วันเวลาปัจจุบัน 06 ส.ค. 2025, 12:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2010, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2010, 21:01
โพสต์: 54

แนวปฏิบัติ: สติปัฏฐาน4
งานอดิเรก: ร้อยลูกปัด
ชื่อเล่น: พลอย
อายุ: 22
ที่อยู่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 ข้อมูลส่วนตัว


คือเราสงสัยว่า เราจะมีวิธีฝึกสติและสมาธิในชีวิตประจำวันได้อย่างไรบ้างคะ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าในวันนึงๆ เรามีสติและสมาธิมากเท่าใด นอกเหนือจากการนั่งสมาธิและ้เดินจงกรมอ่าคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2010, 21:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2010, 17:20
โพสต์: 29

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เราว่าควรต้องตั้งสติและกำหนดรู้ว่าขณะนั้นเราทำอะไรอยู่ และอยู่ที่ไหนทำนองนี้อยาปล่อยจิตให้ลอยไปเรื่อยเปื่อยทุกวันี้เราก็ทำอยู่ค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2010, 22:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


โอวาทธรรม หลวงพ่อ พุธ ฐานิโย

นอกจากจะไปนั่งหลับตาภาวนา หรือเพ่งดวงจิตแล้ว
ออกจากที่นั่งมา เรามีสติตามรู้ การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
แม้ว่าเราจะไม่นั่งสมาธิอย่างที่พระท่านสอนก็ได้

เพราะว่าเราฝึกสติอยู่ตลอดเวลา เวลาเรานอนลงไป
คนมีความรู้ คนทำงาน ย่อมมีความคิด
ในช่วงที่เรานอนนั่นแหละ เราปล่อยให้จิตเราคิดไป
แต่ เรามีสติตามรู้ความคิด จนกระทั่งนอนหลับ

ถ้าฝึกต่อเนื่องกันทุกวันๆ เราจะได้สมาธิอย่างประหลาด


http://www.dhammajak.net/smati/12.html


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2010, 23:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


buddha's student เขียน:
คือเราสงสัยว่า เราจะมีวิธีฝึกสติและสมาธิในชีวิตประจำวันได้อย่างไรบ้างคะ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าในวันนึงๆ เรามีสติและสมาธิมากเท่าใด นอกเหนือจากการนั่งสมาธิและ้เดินจงกรมอ่าคะ


สวัสดี buddha's student

การนั่งสมาธิ และเดินจงกรม เป็นการบ่มอินทรีย์ ในสถานทีทำกรรมฐาน
สำหรับ กัลยาณปุถุชน โดยทั่วไป ก็ยังมีทางเลือกในการฝึกสติและสมาธิในชีวิตประจำวันได้
สิ่งที่เรามักมองข้ามไป คือ ความเป็นผู้มีมนุษยธรรม(ศีล 5) ไม่ล่วงอกุศลกรรมบถ 10

เข้าใจง่ายๆ คือความเป็นผู้มีศีล เมื่อถึงความเป็นผู้มีศีล ไม่ล่วงศีล ไม่ละเมิดศีล ย่อมเป็นผู้มีสติและจิตเป็นสมาธิ

เพราะเหตุใดจึงเป็นอย่างนั้น
เพราะความถึงพร้อมถึงศีล ย่อมไม่มีความเดือดเนื้อร้อนใจเป็นอานิสงส์
เมื่อไม่มีความเดือดเนื้อร้อนใจ จิตย่อมมีความยินดี มีความเย็นใจ มีความอิ่มใจ มีความสงบเป็นอานิสงส์
เมื่อคุณภาพของจิต แม้เพียงเป็นผู้มีศีล มีมนุษยธรรม ย่อมเป็นที่รัก ย่อมมีความสุข เป็นอานิสงส์
จิตที่มีสติ ไม่มีความประมาทในศีล มีความสุขใจ จิตอย่างนี้แหละ คือจิตที่ตั้งแล้วในสมาธิ

เป็นการรักษาสติ และสมาธิ ที่เป็นธรรมชาติธรรมดา ง่ายที่สุดไม่ต้องคอยตามดูอะไร นอกจากรักษาศีลครับ

Quote Tipitaka:
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อวิปฏิสารของบุคคลผู้มีศีล สมบูรณ์ด้วยศีล ย่อม
เป็นธรรมมีเหตุสมบูรณ์ เมื่ออวิปฏิสารมีอยู่ ความปราโมทย์ของบุคคลผู้สมบูรณ์
ด้วยอวิปฏิสาร ย่อมเป็นธรรมมีเหตุสมบูรณ์ เมื่อความปราโมทย์มีอยู่ ปีติของ
บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยความปราโมทย์ ย่อมเป็นธรรมมีเหตุสมบูรณ์ เมื่อปีติมีอยู่
ปัสสัทธิของบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยปีติ ย่อมเป็นธรรมมีเหตุสมบูรณ์ เมื่อปัสสัทธิ
มีอยู่ สุขของบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยปัสสัทธิ ย่อมเป็นธรรมมีเหตุสมบูรณ์ เมื่อ
สุขมีอยู่ สัมมาสมาธิของบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยสุข ย่อมเป็นธรรมมีเหตุสมบูรณ์
เมื่อสัมมาสมาธิมีอยู่ ยถาภูตญาณทัสนะของบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยสัมมาสมาธิ
ย่อมเป็นธรรมมีเหตุสมบูรณ์ เมื่อยถาภูตญาณทัสนะมีอยู่ นิพพิทาของบุคคลผู้
สมบูรณ์ด้วยยถาภูตญาณทัสนะ ย่อมเป็นธรรมมีเหตุสมบูรณ์ เมื่อนิพพิทามีอยู่
วิราคะของบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยนิพพิทา ย่อมเป็นธรรมมีเหตุสมบูรณ์ เมื่อวิราคะ
มีอยู่ วิมุตติญาณทัสนะของบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยวิราคะ ย่อมเป็นธรรมมีเหตุ
สมบูรณ์ ฯ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2010, 09:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตั้งแต่ลืมตาตื่นนอนตอนเช้า...จนถึงเข้านอนตอนค่ำ ในการดำรงชีวิตประจำวันใช้งานสิ่งที่ทำ
ในขณะนั้นๆ ฝึกอบรมสติ สัมปชัญญะ สมาธิ วิริยะ เป็นต้นได้ทั้งหมด เช่น ตอนนอนลืมตาทำความรู้สึกตัว นึกสำรวจตนเองว่า ยังนอนอยู่ในอิริยาบถเดิมไหม นอนในท่าเดิมหรือไม่
สำรวจตนเองดูก่อนแล้ว ลุกขึ้นหยิบจับพับผ้าห่ม ฯลฯ ก็รู้สึกตัวรู้ตัวว่ากำลังจับกำลังวาง ... เดินไป
เข้าห้องน้ำรู้ตัวว่ากำลังเดินไป ... ล้างหน้าแปรงฟัน อาบน้ำ แต่งตัว ฯลฯ ออกจากบ้านไปทำงาน...ก็รู้สึกตัวอยู่กับสิ่งที่ทำๆนั้น
…เลิกงานกลับบ้าน ทำความสะอาดบ้าน กินข้าว ล้างถ้วยล้างจาน อาบน้ำ เข้านอน....ตื่นนอน...วนไปอีก ก็ฝึกทำเหมือนเดิม จะทำอะไรๆ ทำความรู้สึกตัว ณ ขณะนั้นๆว่ากำลังหยิบฉวย-วาง...
พูดง่ายๆว่า จะหยิบจับอะไร ก็ระลึกรู้สึกตัวอยู่กับงานที่ทำ

หลังจากฝึกแบบนั้นไปสักระยะหนึ่ง ลองสังเกตว่าจิตใจอยู่กับสิ่งที่กำลังทำได้นานขึ้นกว่าก่อนหน้า
คือว่าจิตใจอยู่กับสิ่งที่กำลังทำนั้นๆ แสดงสติสมาธิ เป็นต้น เจริญขึ้นแล้ว

หลักอิทธิบาท คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ก็ใช้งานนี่เองฝึกอบรม

(แทรกลิงค์การเจริญสมาธิด้วยอิทธิบาทให้พิจารณา)

viewtopic.php?f=2&t=20241


จขกท. ดูตัวอย่างโยคีท่านหนึ่งที่

http://fws.cc/whatisnippana/index.php?topic=29.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 27 มิ.ย. 2010, 12:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2010, 11:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สติเป็นตัวระลึกได้ถึงความมีอยู่ของกายของใจ
ถ้าเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกอยู่ที่กาย รู้สึกอยู่ที่ใจได้ ก็เรียกว่ามีสติ

สติเป็นสิ่งที่บังคับหรือกำหนดให้เกิดไม่ได้ สติต้องเกิดขึ้นเองเมื่อทำเหตุให้ถึงพร้อม
การที่จิตจำสภาวะ(ลักษณะเฉพาะของกายและใจ)ได้เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติ
การปฏิบัติจึงต้องเริ่มจากการฝึกจำสภาวะต่างๆให้มาก
โดนเฉพาะสภาวะที่เกิดที่จิต เช่น ความโกรธ ความโลภ ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ใจ ควางหลง
(หลงคิด หลงดู หลงฟังฯลฯ แล้วลืมดูกายใจตัวเอง)

การปฏิบัติไม่มีอะไรมาก แค่รู้ทันตัวเองไปเรื่อยๆ
ร่างกายเคลื่อนไหว รู้สึก ร่างกายหยุดนิ่งรู้สึก
จิตใจเคลื่อนไหว รู้สึก จิตใจหยุดนิ่งรู้สึก
จิตใจหนักๆก็รู้ จิตใจเบาๆก็รู้ จิตใจเราเป็นยังไงก็รู้ รู้เล่นๆ
การปฏิบัติจริงๆไม่ใช่การทำอะไร แต่ว่าพอร่างกายจิตใจมันทำอะไรแล้วเรารู้ทันเรียกว่าปฏิบัติ

วิหารธรรมเป็นเครื่องช่วยให้สติเราไวขึ้นค่ะ

ควรจะซ้อมการฝึกให้เกิดสติโดยหาเครื่องอยู่ให้จิตอันนึง(วิหารธรรม)
พอใจคลาดเคลื่อนไปจากเครื่องอยู่อันนั้น เราก็จะได้รู้ทันว่าหลงไปแล้ว มันจะไม่หลงนาน
เช่น พุทโธ ขยับนิ้ว ขยับไปเรื่อยๆไม่ใช่ขยับเพื่อให้จิตนิ่ง ไม่ใช่พุทโธเพื่อให้จิตนิ่ง
แต่ขยับไปพุทโธไป พอใจหลงแวบไปก็รู้สึกแล้ว มันลืมพุทโธหรือการขยับไป
ต่อไปเราอยู่ในชีวิตประจำวัน พอใจเราขยับตัวแวบจะเห็นเลย สติเกิดเอง

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มิ.ย. 2010, 11:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะเคลื่อนกายเปลี่ยนอิริยาบถใดแล้ว...ต้องมีเหตุผล..ว่าเพราะอะไร
เช่น...มือขวาเอื้อมไปข้างหลังแล้วเกา...ต้องรู้ตัวก่อนว่าสาเหตุเพราะคันหลัง
กำหนดลงไปมือ..กำหนดสติ..มือขวากำลังเอื้อมไปข้างหลังนะ..และกำลังเกา
ทุกอิริยาบถใหญ่ ยืน นั่ง เดิน นอน...หรืออิริยาบถย่อยลงไป
สามารถฝึกเจริญสติได้ทุกเวาลานาที....อันนี้ถ้าปฏิบัติได้จักเป็น กุศลและมหากุศลต่อตัวเองแล
ขอเจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2010, 21:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2010, 21:01
โพสต์: 54

แนวปฏิบัติ: สติปัฏฐาน4
งานอดิเรก: ร้อยลูกปัด
ชื่อเล่น: พลอย
อายุ: 22
ที่อยู่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณทุกๆคนที่ช่วยตอบนะคะ

เท่าที่อ่านความเห็นต่างๆ สรุปได้ก็คือ
ให้มี"สติ"ตามรู้ว่ากายและจิตในแต่ละขณะว่ากำลังทำอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ รู้สึกอย่างไรอยู่
โดยใช้ฉันทะ ความพอใจ
ใช้วิริยะ ความเพียร
ใช้จิตตะ ความเอาใจใส่
และใช้วิมังสา ตรวจสอบดูว่าเรามีกำลังของสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธาและความเพียร มากน้อยเพียงใดและเพิ่มเติมในสิ่งที่ยังบกพร่องอยู่
โดยอาจดูง่ายๆได้จากตอนก่อนนอน เพราะเป็นตอนนี้ความคิดของเราจะพรั่งพรูมากมาย ให้พิจารณาตัวเองว่ามีการรู้ตัวเร็วแค่ไหนเมื่อเผลอคิดเรื่องต่างๆและหยุดคิดได้เร็วแค่ไหน

เข้าใจอย่างนี้ ถูกต้องไหมคะ???


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2010, 23:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เท่าที่อ่านความเห็นต่างๆ สรุปได้ก็คือ
ให้มี"สติ"ตามรู้ว่ากายและจิตในแต่ละขณะว่ากำลังทำอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ รู้สึกอย่างไรอยู่
โดยใช้ฉันทะ ความพอใจ
ใช้วิริยะ ความเพียร
ใช้จิตตะ ความเอาใจใส่
และใช้วิมังสา ตรวจสอบดูว่าเรามีกำลังของสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธาและความเพียร มากน้อยเพียงใดและเพิ่มเติมในสิ่งที่ยังบกพร่องอยู่
โดยอาจดูง่ายๆได้จากตอนก่อนนอน เพราะเป็นตอนนี้ความคิดของเราจะพรั่งพรูมากมาย ให้พิจารณาตัวเองว่ามีการรู้ตัวเร็วแค่ไหนเมื่อเผลอคิดเรื่องต่างๆและหยุดคิดได้เร็วแค่ไหน

เข้าใจอย่างนี้ ถูกต้องไหมคะ???

ถูกต้องครับ แต่อย่าลืมเพิ่มขันติคือการฝืนใจ ฝืนใจเพื่อเอาดีให้ได้ เข้าไปด้วยนะครับ....
สติสามารถ ทำได้ตลอดเวลาอาศัยจากการฝึกฝน
ส่วนสมาธิเกิดขึ้นเมื่อจิตเราหยุดนิ่ง
ซึ่งสติกับสมาธิถ้าสะสมมากๆเข้าจะเกิดปัญญา....
:b51: :b53: :b41: :b44: :b48: :b47:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2010, 00:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 มิ.ย. 2010, 12:05
โพสต์: 282

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อาจไม่ค่อยตรงคำถาม แต่ขอฝากไว้นิดนึงค่ะ

ถ้าเราจงใจให้สติเกิด จะไม่เกิดสัมมาสติ

ถ้ายังเจือด้วยความคิดอยู่ ไม่ใช่การรู้ที่แท้จริง
http://www.dhammada.net/2010/06/04/2442/

สติคืออะไร: ทำอย่างไรสติจึงเกิดได้บ่อย?
http://www.dhammada.net/2010/02/28/1025/

ขอยกธรรมของครูบาอาจารย์มา ณ ที่นี้ค่ะ

"การที่เราหัดรู้สภาวะไปเรื่อย ๆ ถึงจุดหนี่งสติจะเกิดเอง ถ้าเราจงใจให้ เกิดเช่น เราตั้งใจต่อไปนี้เราจะไม่เผลอเลย เราก็มารู้ลมหายใจหายใจออก คอยรู้หายใจเข้าคอยรู้ เราจ้องไม่ให้เผลอไปที่อื่นเลย อันนี้มี โลภเจตนา ซ่อนอยู่เบื้องหลังการปฏิบัติ มีความโลภนะ โลภอะไร โลภอยากจะดี อยากจะรู้สึกตัว อยากจะให้เกิดสติ อยากจะให้เกิดปัญญา มีความโลภอยู่

ตราบใดที่ยังมีโลภะอยู่สติแท้ ๆ ไม่มีหรอก สติแท้ๆ ไม่เกิดร่วมกับโลภะหรอก ที่นี้เราต้องหัดจนกระทั่งจิตมันเคยชินที่จะเกิดสติ หัดรู้สภาวะไปเรื่อยๆ แล้ววันหนี่งสติเกิดเอง ตรงที่สติเกิดได้เองนี่ครูบาอาจารย์แต่ก่อนท่านชอบใช้คำว่า มหาสติ พวกเราเคยได้ยินไหม มหาสติ มหาปัญญา บางทีครูบาอาจารย์ใช้ มหาสติ คือสติอัตโนมัติ มหาปัญญา ปัญญารู้แจ้งความจริงของกายของใจโดยอัตโนมัติ ก่อนจะมีปัญญาอัตโนมัติ ต้องฝึกให้มีสติอัตโนมัติก่อน ถ้าขาดสติไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้น เราค่อยๆฝึกหัดดูสภาวะไปเรื่อย แล้ววันหนี่งจิตมันจะเห็นสภาวะได้เอง พอจิตมันเห็นสภาวะปุ๊บ โดยที่ไม่เจตนานะ จิตมันจะรู้เนื้อรู้ตัว มันจะตื่นขึ้นมาเต็มที่เลย มันจะเห็นความจริงเลยว่า สภาวะทั้งหลายไม่ใช่ตัวเรา"


สติ คือความระลึกได้ถึงความปรากฏของ รูปนาม สติเป็นอนัตตาเช่นเดียวกับธรรมทั้งปวง
ดังนั้นไม่มีใครที่จะสั่งหรือจงใจให้สติเกิดขึ้นได้ สติจะเกิดขึ้นเองเมื่อทำเหตุที่สมควรให้ถึงพร้อม
โดยไม่ต้องพยายามทำให้เกิด
เหตุให้เกิดสติได้แก่ การที่จิตรู้จักและจดจำสภาวะของรูปนามได้แม่นยำ
เพราะได้เจริญสติปัฏฐานหรือตามรู้สภาวะของกาย เวทนา จิต หรือธรรมเนืองๆ

สติหรือสัมมาสตินี้จะแตกต่างจากมิจฉาสติหรือสติธรรมดา
ตรงที่สัมมาสตินั้นเป็นเครื่องระลึกรู้อารมณ์ปรมัตถ์ ได้แก่ รูปนามในขั้นการเจริญมรรคเบื้องต้น
และระลึกรู้นิพพานในขณะที่เกิดอริยมรรค
ส่วนมิจฉาสติเป็นเครื่องระลึกรู้อารมณ์ บัญญัติอันเป็นสาธารณกุศลต่างๆ
สัมมาสติจะสักว่าระลึกรู้อารมณ์ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปพร้อมกับจิตเป็นขณะๆ
ส่วนสติธรรมดามักจะเข้าไปตั้งแข็งหรือนอนแช่อยู่ในอารมณ์
และให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าสตินั้นเป็นของที่ตั้งอยู่ได้นานๆ โดยไม่เกิดดับ

.....................................................
อย่ามัวเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา อย่าปล่อยให้ชราแล้วตายไปเปล่า อย่ามัวแต่ตำหนิตนเองหรือผู้อื่นอยู่ คิดอยู่เสมอว่าจะพัฒนาจิตใจตน และทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอย่างไร แล้วเร่งกระทำทันที อย่ามัวรีรอ


แก้ไขล่าสุดโดย จันทร์ ณ ฟ้า เมื่อ 08 ก.ค. 2010, 00:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2010, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนในห้องเรียนท่านแยกชิ้นส่วนขององค์ธรรมแต่ละตัวๆให้เห็นว่าชื่อธรรมตัวนี้มีหน้าที่ทำอะไรยังไง

เกิดร่วมกับใครได้บ้าง เป็นต้น กรณี้นี้ท่านเปรียบเหมือนรถที่จอดอยู่กับที่

แต่เวลาใช้งานจริง ไม่ต้องแยกว่านั่นสติใช่ไม่ใช่ หรือเป็นวิริยะใช่ไหม หรือเป็นสัมปชัญญะ ฯลฯ

ไม่ต้องแยกยังงี้ กรณีนี้ท่านเปรียบเหมือนรถที่ออกวิ่งใช้งานจริง ทุกส่วนทำงานร่วมกันอาศัยกันและกัน



กำลังอ่านหนังสือรู้สึกตัวว่ากำลังอ่านอยู่ เข้าใจเนื้อหาสาระนั้น ไม่เผลอ เพียงเท่านี้องค์ธรรมต่างๆ

เกิดแล้วตามสมควร

หากอ่านไปคิดแยกไปว่า เป็นอะไรตอนนี้ เป็นสติหรือยัง หรือเป็นอะไร ฟุ้งซ่านแล้วครับ :b1: คือ

จิตใจไม่อยู่กับปัจจุบันคืองานที่ทำ


ตอนนอนจะทำยังไง เอาอะไรให้จิตเกาะยึดล่ะ ก็เอากายทั้งหมด หรือ ยึดลมเข้าออกให้จิตเกาะยึดไป

จนกว่าจะหลับ ไม่แยกแยะเช่นกันว่ามันเป็นอะไร ให้จิตยึดเกาะลมหรือกายนอนหลับ


ลิงค์นี้ทำความเข้าใจความอยาก (ตัณหา) กับความอยาก (ฉันทะ)

viewtopic.php?f=2&t=32646

พิจารณาดีๆครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 08 ก.ค. 2010, 09:09, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2010, 00:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ค. 2008, 13:47
โพสต์: 288


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเคยทำสมาธิแบบไหนให้ทำแบบนั้นครับ
ถ้าพุทโธ ก็ให้พุทโธ อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะยืนเดินนั่งนอน
ไม่ว่าจะทำอะไรตลอด 24 ชม.ให้อยู่กับพุทโธ

หรือถ้าทำงานหรือคิดงาน เมื่อเสร็จแล้วให้
ให้กลับมาที่คำบริกรรมครับ
เอาอยู่อย่างนั้น อย่าให้เผลอคิดไปเรื่องอื่น
ให้คิดแต่คำว่าพุทโธ

สติจะเกิดจากตรงนี้ครับ
เมื่อสติสืบเนื่องตลอดเวลา
จิตจะรวม เมื่อจิตรวมบ่อยครั้งเข้าก็จะสร้างฐานของสมาธิขึ้นมาครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร