วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 15:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2010, 00:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


... เขาไปกำหนดหมายเอาว่า สมาธินี่ จิตต้องนิ่ง สว่าง รู้ตื่น เบิกบาน เขาไปกำหนดหมายเอาโน่น
ถ้าใครทำไม่ได้ก็ไม่ใช่สมาธิแล้ว อันนั้นมันสมาธิในฌานสมาบัติของพวกฤาษี

สมาธิของพระพุทธเจ้า พอจิตสงบปั๊บลงไปนิดหนึ่ง ความคิดมันฟุ้งๆๆๆๆ ขึ้นมายังกับน้ำพุ
นี่คือสมาธิของพระพุทธเจ้า

ตอนเที่ยงนี่ก็มานั่งแก้อยู่รายหนึ่ง " ไปปฏิบัติตามหนังสือของหลวงพ่อ จิตฟุ้งซ่านใหญ่เลย
ทำไมมันไม่สงบล่ะหลวงพ่อ ถ้ามันไม่สงบล่ะหลวงพ่อ ถ้ามันไม่สงบแล้วจะปฏิบัติไปเพื่ออะไร "

" กฌปฏิบัติเพื่อให้มันเกิดความคิดสติปัญญาน่ะสิ เมื่อมันเป็นอยู่อย่างนั้น คุณท้าทายเลยว่า
แกจะคิดไปถึงไหน ฉันจะนั่งจะนอนดูแกอยู่นั่น เอาสติกำหนดรู้อย่างเดียวเท่านั้น แล้วผลมันจะเกิดขึ้นเอง "

( ผลจะเกิดขึ้นอย่างไร ใครเป้นผู้รู้ ) .... คนที่รู้ก็เรานั่นแหละรู้ ในใจเรานี่ ปกติใจที่รู้สึก รู้นึก รู้คิด
อย่างไม่มีระเบียบกฏเกณฑ์ แต่มันมีสิ่งหนึ่ง คือสติ ที่คอยควบคุมให้เรารู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี ๒ อย่าง
นี่ประกอบกันเข้า ทีนี้พอระลึกรู้ทันแล้ว การเตรียมพร้อมนี่คือ ตัวปัญญา ซึ่งท่านเรียกว่า สติ สมัปชัญญะ

สติ นึกถึง สัมชัญญะ รู้พร้อม เมื่อมีสติกับสัมปชัญญะควบคู่กันนี่ มันมีพลังขึ้น จิตของเรา
จะมีการเตรียมพร้อมตลอดเวลา เตรียมพร้อมเพื่อรับสถานการณ์และสิ่งแวดล้อม
พออะไรเข้ามาพั๊บ มันรู้ปั๊บ พอรับรู้แล้ว มันจะวิจัยว่าดีหรือเลว ควรหรือไม่ควร อันนี้คือตัวปัญญา

อย่าไปมุ่งหวังว่าจะได้ญาณอย่างนั้น ฌานอย่างนี้ เมื่อเรามีสติ ความรู้ความคิดนึกของเรา
การทำ การพูด การคิด อยู่ตลอดเวลา นั่นแหละคือ ญาณ ญาณแปลว่า รู้
ในเมื่อเรารู้การทำ การพูด การคิดของเราอยู่ตลอด นั่นแหละมันเป็นญาณวิเศษ

จากหนังสือฐานิยปูชา ๒๕๕๐

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2010, 03:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
เขาไปกำหนดหมายเอาว่า สมาธินี่ จิตต้องนิ่ง สว่าง รู้ตื่น เบิกบาน
เขาไปกำหนดหมายเอาโน่น ถ้าใครทำไม่ได้ก็ไม่ใช่สมาธิแล้ว


หมายใจว่าเป็นแบบนี้จริงๆ วันใดฟุ้งมากๆ
ก็ทำให้ท้อแท้ว่าวันนี้ปฏิบัติไม่ได้เรื่องเลย แต่ลืมไม่ว่า บางครั้งที่เราฟุ้งนั้น
เราก็กำลังคิด และทุ่มเถึยงในใจกันเองอยูว่า อย่านี้ไม่ดี ควรทำอย่างนี้ดีกว่า
หรืออันนี้มันเป็นกิเลส ไม่ควรทำ ควรทำอย่างนั้นดีกว่าฯลฯ........

ควรรู้ตามจริง รู้ตามสภาวะ อย่าปรุงแต่ง....อนุโมทนาค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2010, 20:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


taktay เขียน:
อ้างคำพูด:
เขาไปกำหนดหมายเอาว่า สมาธินี่ จิตต้องนิ่ง สว่าง รู้ตื่น เบิกบาน
เขาไปกำหนดหมายเอาโน่น ถ้าใครทำไม่ได้ก็ไม่ใช่สมาธิแล้ว


หมายใจว่าเป็นแบบนี้จริงๆ วันใดฟุ้งมากๆ
ก็ทำให้ท้อแท้ว่าวันนี้ปฏิบัติไม่ได้เรื่องเลย แต่ลืมไม่ว่า บางครั้งที่เราฟุ้งนั้น
เราก็กำลังคิด และทุ่มเถึยงในใจกันเองอยูว่า อย่านี้ไม่ดี ควรทำอย่างนี้ดีกว่า
หรืออันนี้มันเป็นกิเลส ไม่ควรทำ ควรทำอย่างนั้นดีกว่าฯลฯ........

ควรรู้ตามจริง รู้ตามสภาวะ อย่าปรุงแต่ง....อนุโมทนาค่ะ :b8:





ความละเอียดของกิเลสแต่ละสภาวะแตกต่างกันไปค่ะ
หากมีสติ สัมปชัญญะทัน มันก็แค่รู้ หากไม่ทันก็ปรุงแต่งไหลตามสิ่งที่มากระทบ

สมมุตินะคะ ทำแล้วเรามองว่าสภาวะไม่ดีเลยเป็นปีๆ แล้วมาวันหนึ่งสภาวะดีมากๆ
แค่นี้ก็ถือว่าสร้างเหตุดี ย่อมได้รับผลดีแล้วแหละค่ะ ที่มองว่าผลยังไม่ดีนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเหตุที่เราทำมา
ทำด้วยความอยาก จะเจอสภาวะอีกแบบ
ทำด้วยความศรัทธาจะเจอสภาวะอีกแบบ
ทำแบบไม่รู้เรื่อง ทำอย่างเดียว จะเจอสภาวะไปอีกแบบ
ไม่ว่าจะทำแบบไหนๆ หากเจือไปด้วยกิเลส ย่อมมีสภาวะไปตามกิเลสค่ะ
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับเหตุที่ทำมา สภาวะจึงเป็นแบบนั้น

น้ำเองกว่าจะมาถึงจุดๆนี้ก็ผ่านสิ่งที่เคยคิดว่า " ไม่ดี " มาเยอะ แต่จริงๆแล้วมันเป็นแค่ความคิด
ที่เราไปให้ค่าต่อสภาวะที่เกิดขึ้นในขณะนั้นๆเอง จริงๆแล้วมันไม่มีทั้งดีและไม่ดี
แต่สภาวะมาแสดงให้เห็นถึงความไม่เที่ยง ยิ่งยึดมากเท่าไหร่ อยากให้สภาวะดีมากเท่าไหร่
กิเลสมันก็ยิ่งแกล้งเรา พยายามจะให้เราเลิกทำ ถ้าเรายอมแพ้ต่อกิเลส เราก็จะเลิกจริงๆค่ะ



taktay เขียน:
ควรรู้ตามจริง รู้ตามสภาวะ อย่าปรุงแต่ง



แล้วแต่เหตุของแต่ละคนที่ทำมา แต่ตอนนี้คุณทักทายกำลังทำความเพียรต่อเนื่อง
ซึ่งน้ำเชื่อว่า สักวันหนึ่ง คุณจะรู้ตามความเป็นจริง เห็นตามความเป็นจริงได้ทั้งหมดค่ะ :b8:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2010, 20:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


คำสอนของพระพุทธเจ้า คือ กฏธรรมชาติ

คำสอนพระพุทธเจ้า ไม่มีอะไรที่พระองค์มาบัญญัติขึ้นโดยความคิดของพระองค์
แต่มันก็เป็นความคิดของพระองค์นั่นแหละ แต่เป็นความคิดที่มีเหตุผล

คือ พระองค์รู้จริงว่าสิ่งนี้กับสิ่งนี้ เมื่อมากระทบกันแล้ว มันเกิดผลอย่างนี้ๆๆๆๆ แล้วก็บัญญัติไปตามนั้น
ไม่ใช่แบบชนิดที่ว่า มองๆดูความสุขทุกข์ของประชาชน

อะไรต่างๆเขาชอบกันอย่างนี้ก็บัญญัตไปตามใจเขาอย่างนั้น
ไม่ใช่อย่างนั้น อันนั้นมันฝืนกฏธรรมชาติ

คำสอนของพระพุทธเจ้ามีแต่ความจริง ตามที่มันเป็นจริงอยู่แล้ว
พระองค์เพียงแต่รู้เท่านั้นเอง


ฐานิยปูชา ๒๕๕๐

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 28 ส.ค. 2010, 20:40, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 11:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สติมา ปัญญาเกิด

สติ สัมปชัญญะคู่กัน ถ้า ๒ อย่างนี้มีพลังพร้อมกัน มันเกิดปัญญา
ปัญญาคือ ความคิด ความคิดอันใดที่มีสติ สัมปชัญญะรู้พร้อม คือ สมาธิปัญญา

ถ้าจิตเรามีพลังแก่กล้าจริงๆ พอนึกถึงปัญหาเรื่องนี้ เราจะแก้ไขอย่างไร จิตจะคิดหาทางของมัน
บางทีมันก็ยังตัดสินอะไรไม่ได้ คิดไปๆๆ พอมันจะตัดสิน มันจะว่างลงนิดหนึ่ง พอไหวตัวพั้บ
อ้อ! ต้องทำอย่างนี้

สมัยที่หลวงพ่อทำงานคณะสงฆ์อยู่ เวลาประชุมนี่ หลวงพ่อได้แต่นั่งฟังเฉย
พอเพื่อนเขาเถียงไปหมดแล้ว ผู้ที่เป็นหัวหน้าท่านก็ถาม

" เจ้าคุณ ไม่เห็นออกความคิดเห็นกับเขา "

ทีนี้พอพูดไปเท่าที่เพื่อนฝูงถกเถียงกันมานี่ ในเมื่อสรุปแล้วมันได้ข้อมูลมาอย่างนี้
ผมเห็นว่าควรเป็นอย่างนี้ ลงสุดท้ายหมู่ทั้งหลายได้ฟังแล้วก็ว่า อ้าว!จริง คนนั้นก็จริง คนนี้ก็จริง

อย่างไปประชุมเรื่องสมาธิภาวนากัน เขาเถียงกันไป

" เอ้า! เจ้าคุณพุธเห็นว่าอย่างไร "
" เท่าที่ถกเถียงกันมาหาข้อยุติไม่ได้"

ในเมื่อสรุปแล้วที่เรามีความคิดเห็นขัดแย้งกันอยู่ณ เวลานี้ เราสามารถแยกผู้ออกความคิดเห็นนี้
เป็น ๒ ประเภท แล้วทั้งหลายก็ประกาศตนว่าเป็นนักภาวนา นักทำสมาธิ
แต่นักทำสมาธิเราแยกเป็น ๒ ประเภท

ประเภทหนึ่ง รู้หลักวิธีการตามตำรา แต่ทำสมาธิไม่เป็น ก็ไม่รู้เรื่องของสมาธิ

อีกประเภทหนึ่ง รู้หลักและวิธีการตามตำรา ทำสมาธิเก่ง มีประสบการณ์มาก ย่อมเข้าใจเรื่องสมาธิดี

เพราะฉะนั้น เราอย่าเอาคนรู้จริงกับคนไม่รู้จริงมาเถียงกัน เถียงกันไปจนตายมันก็ไม่ยุติ

ลงผลสุดท้ายผู้เป็นประธานสรุปว่า มิตทั้งสองฝ่ายนี่ ต่างฝ่ายต่างเอาไปพิจรณาของตัวเองว่าง
มันมีข้อเท็จจริงอย่างไร ภูมิจิตภูมิใจที่เป็นไปนั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนวินัยของพระนี่เราควรสังวรระวัง
ปฏิบัติให้มันถูกทุกข้อ

ฐานิยปูชา ๒๕๕๐

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2010, 11:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ความคิด คือ ความก้าวหน้าของจิต


ในตอนแรกๆทำสมาธิแล้วเราจะรู้สึกว่าจิตสงบดีอยู่ แต่เมื่อทำไปๆ แล้วไม่ค่อยสงบ ...
โดยธรรมชาติของสมาธิ ถ้าสมาธิจะก้าวหน้า เมื่อทำไปๆ ตอนแรกอาจจะมความสงบลึกลงไป
แต่มาภายหลังนี่ พอรู้สึกว่าจิตจะรวมๆเท่านั้น จะเกิดความคิดผุดขึ้นมา ผุดขึ้นมาๆ
อันนั้นแสดงว่าจิตมีพลังที่จะทำงานได้

ในตอนแรกๆ มันติดความสุข ความสบาย มันก็ดูดดื่มลึกลงไป
แต่มาภายหลัง จิตมันรู้รสแห่งความสบาย มันทำให้ติด ซึ่งมันรู้โดยสัญชาติญาณของมัน
แล้วภายหลังพอสงบลงหน่อย มันจะเกิดความคิดผุดขึ้นมา ผุดขึ้นมา สารพัดจิปาถะที่มันจะคิด

ในทางปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องนี้ กำหนดสติตามรู้อยู่อย่างเดียวตามความคิดที่เกิดขึ้น
สำรวมสติกำหนดรู้จิตเฉย ไม่ต้องไปคิดปรุงแต่งอะไรทั้งสิ้น ถ้าจิตอยู่นิ่งๆปล่อยให้นิ่งไป
ถ้าหากคิด ปล่อยให้คิดไป เอาสติตามรู้ รู้ รู้ ไปทุกระยะ รู้ว่ากำลังนิ่ง รู้ว่ากำลังคิด
แต่คิดเรื่องอะไรไม่สนใจ ให้ทำเหมือนๆกับว่า เรานั่งหลับตาอยู่เฉยๆ มีอะไรมาถูกต้องกายเรา
ทำความรู้สึกเพียงแค่ว่ามีสิ่งถูกต้องเท่านั้น สิ่งนั้นคืออะไรอย่าไปสนใจ

ความคิดนี่ก็กำหนดหมายรู้เฉพาะจุดที่เกิดความคิดเท่านั้น
ความคิดเรื่องอะไรไม่ต้องไปตั้งใจวิจัยหรือวิจารณ์

ถ้าหากว่าออกไปทำงาน ก็เอาสติตามรู้ทุกอิริยาบท การทำ การพูด การคิด ให้มีสติตลอดเวลา
เมื่อนอนลงไป จิตมันคิดกังวลอะไรปล่อยให้มันคิดไปเลย ให้เอาสติตามรู้ไปจนกว่าจะนอนหลับ

นี่แบบนี้ ถ้าปฏิบัติต่อเนื่องกันทุกวันๆๆ พอหลับลงปุ๊บ แทนที่จะหลับมืดอย่างธรรมดา
จิตมันจะสว่างขึ้น แล้วมีธุรกิจการงานอันใดที่ขัดข้อง ที่เราแก้ปัญหาไม่ตก มันจะวิ่งเข้าเป็นอารมณ์
จิตจะทำหน้าที่แก้ไขปัญหานั้นๆ ซึ่งมีลักษณะเหมือนคนนอนหลับแล้วฝันไป แต่ก็แก้ปัญหาตก

อันนี้คือเรื่องของสมาธิทั้งนั้น

สมมติว่า พอเรานอนลงไป งานที่มันข้องอยู่ เราแก้ปัญหาไม่ตก จิตมันจะนึกว่า จะนึกหรือไม่นึกก็ตาม
เราตั้งปัญหาถามตัวเราเองไว้ " ปัญหานี้เราจะแก้อย่างไร " แล้วก็หยุด

กำหนดรู้จิตอยู่เฉยๆ แล้วจิตเขาจะปรุงแต่งความคิดของเขาขึ้นมาเอง
แม้ว่าจะไม่คิดเกี่ยวกับปัญหานั้นก็ตาม ปล่อยไปตามธรรมชาติ แต่ให้สติกำหนดตามรู้ๆๆๆ
ไปจนกว่าจะนอนหลับ พอไปถึงจุดที่เขาจะแก้ พอจิตว่างพั้บลง ปัญหามันจะวิ่งเข้าไป
แล้วจิตจะทำหน้าที่แก้ของมัน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2010, 11:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




Resize of aa012.jpg
Resize of aa012.jpg [ 75.08 KiB | เปิดดู 6764 ครั้ง ]
tongue
สติมา ปัญญาเกิด
ปัญญาเลิศ สติจึงเยี่ยม[/b
]

[b]เขาเป็นธรรมชาติที่ต้องอิงอาศัยซึ่งกันและกันเกิด เป็นเหตุปัจจัย ซึ่งกันและกันนะครับ คุณwalaiporn

วันหลังเรามาแจง หรือวิเคราะห์การเกิดของสติและปัญญาสู่กันฟังนะครับ

:b8: :b27: :b12: :b12: :b12: :b12: :b16:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ย. 2010, 13:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณอนัตตาธรรมเขียน


อ้างคำพูด:
วันหลังเรามาแจง หรือวิเคราะห์การเกิดของสติและปัญญาสู่กันฟังนะครับ



เรานั่งรอฟังแล้วน่ะค่ะ ตอนนี้คุณน้ำทำงานอยู่
คุณอนัตตาธรรมวิเคราะห์การเกิดของสติและปัญญาก่อน ได้หรือปล่าวค่ะ :b1: :b41: :b55: :b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ย. 2010, 06:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




Resize of aa015.jpg
Resize of aa015.jpg [ 78.27 KiB | เปิดดู 6720 ครั้ง ]
tongue
สติ = ความระลึกได้ (แสดงว่ามีสิ่งที่ใหัระลึกถึงรออยู่ในสัญญา)

หน้าที่ของสติ คือ รู้ทัน(ปัจจุบันอารมณ์) ระลึกได้ ไม่ลืม

สติ จะเกิดขึ้นได้ จะต้องถูกปัญญาอบรมมาก่อน

สัมมาสติ คือ สติ ที่ถูกปัญญาอบรมให้รู้จักเส้นทางเดินไปสู่ความพ้นทุกข์ เมื่อไรที่ระลึกรู้อยู่บนงานเจริญมรรคทั้ง 8 เพื่อเดินทางไปสู่ความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง นั่นคือ สัมมาสติ

ปัญญา คือ ความรู้ครั้งแรกที่จิตไปรู้จักสภาวธรรม หลังจากนั้น ความรู้เรื่องนั้นจะเป็น สัญญา และ สติ

ความรู้จักสภาวธรรมตามความเป็นจริงครั้งแรกเป็น ภาวนามยปัญญา หลังจากนั้น จะเป็น จินตมยปัญญาและ สุตตมยปัญญา

ขั้นตอนการทำงานภายในขันธ์ 5

เหตุ พบ ปัจจัย เกิด ผัสสะ วิญญาณเกิด รูปเกิด สติรู้ทันปัจจุบันทุกขั้นตอน มโนวิญญาณธาตุรับทราบ ปัญญาและสัญญา จำแนกอารมณ์ เวทนาเกิด สังขาร เกิด มโนกรรมเกิด วจีกรรม กายกรรมเกิด ผลคือวิบากเกิด ส่งแรงเฉื่อยให้เกิดผัสสะและอารมณ์ใหม่

ขณะสติรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ปัญญาจะสังเกตอารมณ์ ถ้ายังไม่เคยมีในสัญญา ปัญญาจะค้นหาคำตอบให้ได้ก่อน แล้วป้อนเก็บในสัญญา ถ้าอารมณ์นั้นเคยเกิดแล้ว มีในสัญญา สติจะระลึกได ไม่ลืมอารมณ์นั้น

สติกับปัญญาจะช่วยกันทำงานเป็นห่วงโซ่แห่งความรู้ รู้ทัน ระลึกได้ ไม่ลืม สังเกต พิจารณา รู้ รู้ทัน ระลึกได้ ไม่ลืม วนไปมาอย่างนี้

ถ้าปัญญาไม่สังเกต สติ จะไม่รู้ทันปัจจุบันอารมณ์

ถ้าสติไม่รู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ปัญญาจะเกิดไม่ได้ จะมีแต่สัญญาเกิด

เอาแค่นี้ก่อนนะครับ ไปตีความจับประเด็นกันเอาเอง แต่ไปหาเทียบจากตำราไม่มีนะครับ
ต้องนั่งลง หลับตา เอาสติ ปัญญา เฝ้าดู เฝ้ารู้ เฝ้า สังเกต พิจารณา ลงไปใน กายและจิต ที่ปัจจุบันขณะ ปัจจุบันอารมณ์ จึงจะเห็นและรู้ อย่างตัวหนังสือหรือบัญญัติที่เล่ามานี้นะครับ

สติ เป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดปัญญา และปัญญาก็เป็นเหตุปัจจัยให้เกิด สติ อิงอาศัยกันอย่างนี้ตลอดไป

ส่วน สมาธินั้นเป็นผลของการเจริญสติ

เอวัง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ย. 2010, 19:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว



คุณเต้ cool
น้ำมีคำถามนะคะ จะถามว่า คุณเต้ฝึกเจริญสติไปเพื่ออะไร?

ก่อนจะตอบ อ่านข้อความตรงนี้ก่อนนะคะ

สติ มีความระลึกได้เป็นลักษณะ มีความไม่ลืมเป็นรส มีความอารักขาเป็นอาการปรากฏ
สภาวะที่เกิดขึ้น คือ รู้ตัวก่อนที่จะทำกิจ

สัมปชัญญะ มีความไม่หลงเป็นลักษณะ มีความไตร่ตรองเป็นรส มีความส่องเห็นอาการเป็นปรากฏ
สภาวะที่เกิดขึ้น คือ ความรู้สึกตัวในขณะที่กระทำกิจนั้นๆ

เมื่อมีการทำงานของสติและสัมปชัญญะร่วมกัน ผลที่ได้รับคือ สมาธิ
ส่วนกำลังของสมาธิที่เกิดขึ้น จะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับเหตุที่ทำมา
สภาวะที่เกิดขึ้น คือ รู้ชัดในสิ่งที่กำลังทำ

เมื่อสติ สัมปชัญญะและสมาธิทำงานร่วมกัน เรียกว่า มีทั้ง 3 องค์ประกอบทำงานร่วมกัน
สภาวะที่เกิดขึ้น คือ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม

เมื่อเกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ย่อมรู้อยู่กับรูป,นามได้ดี ( กายและจิต )
นี่คือ ตัวปัญญาตัวแรกที่เราได้รู้จัก " รูป,นาม " คือ มีรูป,นามเป็นอารมณ์ นี่เรียกว่ารู้โดยสภาวะ
เมื่อรู้ได้แบบนี้บ่อยๆ ตัวรู้หรือตัวปัญญาย่อมเกิดขึ้นเนืองๆ

ที่ใดมีทั้งสติ สัมปชัญญะและสมาธิ ที่นั่นย่อมมีปีญญาเกิด
ขาดตัวใดตัวหนึ่ง ปัญญาย่อมไม่เกิด

ฉะนั้น ไม่ว่าใครจะมีสภาวะอย่างไร ย่อมสามารถสร้างตัวปัญญาให้เกิดขึ้นได้
ทุกๆคนย่อมไปถึงจุดหมายปลายทางเหมือนกันหมด

เราปฏิบัติเพื่อดับ " เหตุ " ของเหตุที่เกิดขึ้นทั้งปวง
เราไม่ได้มาปฏิบัติเพื่อที่จะไปเป็นอะไร

การที่ปฏิบัติเพื่อที่จะเป็นอะไรนั่น ล้วนแต่เป็นการก่อเหตุให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น
เพราะการปฏิบัติเพื่อที่จะเป็นอะไรนั้น ล้วนเป็นบัญญัติ

ตราบใดที่ยังมีการให้ค่าตามบัญญญัติ นั่นคือ อุปทานที่เกิดขึ้น
เมื่อมีอุปทานเกิดขึ้น เหตุมี ผลย่อมมี


อ่านจบหมดแล้ว ตกลงคุณเต้พอจะตอบได้ไหมคะว่า ฝึกเจริญสติไปเพื่ออะไร?
ตอบตามที่คุณคิดน่ะคะ ไม่ต้องกลัวว่าจะผิดหรือว่าถูก เพราะมันเป็นเพียงรู้ของแต่ละคน
ไม่มีอะไรผิดหรือถูกหรอกค่ะ มีแต่ถูกใจตัวเองก็เลยว่าถูก ไม่ถูกใจตัวเองก็เลยว่าผิด มีแค่นั้นเอง :b12:




.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2010, 11:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เราปฏิบัติเพื่อดับ " เหตุ " ของเหตุที่เกิดขึ้นทั้งปวง
เราไม่ได้มาปฏิบัติเพื่อที่จะไปเป็นอะไร


สำหรับเราน่ะค่ะ เราปฎิบัติทั้งสองอย่างค่ะ แต่ไม่ใช่ตรงนี้น่ะค่ะ

อ้างคำพูด:
เราไม่ได้มาปฏิบัติเพื่อที่จะไปเป็นอะไร



เราปฏิบัติเพื่อดับ"เหตุ" และต้องการที่จะรู้และเห็นค่ะ

คุณน้ำคงจะงงน่ะค่ะ :b1: ว่าทำไม! เราถึงต้องอยากจะรู้และต้องการที่จะเห็นด้วย
เป็นเหตุผลส่วนตัวน่ะค่ะ

แต่ถือว่าเป็นสิ่งดีน่ะค่ะ ที่คุณน้ำเริ่มคุยเรื่องนี้ ก่อนเรารอคำถามนี้มานานแล้วค่ะ
โชคดีสำหรับเราน่ะค่ะ ทีนี้กระทู้นี้มีท่านผู้รู้2ท่าน (คุณน้ำกับคุณอนัตตาธรรม) คุยกัน

เราจะได้เล่าถึงปัญหา ที่ทำไมเราจะต้องการปฏิบัติ เพื่อต้องการรู้ เพื่อต้องการเห็น
ไปเพื่ออะไร แล้วเราก็ยังไม่รู้เลยค่ะ
ว่าเราจะทำได้หรือปล่าว ถ้าฟังๆแล้วเหมือนเป็นเรื่องเพ้อเจ้อน่ะค่ะ :b12:
ซึ่งตอนนี้ เราคิดว่าการปฏิบัติของเรา ยังไปไม่ถึงไหนเลยค่ะ
เหมือนไม่ติดต่อกัน ซึ่งเราก็ไม่รู้น่ะค่ะ
ว่าสิ่งที่เราคิด เราทำผิดหรือถูก
แล้วเราจะเล่าถึงเหตุผลให้ฟังน่ะค่ะ :b41: :b55: :b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2010, 21:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
อ้างคำพูด:
เราปฏิบัติเพื่อดับ " เหตุ " ของเหตุที่เกิดขึ้นทั้งปวง
เราไม่ได้มาปฏิบัติเพื่อที่จะไปเป็นอะไร


สำหรับเราน่ะค่ะ เราปฎิบัติทั้งสองอย่างค่ะ แต่ไม่ใช่ตรงนี้น่ะค่ะ

อ้างคำพูด:
เราไม่ได้มาปฏิบัติเพื่อที่จะไปเป็นอะไร



เราปฏิบัติเพื่อดับ"เหตุ" และต้องการที่จะรู้และเห็นค่ะ

คุณน้ำคงจะงงน่ะค่ะ :b1: ว่าทำไม! เราถึงต้องอยากจะรู้และต้องการที่จะเห็นด้วย
เป็นเหตุผลส่วนตัวน่ะค่ะ





ไม่งงหรอกค่ะ เป็นเรื่องปกติ เรื่องของความอยาก เราไปห้ามใครๆไม่ได้หรอกค่ะ
ขึ้นอยู่กับเหตุของแต่ละคนกระทำมา

อยากมาก ช้าตามความอยาก
ไม่อยาก ย่อมไปตามสภาวะ

ความอยากมีหลายสภาวะ ทั้งหยาบและละเอียด
ทั้งหมด สรุปคือ ขึ้นอยู่กับเหตุที่ทำ

จะรอฟังเรื่องที่คุณเต้จะนำมาเล่าให้ฟังค่ะ :b12:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2010, 08:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 11:43
โพสต์: 523

แนวปฏิบัติ: ดูปัจจุบันอารมณ์ เจริญมรรค ๘
งานอดิเรก: ปฏิบัติธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ประทีปแห่งเอเซีย
ชื่อเล่น: อโศกะ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www




100_5500_resize.JPG
100_5500_resize.JPG [ 60.71 KiB | เปิดดู 6560 ครั้ง ]
tongue
เราปฏิบัติเพื่อดับ"เหตุ" และต้องการที่จะรู้และเห็นค่ะ

ตั้งประเด็นไว้อย่างที่ยกมานี้ ต้องมีสัมปชัญญะ รู้ตัว หรือมีปัญญาสังเกต พิจารณาให้ดีนะจ๊ะ

ประเด็นที่มีการใส่เจตนา หรือพูดอีกอย่างว่า มีกู หรือ อัตตา เป็นผู้สั่งการอยู่เบื้องหลัง ปฏิบัติการหลังจากนั้นจะไม่เป็นไปตามธรรม แต่จะเป็นไปตาม กู สั่ง

สังเกตดูให้ดี

เราปฏิบัติเพื่อดับ"เหตุ" ใครจะเป็นผู้ไปดับเหตุ ใคร ต้องการดับเหตุ

ต้องการที่จะรู้และเห็นค่ะ ใครต้องการที่จะ รู้ ใคร ต้องการที่จะ เห็น


การปฏิบัติธรรม หรือการภาวนานั้น เป็นการละะเหตุและ เจริญเหตุ จนกว่าการละเหตุและเจริญเหตุนั้นจะเพียงพอ ส่งให้เกิดผล

การปฏิบัติธรรมคือการ ละเหตุทุกข์ เจริญเหตุสุข ไปทุกวี่ทุกวัน จนเป็นปกติวิสัย เมื่อเหตุพอ ผลก็เกิด ดังนี้


งานและหน้าที่ของชาวพุทธ

ละความเห็นผิด ว่าเป็น อัตตา ตัวกู ของกู

พอกพูนความเห็นถูกต้อง ว่าเป็น อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกู ของกู
ทุกวัน เวลา นาที วินาที ที่ระลึกได้ และ มีโอกาส

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2010, 13:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุผลที่เราต้องการรู้ต้องการเห็นคือ มีอยู่วันหนึ่งแฟนเรา
ชวนเราไปดูที่ ที่6ไร่พอไปถึงแฟน เราก็บอกว่าที่ตรงนี้ยังไม่ได้ปลูกอะไร
เค้าจะใช้วิธีเผา จะได้ไม่ต้องจ้างรถแม๊คโครมาขุด


เราก็บอก" เผาไม่ได้เพราะรอบๆมีแต่หญ้าแห้งๆ ถ้าไฟไปติดที่ของคนอื่น
ปัญหาต้องเยอะแน่" แฟนเราไม่เชื่อเค้าจุดไฟเผา แต่ไม่ติดเพราะต้นหญ้ายังสด
แล้วก็รวมกับกองิน ด้วยไฟไม่ติด เราก็ชวนแฟนเรากลับ

พอตอนจะกลับ แฟนเราก็พูดต่อหน้ากอหญ้าตรงนั้น คำว่า "ติดน่ะไม่กลัวหรอกกลัวไม่ติด"
เราได้ยินแฟนเราพูดคำนี้ เรารู้สึกกลัวน่ะ เพราะพูดต่อหน้าไฟ
เราก็ไปทานข้าว ซึ่งห่างจากที่ตรงนั้นขับรถประมาณ20นาที

เราก็รู้สึกสังหรณ์ใจ ว่าจะต้องมีเหตุการณ์ไม่ดีแน่ๆ เพราะแฟนเราไปพูดจาลบหลู่กองไฟ
พอทานข้าวเสร็จ เราก็บอกแฟนเราว่า เราจะกลับไปดูที่ตรงนั้นอีกครั้งหนึ่ง

พอขับรถไปได้ประมาณครึ่งทาง เราเห็นบนท้องฟ้ามีแต่ควันไฟ ทั้งแฟทั้งตัวเรา ตกใจ
เพราะไฟจะต้องไหม้ แบบแรงมากๆแน่นอน พอไปถึงที่ตรงนั้น
เรามึนหมดเลยค่ะ เพราะน้ำก็ไม่มี ไฟก็ลุกแบบแรงมากๆเลยค่ะ

เราทำอะไรไม่ถูก รู้แต่ว่าชีวิตต่อไปนี้ลำบากแน่ๆ ถ้าไฟไปติดตรงที่อื่นอีก
ก็คงจะรู้น่ะค่ะ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราและก็แฟนของเรา
ในขณะที่เรารู้สึกมึนๆอยู่ เราก็ได้ยินเสียงนกกระจิ๊บกลุ่ม หนึ่งร้องอยู่บนท้องฟ้า
เราก็นึกได้ว่า เราวางข้าวให้พวกนกกระจิบกินทุกวัน เราก็พนมมืออธิฐานถึงสิ่งศักสิทธ์ให้ช่วย

แต่ก็ไม่มีปาฏิหารณ์อะไรเกิดขึ้น ลมก็แรงไฟก็ลุก จนรวดเร็วอย่างน่ากลัว
แสงอาทิตย์ก็ร้อนมากๆ ตอนนั้นรู้สึกหมดหวัง

แต่นกกระจิบฝูงนั้น เค้าก็ยังบินไปบินมาอยู่ เค้าก็ร้องจิ๊บๆเสียงดังมาก
พอดีช่วงนั้นเรามีช่วยลูกนกกระจิบไว้ เราก็เลยนึกขึ้นได้ว่า
ลูกนกกระจิบตัวนี้ เค้าจะชอบนอนที่อุ้งมือของเรา แล้วเราก็จะร้องเพลงสวดมนต์
ให้เค้าฟังทุกครั้ง ขณะที่ร้องเพลงสวดมนต์ให้เค้าฟัง เราจะใช้มือลูบที่ขนของเค้าด้วย

พอเรานึกถึงตรงนี้ เราก็นึกถึงองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมได้ เราก็พนมมืออธิฐานถึงท่าน
ให้ท่านช่วย
พอเราอธิฐานเสร็จ ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำมืดมากๆ ทั้งๆที่ตอนแรกแดดแรงมากๆ ลมก็แรง
ไฟก็แรง
ทีนี้พอท้องฟ้ามืด ลมหยุดไปเลย ทุกอย่างนิ่งไฟที่แรงๆ เปลี่ยนเป็นหยุด
ทีนี้ฝนก็ตกลงมาอย่างแรงมากๆค่ะ
ปราฏิหารณ์ที่เกิดขึ้นเร็วมากค่ะ

ตอนนั้นเราบอกความรู้สึกไม่ถูก เรานั่งคุกเข่าตรงนั้นเลยค่ะ
แล้วเราก็ตั้งจิตอธิฐาน
ต่อองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมว่า"ข้าพเจ้าจะขอช่วยท่านแบ่งเบาภาระโดยข้าพเจ้าจะขอช่วยสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากความทุกข์และผู้ยากไร้ตามกำลังที่ข้าพเจ้ามี"

แล้วฟ้าก็ผ่าเสียงดังมากๆค่ะ ผ่าหลายครั้งด้วย แต่เราไม่รู้สึกกลัวอะไร
แฟนเราเรียกให้เราขึ้นรถกลับบ้าน แต่เราบอกเรายังไม่กลับ เรานั่งคุกเข่าอยู่อย่างนั้น
จนฝนหยุด

ทีนี้เราขอถาม ทั้งคุณน้ำและคุณอนัตตาธรรม น่ะค่ะ ถ้าเราปฏิบัติแบบไม่รู้ และไม่เห็น
เราจะช่วยพวกเค้าได้อย่างไรค่ะ

เรารู้ค่ะว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ แต่เราก็ตั้งจิตอธิฐานไปด้วยความตั้งใจ และความจริงใจ
ถ้าเราปฏิบัติเพื่อให้ตัวเราพ้นทุกข์แต่เพียงผู้เดียว
แล้วคำอธิฐานของเราล่ะค่ะ เราจะต้องทำอย่างไร :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2010, 19:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:

เรารู้ค่ะว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ แต่เราก็ตั้งจิตอธิฐานไปด้วยความตั้งใจ และความจริงใจ
ถ้าเราปฏิบัติเพื่อให้ตัวเราพ้นทุกข์แต่เพียงผู้เดียว
แล้วคำอธิฐานของเราล่ะค่ะ เราจะต้องทำอย่างไร




ทุกอย่างมันมีเหตุค่ะคุณเต้ :b12:
ดูตามความเป็นจริงไปค่ะ ใครจะพูดอะไรอย่างไร ไม่ต้องไปใส่ใจ
เหตุของแต่ละคนสร้างมาไม่เหมือนกัน หากใครว่างมงาย นั่นคือเหตุของเขา
หรือใครจะคิดอะไรยังไง นั่นคือเหตุของเขา เขาเป็นผู้รับผลนั้นๆเอง เพราะเขาเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาเอง

ที่นำมาพูดๆกันอยู่นี่ ก็เกิดจากตัวกูของกูกันทั้งนั้นแหละ มีแต่กิเลส นอกนั้นไม่ได้มีอะไรเลย
ตราบใดที่ยังยึดมั่นถือมั่นในบัญญัติล่ะก็ ไม่มีพ้นตัวกูของกูกันหรอก เสียท่ากิเลสยังดูไม่ออกเลย

ตอนนี้คุณเต้มีพระโพธิสัตว์กวนอิมเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
ก็ไม่แตกต่างกับการมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งหรอกค่ะ
ถ้ามีการบอกว่าแตกต่าง แตกต่างแค่คำเรียก แค่บัญญัติเท่านั้นเอง
แต่จิตที่ตั้งใจกระทำความดีเพื่อช่วยเหลือคนอื่นๆนั้น ไม่มีความแตกต่างเลย

รู้สึกอะไรยังไงก็รู้ไปตามนั้นค่ะ ไม่ต้องไปปฏิเสธ พูดไปตามความเป็นจริง
การพูดตามความเป็นจริง จะเป็นเหตุให้เราเห็นตามความเป็นจริงมากขึ้น
เพราะนี่เป็นสภาวะของตัวคุณเต้เอง ไม่ใช่สภาวะของคนอื่นๆ

เจริญสติต่อไปค่ะ ไม่ต้องไปกังวลอะไร
เมื่อถึงเวลา ทุกอย่างจะลงตัวตามสภาวะเองค่ะ

คำว่า " ดับที่เหตุ " ที่น้ำพูดนั้น วัดที่ปัจจุบันค่ะ
สิ่งที่มากระทบ ทันไหม ความชอบใจ ไม่ชอบใจที่เกิดขึ้นในขณะนั้นๆ
มีการตอบโต้ออกไปไหม ทุกๆการตอบโต้คือการสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้น
เรามีหน้าที่คือดูตัวเราเอง ไม่ใช่ไปดูนอกตัว ดูนอกตัว มีแต่กิเลสของชาวบ้าน
ถ้าสติไม่ทัน เราก็หลงลงไปเล่นกับกิเลสของชาวบ้าน ไปตอบสนองกิเลสของเขา
นั่นเท่ากับเราไปเป็นเหตุพอกพูนกิเลสให้กับเขา เหตุที่เราทำลงไปก็ส่งผลย้อนกลับมาที่เรา
แล้วเราจะไปสร้างเหตุนั้นๆให้เกิดขึ้นไปทำไม ถ้าเรารู้แล้ว เราจะไม่หลงลงไปเล่นด้วย

กลุ่มที่มาปฏิบัติกับน้ำตอนนี้ สภาวะก็ไม่แตกต่างจากคุณเต้เลย
แต่ละคนล้วนมีพระโพธิสัตว์กวนอิมเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจกัน ทุกคนล้วนมีนิมิตถึงพระโพธิสัตว์

ตอนนี้เขาปฏิบัติก้าวหน้ามากขึ้น จากที่เคยชอบวุ่นวายเรื่องชาวบ้าน ชอบการจับกลุ่มนินทา
เลิกหมดเลยค่ะ เพราะเขาเห็นเหตุที่ทำลงไป มันส่งผลกลับมาทันตา ทำให้เขาระวังกันมากขึ้น
หันมาเจริญสติกันมากขึ้น สนใจคนในครอบครัวกันมากขึ้น ใครจะมาพูดอะไรยังไง เขาเงียบอย่างเดียว

ทำต่อไปนะคะ เจริญสตินี่แหละค่ะ
ทางของคุณเต้ อาจจะถูกกำหนดมาแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร
เพราะมันแค่สภาวะที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง น้ำน่ะเจอเรื่องที่คนอาจจะมองว่าเรารู้ได้ยังไง
สิ่งเหล่านี้ อธิบายกันไม่ได้ มันรู้ก็คือรู้ แต่รู้ที่รู้นั้นๆมีแต่สร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นๆ มีแต่ให้กับให้
ไม่ใช่ไปสร้างโทษให้กับใครๆ น้ำถึงบอกว่า คุณเต้ไม่ต้องไปสนใจว่าใครจะพูดว่ายังไง

ตอนนี้มีหน้าที่คือ เจริญสติต่อไป ทำให้ต่อเนื่อง อีกหน่อยคุณจะเข้าใจอะไรมากขึ้น
และทำให้หายสงสัยในสิ่งที่ได้พบได้เจอ ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 18 ก.ย. 2010, 21:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร