วันเวลาปัจจุบัน 20 พ.ค. 2025, 12:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2012, 13:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกขเวทนาใหญ่ และอุบายพิจารณา

สำหรับหลวงตามหาบัวนั้น การนั่งสมาธิภาวนา 4-5 ชม. นั้นเป็นเรื่องธรรมดา
แต่เมื่อท่านเริ่มนั่งตลอดรุ่งมา ปรากฎว่าเกิดทุกขเวทนาใหญ่
และท่านก็สามารถผ่านพ้นภาวะเช่นนี้มาได้ ท่านได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับทุกขเวทนา
ตลอดคืนพร้อมทั้งแนะนำอบรมพระเณรและผู้ปฏิบัติธรรมไว้ดังนี้

ท่านที่ชอบทรมานทางอื่น เช่น การนั่งสมาธิภาวนาเป็นเวลาหลายชั่วโมง
เกิดเวทนาในบางโอกาสท่านก็ฝึกของท่านไปตามเหตุการณ์
การนั่งนานรู้สึกจะเป็นความทุกข์ทรมานมากกว่าวิธีอื่นๆ
เพราะเกี่ยวกับทุกขเวทนาที่โหมกันมาในขณะนั้น
ถ้าสติปัญญาไม่ทันกับทุกขเวทนาที่โหมกันมาอย่างหนักหน่วง
แทบไม่มีปลงวางกายวางใจลงได้เวลานั้นย่อมจะฝืนทนนั่งต่อไปมิได้
บัลลังก์สมาธิที่ขัดไว้ด้วยดีในเวลาปกติน่าจะแตกจากกัน
ในไม่กี่ชั่วโมงอย่างไม่เป็นขบวน เพราะความเจ็บปวดรวดร้าวเป็นไปทุกอวัยวะน้อยใหญ่
หลังมือ หลังเท้าราวกับถูกไฟเผา ทำให้ร้อนกระวนกระวายทั้งกายทั้งใจ
ส่วนภายในร่างกายเป็นเสมือนกระดูกทุกท่อนที่ต่อกันจะแตกกระเด็นออกมาคนละชิ้นละอัน
เพราะความเจ็บปวดระบมไปทั่วร่างกาย นอกนั้นใจยังแสดงความระส่ำระสายไปด้วย
เพราะกลัวตัวจะตายในขณะนั้นจนได้ ทำให้หวั่นไปทั่วร่างกายและจิตใจ กลัวจะทนต่อไปไม่ไหว
ทุกขเวทนาที่แสดงขึ้นในเวลานั้น ก่อนจะถึงเวทนาใหญ่ที่สำคัญกว่าเพื่อน มีถึงสามวาระ
ล้วนแต่เกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่นานๆกว่าจะสงบลง
ลำพังตัวเองโดยไม่มีการกำจัดต้านทานด้วยวิธีต่างๆอย่างใด

พอสงบลงได้สักพักก็เริ่มขึ้นมาอีก ทำนองนี้ถึงสามครั้ง แต่ละครั้งเวทนาเหล่านี้ต้องตั้งอยู่
และซาบซ่านไปตามสรรพางค์ร่างกายน้อยใหญ่เป็นเวลานานค่อยสงบลง
จนถึงวาระที่สี่ซึ่งเป็นวาระของทุกขเวทนาใหญ่
หรือกองทัพกองทุกข์ใหญ่เข้ามาถึงบังลังก์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่
นับแต่กองทัพกองทุกข์ใหญ่เข้าถึงตัวแล้วเท่านั้น ร่างกายทุกส่วนเป็นเเหมือนกองเพลิงทั้งกองเลย
ข้างนอกกายเหมือนถูกไฟลน ข้างในกายเหมือนถูกทุบด้วยฆ้อน ทิ่มแทงด้วยเหล็กอันแหลมคม
ปรากฎว่าระบมไปหมดทั้งร่างราวกับจะแตกทลายจากกันเป็นผุยผงไปคนละทิศละทางในขณะนั้น
เพราะอำนาจความทุกข์ทรมานเผาผลาญอยู่รอบด้าน
ทุกขเวทนาใหญ่นี้นับแต่ขณะที่ก้าวเข้ามาถึงกายแล้ว
ไม่มีเวลาขยับขยายตัวออก พอได้รับความผ่อนคลายทางกายบ้างเลย
มีแต่บีบขยี้ทุบตีให้แหลกไปท่าเดียว

ตอนนี้แม้จิตพิจารณากับธรรมแขนงใดอยู่ ก็จำต้องถอยทัพกลับย้อนสติปัญญาและกำลังทุกด้าน
เข้ามาพิจารณาทัดทานกันอย่างเอาจริงเอาจัง มิฉะนั้นร่างกายจิตใจจะกลายเป็นทะเลไฟไปเสียหมด
เพราะทุกขเวทนากล้าสาหัสกำลังเหยียบย่ำทำลายกาย และยังเขย่าใจให้สั่นสะเทือนไปด้วย
ความกลัวตายว่าจะสู้ไม่ไหว เพราะกายทั้งร่างกลายเป็นไฟทั้งกองในตัวเรา ไม่มีส่วนใดอยู่เย็นใจ
ได้โดยไม่ถูกความกระทบกระเทือนจากทุกขเวทนาประเภทนี้
นับขณะเริ่มนั่งจนถึงขั้นเวทนาใหญ่เกิดขึ้น

ถ้าผู้ไม่เคยประสบมาก่อนก็น่าจะไม่ทราบว่าอันไหนเป็นเวทนาเล็กอันไหนเป็นเวทนาใหญ่
กลัวแต่จะเริ่มเหมาไปแต่เวทนาเล็กซึ่งเป็นเพียงลูกหลานของมันเท่านั้นว่าเป็นเวทนาใหญ่ไปเสียหมด
ทั้งที่เวทนาใหญ่ยังไม่ตื่นนอนก็เป็นได้ แต่ถ้าผู้เคยประสบมาแล้วก็ทราบได้ทันทีว่าเป็นเวทนาอะไร
เพราะเวทนาใหญ่จะเริ่มปรากฏตัวนับแต่ห้าหกชั่วโมงล่วงไปแล้ว ก่อนหน้านี้มีแต่เวทนาเล็ก
ซึ่งเปรียบกับลูกๆหลานๆเท่านั้นมาเยี่ยมหยอกเล่นพอให้รำคาญ

สำหรับผู้ยังไม่เคยนั่งนานและไม่เคยพบมาก่อน น่าจะเริ่มโดนทั้งลูกทั้งหลานทั้งปู่ย่าตายาย
ของทุกขเวทนาขั้นแรก คือ สองสามชั่วโมงแรก และให้เกิดกระวนกระวายตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ถ้าสติปัญญาแก้ไขเหตุการณ์ไม่ทัน อาจจะทนนั่งต่อไปไม่ไหว ทั้งอาจจะรื้อบัลลังก์สมาธิ
เสียแต่ระยะนั่งได้เพียงสองสามชั่วโมงแรกก็ได้ ทั้งที่เวทนาใหญ่ยังไม่ปรากฎเลย แต่จะเหมาเอาว่า
ตนได้เผชิญกับเวทนาใหญ่จนทนไม่ไหวเสียแล้ว ความจริงยังไม่ถึงขั้นแตกหักกันเลย
เฉพาะผู้เคยนั่งสมาธิภาวนาและเคยมีความสงบจิตมาพอประมาณ ตลอดการนั่งก็ได้นานพอสมควร
ราวสองสามสี่ชั่วโมงเป็นประจำความเพียรในเวลาหนึ่งๆ ย่อมทราบทุกขเวทนาต่างๆได้พอประมาณ
ทุกขเวทนาเล็กที่เกิดขึ้นสองสามวาระแล้วสงบลงไปเองนั้น ถ้ายังไม่เคยเจอเวทนาใหญ่มาก่อน
ก็น่าจะเรียกว่าเป็นเวทนาใหญ่ได้เหมือนกัน แต่พอเจอเวทนาใหญ่จริงๆแล้ว เวทนาเหล่านั้น
เลยกลายเป็นเรื่องเล็กไป เพราะความรุนแรงระหว่างเวทนาทั้งสองนี้ผิดกันอยู่มากราวช้างกับแมวนั่นแล

เวทนาใหญ่เมื่อเกิดขึ้นเต็มที่แล้ว อวัยวะส่วนต่างๆปรากฎว่าเจ็บปวดรวดร้าวและระบมไปหมด
ราวกับจะแตกทลายลงในขณะนั้นจริงๆ ความออกร้อนตามหลังมือหลังเท้ารุนแรงมาก
เหมือนมีคนมาก่อไฟหุงต้มแกงอะไรๆ ในที่นั้น กระดูกในอวัยวะส่วนต่างๆเหมือนมีคนเอาฆ้อนมาทุบตี
ให้แตกให้หักไปในขณะนั้น เพราะความเจ็บปวดแสบร้อนสาหัส จนไม่มีที่ปลงวางร่างกายจิตใจลงได้เลย
ปรากฎเป็นกองเพลิงไปทั้งร่าง สิ่งที่จะสามารถต้านทานกันได้เวลานั้นมีแต่สติปัญญาศรัทธาความเพียร
มีความอดความทนเป็นเครื่องหนุนหลังไม่ยอมถอยทัพกลับแพ้ข้าศึกที่กำลังโหมกันมาอย่างเต็มที่
ราวกับจะบดให้แหลกละเอียดเป็นผุยผงไปในเวลานั้น ไม่ยอมปล่อยให้ชีวิตลมหายใจสืบต่อกันไปได้อีกเลย

ขณะที่กำลังเข้าตาจนนั้น จิตจะหาทางออกด้วยวิธีอื่นใดไม่ได้ทั้งสิ้น
นอกจากต้องปักหลักต่อสู้กัน
ด้วยสติปัญญาอย่างถึงเป็นถึงตาย เพื่อความจริงในกายในจิตที่ควรรู้ควรเห็นจากความเพียรเท่านั้น
ความอยากให้เวทนาหายและความคิดท้อใจว่าจะทนสู้ไปไม่ไหวเป็นต้น นี่คือสมุทัย
เครื่องส่งเสริมทุกข์ให้มีกำลังกล้ายิ่งขึ้น จะปล่อยให้คิดขึ้นมาในขณะนั้นไม่ได้เด็ดขาด
ถ้าไม่อยากล้มละลายแบบไม่เป็นท่า มีสติกับปัญญาเท่านั้นที่ต้องผลิตขึ้นมาด้วยอุบายต่างๆ
เพื่อให้ทันกับเวทนาในขณะนั้น โดยแยกแยะกาย เวทนา จิต ออกทดสอบเทียบเคียงกันดู
จนทราบความจริงของแต่ละสิ่งอย่างชัดเจนด้วยปัญญา

การแยกแยะกายควรถือเอาจุดสำคัญที่ว่าเป็นทุกข์มากกว่าที่อื่นใดออกพิจารณา เช่น
กระดูกขาหรือกระดูกเข่าเป็นทุกข์มาก ก็กำหนดจิตตั้งสติพิจารณาปัญญาลงไปในจุดนั้นว่า
กระดูกนี้เป็นทุกข์หรือทุกข์เป็นกระดูกกันแน่ ถ้ากระดูกเป็นทุกข์จริงดังที่เข้าใจ เวลาทุกข์ดับไปแล้ว
ทำไมกระดูกจึงไม่ดับไปด้วยทุกข์เล่า ถ้าเป็นอันเดียวกันดังที่เข้าใจ สิ่งทั้งสองต้องดับไปด้วยกัน
จึงจะถูกหลักความจริง อนึ่ง เวลาคนตายและหมดทุกข์ในร่างกายไปแล้วกระดูกยังมีอยู่
ขณะนำไปเผาไฟ กระดูกแสดงอาการเป็นทุกข์อย่างไรให้ปรากฎหรือไม่ ถ้าไม่แสดงทุกข์
คือความเจ็บปวดรวดร้าวให้ปรากฎเลยกระทั่งถูกไฟเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปเช่นนั้น
การไปเหมาเอาด้วยความสำคัญว่ากระดูกเป็นทุกข์ทั้งที่กระดูกมิได้เป็นทุกข์ดังเข้าใจนั้น
จะไม่อับอายกระดูกและอวัยวะส่วนต่างๆ ที่มีลักษณะเช่นเดียวกันซึ่งมิได้เป็นตัวทุกข์ตามคำกล่าวหา
บ้างหรือ และถ้าทุกข์เป็นกระดูกจริงๆ กระดูกมีมาแต่วันเกิดจนถึงบัดนี้ แต่ทุกข์ทำไมจึงมีขึ้นเฉพาะกาล
เช่นเริ่มมีขึ้นในขณะนั่งสมาธินี้เท่านั้น ทำไมจึงไม่มีทุกข์ติดทุกข์ต่อกันมาเช่นเดียวกับกระดูก
ที่มีต่อเนื่องกันมาแต่เริ่มแรกเกิดเล่า เมื่อเป็นเช่นนี้จะถือว่ากระดูกเป็นทุกข์หรือทุกข์เป็นกระดูก
ก็ต้องเป็นความเห็นผิดเป็นความถือผิดจากความจริง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอับอาย ความจริงอย่างยิ่ง
ที่มิได้เป็นไปตามความสำคัญมั่นหมายใดๆเลย

ขณะที่กำลังคลี่คลายแยกแยะกระดูกกับเวทนาเพื่อทราบความจริงนั้น จิตและสติปัญญา
ต้องจดจ่อและทำหน้าที่ด้วยความสนใจกับงานนั้นจริงๆ จะส่งจิตไปอื่นไม่ได้ ต้องหมุนตัวอยู่กับกิจ
ที่กำลังพิจารณา และพิจารณาย้อนหน้าย้อนหลังจนเป็นที่เข้าใจประจักษ์ จะพิจารณากี่เที่ยวไม่สำคัญ
แต่พิจารณาจนเข้าใจอันเป็นจุดมุ่งหมายของงานนี้ เมื่อเข้าใจชัดเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งแล้ว
จิตย่อมซึมซาบไปในอวัยวะอื่นๆซึ่งมีลักษณะเหมือนกันไปเอง โดยตั้งปัญหาถามตัวเองว่า
จิตเป็นเวทนาหรือเวทนาเป็นจิตอย่างไรกันแน่ ถ้าจิตเป็นเวทนาจริงดังความสำคัญ
เวลาทุกขเวทนาดับไป ทำไมจิตจึงมิได้ดับไปด้วยเล่า และถ้าเวทนามาเป็นจิต เมื่อจิตมีอยู่ตราบใด
ทุกขเวทนานี้ต้องมีอยู่ ตราบนั้นจะดับไปไม่ได้ แต่แล้วทุกขเวทนาทำไมมีเกิดๆดับๆ
ทั้งที่จิตทรงความรู้ความเป็นจิตอยู่ตลอดเวลาอกาลิโก มิได้ดับไปด้วยเวทนา
เมื่อเป็นเช่นนี้จะถือว่าจิตกับเวทนาเป็นอันเดียวกันนั้น ไม่ฝืนความจริงและไม่อับอายความจริงบ้างหรือ
ที่คิดกลืนความจริงให้กลายเป็นของปลอมไป ตามความรู้ความเห็นแบบป่าๆเถื่อนๆ เช่นนั้น
การแยกแยะว่า ไม่ว่าแยกแยะกายกับเวทนา หรือแยกแยะจิตกับเวทนา สติปัญญาต้องหมุนติ้ว
อยู่ในวงงานที่ทำ จะส่งออกอื่นมิได้ เวลานั้น ทุกขเวทนาแสดงตัวมากเพียงไร สติปัญญายิ่งพิจารณา
ไม่หยุดหย่อนเพื่อรู้ความจริงในสิ่งที่ประสงค์อยากรู้อยากเห็นอยากเข้าใจ เวทนาจะกำเริบ
หรือลดตัวลงหรือว่าจะดับไปก็ให้รู้ประจักษ์ในวงการพิจารณาเป็นสำคัญ


ข้อสำคัญอย่าตั้งความหวังให้ทุกข์ดับไปโดยที่พิจารณายังไม่เข้าใจความจริงของกาย
ของเวทนา และของจิตว่าต่างอันต่างเป็นความจริงของตนอย่างไรกันแน่ พิจารณาจนเข้าใจ
ทั้งกายทั้งเวทนาทั้งจิต เมื่อเข้าใจด้วยสติปัญญาจริงๆแล้ว กายก็สักแต่ว่ากาย ไม่ได้นิยมว่า
ตนเป็นทุกขเ์เป็นเวทนา เวทนาก็สักแต่ว่าเวทนาอยู่เท่านั้น ไม่นิยมว่าเป็นกายเป็นจิต
แม้จิตก็สักว่าเป็นจิตอยู่เท่านั้น ไม่นิยมว่าตนเป็นกาย เป็นเวทนา ดังที่เคยสำคัญแบบสุ่มๆ เดาๆ
มาแต่เวลาที่ยังมิได้พิจารณาให้เข้าใจ พอสติปัญญาพิจารณารอบคอบแล้ว ทุกขเวทนาทั้งหลาย
ก็ดับลงในขณะนั้น ไม่กำเริบต่อไป จิตก็รวมลงอย่างสนิทไม่รับรู้กันเลย อีกประการหนึ่ง
แม้จิตจะยังไม่รวมลงถึงขั้นดับสนิท แต่ก็มิได้รับความกระทบกระเทือนจากเวทนา คือ
กายก็จริง เวทนาก็จริง จิตก็จริง ต่างอันต่างจริง ต่างอันต่างอยู่ตามความจริงของตน
ขณะที่ต่างอันต่างจริงนั้น จะได้เห็นความอัศจรรย์ของจิตและเห็นความอาจหาญของจิตว่า
สามารถแยกตนออกจากเวทนาทั้งหลายได้อย่างอัศจรรย์เกินคาด นอกจากนั้น
ยังเกิดความอาจหาญต่อความเป็นความตายที่ขวางหน้าอยู่อย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ อีกด้วย
เนื่องจากได้เห็นหน้าตาเวทนาที่เคยหลอกลวงให้กลัวเป็นกลัวตายอย่างประจักษ์ใจแล้วในขณะนั้น
คราวต่อไป แม้เวทนาจะแสดงความกล้าสาหัสมากมายขนาดใด ใจก็สามารถพิจารณาได้
ทำนองที่เคยพิจารณาและเข้าใจมาแล้ว การรู้เห็นอย่างนี้แลคือการรู้เห็นสัจจธรรมด้วยสติปัญญาแท้
แม้จะมิใช่รู้เห็นขั้นเด็ดขาดฟาดกิเลสให้จมไปโดยสิ้นเชิงก็ตาม แต่กิเลสจะจมมิดหัวไม่มีฟื้นได้
ก็ต้องอาศัยวิธีนี้เป็นเครื่องดำเนินในวาระต่อไป


ท่านผู้ใดกล้าหาญต่อสู้กับทุกขเวทนาด้วยการพิจารณาตามวิธีนี้ไม่ยอมถอยทัพ
พับบัลลังก์แบบสิ้นท่า ท่านผู้นั้นต้องกำชัยชนะจากวิธีนี้โดยไม่มีทางสงสัย ทั้งยังจะเห็น
รอยพระบาทที่พระศาสนดากับพระสาวกเสด็จไปอย่างสดๆร้อนๆโดยลำดับ
และอาจลืมคำว่าพระองค์เสด็จปรินิพพานไปได้ 2500 ปีเศษแล้ว ซึ่งแสนนานก็ได้
เพราะความจริงกับศาสดาเป็นอันเดียวกัน ศาสดาแท้มิใช่กาลสถานที่บุคคล
พอจะเปลี่ยนแปลงห่างเหินว่าไกลกันลิบลับกับเราตั้ง 2500 ปีเศษ แต่ควรทราบว่า
ความจริงอยู่ที่ใดศาสดาก็อยู่ที่นั้น เพราะธรรมที่เกิดจากความจริงที่พิจารณารู้เห็นอย่างเต็มภูมิ
ไม่นอกเหนือไปจากนี้ ดังนั้น ท่านที่สามารถพิจารณาทุกขเวทนาจนถึงความจริงของกาย
ของเวทนา ของจิต ย่อมเห็นธรรมอย่างประจักษ์โดยลำดับ ซึ่งไม่นิยมกาลสถานที่เป็นเครื่องพิสูจน์
ตัดสินเลย ดังธรรมแสดงไว้ว่า ดูก่อนอานนท์ ถ้าการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมยังมีอยู่ พระอรหันต์
ย่อมไม่สูญไปจากโลกดังนี้ ซึ่งเป็นพระโอวาทที่ตรัสเพิ่งสิ้นพระกระแสเสียงไปเมื่อสักครู่นี้เท่านั้น
เพราะธรรมของจริงย่อมไม่ขึ้นกับเวลานาทีอะไรเลย แต่จริงอยู่สม่ำเสมอ ไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่กว่า
ความจริงในโลกทั้งสาม

การอธิบายวิธีพิจารณาทุกขเวทนานี้เป็นเพียงโดยย่อพอเป็นคติแก่ท่านผู้มีนิสัยในทาง
เป็นนักต่อสู้เพื่อกู้ภพชาติ ประหยัดความเกิดตาย ไม่ปล่อยให้เรี่ยราดสาดกระจายไป
ตามภูมิกำเนิดต่างๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อทรงวิมุตติหลุดพ้นไม่กังวลกับกองทุกข์น้อยใหญ่ทั้งหลาย
อีกต่อไปเป็นเวลานาน ซึ่งแสนน่ารำคาญและกังวลใจนักหนา ได้นำไปพิจารณาเพื่อหาทางออก
โดยอาศัยกองทุกข์ในขันธ์เป็นหินลับสติปัญญาให้คมกล้า
ตามแต่อุบายจะพลิกแพลงแก้ไขตนด้วยวิธีต่างๆ ซึ่งมีมากมายเหลือที่จะนำกล่าวได้ละเอียดทั่วถึง
เพราะการพิจารณาธรรมทั้งหลายเป็นเทคนิค ของแต่ละรายจะผลิตมาใช้เพื่อเปลื้องตน...

-------------------------------------------------------------------------------

เจริญในธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ส.ค. 2012, 14:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.. สมัยหนึ่ง หลวงปู่จันทา ถาวโร ท่านได้เล่าถึงการนั่งสมาธิของท่าน
ลักษณะเวทนาที่เกิดขึ้น เหมือนกับหลวงตานี่แหละ และท่านก็ผ่านมาได้ .. :b8:

สาธุ ..ขอโมทนาด้วยนะ :b8:

:b1:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 14:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


เอกอนสนใจตรงกระบวนพิจารณาที่เกิด ตอนเกิดเวทนาน่ะ

คือ เราก็ไม่ได้อดทนทำได้ถึงขนาดอย่างที่ท่านทำหรอก
แต่เราก็ประคองไปเท่าที่กำลังเราไหวน่ะ

คือมันต้องจดจ่ออยู่ให้ได้จริง ๆ
และ มองลงให้เห็นว่า เวทนา กับ จิต เป็นคนละสิ่งกัน แต่ปรากฎร่วมกันอย่างไร
มันต้องทำลงตรงนั้น พิจารณาลงตรงนั้น
ให้เห็นสิ่งที่พิจารณามันขาดจากกันจริง ๆ
เมื่อเห็นปุ๊บ ความเห็นความเข้าใจมันจะตามนั้น

และม้นก็จะเห็น ความอาจหาญของจิต

:b41: :b48: :b48: :b41:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2012, 19:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปกติแล้ว จิตอาจหาญเสมอแหละ เพียงแต่ว่า กิเลสตัณหาอุปทานครอบอยู่
จิตก็เลยลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่เปล่งแสงเท่าที่ควร ..

ท่านที่กล้าหาญชาญชัย ต้องการเห็นความจริงของจิต
จึงฝึกจิต แบบถอนรากถอนโคน จนเห็นความจริงของจิต


เราท่าน ผู้ที่มีกิเลสเท่ามหาสมุทร ความเพียรเท่าฝ่ามือ (หลวงปู่ขาวฯ ท่านว่า)
คงอีกหลายปี หลายภพชาติเป็นแน่ จึงจะเห็นความจริงของจิต ..

.. เน้อออ .. :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร