใจที่ต้องการจึงเริ่มจากการมีความรู้ แต่จะมีความรู้ได้ก็ต้องศึกษาคือพัฒนาคนให้มีปัญญา เมื่อมีปัญญาจึงจะรู้จักที่จะอยากอย่างถูกต้อง แล้วก็ดำเนินชีวิตได้ถูกต้อง เมื่อชีวิตดำเนินไปอย่างนี้ก็จึงเป็นชีวิตที่เป็นอยู่ด้วยปัญญา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 31 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร