วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 01:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2011, 13:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ก.พ. 2011, 09:55
โพสต์: 4


 ข้อมูลส่วนตัว


เพิ่งเริ่มฝึกนั่งสมาธิ
แต่ชอบมีภาพหรือเหตุการณ์ต่างๆแวบเข้ามา
เชื่อว่าเกิดจากจิตปรุงแต่งขึ้นมาเอง
แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า อันไหนเห็น อันไหนจิตเราสร้างขึ้นมาเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2011, 17:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ป้าเม้า เขียน:
เพิ่งเริ่มฝึกนั่งสมาธิ
แต่ชอบมีภาพหรือเหตุการณ์ต่างๆแวบเข้ามา
เชื่อว่าเกิดจากจิตปรุงแต่งขึ้นมาเอง
แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า อันไหนเห็น อันไหนจิตเราสร้างขึ้นมาเอง


สวัสดี ป้าเม๊า

นั่งสมาธิ เพื่อให้จิตสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย
แรกเริ่มมีจิตจดจ่อต่อกรรมฐาน เพื่อละนิวรณ์

ตั้งจิตจดจ่ออย่างนั้นให้ได้ เหมือนผุกจิตเข้ากับหลัก เพื่อละนิวรณ์
ไม่ใช่ ให้ไปรู้ ไปแยกแยะ สิ่งทีปรากฏ ว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ ให้เกิดความฟุ้งออกนอกกรรมฐาน

บ่นให้ฟังประมาณ นี้

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2011, 12:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ก.พ. 2011, 09:55
โพสต์: 4


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณในความเมตตาให้สติปัญญาค่ะ

จิตมันชอบวอกแวกราวกับลิง
บางท่านก็บอกให้ผูกลิงไว้ บางท่านก็บอกให้ตามดูลิงว่าลิงทำอะไร
เลยเริ่มไม่แน่ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2011, 13:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2010, 21:56
โพสต์: 56

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในโลกนี้มีของจริงเกิดขึ้นจริง กับ ไม่ได้เกิดขึ้นจริง(คิดไปเอง อุปทาน สงสัย อยู่อย่างนั้น)
อันว่า สติ นี้คือ " รู้ " รู้ว่าเกิดขึ้นจริง หรือไม่จริงตามสภาวะปัจุบันนั้น อันจะทำให้ธาตุรู้ซึ่งเป็นของจริงอยู่อย่างนั้น
เป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ ปรากฏให้เห็น หากยังไม่แน่ใจสงสัยอยู่ จึงต้องมีความเพียรเข้าช่วย ฝึกรู้ตามความเป็นจริง อย่าให้ขาดสาย อย่าให้ขาดไปจาก สติ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.พ. 2011, 13:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตามดู ตามรู้ มันไป จิตจะปรุงแต่ง จะไปไหน คิดอย่างไร เป็น กุศล หรือ อกุศล ก็รู้อยู่ จิต โลภ โกรธ พอใจ ไม่พอใจ ก็มีสติ ตามรู้อยู่ ระลึกอยู่ รู้สึก ตัว ทั่วพร้อม ตามสภาวะที่เป็นจริง อย่างปล่อยวาง ไม่เพ่ง ไม่เผลอ ไม่บังคับ ไม่ข่ม แต่ตามดู ตามรู้อยู่ อย่างปล่อยวาง เพราะสิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง
เจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.พ. 2011, 12:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนาทุกความเห็นด้วยคร้บ

นั่งหลับตาแล้ว จิตไม่สงบ ถึงเห็นภาพที่ไม่อยากเห็นหรือใจแว๊บออกไปจิตไม่รวมเป็นหนึ่ง คงจะไม่เรียกว่าสมาธิหรอกนะครับ ควรศึกษาหาความรู้ความเข้าใจเหตุผลก่อนดีไหมครับพระพุทธเจ้าสอนอะไร ไม่อย่างนั้น คนตาบอดกับคนพิการต้องนั่งทั้งวันคงมีสมาธิดีกว่าเราแน่ ๆ เลย

คนยังฟุ้งซ่าน คิด ๆ นึก ๆ เก่งจะเรียกว่ามีสมาธิอีก ก็เห็นว่าเก่งกว่าเราก็ไม่ใช่อีกอยู่ดี

สรุป คือรู้ใจตัวเองก่อน เพราะหากโยมป้าเม้า ไม่ฟุ้งซ่าน จิตเป็นปกติดี ได้ยินคนอื่นให้ตามดูจิต ดูลิง ก็เอาเลยนั่งหลับตา ไปเข้าใจว่าภาพนิมิตที่เกิดขึ้นรึเปล่านะเรียกว่าให้ตามดู อันนี้มันไม่ใช่เรื่องแล้ว สิ่งที่เห็นในสมองเวลาหลับตา เขาเรียกนิมิต จริงก็มีไม่จริงก็มีส่วนใหญ่ไม่จริง ถึงจริงก็จริงโดยสมมติ

จากไม่ฟุ้งซ่าน จิตเป็นปกติ ไม่รู้ใจตัวเอง รู้ขั้นรู้ตอน ไปตามดูตามรู้แบบนี้ก็เสีย กรรมฐาน เพราะคนอื่นบอกให้ตามดู แย่เลยเนอะ

หาก ฟุ้งซ่าน จิตไม่เป็นปกติ มีนิวรณ์ ๕ อยากนั่งเพื่อมีฤทธิ์มีเดช อยากนั่งจะได้มีเทพมีองค์ อยากนั่งด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม นอกไปจากทำให้จิตสงบ ผิดหมด นี่เรียกว่ามีกามฉันทะ ๑ หรือจิตมีโทสะพยาบาทผุดขึ้น ไม่ชอบไม่พอใจใคร นี่เรียกว่าพยาบาท ๑ ง่วงเหงาเบื่อหน่ายซึมเศร้าหมอง นี่เรียกถีนมิทธะ ๑ เกิดอารมณ์ฟุ้งซ่าน เป็นพื้นฐานเรียก อุธัจจกุกกุจจะ ๑ สุดท้าย วิจิกิจฉา ความลังเลใจไม่แน่ใจ ในการปฏิบัติข้อนี้ก็สงเคราะห์ในที่นี้ ๑ พวกนี้เป็นกิเลสขั้นกลาง ผุดขึ้นมาปิดกั้นปัญญารู้แจ้งความเป็นจริง ไม่ผ่านขั้นนี้ คงยากจะไปเชื่อใครว่า อะไร ๆ ก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ^^

หาก ฟุ้งซ่าน จิตไม่เป็นปกติ มีนิวรณ์ดั่งกล่าว แล้วพยายามผิด ๆ ที่จะบังคับให้จิตสงบ อยากสงบ ใส่กามฉันทะลงไป พลักใสความสงบด้วยความอยาก ใจไม่สงบจิตไม่รวมเสียทีก็ยิ่งอึดอัดปฏิฆะ ขัดเคืองเป็นโทสะเป็นพยาบาท ฟุ้งซ่าน สงสัยลังเล เพราะคนอื่น ๆ บอกให้ทำจิตให้สงบ ด้วยความไม่รู้อีกนั่นแหละ ก็จะพยายามบังคับอยากรู้อยากมีอยากเป็น ก็ยิ่งฟุ้งซ่านไปอีก เพราะจะทำจิตให้สงบ

ถึงตรงนี้ป้าเม้าคงว่าอะไร กัน ตามดูก็ไม่ได้ ทำจิตให้สงบก็ไม่ดี ทำอย่างไรละที่นี้ ทำตามเหตุตามผลครับ ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมตามเห่อ ตามคนอื่นบอก ตามเหตุตามผลของขณะจิตขณะใจที่มันเป็นอยู่

ความโลภ เนี้ยเพราะเราหวงห่วง สมบัติข้าวของเงินทองบุตรภรรยาสามีพี่น้องญาติตระกูล เพราะเรามีความเข้าใจผิดในร่างกายจิตใจ ที่ประชุมรวมกันนี้ ว่าเป็นเราของเรา จึงมีของ ๆ เราคนของเรา ไอ้นั่นไอ้นี้ของเรา เรามีเราเป็นนี่แหละ จึงเป็นเหตุให้เราเกิดความโลภ ลึกซึ้งกว่านี้คือ มีกามคุณ ๕ ความยินดีพอใจในรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส อารมณ์รู้สึกคิดนึกที่ดีที่ชอบที่พอใจ จึงติดใจอยากมีอยากได้อยากเป็นอีก ตามเหตุ ได้เห็นอีกได้ยินอีกได้กลิ่นได้รสได้สัมผัสได้รู้สึกคิดนึกอีก ก็จะพอใจติดใจ

ความโกรธ เกิดขึ้นเพราะมีความรักความพอใจมีความโลภก่อนเป็นที่ตั้ง เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างไม่เป็นไปตามใจเราต้องการ เราจึงได้รับอารมณ์ที่ไม่ดีที่ไม่ชอบ ได้เห็นได้ยินได้กลิ่นได้รสได้สัมผัสรู้สึกคิดนึกในอารมณ์ที่ไม่ดี กามโทษ หรือโทษของกามคุณ ๕ ข้างต้น สมบัติข้าวของเงินทอง ของ ๆ เรานี่แหละเป็นเหตุทำให้เราเกิดความโกรธ เวลามีใครมาทำลายความเสียหายให้แก่เรา ของๆ เรา

ความหลง เกิดขึ้นเพราะมีความรู้สึกต่อสุขและทุกข์ที่เกิดเพราะเหตุและปัจจัยต่าง ๆ ตามที่กล่าวมา รวมทั้งอารมณ์ซึม ๆ เฉย ๆ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วย ก็เป็นเหตุมาจาก กิเลสตัณหา คือความอยากได้อยากมีอยากเป็น และไม่อยากมีไม่อยากได้ไม่อยากเป็น นั่นเอง เป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งหลาย เพราะความประชุมรวมกันของ รูปธรรมนามธรรม คือร่างกาย จิตใจนี้นี่เอง พระองค์ตรัสว่าเป็นตัวทุกข์ ยังไม่เข้าใจยังไม่รู้ว่า ความยึดถือในชีวิตร่างกายจิตใจนี้เป็นความก่อทุกข์ก่อโศกให้ ก็ยังปฏิบัติผิดหลงผิดอีกนานเลยทีเดียว จนกว่าจะรู้และเข้าใจว่า กองทุกข์ รูปนาม กายใจนี้เป็นเหตุให้เกิดสุขก็ได้ เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ก็ได้ เหตุแห่งสุขคือ การมีศีล สมาธิ ปัญญา ส่วนเหตุแห่งทุกข์ คือความโลภ โกรธ หลง เกิดเพราะเราไม่มีศีล ๕ ไม่มีการเสียสละการให้ทาน ละความโลภความตระหนี่ ไม่มีความเป็นปกติมักโกรธ ไม่รู้จักให้อภัยจึงขาดสติขาดสมาธิ เพราะไม่ได้ฟังธรรม ไม่มีกัลยาณมิตร จึงขาดปัญญา จึงต้องท่องเที่ยวในวัฏฏทุกข์ บ่นยาวเลย พอดีกว่าขอให้โชคดีเจริญพร ^^

รูปภาพ


Credit image by :
http://www.siamstamp.com/forum/index.php?topic=4219.20

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.พ. 2011, 14:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 407

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า อันไหนเห็น อันไหนจิตเราสร้างขึ้นมาเอง


อันนี้แหละปรุงแต่งครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2011, 19:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
จิตมันชอบวอกแวกราวกับลิง
บางท่านก็บอกให้ผูกลิงไว้ บางท่านก็บอกให้ตามดูลิงว่าลิงทำอะไร
เลยเริ่มไม่แน่ใจ
ขอตอบป้าเม้าหน่อยนะคับ

บางท่านก็บอกให้ผูกลิงไว้
บางท่านก็บอกให้ตามดูลิงว่าลิงทำอะไร
ทั้งสองประโยคนี้ถูกทั้งคู่
ที่ผูกลิงไว้ สำหรับผู้ปฏิบัติที่มีสติดีแล้วควบคุมจิตได้แล้ว เริ่มเกิดสงบบ้าง จีงเปรียบเหมือนผูก
ลิงอยู่กับหลักได้ ถึงจะผูกหรือไม่ผูกลิงก้ไม่ไปไหน สิ่งใช่ผูกลิงก้คือ สติ นั่นเอง :b41:

ส่วนประโยคหลัง ให้ตามดูว่าลิงทำอะไร การตามดูลิง เทียบได้กับการหนดจิต หรือกำหนดรู้
ๆ ว่งลิงกำลังทำอะไร บางครั้งนั่งสมาธิ จิตมันวอกแวก วุ่นวาย สับสน จะทำยังไงก้ไม่นิ่ง การรู้ตามดู
มันห่างๆ การฝึกสมาธิส่วนใหญ่อาศัยการกำหนดรู้ทั้งนั้น ถ้าไม่รู้ว่าลิงทำอะไรก้แสดงว่าเราขาดสติ
และการตามดูลิง ก้ได้แก่วิตก วิจาร :b39:

อะไรก้แล้วแต่ที่เข้ามากระทบ หรือเกิดขึ้นแล้ว เราเกิดรู้สึกดีใจ เสียใจ มีสุข มีทุกข์ นี่เปนอารมณ์ของการ
ปรุงแต่งในจิตทั้งนั้น แม้กระทั่งเหนนิมิตรทั้งหลาย ก้ยังจัดว่าเปนการปรุงแต่ง ยังเชื่อถือในสิ่งที่เห็นนั่นไม่ได้
ต้องวางเฉยต่อสิ่งที่เราเหนนั้น เพื่อปล่อยวางความยึดมั่นถือในสิ่งที่เห็นนั้น พระท่านถึงบอกว่า
"สิ่งที่เหนนั้นเหนจริง...แต่ไม่ของจริง" เปนเพียงภาพมายาจากสัญญาเก่าและจิตใต้สำนึกที่ฝังตัวอย่างเหนียวแน่น
เท่านั้น มาฉายภาพให้เหนเมื่อเริ่มเปนสมาธิระดับกลาง ต้องมีสติพิจารณาให้รู้ทันมันแล้วปล่อยวางมันให้ได้แล้วข้ามมันไปเท่านั้น :b40:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2011, 21:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ป้าเม้า เขียน:
จิตมันชอบวอกแวกราวกับลิง
บางท่านก็บอกให้ผูกลิงไว้
บางท่านก็บอกให้ตามดูลิงว่าลิงทำอะไร
เลยเริ่มไม่แน่ใจ


ลิงที่กำลังฝึก...ก็ต้องให้ลิงอยู่กับที่..จึงจะฝึกมันได้

แต่ตอนที่มันดื้อ...มันดึง..มันก็ฉุดกระชาก..คนฝึกไปโน่นไปนี้...จะตีลิงจนตายมันก็ไม่ฟัง..แบบนี้ก็ต้องย่อนเชือกให้มันเที่ยวเล่นไปก่อน...แต่คนฝึกก็ต้องคอยสังเกตุลิงให้ดี..หากมันหมดแรงดื้อ..ก็ต้องรีบดึงลิงมาฝึกทันที...ลิงหมดแรงอยากเที่ยวก็ฝึกได้ง่าย

จุดประสงค์คือการฝึกลิง...จะผูกหรือจะย่อน..ก็เพื่อการฝึก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2011, 21:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ป้าเม้า เขียน:
เพิ่งเริ่มฝึกนั่งสมาธิ
.......
แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า อันไหนเห็น อันไหนจิตเราสร้างขึ้นมาเอง


ทั้งหมดที่เห็น..เป็นสิ่งที่ไม่ควรใส่ใจ...ปล่อยมันไป

เพราอะไรรู้ไหม???

ก็...เรากำลังทำอะไร??
ที่รู้..ที่เห็น..ใช่สิ่งที่เรากำลังทำหรือไม่???

เมื่อ..ไม่ใช่..แล้วเราไปข้องกับมัน...แสดงว่า..เรากำลังทำผิด

เรากำลังฝึก..สมาธิ..อยู่นะ

พุทโธ..ให้ชัด ๆ..เอาให้ชัด ๆ...
ถ้ายังไปเห็นอะไรอีก..ก็เอาพุทโธให้ชัด ๆ ๆ ชัด ๆ อย่างเดียว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2011, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


สำหรับตัวเอง....ไม่ว่าจะเป็นภาพอะไร?
ไม่ว่าจะเป็นแสง สี เสียง ที่เกิดขึ้น ที่ผ่านเข้ามา
ไม่สงสัย ไม่ค้นหา ว่ามันคืออะไร? มันมาจากไหน?
ทุกอย่างเกิดเองแล้วก็ดับเอง....กำหนดรู้เท่าทันให้มากที่สุด
การปฏิบัติในแต่ละครั้ง....จะไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม
จะมีสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอๆ...ถ้ามัวแต่สงสัย
หรือยินดี...ไม่ว่าจะเป็นจิตปรุงแต่ง หรือเห็นจริง
ก็มิได้เกิดประโยชน์ที่จะรู้...เมื่อปฏิบัติจนเข้าใจ
สภาวะของธรรมชาติ...จะรู้ได้ด้วยตัวเองว่า
อะไร?เป็นอะไร?

เป็นความคิดเห็นส่วนตัวค่ะ

เจริญในธรรม :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2011, 22:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


taktay เขียน:
สำหรับตัวเอง....ไม่ว่าจะเป็นภาพอะไร?
ไม่ว่าจะเป็นแสง สี เสียง ที่เกิดขึ้น ที่ผ่านเข้ามา
ไม่สงสัย ไม่ค้นหา ว่ามันคืออะไร? มันมาจากไหน?
ทุกอย่างเกิดเองแล้วก็ดับเอง....กำหนดรู้เท่าทันให้มากที่สุด
การปฏิบัติในแต่ละครั้ง....จะไม่มีอะไรที่เหมือนเดิม
จะมีสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ เกิดขึ้นเสมอๆ...ถ้ามัวแต่สงสัย
หรือยินดี...ไม่ว่าจะเป็นจิตปรุงแต่ง หรือเห็นจริง
ก็มิได้เกิดประโยชน์ที่จะรู้...เมื่อปฏิบัติจนเข้าใจ
สภาวะของธรรมชาติ...จะรู้ได้ด้วยตัวเองว่า
อะไร?เป็นอะไร?

เป็นความคิดเห็นส่วนตัวค่ะ

เจริญในธรรม :b8:


อิ อิ ชอบความคิดเห็นส่วนตัวจร้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.พ. 2011, 23:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 21:59
โพสต์: 234

สิ่งที่ชื่นชอบ: ในตัวเอง
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตอยู่คู่กับสิ่งปรุงแต่ง
ถ้าไม่มีสิ่งปรุงแต่งก็ไม่มีจิต

ไม่สามารถแยกจิตออกจากสิ่งปรุงแต่งได้
แต่ทำให้จิตดับลงไปสนิทได้เมื่อระงับการปรุงแต่งได้สนิท

การศึกษาทำให้รู้ว่า จิตและสิ่งปรุงแต่ง เป็นสิ่งที่อยู่ด้วยกัน
อาศัยกันและกันในการมีอยู่ และการดับลง

เฮ้อ.........คนเขาถามเรื่องปลา แต่เราก็ดันอยากตอบเรื่องนกขึ้นมาซะงั้น

.......... :b55: :b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.พ. 2011, 01:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คนเขาบอกเรื่องนก..

เราก็ยังคิดว่า..มันเหมือนสาหร่ายไหม??...
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มี.ค. 2011, 12:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องการนั่งพิจารณานั้น จะมีเวลาของเขาเช่น เรานั่งวันสองวันแล้วบอกว่าสับสน ไม่เข้าใจ ใจไม่นิ่ง อึดอัดเพราะตามลมหายใจจนกลายเป็นไม่มีความสงบนั้นเป็นเรื่องปกติ ต้องอาศัยการนั่งทุกๆวันเป็นเวลาข้ามเดือนข้ามปี เราจึงเริ่มที่จะสังเกตุตัวเองว่าเรามีความสงบจริง พิจารณาได้ไม่อึดอัดแล้ว อาการปวดขาปวดหลังไม่รุนแรงแล้วเพราะความเคยชิน ทีนี้เราก็เริ่มหาอุบายการปฎิบัติธรรมตามหลักคำสอนของครู หรือพระพุทธเจ้าตามตำราพระไตรปิฏก
ตัวผมก็พึ่งตั้งคำถามในบอร์ดนี้เมื่อเดือนที่แล้วว่า การพิจารณาตามอุบายของผมมีการพิจารณาการกระทบกันของอายตนะภายในและภายนอกคือเสียงเกิดขึ้นเพราะการกระทบกันของโสตธาตุกับเสียงภายนอกนั้น เราหลีกเลี่ยงไม่ได้แต่เรารู้ทันการเกิดขึ้นเป็นโสตวิญญาณเกิดผัสสะและเวทนาตามลำดับ
ผมได้ถามผ่านไปยังเวปของหลวงตามหาบัวอีกทางหนึ่งว่าตอนผมนั่งได้45นาทีแล้วเกิดความรู้ขึ้นเพราะการพิจารณาว่ามีเสียงมอเตอร์ไซค์ดังขึ้นนั้นโสตวิญญาณเกิดขึ้นนั้นเป็นของจริง จนกระทั่งเสียงดับลง แต่หากเราไปคิดว่าเป็นมอเตอร์ไซค์วิ่งไปทางไหนอะไรอย่างไรนั้น มโนวิญญาณเกิดขึ้นครับไม่เป็นของจริงไม่เกิดขึ้นจริง นั่นเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นกับผมเป็นอุบายในการปฏิบัติว่าหากโสตวิญญาณเกิดขึ้นสักแต่ว่าเกิดหากดับก็สักแต่ว่าดับลง เช่นทีนี้เราไปพิจารณาการวางมือทาบมือสัมผัสวิญญาณเกิดตรงจุดนั้นรู้แล้วเป็นของจริงแต่หากไปวาดภาพประกอบว่าจะได้เห็นมือชัดๆคิดเป็นภาพมือของตัวเองทั้งๆที่หลับตาอยู่ทีนี้มโนวิญญาณเกิดครับไม่เป็นของจริงทีนี้การทำงานต้องอาศัยสติรู้ตามไม่หลงลืม นี่คืออุบายการปฏิบัติที่เกิดขึ้นกับตัวผมเอง แต่ถ้าถามว่าเห็นภาพที่จิตสร้างขึ้นผมก็พิจารณาว่าเป็นสัญญา หากมโนวิญญาณเกิดก็ย่อมเกิดผัสสะและเวทนาตามครับ ให้พิจารณาว่าสักแต่เกิดและดับลง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 23 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร